Jitsodsai02

Page 1

จิตสดใส๐๒

ศูนย์ปฏิบัติธรรมเฉลิมพระเกียรติ ๘๔ พรรษา ราชนครินทร์

นิตยสารออนไลน์ ราย ๒ เดือน


ศูนย์ปฏิบัติธรรมเฉลิมพระเกียรติ ๘๔ พรรษา ราชนครินทร์ ศูนย์ปฏิบัติธรรมประจำ�ภาคตะวันออก

เมื่อปี ๒๕๓๗ ท่านพระอาจารย์มานพ อุปสโม ได้รับฉันทานุมัติจาก ท่านพระครูสุธรรมกิจจาทร เจ้าอาวาสวัดนายายอาม เจ้าคณะต�ำบล นายายอาม ซึ่งเป็นผู้รับดูแลส�ำนักสงฆ์เล็กๆ แห่งนี้ เพื่อพัฒนาให้เป็น ศูนย์ปฏิบตั ธิ รรม ต่อมาได้มผี มู้ จี ติ ศรัทธา ประสงค์ประโยชน์ตอ่ ศาสนกิจ ได้รว่ มกันบริจาคทีด่ นิ เพิม่ เติมอีกจ�ำนวนกว่า ๕๐ ไร่ ท่านจึงได้ขยายเนือ้ ที่ จนส�ำนักสงฆ์เล็กๆ แห่งนี้ให้กลายเป็นศูนย์ปฏิบัติธรรมประจ�ำภาค ตะวันออก ศูนย์ปฏิบัติธรรมแห่งนี้ ได้เปิดการอบรมเผยแผ่ธรรมทั้งส่วน ปริยัติและปฏิบัติแก่สาธุชนผู้สนใจอย่างต่อเนื่อง โดยมีพระภิกษุสงฆ์ จากทัว่ ทุกภูมภิ าค และฆราวาสจากหน่วยงานต่างๆ มาขอเข้ารับอบรม การปฏิบตั ธิ รรมอย่างต่อเนือ่ งตลอดปี ต่อมาผูม้ จี ติ ศรัทธาทัว่ ไป ได้รว่ มกัน

บริจาคทรัพย์ในการสร้างธรรมศาลาขึ้นจนส�ำเร็จลุล่วงดังที่เป็นอยู่ใน ปัจจุบัน และขณะที่ท�ำการก่อสร้างอยู่นนั้ ทางคณะผู้ด�ำเนินการ น�ำโดย คุณดนัย จันทร์เจ้าฉาย, คุณเมตตา อุทกะพันธุ์ และ คุณนรรัตน์ นิม่ นรรัตน์ ได้น�ำธรรมศาลา หลังนีข้ ึ้นน้อมเกล้าถวายแด่สมเด็จพระเจ้าพี่นางเธอ เจ้าฟ้ากัลยาณิวัฒนา กรมหลวงนราธิวาสราชนครินทร์ เนื่องในวโรกาส ทรงเจริญพระชนมายุครบ ๘๔ พรรษา โดยได้รับพระราชทานนามว่า “ธรรมศาลา ๘๔ พรรษา ราชนครินทร์” และชื่อศูนย์ปฏิบัติธรรม ซึ่ง จากเดิมชื่อว่า “ศูนย์ปฏิบัติธรรมเขาดินหนองแสง” ให้เปลี่ยนมาเป็น “ศูนย์ปฏิบัติธรรมเฉลิมพระเกียรติ ๘๔ พรรษา ราชนครินทร์”


ห้องครูใหญ่

เรื่อง หมา หมา วันนีจ้ ะพูดเรื่องหมา หมา สักวันหนึง่ .... พูดถึงเรื่องหมา หมาก็คือ สัตว์เดรัจฉานชนิดหนึง่ ทีนกี้ ็มาดูกันว่า สัตว์เดรัจฉานกับมนุษย์มีความรู้สึกแตกต่างกันอย่างไรในส่วนของการ มีร่างกายกับจิตใจ มนุษย์กับสัตว์เดรัจฉานก็มีพอๆ กัน มนุษย์มีกาย เรียกว่า รูปขันธ์ มนุษย์มีจิตใจความรู้สึก เป็นส่วนของนามขันธ์สี่ มีเวทนา สัญญา สังขาร วิญญาณ สัตว์เดรัจฉานก็มีส่วนของร่างกาย ซึ่งเป็นรูปขันธ์เหมือนกัน มีส่วนของความรู้สึกเป็นนามขันธ์สี่เหมือนกัน มีเวทนา สัญญา สังขาร วิญญาณ เหมือนกันกับมนุษย์ทุกประการ คราวนี้มาดูในส่วนของจิตใจ มนุษย์มีความโลภ ความโกรธ ความหลง สัตว์เดรัจฉานก็มีความโลภ ความโกรธ ความหลงเหมือนกัน มนุษย์สามารถท�ำบุญท�ำกุศล จิตใจเป็นบุญเป็นกุศล สัตว์เดรัจฉาน ก็ท�ำบุญ ท�ำกุศลได้เหมือนกัน มนุษย์มีการให้ทานรักษาศีลเจริญภาวนา สัตว์เดรัจฉานก็มีการให้ทาน รักษาศีล เจริญภาวนาได้เหมือนกัน พูดถึงเรือ่ งการให้ทานของสัตว์เดรัจฉาน คราวครัง้ หนึง่ พระพุทธองค์ ทรงประทับที่ไพรสณฑ์ แห่งหนึง่ ที่เราเรียกว่า ป่าเรไลย์ ณ ที่นนั้ ไม่มี หมูบ่ า้ นของมนุษย์เลย ในการด�ำรงพระชนม์ชพี ของพระองค์ในพรรษานัน้ ภัตตาหารได้มาจากไหน ภัตตาหารได้มาจากช้างตัวหนึ่งชื่อว่าช้าง ปาริไลยกะ พอถึงเวลาอาหารช้างก็จะไปน�ำผลไม้มาจากป่า มาน้อมถวาย แด่องค์สมเด็จพระผูม้ พี ระภาคเจ้า เมือ่ ถึงครัง้ ทีพ่ ระองค์จะทรงสรงสนาน ช้างก็ต้มน�้ำร้อนให้พระพุทธองค์ทรงสรงสนาน ไปดูกันว่าช้างต้มน�้ำ ด้วยวิธีอย่างไร ช้างก็ไปน�ำเอาไม้แห้งมาสีกันจนเกิดเป็นไฟ แล้วก็ก่อ ไฟเผาก้อนหินจนหินร้อนแล้วใช้ง่วงจับไม้งัดก้อนหินกลิ้งลงหนองน�้ำ เล็กๆ พอน�้ำอุ่นก็ไปจบพระพุทธเจ้าท�ำทีว่าให้ไปสรงน�้ำ พระพุทธองค์ ก็เสด็จไปสรงสนาน แล้วยังมีลิงอีกตัวหนึง่ เห็นช้างบ�ำรุงพระพุทธเจ้า ทุกวันก็อยากจะถวายอาหารแด่พระพุทธเจ้าบ้าง ลิงก็ไปหักรวงผึ้งมาร วงหนึง่ แต่พระพุทธเจ้าไม่รับ ลิงก็คิดว่าท�ำไมพระพุทธเจ้าไม่รับ แล้วก็ คิดได้ว่าพระสมณะไม่กระท�ำปาณาติบาต จึงน�ำรวงผึ้งไปแกะเอาลูกผึ้ง ตัวอ่อนๆ ออกจนหมด พอเอาลูกผึ้งตัวเล็กๆ ออกแล้วหมดแล้วก็นำ� ไป ถวายใหม่ คราวนี้พระพุทธเจ้าทรงรับ ก็ดีอก ดีใจ ขึ้นไปกระโดดโลด เต้นบนยอดไม้ โหนกิ่งไม้​โหนไปโหนมากิ่งไม้หัก ตัวเองจึงพลาดล่วงลง ไปทับตอไม้ ตอไม้เสียบลิงถึงความตาย แล้วได้ไปบังเกิดบนดาวดึงส์ เทวโลก สัตว์เดรัจฉานสามารถให้ทานรักษาศีลได้เหมือนกัน พูดถึงเรื่องการรักษาศีลของสัตว์ดิรัจฉาน มีพญานาคตัวหนึง่ ขึ้น มาบ�ำเพ็ญพรตในโลกมนุษย์ชื่อว่า ภูริทัตนาคราช เป็นตัวอย่างในการ รักษาศีลแล้ว สัตว์ดิรัจฉานก็เจริญภาวนาได้เหมือนกัน มีตัวอย่างนก แขกเต้าตัวหนึ่งที่แคว้นกุรุรัฐเจริญสติปัฏฐานสี่จนเห็นรูปร่างกายของ ตนเองเป็นโครงกระดูก นีค่ ือจิตใจของสัตว์ดิรัจฉานสามารถคิดดีก็ได้ คิดชั่วก็ได้ ความคิดเป็นใหญ่เป็นโตก็ได้

จะยกตัวอย่างที่ศูนย์ปฏิบัติธรรม ๘๔ พรรษาราชนครินทร์ มัน เป็นสุนขั หัวหน้าฝูง ปกครองฝูงอยู่ อยู่ต่อมาก็มีลูกสุนขั ตัวหนึง่ เจริญ เติบโตขึ้น พอลูกสุนขั ตัวที่มันเจริญเติบโตขึ้นมันก็เริ่มประลองยุทธกับ สุนขั หัวหน้าฝูง ด้วยความแก่ชราของสุนขั หัวหน้าฝูงมันก็ตอ่ สูส้ นุ ขั หนุม่ ไม่ได้ กว่าจะชนะกันได้ มันก็ใช้เวลากัดกันอยูส่ ามวันเต็ม วาระสุดท้าย สุนขั จ่าฝูงก็เป็นผู้พ่ายแพ้ ลูกสุนขั หนุ่มก็ขึ้นเป็นหัวหน้าแทน ท�ำไม มันอยากเป็นหัวหน้า พอมันเป็นหัวหน้าแล้วสุนขั ตัวเมียที่เคยอยู่กับ หัวหน้าฝูงตัวเก่าก็ย้ายมาอยู่กับหัวหน้าสุนขั หนุ่มตัวใหม่ การได้มา ซึ่งชัยชนะได้เป็นใหญ่ ได้เป็นหัวหน้าของสุนขั ทุกตัว บรรดาสุนขั ต่างๆ ก็พากันเป็นบริวาร การเป็นใหญ่มีอ�ำนาจมีบริวาร แถมยังได้สุนขั ตัวเมียที่อยู่กับสุนขั ตัวเก่ามาครอบครองอีก แล้วก็ได้สิทธิในอาหารที่ บุคคลน�ำมาหยิบยื่นให้ก่อนสุนขั ตัวอื่น ความทะเยอทะยานอยากเป็นใหญ่ใฝ่สงู สัตว์เดรัจฉานก็คล้ายกัน กับมนุษย์ มนุษย์ก็อยากเป็นใหญ่ใฝ่สูง พอได้เป็นใหญ่ใฝ่สูงก็ไม่พ่าย กับสุนขั เหมือนกัน ได้สิ่งต่างๆ มาเพราะอ�ำนาจความเป็นใหญ่ มีฐานะ ดีขนึ้ มีการเป็นอยูท่ ดี่ ขี นึ้ มีคนนับหน้าถือตามากขึน้ มีเสียงสรรเสริญ เยินยอมากขึ้น เมื่อน�ำเอาต�ำแหน่งหน้าที่ไปปฏิบัติการงานที่ถูกต้อง แต่บางครั้งคนก็สาปแช่งติฉนิ นินทา เพราะน�ำเอาต�ำแหน่งหน้าที่ไปใช้ ในทางที่ไม่ถูกต้อง มีฉ้อราษฎร์บังหลวงคดโกงภาษีของราษฎรเหมือน กับผู้ทมี่ ตี ำ� แหน่งหน้าทีใ่ นด้านการบ้านการเมืองบางท่านก็เป็นอย่างนี้ เหมือนกัน ถ้าปฏิบัติหน้าที่ดีก็มีชื่อเสียงโด่งดังเป็นที่สรรเสริญเยินยอ แก่บุคคลทั่วไป ถ้าปฏิบัติหน้าที่ไม่ดีก็คล้ายกันกับสัตว์หัวหน้าสุนขั ที่ เอาชื่อเสียงไปแสวงหาผลประโยชน์ สุนขั มันก็ใช้ก�ำลังแล้วได้มาซึ่ง ความเป็นใหญ่ คนบางคนก็ใช้ก�ำลังแล้วwfhมาซึ่งความเป็นใหญ่ คล้ายๆ กันกับสุนขั ตัวหนึง่ เหมือนกัน ทีนจี้ ะพูดถึงเรื่องความแตกต่างของมนุษย์กับสัตว์ดิรัจฉานที่มี ความแตกต่างกัน มนุษย์บรรลุมรรคผลนิพพานได้แต่สัตว์ดิรัจฉาน ไม่สามารถบรรลุมรรคผลนิพพานได้ มนุษย์กับสัตว์ดิรัจฉานเหมือน กันตรงที่ กิน นอน สืบพันธุ์ กลัวภัย แตกต่างกันที่คุณธรรมเบื้องสูง เท่านัน้ มนุษย์ท�ำได้ สัตว์ดิรัจฉานท�ำไม่ได้ ถ้ามนุษย์ไม่คิดจะปฏิบัติธรรมให้มีคุณธรรมเบื้องสูง มนุษย์ก็ไม่ แตกต่างจากสัตว์ดิรัจฉานเลย.... พระอาจารย์มานพ อุปสโม


เรื่องดีดี รอบโลก

ความสุขนี้...แจกฟรี สาวชาวไต้หวันผู้หนึ่ง เป็นโรคสมองพิการ ( cerebral palsy) ตั้งแต่ กำ�เนิดไม่สามารถเคลื่อนไหวตามปรกติ และพูดจาไม่ ได้ แต่ด้วยความ มุ่งมั่นและศรัทธาเธอสามารถเรียนจบปริญญาเอกจากสหรัฐฯ แล้ว แสดงทัศนคติของเธอในที่ต่างๆ เพื่อให้กำ�ลังใจและช่วยเหลือผู้อื่น ขณะนัน้ ที่ประชุมเงียบกริบ ไม่มีเสียงพูดจา ใดๆ เธอหันกลับมามองดูทุกคน แล้วเขียน ค�ำสรุปบนแผ่นกระดานว่า “ฉันมองแต่สิ่งที่ฉนั มี ไม่มองสิ่งที่ฉนั ขาด”

ครั้งหนึง่ เธอรับเชิญไปบรรยายด้วยการเขียน (คนพูดไม่ได้ ต้องใช้วิธีเขียน) หลังบรรยายเสร็จ มีนกั เรียนคนหนึง่ ตั้งค�ำถามว่า “ท่านอยู่ในสภาพนี้โดยก�ำเนิด แล้วท่านไม่รู้สึกน้อย ใจรึ? ท่านมองตัวเองอย่างไร?” ค�ำถามอันละเอียดอ่อนนี้ สร้างความตะลึงแก่ที่ประชุมไม่ น้อย ต่างเกรงว่าค�ำถามนีจ้ ะทิ่มแทงจิตใจของเธอ ปรากฏ ว่า เธอหันหน้าไปยังแผ่นกระดาน เขียนตัวหนังสืออย่างไม่ สะทกสะท้านว่า “ฉันมองดูตัวเองอย่างไร?” เธอหันหน้ายิ้มให้ผู้ร่วมประชุม แล้วเขียนข้อความต่อ 1.ฉันน่ารักมาก 2.ขาฉันเรียวยาวสวยดี 3.คุณพ่อคุณแม่รักฉันจัง 4.พระเจ้าประทานรักแก่ฉนั 5.ฉันวาดภาพได้ ฉันแต่งหนังสือได้ 6.ฉันมีแมวที่น่ารัก และ….

4 จิตสดใส ปีที่ ๑ ฉบับที่ ๒

หลังจากนัน้ ไม่กวี่ นิ าที เสียงปรบมือดังสนัน่ ในที่ประชุมพร้อมทั้งน�้ำตาที่สะเทือนใจจาก หลายๆ คน ณ วันนัน้ ทัศนคติเชิงสุขนิยม และบทพิสูจน์ของเธอเพิ่มก�ำลังใจแก่ผู้คน มากมาย ผู้เป็นโรคสมองพิการผู้นคี้ ือ น.ส.หวาง เหม่ยเหลียน ศิลปศาสตรดุษฎีบัณฑิตจาก UCLA ผูเ้ คยจัดนิทรรศการภาพเขียนส่วนตัว หลายครั้งในไต้หวัน “ฉันมองแต่สิ่งที่ฉนั มี ไม่มองสิ่งที่ฉนั ขาด” ฉันชอบทัศนคติต่อชีวิตแบบนี้ ซึ่งถูกหลัก สุขภาพจิตและสบายใจด้วย ความสุขไม่ได้อยู่ที่คุณครอบครองสิ่งใดมาก แค่ไหน แต่อยู่ที่คุณมีทัศนคติอย่างไรในการ มองสิ่งต่างๆ แหล่งข้อมูล : http://www.womenofchina.cn/html/womenofchina/report/132945-1.htm


ชาย...ผู้ชนะ ครั้งหนึง่ ในอเมริกากลาง

พลัง ของ ความนิดเดียว

ทุกๆ ปีจะมีการประกวดเมล็ดพันธุ์ุข้าวโพด หลังจากการประกวดชายผู้ที่ชนะเลิศที่หนึง่ เขาท�ำในสิ่งที่คาดไม่ถึง นัน่ คือ ... ทันทีที่เขาชนะ เขาได้น�ำเมล็ดพันธุ์ุที่เพิ่งชนะการประกวด แจกให้กับผู้ที่เข้าร่วมการแข่งขันและกล่าวว่า เอาเมล็ดพันธุ์นี้ไปปลูกน่ะ แล้วปีหน้าเรามาแข่งกันใหม่ ในปีต่อมา ... เขาก็ชนะการประกวดเมล็ดพันธุ์ข้าวโพดอีก เขาเดินแจกเมล็ดพันธุ์ที่เขาเพิ่งชนะให้กับคนอื่นๆ แล้วบอกว่า ... เอาไปปลูกน่ะ แล้วปีหน้าเรามาแข่งกันใหม่ ชายผู้นชี้ นะการประกวดเมล็ดพันธุ์ข้าวโพด ติดต่อกัน 6 ครั้ง และเขาก็แจกเมล็ดพันธุ์ที่ชนะให้ผู้แข่งขันคนอื่นๆ ทุกปี มีนกั ข่าวถามเขาว่า ... ไม่เป็นการง่ายกว่าหรือ ถ้าเขาเก็บเมล็ดพันธุ์ที่ดี โดยไม่แบ่งคนอื่น เขาก็จะได้ชนะง่ายๆ ทุกปี เขาตอบว่า ... แสดงว่า ... คุณไม่เข้าใจในการปลูกพืช คุณเคยได้ยนิ ค�ำว่า...การกลายพันธุไ์ หมถ้าไร่ของผมมีเมล็ดพันธุ์ ที่ดี บังเอิญไร่ของเพื่อนบ้านมีแต่เมล็ดพันธุ์ที่แย่ๆ วันหนึ่ง ลมก็จะพัดเอาเกสรของ เมล็ดพันธุ์ที่แย่ๆ มาตกในไร่ของผม ท�ำให้เมล็ดพันธุ์ผมแย่ไปด้วย มันไม่เป็นการดีหรอกหรือ ... ที่ทุกคนมีเมล็ดพันธุ์ที่ดีแล้ว ... ถึงตอนนัน้ มาแข่งกันว่า ... ใครขยัน รดน�้ำพรวนดินดีกว่ากัน มีค�ำกล่าวว่า ... ถ้าคุณมีเมล็ดพันธุ์ความคิดที่ดี คุณเก็บไว้กับตัว ไม่แบ่งปันใคร ถึงวันหนึง่ เมล็ดพันธุ์แห่ง ความคิดนัน้ ก็จะตายไปพร้อมคุณ เป็นสิ่งส�ำคัญในชีวิต ที่ความคิดและความรู้ ยิ่งให้ออกไป เรายิ่งได้รับกลับมา และเป็นส่วนหนึง่ ที่ท�ำให้คนๆ นัน้ ประสบความส�ำเร็จที่มากขึ้นไปพร้อมๆ กับการใช้ชีวิตอย่างมีคุณค่าในสังคม ขอขอบคุณ ข้อความจาก คุณ promin ....Thaigold.info

ป้ายหน้าห้องครูใหญ่ ในโรงเรียนประถมแห่งหนึง่ ณ เมืองคัทสึมาย่า (Katsuyama) ประเทศญี่ปุ่น บอกไว้ว่า (1.01)^365 = 37.8 และ (0.99)^365 = 0.03 1.01 ในที่นี้หมายถึง หากเราขยันขึ้นวันละเล็ก น้อย คือ เพียงแค่วันละ 1 % เราก็จะขยันขึ้น เรื่อยๆ จนสุดท้าย เราจะขยันกว่าเดิม 37.8 เท่า ในเวลา 1 ปี !! กลับกัน ถ้าหากเราผลัดวันประกันพรุ่ง ลดความ ขยันลงเรื่อยๆ เอาน่าวันนี้เหนื่อยอ่ะ พักหน่อย นึง เมื่อวานก็อ่านเยอะแล้วให้รางวัลตัวเองหน่อย ละกัน อ่านลดลงนิดนึงนะ ถ้าท�ำไปเรื่อยๆ แบบ นี้แม้เวลาเพียงหนึง่ ปี เราก็ขยันน้อยกว่าเดิม 33.3 เท่า !! ดังนัน้ อย่าดูถูกความขยันเล็กๆ น้อยๆ จากนี้ไป ให้น้องๆ พยายามขยันขึ้นเรื่อยๆ แล้วสุดท้าย น้องจะเห็นผลลัพธ์อันยิ่งใหญ่ของมันเอง ^^ Note: การสะสมวันละเล็กละน้อยจะค่อยๆ กลาย เป็นพลังที่ยิ่งใหญ่ (บรรทัดบน) กลับกัน.การลบหรือบัน่ ทอนทีละนิดๆ เมือ่ ถึงเวลา เราจะไม่เหลือพลังอะไรเลย(บรรทัดล่าง) ภาพโดยคุณ Ron Tanno จาก http://on.fb.me/ Ws9q3P ซึง่ ระบุไว้วา่ มาจากหน้าห้องครูใหญ่ ใ น โ ร ง เ รี ย น ป ร ะ ถ ม แ ห ่ ง หนึ่ง ณ เมือง Katsuyama ประเทศญี่ปุ่น ขอขอบคุณ ข้อมูลจาก facebook/Thailand Investment Forum และ facebook/super position

สะกดสุข 5


ที่ทำ�งานของฉันอยู่บนเขา

....สุดท้าย มีใคร ได้อะไร เรื่อง พระมหาปัญญา วิสุทโธ ภาพ NatasaPhot

6 จิตสดใส ปีที่ ๑ ฉบับที่ ๒


มีบทกลอนที่ชวนประทับใจบทหนึง่ ประพันธ์ไว้โดยหลวงพ่อพุทธทาส ฉันแอบจ�ำมาเมื่อครั้งไปพักแรมที่สวนโมกขพลาราม “ความเอ่ย ความสุข แกก็สุข ฉันก็สุข ทุกเวลา ถ้าเราเผา ตัณหา ก็น่าสุข เขาว่าสุข สุขเน้อ! อย่าเห่อไป

ใครๆ ทุกคน ชอบเจ้า เฝ้าวิ่งหา แต่ดูหน้า ตาแห้ง ยังแคลงใจ แต่มันเผา เราก็ “สุก” หรือเกรียมได้ มันสุขเย็น หรือสุขไหม้ ให้แน่เอย ฯ

ณ ถนนสายเล็กๆ ที่โอบล้อมด้วยแมกไม้นานาพรรณ ทอดยาวสู่ยอดเขา

ความสุขที่เราแสวงหากลายเป็นความสุกที่แผดเผาจิตใจเรา ท�ำไมถึง เป็นเช่นนัน้ ...

ปกติในยามเย็นฉันกับเพื่อนๆ เรามีนดั กันที่นนั่ เพื่อกวาดใบไม้ ด้วย รูปแบบชีวิตอย่างพวกเรา การออกก�ำลังกายในลักษณะโลดโผน คงดูไม่ เหมาะสมนัก ดังนัน้ กิจกรรมกวาดใบไม้ในยามเย็น นอกจากมุ่งที่ความ สะอาดของเส้นทาง และที่พักอาศัยแล้ว ยังถือเป็นโอกาสที่พวกเราจะ ได้ออกก�ำลังกายไปในตัว แต่ฉนั รู้สึกมากกว่านัน้ ฉันมีความสุขมากที่ได้ ออกมากวาดใบไม้ คงเพราะทุกครั้งเวลาประมาณ ๑ ชั่วโมงในกิจกรรมนี้ ฉันได้ค้นพบอะไรดีๆ ในใจเสมอ

ความสุขไม่ได้อยู่ที่ว่า เราได้ทุกอย่างดั่งใจปรารถนา แต่อยู่ที่ว่าเรารู้จัก สร้างคุณค่าให้กับชีวิต ได้มากน้อยแค่ไหน

วันนีท้ ันทีที่ได้เวลานัดหมาย ฉันฉวยไม้กวาดทางมะพร้าวด้ามใหม่ที่ เพิ่งได้มา บรรจงกวาดใบไม้ทีละน้อยเรื่อยไปตามถนน เเว่วเสียงธรรมตามสายพรรณาถึงสัจธรรมความตาย จิตใจที่ฟุ้งไปใน เรื่องระหว่างวัน ค่อยๆ สงบระงับลง ความหมายของการมีชีวิตที่สดชื่น แจ่มใส ปรากฎขึ้นแทน “ชีวิตหาต่างจากใบไม้ไม่ ผลิใหม่แตกใบเขียวสด ที่สุด ก็แห้งเหี่ยว โรยรา” ในช่วงขณะมีชวี ติ เราล้วนปราถนาจะครอบครอง เป็นเจ้าของสิง่ ต่างๆ ให้ได้มากที่สุด ด้วยความเข้าใจว่า พอได้ทุกสิ่งดังใจปรารถนาแล้ว ความ สุขก็จะติดตามมาเอง เราดิ้นรนท�ำทุกวิถีทาง เพื่อให้ได้มาสมใจ วันหนึง่ สิ่งต่างๆ ที่เราดิ้นรนไขว่คว้าก็่ทยอยเข้ามาในชีวิต เรามาก พร้อมไปด้วยลาภ ยศ หน้าตาและฐานะทางสังคม แต่ก็เป็นเรื่องแปลก ความสุขที่เราหมายตาเอาไว้แต่แรก กลับวิ่งสวนทางห่างออกไปทุกที ท่าม กลางความส�ำเร็จของชีวิต หลายคนกลับพบแต่ความรู้สึกหวาดกลัว ความ เครียดกังวล และความวุ่นวายเดือดร้อนใจ “สิ่งที่เราหวาดกลัวเป็นที่สุด เรากลัวว่าจะไม่ได้ตามที่ใจปรารถนา เรา กลัวจะน้อยหน้าใครๆ เมือ่ ได้มาเราก็อดเครียดกังวลไม่ได้เพราะสิง่ นัน้ ก�ำลัง ค่อยๆ แปรเปลี่ยนไป และเพราะทุกสิ่งที่ได้มานัน้ ต้องประคบประหงม ดูแล หล่อเลีย้ งให้คงทีถ่ าวร ความวุน่ วายเดือนร้อนก็จรมาหาเราอีกไม่หยุด”

ฉันมองดูใบไม้ที่ร่วงหล่น เกลื่อนกล่น เต็มท้องถนน ความจริงปรากฏ ให้ฉนั เข้าใจ เพราะเราลืมคิดถึงสัจจธรรมชีวิต ลืมคิดไปว่า “สุดท้าย มีใคร ได้อะไร” และเมื่อไม่หยุดคิด จิตก็ดิ้นรนไม่หยุดหย่อน ถ้าทุกคน ได้ทุกอย่าง ดั่งใจคิด สิ้นชีวิต จะเอาของ กองตรงไหน มันได้บ้าง เสียบ้าง ช่างปะไร เราท�ำใจ พอไว้บ้าง เท่านัน้ เอง ความสุขไม่ได้อยู่ที่ว่าเราได้ทุกอย่างดั่งใจปรารถนา แต่อยู่ที่ว่าเรา รู้จักสร้างคุณค่าให้กับชีวิตได้มากน้อยแค่ไหน ไม่ต้องดิ้นรนเพื่อจะมีมาก อย่างใครๆ ไม่ต้องร�่ำรวยให้มากอย่างเขาก็ได้ แต่ขอให้เรามีความสุขใจ ที่ ได้ด�ำเนินชีวิตอย่างมีคุณค่า เรียบง่าย ถูกต้อง ตามครรลองคลองธรรม ไม้กวาดจรดพื้นถนนด้วยความรู้สึกตัว ต้อนไล่ใบไม้จากถนนลงสู่ ข้างทางจนสุดสาย ธรรมชาติของชีวิตนัน้ ธรรมดาแสนจะเรียบง่าย ถ้าเรา ไม่ท�ำให้วุ่นวาย แค่ออกก�ำลังกายกวาดใบไม้ เราก็ได้รับความสุขร่มเย็น

เสียงธรรมตามสายยังคงพรรณนาสัจธรรมของชีวิต เรื่อยไป สุดแต่ใครจะเงี่ยโสตสดับ สะกดสุข 7


8 จิตสดใส ปีที่ ๑ ฉบับที่ ๒


ห้องสอบอารมณ์

สะกดสุข เรื่อง พระอาจารย์แจ็ค

ความสุขสะกดไม่ยาก แต่การเดินไปสู่ความสุขเป็นเรื่องที่ค่อนข้างยาก ผู้ที่จะ พบกับความสุขได้นั้น ต้องสะกดค�ำว่า “พอ” เป็นด้วย เมื่อใดก็แล้วแต่ ปรากฏ ค�ำว่า “พอ” ในใจ ของบุคคลใดๆ ก็จะปรากฏความสุขตามมาเป็นธรรมดา มนุษย์ทุกคนบนโลกนี้ ย่อมแสวงหาสิ่งที่ดีที่สุด ไม่ว่าจะเป็นหน้าที่การงาน อาหารการกิน ที่อยู่อาศัยและยารักษาโรค นี้เป็นเรื่องจริง ไม่มีใครกล้ากล่าวปฏิเสธค�ำที่กล่าวไปข้างต้น เพราะฉะนัน้ มนุษย์จึงต้องท�ำงานหนักต้องล�ำบากและฝ่าฝัน ในสิ่งที่เรียกว่าปัญหาต่างๆ ผู้ใดที่เผชิญกับปัญหาแล้ว หนีปัญหาเป็นคนโง่ ผู้ใดที่เผชิญปัญหาและสู้ปัญหาเป็น คนฉลาด เพราะคนที่สู้ปัญหาจะคิดเยอะ สมองจะท�ำงานหนัก และท�ำให้เป็นคนฉลาด สมัยก่อนมนุษย์นงั่ มองฟ้ารอฝน แต่สมัยนี้มนุษย์สั่งให้ฝนตกได้ไม่ต้องรออีกแล้ว นี่ไม่ใช่ เรื่องแปลก เพราะฝนไม่ตกคือปัญหา มนุษย์จึงต้องต่อสู้กับปัญหาที่เกิดขึ้น โดยคิดค้น ประดิษฐ์ และสร้างวิวัฒนาการต่างๆ ขึ้นเพื่อแสดงความฉลาดของตนเอง ถ้ามนุษย์ ทั้งหลายเป็นคนหนีปัญหา เราก็คงต้องยังนัง่ รอฝนอยู่ฉนั ท์ใด มนุษย์เหล่านัน้ ก็ยังคงโง่อยู่ ฉันนัน้ เมือ่ มนุษย์ฉลาดขึน้ แล้ว ความเห็นแก่ตวั เห็นแก่ได้ยอ่ ม เกิดขึ้นเป็นธรรมดา ไม่ใช่เรื่องแปลก แต่สิ่งที่มันเป็น เรื่องแปลก คือมนุษย์ไม่รู้จัก ให้ บ้าง ให้ ในที่นี่ไม่ใช่ เงินทองหรือของกินได้ แต่เป็นการให้น�้ำใจ เมื่อใดที่ ท้องหิวอาหาร อาหารที่มียังประทังชีวิตไปได้ แต่เมื่อใด ทีใจหิวนัน้ น�้ำใจนี่แหละที่จะประทังต่อไปได้ เช่นกัน

เมื่อใดที่ท้องหิวอาหาร อาหารที่มียังประทังชีวิตไปได้ แต่เมื่อใดทีใจหิวนั้น น้ำ�ใจนี่แหละที่จะประทัง ต่อไปได้

ผู้ให้ก่อนย่อมได้รับก่อนฉันใด ถ้าอยากได้รับก่อน ก็ต้องให้เขาก่อนฉันนัน้ การมองตนให้ดีกว่า กว่ามองผู้อื่น การรู้ตนผิดให้ได้ยังดีกว่า กว่ารู้ผู้อื่น เพราะฉะนัน้ ท่านกล้าพอหรือยัง ที่จะมองตัวเองก่อน ก่อนที่จะมองผู้อื่น เมื่อใดที่ท่านกล้าแล้ว เท่ากับ ได้ก้าวขึ้นสู่ทางแห่งความสุข ทางนี้มิใช่ใครก็ก้าวขึ้นมาได้ หากแต่ต้องใช้เวลาและโอกาส เมื่อมีโอกาสแล้วจงเร่งท�ำ หากแต่เฉยชา ก็จะช้าไปอีก ความสุขก็จะมาช้าไปอีกเหมือน กัน คนทุกคนแสวงหาความสุข แต่ความสุขนัน้ เล่า สุมอยู่บนศีรษะตัวเอง คือคิดแต่มันสุข หรือเปล่า มันเป็นไปได้ดั่งใจหรือเปล่า ถ้ามนุษย์คิดได้ว่า ทุกสิ่งคือความสุขก็เท่ากับว่า สะกดได้แล้ว ถ้ามนุษย์คิดได้ว่า “พอ” ก็เท่ากับว่าสะกดได้อีกเหมือนกัน ก็หวังว่าทุกคน จะสะกดได้เหมือนกัน

สะกดสุข 9


ครอบครัวจิตสดใส

ข้าวฟ่างเมล็ดน้อย โลกจะคอยวันที่เจ้าผลิบาน สัมภาษณ์และเรียบเรียง ฐิติขวัญ เหลี่ยมศิริวัฒนา

ฉบับนีเ้ รามาทำ�ความรูจ้ กั กับสาวน้อยว่าทีค่ ณ ุ หมอ ขาประจำ�ค่ายจิตสดใสฯ ทีค่ ณ ุ ครู ประจำ�ค่ายหลายท่านภูมิใจเสนอว่าเป็นหนึ่งในเมล็ดพันธุ์เกรดเอที่ค่ายจิตสดใสฯได้ หว่านไว้ให้แก่สังคมไทย

10 จิตสดใส ปีที่ ๑ ฉบับที่ ๒


s แนะน�ำตัวกับชาวจิตสดใสฯหน่อยค่ะ = สวัสดีค่ะ ^_^ หนูชื่อ นางสาว ชนิดา ทองโสภา ชื่อเล่น ข้าวฟ่าง อายุ 17 ปี เป็น คนกรุงเทพฯ เป็นลูกคนเดียวค่ะ ตอนนี้หนูเรียนอยู่ชั้นปีที่ 1 มหาวิทยาลัยแม่ฟ้าหลวง จังหวัดเชียงราย ส�ำนักวิชาวิทยาศาสตร์สุขภาพ สาขาวิชาการแพทย์แผนไทยประยุกต์ โดยปกติแล้วเป็นคนชอบเข้าวัดท�ำบุญมาตั้งแต่เด็กๆ แล้วค่ะ แต่ก็ไม่ค่อยได้สนใจที่เป็น หลักธรรมจริงๆ จนมีวันนึงคุณแม่เป็นคนแนะน�ำ เลยค่อยๆ เริ่มสนใจค่ะ s ข้าวฟ่างรู้จักค่ายจิตสดใสฯ จากไหนคะ = หนูรู้จักค่ายจิตสดใสฯ จากคุณแม่ค่ะ คุณแม่อ่านนิตยสารซีเคร็ต แล้วเจอข่าว ประชาสัมพันธ์เรื่องค่าย พอดีช่วงนัน้ เป็นช่วงปิดเทอม หนูก�ำลังจะขึ้น ม.4 คุณแม่ก็เลย มาถามหนูว่าอยากไปค่ายธรรมะไหม แล้วก็ยื่นข้อมูลให้อ่าน หนูเห็นว่า น่าสนใจดี มี เกมให้เล่น มีกิจกรรมให้ท�ำเยอะ ก็คิดว่าน่าจะสนุกดี เลยตัดสินใจว่าจะไป เพราะหนู เป็นคนไม่ค่อยนิง่ ค่ะ ซนๆ ชอบท�ำนู่นท�ำนี่ไปเรื่อย เลยชอบที่ค่ายนี้มีกิจกรรมให้ท�ำ เยอะๆ s มาเข้าค่ายจิตสดใสฯ กี่ครั้งแล้ว = 1 ครั้งในฐานะลูกโยคี และ 5 ครั้งในฐานะครูพี่เลี้ยงค่ะ หนูมากับคุณแม่ทุกครั้ง เพราะหนูกับแม่ชอบไปไหนมาไหนด้วยกัน ชอบท�ำอะไรเป็นแพ็กคู่ ตอนที่มาเป็นลูกโยคี หนูเห็นครูพี่เลี้ยงคอยดูเด็ก คอยช่วยเด็ก เห็นครูกองกลาง ยกของ เตรียมของให้เด็ก หนูก็คิดว่าถ้าตัวเองโตแล้วอยากท�ำแบบนัน้ บ้าง ก็เลยตั้งใจ ว่าจบค่ายแรกแล้วจะบอกคุณแม่ว่าอยากมาอีก เพราะติดใจค่ะ (555) หลังจากนัน้ พอ ปิดเทอมปุ๊ป หนูก็เป็นคนบอกคุณแม่เองเลยว่าให้รีบสมัคร เพราะคนเยอะ เดี๋ยวอดไป พอดีว่าช่วงนัน้ เป็นค่ายส�ำหรับเด็กเล็ก หนูก็เลยได้ทดลองเป็นครูพี่เลี้ยงเด็กเป็นครั้งแรก ซึ่งต้องสารภาพว่าจริงๆ แล้วหนูไม่ชอบเด็กเท่าไหร่ (T^T) แต่ก็ไม่เป็นไร บอกกับตัวเอง ว่าลองเปิดใจดู พอถึงเวลาค่าย ปรากฏว่าเด็กติดเราเลยค่ะ ซึ่งก็แปลกดีเหมือนกัน ตั้งแต่นนั้ มาหนูก็เป็นครูพี่เลี้ยงมาเรื่อยๆ พอดีว่ามีอยู่ช่วงนึงที่ทีมงานไม่ค่อยพอ ท�ำให้หนูได้ไปช่วยเป็นครูกองกลาง โอ้โห คราวนี้สนุกเลยค่ะ งานชอบเลย เพราะได้ เตรียมของนู่นนี่ ไม่ได้อยู่นงิ่ มีความสุขสุดๆ เลยค่ะ เนื่องจากหนูชอบงานที่ได้ใช้ก�ำลัง มากกว่าดูแลเด็กอยู่แล้ว (555) พอท�ำแล้วมีความสุขหนูก็เลยไปท�ำเรื่อยๆ ทุกปีค่ะ s ก่อนมาเข้าค่ายจิตสดใสฯ ข้าวฟ่างรู้สึกอย่างไรคะ = รู้สึกตื่นเต้นและก็เครียดในเวลาเดียวกันค่ะ เริ่มคิดมากว่าจะมีเพื่อนไหม จะน่าเบื่อ หรือเปล่า กิจกรรมจะเป็นยังไง ที่นอน อาหารการกินจะเป็นยังไง คิดเยอะค่ะ รู้สึก กังวลมาก s พอได้มาจริงๆ แล้ว รู้สึกอย่างไรบ้าง = ตอนไปเป็นลูกโยคีวันแรกๆ หนูยังไม่ค่อยเปิดใจกับค่ายค่ะ ก็เลยมีร้องไห้บ้าง เพราะ อยากกลับบ้าน คิดถึงแม่ ทั้งๆ ที่แม่ก็ไปด้วย และนัง่ อยู่ที่กลุ่มข้างหน้านี่เอง แต่ว่าคุย กันไม่ได้ ก็เลยงอนแม่ (มีเสียงคุณแม่แจมเข้ามาว่า “ข้าวฟ่างเขางอนแม่ ที่แม่ไม่ยอม คุยด้วย ทั้งๆ ที่เป็นกฎของค่าย แล้วร้องไห้ อยากจะกลับแต่บ้าน” ^^) แต่วันหลังๆ พอหนูเริ่มมีเพื่อน ก็เริ่มไม่อยากกลับบ้าน และเริ่มไม่สนใจแม่แล้วค่ะ เพราะเริ่มสนุกกับ ค่ายแล้ว (555)

สะกดสุข 11


s ข้าวฟ่างชอบอะไรที่สุดเกี่ยวกับค่ายนี้คะ = ชอบท�ำงานกองกลางค่ะ ชอบเตรียมอุปกรณ์ให้ เด็กๆ พอเห็นลูกโยคีท�ำกิจกรรมแล้วมีความสุข หนู ก็ดีใจค่ะ ^___^ s แล้วไม่ชอบอะไรที่สุดเกี่ยวกับค่ายนี้คะ = หนูไม่ชอบอยู่ 2 กิจกรรมในค่ายนี้ คือ หนึง่ ตอนที่ครูบิ๊กสอนเรื่องภพภูมิ หนูไม่ชอบเลย เพราะ หนูกลัว กลัวจนนอนไม่หลับ และกลัวยันกลับบ้าน เลยค่ะ และสอง หนูไม่ชอบกิจกรรมเผาผีความชั่ว ที่ จัดตอนกลางคืน มีโลงศพ แล้วก็มีเสียงเพลงงานศพ คลอเบาๆ เพราะหนูกลัว ไม่ชอบงานศพ แต่พอท�ำ กิจกรรมเสร็จแล้วก็สบายใจดีนะคะ เหมือนได้เอา สิ่งที่ไม่ดีออกจากตัวแล้วก็เริ่มต้นใหม่ด้วยการท�ำสิ่ง ดีๆ แทน s มีเหตุการณ์ประทับใจอะไรเกิดขึ้นในค่าย บ้างไหมคะ = เหตุการณ์ประทับใจของหนูเกิดขึ้นตอนเป็นครู พี่เลี้ยงค่ายเด็กเล็กค่ะ ตอนนัน้ หนูเป็นครูพี่เลี้ยงกลุ่ม เด็กเล็กสุด แล้วมีลูกโยคีคนนึงซ่ามากกกกกกก โอ๊ย หนูรบกับน้องคนนี้สารพัด ความอดทนนี้สูงปรี๊ดดด พอถึงวันสุดท้ายของค่าย กิจกรรมเสร็จหมดแล้ว เด็กๆ ก�ำลังทยอยกลับบ้าน หนูก็ก�ำลังเก็บของอยู่ น้องคนนีก้ ็วิ่งมากอดเอวหนูแน่นเลยไม่ให้เราขยับไป ไหน จนคุณแม่เขามาตามกลับบ้านก็ยังไม่ยอมกลับ คุณแม่ของน้องเลยถามว่า “เอาพี่เค้ากลับบ้านไป ด้วยเลยไหม” น้องก็พยักหน้าและยื้อเวลาอยู่นาน กว่าจะยอมกลับบ้าน หนูก็เลยรู้สึกดีใจว่าไม่น่าเชื่อ เลยว่าจะมีเด็กติดเราขนาดนี้ ทั้งๆ ที่เราแอบโหด นิดนึง s ข้ า วฟ่ า งได้ เ รี ย นรู ้ อ ะไรไปจากค่ า ยจิ ต สด ใสฯ บ้างคะ = โห เยอะค่ะ หลักๆ ก็คือได้รู้ที่มาของหลัก ธรรมค�ำสอนของพระพุทธเจ้า แล้วก็ได้น�ำมาใช้ใน ชีวิตประจ�ำวันจริงๆ นอกจากนัน้ ก็ได้ประสบการณ์ ได้เรียนรู้งานทั้งเบื้องหน้าและเบื้องหลังของค่าย ได้

12 จิตสดใส ปีที่ ๑ ฉบับที่ ๒

หัดท�ำงานร่วมกับผู้อื่น ได้แลกเปลี่ยนความคิดเห็น ได้รับค�ำแนะน�ำและความคิด ดีๆ จากพระอาจารย์และผู้ใหญ่หลายๆ ท่าน ได้รู้จักเพื่อนใหม่หลายคน ทั้งรุ่น เดียวกัน รุ่นพี่ ผู้ใหญ่หลายท่าน และพระอาจารย์ค่ะ s การได้มาเข้าค่ายจิตสดใสฯมีผลต่อชีวิตของข้าวฟ่างอย่างไรบ้างคะ = (ถึงค�ำถามนีค้ ุณแม่ขอตอบก่อนเลยว่า “สิ่งที่แม่สังเกตเห็นได้ชัดก็คือ ข้าว ฟ่างมีเหตุผลมากขึ้นในการตัดสินใจเรื่องการเรียน ฟังผู้ปกครองมากขึ้น และ ตั้งใจเรียนมากขึ้น”) หนูว่าอาจจะเป็นเพราะช่วง ม.ต้น หนูเพิ่งเข้าวัยรุ่น เป็นวัย ที่ฮอร์โมนก�ำลังพลุ่งพล่าน (555) ก็เลยว้าวุ่นพอสมควร ดื้อมาก ไม่ฟังใคร คิดว่า ความคิดของตัวเองถูกต้องที่สุด ฟังแต่เพื่อน ติดเพื่อนมาก แต่พอแม่ชวนไปค่าย จิตสดใสฯ หลังจากกลับจากค่ายชีวิตหนูก็เปลี่ยนไปเป็นคนละคนเลยค่ะ จาก ดื้อมากกลายเป็นดื้อน้อยลงมาก ฟังพ่อแม่มากขึ้น ช่วยแม่ท�ำงานบ้านทุกอย่าง สวดมนต์ทุกเช้าและทุกคืน อาราธนาศีล 5 เป็นประจ�ำทุกวัน และท�ำบุญบ่อยขึ้น นอกจากนัน้ ยังมีสมาธิ มีจุดมุ่งหมายในชีวิตมากขึ้น แยกแยะผิดถูกได้ และมีสติ มากขึ้นเยอะเลยค่ะ ทุกวันนีค้ รอบครัวเราท�ำบุญกันสม�่ำเสมอมาก ถ้าวันไหนหนูว่างคุณแม่จะชวน ไปท�ำบุญที่วัดใกล้ๆ บ้าน ตกเย็นก็สวดมนต์กับคุณแม่ นอกจากนัน้ หนูยังพยายาม ใช้โซเชียลเน็ตเวิร์กให้เป็นประโยชน์ด้วยนะคะ คือเข้าไปอ่านธรรมะทางเฟสบุ๊ค เป็นประจ�ำ เพราะท�ำให้ได้แง่คิดในการด�ำเนินชีวิตมากขึ้นค่ะ s รู้มาว่าข้าวฟ่างใช้ชื่ออีเมลน่ารักมากว่า “Kaofang Love Parent” ซึ่งแปลว่า “ข้าวฟ่างรักพ่อแม่” ท�ำไมถึงใช้ชื่อนี้คะ ถึงขนาดประกาศ เจตนารมณ์กันทางโลกออกไลน์เลยหรือ = (555) ที่มาคือว่าตอนประมาณ ม.ต้น หนูเรียนคอมพิวเตอร์ แล้วคุณครูให้สมัคร อีเมล หนูก็นงั่ คิดว่าจะตั้งชื่อว่าอะไรดี เพราะเห็นคนอื่นเขาตั้งกันแบบยากๆ หนูก็ เลยคิดว่างั้นเอาเป็น “ข้าวฟ่างรักพ่อแม่” นี่แหละง่ายดี แล้วก็เป็นเรื่องจริงด้วย ถึงแม้จะยาวไปหน่อย แต่เวลาเราพิมพ์อีเมลหรือให้อีเมลคนอื่นเราก็จะเห็นเสมอ ว่า เรารักพ่อแม่มากนะ ท�ำให้เราคิดเสมอว่า เราต้องดูแลท่านดีๆ ต้องตอบแทน บุญคุณท่านให้มากที่สุดเท่าที่จะท�ำได้ s ข้าวฟ่างวาดภาพชีวิตของตัวเองในอนาคตไว้อย่างไรบ้างคะ = หนูตั้งใจว่าพอโตขึ้นหนูจะให้พ่อแม่หยุดท�ำงาน แล้วหนูจะเป็นฝ่ายท�ำงาน และดูแลท่านเอง เพราะท่านท�ำงานและดูแลหนูมาเยอะแล้ว หนูก็เลยอยากดูแล ท่านบ้าง และให้พ่อแม่ได้หยุดพักบ้าง ถ้ า เรี ย นจบเมื่ อ ไหร่ ห นู ก็ จ ะเป็ น หมอแพทย์ แ ผนไทยหรื อ แผนโบราณ ค่ะ นอกจากนัน้ ก็อยากเป็นทหารเรือ เพราะคิดว่าเกิดมาทั้งทีก็ต้องตอบแทน ประเทศชาติบ้าง เลยอยากท�ำความดีถวายในหลวง ด้วยการเป็นคนดีของ สังคม และเป็นหมอที่ดี ช่วยเหลือคนอื่นจนสุดความสามารถ ถ้าท�ำได้หนูตั้งใจ


ว่ า จะเป็ น หมอออกหน่ ว ยช่ ว ยเหลื อ ประชาชนที่ ล� ำ บากไม่ มี เงิ น หรื อ ไม่ มี โอกาสออกมาหา หมอข้างนอก และจะไม่เก็บเงินเขาสักบาทเลยค่ะ เพราะอยากช่วยเหลือคนที่ไม่มีโอกาส อย่างเรา หนูคิดว่าในเมื่อเรามีแล้วเราก็ต้องให้คนอื่นบ้างค่ะ การให้เป็นสิ่งที่ดีที่สุดและหนูก็ ไม่ได้หวังผลตอบแทนด้วย ไม่อย่างนัน้ หนูก็อาจจะท�ำงานมูลนิธิ หรือสัจจะกู้ภัย หรือเป็นหน่วยแพทย์ฉกุ เฉินก็ได้ ค่ะ เพราะหนูมีความรู้สึกว่า การช่วยชีวิตคนเป็นเรื่องที่ดีมาก ในวินาทีที่ความเป็นความตาย อยู่ข้างหน้า หากเราสามารถช่วยให้คนอื่นมีชีวิตรอดได้ เราคงมีความสุขมาก เพราะการที่ เราเห็นอุบัติเหตุแล้วได้แต่มองโดยที่ช่วยอะไรเขาไม่ได้เลยนัน้ เป็นเรื่องที่น่าเสียดายมากค่ะ ถ้าหนูสามารถท�ำได้ท�ำหมดทุกอย่างตามที่ตั้งใจไว้ หนูคงมีความสุขมากเลยค่ะ s ข้าวฟ่างรู้สึกอย่างไรกับเด็กสมัยนี้คะ = รู้สึกเหนื่อยแทนค่ะ เพราะสังคม การศึกษา และการด�ำเนินชีวิตของคนสมัยนี้เปลี่ยนแปลง ไปเยอะ สมัยอนุบาลถึง ป.6 หนูยังเล่นอย่างสบายใจไปตามประสาเด็กอยู่เลย แต่สมัยนี้ โอ้โห เรียนพิเศษกันเป็นว่าเล่น ซึ่งก็ไม่ใช่ว่าไม่ดีนะคะแต่หนูรู้สึกว่ามันเยอะเกินไปส�ำหรับเด็ก หนูรู้สึกว่าเด็กสมัยนี้โตเร็วค่ะ รู้เรื่องเยอะ รู้เรื่องเร็ว ฟังผู้ใหญ่น้อยลง เอาแต่ใจตัวเอง มากขึน้ เพราะว่ามีเทคโนโลยีมาสนับสนุนพวกเขาท�ำให้รสู้ กึ ว่าชีวติ วัยเด็กไม่เป็นไปตามธรรมชาติ ที่ควรจะเป็น s แล้วข้าวฟ่างรู้สึกอย่างไรกับผู้ใหญ่สมัยนี้คะ = หนูรู้สึกว่าผู้ใหญ่สมัยนีต้ ั้งเป้าหมายและมีความคาดหวังในตัวของเด็กสูง คอยก�ำกับเด็ก มากไปจนเด็กคิดเองท�ำเองไม่เป็น และไม่ค่อยฟังความคิดเห็นของเด็กๆ หนูอยากให้ผู้ใหญ่ ฟังเหตุผลของเด็กบ้าง โดยอาจจะพบกันคนละครึ่งทาง แล้วใช้เหตุผลและพยายามท�ำความ เข้าใจกัน ดีกว่าคอยก�ำกับเด็กทุกเรื่อง นอกจากนัน้ หนูก็อยากให้ผู้ใหญ่อยู่ห่างจากเทคโนโลยีบ้าง บางทีเด็กก็อยากอยู่กับพ่อแม่ อยากเล่นด้วยกัน อยากใช้เวลากับผู้ปกครองให้เยอะกว่านี้ เด็กไม่ได้อยากอยู่กับเทคโนโลยีที่ ผู้ใหญ่หยิบยื่นให้เสมอไป ที่ส�ำคัญที่สุดก็คือ

อยากบอกผู้ใหญ่วา่ เด็กทุกคนไม่อยากถูกเปรียบเทียบกับคนอืน่ เพราะเค้าจะน้อยใจ ถ้าอยากให้เขาเป็นอย่างไรก็แค่ยกตัวอย่างสิ่งดีๆ ให้เขาเห็นก็พอ ไม่ต้องเอาเขาไป เปรียบเทียบกับใครค่ะ s ถ้าเราสามารถเปลี่ยนอะไรก็ได้สักอย่างหนึ่งในโลกใบนี้ ข้าวฟ่างอยากเปลี่ยน อะไร = หนูอยากเปลี่ยนความคิดและการกระท�ำของทุกคนบนโลกใบนี้ให้เป็นไปในทางที่ดี คิดดี ท�ำดี พูดดี แล้วทุกอย่างก็จะดี เริ่มต้นเปลี่ยนแค่ความคิด ชีวิตก็เปลี่ยนแล้วค่ะ เหมือนที่ฝรั่ง พูดว่า “Change your thought, change you world” ไงคะ ^______^

สะกดสุข 13


มุมนีข้ องคุณแม่ เมื่อได้คุยกับข้าวฟ่างไปแล้ว เราก็มาคุยกับคุณแม่ ครูเบญ - นัญชยา ทองโสภา กันบ้าง ว่าการส่งน้องข้าวฟ่างมาเข้าค่ายจิตสดใสนัน้ มีที่มาที่ไปอย่างไร sคุณแม่รู้จักค่ายจิตสดใสจากไหน ท�ำไมถึงสนใจอยากให้ลูกมาเข้าค่ายจิตสดใสคะ =ปกติครอบครัวของเราสนใจธรรมะอยู่แล้ว เมื่อมีโอกาสก็จะพากันฟังเทศน์ ใส่บาตร หรือ บริจาคเงินช่วยเหลือคนอื่นที่เดือดร้อนเป็นประจ�ำ เมื่อได้ทราบข่าวค่ายจิตสดใสจากนิตยสาร ซีเคร็ต ซึ่งเป็นนิตยสารเกี่ยวกับธรรมะที่คุณแม่อ่านประจ�ำก็เลยสนใจ เพราะอ่านจากนิตยสาร แล้วเห็นเด็กที่ไปเข้าค่ายกลับมามีสมาธิกับการเรียนมากขึ้น ก็เลยอยากให้ลูกของเราได้มีโอกาส ลองดูบ้าง เผื่อว่าจะได้ผลค่ะ sคุณแม่คาดหวังหรืออยากให้ลูกได้อะไรกลับไปจากการมาเข้าค่ายจิตสดใสบ้างคะ =แม่ไม่ได้คาดหวังอะไรมากเลยค่ะ ไม่ใช่ว่าส่งเขามาค่ายแล้วจะคาดหวังให้เขาเป็นคนดีได้ ในครั้งเดียว แต่คุณแม่แค่อยากให้ลูกมีสมาธิกับการเรียนมากขึ้นเท่านัน้ เพราะเด็กสมัยนี้ไม่ เหมือนเด็กสมัยก่อน เด็กสมัยนี้มีชีวิตที่เกี่ยวข้องอยู่กับเทคโนโลยีมากมาย ท�ำให้ไม่ค่อยมี สมาธิ ส่วนเราเองก็ไม่เคยเลี้ยงลูกวัยรุ่นมาก่อน ก็เลยคิดว่าถ้าวิธีนจี้ ะช่วยให้เขามีสมาธิขึ้นบ้าง ก็น่าจะลองดู แต่ปรากฏว่ามาแล้วกลับได้ผลเกินคาด เพราะท�ำให้เขามีสมาธิในการเรียน มากขึ้น คิดเป็นและวางแผนอนาคตของตัวเองได้ดีขึ้นด้วยค่ะ sคุณแม่ส่งลูกมาเข้าค่ายจิตสดใสกี่ครั้งแล้วคะ =รวมทั้งหมดก็ 6 ครั้งแล้วค่ะ แรกๆ ก็ในฐานะลูกโยคี และต่อมาก็ขยับขึ้นไปเป็นครูพี่เลี้ยง sเห็นว่าตัวคุณแม่เองก็เคยมาเป็นครูพี่เลี้ยงในค่ายจิตสดใสด้วย ท�ำไมถึงได้สนใจอยากมา เป็นครูพี่เลี้ยงคะ และเมื่อมาแล้วรู้สึกอย่างไรบ้าง =ที่มาเป็นครูพี่เลี้ยงก็เพราะครั้งแรกที่ส่งลูกมา ทางค่ายขอให้ผู้ปกครองมาร่วมเข้าค่ายด้วย ในฐานะครูพี่เลี้ยง จึงมาพร้อมกับลูก เพราะปกติคุณแม่กับข้าวฟ่างก็จะท�ำอะไรด้วยกันเป็น แพ็คคู่อยู่แล้ว หลังจากนัน้ จึงมาร่วมเป็นครูพี่เลี้ยงทุกครั้ง การได้มาเข้าค่ายกับลูกนอกจากจะท�ำให้เรารู้จักการให้มากขึ้นแล้ว ยังท�ำให้เราได้รู้จัก เข้าใจความคิดของเด็กๆ มากขึ้นด้วย และสามารถน�ำสิ่งที่ได้รู้มาปรับใช้กับครอบครัวเราได้ sคุณแม่ประทับใจอะไรที่สุดเกี่ยวกับค่ายนีค้ ะ =ประทับใจพระธรรมค�ำสั่งสอนของพระอาจารย์ที่มีแนวทางการสอนแบบเข้าใจได้ง่ายค่ะ sในอนาคตคุณแม่อยากส่งลูกมาเข้าค่ายจิตสดใสอีกไหม และส�ำหรับตัวเองคิดว่าจะมา เป็นครูพี่เลี้ยงอีกไหมคะ =คิดว่าจะมาทั้งแม่ทั้งลูกเลยค่ะ ถ้าเวลาเอื้ออ�ำนวย เพราะเราจะได้ฝึกสมาธิเพิ่มขึ้น และ ฝึกการให้ด้วยค่ะ sคุณแม่มีอะไรอยากเสนอแนะ หรืออยากเห็นอะไรอีกบ้างในค่ายจิตสดใสในอนาคต =ก็อยากให้เด็กรุ่นใหม่ไปเข้าค่ายกันเยอะๆ เพื่อฝึกการเป็นผู้ให้และผู้รับที่ดีต่อครอบครัว และสังคมค่ะ

14 จิตสดใส ปีที่ ๑ ฉบับที่ ๒


ผู้ใหญ่ใจดี พี่ๆ ใจบุญ ที่น่ารักทั้งหลาย โปรดทราบ... ค่าย “จิตสดใส วัยบริสุทธิ์ ด้วยพุทธปัญญา” กลับมาแล้วค่ะ โดยจะจัดขึ้นช่วงปิดภาคเรียน ปี 2557 นี้ คือ วันที่ 30 มีนาคม -3 เมษายน 2557 เป็นค่ายสำ�หรับเด็กอายุ 13-15 ปี และ วันที่ 4-7 เมษายน 2557 เป็นค่ายสำ�หรับเด็กอายุ 9-12 ปี ที่ศูนย์ปฏิบัติธรรมเฉลิมพระเกียรติ 84 พรรษา ราชนครินทร์ จ.จันทบุรี หากท่านใดมีจิตศรัทธาสนับสนุนค่ายธรรมะเยาวชน สามารถสนับสนุนได้หลายรูปแบบ ดังต่อไปนี้

1

facebok.c

บริจาคแรงกายแรงใจ โดยการมาเป็นอาสาสมัคร

ู ี่เลี้ยง ครพ

ธรรมะบริการ ช่วยงานในโรงครัว ช่วยงานทำ�ความ

สะอาด

4

miracleo

2 รับบริจาคเป็นสิ่งของแจกโยคี เด็กประมาณ 80 คน เป็น สิ่งของจำ�พวก ดินสอ ยางลบ ปากกา สี หนังสือธรรมะเด็ก ถุงผ้า ของเล่นเด็ก ฯลฯ

b

flemaga

3 อาหารและเครื่องดื่ม • สำ�หรับเด็กได้แก่ เครื่องดื่มบรรจุ กล่องทั้งหลาย • สำ�หรับทีมงาน ได้แก่ เครื่องชง ทุกชนิด เช่น ไมโล โอวัลติน กาแฟ น้ำ�มะตูมผง ฯลฯ

บริจาคเป็นปัจจัย โดยบริจาคด้วยตัวเอง ที่ศูนย์ปฏิบัติธรรมเฉลิมพระเกียรติ 84 พรรษา ราชนครินทร์ จ.จันทบุรี หรือเข้าบัญชี ธ.ไทยพาณิชย์ สาขาย่อยท่าพระจันทร์ ชื่อบัญชี “พระมานพ อุปสโม” บัญชีเลขที่ 114-2-10518-6 สำ�หรับท่านที่โอนปัจจัยทำ�บุญเข้าบัญชีนี้ ขอความกรุณามีต้อยติ่ง 3 บาทด้วยนะคะ เช่น ท่านมีศรัทธาทำ�บุญ 500 บาท ขอความกรุณาโอนเข้ามาเป็นเงิน 503 บาท เพื่อเราจะได้ทราบว่า ยอดนี้สมทบทุนทำ�ค่ายสำ�หรับเยาวชนค่ะ สำ�หรับสิ่งของบริจาค รบกวนเขียนข้างกล่อง/ถุง/หรือซองว่า “ค่ายจิตสดใส” ด้วยนะคะ แต่หากท่านไม่ได้อยู่ใกล้ศูนย์ปฏิบัติ ธรรม สามารถติดต่อทีมงาน เพื่อส่งมอบของกันได้ โดยติดต่อ ครูบิ๊ก 081-741-8141 ครูโชค 081-805-5889 ค่ะ


คน ค้น ค่าย

จิตสดใส... ไปอินเดียค่าาาาา ครูบิ๊ก ครูห่วง

16 จิตสดใส ปีที่ ๑ ฉบับที่ ๒


สวัสดีค่ะชาวจิตสดใสทุกท่าน หลังจากนิตยสาร จิตสดใสฯ ฉบับปฐมฤกษ์เผยโฉมมา ก็ได้รับเสียง ตอบรับทีด่ จี ากมิตรรักแฟนเพลงทุกท่าน เรายินดี รับคำ�ติชมนะคะ และทีส่ ำ�คัญ...ท่านใดคันไม้คนั มือ อยากลุกขึ้นมาขีดๆ เขียนๆ อะไรบ้าง อยากบอก ว่าเรายินดีต้อนรับนะค้า ส่งผลงานของท่านไปได้ เลยที่ครูป๊อบ บรรณาธิการของเราที่ rattiwan@ gmail.com ค่ะ

และส�ำหรับ คน ค้น ค่ายในฉบับนี้ ก็มาตามที่ได้สัญญาไว้ คือจะพาทุกท่าน ไปเตรียมตัวท่องแดนพุทธภูมิที่อินเดียและเนปาลกันค่ะ เพราะตุลาคม 2556 นี้ เราไม่มีค่ายจิตสดใส วัยบริสุทธิ์ ด้วยพุทธปัญญา นะคะ เราจะมีทริป “จิตสดใส ไปอินเดีย” กันแทน ซึ่งทริปนีก้ ็มีลูกทัวร์ทั้งสิ้น 38 ชีวิต คือพระอาจารย์ 4 รูป และ พี่น้องชาวจิตสดใสอีก 34 คนค่ะ ในเวลาที่ทุกท่านได้อ่านคอลัมน์นี้ พวกเราก็คง กลับมาจากอินเดียกันแล้ว คือ 21-30 ตุลาคม 2556 ค่ะ จริงๆ แล้วตัวครูบิ๊กเอง เคยเดินทางไปนมัสการสังเวชนียสถาน 4 ต�ำบลมาแล้ว แต่ครั้งนีท้ �ำไมถึงตัดสินใจ ไปอีกน่ะหรือคะ...ก็เพราะพระอาจารย์มานพ อุปสโมท่านเมตตา เพิ่มทัชมาฮาล เดลลี อักกร้าเข้าไปในโปรแกรมด้วย มีโบนัสพิเศษอย่างนี้ แถมด้วยข้อมูลความรู้ แน่นปึ้กจากคณะพระอาจารย์ทุกรูป ไม่ไปไม่ได้แล้วค่ะ!!! อั นที่ จ ริ ง ...แฟนคลั บ ขนานแท้ ข องค่ า ยจิ ต สดใสก็ ค งจะรู ้ กั น ดี อ ยู ่ แ ล้ ว ว่ า กิจกรรมแสนสนุก ซึ่งเป็นเอกลักษณ์อันโดดเด่นของค่ายเราก็คือการได้เวียนฐาน สังเวชนียสถาน 4 ต�ำบล ลูกโยคี (รวมถึงคุณครูทุกคน) จะได้มีโอกาสเดินทาง ไปกับสายการบินโคกอีแร้งทัวร์ และจินตนาการย้อนเวลากลับไปยังครั้งพุทธกาล ได้เรียนรู้ว่า 2,600 กว่าปีที่แล้ว เกิดอะไรขึ้นที่ลุมพินี พุทธคยา สารนารถ และ กุสินารา ในกิจกรรมนี้พระอาจารย์ 4 รูปก็จะประจ�ำอยู่แต่ละฐานเพื่อให้ความรู้แก่ ลูกโยคีในเวลาฐานละ 20 นาที ที่ฐานก็จะมีรูปสังเวชนียสถานนัน้ ๆ ในหลากหลาย แง่มุม เพื่อให้พวกเราได้บรรยากาศของที่นนั่ ให้มากที่สุด กิจกรรมนีต้ ัวครูบิ๊กเอง แม้จะท�ำมา 40 กว่าค่ายแล้ว แต่ก็ยังไม่เคยเบื่อที่จะฟัง บางท่านอ่านมาถึงแค่นี้ ก็อาจจะคิดว่า “แล้วไง???... มันก็แค่นั่งฟังบรรยาย เท่านั้นเอง” ตอนแรกครูบิ๊กก็คิดอย่างนัน้ เหมือนกัน จนกระทั่งจบค่าย และได้อ่าน แบบสอบถามของครูพี่เลี้ยงและลูกโยคี แบบสอบถามหลายใบมากๆ ค่ะ บอกตรง กันว่า ประทับใจกิจกรรมท่องสังเวชนียสถานมากที่สุด เพราะทั้งรูปภาพและการ บรรยายของพระอาจารย์นนั้ ท�ำให้ภาพพุทธประวัติที่เราเคยเรียนและท่องกันเป็น นกแก้วนกขุนทอง เด่นชัดขึ้นมาจนแทบจับต้องได้ ที่ส�ำคัญครูบิ๊กชอบที่ลูกโยคี คนหนึง่ บอกว่า “ผมเชื่อแล้วครับว่าพระพุทธเจ้ามีจริง ก่อนหน้านี้ผมได้ดูการ์ตูน พุทธประวัติ ผมไม่เคยเชื่อสนิทใจเลยว่า พระพุทธเจ้ามีจริง แต่พอได้ไปเห็นรูป หินรอยเท้าพระพุทธเจ้าที่ลุมพินี ผมเชื่อแล้วครับ”

นี่ ล ่ ะ ค่ ะ ...คื อ ความส� ำ คั ญ ของกิ จ กรรมท่ อ ง สังเวชนียสถาน มันช่วยสร้างศรัทธาให้กับผู้ที่ยังมี ค�ำถามได้มากทีเดียวค่ะ ส�ำหรับตัวครูบิ๊กเอง เรื่องศรัทธานัน้ ไม่ต้องพูดถึง เรารั ก และเชื่ อ พ่ อ ทางจิ ต วิ ญ ญาณของเราเต็ ม ที่ อ ยู ่ แล้ว และเมื่อเดือนธันวาคม 2553 ความใฝ่ฝันหนึง่ ของ ครูบิ๊กก็เป็นจริง คือได้มีโอกาสไปท่องสังเวชนียสถาน “จริงๆ” เสียที ตอนเครื่องบินลอยอยู่บนอากาศ ใน หัวครูบิ๊กเต็มไปด้วยภาพต่างๆ ที่ฐานสังเวชฯ ของ จิตสดใส คิดไปเรื่อยๆ ว่า ของจริงจะเป็นอย่างไร มันตื่นเต้นบอกไม่ถูกค่ะ ตอนนัน้ สิ่งที่ครูบิ๊กคาดหวัง มากๆ ก็คือ อยากไปรับ “พลัง” ที่พระพุทธเจ้าท่าน ได้ “แผ่” ฝากแม่พระธรณีเอาไว้ในดินแดนพุทธภูมิ เรื่องนีน้ ้องชายครูบิ๊กเล่าให้ฟังเอาไว้ 10 กว่าปีมาแล้ว ตอนที่น้องชายบวช พระอาจารย์ของน้องชายได้สอน เรื่องพลังจิตของคนเรา ว่ามีมากมายมหาศาล เพียง แต่คนธรรมดาผู้มืดบอดอย่างเราใช้มันได้เพียงน้อยนิด แต่พระพุทธเจ้านั้น...จิตพระองค์หมดจดจากกิเลส พลังจิตของท่านจึงมหาศาลไม่มีประมาณ ก่อนที่ท่าน จะเสด็จดับขันธปรินิพพานนัน้ ท่านได้แผ่พลังจิตของ ท่านลงบนแผ่นดิน คิดดูสิคะ...ต้องใช้พลังมากมาย สักเพียงใด จึงจะสามารถดึงชาวพุทธทั่วโลกให้ศรัทธา ในพุทธศาสนาได้ แม้ผ่านมา 2,600 ปีและไม่เคยได้ พบพระพุทธเจ้า ครูบิ๊กเคยได้แบ่งปันประเด็นนี้กับพระอาจารย์ ปัญญาท่านบอกว่าท่านคิดว่าเรือ่ งพลังจิตทีพ่ ระพุทธเจ้า แผ่ฝากไว้นนั้ เป็นเรื่องจริงแน่ๆ เพราะตัวท่านเองมี ประสบการณ์ที่สัมผัสได้หลายครั้ง (ก็ท่านไปอินเดีย

สะกดสุข 17


บ่อยเหลือเกินนีค่ ะ) พระอาจารย์เล่าว่า ทุกครั้งที่บินไปอินเดีย ท่านไม่ต้องฟังกัปตันประกาศ เลยว่า ขณะนี้เราบินอยู่ตรงไหน หลายครั้งทีเดียวที่ท่านมีเรื่องต่างๆ ให้คิดมากมายขณะ เครื่องบินอยู่บนอากาศ แต่ทันทีที่เครื่องเข้าสู่เขตประเทศอินเดีย มันเหมือนมีพลังอะไรบาง อย่างท�ำให้ใจท่านสงบลงได้เหมือนปิดสวิทช์เลยทีเดียว นี่ล่ะค่ะ..ท�ำให้ครูบิ๊กอยากไปสัมผัส ประสบการณ์แบบนีด้ ้วยตัวเองบ้าง ท่านคงสงสัยใช่ไหมคะ ว่าครูบิ๊กรู้สึกเหมือนพระอาจารย์ ปัญญาหรือเปล่า ตอบได้ว่า รู้สึกค่ะ แต่ชะรอยจิตเราคงจะไม่ได้นงิ่ มากเป็นทุนเดิมเหมือน พระอาจารย์ ครูบิ๊กก็เลยรู้สึกว่านิง่ ไม่เท่ากับที่ท่านรู้สึก อย่างไรก็ตาม สิ่งหนึง่ ที่สัมผัสได้ แน่นอนคือความปลื้มปิติ และอยากหายใจลึกๆ ทุกขณะ เพราะตลอดเวลาครูบิ๊กจะรู้สึกว่า เราได้หายใจในอากาศเดียวกับพระพุทธเจ้า ต้องรีบซึมซับให้เต็มที่ค่ะ เขาว่ากันว่า เสน่ห์ของอินเดียคือ “ความเยอะ” ไม่เยอะ...ไม่ใช่อินเดีย ก็แหม...อินเดีย เป็นประเทศที่มีประชากรมากเป็นอันดับสองของโลกเชียวนะคะ อันที่จริงอาจจะมากเป็น อันดับหนึง่ ชนะประชากรจีนก็เป็นได้ เพราะอินเดียยังมีประชากรที่ไม่ได้แจ้งเกิดให้ถูกต้อง ตามกฎหมายอยู่เป็นจ�ำนวนมากเหลือเกิน เคยได้ฟังมาว่าอุตสาหกรรมรับซักรีดเสื้อผ้าและ ส่งปิ่นโตในย่านอยู่อาศัยของอินเดียนัน้ มีความแม่นย�ำสูงมาก เสื้อเป็นแสนๆ ตัว แต่ไม่เคย ส่งผิดเลยแม้แต่ครั้งเดียว นี่ล่ะค่ะ..ศิลปะแห่งการ “บริหารความเยอะ” ไม่แน่นะคะ... ถ้า อินเดียมีประชากรน้อยกว่านี้อาจมีการผิดพลาดเกิดขึ้นก็ได้ ฮ่า ฮ่า อินเดียเป็นประเทศที่น่าสนใจอย่างเหลือล้นค่ะ ครูบิ๊กสอนเรื่องการท่องเที่ยว ทุกปีจะมี การจัดอันดับประเทศที่มีเอกลักษณ์โดดเด่นเฉพาะตัว เชื่อไหมคะว่าอินเดียได้อันดับหนึง่ ค่ะ (ไทยได้ที่สิบ!!!) ตอนอ่านผลการส�ำรวจก็สงสัยว่า “จะมีเอกลักษณ์ซักแค่ไหนกันเชียว” แต่ พอได้ไปสัมผัสด้วยตัวเองจึงได้รู้ว่า ต�ำแหน่งแชมป์ของเขาเหมาะสมจริงๆ ค่ะ อ่ะ...ท่านผู้อ่าน คิดดูสิคะว่า ท�ำไมพระพุทธเจ้าจึงทรงเลือกอินเดียเป็นที่ใช้ชีวิตของพระองค์ พระอาจารย์ บรรยายว่า เพราะทรงเล็งเห็นแล้วว่า แม้เวลาจะเปลี่ยนไปกี่พันปี อินเดียจะยังคงความ เป็น “พุทธกาล” ได้ดีที่สุด อินเดียเมื่อ 2,600 ปีที่แล้วเป็นอย่างไร ปัจจุบันก็แทบไม่มีความ แตกต่าง คนรุ่นเราเมื่อได้ไปเห็น ก็จะซาบซึ้งในพุทธประวัติมากขึ้น และนึกภาพออกถึงสิ่ง แวดล้อมในครั้งพุทธกาล คิดดูสิคะ หากพระองค์เลือกลอนดอนหรือปารีส แล้วเราไปเยือน ปารีสเวลานี้ ต่อให้ไกด์บรรยายเก่งขนาดไหน ภาพที่ประจักษ์ต่อสายตาเราจริงๆ คงท�ำให้ เราเห็นภาพพุทธกาลไม่ได้เลย เสน่ห์อีกประการของอินเดียก็คือ ความใกล้ชิดกับธรรมชาติค่ะ ชีวิตของผู้คนช่างห่างไกล กับเทคโนโลยีเสียเหลือเกิน ภาพของสังคมเกษตรเด่นชัด ไม่ต้องสร้างภาพ ดิบๆ แนวๆ กัน เลยทีเดียว ดังจะเห็นได้จากการเข้าห้องน�้ำบรรลือโลก เป็นห้องน�้ำที่ใหญ่ที่สุดในโลก สุดแสน จะโล่งสบาย มีเพียง ทุ่งนา สายลม ท้องฟ้า และเพื่อนร่วมทริปคนอื่นๆ ที่นงั่ ปลดทุกข์อยู่ ข้างๆ (ฮา) เอ๊าาา... ว่าไปนะคะท่านผู้อ่าน ครูบิ๊กว่านี่แหล่ะ...คือเอกลักษณ์ที่ประเทศไหนก็ เลียนแบบอินเดียไม่ได้นะ ประเทศจีนนัน่ ..เขาขึ้นชื่อว่ามีห้องน�้ำ แต่เหม็นชวนสลบ แต่อินเดีย นี่...ไม่มีห้องน�้ำกันเลย ธรรมชาติกว่ากันเยอะค่ะ

18 จิตสดใส ปีที่ ๑ ฉบับที่ ๒


การแต่งเนื้อแต่งตัวของผู้คนก็อีก ลองถามตัวเองว่าถ้าตอนนี้เราลุกขึ้นมาใส่ชุด ไทยไปท�ำงาน ผู้คนคงแห่เอาพวงมาลัยมาคล้องเป็นแน่ ด้วยเข้าใจผิดว่าเป็นนางตานี หลงยุค แต่สาวอินเดียนัน้ นุ่งห่มส่าหรีกันในชีวิตประจ�ำวันค่ะ มันท�ำให้ “อิน” กับการ ท่องพุทธภูมิก็ตรงนี้แหล่ะ สาวๆ ผิวเข้มตาคม ห่มสาหรี ได้ฟีลมากๆ ทีเดียวค่ะ เอาล่ะค่ะ ที่พูดมาทั้งหมดนัน่ เป็นเพียงสิ่งแวดล้อมเท่านัน้ เอง เหนือกว่าสิ่งอื่นใด ทั้งหมดคือจิตวิญญาณของตถาคตที่อบอวลอยู่ในดินแดนแห่งนี้ ไม่ว่าเวลาจะผ่านไป กี่พันปี ศรัทธาของผู้เดินตามรอยพระบาทก็ยังคงมั่นคงหนักแน่นไม่เสื่อมคลาย ส�ำหรับ ครูบิ๊กเองแล้วการไปอินเดียมี 2 เรื่องค่ะที่ท�ำให้รักพระพุทธเจ้าเพิ่มขึ้นมากอย่างหาค�ำ เปรียบเทียบไม่ได้ เรื่องแรกคือพระปัญญาคุณค่ะ จะมีผู้ใดในโลกกล้าแหวกกรงล้อม ของขนบดั้งเดิมได้อย่างสง่างามและเฉียบคมเยี่ยงพระผู้มีพระภาคเจ้า อินเดียเป็น สังคมที่ผู้คนพึ่งพาสิ่งนอกตัวและคุ้นชินกับการร้องขอ อยากได้อะไรก็อ้อนวอนเทพ อยากหมดจดจากบาปก็บูชาไฟ อยากไปสวรรค์ก็ให้ลอยศพในแม่น�้ำศักดิ์สิทธิ์ ตถาคต เพียงผู้เดียวนัน้ ที่กล้าบอกกับคนเรือนล้านรอบตัวว่า “จงพึง่ ตนและจงพึง่ ธรรม” สินค้า ของพระพุทธเจ้าช่างแตกต่างจากสินค้าของเทพองค์อื่นเหลือเกิน ส�ำหรับผู้คนสมัยนัน้ เดินตามพระพุทธเจ้าไม่เห็นจะน่าสนใจเอาเสียเลย สินค้าก็จับต้องไม่ได้ ท�ำตามก็ เหนื่อย เห็นผลก็ยาก แถมท�ำไปเรื่อยๆ ที่สุดก็จะได้ “ความว่างเปล่าดับสูญ” เป็น ที่หมายเสียอีก แต่พระพุทธองค์ก็ยังทรงกล้าหาญ ประกาศธรรมให้เป็นแสงสว่าง ท่ามกลางความมืดมิดได้ ด้วยทรงมั่นใจว่า “ความว่างเปล่าดับสูญ” นัน้ แหล่ะ คือ ความสุขแท้จริง อย่างไม่มีสิ่งอื่นยิ่งกว่า ระหว่างอยู่ที่อินเดีย ครูบิ๊กคิดเสมอว่า ตถาคต ต้องใช้ความพยายาม อุตสาหะ มุ่งมั่นสักเพียงใดเพื่อจะเปลี่ยนระบบความคิดของ คนทั้งโลกได้ แต่ก็ทรงท�ำๆๆ และไม่เคยทรงท้อที่จะขุดและคัดง้างความเชื่อดั้งเดิมที่ หล่อหลอมสังคมมาเนิน่ นาน คิดดูสิคะ...หากเราคิดว่า พระพุทธเจ้าเป็นผู้ที่หักร้างถาง พงเพื่อสร้างทางเดินเรียบๆ เอาไว้ให้เราเดิน พวกเราน่ะ...สบายแค่ไหนแล้วที่ไม่ต้อง เป็นคนบุกเบิก แค่ท�ำหน้าที่ของผู้เดินตามให้แน่วแน่ที่สุดเพื่อตอบแทนความเมตตา ของพระองค์ เราจะท�ำไม่ได้เชียวหรือ กลับจากอินเดียหลายคนจึงมีจิตที่ปักมั่นใน พระธรรมขึ้นกว่าเดิมมากมายเพราะเหตุนี้แหล่ะค่ะ เรื่องที่สองคือ พระมหากรุณาธิคุณค่ะ ทรงเมตตาสรรพสัตว์ทั้งหลายในทุก ลมหายใจเข้าออก หากไม่ทรงรักพวกเราจริง คงไม่ทรงอดทนและพยายามพร�่ำสอน พวกเราหรอก โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ในภูมิประเทศและภูมิอากาศที่ได้ไปสัมผัส ช่วงที่ ครูบิ๊กไปอินเดียนัน้ เป็นเดือนพฤศจิกายน อากาศหนาวเข้าขั้วหัวใจ ตอนเช้าจะเดิน ไปไหนยังก้าวขาไม่ค่อยออก ตอนไปเชตวันพระอาจารย์บังคับให้พวกเราทุกคนถอด รองเท้าแล้วก็เดินบนพื้นด้วยเท้าเปล่า ครูบิ๊กเดินไม่ไหวค่ะ ขอใส่ถุงเท้าหน่อย แต่แม้ ใส่ถุงเท้าก็เถอะ อากาศหนาวท�ำให้ผิวเราอ่อนไหวกว่าปกติ แล้วพื้นดินที่แสนจะขรุขระ ของอินเดียก็ทิ่มแทงทะลุถุงเท้ากันเลยทีเดียว เดินไปได้ไม่ถึง 200 เมตรต้องขอใส่ รองเท้าเหมือนเดิม ไม่เข้าใจว่าพระอาจารย์จะให้ท�ำอย่างนีท้ �ำไม พอท่านเฉลยน�้ำตา ซึมกันถ้วนหน้า พระอาจารย์บอกว่า เราใส่ถุงเท้าใส่รองเท้าเต็มสูตร เดินแค่นี้เรายังเจ็บ

สะกดสุข 19


พระพุทธเจ้าทรงพระด�ำเนิน(เดิน) ด้วยพระบาทเปล่า ออกไปสั่งสอนเวไนยสัตว์ทุกวัน ไม่เคยมีวันหยุดตลอด 45 ปีหลังตรัสรู้ หากท่านไม่ทรงมีเมตตาหาประมาณ มิได้แล้วไซร้ คงไม่ทรงตรากตร�ำขนาดนี้เพื่อขนสัตว์ให้ ออกนอกโลกนอกสังสารวัฎหรอกค่ะ

1. สังเวชนียสถานอันเป็นที่ควรเห็นของกุลบุตรผู้มีศรัทธาด้วยมาตามระลึก ว่าพระตถาคตประสูติในที่นี้

สังเวชนียสถานทั้ง 4 ต�ำบลนัน้ หากถามว่าประทับใจ ที่ใดมากที่สุด ผู้แสวงบุญแต่ละคนก็คงมีความประทับ ใจไม่เหมือนกัน ส�ำหรับตัวครูบิ๊กเองประทับใจกุสินารา อาจด้วยเพราะที่นั่นมีพระพุทธรูปปางปรินิพพาน จึง ท�ำให้ภาพของพระผู้มีพระภาคเจ้าเด่นชัดมาก ผู้ร่วม เดินทางหลายคนก็รสู้ กึ อย่างเดียวกัน และได้ตงั้ จิตต่อหน้า พระพุทธรูปนัน้ ว่า แม้เราจะไม่มีบุญได้ฟังธรรมในครั้งยัง ทรงพระชนม์ชพี อยู่ แต่ตอ่ จากนีเ้ ราจะตัง้ ใจศึกษาเล่าเรียน และปฏิ บั ติ ต ามค� ำ สอนของพระองค์ อ ย่ า งแน่ ว แน่ ขึ้ น กว่าเดิม

3. สังเวชนียสถานอันเป็นที่ควรเห็นของกุลบุตรผู้มีศรัทธาด้วยมาตามระลึก ว่าพระตถาคตทรงยังอนุตตรธรรมจักรให้เป็นไปในที่นี้

เอาล่ะค่ะ...เขียนมาถึงตรงนีก้ ็เริ่มที่จะตื่นเต้น นับ วันรอที่จะได้เดินทางอีกครั้ง และอย่างที่บอก...ทริปนี้ ยังมีทัชมาฮาล เดลลี และอักกร้าให้เป็นโบนัสอีกด้วย คอลัมน์ “คน ค้น ค่าย” ฉบับหน้ารับรองว่า จะน�ำเรื่อง สนุกสนานน่าประทับใจจากทริป “จิตสดใส ไปอินเดีย” มาฝากแน่นอนค่ะ ส�ำหรับแฟนคลับทั้งหลายที่ไม่ได้ร่วม ทริปเดินทางไปด้วย ก็ขอให้ร่วมอนุโมทนาบุญกันนะคะ และขอให้ทุกท่านได้อธิษฐานว่า ในชีวิตนี้ขอให้ได้ไป นมัสการสังเวชนียสถานทั้งสี่นี้สักครั้ง ดังพุทธวจนะที่ว่า “ดูกรอานนท์ สังเวชนียสถานสี่แห่งเหล่านี้ เป็นที่ ควรเห็นของกุลบุตรผู้มีศรัทธาคือ

20 จิตสดใส ปีที่ ๑ ฉบับที่ ๒

2. สังเวชนียสถานอันเป็นที่ควรเห็นของกุลบุตรผู้มีศรัทธาด้วยมาตามระลึก ว่าพระตถาคตตรัสรู้พระอนุตตรสัมมาสัมโพธิญาณในที่นี้

4. สังเวชนียสถานอันเป็นที่ควรเห็นของกุลบุตรผู้มีศรัทธาด้วยมาตามระลึก ว่ า พระตถาคตเสด็ จ ปริ นิ พ พานแล้ ว ด้ ว ยอนุ ป าทิ เ สสนิ พ พานธาตุ ใ นที่ นี้ สังเวชนียสถานสี่แห่งนี้แลเป็นที่ควรเห็นของกุลบุตรผู้มีศรัทธา ดูกรอานนท์ ภิกษุ ภิกษุณี อุบาสก อุบาสิกา จักมาด้วยความเชื่อว่าพระ ตถาคตประสูติในที่นี้ก็ดี พระตถาคตตรัสรู้พระอนุตตรสัมมาสัมโพธิญาณ ในที่นี้ก็ดี พระตถาคตทรงยังอนุตรธรรมจักรให้เป็นไปในที่นี้ก็ดี พระตถาคต เสด็จปรินิพพานแล้วด้วยอนุปาทิเสสนิพพานธาตุในที่นี้ก็ดี ก็ชนเหล่าใด เหล่าหนึ่ง เที่ยวจาริกไปยังเจดีย์ มีจิตเลื่อมใสแล้ว”


ประกาศ... ประกาศ... เปิดรับสมัครแล้วจ้า... ค่าย “จิตสดใส วัยบริสุทธิ์ ด้วยพุทธปัญญา” ช่วงปิดภาคเรียน ปี 2557 นี้ โดยจัดเป็น 2 ค่าย คือ วันที่ 30 มีนาคม-3 เมษายน 2557 เป็นค่ายสำ�หรับเด็กอายุ 13-15 ปี มาเข้าค่าย 4 คืน 5 วัน

วันที่ 4-7 เมษายน2557

เป็นค่ายสำ�หรับเด็กอายุ 9-12 ปี มาเข้าค่าย 3 คืน 4 วัน ที่ศูนย์ปฏิบัติธรรมเฉลิมพระเกียรติ 84 พรรษา ราชนครินทร์ จ.จันทบุรี ผู้ปกครองท่านใดที่สนใจ สามารถขอรับระเบียบการและใบสมัครได้ตาม 4 ช่องทางต่อไปนี้ 1. ส�ำหรับผู้ที่อยู่ใกล้บริเวณศูนย์ปฏิบัติธรรมเฉลิมพระเกียรติ 84 พรรษา ราชนครินทร์ ให้มารับใบสมัครและส่งใบสมัครได้ด้วย ตนเอง ที่ห้องประชาสัมพันธ์ของศูนย์ (ในกรณีที่ตั้งใจจะมารับใบสมัครและสมัครเลยให้เตรียมหลักฐานคือ 1) รูปถ่ายเด็กที่สมัคร ขนาด 1 นิ้ว 1 ใบ 2) ส�ำเนาบัตรประชาชนหรือส�ำเนาสูติบัตร 3) ซองเปล่าติดแสตมป์ 3 บาท จ่าหน้าซองถึงตัวท่านเอง มาด้วย) 2. หรือขอใบสมัครเข้ามาได้ที่อีเมล์ goodkidshappy@yahoo.com 3. ดาวน์โหลดได้จากเว็บไซต์ www.jitsodsai.com หรือ www.pra-manop.org หรือ ค้นหาใน google ด้วยค�ำว่า “ค่ายจิตสดใส” ก็ได้ค่ะ 4. ท่านสามารถส่งใบสมัครได้ด้วยตนเองที่โต๊ะประชาสัมพันธ์ของศูนย์ปฏิบัติธรรมเฉลิมพระเกียรติ 84 พรรษา ราชนครินทร์ หรือกรอกใบสมัครให้ชัดเจนส่งใบสมัครพร้อมหลักฐานมาทางไปรษณีย์ ตามที่อยู่ที่ระบุในระเบียบการ

สอบถามรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ ครูบิ๊ก 081-741-8141 ครูโชค 081-805-5889 ครูเล็ก 089-754-9020

เปิดรับสมัครวันนี้ 15 มกราคม – 15 กุมภาพันธ์ นี้

ค่ายเด็ก 9-12 ปี รับ 70 คน และค่ายเด็ก 13-15 ปี รับ 60 คน เท่านั้นนะคะ


นิทานชาดกพุทธประวัติ

มหาชนกชาดก

22 จิตสดใส ปีที่ ๑ ฉบับที่ ๒


“ความเพียรย่อมมีประโยชน์ แม้จะมองไม่เห็นฝั่ง เราก็จะว่ายไปจนกว่าจะถึงฝั่งเข้าสักวันหนึ่ง”

ณ เมืองมิถิลาแห่งรัฐวิเทหะ พระเจ้าแผ่นดิน ทรงพระนามว่า พระเจ้า มหาชนก ทรงมีพระโอรสสององค์ คือ เจ้าอริฏฐชนก และ เจ้าโปลชนก เจ้าอริฏฐชนกทรงเป็นอุปราช ส่วนเจ้าโปลชนกทรง เป็นเสนาบดี เมื่อ พระราชบิดาสวรรคต เจ้าอริฏฐชนกผู้เป็นอุปราช ก็ได้ครองบ้านเมืองต่อมา เจ้าโปลชนกทรงเป็นอุปราช ทรงเอาใจใส่ดูแลบ้านเมืองช่วยเหลือพระ เชษฐาอย่างดียิ่ง มีอ�ำมาตย์คนหนึง่ ไม่พอใจพระเจ้าโปลชนก จึงหาอุบาย ให้พระราชาอริฏฐชนกระแวงพระอนุชา โดยทูลพระราชาว่า เจ้าโปลชนก คิดขบถ จะปลงพระชนม์พระราชา พระราชาทรงเชื่อค�ำ อ�ำมาตย์ จึงให้ จับเจ้าโปลชนกไปขังไว้ เจ้าโปลชนกเสด็จหนี ไปจากที่คุมขังได้หลบไป อยู่ที่ชายแดนเมืองมิถิลา เจ้าโปลชนก ทรงคิดว่า เมื่อครั้งที่ยังเป็นอุปราช นัน้ มิได้เคยคิดร้ายต่อพระราชา ผู้เป็นพี่เลย แต่ก็ยังถูกระแวงจนต้องหนี มา ถ้าพระราชาทรงรู้ว่า อยู่ที่ไหนก็คงให้ทหารมาจับไปอีกจนได้ บัดนี้ ผู้คนมากมาย ที่ชายแดนที่เห็นใจ และพร้อมที่จะเข้าเป็นพวกด้วย ควร ที่จะรวบรวมผู้คนไปโจมตีเมืองมิถิลาเสียก่อนจึงจะดีกว่า เมื่อคิดดังนัน้ แล้ว เจ้าโปลชนกก็พาสมัครพรรคพวกยกเป็นกองทัพไปล้อมเมืองมิถิลา บรรดาทหารแห่งเมืองมิถิลาพากัน เข้ากับเจ้าโปลชนกอีกเป็นจ�ำนวนมาก เพราะเห็นว่าเจ้าโปลชนก เป็นผู้ซื่อสัตย์ และมีความสามารถ แต่กลับถูก พระราชาระแวง และจับไปขังไว้โดยไม่ยุติธรรม ครั้นเมื่อเจ้าโปลชนกมีผู้คนไพร่พลเข้าสมทบด้วยเป็นจ�ำนวนมากมาย เช่นนี้ พระเจ้าอริฏฐชนกทรงเห็นว่า ไม่มีทางจะเอาชนะได้ จึงตรัสสั่ง พระมเหสีซงึ่ ก�ำลังทรงครรภ์แก่ ให้ทรงหลบหนี เอาตัวรอด ส่วนพระองค์เอง ทรงออกท�ำสงคราม และสิน้ พระชนม์ ในสนามรบ เจ้าโปลชนกจึงทรงได้เป็น กษัตริย์ ครองเมืองมิถิลาสืบต่อมา ฝ่ายพระมเหสีของพระเจ้าอริฏฐชนก เสด็จหนีออกจากเมืองมา ตัง้ พระทัย จะเสด็จไปอยู่เมือง กาลจัมปากะ แต่ก�ำลังทรงครรภ์แก่ เดินทางไม่ไหว ด้วยเดชานุภาพ แห่งพระโพธิสัตว์ซึ่งอยู่ในพระครรภ์ พระอินทร์จึงเสด็จ มาช่วย ทรงแปลงกายเป็นชายชราขับเกวียนมาที่ศาลาที่พระนางพักอยู่ และถามขึ้นว่า “มีใครจะไปเมืองกาลจัมปากะบ้าง” พระนางดีพระทัย รีบตอบว่า “ลุงจ๋า ฉันจะไปจ๊ะ” พระอินทร์แปลงจึงรับพระนางขึ้นเกวียน พาเดินทางไปเมืองกาลจัมปากะ ด้วยอานุภาพเทวดา แม้ระยะทางไกล ถึง 60 โยชน์ เกวียนนัน้ ก็เดินทางไปถึงเมืองในชั่ววันเดียว พระมเหสีเสด็จ ไปนัง่ พักอยูใ่ นศาลาแห่งหนึง่ ในเมืองนัน้ บังเอิญมีพราหมณ์ทิศาปาโมกข์ ผู้หนึง่ เดินผ่านมาเห็นพระนางเข้า ก็เกิดความเอ็นดูสงสาร จึงเข้าไปไถ่ถาม พระนางก็ตอบว่าหนีมาจากเมืองมิถลิ า และไม่มญ ี าติพนี่ อ้ งอยูท่ เี่ มืองนีเ้ ลย พราหมาณ์ทิศาปาโมกข์จึงรับพระนางไปอยู่ด้วยที่บ้านของตน อุปการะ เลี้ยงดูพระนางเหมือนเป็นน้องสาว

ไม่นานนัก พระนางก็ประสูติพระโอรส ทรงตั้งพระนามว่า มหาชนก กุมาร ซึ่งเป็นพระนามของพระอัยกาของพระกุมาร มหาชนกกุมารทรง เติบโตขึ้นในเมืองกาลจัมปากะ มีเพื่อนเล่นเด็กๆ วัยเดียวกันเป็นจ�ำนวน มาก วันหนึง่ มหาชนกกุมารโกรธกับเพื่อนเล่น จึงลากเด็กคนนัน้ ไปด้วย ก�ำลังมหาศาล เด็กก็ร้องไห้บอกกับคนอื่นๆ ว่า ลูกหญิงม่าย รังแกเอา มหาชนกกุมารได้ยินก็แปลกพระทัยจึงไปถาม พระมารดาว่า “ท�ำไม เพื่อนๆ พูด ว่า ลูกเป็นลูกแม่ม่าย พ่อของลูกไปไหน” พระมารดาตอบว่า “ก็ท่านพราหมณ์ทิศาปาโมกข์นั่นแหล่ะเป็นพ่อของลูก” เมื่อมหาชนก กุมารไปบอกเพื่อนเล่นทั้งหลาย เด็กเหล่านัน้ ก็หัวเราะเยาะ บอกว่า “ไม่จริง ท่านอาจารย์ทิศาปาโมกข์ไม่ใช่พ่อของเจ้า” มหาชนกก็กลับมา ทูลพระมารดา อ้อนวอนให้บอกความจริง พระมารดาขัดไม่ได้ จึงตรัส เล่าเรื่องทั้งหมดให้พระโอรสทรงทราบ เมื่อพระกุมารทราบว่าพระองค์ ทรงมีความเป็นมาอย่างไร ก็ทรงตั้งพระทัยว่าจะร�่ำเรียนวิชาการเพื่อให้ มีความรู้ความสามารถ จะได้เสด็จไปเอาราชสมบัติเมืองมิถิลาคืนมา ครั้ น มหาชนกกุ ม ารร�่ ำ เรี ย นวิ ช าในส� ำ นัก พราหมณ์ จ นเติ บ ใหญ่ พระชนม์ได้ 16 พรรษา จึงทูลพระมารดาว่า “หม่อมฉันจะเดินทางไป ค้าขาย เมื่อมีทรัพย์สินมากพอแล้ว จะได้คิดอ่านเอาบ้านเมืองคืนมา” พระมารดาทรงน�ำเอาทรัพย์สินมีค่ามาจากมิถิลา 3 สิ่ง คือ แก้วมณี แก้วมุกดา และแก้ววิเชียร อันมีราคามหาศาล จึงประทานแก้วนัน้ ให้ พระมหาชนกเพื่อน�ำไปซื้อสินค้า พระมหาชนกทรงจัดซื้อสินค้าบรรทุก ลงเรือร่วมไปกับ พ่อค้าชาวสุวรรณภูมิ ในระหว่างทางเกิดพายุใหญ่ โหมกระหน�่ำ คลื่นซัดจนเรือจวนจะแตก บรรดาพ่อค้าและลูกเรือพา กันตระหนกตกใจ บวงสรวง อ้อนวอนเทพยดาขอให้รอดชีวิต ฝ่าย มหาชนกกุมาร เมื่อทรงทราบว่าเรือจะจมแน่แล้ว ก็เสวยอาหารจน อิ่ม หน�ำ ทรงน�ำผ้ามาชุบน�้ำมันจนชุ่ม แล้วนุ่งผ้านัน้ อย่างแน่นหนา ครั้น เมื่อเรือจมลง เหล่าพ่อค้ากลาสี เรือทั้งปวงก็จมน�้ำ กลายเป็นอาหาร ของสัตว์น�้ำไปหมด แต่พระมหาชนกทรงมีก�ำลังจากอาหารที่เสวย มี ผ้าชุบน�้ำมัน ช่วยไล่สัตว์น�้ำ และช่วยให้ลอยตัวอยู่ในน�้ำได้ดี จึงทรง แหวกว่ายอยู่ในทะเลได้นานถึง 7 วัน ฝ่ายนางมณีเมขลา เทพธิดา ผู้รักษามหาสมุทร เห็นพระมหาชนก ว่ายน�้ำอยู่เช่นนัน้ จึงลองพระทัย พระมหาชนก “ใครหนอ ว่ายน�้ำอยู่ได้ถึง 7 วัน ทั้งๆ ที่มองไม่เห็นฝั่ง จะ ทนว่ายไปท�ำไมกัน” พระมหาชนกทรงตอบว่า “ความเพียรย่อมมีประโยชน์ แม้จะมองไม่เห็นฝั่ง เราก็จะว่ายไป จนกว่าจะถึงฝั่งเข้าสักวันหนึ่ง”

สะกดสุข 23


นางมณีเมขลากล่าวว่า

“มหาสมุทรนี้กว้างใหญ่นัก ท่านจะพยายามว่ายสัก เท่าไรก็คงไม่ถึงฝั่ง ท่านคงจะตายเสียก่อนเป็นแน่”

พระมหาชนกตรัสตอบว่า

“คนที่ท�ำความเพียรนั้น แม้จะต้องตายไปในขณะ ก�ำลังท�ำความเพียรพยายามอยู่ ก็จะไม่มีผู้ใดมาต�ำหนิ ติเตียนได้ เพราะได้ท�ำหน้าที่เต็มก�ำลังแล้ว”

นางมณีเมขลาถามต่อว่า

“การท�ำความพยายามโดยมองไม่เห็น ทางบรรลุ เป้าหมายนั้น มีแต่ความยากล�ำบาก อาจถึงตายได้ จะ ต้องเพียรพยายามไปท�ำไมกัน”

พระมหาชนกตรัสตอบว่า

“แม้ จ ะรู ้ ว ่ า สิ่ ง ที่ เ ราก� ำ ลั ง กระท� ำ นั้ น อาจไม่ ส� ำ เร็ จ ก็ตาม ถ้าไม่เพียรพยายามแต่กลับหมดมานะเสียแต่ตน้ มือ ย่ อ มได้ รั บ ผลร้ า ยของความเกี ย จคร้ า นอย่ า งแน่ น อน ย่อมไม่มีวันบรรลุถึงเป้าหมายที่ต้องการ บุคคลควรตั้ง ความเพียรพยายาม แม้การนั้นอาจไม่ส�ำเร็จก็ตาม เพราะ เรามีความพยายาม ไม่ละความตั้งใจ เราจึงยังมีชีวิตอยู่ ได้ ในทะเลนี้ เมื่อคนอื่นได้ตายกันไปหมดแล้ว เราจะ พยายามสุดก�ำลัง เพื่อไปให้ถึงฝั่งให้จงได้” นางมณีเมขลาได้ยินดังนัน้ ก็เอ่ยสรรเสริญความ เพียรของมหาชนกกุมาร และช่วยอุ้มพามหาชนกกุมาร ไปจนถึงฝั่งเมืองมิถิลา วางพระองค์ไว้ที่ศาลาในสวน แห่งหนึง่ ในเมืองมิถิลา พระราชาโปลชนกไม่มีพระโอรส ทรงมีแต่พระธิดาผู้ฉลาดเฉลียวเป็นอย่างยิ่ง พระนามว่า เจ้าหญิงสิวลี ครัน้ เมือ่ พระองค์ประชวรหนักใกล้จะสวรรคต บรรดาเสนา ทั้งปวงจึงทูลถามขึ้นว่า เมื่อพระองค์ สิ้นพระชนม์แล้วราชสมบัติ ควรจะตกเป็นของผู้ใด ใน เมื่อไม่ทรงมีพระโอรส พระเจ้าโปลชนก ตรัสสั่งเสนาว่า “ท่ า นทั้ ง หลายจงมอบราชสมบั ติ ใ ห้ แ ก่ ผู ้ มี ค วาม สามารถดังต่อไปนี้ ประการแรก เป็นผู้ที่ท�ำให้พระราช ธิดาของเราพอพระทัยได้ ประการที่สอง สามารถรู้ว่า ด้ า นไหนเป็ น ด้ า นหั ว นอนของบั ล ลั ง ก์ รู ป สี่ เ หลี่ ย ม ประการที่สาม สามารถยกธนูใหญ่ ซึ่งต้องใช้แรงคน ธรรมดาถึงพันคนจึงจะยกขึ้นได้ ประการที่สี่ สามารถชี้ บอกขุมทรัพย์มหาศาลทั้ง 13 แห่งได้”

24 จิตสดใส ปีที่ ๑ ฉบับที่ ๒

แล้วจึงตรัสบอกปัญหาของขุมทรัพย์ทั้ง 13 แห่ง แก่เหล่าอ�ำมาตย์ เช่น ขุมทรัพย์ที่ ดวงอาทิตย์ขึ้น ขุมทรัพย์ที่ดวงอาทิตย์ตก ขุมทรัพย์ที่อยู่ภายใน ขุมทรัพย์ที่อยู่ภายนอก ขุมทรัพย์ที่ไม่ใช่ภายในและภายนอก ขุมทรัพย์ที่ปลายไม้ ขุมทรัพย์ที่ปลายงา ขุมทรัพย์ ที่ปลายหาง เป็นต้น เมื่อพระราชาสิ้นพระชนม์ บรรดาเสนาบดี ทหาร พลเรือน และประชาราษฎร์ทั้ง หลายต่างพยายามที่จะเป็นผู้สืบราชสมบัติ แต่ก็ไม่มีผู้ใดสามารถท�ำให้เจ้าหญิงสีวลี พอพระทัยได้ เพราะล้วนแต่พยายามเอาพระทัยเจ้าหญิงมากเกินไป จนเสียลักษณะของ ผู้ที่จะปกครองบ้านเมือง ไม่มีผู้ใดสามารถยกมหาธนูใหญ่ได้ ไม่มีผู้ใดรู้ทิศหัวนอนของ บัลลังก์สี่เหลี่ยม และไม่มีผู้ใดไขปริศนาขุมทรัพย์ได้ ในที่สุดบรรดาเสนาข้าราชบริพารจึง เห็นควรตั้งพิธีเสี่ยงราชรถ เพื่อหาตัวบุคคลผู้มีบุญญาธิการสมควรครองเมือง บุษยราช รถเสีย่ งทายนัน้ ก็แล่นออกจากพระราชวัง ตรงไปทีส่ วน แล้วหยุดอยูห่ น้าศาลาทีพ่ ระมหาชนก ทรงนอนอยู่ ปุโรหิตที่ตามราชรถจึงให้ประโคมดนตรีขึ้น พระมหาชนกได้ยินเสียง ประโคม จึงลืมพระเนตรขึ้น เห็นราชรถ ก็ทรงด�ำริว่า คงเป็นราชรถเสี่ยงทาย พระราชา ผู้มีบุญเป็นแน่ แต่ก็มิได้แสดงอาการอย่างใดกลับบรรทมต่อไป ปุโรหิตเห็นดังนัน้ ก็ คิดว่า บุรุษผู้นี้เป็นผู้มีสติปัญญา ไม่ตื่นเต้นตกใจกับสิ่งใดโดยง่าย จึงเข้าไปตรวจดู พระบาทพระมหาชนก เห็นลักษณะต้องตาม ค�ำโบราณว่าเป็นผู้มีบุญ จึงให้ประโคม ดนตรีขึ้นอีกครั้ง แล้วเข้าไปทูลอัญเชิญพระมหาชนกให้ทรงเป็นพระราชาเมืองมิถิลา พระมหาชนกตรัสถามว่า พระราชาไปไหนเสีย ปุโรหิตก็กราบทูลว่า พระราชาสวรรคต ไม่มีพระโอรส มีแต่พระธิดาคือ เจ้าหญิงสิวลี แต่องค์เดียว พระมหาชนกจึงทรงรับเป็น กษัตริย์ครองมิถิลา ฝ่ายเจ้าหญิงสิวลีได้ทรงทราบว่า พระมหาชนกได้ราชสมบัติ ก็ประสงค์จะทดลอง ว่า พระมหาชนก สมควรเป็นกษัตริย์หรือไม่ จึงให้ราชบุรุษไปทูลเชิญเสด็จมาที่ปราสาท ของพระองค์ พระมหาชนกก็เฉยเสีย มิได้ไปตามค�ำทูล เจ้าหญิงให้คนไปทูลถึง 3 ครั้ง พระมหาชนกก็ไม่สนพระทัย จนถึงเวลาหนึง่ ก็เสด็จไปที่ปราสาทของเจ้าหญิงเอง โดย ไม่ทรงบอกล่วงหน้า เจ้าหญิงตกพระทัยรีบเสด็จมาต้อนรับเชิญไปประทับบนบัลลังก์ พระมหาชนกจึ ง ตรั ส ถามอ� ำ มาตย์ ว ่ า พระราชาที่ สิ้ น พระชนม์ ต รั ส สั่ ง อะไรไว้ บ ้ า ง อ�ำมาตย์ก็ทูลตอบ พระมหาชนกจึงตรัสสั่งว่า ข้อที่ 1 “ที่ว่าท�ำให้เจ้าหญิงพอพระทัย” เจ้าหญิงได้แสดงแล้วว่าพอพระทัยเรา จึงได้เสด็จมาต้อนรับเรา “ข้อที่ 2 เรื่องปริศนา ทิศหัวนอนบัลลังก์นนั้ พระมหาชนกทรง คิดอยู่ครู่หนึง่ แล้วถอดเข็มทองค�ำที่กลัดผ้า โพกพระเศียรออก ส่งให้เจ้าหญิงให้วางเข็มทองค�ำไว้ เจ้าหญิงทรงรับเข็มไปวางไว้ บน บัลลังก์สี่เหลี่ยม พระมหาชนกจึงทรงชี้บอกว่าตรงที่เข็มวาง อยู่นนั้ แหละคือทิศหัวนอน ของบัลลังก์ โดยสังเกตจากการที่เจ้าหญิงทรงวางเข็มทองค�ำจากพระเศียรไว้ ข้อที่ 3 นัน้ ก็ตรัสสั่งให้น�ำมหาธนูมา ทรงยกขึ้นและน้าวอย่างง่ายดาย ข้อที่ 4 เมื่ออ�ำมาตย์ กราบทูลถึงปัญหาของขุมทรัพย์ทั้ง 13 แห่ง พระมหาชนกทรงคิดอยู่ครู่หนึง่ แล้วก็ตรัส บอกค�ำแก้ปริศนา ขุมทรัพย์ทั้ง 13 แห่งได้หมด เมื่อสั่งให้คนไปขุดดูก็พบขุมทรัพย์ ตาม ที่ตรัสบอกไว้ทุกแห่ง ผู้คนจึงพากันสรรเสริญปัญญาของพระมหาชนกกันทั่วทุกแห่งหน พระมหาชนกโปรดให้เชิญพระมารดาและพราหมณ์ทิศาปาโมกข์จากเมืองกาลจัมปากะ ทรงอุปถัมภ์ บ�ำรุงให้สุขสบาย ตลอดมา


จากนัน้ ทรงสร้างโรงทานใหญ่ 6 ทิศในเมืองมิถิลา ทรงบริจาคมหาทานเป็นประจ�ำ เมืองมิถิลาจึงมีแต่ความผาสุก สมบูรณ์ เพราะพระราชาทรงอยู่ในทศพิธราชธรรม ต่อมา พระนางสิวลีประสูติพระโอรส ทรงนามว่า ทีฆาวุกุมาร เมื่อเจริญวัยขึ้น พระบิดาโปรด ให้ด�ำรงต�ำแหน่งอุปราช อยู่มาวันหนึง่ พระราชามหาชนกเสด็จอุทยานทอดพระเนตร เห็นมะม่วงต้นหนึง่ กิ่งหัก ใบไม้ร่วง อีกต้นมีใบแน่นหนา ร่มเย็นเขียวชอุ่ม จึงตรัสถาม อ�ำมาตย์กราบทูลว่าต้นมะม่วง ที่มีกิ่งหักนัน้ เป็นเพราะรสมีผลอร่อย ผู้คนจึงพากันสอย บ้าง เด็ดกิ่งและขว้างปาเพื่อเอาบ้าง จนมีสภาพเช่นนัน้ ส่วนอีกต้น ไม่มีผล จึงไม่มีคน สนใจ ใบและกิ่งจึงสมบูรณ์เรียบร้อยดี พระราชาได้ฟังก็ทรงคิดว่า ราชสมบัติ เปรียบ เหมือน ต้นไม้มีผลอาจถูกท�ำลาย แม้ไม่ถูกท�ำลายก็ต้องคอยระแวดระวังรักษา เกิด ความกังวล เราจะท�ำตนเป็นผู้ไม่มีกังวลเหมือนต้นไม้ไม่มีผล เราจะออกบรรพชา สละ ราชสมบัติเสีย มิให้เกิดกังวล พระราชาเสด็จกลับมาปราสาท ปลงพระเกศาพระมัสสุ ครองผ้ากาสาวพัสตร์ ครองอัฏฐบริขารครบถ้วน แล้วเสด็จออกจากมหาปราสาทไป ครั้นพระนางสิวลีทรงทราบ ก็รีบติดตามมา ทรงอ้อนวอนให้ พระราชาเสด็จกลับ พระองค์ ก็ไม่ยินยอม พระนางสิวลีจึงท�ำอุบายให้อ�ำมาตย์ เผาโรงเรือนเก่าๆ และ กองหญ้า กอง ใบไม้ เพื่อให้พระราชา เข้าพระทัยว่าไฟไหม้พระคลังจะได้เสด็จกลับ พระราชาตรัสว่า พระองค์เป็นผู้ไม่มีสมบัติแล้ว สมบัติที่แท้จริงของพระองค์ คือความสุขสงบจากการ บรรพชานัน้ ยังคงอยู่กับพระองค์ ไม่มีผู้ใดท�ำลายได้ พระนางสิวลีทรงท�ำอุบายสักเท่าไร พระราชาก็มิได้สนพระทัย และตรัสให้ประชาชนอภิเษกพระทีฆาวุราชกุมารขึ้นเป็น กษัตริย์ เพื่อปกครองมิถิลาต่อไป พระนางสิวลีไม่ทรงละความเพียร พยายามติดตาม พระมหาชนกต่อไปอีก วันรุ่งขึ้นมีสุนขั คาบเนื้อที่เจ้าของเผลอ วิ่งหนีมาพบผู้คนเข้าก็ ตกใจทิ้งชิ้นเนื้อไว้ พระมหาชนกคิดว่า ก้อนเนื้อนี้เป็นของไม่มีเจ้าของ สมควรที่จะเป็น อาหารของเราได้ จึงเสวยก้อนเนื้อนัน้ พระนางสิวลีทรงเห็นดังนัน้ ก็เสียพระทัยอย่างยิ่ง ที่พระสวามีเสวยเนื้อที่สุนขั ทิ้งแล้ว แต่พระมหาชนกว่า นี่แหล่ะเป็นอาหารพิเศษ ต่อมา ทั้งสองพระองค์ทรงพบเด็กหญิงสวมก�ำไลข้อมือ ข้างหนึง่ มีก�ำไลสองอัน อีกข้างมีอัน เดียว พระราชาตรัสถามว่า

“ท�ำไมก�ำไลข้างที่มีสองอันจึงมีเสียงดัง”

เด็กหญิงตอบว่า

”เพราะก�ำไลสองอันนั้น กระทบกันจึงเกิดเสียงดัง ส่วนที่มีข้างเดียวนั้นไม่ได้ กระทบกับอะไรจึงไม่มีเสียง” พระราชาจึงตรัสแนะให้พระนางคิดพิจารณาถ้อยค�ำของเด็กหญิง ก�ำไลนัน้ เปรียบ เหมือนคนที่อยู่สองคน ย่อมกระทบกระทั่งกัน ถ้าอยู่คนเดียวก็จะสงบสุข แต่พระนาง สิวลียังคงติดตามพระราชาไปอีก จนมาพบนายช่างท�ำลูกศร นายช่างทูลตอบ ค�ำถาม พระราชาว่า

พระราชาตรั ส เตื อ นพระนางสิ ว ลี อี ก ครั้ ง หนึ่ ง ว่ า พระองค์ประสงค์จะเดินทางไปตามล�ำพัง เพื่อแสวงหา ความสงบไม่ ป ระสงค์ จ ะมี เรื่ อ งขั ด แย้ ง กระทบกระทั่ ง หรื อ ความไม่ ส งบอั น เกิ ด จากการอยู ่ ร ่ ว มกั นกั บ ผู ้ อื่ น อี ก ต่อไป พระนางสิวลีได้ฟังพระวาจาดังนัน้ ก็น้อยพระทัย จึงตรัสว่า “ต่อไปนี้หม่อมฉันหมดวาสนาจะได้อยู่ร่วมกับ พระองค์อีกแล้ว” พระราชาจึงเสด็จไปสู่ป่าใหญ่แต่ล�ำพังเพื่อบ�ำเพ็ญ สมาบัติ มิได้กลับมาสู่พระนครอีก ส่วนพระนางสิวลี เสด็จกลับเข้าสู่พระราชวัง อภิเษกพระทีฆาวุกุมารขึ้นเป็น พระราชา แล้วพระนางโปรดให้สร้างเจดีย์ขึ้นในที่ต่างๆ เพื่อร�ำลึกถึงพระราชามหาชนก ผู้ทรงมีพระสติปัญญา และที่ยิ่งกว่าสิ่งอื่นใด คือ ทรงมีความเพียรพยายามเป็น เลิศ มิได้เคยเสื่อมถอย จากความเพียร ทรงตั้งพระทัยที่ จะกระท�ำการโดยเต็มก�ำลัง ความสามารถ เพราะทรงยึด มั่นว่า บุคคลควรตั้งความเพียรพยายามไม่ว่ากิจการนัน้ จะยากสักเพียงใดก็ตาม คนมีปัญญาแม้ได้รับทุกข์ ก็จะ ไม่สิ้นหวัง ไม่สิ้นความเพียรที่จะพาตนให้พ้นจากความ ทุกข์นนั้ ให้ได้ในที่สุด

“การที่ต้องหลับตาข้างหนึ่งเวลาดัดลูกศรนั้น ก็เพราะถ้าลืมตาสองข้างจะไม่ เห็นว่าข้างไหนคด ข้างไหนตรง เหมือนคนอยู่สองคนก็จะขัดแย้งกัน ถ้าอยู่คน เดียวก็ไม่ขัดแย้งกับใคร”

สะกดสุข 25


ธรรมะ ทำ�ไม

ได้เวลาเป็นตัวของตัวเองซะที เรื่อง ครูแชมป์

เราเคยตั้งค�ำถามท�ำนองนีก้ ับตัวเราเองบ้างไหม... ฟั ง ดู อ าจไม่ ใช่ ค� ำ ถามที่ ท� ำ ให้ ค นถามดู ฉลาดนัก ก็ ต าม เวลาอยู่ต่อหน้าใครๆ อาจจะถูกล้อเอาได้ง่ายๆ ว่าเราเป็น พวกไม่รู้จักตัวเอง แน่อยู่แล้วว่าไม่ใช่ใครจะมาบอกได้ว่าเรา เป็นใคร นอกจากตัวเราเอง ในทางปฎิบัติหากเราอยู่ในชุด นักเรียนอาจท�ำได้ไม่ยากนัก การก้มไปดูชื่อที่เสื้อหรือที่บัตร ประชาชนคงพอตอบตัวเองได้ว่าเราเป็นใคร เราอาจพบว่าเรา ชื่อนางสาวสดใส นามสกุลพุทธปัญญา แต่ถ้าเราเปลี่ยนชื่อ หรือนามสกุลไปล่ะ เราจะยังเป็นเราคนเดิมหรือเปล่า? แล้ว ตอนที่เราเกิดล่ะก่อนที่เราจะมีชื่อ เราใช่เราคนนี้หรือเปล่า?... เพียงแค่การตอบตัวเองแบบตื้นๆ ยังสร้างความสับสนให้ เราได้เท่านี้ ยิ่งในทางจิตวิญญาณด้วยแล้ว ค�ำถามนี้ยิ่งเป็น ค� ำ ถามที่ ส� ำ คั ญ ที่ เ ราจะต้ อ งท� ำ ความเข้ า ใจว่ า เราคื อ ใคร เพราะถ้าหากเราไม่รู้จักตัวเองว่าเราเป็นใครแล้ว นัน่ จะเป็น ปัญหาใหญ่เลยทีเดียว ค�ำถามที่ว่าเราคือใครนี้อาจจะยากไปและชวนให้สับสนอยู่ ดูยังไม่น่าจะส�ำคัญ เท่าไหร่กับช่วงวัยรุ่นอย่างเราๆ ไม่รู้ก็ยังกินอิ่มนอนหลับได้อยู่ ไว้เข้าสู่วัยผู้ใหญ่หรือวัยที่เห็นว่ามัน จ�ำเป็นกับเราจริงๆ แล้วค่อยไปค้นหามันอีกทีก็ได้ เปลี่ยนค�ำถามใหม่ดีกว่า ฉันเป็นอะไร? ฉันคิดว่าฉันเป็นอะไร? ค�ำถามนีด้ ูเข้าจะท่ากว่า ดูอยู่กับปัจจุบันดี แต่ปัญหาก็คือ เรารู้ตัวหรือเปล่าว่าตอนนี้เราก�ำลังเป็นอะไรอยู่ คิดๆ... หลายๆ คนอาจรู้แล้ว ถ้าใครยังไม่รู้ก็ลองนึกทบทวนใหม่ยังมีเวลาอยู่ อย่า เพิ่งไปดูบรรทัดที่มีค�ำตอบล่ะ ดูว่าเราจะเชื่อใจตัวเองได้ไหม ทาย ถูกหรือผิดไม่เสียหายอะไร ลองตอบด้วยตัวเองดู ใครก็บอกไม่ได้ ด้วยว่าเราเป็นอะไร มีแค่เราเท่านัน้ ที่รู้ค�ำตอบ แน่นอนส�ำหรับ คนที่มีสติอยู่กับตัว ค�ำถามนี้ไม่ยากไปหรอก หรือใครที่เดาก็คง ตอบแบบก�ำปั้นทุบดินได้ ใช่แล้ว! ค�ำตอบที่ใกล้เคียงที่สุดก็คือ ฉันก็เป็นตัวฉันยังไง ใครคิดไปเป็นนางสาวไทย เป็นนักบินนาซ่า ตอนนีข้ อให้กลับมาเป็นตัวของตัวเองก่อน และค�ำตอบนีจ้ ะเป็น หัวข้อที่เราจะมาชวนคุยกันในจิตสดใสฉบับนี้

26 จิตสดใส ปีที่ ๑ ฉบับที่ ๒


เราๆ เคยรู้สึกว่าไม่เป็นตัวของตัวเองบ้างไหม รู้สึกว่าแบบนี้มันไม่ใช่ตัวฉันเลย ให้เรียนท่อง อาขยาน ให้ไว้ผมสั้น ฯลฯ แบบนี้มันไม่ใช่! แล้วที่แท้จริงตัวเรานัน้ เป็นอย่างไรกัน อันนี้ผู้เขียน ก็บอกไม่ได้หรอก คงต้องไปค้นหาตัวตนกันเอาเอง แต่ที่รู้แน่ๆ คือในวันหนึง่ ๆ เราเอาอะไรที่ ไม่ใช่ตัวเรา มาเป็นตัวเราตั้งมากมายก่ายกอง บางทีบ้านของเราก็เป็นตัวเรา เวลาที่เราคิดว่า มันเล็กกว่าบ้านของเพื่อนเราก็รู้สึกเสียใจ น้อยใจในโชคชะตา บางทีเราก็ไปเป็นโทรศัพท์รุ่น ใหม่ที่พ่อเพิ่งซื้อให้ นึกถึงทีไรใจเราก็อดพองโตแทนมันไม่ได้ แต่แล้วไม่นาน โทรศัพท์เครื่องนีก้ ็ ดูอับเฉาไป เมื่อไปเห็นโทรศัพท์รุ่นใหม่กว่าแพงกว่าที่เพื่อนร่วมห้องเพิ่งเอามาอวด ถ้าพวกเราได้ลองนึกตามไปดูจะเห็นว่า ในวัน ในวันหนึ่งๆ เราเป็นอะไรนอกจาก หนึง่ ๆ เราเป็นอะไรนอกจากตัวเราเองตั้งมากมาย ตัวเราเอง ตั้งมากมาย เราเป็นรถยนต์ เป็นมือถือ เป็นแทบเล็ต เป็นกระเป๋า เราเป็นรถยนต์ เป็นมือถือ เป็นเครือ่ งเล่นเกมส์ เป็นอะไรสาระพัด ตามที่เรา เป็นแทบเล็ต เป็นกระเป๋า แต่ละคนจะเป็นได้ บางทีเราก็เป็นน้องหมาน้องแมว ใครไปว่าไปตีที่มันท�ำสกปรกไว้ เราก็ไปโกรธเคือง เป็นเครื่องเล่นเกมส์ เป็นอะไรสาระพัด คนที่ท�ำมันแทนมัน ไม่เห็นเราบ่นว่าไม่เป็นตัวของ ตามที่เราแต่ละคนจะเป็นได้ ตัวเองกันบ้างเลย เราออกจะเต็มใจเป็นมันด้วยซ�ำ้ ไป อาศัยความมีสติ เราถึงได้กลับมาเป็นตัวเราเอง แล้วในระหว่างนัน้ หรือหลังจากนัน้ เราได้สังเกตไหม ว่าอะไรที่ตามเรามาเวลาที่เราเอาใจของเรา ไปเป็นสิ่งอื่น ใช่ความร้อนอกร้อนใจ ความโกรธ ความเสียใจ ความน้อยใจ ขุ่นเคืองใจ ใช่อารมณ์พวกนี้ไหมที่เราเป็น จริงอยู่ที่บางครั้งเราได้รับความสุขใจจากการเป็นมัน แต่ไม่นาน ความสุขนัน้ ก็กลายเป็นอารมณ์อื่น ยิ่งพยายามรักษาความสุขนัน้ ไว้ก็ยิ่งล�ำบากมากขึ้น สุดท้าย มันก็จากเราไป เราไปเป็นอะไรมากเท่าไหร่ เรายิ่งแบกรับเอาความทุกข์จากสิ่งเหล่านั้นมาเป็นของเรา มากขึ้นเท่านัน้ เราคงพอรู้มาบ้างว่า ในพุทธศาสนาสอนไว้ถึงลักษณะ 3 อย่างของสิ่งทั้งปวงว่า สรรพสิ่งล้วนเปลี่ยนแปลง ทนอยู่ไม่ได้ และ ไม่ใช่ตัวตนของเรา ตัวเราเองก็มีสามัญลักษณะ 3 อย่างนีค้ รบถ้วน โดยเฉพาะธรรมชาติของเราที่เป็นทุกข์ ทุกข์เพราะขัดขืนต่อความเปลี่ยนแปลงไปไม่ได้ ทุกข์เพราะไม่ยอมรับว่าทุกสิ่งอยู่นอกเหนือการควบคุมของตัวเรา

สะกดสุข 27


จิตสดใส เมื่อหัวใจพอเพียง

เวลาของหนูหายไปไหน... เรื่อง ครูเล็ก

เวลากับชีวิตเป็นสิ่งคู่กันมิมีวันจบ แม้ชีวิตจบ เวลาก็ยังคงเป็นไปมิรู้จบ แต่ขณะมีชีวิต มีความรู้สึก มีลมหายใจ ชีวิตให้ค่ากับเวลาเรื่องใดบ้าง ไม่สามารถที่จะให้ค่ากับเวลาว่าช่วงใดดีที่สุด ณ ช่วงใด เพราะช่วงที่ ดีที่สุดของชีวิต น่าจะเป็นช่วงแห่งความรู้สึกที่เป็นสุขกับผู้คนที่ตนเอง รักและพอใจ หรือประทับใจกับเหตุการณ์ที่รู้สึกว่ามีค่าและเติมเต็มกับ ชีวิต จะเป็นช่วงไหน เวลาใดไม่ส�ำคัญ ส�ำคัญคือ “ใจ” รู้สึกดีและมี ความสุข ฉะนัน้ เวลาจึงไม่มีความต่างในเรื่องคุณค่า ต่างแต่เรื่องราว และเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นเท่านัน้ ดังนัน้ วงจรชีวิตมนุษย์จึงวกวนเวียน เกิดเวียนตายมิรู้จบ ไม่ต่างจากฤดูแห่งกาลเวลา รอบแล้วรอบเล่า ชาติ แล้วชาติเล่า แต่ เมื่อใดที่ชีวิตมีธรรมเป็นค�ำตอบแท้จริงได้ เมื่อนัน้ ชีวิต ก็จะไม่วกวนเวียนว่ายใน”กรงทุกข์” อีกต่อไป มองชีวิตในวัยเด็กจะไร้เดียงสาเบิกบาน สดใส ดังใบไม้แรกผลิ (Spring) ไม่โกรธนานไม่อาฆาต ไม่จดจ�ำอดีต ไม่กังวลอนาคต ไม่ เปรียบเทียบ เด็กๆ จึงหัวเราะได้ทั้งน�้ำตา มี แต่ความพอใจและไม่พอใจเป็นที่ตั้งของชีวิต เฉยบางครั้ง ยิ้มและหัวเราะเมื่อถูกใจ ร้องไห้ เมื่อไม่ได้ดังใจ ช่วงเวลานี้ คือเวลาแห่งการ บ่มเพาะ ทั้งร่างกายและจิตใจ โดยมีคุณพ่อ คุณแม่และคนใกล้ตัวเป็นแม่แบบ เปรียบการ ลงรากลึกจิตส�ำนึกให้ชีวิต ด้วยการซึมซับและ จดจ�ำ เป็นช่วงเวลาแห่งการตอกเสาเข็มชีวิตก็ ว่าได้ พอเข้าสู่วัยรุ่น วัยเรียนรู้ ช่วงนี้ฮอร์โมน เพศเริ่มท�ำงาน อยากมีอิสระ อยากรู้ อยากลอง อะไรใหม่ๆ ขาดเหตุขาดผล ใจร้อน ดังฤดูร้อน (Summer) ชีวิตช่วงนี้ จะคลุกคลีกับเพื่อนๆ และสิ่งแวดล้อมมากกว่าครอบครัว วัยนี้เป็น

28 จิตสดใส ปีที่ ๑ ฉบับที่ ๒

วัยเรียนรู้ ทั้งในบทเรียนและชีวิตจริง ด้วย กิจกรรมที่หลากหลายจากต�ำราบ้างและชีวิต จริงบ้าง โดยเฉพาะข้อมูลและเรื่องราวจากสื่อ ต่างๆ มากมาย ทั้งทางบวกและลบ พร้อมที่ ใจจะซึมซับ ถึงช่วงวัยท�ำงาน วัยสู้ชีวิต วัยนี้ร่างกาย แข็งแรง จะมุ่งมั่น คาดหวัง ทุ่มเทกับการสร้าง ความมั่นคงให้ชีวิตด้านทรัพย์สิน ครอบครัว เปรียบชีวิตดัง ฤดูใบไม้ร่วง (Fall) เป็นช่วงชีวิต ที่ ห นัก หนาและเหนื่ อ ยล้ า ต้ อ งฟั น ฝ่ า ปั ญ หา และอุปสรรคมากมาย ถ้าต้นทุนช่วงที่ผ่านมา ทั้งวัยเด็กและวัยรุ่นมั่นคงด้วยธรรมที่มี ความ รัก ความจริง ความถูกต้อง ดีงาม เป็นต้น ทุน ไม่ประมาท ใส่ใจที่จะก้าวเดินบนเส้นทาง ชีวิตอย่างมีคุณภาพ ชีวิตจะไม่ผิดพลาด ไม่ ประมาท ชีวิตก็จะเป็นไปด้วยดี ในการที่จะ ประสบความส�ำเร็จดังตัง้ ใจ ไม่มคี วามผิดพลาด ผิดหวัง เป็นบาดแผลให้กับชีวิตต้องจดจ�ำ จึง ไม่รสู้ กึ สูญเสียหรือเสียดายกับวันเวลาทีผ่ า่ นพ้น มา มาถึงช่วงสุดท้ายแห่งชีวิตการเดินทาง คือ ฤดูหนาว (Winter) มนุษย์ต้องการเติมเต็ม ความส�ำเร็จความสมบูรณ์ให้ชีวิต มันจะสาย ไปไหม ถ้ามาทบทวนจนช่วงวัยสุดท้ายที่ไม่ สามารถแก้ไขอะไรได้มากนัก อย่างน้อยอย่า ให้ตัวเองมีความรู้สึกเสียดายเวลาที่ผ่านมา เสียใจกับเหตุการณ์ที่เป็นความทรงจ�ำในอดีต เพราะฉะนัน้ ก็ต้องตั้งโจทย์ให้ตัวเองก่อนว่า อะไรคือองค์ประกอบที่ชีวิตควรจะมี แล้วก็ สะสมเก็บออมไว้ให้มีทุกช่วงชีวิตที่ไม่มีขาด หาย ไม่ต้องให้แก่ค่อยคิดถึงธรรมะ ไม่ต้องรอ รวย แล้วถึงคิดจะให้ มันไม่แน่


เป้าหมายชีวิต ต้องการอะไรกันแน่ ความส�ำเร็จ หรือความสุข บางครั้งความสุข ก็ไม่ใช่ความส�ำเร็จ แต่ความสุขสามารถเสริม เติมเต็มให้กับชีวิตได้ทุกวัย ทุกเวลา จากผู้คน ใกล้ตัว ด้วยการยอม การเสียสละ รอยยิ้ม และการแบ่งปัน แต่ความส�ำเร็จ ต้องต่อสู้ อดทน และรอคอย และก็ไม่แน่ว่า สิ่งที่เฝ้ารอ นัน้ จะเป็นจริงหรือไม่ เรามาเติมความสุขให้กับ ตัวเองทุกขณะ โดยไม่ต้องรอคอยและอดทน ก็ได้ อยู่กับคนใกล้ตัว ด้วยการเติมรอยยิ้มและ การแบ่งปันให้กันและกัน นึกย้อนเมื่อใดก็อิ่ม อกอิ่มใจ อย่างนีต้ ่างหากที่ “ใจ” ต้องการ ไม่มี ขุ ่ น เคื อ งคาใจด้ ว ยเรื่ อ งการแข่ ง ขั น เอาชนะ ด้วยอ�ำนาจหรือศักดิ์ศรี ที่อหังการว่าเหนือ กว่าใครในความรู้สึก ยุคนี้เป็นยุค IT ต่างคนต่างก็ก้มหน้าก้มตา กับจอที่อยู่ตรงหน้า ส่งความรู้สึกทั้งหมดไปหา คนที่อยู่ไกลตัวเสมอ หันมาพูดคุย หันมายิ้ม ถามไถ่สุขทุกข์คนที่อยู่ข้างตัวบ้างหรือเปล่า เอาเวลา เอาความรู้สึกไปเกาะเกี่ยวกับความ รู้สึกที่ไม่มีตัวตน จับต้องไม่ได้ เวลาที่ใจกาย มันทุกข์ทรมานจริงๆ ขึ้นมา คนใกล้ตัวหรือ คนไกลตัวกันแน่ที่จะมาโอบอุ้ม หายาหาข้าว หาน�้ำให้กิน คิดถึงใจเขา ใจเราบ้าง ไอรัก ไออุ่น คือการใส่ใจความรู้สึกกันและกัน ต่างคนต่าง ส่งความรู้สึกหมกมุ่นกับกิจการอ่านข้อมูลจาก หน้าจอทั้งโทรศัพท์ และไอแพด/ไอโฟน ฯลฯ (ไม่เฉพาะแต่เด็กๆ เท่านัน้ นะ ที่เป็นโรคติดสื่อ ผู้ใหญ่เองก็อาการไม่เบาเหมือนกันแหละนะ รวมทั้งตัวเองด้วยในบางเวลา)

อย่าทำ�ร้ายตัวเองด้วยความรู้สึก โกรธ เกลี ย ด ใคร มี เ วลาที่ จ ะ ยิ้ ม หั ว เราะ สนุกสนาน เบิกบาน กับคนที่อยู่ใกล้ตัว เติมความสุขให้ชวี ติ ตัวเอง โดยไม่ตอ้ งรอ ความสำ�เร็จใดๆ เพราะ สำ�เร็จที่ “ใจ” ที่ ไม่โกรธ ไม่เกลียดใคร

“เวลาจะไม่หายไปไหน ถ้าหัวใจมีความสุข” ถามใจดูซิว่าเวลาที่มีความรักหรือความ ส�ำเร็จนัน้ ชีวิต สุขจริงหรือ? ถ้ามีรัก ย่อมมี โกรธ เกลียด เป็นส่วนผสมบ้างในบางเวลา เพราะยังมีเงื่อนไงมากมายในความรู้สึกที่ยัง ยึดและอยาก จะยิ้ม หัวเราะ พูดดี ยอม และ ให้ เมื่อถูกใจ โกรธ เกลียด หน้าบึ้ง เสียง กระด้าง เมื่อไม่เป็นดั่งใจ ถ้ารักมาก เวลาโกรธ เกลียด มองหน้ากันไม่ได้แล้ว ต้องเลิก ต้อง ตายกันไปข้าง อย่างนัน้ หรือ ตกลง รักความ ต้องการของตัวเอง หรือรักคนที่เราเคยรู้สึกรัก เพราะรักแท้จริง คือรักอย่างทีเ่ ขาเป็น ไร้เงือ่ นไข ไร้ข้อแม้ ความรัก เกลียด โกรธ มันแอบฝังลึก ที่ใจเรานะ ไม่ใช่อยู่ที่คนอื่น อย่าท�ำร้ายตัวเอง ด้วยความรู้สึก โกรธ เกลียด ใครอีกเลย มี เวลาที่จะ ยิ้ม หัวเราะ สนุกสนาน เบิกบาน กับ คนที่อยู่ใกล้ตัวดีกว่า ไม่ว่าเขาจะเป็นใคร ก็ไม่ ต้องมีข้อแม้ใดๆ ที่จะรัก และเกลียดกัน เติม ความสุขให้ชีวิตตัวเอง โดยไม่ต้องรอความ ส�ำเร็จใดๆ เพราะ ส�ำเร็จที่ “ใจ” ที่ไม่โกรธ ไม่ เกลียดใคร ดีกว่า “เวลาของหนูจะไม่หาย ไปไหน ถ้าหัวใจของหนูมีความสุข”

สะกดสุข 29


ห้องแนะแนว

คุมอะไร ไม่สู้ คุม ใจ หาสิง่ ทีเ่ พลิดเพลิน

ปลอดภัยจากการเป็นพ่อ แม่วยั ใส ได้ดว้ ยคาถาง่ายๆ

ทำ�

ไม่หมกมุ่น ไม่นึกถึง

30 จิตสดใส ปีที่ ๑ ฉบับที่ ๒

ออกกำ�ลังกาย


อย่าให้ใคร

อย่าปล่อยให้

สัมผัสตัว

บรรยากาศพาไป

ไม่สร้างกลิน่

เย้ายวนใจ

ไม่ดื่มสุรา ไม่ดูภาพโป๊ ใจแข็ง

รูจ้ กั ปฏิเสธ

สะกดสุข 31


ธรรมะออนไลน์ เรื่องและภาพประกอบ

32 จิตสดใส ปีที่ ๑ ฉบับที่ ๒

faithbook


ค่ายจิตสดใส วัยบริสุทธิ์ ด้วยพุทธปัญญา

ค่ายจิตสดใส วัยบริสุทธิ์ ด้วยพุทธปัญญา ถือกำ�เนิดโดยความเมตตาของ ท่านพระอาจารย์มานพ อุปสโม เมื่อปี พ.ศ. 2551 ด้วยความคิดที่จะปลูกฝังศีลธรรมให้ กับเยาวชนไทย ได้เดินตามรอยบาทพระศาสดา เป็นค่ายศีลธรรมที่เน้นการภาวนาแนว สติปฏั ฐาน 4 เสริมด้วยกิจกรรมบูรณาการเสริมทักษะการดำ�เนินชีวติ ต่างๆ อาทิ มารยาท ชาวพุทธ ความกตัญญู ความมีน้ำ�ใจ อายตนะ-ขันธ์ 5 การฝึกหายใจกับโยคะอย่างง่าย เยาวชนจะได้ฟังธรรมะในรูปแบบธรรมะหรรษา เช่นหัวข้อ ภพภูมิ เบญจศีล เบญจธรรม พุทธประวัติ ความสุขจากการให้ เป็นต้น เมื่อผ่านการอบรมแล้ว เยาวชนจะสามารถเป็น ผู้เชื่อมโยงระหว่าง บ้าน วัด และโรงเรียน ให้กลายเป็นภาคีธรรมะ สร้างสรรค์สู่การเป็น สังคมแห่งสันติและความเมตตาต่อไป



Issuu converts static files into: digital portfolios, online yearbooks, online catalogs, digital photo albums and more. Sign up and create your flipbook.