- ปกหน้า -
“วารสารพัฒนาชุมชน กรมการพัฒนาชุมชน กระทรวงมหาดไทย”
1
บทบรรณาธิการ
“พบกันวารสารพัฒนาชุมชน ประจําเดือน เมษายน – พฤษภาคม ๒๕๕๗ ต้อนรับฉบับนี้ด้วย บทความพิเศษผู้บริหารกรมการพัฒนาชุมชน : เปิด ใจโครงการ OTOP กับสื่อดินแดนอาทิตย์อุทัย (Japan)×แลหน้า เหลียวหลัง...เรียนแล้วมาเล่า ภาษาเวียดนาม×เสน่ห์ชุมชน นําเสนอเรื่องเสน่ห์ ของการสื่ อ สารชุ ม ชน โดยชุ ม ชนเพื่ อ ชุ ม ชน × กถาพัฒนากร เรื่อง “ยอดดอยเสียดฟ้า มาตามฝัน” × ...หนึ่งวัน หนึ่งความคิ ด... ×...หัวโค้ง เรื่อง อาชีพเสริม... × รู้ด้วยกันงาน กจ. : การใช้ “รักษาราชการแทน” กับ “รักษาการในตําแหน่ง” ×วาทะเด่น... × “การบริหารยุทธศาสตร์ด้วย ระบบงบประมาณรายจ่ายประจําปี” ใน ถากถาง ทางสร้างสรรค์... ×ข่าวประชาสัมพันธ์จากกองทุน พั ฒนาบทบาทสตรี ×สาระน่ า รู้ : Latte Factor”...แล้วปิดท้ายด้วยภาพกิจกรรมกรมการ พัฒนาชุมชน... ×พบกันใหม่ฉบับต่อไปนะครับ...
ทรงพล วิชัยขัทคะ บรรณาธิการ
บทความพิเศษ แลหน้า เหลียวหลัง เสน่ห์ชุมชน กถาพัฒนากร หนึ่งวัน หนึ่งความคิด หัวโค้ง รู้ด้วยกันงาน กจ. วาทะเด่น ถางทางสร้างสรรค์ กองทุนพัฒนาบทบาทสตรี สาระน่ารู้ ภาพกิจกรรม
3 9 10 15 17 18 20 28 29 31 32 38
วารสารพัฒนาชุมชน ประจําเดือนเมษายน – พฤษภาคม ๒๕๕๗ ประธานกรรมการอํานวยการ นายขวัญชัย วงศ์นิติกร ที่ปรึกษา นายพิสันติ์ ประทานชวโน
ผู้ช่วยบรรณาธิการ กองบรรณาธิการ
ฝ่ายภาพ
ออกแบบปก ออกแบบรูปเล่ม/พิสูจน์อักษร
นายมนตรี นาคสมบูรณ์ นายอรรถพร สิงหวิชัย นางรักใจ กาญจนะวีระ นางสาวชณัทสรณ์ โพธิปิ่น นางสาวฉัตรประอร นิยม นางสาวเยาวนิจ กลั่นนุรักษ์ นายสรฤทธ จันสุข นางสาวนวพร พิมพา นางสาวนิภาภร บุญประสิทธิ์ นายพีระ คําศรีจันทร์ นายธนชล คูณสวัสดิ์ นายจรูญศักดิ์ เขียวสุคนธ์ นางสาวกฤติยา สวัสดิ์เมือง นางสาวยอดขวัญ ว่านเครือ นางสาวเปรมวดี มีสวัสดิ์ นางสาวศิริพร พรหมมา
กองประชาสัมพันธ์ กรมการพัฒนาชุมชน กระทรวงมหาดไทย ศูนย์ราชการเฉลิมพระเกียรติฯ อาคารรัฐประศาสนภักดี ชั้น 5 ถนนแจ้งวัฒนะ เขตหลักสี่ กรุงเทพฯ 10210 โทร. 0 2141 6271, 0 2141 6328 โทรสาร 0 2143 8922 บทความหรือข้อเขียนในวารสารพัฒนาชุมชนเป็นความเห็นส่วนบุคคล กองบรรณาธิการไม่จําเป็นต้องเห็นด้วย และไม่ผูกพันกับกรมการพัฒนาชุมชนแต่อย่างใด
“ชุมชนเข้มแข็ง เศรษฐกิจฐานรากมั่นคง” กรมการพัฒนาชุมชน กระทรวงมหาดไทย 2 “วารสารพัฒนาชุมชน กรมการพัฒนาชุมชน กระทรวงมหาดไทย”
“เปิดใจโครงการ OTOP กับสื่อดินแดนอาทิตย์อุทัย (Japan)” “กระแสนิยมไทย คนไทยต้องใช้ของไทย” …การสร้ า งสิ น ค้ า ทางวั ฒ นธรรม และ ภู มิ ปั ญ ญาท้ อ งถิ่ น เพื่ อ ดึ ง ดู ด ชาวต่ า งชาติ ใ ห้ ส น ใ จ ใ น อ า ห า ร ไ ท ย วั ฒ น ธ ร ร ม ไ ท ย เสื้อผ้าไทย นี่เป็นเป้าหมายของเราที่จะดําเนินการ ต่อไป...”
อธิบดีกรมการพัฒนาชุมชน (นายขวัญชัย วงศ์นิติกร) ให้สัมภาษณ์ประเด็นเกี่ยวกับโครงการจัดตั้งศูนย์แสดง จําหน่ายและกระจายสินค้า OTOP ใต้ทางด่วนกรุงเทพฯ กับหนังสือพิมพ์ Nishinippon Shimbun ประเทศญี่ปุ่น เมื่อวันพฤหัสบดีที่ ๒๗ มีนาคม ๒๕๕๗ ณ ห้องปฏิบัติงานอธิบดีฯ
จุดเริ่มต้นของโครงการ OTOP มีความเป็นมาอย่างไร? “...โครงการ OTOP ของเรา ไดดําเนินการมา 11 ปกวา นับตั้งแตป 2544 ซึ่งครบหนึ่งทศวรรษแลว ทางรัฐบาลไทยไดพยายามแกปญหาความยากจน ตองการเพิ่มรายได ลดรายจาย และขยายโอกาส ในการทํา มาหากินของพี่นองประชาชนโดยเฉพาะคนในชนบท” โดยอาศัยภูมิปญญาของพี่นองที่ตอยอดจากผลิตภัณฑ ทางการเกษตรในทองถิ่น ซึ่งรัฐบาลในสมัยนั้นก็ไดนําเสนอแนวทางจากโครงการ OVOP (One Village One Product) ของประเทศญี่ปุนมาเปนตนแบบ และไดเชิญผูวาเมืองโออิตะ คุณโมริฮิโกะ ฮิรามัทซึ มาบรรยาย เพื่อคาดการณใหกับประเทศไทย จากนั้นก็ดําเนินการจัดระบบระเบียบทางกฎหมายวาดวยการบริหารจัดการ สินคา OTOP เปนระเบียบสํานักนายกรัฐมนตรี กําหนดรูปแบบการบริหารสงเสริมการคาขายสินคา OTOP ใหกับประชาชน โดยเริ่มตนจากการลงทะเบียนจากผูที่มีสินคาภูมิปญญาในทองถิ่นในตําบล เริ่มตนตั้งแตป 2545 ตอนนั้นก็มีประมาณ 5,000 ผูประกอบการ/สินคา แบงผลิตภัณฑเปน 5 ประเภท เปน อาหาร เครื่องดื่ม ผ า และเครื่ อ งแต ง กาย ของใช ของตกแต ง ของที่ ร ะลึ ก และสมุ น ไพรที่ ไ ม ใ ช อ าหาร ใน 5 ประเภทนี้ เราก็ดําเนินการและกําหนดรูปแบบการบริหาร การบูรณาการ กระทรวง ทบวง กรม ที่เกี่ยวของใน 6 กระทรวง “วารสารพัฒนาชุมชน กรมการพัฒนาชุมชน กระทรวงมหาดไทย”
3
โดยมีกระทรวงพาณิชยทําเรื่องการตลาด อุตสาหกรรมทําเรื่องการขยายกําลังการผลิต ทองเที่ยวก็ทําเรื่องของ หมูบาน แหลงบงชี้ทางภูมิปญญา กระทรวงมหาดไทยก็มีหนาที่รวบรวมจดทะเบียนผูประกอบการทั้งหมด แลวนําสินคาไปพัฒนา โดยกําหนดเปนระดับ 1-5 ดาว กระทรวงสาธารณสุขดูเรื่องมาตรฐานของสินคา วาตองปลอดภัยตอชีวิตและสิ่งแวดลอม”
ความ คิดเกี่ยวกับเรื่อง OTOP ที่เปิดใต้ทางด่วนทั้ง 3 แห่ง?
ตลอดระยะเวลา 10 ป ที่ผานมา เรามีการประเมินผล เมื่อป 2556 พบวามีสินคา 70,000 กวาผลิตภัณฑที่ ลงทะเบียน OTOP
มียอดจําหนายตอนนี้ กวา
91,000 ลานบาท จากยอดจําหนายเดิม 4,500 ลาน บาท ถื อ เป น การก า วกระโดดถึ ง 20 เท า ตั ว แต ก็ ยั ง พบป ญ หา ที่ ผ า นมาของโครงการ OTOP ปญหาแรก คือ เรื่อ งการควบคุ ม สิ น ค า ทั้ง คุณ ภาพ และปริมาณที่ยังไมสม่ําเสมอ เพราะเวลามีการสั่งสินคาเยอะๆ ทําใหเขาไมได ปญหาที่สอง คือ เรื่องชองทาง การจัดจําหนายไมเพียงพอ ผลิตไดก็ไมรูจะเอาไปขายที่ไหน สวนใหญจะเปนสินคาชนบทก็จะขายกันอยูแคนั้น โอกาสที่จะแพรหลายก็ยาก ซึ่งก็เปนปญหาอยางหนึ่งที่เปนความพยายาม โดยการหาชองทางในการจัด จําหนายใหมากขึ้น นําไปขึ้นหางสรรพสินคามากขึ้น เขาสนามบิน รานสะดวกซื้อใหมากขึ้น และปญหาที่สาม คือ เรื่องการขาดแหลงเงินทุนสนับสนุนในการขยายกิจการ เนื่องจากผูผลิต OTOP จะเปนคนที่ไมมีเงินทุน มากมาย เขาไมถึงระบบธนาคาร สถาบันการเงิน สําหรับปญหา 3 ประเด็นนี้ เราก็ไดกําหนดแนวทางแกไขไวแลวในทศวรรตที่ 2 โดยปญหาที่หนึ่ง เรื่ อ งการควบคุ ม สิ น ค า ทั้ ง คุ ณ ภาพและปริ ม าณ เราก็ นํ า แบบอย า งจากประเทศญี่ ปุ น ก็ คื อ ให 1 จั ง หวั ด ตอ 1 มหาวิทยาลัยที่อยูในภูมิภาคนั้น จัดหลักสูตรในการพัฒนาคุณภาพผลิตภัณฑของผูประกอบการ OTOP ทําแผนธุรกิจ ใชนวัตกรรมปรับปรุงคุณภาพสินคาใหมีมาตรฐาน เปนที่ตองการของประชาชนมากขึ้น โดยนํา องคความรูจากมหาวิทยาลัยเขาไปชวยเหลือสนับสนุน เพื่อเปนการเพิ่มองคความรูใหแกผูประกอบการ OTOP ปญหาที่สอง คือ เรื่องชองทางการจัดจําหนาย เราแบงหนาที่กันอยางชัดเจน โดยใหกระทรวงพาณิชย กับกระทรวงการตางประเทศนําสินคา OTOP สงออกตางประเทศใหไดอยางนอยปหนึ่ง 1,200 ผลิตภัณฑ “วารสารพัฒนาชุมชน กรมการพัฒนาชุมชน กระทรวงมหาดไทย”
4
ภายใต บ ริ บ ท ครั ว ไทยสู ค รั ว โลก สปาไทยสปาโลก อี ก ทางหนึ่ ง คื อ เน น นํ า สิ น ค า วางจํ า หน า ยตาม หางสรรพสินคาใหมากที่สุด จําหนายตามรานสะดวกซื้อใหมากที่สุด และก็เพิ่มชองทางการจัดจําหนายในเขต เมืองใหญ ๆ เชน กรุงเทพฯ ภูเก็ต หาดใหญ เชียงใหม ใหมีสินคาโอทอปขายทั้งป ตลอดจนโครงการที่เปดใต ทางดวนฯ ก็ไดรวมมือกับการทางพิเศษแหงประเทศไทย ไดยกพื้นที่ใตทางดวนใหเราปรับปรุงเปนสถานที่ จํ า หน า ยสิ น ค า โอทอปให ช าวบ า นและคนชนบทได นํ า ผลิ ต ภั ณ ฑ OTOP หมุ น เวี ย นกั น เข า มาจํ า หน า ย ซึ่ ง ได ฤ กษ เ ป ด โครงการจั ด ตั้ ง ศู น ย แ สดง จํ า หน า ย และกระจายสิ น ค า OTOP
บริ เ วณใต ท างด ว น
ในกรุงเทพมหานคร จํานวน 3 แหง คือ ใตทางดวนรามอินทรา-เพลินจิต-สีลม อยางเปนทางการเรียบรอยแลว ปญหาที่สาม เรื่องเงินทุนสนับสนุน เราได ทํา MOU กับธนาคารของรัฐ เชน ออมสิน กรุงไทย ธ.ก.ส เพื่อรองรับและสนับสนุนการขยายตัวของโอทอปในแตละจังหวัด อําเภอ พรอมชวยเหลือสนับสนุนใหเงินทุน ในการกูยืมเพื่อไปขยายผลิตภัณฑโอทอปใหมากขึ้น เพราะผูประกอบการจะตองผลิตสินคาจําหนายทั้งปใหได ไมใชผลิตเพื่อจําหนายแคเฉพาะชวงฤดูกาล เป็นความคิ ดที่ดีและน่าสนับสนุนมากแต่ในทางกลับกันที่มีหลายคนบอกว่าสินค้า OTOP มีมาก
ซึ่งมีทั้งคุณภาพดีและไม่ดี ส่วนสําหรับกลุ่มที่ทําแล้วคุณภาพไม่ค่อยดี พวกเขาก็ลําบากใช่ไหม? สินคา OTOP ที่ยังขาดคุณภาพนั้นอาจเปนเพราะเพิ่งจะเริ่มเขามา ซึ่งเขาตองมาผานกระบวนการใน การพัฒนา โดยเราตั้งเปาไว 5 แนวทาง 1. สินคา OTOP จะตองมีนวัตกรรม (Innovation) 2. สินคา OTOP จะตองมีการบอกเลาประวัติของสินคาเพื่อสืบสานถึงภูมิปญญาทองถิ่น (Story to tell) 3. สินคา OTOP จะตอง มีการวิจัยและพัฒนาเพื่อจะบอกถึงคุณคาของสินคา (R & D) 4. สินคา OTOP จะตองมีความโดเดน ไมเหมือนใคร (Positioning) และ 5. สินคาตองมีการทําการตลาด (Marketing) มีวิธีการสงเสริมการขายใหได มากๆ ขายเปนกลุมมากๆ ไมอยางนั้นก็เพิ่มยอดขายไมได และตองเพิ่มมูลคาของสินคาตลอดเวลา
ในหมู่บ้านที ่เทคโนโลยียังไม่พัฒนา ภูมิปญั ญาที่เขาทําเองก็อาจจะรู้สึกลําบาก และที่การพั ฒนายังไปไม่ถึง ท่านมีแนวทางอย่างไร? เราให เ ขานํา ผลิ ตภัณฑที่เ ขา กระบวนการองคความรูกอ นทั้งหมด ประเด็ นแรกสิ น คา จะตอ งผา น มาตรฐาน อาทิ มาตรฐานอาหารและยา มาตรฐานผลิตภัณฑชุมชน มาตรฐาน Clean food Good test มาตรฐานผลิตภัณฑทางการเกษตร เพราะวาผลิตภัณฑที่จะเปนสินคา OTOP ไดนั้นก็ตองผานมาตรฐาน และ ตองมีความพรอมพอสมควร เมื่อไดมาตรฐานแลวถึงจะเขากระบวนการเพิ่มคุณคาทางผลิตภัณฑ เชน มา “วารสารพัฒนาชุมชน กรมการพัฒนาชุมชน กระทรวงมหาดไทย”
5
เรียนรูการทําแผนธุรกิจ การตั้งราคา การบรรจุหีบหอ การมาฝกทดลองขายในภูมิภาคในงานใหญๆในระดับ จังหวัด จึงตองมีกระบวนการในการพัฒนา เดี๋ยวนี้ไมยากแลว เขามีกลุมในการบริหาร OTOP ดวยกันเอง ในแตละจังหวัด แตละอําเภอ เปนเครือขายในการแลกเปลี่ยนเรียนรูซึ่งกันและกัน เมื่อ 10 ปที่แลวอาจจะลําบาก แตปจจุบันนี้ไมลําบากแลว เพราะวาลูกหลานของเขาเปนคนรุนใหม สมัยใหม สามารถสื่อสารทางเทคโนโลยี ทางอินเตอรเน็ต ทางสื่อ IT ไดหมดแลว อะไรที่ดีที่หนึ่งก็จะเห็นกันได ทุก ที่ และเขาสามารถดูรูปแบบจากตา งประเทศได อีกทั้ง ยัง มีมหาวิ ท ยาลัยแตละจังหวัดคอยเปน พี่เลี้ย ง ชวยเหลืออยูจึงไมนาเปนหวง ที่เป็นคนต่างชาติ และต้องการจะศึกษาเกี่ยวกับเรื่องผลิตภัณฑ์ OTOP ในฐานะ
แต่ว่า…
เวลาจะไปดู OTOP จะหายากมากเลย จะไปดูที่ไหน? เราไม มี ห า งสรรพสิ น ค า ที่ ว า ด ว ย OTOP โดยตรง เ นื่ อ ง จ า ก ศั ก ย ภ า พ ข อ ง ผู ผ ลิ ต สิ น ค า OTOP ไมสามารถทําอยางนั้นได สิ่งที่ทําไดก็คือเอาไปฝากหางตางๆ ขาย หรือก็ปหนึ่งอาจจะมีงานที่ทางราชการจัดให 3 ครั้ง เชน งาน OTOP CITY งาน OTOP MIDYEAR และงาน OTOP ศิล ปาชีพ ซึ่งจะเชิญผูประกอบการมากวา 4,000
รายมาขาย
พรอมๆกัน เปน OTOP อยางเดียว แตก็เปนชวงเวลาสั้นๆ 9-10 วัน ยังไมมีใครที่มาลงทุนเปดราน OTOP โดยเฉพาะ แตตอนนี้ มีโครงการจัดตั้งศูนยแสดง จําหนาย และกระจายสินคา OTOP บริเวณใตทางดวน 3 แหง คือ ใตทางดวนรามอินทรา-เพลินจิตสีลม มีสินคา OTOP โดยเฉพาะ ซึ่งมีผูประกอบการสินคา OTOP ประมาน 400 ร า นค า ผลั ด เปลี่ ย นหมุ น เวี ย นกั น มา จําหนายที่ใตทางดวน โดยนําผลิตภัณฑ OTOP ที่มีคุณภาพ 3-5
ดาว มาจัดแสดงและจําหนาย
สําหรับศูนยฯ OTOP
ใตทางดวนเพลินจิตจัดทําในรูปแบบ “OTOP THE GALLERY” เนนกลุมเปาหมาย คือ นักธุรกิจ นักทองเที่ยว ชาวตางชาติ
พนักงานบริเวณเพลินจิต ปทุมวัน สุขุมวิท
เนนสินคาประเภทของที่ระลึก สินคาหัตถกรรมที่มีชื่อเสียงของแตละภาค ศูนยฯ OTOP ใตทางดวนสีลม “วารสารพัฒนาชุมชน กรมการพัฒนาชุมชน กระทรวงมหาดไทย”
6
ดําเนินการในรูปแบบ “ THE WALKING STREET ” มีการจัดคูหาสําหรับการจัดแสดง และจําหนายประเภท สินคาตางๆ จํานวน 100 คูหา เนนกลุมเปาหมาย คือ นักธุรกิจ นักทองเที่ยว ชาวตางชาติ พนักงานบริษัท บริเวณสีลม สุรวงศ สาธร บางรัก และศูนยฯ OTOP ใตทางดวนรามอินทรา ดําเนินการในรูปแบบ “The Avenue” มีการจัดคูหาสําหรับจัดแสดง และจําหนายสินคา OTOP ประเภทตางๆจํานวน 100 คูหา รวมทั้ง รถเข็น คีออส จํานวน 40 ชุด และรานอาหาร OTOP ชวนชิม จํานวน 60 รานคา เนนกลุมเปาหมายครอบครัว และประชาชนในเขตบางเขน ลาดพราว รามอินทรา วัชรพล สายไหม มีนบุรี โดยเปดจําหนายทุกวันระหวาง เวลา 10.00-22.00 น. นอกจากนั้นหนวยงานที่เกี่ยวของยังไดรวมสนับสนุนการดําเนินงานศูนยแสดงจําหนาย และกระจายสินคาบริเวณใตทางดวนในกรุงเทพมหานคร ทั้งภาครัฐและเอกชน ไดแก การทางพิเศษแหง ประเทศไทย การไฟฟานครหลวง การประปานครหลวง กรุงเทพมหานคร และเจาหนาที่ตํารวจ รวมทั้งเครือขาย ผูประกอบการ OTOP ทุกประเภทผลิตภัณฑ และที่สนามบินก็มีสินคา OTOP แตเปนจุดกระจายสินคาเล็กๆ ซึ่งสินคาอาจจะยังมีนอย ซึ่งทุกสนามบินตอนนี้มีหมดแลว เชน สนามบินจังหวัดภูเก็ต สนามบินจังหวัดกระบี่ สนามบินจังหวัดเชียงใหม สนามบินจังหวัดอุดรธานี สนามบินสุวรรณภูมิ สนามบินดอนเมือง
แลนด์มาร์ค ของ
OTOP ได้รับความเชือ่ ถืออย่างมากใช่ไหม?
ใชครับ...เพราะวาเราควบคุมคุณภาพ จะเปนสินคา OTOP ไดนั้นตองมีมาตรฐาน โดยมีหนวยงาน คอยตรวจสอบเรื่องมาตรฐาน และการเปดพื้นที่แลนดมารคสินคา OTOP เปนการเปดโอกาสใหสินคาที่ผลิต จากภูมิปญญาจริง ทําจากชาวบานจริง ใชทรัพยากรในทองถิ่นจริง ไมไดใชเครื่องจักร ถาใชเครื่องจักรก็จะเปน SME ไมใช OTOP
รัฐบาลมีงบสนับสนุนอย่างไร? ใน 1 ป ทางรัฐบาลจะมีงบสนับสนุนประมาณ 2,000 กวาลานบาท แตงบประมาณจํานวนนี้ใชบริหาร
รวมกันทัง้ 6 กระทรวง จาก 7 - 8 กรม ทัง้ กระทรวงพานิชย กระทรวงอุตสาหรรม และกระทรวงมหาดไทย
“วารสารพัฒนาชุมชน กรมการพัฒนาชุมชน กระทรวงมหาดไทย”
7
ชาวบ้ านที่เขาได้รบั การสนับสนุน เขาสะท้อนอย่างไร? สําหรับชาวบานที่ไดรับการสนับสนุน เขาก็ชอบใจ คือพอเขาจําหนายสินคาได ก็ชวยใหระบบเศรษฐกิจ ฐานรากเดินตอไปได ซึ่งแตเดิมอาชีพของเขาคือเปนเกษตรกร และเมื่อเขาพัฒนาผลผลิตทางการเกษตรมา เปนสินคาOTOP ก็สามารถเพิ่มมูลคาได คุณภาพชีวิตเขาก็ไมตองเสี่ยงรอแตน้ําฝนที่จะผลิตสินคาเกษตรอยาง เดียว ชาวบานก็เริ่มคาขายเปน มีโอกาส มีรายไดเพิ่มมากขึ้นจากสินคาทางการเกษตร แลวนําเงินเหลานี้มา สงเสียใหลูกหลานไดเรียนหนังสือ มาพัฒนาคุณภาพชีวิต มีที่อยูอาศัยที่ดีขึ้นมียารักษาโรค มีเสื้อผาที่ทันสมัย มีพาหนะใชในการทํามาหากิน มีรายไดดี มีอาหารที่ถูกสุขลักษณะ ถือเปนเศรษฐกิจฐานรากที่แทจริง
สิ ่งนีท้ ําให้ชาวบ้านสามารถทําการค้าขายเป็นใช่ไหม? ใชๆ เพราะวาคนสมัยกอนก็ไดแคทํานา ทําไร เดี๋ยวนี้ก็มกี ารจักสานขาย ทอผาขาย แปรรูปขาวทําเปน ขาวไรซเบอรี่ ทําน้ํายาสระผมขาย ขายของไดทุกอยาง ผลไมก็นํามาแกะสลักขาย แปรรูปไดทุกอยางเปนอาชีพ เปนรายได และเปาหมายสุดทายที่กรมการพัฒนาชุมชนอยากจะพัฒนาผลิตภัณฑโอทอป ก็คือในป 58 เราเปด AEC เราทําพันธะสัญญากับรัฐบาลไว วาจะทํายอดขายของ OTOP ใหได 100,000 ลานบาท ประเด็นที่สอง เราจะสรางกระแสนิยมไทยใหคนไทยใชของไทย แลวเราจะสรางสินคาทางวัฒนธรรม และภูมิปญญาทองถิ่น เพื่อขายกับชาวตางชาติ เชนอาหารไทย วัฒนธรรมไทย เสื้อผาแบบไทย นีเ่ ปนเปาหมายของกรมการพัฒนา ชุมชนที่จะดําเนินการ เรียบเรียงโดย : กองประชาสัมพันธ
“วารสารพัฒนาชุมชน กรมการพัฒนาชุมชน กระทรวงมหาดไทย”
8
“ราชการ
เรียนแลวมาเลา : ภาษาเวียดนาม (ตอนที่ ๓) โดย...กระท่อมน้อย ๔ ป.
“วารสารพัฒนาชุมชน กรมการพัฒนาชุมชน กระทรวงมหาดไทย”
9
เสนหของการสื่อสารชุมชน โดยชุมชน เพื่อชุมชน เมื่อป พ.ศ. 2526 องคการสหประชาชาติไดประกาศใหเปนปการสื่อสารโลก ทั้งนี้เพื่อใหแตละประเทศ ไดพิจารณาและตรวจสอบอยางลึกซึ้งถึงระบบการสื่อสารในประเทศของตนในทุกระดับ เพื่อจะไดทําการ ปรับปรุงแกไขใหสอดคลองกับสภาพแวดลอมและความตองการของตนในอันที่จะใชการสื่อสารเพื่อประโยชน ในการพัฒนาประเทศและสังคมโดยสวนรวม ซึ่งในโอกาสเดียวกันนั้นเอง พระบาทสมเด็จพระเจาอยูหัวฯ รัชกาลที่ 9 ไดพระราชทานพระบรมราโชวาท ความตอนหนึ่งวา (คณะนิเทศศาสตร จุฬาฯ:2526) “การสื่อสารเปนปจจัยสําคัญอยางหนึ่งในการพัฒนาสรางสรรคความเจริญกาวหนา รวมทั้งรักษาความมัน่ คงและปลอดภัยของประเทศ ซึ่งในสมัยปจจุบัน สถานการณของ โลกเปลี่ยนแปลงอยูทุกขณะ การติดตอสื่อสารที่รวดเร็วทันตอเหตุการณ ยอมมีความ สําคัญมากเปนพิเศษ ทุกฝายและทุกหนวยงานที่เกี่ยวของกับการสื่อสารของประเทศ จึงควรไดรวมมือกันดําเนินงานและประสานผลงานกันอยางใกลชิดและสอดคลอง สําคัญที่สุดควรจะไดพยายามคนควาวิชาการอันทันสมัยใหลกึ ซึ้งและกวางขวาง แลว พิจารณาเลือกเฟนสวนที่ดีมีประสิทธิภาพแนนอนมาปรับปรุงใชดวยความฉลาดริเริ่มให พอเหมาะพอสมกับฐานะและสภาพบานเมืองของเรา เพื่อใหกิจการสื่อสารของชาติมี โอกาสไดพัฒนาอยางเต็มที่ และสามารถอํานวยประโยชนแกการสรางเสริมเศรษฐกิจ สังคม ตลอดจนเสถียรภาพของบานเมืองไดอยางสมบูรณแทจริง” ในกระบวนการพัฒนาใดๆ ก็ตามจําเปนตองมีการติดตอสื่อสารเพื่อแจงขาวสารที่เปนประโยชนตอ สมาชิก เพราะการสื่อสารเปนเครื่องมือที่มีความสําคัญเปนอยางมากในการดําเนินงานพัฒนาชุมชนทุกสาขา การ สื่อสารที่ดียอมทําใหงานพัฒนาชุมชนบรรลุไดอยางรวดเร็วและมีประสิทธิภาพ และเปนวิธีการที่จะใหขอมูล ขาวสารที่เปนประโยชนกอใหเกิดความรูความเขาใจสรางทัศนคติใหมๆ โนมนาวใหสมาชิกในชุมชนเกิดการ เปลี่ยนแปลงพฤติกรรมอันจะนําไปสูปฏิบัติการในชุมชน เพื่อการแกไขปญหาและพัฒนาชีวิตความเปนอยูของ ชาวบานและชุมชนใหดีขึ้น (คมสัน หุตะแพทย : 2535) “วารสารพัฒนาชุมชน กรมการพัฒนาชุมชน กระทรวงมหาดไทย”
10
มาเริ่มตนทําความรูจักกับเครื่องมือสําคัญในการพัฒนาชุมชนกัน...สักนิด เสนหชุมชนฉบับนี้หลบหลีกบรรยากาศรอนระอุทั้งอากาศและความรอนแรงของบานเมือง ดวยแนว เขียนเชิงวิชาการนิดๆ วากันไปพอใหทราบโดยสังเขปถึงความสําคัญของ “ประเด็นการสื่อสารเปนเครื่องมือ ของการพัฒนา”(ไดอยางไร?) เพราะในทุกกิจกรรมขั้นตอนตางๆ ลวนแลวแตใชการสื่อสารเปนเครื่องมือใน การเชื่อมโยงชุมชนเขาไวดวยกันซึ่งในที่นี้สามารถจําแนกกิจกรรมพัฒนาชุมชนที่สอดคลองกับปญหาและความ ตองการของสมาชิกในชุมชนไดดังนี้ (กรมการพัฒนาชุมชน : 2550) 1. กิจกรรมที่ทาํ ใหประชาชนมีคุณภาพชีวิตที่ดี มีความสุข 2. กิจกรรมที่ทาํ ใหชุมชนมีภมู ิคุมกันทางสังคม 3.กิจกรรมที่ทาํ ใหชุมชนมีความมั่นคงทางเศรษฐกิจ มาถึงบรรทัดนี้คุณผูอานที่เปนนักพัฒนาชุมชนคงวิตก-กังวล หรือไมก็พาลเครียดไปเลยเมื่อนึกถึง “การ สื่อสาร” ดวยคิดวาคงจะตองมีงบประมาณมากมายหรือปลาว? ถึงจะทําได แต....ปลาวเลยคะ สื่อและสารที่เรา กําลังกลาวถึงกันอยูในขณะนี้ก็คือสื่อเล็กๆ ที่มีอยูในชุมชนสามารถจับตองได เสียคาใชจายนอย และ-หรือ อาจ ไมมีคาใชจายเลยก็เปนได (หากเรารูจักวิธีการนําไปใชอยางถูกตอง) ดังที่ผลการวิจัยของ รองศาสตราจารยดร. กาญจนา แกวเทพ (2552) อาจารยนักวิชาการดานการสื่อสารเพื่อการพัฒนาพบวา “สื่อยิ่งมีขนาดเล็กและอยูใน อํานาจรัศมีการใชของชุมชน เชน สื่อบุคคล สื่อพื้นบาน สื่อเฉพาะกิจ ก็ยิ่งมีคุณูปการตอการพัฒนาชุมชน อัน เปนทวงทํานองแบบ เล็กนั้นงาม จิ๋วแตแจว (Small is beautiful)” ในขณะที่สื่อเล็กๆ เหลานี้แสดงบทบาทในการ พัฒนาอยางไดผลดี หากแตในแวดวงของการพัฒนายังมีการใหความรูถึงวิธีการใชสื่อเหลานี้อยางจํากัด มีการนํา สื่อเล็กๆ ไปใชอยูเพียงไมกี่ประเภท จึงทําใหวิธีการใชพลอยคับแคบไปดวย หากเราเปดใจใหกวางเพื่อทําความรูจักกับคําวา “สื่อ” อยางแทจริงจะพบวาสื่อเล็กๆ ที่นาสนใจในการ นํามาใชในงานพัฒนานั้นมีจํานวนมากมายอยางไมนาเชื่อ เรียกวาไมวาจะเปนอะไร ก็สามารถแปลงรางเปนสื่อ ไดทั้งสิ้นถาเรา (นักพัฒนาชุมชน) รูจักวิธีการเสก แตอยางไรก็ตามกอนที่เราจะไปทําความรูจักใหถองแทถึงคําวา “การสื่อสารชุมชน” หรือ “สื่อชุมชน” นั้น สิ่งที่นักพัฒนาควรจะคํานึงถึงเปนอันดับแรกคือ สื่อชุมชนควรเปนสื่อที่มีอยูในชุมชนจริงๆ ใชงานจริงอยาง ที่ควรจะเปน ไมใชสื่อชุมชนที่มีอยูแตในตําราที่เขียนกันไว หากเขาใจไดเชนนี้จะทําใหงานพัฒนาของทานขยับ เขาใกลความสําเร็จมากยิ่งขึ้น สื่อชุมชน...สื่อที่มีอยู และใชจริงในชุมชน
“วารสารพัฒนาชุมชน กรมการพัฒนาชุมชน กระทรวงมหาดไทย”
11
เกริ่นกันมาเสียยืดยาว มารูจักกันเสียทีกับสื่อเล็กๆ ซึ่งเปนสื่อของชุมชน โดยชุมชน เพื่อชุมชน หรืออาจ กลาวไดวาเปนสื่อแบบประชาธิปไตยตัวจริงเสียงจริง และในที่นี้ผูเขียนแบงประเภทของสื่อชุมชนออกเปน 4 ประเภทตามมาตรฐานของทุกชุมชนที่เราทุกคนสามารถมองเห็นและสัมผัสสื่อเหลานี้ไดจริง ดังนี้
1.สื่อบุคคล สื่อบุคคลมีวิธีการใชหลายชองทาง อาทิ การพูดคุย บอกตอแบบปากตอปาก, แบบผานโทรศัพทมือถือ, หรือผานหอกระจายขาวในชุมชนที่มีอยูทุกชุมชน ผานการจัดกลุม หรือการจัดประชาคม และสุดทายคือผานสื่อ เฉพาะกิจอยางเอกสาร หรือจดหมายขาวดวยวัฒนธรรมการสื่อสารของสมาชิกในชุมชนชนบทมักคุนเคยกับการ สื่อสารดวยปากมากกวาการสื่อสารดวยวิธีการอื่นๆ สื่อบุคคลกับการเดินทางไปหาเยี่ยมเยียนกันโดยมีวัตถุประสงคเพื่อสงขาวสารตอกันเปนวิธีการที่บง บอกถึงวัฒนธรรมอันดีที่กอใหเกิดความรัก ความผูกพัน มีความเปนกันเองของชุมชนชนบทสงผลทําใหเกิด ความรูสึกเปนพวกเดียวกัน นํามาซึ่งการมีสวนรวมในกิจกรรมตางๆ ของชุมชนเปนอยางดี สื่อบุคคลเปนสื่อที่ไดชื่อวาทรงอิทธิพลมีคุณภาพและประสิทธิภาพมากที่สุด “แต” ขอควรระวังที่เกิด จากการเลือกใชสื่อชนิดนี้คือ “คุณภาพของผูสงสาร” ที่อาจจะทําใหการบอกตอขาวสารไมสมบูรณ ขาวสารตก หลน บางครั้งก็มีการเพิ่มขอความเขาไป ทําใหเกิดการเขาใจความหมายของสารผิดไปจากเดิม ดังนั้นการเลือกใชสื่อบุคคลใหถูก จึงมีความสําคัญและจําเปนอยางมากตอการดําเนินงาน สื่อบุคคลจึง ควรเปนผูที่เชื่อถือได เปนผูที่สมาชิกในชุมชนมีความรัก มีความศรัทธา และใหความเคารพ ซึ่งคุณสมบัติเหลานี้ สงผลตอความเชื่อมั่น การยอมรับ ความเขาใจ ทั้งจากบุคคลและหนวยงานภาคีเครือขายทั้งภายในและ ภายนอกชุมชน(นภัทร ภัทรธรเอก : 2557)
2. สื่อประเพณีพื้นบาน สื่อประเพณีพื้นบานเปนสื่อที่มีอยูในทุกชุมชน ทุกภูมิภาคทั่วประเทศไทยเปนสื่อที่เกิดขึ้นมาพรอมกับ มนุษย โดยการสืบทอดมาจากบรรพบุรุษรุนกอนๆ จนมาถึงลูกหลานรุนปจจุบัน เปนสื่อที่มีความใกลชิดผูรับ สารซึ่งเปนสมาชิกในชุมชน อาทิ การละเลนรองรําทําเพลงอยางเพลงฉอย หรือลําตัด หนังตะลุง การทําขวัญนาค การบวชการไปมาลาไหว การยิ้มแยมทักทายโอภาปราศรัย (เกศินี จุฑาวิจิตร : 2542)ในปจจุบันสื่อชนิดนี้นับวา เปนสื่อที่มีประสิทธิภาพ มีความนาเชื่อถือ มีความสําคัญตองานพัฒนาในเชิงสรางสรรคเปนอยางยิ่ง และเมื่อ กลาวถึงสื่อพื้นบานเรามักจะนึกถึงแตในแงมุมของการอนุรักษไวเทานั้น แตกลับไมมีการทบทวนหรือตรวจสอบ วาเราจะอนุรักษหรือนํามาใชประโยชนเพื่อการพัฒนาชุมชนทองถิ่นอยางจริงจังไดอยางไร? ทั้งที่บทบาทของสื่อ พื้นบานกอใหเกิดประโยชนอยางมากมายตองานพัฒนาชุมชน อาทิ(ศรีปาน รัตติกาลชลากร : 2537)
“วารสารพัฒนาชุมชน กรมการพัฒนาชุมชน กระทรวงมหาดไทย”
12
-บทบาทในการเสริมสรางความมั่นคงทางดานจิตใจ และรักษาความสัมพันธทางเครือญาติภายในชุมชน -บทบาทในการสรางความสามัคคีภายในกลุม ทําใหเกิดความภาคภูมิใจในชุมชนและชาติ -บทบาทในการอบรมสั่งสอนดานคุณธรรม จริยธรรม คานิยมความประพฤติใหแกบคุ คล -บทบาทในการสงเสริมใหเกิดการทองเที่ยวเรียนรูว ิถีชีวติ ของแตละชุมชน อันนํามาซึ่งการแลกเปลี่ยน ทางวัฒนธรรมและรายไดเขามายังชุมชน
3. สื่อหอกระจายขาว หอกระจายขาวเปนสื่อทางเสียงที่มีประสิทธิภาพมากที่สุดชนิดหนึ่ง มีอยูในชุมชนเกือบทุกแหงทั่ว ประเทศ เปนสื่อที่สมาชิกในชุมชนใชกันเองภายในหมูบาน ซึ่งทั้งผูสงสารและผูรับสารตางก็เปนสมาชิกใน ชุมชนเดียวกันมีอุปสรรคและปญหาในการดําเนินชีวิตใกลเ คียงกัน อยูในสังคมและวั ฒนธรรมเดียวกัน มี ความคุนเคยกัน ซึ่งถือเปนคุณสมบัติที่สําคัญประการหนึ่งของการสื่อสารที่มีประสิทธิภาพ ดังนั้นการสื่อสาร ดวยหอกระจายขาวจึงเปนการสื่อสารกับคนเฉพาะกลุมที่สามารถกําหนด เพศ อายุ อาชีพ ระดับการศึกษา ฯ ได และดวยลักษณะดังที่กลาวมาหอกระจายขาวจึงถือเปนเครื่องมือที่จะใชสื่อสารเพื่อตอบสนองความตองการ ภายในชุมชนในดานการใหขอมูลขาวสารไดมากที่สุดสื่อหนึ่ง (ดวงพร คํานูนวัฒน: 2547) ข อ ดี ข องสื่ อ หอกระจายข าวคือ สะดวกเพราะเป น สื่ อชุ ม ชนที่ มีป ระจํ า อยูทุ ก หมู บ า น เสี ย เวลาและ คาใชจายนอย สามารถรับทราบขอมูลขาวสารไดอยางสม่ําเสมอเปนประจําตามวันเวลาที่ไดกําหนดไว ขอเสีย คือไดยินไมชัดทุกบาน บานหลังไหนอยูใกลก็ไดยินชัดเจน บานหลังไหนอยูไกลจากจุดที่ติดตั้งลําโพงออกไปก็ ไดยินไมชัด รวมทั้งคุณภาพของหอกระจายขาวที่ติดตั้งไมดีพอทําใหบางครั้งขอมูลขาวสารที่ออกมาทางหอ กระจายขาวเกิดความไมชัดเจน (นภัทรภัทรธรเอก : 2557)
4. สื่อเฉพาะกิจ การแจงขาวสารผานสื่อเฉพาะกิจ ประเภทสื่อสิ่งพิมพ เชน เอกสารแจง หรือจดหมายขาว เปนวิธีการ หลักวิธีหนึ่งที่ถูกนํามาใชเพื่อสื่อสารกับกลุมเปาหมาย และมีคาใชจายถูกไมจําเปนตองใชงบประมาณมาก กระบวนการผลิตและวิธีใชก็ไมยุงยากซับซอน ที่สําคัญเมื่อสื่อสิ่งพิมพถูกกระจายสงไปยังกลุมเปาหมายแลวจะ ยังคงอยูกับผูรับสื่อทําใหหยิบมาอานไดโดยไมมีขอจํากัดเรื่องของเวลาและสถานที่ เนื้อหาควรมีความกระชับ ชัดเจน และไมยาวนัก มีการจัดวางรูปแบบใหนาสนใจ เชนการใชสี หรือขนาดตัวอักษร ที่สําคัญที่สุดมีการ แจกจายใหทั่วถึงและตรงกับกลุมเปาหมาย ในการนําสื่อสิ่งพิมพมาใชก็ควรไดพิจารณาถึงปจจัยอื่นประกอบดวยเหตุวาทักษะในการอาน-เขียนของ สมาชิกในชุมชนนั้นมักมีขอจํากัด แตทั้งนี้จากผลการวิจัยของฝายเผยแพรและสื่อสาร และฝายโภชนาการ
“วารสารพัฒนาชุมชน กรมการพัฒนาชุมชน กระทรวงมหาดไทย”
13
สถาบันวิจัยโภชนาการ มหาวิทยาลัยมหิดล กลับพบวา การสงเอกสารประเภทจดหมายขาวนั้นไดผลดีเกินคาด เพราะถึงแมผูรับจะอานหนังสือไมคลองนัก แตก็สามารถนําไปใหผูที่ใกลชิดอยางคนในครอบครัว เชน ลูก หลานหรือเพื่อนบานชวยอานใหฟงได และนอกจากนี้ บางทานที่อานหนังสือไมคลองทําใหเกิดการฝกอานไป ในตัว เปนการฝกทักษะทางดานการอานพรอมกับไดรับความรูไปดวย เอกสารแจง หรือจดหมายขาวนี้เจาหนาที่อาจเปนผูนําสงดวยตนเอง หรือดูเบื้องตนวาอยูใกลบานใครก็ ฝากตอกันไป ในอดีตอาจมีการฝากที่ทําการไปรษณียนําไปสงตามหมูบาน แตเอกสารแจงขาวสารไมถึงผูรับที่ เปนสมาชิก และถึงลาชาไปมากในบางครั้งเกิดการตกหลน เกิดฝนตกหลนระหวางทางที่ไปรษณียนําไปสงทํา ใหเอกสารที่เปนจดหมายขาว หรือเอกสารแจงขาวสารเกิดความเสียหาย (นภัทรภัทรธรเอก : 2557) เปนยังงัยบางคะกับคอลัมนเสนหชุมชนฉบับนี้ บางทานเขาใจ บางทานอาจยัง งงๆ อยูบาง หวังเปน อยางยิ่งวาคอลัมนเสนหชุมชนฉบับนี้จะจุดประกายในการคนหาถึงวิธีการในการใชเครื่องมือสําคัญเพื่อการ พัฒนาชุมคือ “การสื่อสาร” เพิ่มเติม ซึ่งจะเกิดประโยชนตอคุณผูอานทุกทานที่โดยมากเปนนักพัฒนาชุมชนไม มากก็นอยอีกทั้งการสื่อสารคือหนึ่งในสี่เสาแหงกระบวนการพัฒนาชุมชน ดังคํากลาวของ ดร.นิรันดร จงวุฒิ เวศย อดีตอธิบดีกรมการพัฒนาชุมชน(กรมการพัฒนาชุมชน : 2550) ที่กลาววา พัฒนากรจําเปนตองสรางเสา ขึ้นมาเพื่อค้ําจุนกระบวนการพัฒนาใหคงอยู เริ่มตั้งแตการสรางความสัมพันธที่ดี และการรวมกันกําหนดปญหา ความตองการของสมาชิกในชุมชน, การติดตอสื่อสารเพื่อทําความเขาใจกัน มีการแลกเปลี่ยนเรียนรูซึ่งกันและ กันภายใตบรรยากาศที่ดีแหงการมีสวนรวมของสมาชิกในชุมชนเพื่อกําหนดทิศทางชีวิตของตนเอง แลวพบกันตอฉบับหนาคะ... ขอขอบคุณแหล่งที่มา ... ☺กรมการพัฒนาชุมชน กระทรวงมหาดไทย. (2550). กถาพัฒนากร. กรุงเทพฯ : บริษัทิรําไทยเพรส จํากัด. ☺กาญจนา แก้วเทพ. (2552). สื่อเล็กๆ ที่น่าใช้ในงานพัฒนา. โครงการเมธีวิจัยอาวุโสฝ่ายวิชาการ. สํ านักงานกองทุนสนับสนุนงานวิจัย. กรุงเทพฯ : ภาพพิมพ์. ☺เกศิ นี จุฑาวิจิตร. (2542). การสื่อสารเพื่อการพัฒนาท้องถิ่น. พิมพ์ครั้งที่ 2. นครปฐม. สถาบันราชภัฏนครปฐม. ☺คมสัน หุตะแพทย์. (2535). การสื่อสารเพื่องานพัมนาชุมชน. สถาบันวิจัยโภชนาการ มหาวิทยาลัยมหิดล. นครปฐม : สยามศิลป์การพิมพ์. ☺จุ ฬาลงกรณ์,มหาวิทยาลัย คณะนิเทศศาสตร์. วิวัฒนาการสื่อมวลชนไทย. กรุงเทพฯ : พุทธบูชาการพิมพ์, 2556. ☺ดวงพร คํานูณวัฒน์, วาสนา จันทร์สว่าง และมณฑา โมฬี. (2547). การดําเนินงานหอกระจายข่าวสารที่สนองตอบ ความต้ องการของชุมชนอย่างยั่งยืน. กรุงเทพฯ: สํานักงานกองทุนสนับสนุนการวิจัย. ☺นภัทรภัทร์ธรเอก. “การสื่อสารเพื่อการขับเคลื่อนสถาบันการเงินชุมชนตําบลหนองโสน” วิทยานิพนธ์ ศิ ลปศาสตรมหาบัณฑิต สาขาวิชาวัฒนธรรมเพื่อการพัฒนา บัณฑิตวิทยาลัย มหาวิทยาลัยมหิดล, 2557. ☺ศรี ปาน รัตติกาลชลากร. บทบาทของสื่อพื้นบ้านในวัฒนธรรมมอญในอําเภอพระประแดง. วิทยานิพนธ์ ปริญญามหาบัณฑิต จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย, 2537.
“วารสารพัฒนาชุมชน กรมการพัฒนาชุมชน กระทรวงมหาดไทย”
14
“ยอดดอยเสียดฟ้า...มาตามฝัน” (ตอนที่ ๑) เด็กดอย มส 76
“พี่โยธิน พรอมหรือยัง?” ...ฉันแกลงตะโกนดังๆ ใหแกไดยิน ทั้งๆ
ที่นัดหมายกันไวอยางดีแลว
ตั้งแตเมื่อวาน “เขามาบานกอนครับหัวหนา”..แกตะโกนตอบมาเชนเดียวกัน
ฉันเดาวาแกคงอยูบนบานเตรียม
สัมภาระสําหรับเดินทางแนๆ แตเปลาเลย แกหิ้วถังเดินมาจากหลังบาน ดวยชุดกางเกงขาสั้นเกาๆ รองเทาแตะ กับเสื้อยืดที่เคยเห็นเปนปกติของแก “ไปทําอะไรมานะพีโ่ ย”...ฉันถาม “ไปใหขาวหมูมานะครับ เออ หวหนามาดูนี่”...แกบอกดวยน้ําเสียงตื่นเตน พรอมกับวางถังไวแถวนั้น กอนจะเดินนําหนาฉันไปหลังบาน ที่ปลูกเปนเพิงไมแนนหนาขนาดไมกวางมากนักราว ๆ สองเมตรเทานั้นสูง เพียงกมศรีษะนิดหนอย คอกหมูนั่นเอง “มันเพิ่งออกเมื่อหาวันที่แลวครับ เปนตัวเมียสามตัว ตัวผูตัวเดียว”...แกบอกขณะที่ฉนั จองเจาตัวเล็ก สี่ตัวนัน่ “หมูปานีน่ าพี่โย” ...ฉันวา ขณะที่หนั ไปหาแก แกยืนอมยิม้ อยูนาน “ครับ ผมก็แปลกใจ วาทําไมลูกมันถึงออกมาเปนหมูปา ทั้งๆ ที่แมมันเปนหมูดอยธรรมดานี่เอง”..แก อธิบายดวยความดีใจระคนตื่นเตน เจาลูกหมูสี่ตัวนั่น วิ่งหยอกลอกันสนุกสนานกัดหู แทะหางกันเลน สักครูก็ หันไปดูดนมแมที่นอนเอนอยูอยางสบายอารมณ.. “แถวบานเรานี่เคยมีใครเจอหมูปาบางไหมพีโ่ ย”..ฉันถาม “ปะเลอะ”...แกตอบเปนคําเมืองที่แปลวามีมาก “สงสัยจะเจอเนื้อคูในปาละมั้งครับพี่โย ถึงออกมาเปนหมูปาแบบนี้”...ฉันตั้งขอสัณนิษฐาน “นาจะเปนอยางหัวหนาวานะ”..แกเห็นคลอยอยางฉันวา ขอสังเกตุวา เปนหมูปาหรือไมนั้นใหดูที่ขมุ ขน หมูสายพันธุอนื่ ๆ นัน้ แตละขุมขนจะมีเพียงเสนเดียว แตหมูปาแตละขุมขนจะขนมีสามเสน .. “ชิกับไมตรีละครับ”...ฉันถาม “วารสารพัฒนาชุมชน กรมการพัฒนาชุมชน กระทรวงมหาดไทย”
15
“รออยูที่บานครับ เดี๋ยวเราไปรับแลวออกเดินทางกันเลย”...พี่โยธินบอก ... “ครับ”...ฉันรับคํา แกหิ้วเปเกาๆ โยนไวเบาะหลังของเจาคาริเบี้ยนคูชีพของฉันอยางคุนเคย
กอนจะแวะรับไมตรี
กับชิ ที่บาน เมื่อทุกคนพรอมแลว เราสี่คนก็เดินทางผานหุบผา ปากวางออกจากบานหวยฮี้ จุดหมายปลายทาง ของเราคือโครงการหลวงขุนกลาง ดอยอินทนนท จังหวัดเชียงใหม เมื่อหลายเดือนกอน..บนพื้นฟาก ที่เรานั่งจิบน้ําชาคุยกัน หลังจากกินขาวเย็นเรียบรอยแลว พอหลวง มาบือ กวางทู ผูใหญบาน พรอม พี่โยธิน ไพรประเสริฐยิ่ง ส.อบต. และชาวบานอีกราวยี่สิบคนตางนั่งลอมวงจุด ตะเกียงคุยกัน ดวยเรื่องปากทองเปนหลัก หลังจากที่เราเลิกประชุมเตรียมพัฒนาเปนหมูบานเศรษฐกิจพอเพียง ตนแบบ ระดับพออยู พอกินของอําเภอ ที่เราบูรณาการรวมกับสํานักงานเกษตรจังหวัด เปนหมูบานเกษตร เศรษฐกิจพอเพียง โดยบูรณาการในสวนของกิจกรรมและครัวเรือนตนแบบ ... “บานเราไมมีไฟฟาใช จะทํายังไงดีครับหัวหนา”..พอหลวงมาบือเปรยขึ้นมาทามกลางเสียงจอกแจก ของวงสนทนา “เราใชตะเกียงกับโซลารเซลนี่ไมดีหรือครับ”...ฉันถาม ทั้งๆ ที่รูดีอยูแกใจ หลังจากที่ไปเปนวิทยากร ใหกับ UN JOINT หนวยงานของสหประชาติในพื้นที่ ที่ทํางานพัฒนาดานพลังงานทดแทนมาหลายครั้ง “ผมวาเรานาจะมีทางออกนะครับ” แตถาจะใหดี เพื่อใหพี่นองมัน่ ใจวามันทําไดจริง ผมจะพาไปเทีย่ ว ดอยอินทนนทสักวันสองวัน..ฉันเสนอ “ไปทําไมครับหัวหนา”..ไมตรีถามขึ้น “ไมตรีไปกับพี่ไหม จะไดเห็นกับตา”....ฉันถาม “ไปครับ”...ไมตรีรับคําอยางงายๆ ทั้งๆ ที่ยังไมรูรายละเอียดเลยสักนิด แตดวยความคุนเคย ความเชื่อ ใจที่ทํางานดวยกันในหมูบาน ตั้งแตแกปญหาธนาคารขาว ชวยกันวางระบบการทองเที่ยวเชิงนิเวศนในหมูบาน จนกระทั่งเราเชื่อมือกันเปนอยางดี ฉันอธิบายรายละเอียดกิจกรรมโครงการหลวงดอยอินทนนทและจุดหมายที่ เราจะไปดู นัดหมายวันเวลา กับคนที่จะไปแลวก็เปนอันวา ไดงานแลว...น้ําชาแกวสุดทายขางกองไฟหมดลง แลว เราตางแยกยายกันไปนอน ฉันเดินตามพอหลวงกลับไปที่บานแก ซึ่งฉันมานอนพักหลายครั้งจนกลายเปน พี่นอง ลูกหลานของคนที่นี่ไปเสียนานแลว...
โปรดติดตามตอนตอไป...ฉบับหนา>>>ครับ
“วารสารพัฒนาชุมชน กรมการพัฒนาชุมชน กระทรวงมหาดไทย”
16
239. You will never walk alone, if you work with group.
คุณจะไมมีวันโดดเดี่ยวถาหากทํางานเปนกลุม การทํางานเป็นกลุ่มเป็นการทํางานแบบมีส่วนร่วมของสมาชิกทุกคนในกลุ่มที่เริม่ ตั้งแต่การคิด ตัดสินใจ วางแผน จนกระทั่งลงมือดําเนินการ ติดตามประเมินผล และรับผลประโยชน์รว่ มกัน คุณจะไม่มีวันโดดเดี่ยวถ้าหากทํางานเป็นกลุ่ม เพราะทุกคนจะเอื้อเฟื้อเผื่อแผ่ ช่วยเหลือเกื้อกูลกัน มีการ แบ่งปัน แลกเปลี่ยนเรียนรู้ เห็นอกเห็นใจ และช่วยกันแก้ไขปัญหาอุปสรรคขวากหนามทั้งหลายให้หมดสิ้นไป ถ้าหากมีการทํางานเป็นกลุ่มอย่างแท้จริง สมาชิกจะมีความผูกพันมากขึ้นเรื่อย ๆ เมื่อสมาชิกมีความผูกพันกันมากขึ้น คุณจะไม่มีวันโดดเดี่ยวเดียวดายอย่างแน่นอน 240. Don’t stop learning if you want to change your life.
อยาหยุดเรียนรูถาตองการเปลี่ยนแปลงชีวิต โดยปกติคนทุกคนต้องเรียนรู้อยู่เสมอ แต่ยังมีคนจํานวนไม่น้อยไม่ชอบเรียนรู้และไม่ยอมเรียนรู้ อะไรเลย ปล่อยเวลาให้ผ่านไปอย่างไร้คา่ โดยไม่คดิ ที่จะเรียนรู้อะไรใหม่ ๆ เลย อย่าหยุดเรียนรู้ถ้าต้องการเปลี่ยนแปลงชีวิต เพราะการเรียนรู้ทําให้ชีวิตเปลี่ยนแปลงไปสู่สิ่งที่ ดีกว่า ในโลกนี้มีคนจํานวนไม่น้อยชอบคิดและทําอะไรแบบเดิม ๆ โดยไม่เปลี่ยนแปลง คนที่มีเป้าหมาย ในชีวิตอย่างชัดเจน จะประสบผลสําเร็จในชีวิตมากกว่าคนที่อยู่ไปวัน ๆ โดยไม่มีเป้าหมายอะไรเลยใน ชีวิต การเรียนรู้อยูเ่ สมอ นอกจากจะทําให้ตวั เราดีขึ้นแล้ว ยังส่งผลต่อส่วนรวม ทําให้คนที่อยู่รอบตัว เรา ครอบครัวของเรา ทีมงานของเรา องค์กรของเรา ชุมชนของเรา และสังคมของเราดีขึ้นอีกด้วย ................................................................................................................ ขอขอบคุณ Mr.Kim Robertson และ Mrs.Mary Robertson,Missionaries ชาวนิวซีแลนด์ ประจําจังหวัดสุพรรณบุรี ทีใ่ ห้ข้อคิดและคําแนะนําที่เป็นประโยชน์ในการเขียนบทความครั้งนี้เป็นอย่างดียิ่ง (อ่านต่อฉบับหน้า)
“วารสารพัฒนาชุมชน กรมการพัฒนาชุมชน กระทรวงมหาดไทย”
17
“อาชีพเสริม” “ประกัน” ความหมายตามพจนานุกรม ฉบับราชบัณฑิตยสถาน พ.ศ.25452 เป็นคํ ากิริยา หมายถึง “รับรองว่าจะรับผิดในความเสียหายที่เกิดขึ้น,รับรองว่าจะมีหรือไม่มีเหตุการณ์นั้นๆ” ถ้าเป็นคํานาม หมายถึง “หลักทรัพย์ที่ให้ไว้เป็นเครื่องรับรอง” เมื่อนํามารวมกับคําอื่นๆ ก็ยังมีความหมายในลักษณะเดิมแต่ใช้แตกต่างกัน ไป เช่น “สินค้าชิ้นนี้รับประกัน 3 เดือน” หมายความถึง ใช้สินค้านี้แล้วถ้าหากเสียหายหรือเกิดเกเร ภายใน ระยะเวลา 3 เดือน จะเปลี่ยนตัวสินค้าให้ใหม่ หรือ ซ่อมให้ฟรีไม่เสียตังส์ เกิน 3 เดือนไม่รับประกัน แต่หากนําไป รวมกับคําว่า “ค้ํา” ก็จะกลายเป็นคําว่า “ค้ําประกัน” หมายถึงชื่อสัญญาซึ่งบุคคลภายนอกคนหนึ่ง เรียกว่า ผู้ค้ํา ประกัน ผูกพันตนต่อเจ้าหนี้คนหนึ่ง เพื่อชําระหนี้ในเมื่อลูกหนี้ไม่ชําระหนี้นั้น ซึ่งหากถึงเวลานั้นก็คงต้องเรียกเป็น คําว่า “ค้ําคอ” ที่หมายถึง ทําให้อยู่ในฐานะจําใจต้องทํา... สําหรับกรณีหลังข้าราชการที่เป็นสมาชิกสหกรณ์.....ของ หน่วยงาน...คงรู้ดี เพราะเกือบร้อยเปอร์เซ็น ตกอยู่ในฐานะ ผู้ค้ําประกัน สําหรับครั้งนี้จะกล่าวถึงคําว่า “นายประกัน” แปลกแต่จริงไม่เคยเห็นคําว่า “นางประกัน” หรือ “นางหน้า” มีแต่ “นายหน้า” รวมถึงมีแต่คําเรียกหมอผู้ชายว่า “นายแพทย์” แต่ถ้าเป็นผู้หญิงกลับไม่ใช้คําว่า “นางแพทย์” ไปใช้คําว่า “แพทย์หญิง” แทน พยาบาลยังใช้คําว่า “นางพยาบาล” ได้ ยิ่งคิดยิ่งแปลก ผู้ที่ตกเป็ นผู้ต้องหาในคดี อาญาที่ ทุกคนทราบดี แ ละกลั วก็คือมี โทษจําคุก ที่ ทุกคนกลัวกั นจนเรียกว่า “ปอด”(ปอด เป็นคํานาม หมายถึง อวัยวะทําหน้าที่เกี่ยวกับการหายใจอยู่ภายในร่างกายของคนหรือสัตว์ที่มี กระดูกสันหลังเป็นส่วนมาก แต่ถ้าเป็นคําวิเศษณ์หรือคุณศัพท์ หมายถึง กลัวจนไม่กล้าทําอะไร ที่เรียกว่า “ปอด แ..ก” แต่ถ้ารวมกับ คําว่า “กระเส่า”ที่แปลว่า “สั่นเครือและเบา”กลายเป็น “ปอดกระเส่า คงหมายถึง “กลัวจนปอดสั่นเบาๆ” คิดว่า หลายท่านอ่านแล้วคงเข้าใจคําๆนี้ คือกลัวจนปอดกระเส่า) ถ้าเป็นคดีเล็กน้อย ข้อหาไม่ร้ายแรง ก็มีสิทธิไม่ต้องติด คุก คือมีโอกาสให้มีการประกันตัวในระหว่างที่พนักงานสอบสวนทําคดีเพื่อส่งฟ้อง ได้นอนที่บ้านมีมุ้งลวดกันยุง ไม่ใ ช่มุ้งสายบัวเหล็ก อาจทําได้ โดยใช้หลักทรัพย์ วางเป็นประกัน หรือมีบุคคลมาค้ําประกัน ที่เรียกว่ า “นาย ประกัน” มีคดีตัวอย่างที่หลวมตัวเป็นนายประกันแล้วเดือดร้อนเหมือน ผู้ค้ําประกัน นั่นแหละ คําพิพากษาฎีกา ที่ 3618/2551 นางสาวเชอร์รี่ (นามสมมุติ) ประกันตัวนายหลบหลีก(นามสมมุติ เหมือนกัน) ในคดีอาญาที่ยอมความได้ ออกจากห้องขัง โดยถือโฉนดที่ดินไปค้ําประกัน โดยเจ้าพนักงาน ตีค่าประกันตัวตามข้อหามีมูลค่าเกือบ 300,000 บาท และนัดให้นางสาวเชอร์รี่ นําตัวนายหลบหลีก มาส่ง สน. เพื่อดําเนินการตามขั้นตอนต่อไป เมื่อถึงวันนัด นางสาวเชอร์รี่ มาลําพังเพียงผู้เดียว นายหลบหลีก ทําสมชื่อคือหลบหลีกหายไป โดยนางสาวเชอร์รี่อ้างว่า ขอผลัด การส่งตัวไปคราวหน้า เจ้าพนักงานจึงนัดใหม่ ถึงวันนัดหนที่สองก็เหมือนเดิมอีก นายหลบหลีกหายศรีษะไปเลย เจ้าพนักงานจึงหันมา สั่งบ่อย เชคบิลล์ นางสาวเชอร์รี่ โดยทําสํานวนเป็นคดีใหม่อีกคดีให้นางสาวเชอร์รี่ตกเป็น “วารสารพัฒนาชุมชน กรมการพัฒนาชุมชน กระทรวงมหาดไทย”
18
จําเลย และส่งให้อัยการฟ้องเป็นคดีแพ่ง เรียกให้จ่ายเงินตามสัญญาประกัน (ประกันตัวผู้ต้องหา) อยู่ดีๆ จากนาย ประกันกลายเป็นจําเลย นางสาวเชอร์รี่จึงจ้างทนายสู้คดี เพราะคิดว่ายังไงๆ ชนะแน่ เนื่องจากคดีของนายหลบ หลีก จบแค่ สน.แล้วเพราะคู่กรณีถอนคําร้องทุกข์ ถึงพนักงานสอบสวนไม่ได้ตัวนายหลบหลีกก็ไม่เห็นเป็นอะไร ขอให้ยกฟ้อง ศาลชั้นต้นเห็นด้วย ยกฟ้อง โจทก์อุทธรณ์ ศาลอุทธรณ์ พิพากษากลับ โดยถือว่า แม้นายหลบหลีกจะพ้นคดีเพราะคู่กรณีถอนคําร้อง ทุกข์ แต่จําเลยคือนางสาวเชอร์รี่ก็ผิดสัญญาประกัน ให้จ่ายเงินตามสัญญาประกันแต่ให้จ่ายเหมือนที่ดาราโฆษณา รถกระบะยี่ห้อหนึ่งว่ากินน้ํามัน “จิ๊บๆ” เพียง สองหมื่นกว่าบาท พร้อมดอกเบี้ยนับแต่วันฟ้อง โจทก์เห็นว่า ยังไม่พอเดี๋ยวไม่มีผลงาน จึงฎีกาจะเอาค่าปรับเต็มจํานวนตามสัญญาประกันพร้อมดอกเบี้ย นับแต่วันฟ้อง ศาลฎีกา พิจารณาเห็นว่า นับแต่วันที่นางสาวเชอร์รี่ทําสัญญาประกันตัวผู้ต้องคดี จนกระทําตนเองถูกฟ้อง ในคดีแพ่ง ไม่เคยนําตัวตัวนายหลบหลีกมาส่ง สน.เลย แม้ภายหลังคู่กรณีถอนคําร้องทุกข์ทําให้นายหลบหลีกพ้นคดี ก็มีผลแค่นายหลบหลีกไม่โดนคดีเท่านั้น การที่นางสาวเชอร์รี่ ผิดสัญญาประกัน ทําให้การดําเนินคดีของโจทก์ต่อ ผู้ต้องหาหยุดชะงักลง ไม่อาจดําเนินการได้ในช่วงระยะเวลาดังกล่าว นางสาวเชอร์รี่จึงต้องจ่ายตามสัญญาประกัน แต่ศาลอุทธรณ์สั่งปรับน้อยไปหน่อย ศาลฎีกาแก้ไขให้ปรับเป็น ครึ่งหนึ่งของสัญญา คือ 150,000 บาท ส่วน ดอกเบี้ยคิดตั้งแต่เมื่อไรนั้น ในสัญญาไม่ได้มีการระบุว่าเมื่อมีการผิดสัญญาประกันเมื่อไรก็ผิดนัดทันที การจะถือว่า ผิดนัดจึงต้องมีการทวงถามให้ชําระหนี้ภายในกี่วัน เมื่อไม่ชําระภายในกําหนดที่ทวงถามจึงถือว่าผิดนัด จึงเรียก ดอกเบี้ยได้ ไม่ใช่กรณีไม่ส่งตัวผู้ต้องหาแล้วถือว่าผิดนัดทันทีและฟ้องโดยไม่ทวงถามให้ชําระหนี้ก่อน การที่ศาล อุทธรณ์คิดดอกเบี้ยนับแต่วันฟ้อง จึงชอบแล้ว เห็นได้ว่าการประกันตัวผู้ต้องหา หรือเป็นผู้ค้ําประกัน เป็นการหาเหาใส่หัวหาทุกข์ใส่ตัว เว้นแต่คุณจะรวย จนไม่รู้จะเอาเงินไปทําอะไรดีจึงชอบช่วยเหลือผู้อื่น หรือมีอาชีพเป็นนายประกันโดยตรง (แบบนี้มีคนรู้จักหลายคน มีอาชีพด้านนี้เป็นอาชีพเสริม ยังไม่มีใครรวยจริงๆสักคน) แต่เขามีวิธีป้องกันโดยเอาญาติของผู้ต้องหามาค้ําประกัน หรือเอาทรัพย์เช่น โฉนดที่ดินหรือบ้านมาค้ําประกันเพื่อป้องกันการหลบหนี หนีอยู่ในประเทศยังพอหาตัวเจอ หลบหนีไปอยู่ต่างประเทศยิ่งเป็นประเทศเพื่อบ้านติดกัน ถึงรู้ที่อยู่แต่ตามจับตัวไม่ได้ เจ็บทั้งตัวเจ็บทั้งใจ ใครคิดจะ เป็นนายประกัน หรือค้ําประกันใคร ก็คิดให้ดีๆก่อน ชดใช้ไปก่อนแล้วมาไล่เบี้ยที่หลัง บอกได้คําเดียวว่า เหนื่อย.... ชิ.... พบกันใหม่ฉบับหน้า สวัสดี...
“วารสารพัฒนาชุมชน กรมการพัฒนาชุมชน กระทรวงมหาดไทย”
19
การใช “รักษาราชการแทน” กับ “รักษาการในตําแหนง” สวัสดีครับทานผูอานที่เคารพรักทุกทาน มีผูสงสัยเกี่ยวกับการใชคําวา “รักษาราชการแทน” กับ “รักษาการในตําแหนง” มีค วามแตกตา งกันอยางไร จะใช กับใครไดบาง โดยเฉพาะเจาหนาที่ ที่ รับผิดชอบในการจัดทําคําสั่งแตงตั้งโยกยายตางๆ ผูเขียนจึงขออธิบายขยายความจากที่ไดศึกษาหาความรู ในเรื่องนี้มาตอบขอสงสัยดังกลาว ดังตอไปนี้ การ “รักษาราชการแทน” ใชใ นกรณี ที่ตํ าแหนงในราชการวา งลงหรือผูดํารงตํ าแหน งไม สามารถปฏิบัติหนาที่ราชการได จึงตองมีการแตงตั้งผูรักษาราชการแทนเพื่อปฏิบัติราชการตามอํานาจหนาที่ ของตําแหนงนั้ นๆ เพื่อที่จะทําใหการบริหารและปฏิบัติราชการมีความตอเนื่อง ไมเกิดผลเสียหายตองาน ราชการ โดยมีบทบัญญัติไวในมาตรา 41, 42, 43, 44, 45, 46, 47, 48, 49, 50, 56 และ 64 แหง พระราชบัญญัติระเบียบบริหารราชการแผนดิน พ.ศ. 2534 ที่บัญญัติเรื่องการแตงตั้งผูรักษาราชการแทนใน ตําแหนงตางๆ ซึ่งสวนใหญเปนตําแหนงระดับหัวหนาสวนราชการ (พูดแบบไมเปนทางการก็คือ ระดับหัวๆ) ได แ ก นายกรั ฐ มนตรี (มาตรา 41) รั ฐ มนตรี (มาตรา 42) เลขานุ ก ารรั ฐ มนตรี (มาตรา 43) ปลัดกระทรวงและรองปลัดกระทรวง (มาตรา 44) ปลัดทบวงและรองปลัดทบวง (มาตรา 45) อธิบดีและ รองอธิบดี (มาตรา 46) เลขานุการกรมและหัวหนาสวนราชการตามมาตรา 33 วรรคสอง ก็คือหัวหนา สวนราชการระดับตางๆ ของกรม ตามกฎกระทรวงแบงสวนราชการกรมนั่นเอง (มาตรา 47) ผูวาราชการ จังหวัด (มาตรา 56) และนายอําเภอ (มาตรา 64) สวนมาตรา 48 นั้น เปนการบัญญัติอํานาจหนาที่ของผูรักษาราชการแทน โดยใหผูรักษา ราชการแทนตามความในพระราชบัญญัตินี้มีอํานาจหนาที่เชนเดียวกับผูซึ่งตนแทน ทั้งนี้ในกรณีที่มีกฎหมาย อื่นแตงตั้งใหผูดํารงตําแหนงใดเปนกรรมการหรือใหมีอํานาจหนาที่อยางใด ก็ใหผูรักษาราชการแทนหรือผู ปฏิบัติราชการแทนมีอํานาจหนาที่เปนกรรมการหรือมีอํานาจหนาที่เชนเดียวกับผูดํารงตําแหนงนั้นในการ รักษาราชการแทนหรือปฏิบัติราชการแทนดวย แลวแตกรณี และในกรณีที่ผูดํารงตําแหนงใดหรือผูรักษา ราชการแทนผูดํารงตําแหนงนั้นมอบหมายหรือมอบอํานาจใหผูดํารงตําแหนงอื่นปฏิบัติราชการแทน ใหผู ปฏิบัติราชการแทนมีอํานาจหนาที่เชนเดียวกับผูซึ่งมอบหมายหรือมอบอํานาจ ก็หมายความวาหากผู ดํารงตําแหนงมีอํานาจหนาที่เชนใด ก็ใหผูรักษาราชการแทนมีอํานาจและหนาที่เชนนั้นเทากันทุก ประการ เสมือนเปนผูดํารงตําแหนงนั้นๆ เอง “วารสารพัฒนาชุมชน กรมการพัฒนาชุมชน กระทรวงมหาดไทย”
20
(ส ว นมาตรา 49 บั ญ ญั ติ ไ ว ว า การเป น ผู รั ก ษาราชการแทนตามพระราชบั ญ ญั ติ นี้ ไ ม กระทบกระเทือนอํานาจนายกรัฐมนตรี รัฐมนตรีเจาสังกัด ปลัดกระทรวง หรือผูดํารงตําแหนงเทียบเทา ปลัดกระทรวง ปลัดทบวง อธิบดีหรือผูดํารงตําแหนงเทียบเทาอธิบดี ซึ่งเปนผูบังคับบัญชาที่จะแตงตัง้ ขาราชการ อื่นเปนผูรักษาราชการแทนตามอํานาจหนาที่ที่มีอยูตามกฎหมาย โดยกรณีที่มีการแตงตั้งขาราชการอื่น เปนผูรักษาราชการแทน ใหผูดํารงตําแหนงรองหรือผูชวยพนจากความเปนผูรักษาราชการแทนนับแตเวลา ที่ผูไดรับแตงตั้งตามวรรคหนึ่งเขารับหนาที่ นอกจากนี้ในมาตรา 50 บัญญัติวาความในหมวดนี้ (การรักษา ราชการแทน) มิใหใชบังคับแกราชการในกระทรวงที่เกี่ยวกับทหาร) สําหรับการ “รักษาการในตําแหนง” นั้น มีบัญญัติไวในมาตรา 68 แหงพระราชบัญญัติ ระเบียบขาราชการพลเรือน พ.ศ. 2551 ซึ่งบัญญัติไววา ในกรณีที่ตําแหนงขาราชการพลเรือนสามัญ วางลง หรือ ผูดํารงตําแหนงไมสามารถปฏิบัติหนาที่ราชการได และเปนกรณีที่มิไดบัญญัติไวใน กฎหมายวาดวยระเบียบบริหารราชการแผนดิน ใหผูบังคับบัญชาซึ่งมีอํานาจสั่งบรรจุตามมาตรา 57 มี อํานาจสั่งใหขาราชการพลเรือนที่เห็นสมควรรักษาการในตําแหนงนั้นได โดยใหผูรักษาการในตําแหนงมี อํานาจหนาที่ตามตําแหนงที่รักษาการนั้น และในกรณีที่มีกฎหมายอื่น กฎ ระเบียบ ขอบังคับ มติของ คณะรัฐมนตรี มติคณะกรรมการตามกฎหมายหรือคําสั่งผูบังคับบัญชา แตงตั้งใหผูดํารงตําแหนงนั้น ๆ เปน กรรมการ หรือใหมีอํานาจหนาที่อยางใด ก็ใหผูรักษาการในตําแหนงทําหนาที่กรรมการ หรือมีอํานาจหนาที่ อยางนั้นในระหวางที่รักษาการในตําแหนงแลวแตกรณี ก็หมายถึงวา หากผูดํารงตําแหนงมีอํานาจหนาที่ เชนใด ก็ใหผูรักษาการในตําแหนงมีอํานาจและหนาที่เชนนั้นเทากันทุกประการ เสมือนเปนผูดํารง ตําแหนงนั้นๆ เอง เชนเดียวกับกรณีการรักษาราชการแทน ดั ง นั้ น กล า วโดยสรุ ป ข อ สั ง เกตที่ สํ า คั ญ ของการใช คํ า ว า “รั ก ษาราชการแทน” กั บ “รักษาการในตําแหนง” ก็คือในกรณีที่ไมมีผูดํารงตําแหนงหรือผูดํารงตําแหนงไมสามารถปฏิบัติหนาที่ ราชการได หากไมใชตําแหนงที่กําหนดใหใชคําวา “รักษาราชการแทน” ตามที่บัญญัติไวในพระราชบัญญัติ ระเบียบบริหารราชการแผนดิน พ.ศ. 2534 มาตรา 41, 42, 43, 44, 45, 46, 47, 56 และ 64 แลว ตําแหนงอื่นๆ นอกเหนือจากนี้ก็ใหใชคําวา “รักษาการในตําแหนง” ตามมาตรา 68 แหงพระราชบัญญัติ ระเบียบขาราชการพลเรือน พ.ศ. 2551 ทั้งสิ้น ที่ผานมาเรื่องที่มักจะเปนที่ถกเถียงกันมากก็คือ กรณีหัวหนาสวนราชการระดับจังหวัดและ อําเภอ (เชน ตําแหนงพัฒนาการจังหวัดและตําแหนงพัฒนาการอําเภอ) วางลง (ไมมีผูดํารงตําแหนง) หรือ ผูดํารงตําแหนงไมอาจปฏิบัติหนาที่ราชการได การแตงตั้งขาราชการใหปฏิบัติหนาที่ราชการแทนใน ตําแหนงดังกลาวจะใชคําวาอะไรระหวาง “รักษาราชการแทน” กับ “รักษาการในตําแหนง” คําตอบใน เรื่องนี้ก็ตองกลับไปพิจารณากอนวาตําแหนงพัฒนาการจังหวัดและพัฒนาการอําเภอเปนไปตามบทบัญญัติ “วารสารพัฒนาชุมชน กรมการพัฒนาชุมชน กระทรวงมหาดไทย”
21
ของกฎหมายใดระหวางพระราชบัญญัติระเบียบบริหารราชการแผนดิน พ.ศ. 2534 กับพระราชบัญญัติ ระเบียบขาราชการพลเรือน พ.ศ. 2551 ตามมาตราตางๆ ที่ไดหยิบยกขึ้นมาอธิบายแลวขางตน เริ่มจากพระราชบัญญัติระเบียบบริหารราชการแผนดิน จะพบวาในมาตรา 47 ไดบัญญัติไววา “ในกรณีที่ไมมีผูดํารงตําแหนงเลขานุการกรมตามมาตรา 33 วรรคหนึ่ง หรือหัวหนาสวนราชการตาม มาตรา 33 วรรคสอง หรือมีแตไมอาจปฏิบัติราชการได ใหอธิบดีแตงตั้งขาราชการในกรมคนหนึ่งซึ่งดํารง ตําแหนงไมต่ํากวาหัวหนากองหรือเทียบเทา เปนผูรักษาราชการแทน” คําถามตอไปก็คือ แลวหัวหนาสวน ราชการตามมาตรา 33 คือใครบาง ในมาตรา 33 บัญญัติไววา “มาตรา 33 สํานักงานเลขานุการกรมมีอํานาจหนาที่เกี่ยวกับราชการทั่วไปของกรม และ ราชการที่มิไดแยกใหเปนหนาที่ของกองหรือสวนราชการใดโดยเฉพาะ มีเลขานุการกรมเปนผูบังคับบัญชา ขาราชการ และรับผิดชอบในการปฏิบัติราชการของสํานักงานเลขานุการกรม สวนราชการตามมาตรา 31 วรรคหนึ่ง (2) และสวนราชการตามมาตรา 31 วรรคสอง ใหมี อํานาจหนาที่ตามที่ไดกําหนดไวใหเปนหนาที่ของสวนราชการนั้น ๆ โดยใหมีผูอํานวยการกอง หัวหนากอง หรือหัวหนาสวนราชการที่เรียกชื่ออยางอื่นที่เทียบเทาผูอํานวยการกอง หรือหัวหนากอง หรือหัวหนาสวน ราชการตามมาตรา 31 วรรคสอง เปนผูบังคับบัญชาขาราชการ และรับผิดชอบในการปฏิบัติราชการ ในมาตรา 33 วรรคสอง ก็ไปอางอิงกับมาตรา 31 อีกดวย ก็ตองตามไปดูวาสวนราชการตาม มาตรา 31 วรรคหนึ่ง (2) และสวนราชการตามมาตรา 31 วรรคสอง มีอะไรบาง มาตรา 31 บัญญัติไวดังนี้ “มาตรา 31 กรมซึ่งสังกัดหรือไมสังกัดสํานักนายกรัฐมนตรี กระทรวง หรือทบวง อาจแบง สวนราชการดังนี้ (1) สํานักงานเลขานุการกรม (2) กองหรือสวนราชการที่มีฐานะเทียบกอง เวนแตบางกรมเห็นวาไมมีความจําเปนจะ ไมแยกสวนราชการตั้งขึ้นเปนกองก็ได กรมใดมีความจําเปน จะแบงสวนราชการโดยใหมีสวนราชการอื่นนอกจาก (1) หรือ (2) ก็ได สําหรับกรมตํารวจและสํานักงานอัยการสูงสุด จะแบงสวนราชการใหเหมาะสมกับราชการของ ตํารวจหรือราชการของอัยการก็ได” “วารสารพัฒนาชุมชน กรมการพัฒนาชุมชน กระทรวงมหาดไทย”
22
จากมาตรา 31 การแบงสวนราชการของกรมในปจจุบันเปนไปตามบทบัญญัติในมาตรา 8 ฉ แหงพระราชบัญญัติระเบียบบริหารราชการแผนดิน พ.ศ. 2534 ซึ่งแกไขเพิ่มเติมโดยพระราชบัญญัติ ระเบียบบริหารราชการแผนดิน (ฉบับที่ 4) พ.ศ. 2543 ที่ไดระบุไววา “การแบงสวนราชการภายใน สํานักงานเลขานุการรัฐมนตรี กรม หรือสวนราชการที่เรียกชื่ออยางอื่นและมีฐานะเปนกรม ใหออกเปน กฎกระทรวงและระบุอํานาจหนาที่ของแตละสวนราชการไวในกฎกระทรวงดวย...” โดยกฎกระทรวงแบง สวนราชการกรมการพัฒนาชุมชน กระทรวงมหาดไทย พ.ศ. 2552 ซึ่งใชบังคับอยูในปจจุบัน ไดแบงสวน ราชการของกรมการพัฒนาชุมชนไว ดังนี้ “ขอ 3 ใหแบงสวนราชการกรมการพัฒนาชุมชน ดังตอไปนี้ ก. ราชการบริหารสวนกลาง
(1) สํานักงานเลขานุการกรม (2) กองการเจาหนาที่ (3) กองคลัง (4) กองแผนงาน (5) ศูนยสารสนเทศเพื่อการพัฒนาชุมชน (6) สถาบันการพัฒนาชุมชน
(7) สํานักพัฒนาทุนและองคกรการเงินชุมชน (8) สํานักสงเสริมภูมิปญญาทองถิ่นและวิสาหกิจชุมชน (9) สํานักเสริมสรางความเขมแข็งชุมชน ข. ราชการบริหารสวนภูมิภาค
(1) สํานักงานพัฒนาชุมชนจังหวัด (2) สํานักงานพัฒนาชุมชนอําเภอ”
นั่นแสดงวา สวนราชการตามขอ 3 ของกฎกระทรวงแบงสวนราชการกรมการพัฒนาชุมชน กระทรวงมหาดไทย พ.ศ. 2552 ซึ่งรวมถึงสํานักงานพัฒนาชุมชนจังหวัดและสํานักงานพัฒนาชุมชนอําเภอ “วารสารพัฒนาชุมชน กรมการพัฒนาชุมชน กระทรวงมหาดไทย”
23
เปนสวนราชการตามความในมาตรา 31 และมาตรา33 วรรคสอง ของพระราชบัญญัติระเบียบบริหาร ราชการแผนดิน ดังนั้นหัวหนาสวนราชการตามมาตรา 33 ของพระราชบัญญัตินี้ในสวนของกรมการพัฒนา ชุ มชนจึ งได แก เลขานุ การกรม ผู อํ า นวยการสํ า นั ก /กอง/ศู น ย ส ารสนเทศฯ/สถาบั น การพั ฒ นาชุ ม ชน พัฒนาการจังหวัด และพัฒนาการอําเภอ ดั ง นั้ น กรณี ที่ ตํ า แหน ง หั ว หน า ส ว นราชการระดั บ จั ง หวั ด และอํ า เภอว า งลง (ไม มี ผู ดํ า รง ตํา แหนง) หรื อผูดํ า รงตํ า แหนงไมอ าจปฏิ บัติห นา ที่ร าชการได (เช น ตํ า แหนงพัฒ นาการจัง หวัด และ ตําแหนงพัฒนาการอําเภอ) จึงตองใชคําวา “รักษาราชการแทน” ในการแตงตั้งขาราชการใหปฏิบัติหนาที่ ราชการในตําแหนงดังกลาวในระหวางรอการแตงตั้งผูดํารงตําแหนงตัวจริงเขาสูตําแหนงหรือรอผูดํารง ตําแหนงตัวจริงกลับมาปฏิบัติหนาที่ราชการ ซึ่งเปนไปตามบทบัญญัติในมาตรา 47 แหงพระราชบัญญัติ ระเบียบบริหารราชการแผนดินนั่นเอง และเนื่องจากในมาตรา 47 ไดบัญญัติใหอธิบดีแตงตั้งขาราชการในกรมคนหนึ่งซึ่งดํารงตําแหนงไมต่ํากวา หัวหนากองหรือเทียบเทา เปนผูรักษาราชการแทน อธิบดีกรมการพัฒนาชุมชนจึงตองมอบอํานาจใหผูวา ราชการจังหวัดเปนผูปฏิบัติราชการแทนในการแตงตั้งผูรักษาราชการแทนทั้งตําแหนงพัฒนาการจังหวัด และตําแหนงพัฒนาการอําเภอ (คําสั่งกรมการพัฒนาชุมชน ที่ 516/2552 ลงวันที่ 18 พฤศจิกายน พ.ศ. 2552) ปญหายังมีอีกประการหนึ่งคือมาตรา 47 บัญญัติใหอธิบดีแตงตั้งขาราชการซึ่งดํารงตําแหนง ไมต่ํากวาหัวหนากองหรือเทียบเทา เปนผูรักษาราชการแทน แตในพระราชบัญญัติระเบียบขาราชการ พลเรือน พ.ศ. 2551 มิไดมีการเทียบตําแหนงไววาตําแหนงใดคือตําแหนงหัวหนากองหรือเทียบเทา (ตาง จากพระราชบัญญัติระเบียบขาราชการพลเรือน พ.ศ. 2535 ที่มีบัญญัติไวในมาตรา 42) ดังนั้น สํานักงาน ก.พ.ร. จึงไดมีหนังสือที่ นร 1200/ว 33 ลงวันที่ 2 พฤศจิกายน 2552 แจงเวียนกระทรวง กรม และ จังหวัดใหทราบความเห็นของคณะอนุกรรมการพัฒนาระบบราชการเกี่ยวกับการตีความและวินิจฉัยปญหา กฎหมายในการบริหารราชการแผนดินวา การแตงตั้งผูรักษาราชการแทนตามมาตรา 47 ดังกลาว อธิบดี จะตองแตงตั้งขาราชการในกรมเทานั้น อธิบดีจะแตงตั้งขาราชการจากกรมอื่นหาไดไม และคําวา “ขาราชการในกรมคนหนึ่งซึ่งดํารงตําแหนงไมต่ํากวาหัวหนากองหรือเทียบเทา” นั้น หมายความถึง ขาราชการในกรมทุกประเภทที่ดํารงตําแหนงไมต่ํากวาหัวหนากองหรือเทียบเทา มิไดหมายความเฉพาะ ขาราชการที่ดํารงตําแหนงบริหารไมต่ํากวาหัวหนากองหรือเทียบเทาเทานั้น ประกอบกับปจจุบัน สํานักงาน ก.พ. ไดมีหนังสือ ที่ นร 1001/ว 23 ลงวันที่ 18 กันยายน 2552 เรื่องหลักเกณฑเกี่ยวกับการกําหนด ตําแหนงบังคับบัญชาขาราชการพลเรือน โดยไดกําหนดตําแหนงที่ผูบังคับบัญชาซึ่งมีอํานาจสั่งบรรจุตาม มาตรา 57 กําหนดใหบังคับบัญชาขาราชการพลเรือนในสวนราชการหรือหนวยงานใด ในฐานะใดซึ่ง ก.พ.
“วารสารพัฒนาชุมชน กรมการพัฒนาชุมชน กระทรวงมหาดไทย”
24
ไดกําหนดใหเปนตําแหนงประเภททั่วไป ระดับชํานาญงานขึ้นไป ประเภทวิชาการระดับชํานาญการขึ้นไป หรือประเภทอํานวยการ บังคับบัญชาในฐานะผูอํานวยการกอง หรือหัวหนากอง ดังนั้น คณะอนุกรรมการพัฒนาระบบราชการเกี่ยวกับการตีความและวินิจฉัยปญหา กฎหมายในการบริหารราชการแผนดิน จึงเห็นวา การแตงตั้งผูรักษาราชการแทนตามมาตรา 47 แหงพระราชบัญญัติระเบียบบริหารราชการแผนดิน พ.ศ. 2534 และที่แกไขเพิ่มเติม อธิบดีสามารถ แตงตั้งขาราชการในกรมคนหนึ่งซึ่งดํารงตําแหนงใดตําแหนงหนึ่ง ดังตอไปนี้ เปนผูรักษาราชการ แทนได คือ 1. ตําแหนงประเภทบริหาร ไดแก ระดับตนหรือระดับสูง 2. ตําแหนงประเภทอํานวยการ ไดแก ระดับตนหรือระดับสูง 3. ตําแหนงประเภทวิชาการ ไดแก ระดับชํานาญการ ระดับชํานาญการพิเศษ ระดับ เชี่ยวชาญ หรือระดับทรงคุณวุฒิ หรือ 4. ตําแหนงประเภททั่วไป ไดแก ระดับชํานาญงาน ระดับอาวุโส หรือระดับทักษะพิเศษ อาจมีผูสงสัย อีกว า แลวตําแหนงผูอํานวยการกลุมตรวจสอบภายใน ผูอํานวยการกลุม พัฒนาระบบบริหาร และตําแหนงผูอํานวยการกองที่กรมจัดตั้งขึ้นเปนสวนราชการภายใน เชน ผูอํานวยการกองประชาสัมพันธ เปนตน จะใชคําวาแตงตั้งผูรักษาราชการแทน หรือแตงตั้งผูรักษาการใน ตําแหนง คําตอบคือตําแหนงเหลานี้ไมถือวาเปนสวนราชการตามนัยของมาตรา 31 วรรคหนึ่ง (2) และมาตรา 31 วรรคสอง และมาตรา 33 วรรคสอง แมวาตําแหนงผูอํานวยการกลุมตรวจสอบภายในและ ผูอํานวยการกลุมพัฒนาระบบบริหารจะปรากฏในกฎกระทรวงแบงสวนราชการของกรมตามขอ 4 และขอ 5 ก็ตาม โดยมีเพียงสถานะเปนกลุมงานที่ขึ้นตรงตออธิบดีเทานั้น ไมไดมีสถานะเปนสวนราชการตามขอ 3 ในกฎกระทรวงแบงสวนราชการกรมฯ สวนกองประชาสัมพันธก็มิใชสวนราชการที่ปรากฏในกฎกระทรวง แบ ง ส ว นราชการกรมฯ ดั ง นั้ น จึ ง ต อ งใช คํ า ว า “รั ก ษาการในตํ า แหน ง ” ตามมาตรา 68 แห ง พระราชบัญญัติระเบียบขาราชการพลเรือน พ.ศ. 2551 ผูเขียนขอสรุปเปนตารางใหงายตอการเขาใจและสะดวกในการจดจําเพื่อนําไปใชประโยชนใน การแตงตั้งผูรักษาราชการแทนและแตงตั้งผูรักษาการในตําแหนงตางๆ ของกรมการพัฒนาชุมชน ดังนื้ “วารสารพัฒนาชุมชน กรมการพัฒนาชุมชน กระทรวงมหาดไทย”
25
มาตรา46, 47 พ.ร.บ.ระเบียบบริหารราชการแผนดิน พ.ศ. 2534
(1) ตําแหนงที่ใชคําวา (2) ขาราชการที่จะแตงตั้ง “รักษาราชการแทน”(รกท.) ไป “รักษาราชการแทน” 1. อธิบดีและรองอธิบดี (ม.46) 2. ผอ.สํานักทุกสํานัก 3. ผอ.สถาบันการพัฒนาชุมชน 4. ผอ.ศูนยสารสนเทศฯ 5. เลขานุการกรม 6. ผอ.กองทุกกอง 7. พัฒนาการจังหวัด 8. พัฒนาการอําเภอ
เปนขาราชการที่ดํารงตําแหนง ดังตอไปนี้ 1. ประเภทบริหาร ไดแก ระดับตนหรือสูง (S1/S2) 2. ประเภทอํานวยการ ไดแก ระดับตนหรือสูง (M1/M2) 3. ประเภทวิชาการ ไดแก ระดับชํานาญการ (K2) ขึ้นไป 4. ประเภททั่วไป ไดแก
มาตรา 68 พ.ร.บ.ระเบียบขาราชการพลเรือน พ.ศ. 2551
(3) ตําแหนงที่ใชคําวา “รักษาการในตําแหนง” (รกน.)
(4) ขาราชการที่จะแตงตั้ง ไป “รักษาการในตําแหนง”
ตําแหนงอื่นๆ นอกเหนือจากตําแหนง ตาม (1) ไดแก -ผูตรวจราชการกรม, -ผูเชี่ยวชาญ (ชช.), -ผอ.กองที่ตั้งเปนการภายใน, -ผอ.กลุม /กลุมงาน, -หัวหนากลุมงาน, -ตําแหนงขาราชการอื่นๆ ในสังกัด กรมการพัฒนาชุมชน
ใหผูบังคับบัญชาซึ่งมีอํานาจ สั่งบรรจุตามมาตรา 57 มี อํานาจสั่งใหขาราชการพลเรือน ที่เห็นสมควรรักษาการใน ตําแหนงนั้นได
ระดับชํานาญงาน (O2) ขึ้นไป
-ปลัดกระทรวงเปนคนแตงตั้ง ผูรักษาราชการแทนอธิบดี -อธิบดีเปนคนแตงตั้งผูรักษา ราชการแทน รองอธิบดี/ ผอ.สํานัก/ผอ. สถาบัน/ผอ.ศูนย/ เลขานุการกรม/ ผอ.กอง/ พัฒนาการจังหวัด/ พัฒนาการอําเภอ -อธิบดีมอบอํานาจใหผูวาราชการ จังหวัดปฏิบัติราชการแทนใน การแตงตั้งผูรักษาราชการแทน พัฒนาการจังหวัด/พัฒนาการ อําเภอ
-อธิบดีเปนคนแตงตั้งผูรักษา การในตําแหนงตาม (3) -ผูวาราชการจังหวัดเปนคน แตงตั้งขาราชการของกรมใน สังกัดจังหวัดเปนผูรักษาการ ในตําแหนงที่สังกัดสํานักงาน พัฒนาชุมชนจังหวัดและ สํานักงานพัฒนาชุมชนอําเภอ (ยกเวนตําแหนงพัฒนาการ จังหวัดและพัฒนาการอําเภอ ที่ตองใหอธิบดีมอบอํานาจให ผูวาฯ ปฏิบัติราชการแทน) -ทั้งนี้เปนไปตามมาตรา 57 และ 68 ของ พ.ร.บ.ระเบียบ ขาราชการพลเรือน พ.ศ.2551
“วารสารพัฒนาชุมชน กรมการพัฒนาชุมชน กระทรวงมหาดไทย”
26
หวังวาทั้งหมดที่อธิบายมานี้ คงจะชวยสรางความกระจางและเปนประโยชนสําหรับการทํางาน ในสวนที่เกี่ยวของไดตามสมควรนะครับ สุดทายกอนจากฝากขอคิดคําคมที่สรรหามากํานัลใหกันอีกเชน เคยครับ… “อยารินน้ําใหเต็มถวย ถาเต็มถวยก็เกินความพอดี (ความไมรูจักพอ) ในลาภ ยศ สรรเสริญ” ขอคิดจากเรื่องอิมซังอก ยอดพอคาหัวใจทระนง ที่เคยฉายทางไทยทีวีสีชอง 3 ขอคุณความดีอันบริสุทธิ์และจิตเจตนาอันเปนกุศลที่ทานผูอานทุกทานไดกระทําไวมาโดย ตลอด ไดนําพาความรมเย็นผาสุก ความสําเร็จ และความเจริญงอกงามในชีวิต ใหบังเกิดแดทานผูอานและ ครอบครัว ตลอดจนบุคคลอันเปนที่รักและเคารพทุกทานตลอดไป พบกันใหมฉบับหนา สวัสดีครับ….. ……………………….
“วารสารพัฒนาชุมชน กรมการพัฒนาชุมชน กระทรวงมหาดไทย”
27
เพื่อขวัญและกําลังใจ…พัฒนากร... พัฒนากร คือ ทัพหนา ผูทายทา งาน พช. รวมจิตมิตรเกิดกอ ไมยอทอ แตใดมา เพื่อขวัญกําลังใจ กอเกิดในมวลผูกลา เสนอแนวคิดมา พัฒนา ๔ ระดับเอย...
พัฒนากรยุทธการ คือ พัฒนากรผูมีอายุงานตั้งแตเริม่ บรรจุ(ปฏิบัติการ) จนถึงกอนเขาสูชํานาญการ ตองเรียนรูประสบการณปรับเขากับความรูความสามารถสมัยใหม เหมือนตองผานสนามรบ “ยุทธการ” พัฒนากรชํานาญการ คือ พัฒนากรตั้งแตระดับชํานาญการเรื่อยมา แตอายุราชการยังยาวนานมากกวา ๑๐ ป และยังสอบ พอ.ไมได พัฒนากรอาวุโส คือ พัฒนากรอายุงานเหลือไมถึง ๑๐ ป และสอบ พอ. ไมติด (มีความรู ความสามารถ แต ขาดปจจัยบางอยาง) ทํานองแกมากดวยประสบการณ พัฒนากรพิเศษ คือ พัฒนากรที่สอบเขาสูตําแหนงพัฒนาการอําเภอไดและรอการบรรจุแตงตั้ง ของฝากพัฒนากร ไมใหญคอมผูใหญ พึ่งบุญ ไมใหญชว ยนําหนุน ทานดวย ไมใหญอยาสถุล ทําเปรียบ ไมใหญอยูอยางกลวย ประโยชนลวนสารพัน
“วารสารพัฒนาชุมชน กรมการพัฒนาชุมชน กระทรวงมหาดไทย”
28
การบริหารยุทธศาสตร์ด้วยระบบงบประมาณรายจ่ายประจําปี ดร.สรฤทธ จันสุข การขับเคลื่อนยุทธศาสตร์กรมการพัฒนาชุมชนจะสําเร็จได้คงไม่ได้เป็นเพียงมีบุคลากรที่มี ประสิทธิภาพ และมีเครือข่ายการทํางานที่เข้มแข็ง พร้อมกับหัวใจอันพรั่งพร้อมที่ทํางานให้สําเร็จ การ สื่อสารถ่ายทอดเป้าประสงค์ลงสู่ผู้ปฏิบัติงาน และการสร้างสรรค์โครงการ นวัตกรรมขับเคลื่อนยุทธศาสตร์เท่านั้น แต่หากงบประมาณไม่มีหรือมีไม่เพียงพอที่จะทําให้เป้าประสงค์เชิงยุทธศาสตร์ ตัวชี้วัด และค่าเป้าหมาย การ สําเร็จผลตามเป้าประสงค์เชิงยุทธศาสตร์คงเกิดขึ้นได้ยาก เพราะงบประมาณเป็นปัจจัยสําคัญในการจ่ายเงิน ค่าตอบแทนบุคลากรให้มีปัจจัยในการดํารงชีวิต เป็นค่าใช้สอยสําหรับการปฏิบัติหน้าที่ เป็นค่าใช้จ่ายในการจัด กิจกรรมให้เกิดผลเป็นรูปธรรม เป็นปัจจัยสนับสนุนการพัฒนาชุมชนตามเป้าประสงค์ทั้ง ๕ ยุทธศาสตร์ ฉบับนี้จึง ขอเสนอขั้นตอนการบริหารยุทธศาสตร์ด้วยงบประมาณรายจ่ายประจําปี เพื่อให้บุคลากรของกรมการพัฒนาชุมชน ได้ทราบกระบวนการของบประมาณเพื่อให้ได้เงินสําหรับการบริหารราชการกรมการพัฒนาชุมชน เพื่อวางแผนการ บริหารงบประมาณในภาพรวมให้มีประสิทธิภาพเกิดประโยชน์สูงสุด มีทั้งหมด 5 ขั้นตอน ขั้นตอนที่ 1 หน่วยงานดําเนินงานตามแผนการปฏิบัติงานและการใช้จ่ายงบประมาณประจําปี เมื่ อ หน่ ว ยงานได้ รั บ แจ้ ง แผนการปฏิ บั ติ ง านและการใช้ จ่ า ยงบประมาณแล้ ว ให้ ผู้ เ กี่ ย วข้ อ งศึ ก ษาและจั ด ทํ า แผนปฏิบัติการของหน่วยงานให้สอดคล้องกับแผนการปฏิบัติงานและการใช้จ่ายงบประมาณของกรม ซึ่งหน่วยงาน จะต้องเสนอขออนุมัติโครงการต่ออธิบดีกรมการพัฒนาชุมชนออกเลขที่โครงการเพื่อให้เป็นหลักฐานอ้างอิง และ ดําเนินการให้แล้วเสร็จภายในระยะเวลาที่กําหนด หากเกิดกรณีที่หน่วยหน่วยใดไม่สามารถดําเนินงานได้ตาม แผนการปฏิบัติงานและแผนการใช้จ่ายงบประมาณ ให้จัดทําบันทึกขออนุมัติปรับแผนการปฏิบัติงานและแผนการ ใช้จ่ายงบประมาณ จะต้องเสนอต่ออธิบดีกรมการพัฒนาชุมชน โดยผ่านผู้อํานวยการกองแผนงาน เพื่อวิเคราะห์ รายละเอียดในประเด็นสําคัญและผลกระทบที่เกิดขึ้นในกรณีที่มีการปรับแผน ให้สอดคล้องกับวัตถุประสงค์และ เป้าหมายของโครงการเดิม และเสนอผ่านรองอธิบดีผู้กํากับดูแลหน่วยงานเพื่อให้ความเห็นชอบและรับทราบการ ปรับแผน หลังจากนั้นจึงให้ส่งบันทึกเสนอที่อธิบดีกรมการพัฒนาชุมชนอนุมัติให้ปรับแผนได้ ส่งคืนให้หน่วยงาน เจ้าของเรื่องดําเนินการ พร้อมทั้งสําเนาแจ้งกองคลังเพื่อทราบและดําเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้องต่อไป ขั้นตอนที่ 2 สรุปรายงานผลการดําเนินงาน ต้องดําเนินการใน 2 ลักษณะ คือ สรุปเชิงวิชาการ และ สรุ ปค่ าใช้ จ่ ายในการดําเนิ นโครงการ นําเสนอต่ ออธิ บดี กรมการพัฒนาชุมชนเพื่อโปรดทราบ หรือสั่งการต่อ หน่วยงานที่เกี่ยวข้อง สิ่งสําคัญที่ไม่ควรลืมจะต้องสําเนาสรุปรายงานผลการดําเนินงาน เมื่อเสร็จสิ้นการนําเสนอต่อ อธิบดีกรมการพัฒนาชุมชนแจ้งให้กองแผนงานดําเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้อง และจะได้นําข้อมูลผลการดําเนินงาน
“วารสารพัฒนาชุมชน กรมการพัฒนาชุมชน กระทรวงมหาดไทย”
29
ไปบันทึกผลการดําเนินงานตามแผนปฏิบัติการประจําปี ในระบบรายงานผลการบริหารงบประมาณและการบริหาร โครงการ (BPM) ทันที ที่ดําเนินการแล้วเสร็จ ขั้นตอนที่ 3 ตรวจสอบความถูกต้องของข้อมูลงบประมาณเหลือจ่าย โดยการตรวจสอบข้อมูลจากกอง คลัง ซึ่งกองแผนงานจะสําเนาแจ้งกลุ่มงานประเมินผลเพื่อรวบรวมเป็นข้อมูลผลการดําเนินงานในภาพรวมของกรม ในการใช้จัดทํารายงานผลการดําเนินงานเมื่อสิ้นปีงบประมาณ และตรวจสอบความถูกต้องของข้อมูลงบประมาณ ในส่วนที่เหลือจ่ายจากการดําเนินงาน พร้อมกับแจ้งกองคลังเก็บเงินเหลือจ่ายในภาพรวม นําเสนออธิบดีกรมการ พัฒนาชุมชนเพื่อโปรดทราบ ซึ่งมีการจัดทําภายในวันที่ 10 ของทุกเดือน ขั้นตอนที่ 4 การจัดทําโครงการตามนโยบายผู้บริหาร หากกรณีหน่วยงานใดมีความประสงค์ที่จะเสนอ โครงการขับเคลื่อนยุทธศาสตร์กรมให้สําเร็จผลอย่างสร้างสรรค์ หรือมีโครงการที่ยังไม่ได้ดําเนินการแต่ส่งผลต่อการ ขับเคลื่อนยุทธศาสตร์กรมการพั ฒนาชุม ชน ให้หน่วยงานที่มีความประสงค์ดังกล่าวจัดทําร่างโครงการพร้อม รายละเอียดค่าใช้จ่ายในการดําเนินโครงการ เพื่อขอความเห็นชอบและอนุมัติการดําเนินงาน โดยเสนออธิบดี กรมการพัฒนาชุมชน ผ่านผู้อํานวยการกองแผนงาน และรองอธิบดีที่กํากับหน่วยงาน ขั้นตอนที่ 5 ตรวจสอบวงเงินงบกลางของผู้บริหารสําหรับสนับสนุนการดําเนินโครงการ โดยการ วิเคราะห์รายละเอียดโครงการและกิจกรรม ว่าสามารถส่งผลต่อการขับเคลื่อนเป้าประสงค์เชิงยุทธศาสตร์ของ กรมการพัฒนาชุมชนหรือนโยบายกระทรวง นโยบายรัฐบาลที่สําคัญหรือไม่ เมื่อตรวจสอบความถูกต้องของ รายละเอียดค่าใช้จ่ายของโครงการและกิจกรรม พร้อมกับตรวจสอบวงเงินงบกลางของผู้บริหาร สําหรับสนับสนุน การดําเนินโครงการเรียบร้อยแล้ว จึงจัดทําบันทึกนําเสนอความเห็นต่ออธิบดีกรมการพัฒนาชุมชน เพื่ออนุมัติ งบประมาณและโครงการ พร้อมส่งบันทึกที่อธิบดีกรมการพัฒนาชุมชนอนุมัติงบประมาณและโครงการแล้ว คืนให้ หน่วยงานเจ้าของเรื่อง และสําเนาแจ้งกองคลังเพื่อทราบและดําเนินการจัดทําโครงการในระบบในส่วนที่เกี่ยวข้อง ต่อไป ถ้าเราบริหารงบประมาณได้ตามแนวทางปฏิบัตินี้ รับรองว่าเงินงบประมาณที่ใช้ในการบริหารของกรมการ พัฒนาชุมชนจะมีประสิทธิภาพเกิดประโยชน์สูงสุด สามารถขับเคลื่อนเป้าประสงค์เชิงยุทธศาสตร์ของกรมการ พัฒนาชุมชนสู่ ชุมชนเข้มแข็ง เศรษฐกิจฐานรากมั่นคง อย่างแน่นอน แล้วพบกับถางทางสร้างสรรค์สิ่งใหม่ในฉบับ หน้าครับ *****************
“วารสารพัฒนาชุมชน กรมการพัฒนาชุมชน กระทรวงมหาดไทย”
30
ขอเชิญชวนบุคลากรหรือผู้ที่สนใจ ในหลักสูตรสตรี เพศสถานะ และเพศวิถีศกึ ษา มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ท่าพระจันทร์ ระดับปริญญาโท (เรียนนอกเวลาราชการ)
หลักสูตรภาคฤดูรอน
สอบถามรายละเอียดเพิ่มเติม 02-613-2860 E-mail:wmtu56@gmail.com Facebook : http://www.facebook.com/wgssp
“วารสารพัฒนาชุมชน กรมการพัฒนาชุมชน กระทรวงมหาดไทย”
31
สาระนารู
โดย...นัฐวรรณ เทียนสิทธิ์
“ทําไมโรงเรียนถึงไม่เตรียมพร้อมพวกเราให้รู้เรื่องเงินกันนะ? ทั้งๆ ที่เงินเป็นเรื่องใหญ่มากใน ชีวิต เราไม่เคยรู้มาก่อนเลยว่าเงินกับจิตใต้สํานึกคือเรื่องเดียวกัน เราไม่เคยบันทึกรายได้ – รายจ่าย เรายังไม่เข้าใจว่าก่อนซื้อของเราต้องแยกแยะให้ได้ระหว่าง อยากได้ กับ จําเป็น” (มณฑานี ตันติสุข หนังสือ : เงินเรื่องใหญ่ที่โรงเรียนไม่เคยสอน) บทสรุปจากปกหลังของหนังสือ : เงินเรื่องใหญ่ที่โรงเรียนไม่เคยสอน ที่ได้ยกมานี้คงสะกิดต่อม จ่ายเงินของหลายคนที่ตระหนักดีถึงความสําคัญในการจับจ่ายใช้เงินให้เพียงพอกับรายได้หรือให้มีเหลือเก็บ ให้ สะดุ้งสะเทือนกันบ้าง ถือเป็นความโชคดีอีกครั้งหนึ่งในความโชคดีหลายครั้งของการทําหน้าที่ผู้ช่วยที่ปรึกษา อธิบดีฯ (ดร.ขนิฏฐา กาญจนรังษีนนท์) ซึ่งได้ติดตามท่านไปเข้าร่วมการประชุมสามัญประจําปีของสหกรณ์ ออมทรัพย์กรมการพัฒนาชุมชน (สอ.พช) เมื่อเดือนกุมภาพันธ์ที่ผ่านมาทําให้ได้รับความรู้เกี่ยวกับการ บริหารเงิน เนื่องจากในการประชุมครั้งนี้คณะกรรมการดําเนินการ สอ.พช ได้เชิญวิทยากรจากสถาบันที่ ปรึกษาการเงินมาบรรยายให้ความรู้ในหัวข้อ “อิสรภาพการเงิน สัมผัสความสงบสุขทางใจที่ทุกคนไปถึงได้” ด้วยเจตนารมณ์ที่ปรารถนาดีต่อสมาชิก สอ.พช โดยส่งผ่านผู้แทนสมาชิกให้มีความรู้ในการบริหารเงินและ ขยายผลไปสู่สมาชิก ด้วยเหตุว่าสมาชิกส่วนใหญ่จะมุ่งเน้นการเพิ่มยอดเงินกู้ตามสิทธิสูงสุดที่จะกู้ได้ แต่การ เพิ่มเงินหุ้น อันเป็นเงินออมสําหรับอนาคตกลับใช้อัตราขั้นต่ําสุด ซึ่งสะท้อนถึงอนาคตที่ไม่มั่นคงทางการเงิน ทั้งของสมาชิก และ สอ.พช เพราะ สอ.พช จะต้องหาเงินกู้จากแหล่งอื่น เพื่อนํามาให้สมาชิกกู้ เนื่องจาก เงินหุ้นของสมาชิกที่ สอ.พช มีไม่เพียงพอ วิทยากรเริ่มต้นด้วยคําถามว่า “ใครมีบัตรเครดิตบ้าง คนที่มีบัตรเครดิตวันนี้ใครทราบบ้างว่ายอด ใช้จ่ายบัตรเครดิตถึงตอนนี้เท่าไหร่??” “สินค้าที่ซื้อส่วนใหญ่เกินความจําเป็นหรือไม่” “เคยสํารวจเสื้อผ้า กระเป๋า รองเท้าทั้งหมดหรือไม่ว่าใช้จริงกี่ % โดยเฉพาะคุณผู้หญิง” วิทยากรอธิบายว่าคนส่วนใหญ่ไม่ได้ คิดถึงรายละเอียดความจําเป็นของการใช้จ่ายเงิน ดังนั้น ไม่แปลกที่สัดส่วนระหว่างคนจนจะมีมากกว่าคนมี ฐานะดี – ร่ํารวย เช่น โครงการรถยนต์คันแรก คนแห่ซื้อเป็นจํานวนมากเพราะคนซื้อไม่ได้คํานึงถึงค่าใช้จ่าย ที่แท้จริงจากการซื้อรถยนต์ 1 คัน ดังนี้
“วารสารพัฒนาชุมชน กรมการพัฒนาชุมชน กระทรวงมหาดไทย”
32
ค่าใช้จ่ายตามความคิดของคนซื้อรถยนต์ส่วน ใหญ่ นาย ก เงินเดือนๆ ละ 20,000 บาท ผ่อนต่องวด 7,000 บาท ค่าน้ํามัน 4,000 บาท รวม 11,000 บาท เงินเหลือ 9,000 บาท
ค่าใช้จ่ายแท้จริงขั้นต่ําที่เกิดขึ้นต่อเดือน สําหรับ รถยนต์ ผ่อนต่องวด 7,000 บาท ค่าน้ํามัน 4,000 บาท ค่าบํารุงรักษา 2,000 บาท ค่าประกัน,พ.ร.บ.ภาษี 2,000 บาท ค่าทางด่วน 1,000 บาท รวม 16,000 บาท
นอกจากค่าใช้จ่ายแท้จริงขั้นต่ําที่เกิดขึ้นจากการซื้อรถยนต์แล้ว ยังมีค่าใช้จ่ายทางอ้อมอื่นๆ อีก เพราะการมีรถยนต์ทําให้ท่านออกจากบ้านง่ายขึ้น ไปไกลได้มากขึ้น และการออกจากบ้านส่วนใหญ่ก็จะมี กิจกรรมให้เสียเงิน เช่นเวลาไม่มีรถยนต์วันหยุดท่านอาจไม่อยากออกไปไหนเพราะแดดร้อนหรือฝนตก แต่ เมื่อมีรถยนต์จะทําให้ท่านออกนอกบ้านไปทานอาหารร้านหรู ดูหนัง ฟังเพลงกับเพื่อนๆ หรือไปต่างจังหวัด ได้ง่ายขึ้น และคนส่วนใหญ่ก็ไม่ได้คํานึงถึงด้วยไม่เคยใส่ใจกับการใช้จ่ายเงินของตัวเองอย่างละเอียด และไม่รู้ สถานการณ์การเงินของตัวเองว่าเป็นอย่างไร วิทยากรให้เราวิเคราะห์สถานการณ์การเงินของตัวเองว่าเป็น แบบไหนใน 4 แบบ และบอกแนวทางที่ต้องทําให้เหมาะกับสถานการณ์ เพื่อความมั่นคงทางการเงินของ ชีวิต มีหนี้สิน รายได้ต่ําเกินไป ไม่สามารถลดรายจ่าย มีความสามารถในการทํางาน มีหนี้สิน รายได้พอเพียง ใช้เงินไม่เหมาะสม ลดรายจ่ายได้อีก มีความสามารถในการทํางาน
บริหารโครงสร้างหนี้ บันทึกค่าใช้จ่าย ลดค่าใช้จ่าย ทํางบประมาณรายจ่าย ่ บริหารโครงสร้างหนี้ บันทึกค่าใช้จ่าย ทํางบประมาณรายจ่าย
เพิ่มรายได้ เตรียมเงินฉุกเฉิน บริหารความเสี่ยง 12 เดือน
ลดค่าใช้จ่าย เตรียมเงินฉุกเฉิน บริหารความเสี่ยง 12 เดือน
“วารสารพัฒนาชุมชน กรมการพัฒนาชุมชน กระทรวงมหาดไทย”
33
สถานการณ์ที่ 1 และ 2 จะมีสภาพการเงินที่เกือบไม่แตกต่างกันนัก และเป็นสถานการณ์ของคนส่วนใหญ่ ซึ่ง มีส ถานภาพทางการเงิ นที่ ไม่ มั่น คงทั้ งในปั จจุ บัน และอนาคต และการเปลี่ ย นสถานะจากสถานการณ์ที่ 2 เป็นสถานการณ์ที่ 1 ก็ง่ายมาก เพราะหากใช้ชีวิตโดยใช้เงินไม่เหมาะสมต่อไปเรื่อยๆ จะทําให้เกิดหนี้สินจนมีรายได้ ต่ําไม่เพียงพอ และเป็นความคิดความเชื่อที่ผิดมากที่คิดว่าตัวเองมีรายได้น้อย ตัวเองจึงไม่ได้ใช้จ่ายฟุ่มเฟือย ทุกครั้งที่ใช้ จ่าย คือ ความจํ าเป็นทั้งสิ้น หากลองได้พิจารณาว่าหนี้สินที่เกิดขึ้นนั้นเกิดขึ้นเพราะอะไร จํ าเป็นจริงหรือไม่ คําตอบท่านรู้อยู่แก่ใจ หากคําตอบที่ได้ คือ หนี้สินเกิดขึ้นเพราะจําเป็น แต่ไม่ว่าคําตอบจะจําเป็นแท้หรือจําเป็น เทียม (อารมณ์อยากได้จริงๆ แต่ไม่จําเป็นต้องมีก็ได้) ให้ท่านทําตารางบันทึกหนี้สินทั้งหมดที่ท่านมีอยู่ โดยช่องแรก เขียนจํานวนเงินที่เป็นหนี้ ช่องที่ 2 ชื่อเจ้าหนี้ ช่องที่ 3 อัตราดอกเบี้ย ช่องที่ 4 จํานวนที่ต้องผ่อนชําระ ช่องที่ 5 กําหนดที่ต้องชําระ และช่องที่ 6 ระยะเวลาที่จะหมดหนี้ จากนั้นท่านลองพิจารณาดูรายจ่ายของท่านอย่างละเอียด ว่าแต่ละวันท่านจ่ายไปกับอะไร ขอให้บันทึกอย่างละเอียดจริงๆ เช่น หากท่านตั้งไว้ว่าค่าอาหาร 3 มื้อๆ ละ 50 บาท (รวมน้ําดื่มแล้ว) ท่านจะใช้เงินสําหรับค่าอาหารวันละ 150 บาท แต่หากท่านซื้อขนมเครื่องดื่มต่างหากก็ให้ บันทึกแยกออกไปว่าขนม อาหาร หรือเครื่องดื่มที่ซื้อนอกเหนือจาก 150 บาท เป็นอะไรบ้าง หรืออย่างค่ารถ เมื่อท่าน คํานวณแล้วค่าใช้จ่ายในการเดินทางเส้นทางปกติไป – กลับวันละ 50 บาท หากท่านมีเหตุต้องนั่งรถ taxi ก็ให้ บันทึกแยกออกไปว่าท่านจ่ายไปเท่าไหร่ ขอให้ท่านจดบันทึกค่าใช้จ่ายเป็นรายวันอย่างต่อเนื่อง ควรจดบันทึกรับ – จ่ายทุกวัน ไม่ควรทิ้งไว้นานแล้ว มาจดย้อนหลังเกิน 2 วัน เพราะจะทําให้ท่านลืม และแต่ละสัปดาห์ให้สรุปแยกว่า ในสัปดาห์ ที่ ผ่ านมา ท่ านจ่ ายค่ าอะไรไปเท่ าไหร่ ค่าเดิ นทาง ค่ าอาหาร ค่ าน้ําดื่ม ค่ าเครื่ องดื่ม ค่ าโทรศัพท์บ้ าน ค่าโทรศั พท์มือถื อ ค่ าน้ํ ามัน ค่ าของขวัญ/ของฝาก ค่ ากตัญ ญู (เลี้ ยงดู พ่อแม่ ) ค่ าสังสรรค์ ค่าทําบุญ ค่ าเสื้อผ้า ค่าเครื่องประดับ ค่าบุหรี่ ค่าตัดผม ค่าเครื่องสําอางค์ ค่าของใช้ประจํา (สบู่ ยาสีฟัน ผงซักฟอกฯลฯ) ค่าน้ํา ค่าไฟ ค่าเช่า ฯลฯ ขอเชิญชวนให้ท่านได้ลองทําบัญชีรับ – จ่ายของท่าน สักหนึ่งสัปดาห์จะทําให้ท่านได้เห็นช่องทางการมี เงินเพิ่มขึ้น จริงๆ ท่านจะต้องทําตลอดทั้งปี เพื่อจะได้ทําแผนการเงินสําหรับอนาคตได้ ลองทําดูมันไม่ได้ยุ่งยาก อะไร หาสมุดจดเล่มเล็กขนาดเท่านามบัตรไว้สักเล่มสําหรับพกพาได้สะดวก หรือจะวางไว้ใกล้บนที่นอนสําหรับคุณ ผู้ชายที่ไม่ได้มีกระเป๋าสัมภาระหิ้วไปมา ณ วันนี้ท่านยังมีกําลังความสามารถในการทํางานในการหาเลี้ยงตัวเอง แต่หากวันหนึ่งเกิดอะไรขึ้นกับท่านทําให้ไม่สามารถทํางานได้หรือแก่ตัวไป ไม่มีรายได้อะไรนอกจากเบี้ยผู้สูงอายุ ท่านจะอยู่อย่างไรนี่คือความเสี่ยงที่อาจจะเกิดกับท่านอย่างฉับพลันและเกิดแน่ในอนาคต ท่านมีแผนรับมือกับมัน หรือยัง? มีสลึงพึงบรรจบให้ครบบาท มีน้อยใช้น้อยค่อยบรรจง ไม่ควรซื้อก็อย่าไปพิไรซื้อ เมื่อพ่อแม่แก่เฒ่าชรากาล
ไม่มีหนี้ รายได้มากพอ ใช้เงินไม่ถูกต้อง ไม่มีเงินออม มีความสามารถในการทํางาน
อย่าให้ขาดสิ่งของต้องประสงค์ อย่าจ่ายลงให้มากจะยากนาน ให้เป็นมื้อเป็นคราวทั้งคาวหวาน จงเลี้ยงท่านอย่าให้อดรันทดใจ
บันทึกค่าใช้จ่าย ทํางบประมาณรายจ่าย เตรียมเงินฉุกเฉิน บริหารความเสี่ยง
บัญชีเงินออมระยะกลาง วางแผนภาษี
“วารสารพัฒนาชุมชน กรมการพัฒนาชุมชน กระทรวงมหาดไทย”
6 เดือน
34
ไม่มีหนี้ รายได้มากพอ มีเงินออม ต้องการบริหารเงิน มีความสามารถในการทํางาน
บริหารความเสี่ยง บัญชีเงินออมระยะกลาง วางแผนภาษี
บัญชีเงินออมระยะยาว จัดพอร์ตการลงทุน 3 เดือน
แม้สถานการณ์ที่ 3 จะดีกว่าสถานการณ์ที่ 1 และ 2 ตรงที่ไม่มีหนี้ มีรายได้มากพอ แต่ก็ยังไม่มีเงิน ออมเพราะการใช้จ่ายเงินที่ไม่ถูกต้อง ไม่ได้แปลว่าท่านจะมีสถานะทางการเงินมั่นคงเพียงพอสําหรับอนาคต เพราะค่ า เงิ น นั บ วั น จะมี แ ต่ ล ดค่ า ลง หากท่ า นมี ส ถานการณ์ ก ารเงิ น แบบนี้ แ สดงว่ า ท่ า นยั ง คงใช้ ชี วิ ต อย่างประมาท ท่านเองก็รู้แจ้งแก่ใจตัวเองจากค่าใช้จ่ายในชีวิตประจําวัน เงิน 100 บาท เมื่อสิบปีก่อน อาจจะอยู่ได้ 2 วัน แต่ปัจจุบันยังไม่เพียงพอสําหรับค่าอาหารหรือค่ารถประจําทาง อย่างค่าอาหาร สมัยปู่ย่า ตายาย ยั ง หนุ่ ม สาว พ่ อ แม่ เ รายั ง เป็ น เด็ ก ๆ อาหารคาวหวานถ้ ว ยละชามละไม่ กี่ ส ตางค์ อ่ า นไม่ ผิ ด !! พิมพ์ไม่ผิด!! หน่วยคือสตางค์ หรืออย่างค่าโดยสารรถประจําทางสําหรับใครที่อาศัยอยู่กรุงเทพฯ และ จังหวัดใกล้เคียงน่าจะพอทราบดี เมื่อก่อนรถเมล์ (ร้อน) 2 บาทตลอดสาย ปัจจุบัน 8 – 9 บาท หรือราคา ตามระยะทางขึ้นต่ําอยู่ที่ 10 บาท หลักคิดในการมีเงินออมทําได้ง่ายมาก เพียงแต่ใช้เงินรายได้ที่ท่านได้มา แต่ละครั้งให้เหลือ จะเหลือมากหรือน้อยขอให้เหลือสะสมไว้ก่อน สมมติแต่ละเดือนท่านมีเงินเหลือเดือนละ 100 บาท เมื่อครบปีท่านจะมีเงิน 1,200 บาท สําหรับผู้มีรายได้ประจําอย่างข้าราชการ แต่ละปีที่ท่านได้รับ เงินเดือนเพิ่มขึ้นท่านควรเพิ่มเงินออมของท่านด้วย หรือแบ่งเงินโบนัสหรือเงินปันผลที่ได้เป็นเงินออม สัดส่วน“ขั้นต่ําสุด” สําหรับเงินออม คือ 5% ของเงินรายได้ เมื่อท่านทําบัญชีรับ – จ่าย สักระยะหนึ่ง และ ตั้งใจจะปรับลดค่าใช้จ่ายที่ไม่จําเป็นจะทําให้ท่านมีนิสัยในการใช้เงินดีขึ้น ท่านควรจะเพิ่มเงินออมเป็น 10 – 20% ของรายได้ หรือ 5% สําหรับรายได้ประจํา 10 – 20% สําหรับรายได้พิเศษ แต่หลายๆ ท่านยัง อาจไม่เห็นด้วยว่าทําไมต้องประหยัดด้วยมันจะสําคัญอะไรแค่ไหน เงิน 20 – 30 บาท ลองดูตารางตัวเลข ค่ าเครื่ องดื่ มสุ ดฮิ ต อย่ างกาแฟเย็ น ชานม ทํ า ให้ ท่ า นสู ญ เสี ย ความมั่ น คงทางการเงิ น อย่ า งไร ค่ า กาแฟ 30 บาท x 7 วัน = 210 บาท x 52 สัปดาห์ (1ปี) = 10,920 บาท x 15 ปี = 163,800 บาท หากท่านนํา เงินจํานวนนี้ไปออม และมีผลตอบแทน 6% ต่อปีท่านจะมีรายได้ เป็นเงิน 269,424.01 บาท ถ้าไม่เชื่อว่า จะเป็นจริง ดูตัวเลขเงินออมที่ท่านสูญเสียหากยังจ่ายสุรุ่ยสุร่ายอีลุ่ยฉุยแฉกแบบไม่คิดกันต่อไปในตารางนี้
“วารสารพัฒนาชุมชน กรมการพัฒนาชุมชน กระทรวงมหาดไทย”
35
ปีที่ เงินออมต่อ ผลตอบแทนต่อปี 6% ปี 1 10,920 655.20 2 10,920 1,349.71 3 10,920 2,085.89 4 10,920 2,866.25 10 10,920 8,636.06 15 10,920 15,250.42
รวมเงินออมสะสม+ ผลตอบแทน 11,575.20 23,844.91 36,850.81 50,637.06 152,570.34 269,424.01
นักการเงินมืออาชีพจะเรียกค่าใช้จ่ายประเภทนี้ว่า “ลาเต้แฟ็คเตอร์”
**ตัวอย่างค่าใช้จ่ายประเภท Latte Factor** รายการ
ประหยัดต่อเดือน (บาท)
กาแฟ 1 แก้ว โทรศัพท์มือถือวันละ 10 นาที น้ํามันรถยนต์ 1 ถัง อาหารมื้อเย็นนอกบ้าน 2 คน รวม
200 280 1,500 2,000 3,980
มูลค่าหลังจากนี้อีก 30 ปี (บาท) 200,903 281,264 281,264 2,009,030 2,772,461
“วารสารพัฒนาชุมชน กรมการพัฒนาชุมชน กระทรวงมหาดไทย”
36
ท่านเคยพิจารณาจริงจังหรือไม่ว่าท่านจําเป็นต้องจ่ายค่าความพอใจหรือความบันเทิงมากขนาดไหน กับประโยชน์ที่ได้รับอย่างไม่คุ้มค่า ยิ่งยุคสมัยนี้นักการตลาดฝีมือขั้นพระกาฬสามารถทําให้เราท่านจ่ายๆๆๆ อย่างลืมคิดกันเลยเชียว โดยเฉพาะค่าโทรศัพท์มือถือที่มีใช้กันเกือบทุกคนทั้งค่าใช้บริการรายเดือนและ เครื่องโทรศัพท์แสนแพง เพราะซื้อมาสมรรถนะเครื่องสูง แต่ระบบสัญญาณต่ําและความต้องการในการใช้ งานของเราแค่โทรออก รับสาย และเข้า website ดูข้อมูลความบันเทิงเสียส่วนใหญ่ ประกอบกับนิสัยพื้นเพ ของ คนไทยมักจะหน้าใหญ่ใจโต มีเงินนับเป็นน้องมีทองนับเป็นพี่ด้วยแล้ว การสะสมทรัพย์อันไร้ประโยชน์ เพื่อให้ตัวเองดูดีมีฐานะ ซึ่งจริงๆ อาจมีรายได้ไม่ชนเดือน ต้องหยิบยืมเสียดอกเบี้ย ต้องใช้บริการบัตรเครดิต และ ไม่รู้เท่าเล่ห์กลนักการเงินที่หาประโยชน์จากคุณที่คิดไม่ทัน ตัวอย่างประโยชน์จากการลดค่าใช้จ่ายที่ ประสบด้วยตัวเอง คือ ผู้เขียนเป็นคนหนึ่งที่ติดกาแฟเย็นและเครื่องดื่มประเภทหวานเย็น โดยเฉพาะกาแฟ ต้องดื่มทุกวัน 1 – 2 แก้ว ราคาขั้นต่ําจะอยู่ที่ 30 บาทขึ้นไป ผู้เขียนเริ่มทําบัญชีรับ–จ่าย ด้วยเหตุอยากรู้ว่า เดือนๆ หนึ่งเราจ่ายค่าอะไรบ้าง จะหาเงินจากยอดรายจ่ายไหนเป็นเงินเก็บได้บ้าง จากการจดบันทึก 1 เดือน พบว่าตัวเองมีค่าใช้จ่ายประเภทเครื่องดื่มหวานเย็นเดือนละ 1,000 – 1,200 บาท จากความคิดที่ ต้องการมีเงินเก็บเพิ่มขึ้นเพื่อจะเอาไว้ซื้อบ้าน ซื้อที่ดิน เอาไว้ลงทุน หรือสํารองไว้เผื่อจําเป็นในอนาคต หลังจากปรับลดค่าใช้จ่ายประเภทเครื่องดื่มลง ทดแทนด้วยการดื่มกาแฟร้อนชงเองแทน นอกจากมีเงิน พอใช้เหลือเก็บเพิ่มขึ้น ผลพลอยได้คือ ผลการตรวจสุขภาพพบว่ามีคลอเรทเตอรอลลดลง จากเดิมที่สูงเกิน เกณฑ์ทั้งๆ ที่ไม่ได้เป็นคนรูปร่างอ้วน และอาหารที่ทานไม่ชอบทานแป้ง ไขมัน หรืออื่นๆ ตามที่แพทย์สั่ง ห้ามเลย วิเคราะห์พฤติกรรมแล้วน่าจะเป็นเพราะเครื่องดื่มประเภทนี้แน่ สําหรับคนที่อยู่ในสถานการณ์ที่ 4 ไม่มีอะไรน่าห่วง เพราะคุณคงมีพื้นฐานที่ดีในการใช้จ่ายแล้ว แต่ที่ต้องระวังคือ ความโลภของตัวเองอย่าให้มี มากจนเกินไป จนตกหลุมลงทุนที่มีความเสี่ยงสูง เพราะอาจเกิดเหตุการณ์ที่ทําให้คุณหัวคะมําจากเศรษฐี กลายเป็นคนเคยรวยได้ง่ายๆ
หยุด !! อย่าเพิ่งคิดว่าตัวเองทําไม่ได้ ลองเริ่มทําดูก่อนจากการจดบันทึกรายจ่ายอย่างละเอียด การเปลี่ยนพฤติกรรม (นิสัย) มันไม่ใช่ว่าจะเปลี่ยนกันได้ง่ายนัก แต่ก็ปรับเปลี่ยนกันได้แน่ๆ เพราะกว่า เราจะเป็นนักจ่ายทําร้ายตัวเองขนาดนี้ เราก็บ่มเพาะนิสัยความฟุ่มเฟือยมานาน ค่อยๆ เปลี่ยนนิสัยของ เราอย่างต่อเนื่อง ขอเพียงวันนี้ได้เริ่มต้น และพยายามทําอย่างต่อเนื่องคุณก็จะมีฐานะการเงินดีขึ้นแน่นอน ทุกครั้งที่จะจ่ายเงินซื้ออะไรขอให้ถามตัวเองสักหน่อยว่า “อยากได้” หรือ “จําเป็น” “คุ้มค่าหรือไม่” “มี อะไรทดแทนกันได้และจ่ายน้อยกว่านี้” ทุกครั้งที่ได้เงินมาขอให้จัดสรรสําหรับเป็นเงินออมไว้สัก 10 – 20% คุณจะเปลี่ยนจากลูกทาส เอ๊ย!! “ทาส” กลายเป็น “นาย” ของเงิน ในชาตินี้แน่นอน และโปรดบอกตัวเอง เสมอ “การไม่มีหนี้สิน เป็นลาภอันประเสริฐ และการมีเงินออมสําหรับอนาคตนั้นประเสริฐเลิศสุดๆ” “วารสารพัฒนาชุมชน กรมการพัฒนาชุมชน กระทรวงมหาดไทย”
37
ภาพกิจกรรม
การทํางาน” วันที่ 25 เมษายน 2557 เวลา 10.30 น. นายขวัญชัย วงศ์นิติกร อธิบดีกรมการพัฒนาชุมชน ในฐานะ ผอ.สกพส. เป็นประธานพิธีเปิด "โครงการ Smart Lady Thailand คลื่นลูกใหม่ผู้สืบสานงาน OTOP" มีผู้เข้าอบรม จํานวน 132 คน โดยมีพัฒนาการจังหวัดในเขตตรวจฯที่ 13 4 จังหวัด(อุบลฯ ศรีสะเกษ อํานาจเจริญ ยโสธร) นําโดยนายฉลอง ประดับสุข พจ.อุบลฯ กล่าวรายงาน วัตถุประสงค์การจัดงาน ในงานนี้มี ท่านผู้ตรวจฯทวีป บุตรโพธิ์ ท่านที่ปรึกษา อพช. รอง ผอ.สกพส. (ดร.ขนิฏฐา กาญจนรังษีนนท์) จังหวัด ทั้ง 4 จังหวัด ร่วมให้การต้อนรับ และคณะกรรมการกองทุนพัฒนาบทบาทสตรี ยม จังหวัดอุบลราชธานี ณ อารยารีสอร์ท อําเภอโขงเจี
“วารสารพัฒนาชุมชน กรมการพัฒนาชุมชน กระทรวงมหาดไทย”
38
ภาพกิจกรรม
วันที่ ๑๓ พฤษภาคม ๒๕๕๗ นายพิสันติ์ ประทานชวโน รองอธิบดีกรมการพัฒนาชุมชน และคณะ ตรวจเยี่ยมให้กําลังใจผู้จําหน่ายสินค้า OTOP ในงานเทศกาลไทย ๒๐๑๔ ณ นครคุนหมิง สาธารณรัฐประชาชนจีน ซึ่งได้รับความสนใจจากผู้บริโภคชาวจีนเป็นอันมาก ในการนี้ ได้ติดตามผลการเจรจาธุรกิจของผู้ผลิต ผู้ประกอบการ OTOP รายเดิมที่เดินทางมาร่วมในงานเจรจาธุรกิจในครั้งนี้อีกด้วย (ภาพข่าว : พัชรินทร์ สมหอม)
“วารสารพัฒนาชุมชน กรมการพัฒนาชุมชน กระทรวงมหาดไทย”
39
ภาพกิจกรรม
วันที่ ๑ พฤษภาคม ๒๕๕๗ เวลา ๐๙.๓๐ น. อธิบดีกรมการพัฒนาชุมชน (นายขวัญชัย วงศ์นิติกร) มอบหมายให้ นายมนตรี นาคสมบูรณ์ รองอธิบดีกรมการพัฒนาชุมชน เป็นประธานเปิดพร้อมบรรยายพิเศษ ในการประชุมเชิงปฏิบัติการสรุปผลโครงการเผยแพร่ผลการจัดเวทีประชาหาทางออกประเทศไทย ดร.อัจฉราวรรณ มณีขัติย์ ผอ.สํานักเสริมสร้างความเข้มแข็งชุมชน กล่าวรายงาน ผู้เข้าร่วมประชุมประกอบด้วย พัฒนาการอําเภอ นักวิชาการพัฒนาชุมชนจังหวัด พัฒนากร รวม ๗๖ คน จัดระหว่าง ๓๐ เมษายน - ๒ พฤษภาคม ๒๕๕๗ ณ โรงแรมไมด้า ซิตี้ กรุงเทพฯ
“วารสารพัฒนาชุมชน กรมการพัฒนาชุมชน กระทรวงมหาดไทย”
40
ภาพกิจกรรม
วันที่ ๔ – ๕ เมษายน ๒๕๕๗ อธิบดีกรมการพัฒนาชุมชน (นายขวัญชัย วงศ์นิติกร) มอบหมายให้นายอรรถพร สิงหวิชัย รองอธิบดีกรมการพัฒนาชุมชน พร้อมด้วยนายทวีป บุตรโพธิ์ ผู้ตรวจราชการกรม นายสนิท ขาวสอาด รอง ผวจ.ศรีสะเกษ นายเสน่ห์ พรหมโครต พัฒนาการจังหวัดศรีสะเกษ นายไพโรจน์ อินทร์แก้ว นายอําเภอภูสิงห์ จนท.กองแผนงาน ตรวจเยี่ยมโครงการพัฒนา หมู่บ้านนําร่องพัฒนาคุณภาพชีวิต อยู่ดีมีสุข บนถนนหมายเลข ๖๗ (สะงํา-อันลองเวง-เสียมราช) บ้านโอกีกันดาล ตําบลลุมโตง อําเภออันลองเวง จังหวัดอุดรมีชัย ราชอาณาจักกัมพูชาโดยมี MR.LIAM SODA (เหลียม โสดา) รอง ผวจ.อุดรมีชัย นายยึม พันนา นอภ.อันลองเวง ให้การต้อนรับและนําเยี่ยมชมครอบครัวพัฒนาตัวอย่าง นายโท ลน อดีต ผญบ.โอกีกันดาล
“วารสารพัฒนาชุมชน กรมการพัฒนาชุมชน กระทรวงมหาดไทย”
41
ภาพกิจกรรม
วันที่ 1 เม.ย.57 เวลา 9.00 น. นายขวัญชัย วงศ์นิติกร อธิบดีกรมการพัฒนาชุมชน เป็นประธานพิธีทอดผ้าป่าสมทบกองทุนพัฒนาเด็กชนบท ในพระราชูปถัมภ์สมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี โดยมีท่านรองอธิบดีฯ คณะผู้บริหาร ข้าราชการกรมการพัฒนาชุมชน และหน่วยงานราชการในศูนย์ราชการฯ ร่วมพิธี ณ ลานเอนกประสงค์ ชั้น2 อาคารรัฐประศาสนภักดี ศูนย์ราชการเฉลิมพระเกียรติ 80 พรรษา 5 ธันวาคม 2550
“วารสารพัฒนาชุมชน กรมการพัฒนาชุมชน กระทรวงมหาดไทย”
42
“วารสารพัฒนาชุมชน กรมการพัฒนาชุมชน กระทรวงมหาดไทย”
43
“วารสารพัฒนาชุมชน กรมการพัฒนาชุมชน กระทรวงมหาดไทย”
44