Jidsodsai06web

Page 1

จิตสดใส ใจสบาย ใจเบา

ศูนย์ปฏิบัติธรรมเฉลิมพระเกียรติ ๘๔ พรรษา ราชนครินทร์

๐๖ นิตยสารออนไลน์ ราย ๓ เดือน


ศูนย์ปฏิบัติธรรมเฉลิมพระเกียรติ ๘๔ พรรษา ราชนครินทร์ ศูนย์ปฏิบัติธรรมประจำ�ภาคตะวันออก

เมือ่ ปี ๒๕๓๗ ท่านพระอาจารย์มานพ อุปสโม ได้รบั ฉันทานุมตั จิ าก ท่านพระครูสธุ รรมกิจจาทร เจ้าอาวาสวัดนายายอาม เจ้าคณะต�ำบล นายายอาม ซึ่งเป็นผู้รับดูแลส�ำนักสงฆ์เล็กๆ แห่งนี้ เพื่อพัฒนาให้ เป็นศูนย์ปฏิบตั ธิ รรม ต่อมาได้มผี มู้ จี ติ ศรัทธา ประสงค์ประโยชน์ตอ่ ศาสนกิจได้ร่วมกันบริจาคที่ดินเพิ่มเติมอีกจ�ำนวนกว่า ๕๐ ไร่ ท่าน จึงได้ขยายเนื้อที่จนส�ำนักสงฆ์เล็กๆ แห่งนี้ให้กลายเป็นศูนย์ปฏิบัติ ธรรมประจ�ำภาคตะวันออก ศูนย์ปฏิบตั ธิ รรมแห่งนี้ ได้เปิดการอบรม เผยแผ่ธรรมทัง้ ส่วนปริยตั แิ ละปฏิบตั แิ ก่สาธุชนผูส้ นใจอย่างต่อเนือ่ ง โดยมีพระภิกษุสงฆ์จากทั่วทุกภูมิภาค และฆราวาสจากหน่วยงาน ต่างๆ มาขอเข้ารับอบรมการปฏิบัติธรรมอย่างต่อเนื่องตลอดปี ต่อ มาผู้มีจิตศรัทธาทั่วไป ได้ร่วมกันบริจาคทรัพย์ในการสร้างธรรม ศาลาขึ้นจนส�ำเร็จลุล่วงดังที่เป็นอยู่ในปัจจุบัน และขณะที่ท�ำการ ก่อสร้างอยูน่ นั้ ทางคณะผูด้ ำ� เนินการ น�ำโดยคุณดนัย จันทร์เจ้าฉาย, คุณเมตตา อุทกะพันธุ์ และ คุณนรรัตน์ นิม่ นรรัตน์ ได้นำ� ธรรมศาลา หลังนีข้ นึ้ น้อมเกล้าถวายแด่สมเด็จพระเจ้าพีน่ างเธอ เจ้าฟ้ากัลยาณิ วัฒนา กรมหลวงนราธิวาสราชนครินทร์ เนื่องในวโรกาสทรงเจริญ พระชนมายุครบ ๘๔ พรรษา โดยได้รับพระราชทานนามว่า “ธรรม ศาลา ๘๔ พรรษา ราชนครินทร์” และชื่อศูนย์ปฏิบัติธรรม ซึ่งจาก เดิมชื่อว่า “ศูนย์ปฏิบัติธรรมเขาดินหนองแสง” ให้เปลี่ยนมาเป็น “ศูนย์ปฏิบัติธรรมเฉลิมพระเกียรติ ๘๔ พรรษา ราชนครินทร์”


ห้องครูใหญ่

อานุภาพของค�ำๆ เดียว วันนี้ไปเรียนธรรม ได้อะไรมาบ้าง ได้ค�ำว่า “ไม่เป็นไร” มาหนึ่งค�ำ และ ไม่เป็นไร ค�ำนี้แหละ ท�ำให้ลดปัญหาทางใจลงได้เยอะ พ่อแม่มีลูกดื้อ ไม่เป็นไร เตือนลูกได้ก็ดี เตือนไม่ได้ก็ไม่เป็นไร สามี ภรรยามีปัญหากัน บอกว่าถ้าปรับความเข้าใจกันได้ก็ดี ไม่ได้ก็ ไม่เป็นไร ท�ำให้ใจเบา ท�ำให้ใจสบาย ลองไปฝึกใช้ดู “ไม่เป็นไร” ใช้เพียงค�ำเดียว ดับทุกข์ทางใจได้... ไม่เป็นไรอยูท่ ใี่ จของเรา ใครไปค้นหา อยูท่ ใี่ จของตัวเราได้ เราจะพบ ค�ำว่า “ไม่เป็นไร” ในใจของตัวเรา มันมีความไม่เป็นไรอยู่ มองเข้าไปในใจมันหงุดหงิด มองเข้าไปในใจร�ำคาญ มองเข้าไปในใจฟุ้ง มองเข้าไปในความขัดใจ มองเข้าไปในความเสียใจ มองเข้าไปในใจ แล้วจะไปพบความไม่เป็นไร เราพบความไม่เป็นไร ได้ ถึงตอนนัน้ จะได้รบั ประโยชน์ทางใจ แต่ตอ้ งอาศัยสติสมั ปชัญญะ ต้องฝึกสังเกตบ่อยๆ สังเกตกาย เจริญสติ เพื่อสติ สังเกตใจ เป็นการเจริญสติเพือ่ ปัญญา เป็นการเจริญสติเพือ่ เป็นการ เข้าถึงความไม่เป็นไร พระอาจารย์มานพ อุปสโม ที่มา- ธรรมเทศนาเรื่อง “การเจริญสติเพื่อพัฒนาสติแลปัญญา”

ทีมงาน คณะพระอาจารย์และครู ค่ายจิตสดใส วัยบริสุทธิ์ ด้วยพุทธปัญญา ศูนย์ปฏิบัติธรรมเฉลิมพระเกียรติ 84 พรรษา ราชนครินทร์ อ.แก่งหางแมว จ.จันทบุรี ศิลปกรรม TFC

ติดต่อขอรับข่าวสาร ค่ายจิตสดใสครั้งต่อๆ ไปได้ที่ goodkidshappy@gmail.com ระบุในอีเมล์ว่า “ขอรับข่าวสาร” www.jitsodsai.com


กระดานดำ�ธรรมะ

4 จิตสดใส ปีที่ ๑ ฉบับที่ ๖


ชีวิตดี 5


ที่ทำ�งานของฉันอยู่บนเขา

เหตุแห่งรักที่ชื่อสัตย์ เรื่อง พระจันทร์

6 จิตสดใส ปีที่ ๑ ฉบับที่ ๖


ดีใจที่ได้มีโอกาสกลับมาพบปะกับเพื่อนๆ ชาวจิตสดใสอีกครั้ง แม้ไม่ได้พบกันแบบ เห็นหน้าสบตา แต่การได้พบกันผ่านตัวอักษร ก็นบั ว่ามีคณ ุ ค่าและความหมายเป็นอย่างยิง่ ด้วยประสบการณ์และความรู้สึกที่งดงาม ที่เพื่อนๆ แต่ละท่านน�ำมาถ่ายทอดให้แก่ กันและกันอ่าน ท�ำให้เราได้รู้จักกันและกันมากขึ้น

ที่ส�ำคัญก็คือในขณะที่เราก�ำลังเรียนรู้เรื่องราว ของเพื่อนๆ ผ่านตัวอักษรอยู่นั้น เราจะพบว่า ตนเองมีก�ำลังใจในการใช้ชีวิตเพิ่มขึ้น มีความ เข้าใจตนเองมากขึน้ และมีความสุขเบิกบานกับ ชีวิตมากขึ้นตามล�ำดับ

ภาพไปโรงเรียนวันแรก ฉันไปโรงเรียนวันแรกด้วยความกลัว กลัวอะไร ไม่รู้จ�ำไม่ได้ จ�ำได้แต่ว่าแม่จับฉันอาบน�้ำแต่ง ตัวแต่เช้า พ่อมานั่งกินข้าวด้วย ฉันกินข้าวคลุก น�ำ้ ตา และทัง้ ทีโ่ รงเรียนกับบ้านอยูข่ า้ งกันไม่ถงึ ร้อยเมตร เรียกว่าหลับตาเดินไปอย่างไรก็ถึง ถามว่าเพราะอะไร ตอบว่าเพราะมันไม่ใช่แค่ โรงเรียน แต่ฉันไม่ยอมไปโรงเรียนจนแม่ต้อง ถ้อยค�ำตามตัวอักษรเท่านัน้ ทีเ่ ราถ่ายทอดให้แก่ ออกปากว่า “เดี๋ยวแม่ไปเป็นเพื่อน” ฉันจึงยิ้ม กันและกันได้อา่ น แต่เราได้มอบก�ำลังใจ ความรัก ออกและยอมไปโรงเรียน มีแม่เดินไปเป็นเพือ่ น ความปรารถนาดี ผ ่ า นถ้ อ ยค� ำ และตั ว อั ก ษร ฉันรู้สึกอบอุ่นและเป็นสุข เหล่านั้นด้วย เมื่อถึงโรงเรียนแม่พาฉันไปพบคุณครู คุณครู ดังนั้น อย่าได้เป็นแต่เพียงผู้อ่านเรื่องราวของ เป็นผู้หญิงแต่งตัวสวยแม่พูดอะไรกับคุณครู เพื่อนๆ เท่านั้น จงช่วยกันร้อยเรียงเรื่องราว บ้างก็ไม่รู้ รู้แต่ว่าครูชมฉันว่า “หล่อนะเรา” ฉัน เพื่อถ่ายทอดความรักความปรารถนาดีให้กับ รู้สึกอบอุ่นและดีใจกับการพบคุณครูครั้งแรก เพื่อนๆ เพื่อที่เราจะได้มีความสุขร่วมกัน แต่ก็ไม่นานเลยเมื่อเสียงระฆังเข้าแถวดังขึ้น ความอบอุ่นและดีใจก็เปลี่ยนเป็นความหวาด ฉบับนีพ้ งึ่ ผ่านวันแม่ วันทีล่ กู ๆได้มโี อกาสแสดง กลัวและตื่นเต้น เด็กนักเรียนทุกคนไปรวมกัน ความรักของตนต่อบุพพการีจงึ ขอมอบเรือ่ งราว เข้าแถวที่หน้าเสาธง แม่มาเข้าแถวด้วยไม่ได้ ความซื่อสัตย์แห่งรักในดวงใจของพ่อและแม่ แม่บอกว่า “เดี๋ยวครูดุเอา” เพื่อบูชาคุณของท่านทั้งสองมาให้เพื่อนๆได้ เรียนรู้ร่วมกัน ท�ำอย่างไรได้ ฉันจ�ำต้องยอมจ�ำนนต่อเหตุผล แต่กย็ งั ดีทแี่ ม่ยนื อยูใ่ นระยะทีฉ่ นั ยังพอมองเห็น เพื่อนๆ จ�ำภาพตอนเด็กๆ ได้บ้างไหม แม่อยู่ ฉันเองจ�ำภาพตอนเป็นเด็กได้ไม่มากนักคงเป็น เพราะชีวิตที่แก่ชราลง อะไรๆ มันก็ผ่านเข้ามา ในชีวติ มากมายจนท�ำให้ภาพวันเก่าๆ ลบเลือน ไปไม่ชัดเจน แต่เมื่อลองทบทวนภาพในวัยเด็ก ที่พอระลึกได้ฉันพบว่าทุกภาพที่ประทับอยู่ใน ความทรงจ�ำมีพ่อและแม่ของฉันร่วมอยู่ด้วย เสมอ

ห้องเรียน แถวค่อยๆ ห่างแม่ออกไป แต่แม่ยัง ยิ้มให้ฉันอยู่ “ดีจงั แม่อยูเ่ ป็นเพือ่ นไม่ไปไหน” พอแถวเดิน จะเข้าห้องเรียนฉันมองไปที่แม่อีกครั้ง แม่คง เผลอท�ำท่าโบกมือเท่านัน้ เองฉันก็รอ้ งไห้เสียงดัง และไม่ทนั ทีค่ ณ ุ ครูจะรับรูแ้ ละแก้ไขสถานการณ์ ฉันก็ฉวยกระเป๋านักเรียนออกวิ่งตามแม่กลับ บ้านไปแล้ว จ�ำได้ว่าแม่ต้องมาโรงเรียนเป็น เพื่อนฉันหลายวัน กว่าฉันจะเลิกร้องไห้ แถม บ้างวันพ่อก็มาเป็นเพื่อนแม่ด้วย ภาพว่ายน�้ำฟรีสไตล์ ทีบ่ า้ นฉันในห้องน�ำ้ มีอา่ งอาบน�ำ้ ฉาบปูนขนาด ไม่เล็กไม่ใหญ่ พอที่ฉันและน้องชายจะแอบลง ไปว่ายเล่นกันอย่างสนุกสนาน วันหนึ่งขณะที่ ฉันก�ำลังสนุกอยูก่ บั ท่าฟรีสไตล์ ฉันก็สงั เกตเห็น น้องชายเงียบไป น้องก�ำลังจมน�้ำ ฉันตะโกน เรียกแม่สุดเสียง แม่ตกใจวิ่งมาฉวยน้องขึ้น จากน�้ำ เอาน้องพาดบนบ่า แม่ร้องไห้แล้ววิ่ง ตะโกนไป “ช่วยด้วยลูกฉันตกน�้ำ ช่วยด้วยๆ” แม่วิ่งไปเรื่อยๆ ฉันร้องไห้วิ่งตาม และมองน้อง ที่ส�ำลักน�้ำอยู่บนบ่าของแม่ จ�ำไม่ได้แล้วว่าเรา วิ่งกันไปถึงไหน แต่รู้สึกว่าเราวิ่งไปไกลมาก ไม่มีใครมาช่วยเราเลย แม่วิ่งไปจนน้องค่อยๆ รู้สึกตัว วันนั้นถ้าไม่มีแม่ ฉันกับน้องจะเป็น อย่างไร

เมือ่ ทุกคนไปยืนรวมกันเข้าแถว ฉันพบว่าไม่ใช่ เพียงแต่แม่ฉันเท่านั้นที่มาส่งลูกมีพ่อแม่ของ เพื่ อ นๆ อี ก หลายท่ า นก็ ม าส่ ง ลู ก เหมื อ นกั น ทุกคนพูดคุยกันยิ้มแย้ม ผลการว่ายฟรีสไตล์ครั้งนั้นฉันชนะน้อง และ ได้รับรางวัลจากพ่อที่ก้นหลายที ฉันเหลียวดูแม่บอ่ ยๆ มองไปแต่ละครัง้ ก็เห็นแม่ มองฉันเสมอ พอเลิกแถวหน้าเสาธงเดินเข้า

ชีวิตดี 7


ภาพรับปริญญา “ผมไม่รับปริญญา” ฉันเที่ยวบอกใครต่อใคร เพราะรูส้ กึ ไม่ชอบใจต่อขัน้ ตอนและพิธกี าร แม้ กระทั่ ง การใส่ ชุ ด สู ท และเสื้ อ ครุ ย จนพี่ ที่ รั ก เคารพกันที่ท�ำงานท่านหนึ่งสะกิดว่า “พ่อแม่มึงส่งเรียนมามึงไม่รับให้เขาได้ชื่นใจ เหรอว่ะ” วั น รั บ ปริ ญ ญาฉั น วุ ่ น จนไม่ ทั น สั ง เกตอะไรๆ หลายปีผ่านไปฉันเอาภาพวันรับปริญญากลับ มาดู อี ก ครั้ ง จึ ง ได้ รู ้ ว ่ า ถู ก ต้ อ งเป็ น ที่ สุ ด ที่ เ รา พยายามเรียนจนจบและยอมรับปริญญา วัน นั้นพ่อแต่งตัวหล่อมาก แม่ก็สวยเป็นที่สุด ฉัน รู้สึกว่าไม่ใช่ฉันหรอกที่ได้รับปริญญา พ่อและ แม่ของฉันต่างหากเป็นผู้ได้รับปริญญา เพราะ ดู ท ่ า นตื่ น เต้ น ดี ใ จและแต่ ง ตั ว ดี ก ว่ า ฉั น เป็ น ไหนๆ ภาพวันเกิดในร่มเงาพระพุทธศาสนา พ่อและแม่แต่งตัวหล่อและสวยไม่แพ้วันที่ฉัน รับปริญญา แถมยิ้มไม่หุบไม่รู้เหน็ดรู้เหนื่อยที่ ต้องต้อนรับญาติมิตรที่มาร่วมงานบวช และที่ พิเศษคงเป็นตอนทีม่ อบผ้าไตรจีวรให้กบั ฉันใน โบสถ์ ใบหน้าของทั้งสองท่านเบิกบานและ แจ่มใสมาก ฉันสังเกตเห็นแม่น�้ำตาซึมตอนที่ มอบผ้าให้ดว้ ย แม้วา่ จะเป็นการร้องไห้เหมือนๆ กันกับวันที่น้องจมน�้ำ แต่ความรู้สึกในใจของ แม่ต่างออกไป ส่วนพ่อแอบมาพูดกับฉันตอน เปลี่ยนเพศจากคฤหัสถ์เป็นบรรพชิตครองผ้า ไตรจีวรออกจากโบสถ์วา่ “ไม่ตอ้ งห่วงทางบ้าน ตั้งใจให้ดี ไปให้ถึงที่สุด” เวลาผ่านไปจึงได้รู้สึกว่าค�ำพูดนี้เองเป็นก�ำลัง ใจให้ฉันอยู่ในเพศบรรพชิตมาได้จนถึงบัดนี้

ท้อแท้เพราะมันต้องต่อสูเ้ หลือเกิน วันนัน้ ฉันจะ ในใจ ฉันไม่มีค�ำถามแล้ว กลับบ้านกลับไปเยีย่ มแม่ (ทีบ่ า้ นก็เหลือแต่แม่ ในใจมีแต่ความส�ำนึกรู้ในค�ำตอบว่าเพราะ... พ่อจากไปหลังจากฉันบวชได้ไม่นาน) และฉัน จะได้ก�ำลังใจกลับไปทุกครั้ง ตลอดทั้งชีวิตที่ผ่านมา เมื่อลองทบทวนภาพ ชีวิตดู วันหนึง่ ฉันเดินทางกลับจากอีสาน แล้วเดินแวะ เราจะสัมผัสได้ถึงรักที่บริสุทธิ์ในดวงใจของพ่อ ไปที่บ้าน คิดว่าจะพักค้างจ�ำวัดสักคืนพรุ่งนี้ และแม่ เ ป็ น รั ก ที่ ส ถิ ต ย์ อ ยู ่ ใ นดวงใจทั้ ง สอง รับบิณฑบาตแล้วจะเดินทางต่อ ฉันไปถึงบ้าน ตลอดมาตลอดไปไม่เปลี่ยนแปลง ดึกมากแม่ตื่นมาเปิดประตูต้อนรับด้วยความ ดีใจ พูดคุยทักทายเสียงดัง ทัง้ ยังจัดแจงกางมุง้ ฉันขอเรียกรักนั้นว่า รักที่ซื่อสัตย์ จั ด ที่ น อนให้ เ หมื อ นเมื่ อ ครั้ ง ฉั น ยั ง เป็ น เด็ ก รุง่ สางฉันลุกขึน้ สวดมนต์เจริญภาวนาตามปกติ รักของใคร หรือจะแท้ เท่า (..) แม่รัก ฉันคิดว่าฉันตืน่ ก่อนใครเสียอีก พอลงจากเรือน ผูกสมัคร ในสายเลือด ไม่เหือดหาย ไปชั้ น ล่ า งก็ เ ห็ น แม่ ก� ำ ลั ง ตระเตรี ย มหุ ง ข้ า ว คนอื่นรัก ยังประจักษ์ ว่ารักคลาย ท�ำกับข้าวอยู่ แม่ตื่นนานแล้ว จืดจางง่าย ไม่จีรัง ดั่งรัก “(..) มารดา” .................................................. แม่ทำ� ทีเดินมาใกล้ๆ มองซ้ายมองขวาในลักษณะ ปล.ใส่ค�ำว่า พ่อ และบิดา ในวงเล็บ ว่าจะพูดอะไรที่เป็นความลับฉันนึกข�ำท่าทาง ของแม่ “พระนี่มีกลิ่นหรือเปล่า” แม่ถาม “มีสิ กลิ่นศีลหอมทวนลมและตามลม” ฉันตอบเต็ม พ่อแม่มอบความรักที่ซื่อสัตย์ให้ ภูมิพระ “ไม่ใช่” แม่ขยับมาใกล้ๆ กว่าเดิมแล้ว แล้วลูกล่ะ พูดคล้ายกระซิบ “กลิน่ จีวร ไม่ได้ซกั มากีว่ นั แล้ว มอบอะไรเป็นเครื่องตอบแทน ถอดมาจะเอาไปซักให้” ทั้งที่ฉันไม่เคยยอมให้ ใครซักจีวรในชีวิตของความเป็นพระเลย แต่ พ่อแม่ยืนเคียงข้างลูกเสมอ วันนั้นฉันยอมแต่โดยดี (อย่าเพิ่งหมดก�ำลังใจ) แล้วลูกล่ะยืนเคียงข้างท่านบ้างหรือเปล่า วันก่อนฉันเด็กเกินกว่าจะตั้งค�ำถาม ถ้าพอคิด ค�ำถามออกฉันคงถามว่า ๑๙ เม.ษ.๕๘ “ท�ำไมพ่อแม่ตอ้ งอดทนไปอยูโ่ รงเรียนเป็น เพื่อนลูก” “ท�ำไมพ่อต้องตีลูกและแม่ต้องร้องไห้ใน วันที่ลูกจมน�้ำ” “ท�ำไมท่านถึงได้แต่งตัวแบบไม่เคยแต่งใน งานวันรับปริญญาของลูก” “ท�ำไมแม่ต้องน�้ำตาซึมตอนมอบผ้าไตร จีวรให้ลูก” “ท�ำไมพ่อต้องบอกลูกว่าไม่ต้องห่วงบ้าน ทั้งที่ที่บ้านมีภาระมากมาย” “ท�ำไมแม่ต้องซักผ้าให้ลูกอีก ทั้งที่ลูกก็โต แล้ว”

ภาพพระกลับบ้าน ชีวิตนักบวชตั้งแต่พุทธกาลนานมาแล้วท่าน ไม่ นิ ย มกลั บ บ้ า น ด้ ว ยเหตุ ว ่ า เมื่ อ ได้ ไ ปเห็ น ภาพเก่าๆ จิตใจอาจหวั่นไหวคิดลาสิกขาก็ได้ ช่วงขณะทีฉ่ นั บวชพรรษาแรกๆ ฉันจึงพยายาม ไม่ ก ลั บ บ้ า น ทั้ ง ที่ ใ นใจคิ ด ถึ ง บ้ า นมาก ฉั น เดิ น ทางไปเรื่ อ ยๆ จนเมื่ อ ใดเมื่ อ หนึ่ ง ที่ รู ้ สึ ก มาวันนี้วันที่ฉันเติบใหญ่ วันที่ธรรมะเบ่งบาน

8 จิตสดใส ปีที่ ๑ ฉบับที่ ๖


ห้องสอบอารมณ์

ทุกข์ เรื่อง ศฏพรช

การมีความทุกข์นั้น เป็นเรื่องธรรมดา การไม่เป็นดั่งใจ ก็ทุกข์ การไม่สมหวัง ก็ทุกข์ การไม่มีความสุข ก็ทุกข์ การพลัดพรากจากของรัก ก็เป็นทุกข์ เมื่อเป็นเช่นนี้แล้วย่อมเกิดความทุกข์อยู่อย่างสม�่ำเสมอ วิธีการแก้ความทุกข์ที่เกิดขึ้นคือ การรู้เท่าทันความทุกข์ต่างๆ รู้เท่าทันการเกิด การแก่ การตาย การพลัดพรากจากของอันเป็นที่รัก ต้องหมั่นฝึกจิต ให้มีความเข้มแข็ง อดทนต่อต่อความทุกข์ทั้งปวง ไม่ใช่เจอความทุกข์ก็วิ่งหนี ไปหาหมอเข้าทรง หมอดู หรือไปเชื่อพยากรณ์ ลมๆ แล้งๆ ก็จะยิ่งท�ำให้เกิดความทุกข์มากยิ่งขึ้น ก็ยิ่งต้องพิจารณาให้มากขึ้น ระวังอารมณ์ของตนเอง อารมณ์โกรธก็รู้ อารมณ์เกลียดก็รู้ อารมณ์รักก็รู้ อารมณ์เสียใจหรือพลัดพรากจากของอันเป็นที่รักก็รู้ รวมไปถึงความผิดหวังที่จะเกิดขึ้นก็รู้ เมื่อรู้เช่นนี้แล้วก็ก�ำหนดจิตให้ปล่อยวาง ตั้งหน้าตั้งตาท�ำความดี สร้างความดี ฝ่าฟันปัญหาอุปสรรคไปไห้ได้ ความทุกข์นั้นๆ ก็จะหมดไป แล้ววันหนึ่งก็จะกลับมาทุกข์อีก เป็นเช่นนี้ดังวงล้อของกรรม เมื่อคิดได้ก็ต้องหาทางออกจากทุกข์ที่มี สร้างความดี ละเว้นความชั่ว ท�ำจิตให้ผ่องใส และหัดหรือฝึกปล่อยวางให้เป็นก็จะเห็นแสงสว่างเอง

ชีวิตดี 9


ครอบครัวจิตสดใส

จิตสดใส ไปทั้งครอบครัว สัมภาษณ์และเรียบเรียง ฐิติขวัญ เหลี่ยมศิริวัฒนา

ฉบับนี้เรามาทำ�ความรู้จักกับครอบครัวเล็กๆ ที่ตั้งมั่นอยู่ในเส้นทางแห่งธรรมกันทั้งพ่อ แม่ ลูก เพราะนอกจากจะมาเข้าค่ายจิตสดใสกันเป็นประจำ�แล้ว ทั้งสามคนยังยกทีมมาปฏิบัติธรรมและร่วมกิจกรรมงานบุญของ ศูนย์ปฏิบัติธรรมเฉลิมพระเกียรติฯ เขาดินหนองแสงอยู่ไม่ได้ขาด อีกทั้งยังปฏิบัติธรรมด้วยตัวเองที่บ้านอย่างสม่ำ�เสมอด้วย

10 จิตสดใส ปีที่ ๑ ฉบับที่ ๖


ช่วยแนะน�ำตัวกับชาวจิตสดใสฯ หน่อยค่ะ =คุณพ่อ : สวัสดีครับ คุณพ่อชือ ่ ทวี กานต์ศภุ มิตร อายุ 51 ปี ท�ำงานเป็นพนักงานบริษทั ต�ำแหน่ง ผูจ้ ดั การแผนกอะไหล่ ทีศ่ นู ย์โตโยต้า ประจ�ำสาขาสุวรรณภูมิ - อ่อนนุชครับ =คุณแม่ : สวัสดีค่ะ คุณแม่ชื่อเพ็ญ กานต์ศุภมิตร อายุ 51 ปี เป็นแม่บ้านดูแลครอบครัวค่ะ เรา ใช้ชีวิตครอบครัวร่วมกันมาเกือบ 20 ปีแล้วค่ะ =ลูกโยคี : สวัสดีครับ ผมชือ ่ เด็กชาย กิตตินนั ท์ กานต์ศภุ มิตร อายุ 14 ปี เรียนอยูช่ นั้ ม.2 โรงเรียน ลาซาลวิทยาลัยครับ ก่อนทีจ่ ะมาเข้าค่ายจิตสดใสฯ ทีบ่ า้ นมีการท�ำกิจกรรมเกีย่ วกับธรรมะกันบ้างไหมคะ =คุณแม่ : แม่จะตื่นนอนตอนตี 4 สวดมนต์ท�ำวัตรเช้า 30 นาที เดินจงกรม 30 นาที และนั่ง สมาธิอีก 30 นาทีทุกเช้า ส่วนตอนค�่ำถ้าไม่ติดงานหรือธุระอะไรก็จะสวดมนต์ทำ� วัตรเย็น แล้วฟัง วิทยุคลืน่ 107.50 ของศูนย์ปฏิบตั ธิ รรมเฉลิมพระเกียรติฯ เขาดินหนองแสง เช่น รายการอนุโมทนา ภาษาจันท์ช่วง 19.30 น. รายการธรรมะจากสังเวชนียสถานช่วง 21.00 น. และรายการอนุบาล ดับทุกข์ช่วง 22.00 น. ส่วนคุณพ่อจะตืน่ ช้ากว่าแม่หน่อย แต่กเ็ ดินจงกรมและนัง่ สมาธิอย่างละ 30 นาทีแล้วสวด มนต์ก่อนไปท�ำงานทุกเช้า เราท�ำแบบนี้กันเป็นประจ�ำมาตั้งแต่ประมาณกลางปี พ.ศ. 2554 ค่ะ นอกจากนัน้ ถ้าทราบข่าวว่าพระอาจารย์จากเขาดินหนองแสงรับกิจนิมนต์เข้ามาในกรุงเทพ ครอบครัวเราก็จะไปร่วมงานบุญต่างๆ ด้วยแทบทุกครั้ง ส่วนในวันส�ำคัญทางศาสนาเราก็จะไป ร่วมท�ำบุญตักบาตร เวียนเทียน ฯลฯ เป็นประจ�ำ =ลูกโยคี : ที่โรงเรียนผมสอนนั่งสมาธิทุกเช้าก่อนเข้าห้องเรียนด้วยครับ รู้จักค่ายจิตสดใสฯ จากไหนคะ : จากวิทยุคลืน่ 107.50 ค่ะ พอทราบข่าวว่ามีคา่ ยจิตสดใสฯ คุณแม่กร็ บี สมัครมาทันที ซึง่ ทีแรกทีส่ มัครมาเราติดส�ำรองก็ยงั เป็นกังวลอยูบ่ า้ งว่าอาจจะผิดหวัง ต้องลุน้ กันจนนาทีสดุ ท้าย แต่ในที่สุดก็ได้รับข่าวดีจากทางทีมงานว่ามีเด็กๆ หลายคนสละสิทธิ์ เราจึงมีโอกาสได้มา ตอน นั้นจ�ำได้เลยว่าเราตื่นเต้นดีใจมากทั้งแม่ทั้งลูก รีบเตรียมจัดกระเป๋ากันเป็นการด่วนเลยค่ะ =ลูกโยคี : พอแม่บอกผมก็ลองหาข้อมูลดูจากทางอินเทอร์เน็ต ท�ำให้ได้เห็นรูปภาพกิจกรรม ต่างๆ ที่น่าสนใจครับ =ครูเพ็ญ

ท�ำไมถึงสนใจอยากมาเข้าค่ายจิตสดใสฯ คะ : แม่ตั้งใจไว้ว่าถ้ามีโอกาสได้ท�ำงานเพื่อสังคมและศาสนาเมื่อไหร่ก็พร้อมที่จะมีส่วน ร่วม เพื่อเป็นส่วนหนึ่งที่จะช่วยปลูกฝังให้เยาวชนคนรุ่นใหม่ได้มีจิตส�ำนึกที่ดีและมีโอกาสหัด ฝึกฝนจิตใจตัวเองให้สามารถอยูร่ อดปลอดภัยได้ในสังคมปัจจุบนั ทีม่ สี งิ่ ยัว่ ยวน สือ่ และเกมต่างๆ ที่เต็มไปด้วยความรุนแรงมากมาย ซึ่งโชคดีที่ลูกชายไม่ได้ชอบเล่นเกมแบบนั้น แต่ถึงอย่างนั้นก็ ยังอยากจะมีนั่นนู่นนี่ไปตามกระแสของสังคมวัตถุนิยม =ลูกโยคี : ผมอยากมีเพือ ่ นใหม่จากค่าย เพราะชอบทีจ่ ะได้พดู คุยแลกเปลีย่ นความคิดกับเพือ่ นๆ ครับ =คุณแม่

เคยมาค่ายกี่ครั้งแล้วคะ : 2 ครั้งแล้วครับ มากับคุณแม่ คุณแม่มาเป็นจิตอาสา ส่วนผมมาเป็นลูกโยคีครับ = คุ ณ แม่ : ครั้ ง แรกที่ ไ ด้ ม าเป็ น ส่ ว นหนึ่ ง ของที ม งานค่ า ยจิ ต สดใส เนื่ อ งจากยั ง ไม่ เ คยมี ประสบการณ์มาก่อนจึงได้ไปอยูใ่ นส่วนงานสนับสนุน คือเป็นธรรมบริกร ซึง่ มีหน้าทีห่ ลักคือดูแล รักษาความสะอาดและจัดสถานที่ที่ใช้ในการปฏิบัติธรรมของลูกๆ โยคี ซึ่งตอนนั้นยอมรับว่า เหนื่อยมากนะคะ แต่ก็ตั้งใจท�ำหน้าที่ที่ได้รับมอบหมายจากทีมงานอย่างเต็มที่ และภาคภูมิใจ มากที่ได้เป็นส่วนหนึ่งของค่ายจิตสดใส ในครั้งที่ 2 จึงได้เลื่อนขั้นเป็นครูพี่เลี้ยง ซึ่งก็ยากล�ำบาก =ลูกโยคี

ชีวิตดี 11


มากขึ้นไปอีก เพราะว่าต้องดูแลลูกๆ โยคีที่มาจากพื้นฐานครอบครัว และสังคมทีแ่ ตกต่างกัน จึงนับเป็นโอกาสทีท่ ำ� ให้แม่ได้ฝกึ ความอดทน อย่างดีเยี่ยม ท�ำไมอยากมาเป็นครูพี่เลี้ยงคะ =คุณแม่ : ทีแรกแม่มาเพราะคิดว่าจะได้มโี อกาสมาเข้าค่ายกับลูกชาย แต่เมื่อได้มารู้จักเพื่อนใหม่ในกลุ่มจิตอาสาที่มาร่วมงานกันแล้วก็รู้สึก ประทับใจมากในมิตรภาพดีๆ ทีแ่ ต่ละคนหยิบยืน่ ให้แก่กนั และกัน ท�ำให้ เราได้เห็นว่าทุกๆ คนมีจุดมุ่งหมายเดียวกันคือร่วมกันท�ำเพื่อเยาวชน คนรุน่ ใหม่ แม้วา่ ลูกๆ โยคีแต่ละคนจะมาจากพืน้ ฐานทีต่ า่ งกันและไม่ใช่ ลูกหลานของเรา แต่ทีมงานทุกคนและพระอาจารย์ทุกรูปของค่ายนี้ก็ ทุม่ เทและตัง้ ใจท�ำเพือ่ เด็กๆ กันอย่างเต็มทีท่ สี่ ดุ เท่าทีแ่ ต่ละคนจะท�ำได้ สิ่งที่พวกเราท�ำแม้ว่าจะเป็นเพียงจุดเล็กๆ ของสังคม แต่ส�ำหรับตัวแม่ เองมีความสุขมากที่ได้เป็นส่วนหนึ่งของกิจกรรมนี้ และก็จะขอมีส่วน ร่วมอย่างเต็มที่ต่อไปค่ะ ก่อนมารู้สึกอย่างไรกับค่ายจิตสดใสฯ และคาดหวังหรืออยากได้ อะไรกลับไปบ้างคะ =ลูกโยคี : ก่อนมาผมมีความรู้เรื่องพระพุทธศาสนาน้อยมากครับ แต่ ผมชอบนิทานชาดกและการ์ตนู พระพุทธศาสนามาก เพราะดูได้เรือ่ ยๆ ไม่น่าเบื่อครับ =คุณแม่ : ในตอนแรกก็ยังเป็นกังวลบ้างเพราะยังไม่มีประสบการณ์ เรื่องการเป็นครูพี่เลี้ยงและธรรมบริกร แต่หลังจากที่ได้เข้ารับการ ปฐมนิ เ ทศก่ อ นเปิ ด คอร์ ส แล้ ว ความกั ง วลต่ า งๆ ที่ เ คยมี ก็ ห มดไป และพร้อมจะลงมือปฏิบัติหน้าที่จริงมากขึ้นค่ะ เมื่อได้มาเข้าค่ายแล้วทั้งลูกโยคีและคุณแม่รู้สึกอย่างไรบ้างคะ

=ลูกโยคี : รูส ้ กึ ดีทไี่ ด้ทำ� กิจกรรมต่างๆ เพราะบางอย่างเป็นเรือ่ งแปลก

ใหม่ ที่ ผ มไม่ เ คยมี โ อกาสท� ำ มาก่ อ นเลยในชี วิ ต เช่ น การเข้ า ไปทัศนศึกษาในห้องดับจิตของโรงพยาบาล ซึ่งผมตื่นเต้นมากและก็ กลัวด้วย แต่กท็ ำ� ให้ได้เห็นว่าการเกิด แก่ เจ็บ ตายเป็นเรือ่ งธรรมดาของ ชีวิตที่ไม่มีใครหนีพ้น =ครูเพ็ญ : มีความสุขใจที่ได้มีส่วนร่วมในทุกๆ กิจกรรมเลยค่ะ ชอบอะไรที่สุดเกี่ยวกับค่ายนี้คะ

=ลูกโยคี : ชอบที่ได้รู้จักเพื่อนใหม่ๆ หลายคน และมีครูพี่เลี้ยงที่ใส่ใจ

ให้ค�ำแนะน�ำเกี่ยวกับกิจกรรมต่างๆ ได้เป็นอย่างดี ให้ความส�ำคัญกับ เด็กๆ ทุกคน และดูแลพวกเราอย่างเป็นกันเอง =คุณแม่ : พระอาจารย์ที่เป็นวิทยากรช่วยให้ความรู้และเทคนิคที่ดี กับครูพี่เลี้ยง และมีความตั้งใจ ทุ่มเทอย่างมากกับการสร้างเมล็ดพันธุ์ ที่ดีให้สังคม ไม่ชอบอะไรที่สุดเกี่ยวกับค่ายนี้คะ =ลูกโยคี : ไม่มีเลยครับ

12 จิตสดใส ปีที่ ๑ ฉบับที่ ๖

=คุณแม่ : แม่ว่าทุกๆ อย่างเรียบร้อยสมบูรณ์แบบแล้วค่ะ ส�ำหรับ หน่วยงานเล็กๆ ขนาดนี้

มีเหตุการณ์ประทับใจอะไรเกิดขึ้นในค่ายบ้างไหมคะ =ลูกโยคี : ประทับใจในกิจกรรมต่างๆ ที่ท�ำให้คุณแม่ได้เห็นความ รักและความเอาใจใส่ของคนในครอบครัวเพิ่มมากขึ้น = คุณแม่ : ดีใจเป็นอย่างยิ่งที่ได้ท�ำหน้าที่ครูพี่เลี้ยง ถึงแม้ว่าจะ เหนื่อยและหนักขนาดไหนแต่แม่ก็มีความสุขที่ได้ร่วมงานกับเพื่อนๆ ครูพเี่ ลีย้ งและทีมงานทุกๆ คนค่ะ คุณครูแต่ละคนทีเ่ ข้ามาร่วมเป็นจิต อาสาให้กบั ค่ายต่างก็มาด้วยใจอันเป็นกุศล ทุกๆ คนยอมเหนือ่ ยและ เสียสละความสุขทางโลก เพื่อมารับความสุขทางธรรมโดยการช่วย เหลือและสร้างสรรค์สิ่งดีๆ ให้เยาวชนคนรุ่นใหม่ได้มีภูมิคุ้มกันกิเลส ที่จะเข้ามาครอบง�ำจิตใจในทุกๆ ด้านของชีวิต เพื่อวันข้างหน้าพวก เขาจะได้มีชีวิตที่มีความสุขในแบบที่พอเพียง งานนี้แม่เลยได้เพื่อน ใหม่ที่มีอุดมการณ์และทัศนคติแบบเดียวกันไปหลายคนเลย ในอนาคตอยากมาค่ายจิตสดใสฯ อีกไหมคะ : ผมสมัครมาเป็นลูกโยคีเป็นครัง้ ทีส่ ามเรียบร้อยแล้วครับ =คุณแม่ : แม่ก็สมัครมาเป็นครูพี่เลี้ยงค่ายปีนี้ทั้งคอร์สเด็กเล็กและ เด็กโตเลยค่ะ แม่ภมู ใิ จทีไ่ ด้ทำ� หน้าทีน่ ี้ และมาเข้าค่ายนีก้ คี่ รัง้ ก็มคี วาม สุขค่ะ =ลูกโยคี

รู้สึกว่าตัวเองได้เรียนรู้อะไรไปจากค่ายบ้างคะ : คุ ณ แม่ ไ ด้ แ นวทางและเทคนิ ค ในการดู แ ลลู ก เพิ่ ม ไปหลายอย่าง อีกทั้งการได้มาปฏิบัติธรรมร่วมกับลูกๆ โยคีก็ยังช่วย ฝึกให้มสี ภาพจิตใจทีเ่ ข้มแข็ง รูท้ นั สภาวะทีเ่ ห็นและเป็นอยูต่ ามความ เป็นจริงในปัจจุบันมากขึ้นด้วย = ลู ก โยคี : ผมก็ ไ ด้ ค วามรู ้ ไ ปพอสมควรครั บ แต่ จิ ต ใจก็ ยั ง ไม่ เข้มแข็งพอ ยังแอบแพ้ตัวกิเลสอยู่บ่อยๆ ครับ = คุ ณ แม่

เมือ่ ได้มาเข้าค่ายจิตสดใสฯ แล้วรูส้ กึ อย่างไรกับธรรมะบ้างคะ : มีความรู้และเข้าใจธรรมะมากขึ้นครับ =คุณแม่ : ลูกๆ โยคีทุกคนเป็นเครื่องทดสอบสภาวะของจิตใจของ ครูพเี่ ลีย้ งได้มากเลยค่ะ ท�ำให้แม่รตู้ วั เลยว่าเราต้องหมัน่ ฝึกฝนบ่อยๆ =ลูกโยคี

การมาเข้าค่ายจิตสดใสฯ มีผลต่อชีวิตของคุณแม่และคุณลูก อย่างไรบ้าง และหลังจากกลับไปแล้วมีอะไรเปลีย่ นแปลงไปบ้าง ไหมคะ = ลู ก โยคี : ผมได้ เ รี ย นรู ้ ก ารใช้ ชี วิ ต ร่ ว มกั บ คนจ� ำ นวนมากๆ ได้ รูจ้ กั การแบ่งปันซึง่ กันและกัน การเสียสละเพือ่ ส่วนรวม การช่วยเหลือ กัน การรักษาอารมณ์ความรู้สึกของตัวเองไว้ให้ดี และได้หัดตื่นนอน มาสวดมนต์ทำ� วัตรเช้ากับเพือ่ นๆ ครับ หลังจากกลับจากค่ายแล้วตอน แรกๆ ผมก็ปฏิบัติบ้าง แต่พอเริ่มนานไปก็เหมือนเดิม คือไม่ได้ปฏิบัติ


อย่างต่อเนื่อง สวดมนต์ตอนเช้าก็ไม่ได้ท�ำเลยเพราะตื่นสาย มีแค่สวด มนต์กอ่ นนอนบ้าง แต่กไ็ ม่ได้ทำ� ทุกคืน ผมก็เลยคิดว่าจะต้องกลับไปเข้า ค่ายอีกครับ = คุณแม่ : หลังจากกลับจากค่ายแม่ก็ปฏิบัติธรรมอย่างต่อเนื่องค่ะ พยายามท�ำความเพียรอย่างสม�ำ่ เสมอ เพราะว่าในชีวติ เราจะมีสงิ่ ต่างๆ เข้ามากระทบตลอดเวลา ตราบใดที่เรายังไม่บรรลุธรรมเมื่อถูกกระทบ แล้วบางครัง้ จิตก็มอี อกนอกลูน่ อกทางบ้างตามความเคยชิน แต่เมือ่ รูส้ กึ ตัวแล้วก็ต้องดึงจิตกลับมา แล้วกับครอบครัวล่ะคะ มีอะไรเปลี่ยนแปลงบ้างไหม =ลูกโยคี : เรายังไม่เคยมีประสบการณ์เข้าค่ายแบบครอบครัวกับทาง จิตสดใสเลยครับ เพราะคุณพ่องานยุง่ มาก เลยได้แต่มาเข้าค่ายกับคุณ แม่แค่สองคน แต่ก็มีโอกาสได้เข้าคอร์สปฏิบัติธรรมของพระอาจารย์ มานพ อุปสโม ในช่วงปีใหม่และสงกรานต์กันทั้งครอบครัวหลายครั้ง แล้วครับ =ครูเพ็ญ : ถ้ามีโอกาสและเวลาทีเ่ หมาะสมเราก็จะขอสมัครเข้าคอร์ส ปฏิบัติที่เขาดินหนองแสงไปเรื่อยๆ ทั้งครอบครัวค่ะ

มากน้อยขนาดไหน แต่ส่วนตัวผมเองในฐานะเด็กวัยรุ่นคนหนึ่งของ สังคมก็จะขอคิดดี พูดดี และท�ำดีเป็นหลัก เพื่อไม่ให้สังคมเสื่อมทราม ลงไปมากกว่านี้ครับ = คุณแม่ : แม่เห็นคนในสังคมปัจจุบันแล้วก็เบื่อหน่ายค่ะ เราต้อง แย่งกันท�ำมาหากิน ใช้ทกุ ๆ วิถที างน�ำมาซึง่ เงิน เพือ่ จะซือ้ ความสุขแบบ หลอกๆ ที่ไม่คงทนถาวร ถ้าผู้คนทั่วไปเพียงแค่มีศีลห้าอยู่ในใจและ ปฏิบัติธรรมอย่างต่อเนื่อง เรื่องร้ายๆ เรื่องไม่สมควรต่างๆ เรื่องที่ผิดต่อ ตนเองและคนในสังคมก็คงจะไม่เกิดขึ้น โดยเฉพาะเรื่องที่เกิดขึ้นกับ สถาบันพระสงฆ์และพระพุทธศาสนา ทีม่ แี ต่ผทู้ คี่ ดิ จะเข้ามาแสวงหาผล ประโยชน์เงินทอง โดยไม่ได้ปฏิบตั ติ นตามหลักพระพุทธศาสนาทีแ่ ท้จริง แต่กลับไปยึดถือทีต่ วั บุคคล เชือ่ ถือศรัทธาแต่อาจารย์ทตี่ นเคารพนับถือ และกราบไหว้ ปัญหาเหล่านีท้ ำ� ให้สงั คมเสือ่ มทรามไปหมด แม่จงึ อยาก ให้ตวั เองและคนในครอบครัวของเรามีภมู คิ มุ้ กันต่อความเสือ่ มทัง้ หลาย เหล่านี้ ถ้าเราช่วยกัน ท�ำแบบนี้ได้ทุกๆ ครอบครัว สภาพสังคมโดยรวม ก็คงจะน่าอยู่มากขึ้นกว่านี้ค่ะ

ถ้าสามารถเปลี่ยนอะไรก็ได้สักอย่างหนึ่งในโลกนี้ อยากเปลี่ยน อะไรกันบ้างเอ่ย เมื่อได้มาเข้าค่ายแล้วท�ำให้อยากท�ำกิจกรรมอะไรเกี่ยวกับธรรมะ =ลูกโยคี : อยากเปลี่ยนเพื่อนๆ ให้มีความคิดที่ดี ที่สร้างสรรค์ และมี ความคิดเห็นที่คล้ายกันมากๆ จะได้ไม่ต้องขัดแย้ง ไม่ต้องเถียงกันครับ ต่อไปบ้างไหมคะ =ลูกโยคี : ในอนาคตผมอาจจะมาเข้าร่วมเป็นจิตอาสา เป็นครูพเี่ ลีย ้ ง =คุณแม่ : อยากย้อนเวลากลับไปท�ำทุกๆ อย่างให้ดีที่สุดค่ะ ช่วยดูแลน้องๆ ไม่กเ็ ป็นธรรมบริกรดูแลสถานทีแ่ ละความสะอาด ตลอด สุดท้ายนีอ้ ยากฝากข้อเสนอแนะอะไรให้คา่ ยจิตสดใสฯ ในอนาคต จนอ�ำนวยความสะดวกเรื่องต่างๆ ให้กับผู้ที่มาเข้าค่ายครับ บ้างไหมคะ =คุณแม่ : แม่ตั้งใจไว้ว่าอยากให้ลูกชายบวชเณรและอยู่ปฏิบัติที่เขา ดินหนองแสงค่ะ แต่ยังไม่ทราบเลยค่ะว่าฝันจะเป็นจริงเมื่อไหร่ ยังไงก็ =ลูกโยคี : อยากให้มีโครงการดีๆ แบบนี้ต่อไปนานๆ ครับ และอยาก ให้มีการปรับปรุงอัพเดทวิธีการให้ความรู้เกี่ยวกับพระพุทธศาสนาโดย จะต้องรอค�ำตอบจากลูกชายต่อไปค่ะ ส่วนตัวแม่เองก็จะมาเป็นส่วนหนึ่งของทีมงานค่ายจิตสดใสไป ใช้สื่อต่างๆ ให้มากขึ้น เพราะเรื่องของศาสนาเป็นเรื่องที่ยากอยู่แล้ว ดัง นัน้ ส�ำหรับเด็กๆ จึงยิง่ ยากมากขึน้ อีก ผมเลยคิดว่าถ้าเราใช้สอื่ ใหม่ๆ มา เรื่อยๆ เพราะมีความสุขที่ได้ลงมือท�ำงานเพื่อสังคมค่ะ สู้ๆ ค่ะ ประกอบการสอนก็จะท�ำให้คนรุ่นใหม่เข้าใจได้ง่ายมากยิ่งขึ้น และมี ทั้งคุณแม่และคุณลูกรู้สึกอย่างไรกับเด็กสมัยนี้คะ =ลูกโยคี : เด็กสมัยนี้ให้ความส�ำคัญเรื่องของเทคโนโลยีมากที่สุด มี ความสุขขึ้นกับการเรียนรู้เรื่องพระพุทธศาสนาครับ ความอยากในเกือบทุกๆ เรื่อง แต่หลักๆ คืออยากมีเพื่อนที่พูดคุยเรื่อง =คุณแม่ : อยากให้มีโครงการดีๆ เพื่อเยาวชนคนรุ่นใหม่อย่างค่ายจิต สดใสตลอดไปค่ะ และอยากให้มคี า่ ยธรรมะเพือ่ ครอบครัวแบบนีใ้ นช่วง เดียวกันได้ ชอบเล่นเกมส์เหมือนกัน ชอบเล่นกีฬาเหมือนกันครับ =คุณแม่ : เด็กๆ ให้ความส�ำคัญกับสิ่งที่อยู่รอบตัวมาก แต่กลับลืม เทศกาลเช่นปีใหม่และสงกรานต์ด้วยค่ะ เพื่อให้ครอบครัวที่เคยแต่พา ดูแลเอาใจใส่ตวั เอง ลืมสนใจเรือ่ งความเป็นอยูแ่ ละความรูส้ กึ ของคนที่ กันไปท่องเที่ยวตามสถานที่ต่างๆ และมีความสุขแบบทางโลกได้มี อยู่ข้างๆ แม่จึงอยากให้เด็กสมัยนี้ได้มามีโอกาสเรียนรู้และปฏิบัติธรรม โอกาสเข้ามาทางธรรมกันบ้างในช่วงเทศกาลแบบนี้ ซึ่งน่าจะเป็นผลดี บ้าง เพราะถ้าเขามีลมหายใจเป็นเพื่อนแล้วก็จะไม่ต้องไปมีปัญหากับ ส�ำหรับทุกๆ คนค่ะ เมื่อได้มาปฏิบัติกันทั้งครอบครัวสามคนพ่อแม่ลูก ใครๆ เลย เรือ่ งแบบนีม้ แี ต่คนทีไ่ ด้ลงมือปฏิบตั เิ องเท่านัน้ จึงจะเข้าใจค่ะ แล้ว แม่สังเกตเห็นว่ามีอีกหลายๆ ครอบครัวที่พากันมาใช้เวลาวันหยุด ร่วมกันแบบนีเ้ พือ่ ให้เกิดประโยชน์สงู สุดในทางธรรม พระอาจารย์มานพ แล้วรู้สึกอย่างไรกับผู้ใหญ่สมัยนี้คะ เองท่านก็เคยพูดไว้ในคอร์สว่า ช่วงเทศกาลแบบนี้ท่านจะจัดคอร์สให้มี =ลูกโยคี : ผู้ใหญ่ที่ดูแลบ้านเมืองท�ำตัวไม่ดี ไม่เหมาะสม ไม่อยู่ใน ลักษณะสบายๆ เหมือนมาพักผ่อน เพื่อให้คนมากันมากๆ ส่วนใครจะ ศีลธรรม บ้านเมืองมีแต่การทุจริต เห็นแก่ประโยชน์ส่วนตัวมากมาย ปฏิบัติอย่างไรก็ขึ้นอยู่กับความศรัทธาของแต่ละบุคคล ถ้าใครลงมือ เหลือเกิน แล้วจะให้เด็กๆ เยาวชนคนรุ่นใหม่อย่างผมถือเป็นแบบอย่าง ปฏิบัติอย่างจริงจัง เขาก็ย่อมได้รับอานิสงส์นั้นด้วยตัวเอง เรื่องแบบนี้ ได้อย่างไร แม้จะมีโครงการ “โตไปไม่โกง” แต่ก็ไม่รู้ว่าจะได้ผลส�ำเร็จ ลงมือท�ำเท่าไหร่ก็ได้รับผลเท่านั้นค่ะ

ชีวิตดี 13


จิตสดใส เมื่อหัวใจพอเพียง

แอบเหงา...หรือเปล่า! เรื่อง ครูเล็ก

หลายๆ ช่วงชีวิต หลายๆ คนคงจะเคยผ่านอารมณ์ “เหงา” กันมาบ้าง จะรู้สึกชีวิตเคว้งคว้าง อ้างว้าง เหว่ว้าในใจลึกๆ รู้สึกเหมือนชีวิตไม่เหลืออะไร ใจพร่องหาย ใจอ่อนล้าหมดแรง เพราะอารมณ์เหงานั้น ไม่เลือกเพศ วัย เวลาและสถานะภาพเสียด้วยซิ ถ้าใครเคย “เหงา” เชื่อว่าจะรู้ซึ้งถึงความรู้สึกที่กล่าวมาได้อย่างดี

14 จิตสดใส ปีที่ ๑ ฉบับที่ ๖


“เหงา” เป็นความรูส้ กึ เหมือน “ใจ” ข้างในลึกๆ มันขาดหาย ไม่สามารถจะเติมเต็มความรู้สึก ดีๆ ให้กับตนเองได้ ทั้งๆ ที่รอบกายอาจมีผู้คน รายล้อมมากมาย ต่อให้เสียงเพลงไพเราะ จับใจแค่ไหน เมื่อใดที่ “ใจ” เหงา จะรู้สึกว่าทุก อย่างดูไร้ค่ากับชีวิตจังเลย ที่รู้สึกเช่นนี้ เพราะ เรานั้น... “ให้ค่าให้ความส�ำคัญกับคนอื่น มากกว่าตัวเราเอง”

ปัจจุบนั ยังมีผคู้ นอีกมากมายทีร่ สู้ กึ เหงา ทัง้ ๆ ที่ มีคชู่ วี ติ เคียงกาย มีเพือ่ นทีร่ ใู้ จ มีทกุ สิง่ ทุกอย่าง ทีค่ นอืน่ ไม่มี แต่กไ็ ม่วายจะเหงา เพราะอารมณ์ แห่งความว้าวุน่ ในใจไม่เคยหยุด ใจวุน่ วายข้อง เกี่ยวกับเรื่องราวต่างๆ มากมาย แถมจะให้ทุก อย่างเป็นดัง่ ใจคิดแบบไม่มจี ดุ อิม่ ตัว ดัง่ ระลอก คลืน่ ซัดสาดในท้องทะเล มีกระบวนการเกิดขึน้ ดับไปของอารมณ์ต่างๆ ในใจอยู่ตลอดเวลา อาการเหงาๆ จึงมักจะสอดแทรกเข้ามาแบบ ไร้เหตุผลเสมอ เพราะไม่รู้จัก “ใจ” ไม่เข้าใจ กลไกความจริงของชีวิต มนุษย์มักจะสับสน กลัวว่าตัวเองจะหมดความส�ำคัญและทีส่ ำ� คัญ ไม่อยากจะให้อะไรที่เคยชินนั้นเปลี่ยนไป โดย เฉพาะคนคุ้นเคย จึงเข้าใจว่าสิ่งที่ตนต้องการ นั้นล้วนแล้วแต่ต้องใช้คนอื่นหรือสิ่งอื่นเป็น เครื่องมือเพื่อการเติมเต็มให้ตนพอใจในสิ่งที่ ตนขาดหายเสมอ

เราจะไม่สามารถท�ำอะไรกับความเหงาได้เลย หากไม่มาท�ำความเข้าใจให้ดีเสียก่อน หลาย คนมั ก มองว่ า สาเหตุ ที่ ค นเราเหงานั้ น เป็ น เพราะไม่มีเพื่อนรู้ใจ ไม่มีคู่ชีวิตชิดใกล้ ไม่มี อะไรได้ดังใจ แต่ในความเป็นจริงแล้ว ความ รู้สึกเหงาโดดเดี่ยวอ้างว้าง ไม่ได้หมายถึงการ ทีเ่ รามีความสัมพันธ์กบั ผูอ้ นื่ น้อย แต่เป็นเพราะ ความรู้สึกที่เรานั้นไม่พึงพอใจกับสถานภาพ ของความสัมพันธ์ที่มีต่อกันนั้นๆ มากกว่า ไม่ ได้ขึ้นอยู่กับว่าไร้เพื่อน ขาดแฟน แต่ขึ้นอยู่กับ ในมุมหนึ่งของชีวิตนั้นยังมีผู้คนอีกไม่น้อยที่ ว่าเรา “พึงพอใจ” กับเพื่อน คู่รักคู่ใจหรือสิ่งที่มี คลายเหงาด้วยการ “พัก...หยุด” ละทิ้งบางสิ่ง ที่เป็นอยู่นั้นแค่ไหนต่างหากที่เป็นสาเหตุ ปล่อยวางบางอย่าง ที่เคยชิน เพื่อ “เติมใจ”ให้ เต็มด้วยวิถพี อเพียง อยูใ่ นทีค่ วรอยู่ ไปในทีค่ วร ที่ส�ำคัญคือ “ความอยากและความยึด” ใน ไป พอใจกับความเงียบเรียบง่าย ใจไม่วุ่นวาย “ใจ” ที่เคยมีสัมพันธภาพต่อกันมันเปลี่ยนไป เอาแค่พอมี เอาแค่พอใจ ถึงแม้หนาวกายแต่ สภาพแวดล้อมเปลี่ยนไป ความรู้สึกเปลี่ยน หัวใจอุ่นดี จึงสัมผัสทุกอย่างได้ ด้วยใจที่เบิก ไป ยังไม่ชินกับการเปลี่ยนแปลง อาจจะเหงา บานอย่างที่เพลง “แค่มี” ที่เขาร้องกัน แบบไม่ได้ตั้งตัวหรือเหงาแบบสะสมโดยไม่รู้ ตัว ถ้ารูส้ กึ เหงาแล้วยังแก้ยงั ปรับอารมณ์ไม่ได้ สิ่งที่สามารถท�ำให้เข้าถึงความ “พอดี” จน ก็จะมีอาการ เศร้า ซึม เซ็ง ตามมาเป็นระรอก “พอใจ” ได้นั้น คือ การยอมรับตามความเป็น จนถึงขัน้ ไม่อยากยิม้ ไม่อยากเจอผูค้ นก็เป็นได้ จริงอย่างที่เรามีเราเป็น มองตามความเป็น จริงอย่างยอมรับ เพราะความไม่แน่นอน การ อาการเหงา พฤติกรรมจะเฉยชา ใจคอห่อเหีย่ ว เปลี่ยนแปลงต่างๆ นั้นเป็นเรื่องปกติ เป็นเรื่อง ไม่ยิ้มแย้ม ไร้ชีวิตชีวา จะจมความรู้สึกอยู่กับ ธรรมดาที่ทุกชีวิตต้องเจอ ที่ส�ำคัญอะไรที่ขาด อดีต โหยหากังวลอนาคต ไม่อยู่กับความจริง หายไปจากชีวิตสักอย่าง ก็ยังมีอะไรดีๆ ที่ชีวิต ที่เกิดต่อหน้าต่อใจ ณ ปัจจุบันที่เป็นอยู่ ยังมียังเหลืออีกตั้งหลายอย่าง ไม่มองส่วนที่

ชีวิตดี 15


เมื่อใดที่ “ใจ” เหงา จะรู้สึกว่าทุกอย่างดูไร้ค่ากับชีวิตจังเลย ที่รู้สึกเช่นนี้ เพราะเรานั้น... “ให้ค่าให้ความสำ�คัญกับคนอื่นมากกว่าตัวเราเอง”

16 จิตสดใส ปีที่ ๑ ฉบับที่ ๖


อย่าให้ “ความเหงา” มาเป็นตัวกำ�หนดชีวิตเรา แต่ใช้มัน ให้เป็นทางเดินแห่ง “สติ” ด้วยการมองโลก ตามความเป็นจริง

ขาดหายและฝึกฝนเรียนรู้ธรรมชาติชีวิตด้วย การปฏิบัติภาวนา ฝึกที่จะให้ “ใจ” รู้สึกอยู่กับ สิง่ ทีเ่ ป็น ณ ปัจจุบนั ขณะ จะได้ไม่วกวนวุน่ วาย กับสิง่ ภายนอกมากนัก ไม่จมกับอดีต ไม่โหยหา อาวรณ์กับเรื่องที่ยังมาไม่ถึง และที่ไม่ควรมอง ข้ามที่สุด คือ “กฎแห่งกรรม”

อย่าให้ “ความเหงา” มาเป็นตัวก�ำหนดชีวิต เรา แต่ใช้มนั ให้เป็นทางเดินแห่ง “สติ” ด้วยการ มองโลกตามความเป็นจริง มองเห็นคุณค่า ในส่วนที่เรามีเราเป็น แม้ส่วนด้อยก็มองด้วย ความเข้าใจและยอมรับ อย่าลืมสุภาษิตโบราณ “ผิดเป็นครู” ปัญหาและอุปสรรคที่ผ่านเข้า มาคือ “ครูสอนชีวิต” ถ้าชีวิตไม่เกิดปัญหาจะ เรียนรูโ้ จทย์จริงได้ทไี่ หน แล้วจะก้าวผ่านพ้นไป ข้างหน้าได้อย่างไร มองอย่างสร้างสรรค์ มอง อย่างขอบคุณ ไม่เปรียบเทียบกับชีวิตของผู้อื่น เพราะทุกชีวิตต่างก็สร้างเหตุมาต่างกัน คงจะ ไม่มีใครคนใดและไม่มีสิ่งใดที่จะมาคอยเติม เต็มให้กับชีวิตเราได้เสมอไป ถ้าเราไม่ฝึกใจให้ เป็นทีพ่ งึ่ แห่งตนให้ได้ เพราะ…ถ้า “ใจ” มีความ พอดีกับทุกสิ่ง ที่มีที่เป็นอยู่ ก็จะรู้สึกไม่เหงา แต่ที่รู้สึกเหงา…เพราะต้องการให้ทุกสิ่งนั้น “พอดีกับใจ” ที่เคยยึดเคยอยาก

อย่าลืมว่าทุกอย่างมาแต่เหตุ ถ้าชีวิตไม่หวัง เกินตัว อยู่กับความจริงได้อย่างยอมรับ จิตใจ ก็จะไม่เหี่ยวเฉาจนทุกข์ทนยาก โรคเหงาก็จะ ไม่รุมเร้าใจ ด�ำเนินชีวิตด้วยธรรม มีหลักใน การปฏิบัติเพื่อดู “ใจ” ดู “ความรู้สึก” บ้าง โดย เฉพาะถ้าเราเป็นผู้ที่เกื้อกูลแบ่งปันให้ “ทาน” บ้าง มี “ศีล” เป็นปกติในชีวิตประจ�ำวัน จิตใจ จะองอาจด้วย “ปัญญา” ในการละวางและ ยอมรับความเป็นจริงได้ดีขึ้น เราจะเคารพและ ศรัทธาตนเองได้มากขึ้น ด้วยการ “ละชั่ว ท�ำดี ท�ำจิตให้ผ่องใส” ไม่ว่าจะอยู่คนเดียวหรืออยู่ หลายคนก็จะอยู่ได้โดยไม่รู้สึกเหงา เพราะรู้สึก ฝึกฝนตนเองด้วยการละวางความอ่อนแอใน และเข้าใจในสิ่งที่ได้ท�ำได้เป็นไม่เรรวนซวนเซ จิตใจและพร้อมทีจ่ ะเติมวุฒภิ าวะให้กบั ตนเอง ไปตามอารมณ์ โรคเหงาก็จะไม่ก�ำเริบ ด้วยการกล้าเผชิญกับความเป็นจริง ด้วยความ มั่นใจ ในสิ่งที่จะต้องมีต้องเป็นเพื่อเอาชนะ เคยมีบ้างไหม! บางเวลาแม้ขณะที่ก้าวเราเดิน “ความเหงา” ที่มันพร่องในใจเรา ด้วยตัวเรา อยู่ในย่านชุมชนที่มีผู้คนมากมาย ใจเรายัง เองดีกว่าเพราะ… ชีวิตคือความรู้สึก “ใจ” ที่ รู้สึกเงียบเหงาอ้างว้าง เพราะผู้คนที่ได้พบเจอ ฝึกดีแล้ว เลือกที่จะรู้สึก “เหงา” หรือเลือกที่ รู้สึกไร้มิตรภาพต่อกัน ไร้รอยยิ้ม ไร้การทักทาย รู้สึก “ตื่นรู้” เบิกบาน ชีวิตเลือกได้ ผูค้ นยุคนีจ้ งึ ไม่ใยดีทจี่ ะมีสมั พันธภาพกับเพือ่ น มนุษย์ด้วยกันนัก แม้จะอยู่ใกล้เคียงกัน แต่ “ความสุข...ที่ต้องตามหานั้นไกลแสนไกล กลับไปเหลียวแลใส่ใจและพูดคุยกับสัตว์บ้าง ความสุขอยู่ที่ “ใจ” ไม่ต้องหา” ก้มหน้าก้มตาอยูก่ บั สือ่ ยุคใหม่บา้ ง ส่วนใหญ่ก็ ก้มหน้าก้มตาดูเรือ่ งราวกับสือ่ ทีถ่ อื ติดตัวตลอด เวลา ทั้งๆ ที่คนข้างกาย คนใกล้ตัว ต่างก็รู้สึก เหงาใจพอๆ กัน

ชีวิตดี 17


คน ค้น ค่าย

@April 58 เรื่อง ครูบิ๊ก

จบลงไปแล้วอย่างประทับใจนะคะ สำ�หรับค่ายธรรมะสำ�หรับเยาวชน ภายใต้โครงการจิตสดใส วัยบริสุทธิ์ ด้วยพุทธปัญญา ซีซั่นประจำ�ปี 2558 นี้ เป็นความภูมิใจของทีมจิตอาสาทุกคนที่ได้ทำ�ดำ�ริ ของท่านพระอาจารย์ใหญ่ พระอาจารย์มานพ อุปสโม ให้เป็นจริง เพราะนับตั้งแต่ปี 2551 ที่ท่านได้เมตตา ให้จัดค่ายจิตสดใส วัยบริสุทธิ์ ด้วยพุทธปัญญา ท่านก็มีภาพในใจมาตลอดว่า วันหนึ่งจะมีค่ายที่ให้เยาวชนและผู้ปกครองมา ปฏิบัติธรรมร่วมกัน โดยในเวลากลางวันผู้ใหญ่และเด็กแยกกันปฏิบัติธรรม จนค่ำ�จึงกลับห้องพักและนอนพักพร้อมหน้ากันทั้งครอบครัว ผู้ปกครองได้ให้ความอบอุ่นกับลูก เยาวชนก็รู้สึกปลอดภัยเพราะได้อยู่กับผู้ปกครอง

18 จิตสดใส ปีที่ ๑ ฉบับที่ ๖


แนวคิดจัดค่ายปฏิบตั ธิ รรมแบบครอบครัวอบอุน่ นี้ คงอยูใ่ นใจ ของท่านพระอาจารย์ใหญ่มาโดยตลอด และท่านก็เริ่มท�ำด�ำริ นีใ้ ห้เป็นรูปธรรม โดยการปลูกอาคาร 40 ห้อง รองรับครอบครัว ที่จะมาปฏิบัติธรรม และแล้วในปี 2558 นี้ เหตุปัจจัยก็พร้อม สมบูรณ์ “ค่ายครอบครัวอบอุน่ ” ครัง้ แรกจึงเกิดขึน้ และประสบ ความส�ำเร็จอย่างงดงามสมดังความตั้งใจของพระอาจารย์ค่ะ

ภายใต้ผืนแผ่นดินไทยนี้ แม้เราจะเป็นคนแปลกหน้าอย่างไร.. แต่เราเป็น “ลูกของพ่อ” เหมือนกัน และเรามี “พ่อ” คนเดียวกันเสมอมา

อันที่จริงจะว่าครั้งนี้เป็นค่ายครอบครัวอบอุ่นครั้งแรกก็อาจจะไม่ถูกนัก ใน ปี 2552 แฟนพันธุแ์ ท้บางท่านอาจจะจ�ำได้วา่ เคยมีคา่ ยครอบครัวอบอุน่ มา ครั้งหนึ่งแล้ว ครูบิ๊กจ�ำได้เลือนลางว่า มีครอบครัวเข้าทั้งสิ้น 30 ครอบครัว และมีเด็กประมาณ 60 คน เด็กปฏิบัติศาลากลางและผู้ปกครองปฏิบัติที่ ธรรมศาลาบนเขา ตอนค�ำ่ ภาพประทับใจคือผูป้ กครองฉายไฟฉายวอมแวม เดินลงเขากันมารับลูก แล้วก็เดินวอมแวมกลับขึน้ เขาไปพักด้วยกัน ค่ายครัง้ นั้นก็ได้รับค�ำชมจากผู้ปกครองมากนะคะ แต่พระอาจารย์ใหญ่ท่านปรารภ ว่า “มันน่าจะดีกว่านี้ได้อีก” ค่ายครอบครัวอบอุ่นปี 2558 จึงเกิดขึ้นด้วย เหตุดังนี้แหล่ะค่ะ ปี นี้เ ราจั ดค่ า ย 2 ค่ า ยค่ ะ เริ่ มด้ ว ยค่ า ยครอบครั ว อบอุ ่ น วั นที่ 27-30 มีนาคม 2558 ต่อด้วยค่ายจิตสดใสฯ ส�ำหรับเยาวชนอายุ 13-15 ปี วันที่ 1-5 เมษายน 2558 ค่ะ รับสมัครกันในช่วงเดือนมกราคมค่ะ ปีนกี้ พ็ เิ ศษ ตรงที่ เ ราเริ่ ม ไฮเท็ ค เปิ ด ให้ ส มั ค รกั น ออนไลน์ ไ ด้ เ ลยที่ เ ว็ บ ไซต์ www.jitsodsai.com ซึ่งก็สะดวกรวดเร็วดีค่ะ ค่ายส�ำหรับเด็กๆ ระดับมัธยมนั้นไม่ค่อยน่าห่วง แต่ที่เรตติ้งล้นหลามคือ ค่ายครอบครัวอบอุน่ ค่ะ เปิดรับสมัครปุบ๊ นีร่ เู้ ลยว่าแฟนคลับตัง้ หน้าตัง้ ตารอ ค่ายลักษณะนีม้ านาน ยอดทีเ่ รารับได้คอื 40 ครอบครัว แต่ยอดสมัครพุง่ ไป ถึง 65 ครอบครัวแน่ะค่ะ ตอนปิดยอดนีค่ รูบกิ๊ แอบกังวลเล็กๆ เพราะไม่ชอบ บรรยากาศของการตอบปฏิเสธเลย ต้องมีถึง 25 ครอบครัวที่เสียใจหรือนี่...

ชีวิตดี 19


และแล้วความกังวลนั้นก็หายวับไปกับตาเพราะความเมตตาของ ท่านพระอาจารย์ใหญ่ค่ะ หลังจากท่านทราบยอดการสมัคร ท่านก็ เมตตาให้รบั ครอบครัวไว้ทงั้ หมด โดยศูนย์ปฏิบตั ธิ รรมจะรับภาระใน การหาที่ พั ก ให้ ไ ด้ ค รบทุ ก ครอบครั ว ครู บิ๊ ก เชื่ อ ว่ า ทุ ก ครอบครั ว พร้อมใจกันกราบคารวะในเมตตาของท่านพระอาจารย์มานพค่ะ และแล้ววันค่ายก็มาถึง วันนั้นพวกเราทุกคนเดินไปไหนก็สนิมร่วง กราว เพราะห่างหายจากการท�ำค่ายมาหนึ่งปีเต็มๆ แถมค่ายครั้งนี้ ก็ท้าทายไม่น้อย ด้วยเพราะเหตุปัจจัยหลายอย่าง หลักๆ คือ นี่เป็น ค่ายครอบครัวครั้งแรก ตารางกิจกรรมก็ต้องร้อยเรียงให้ผู้ปกครอง กับเด็กสอดคล้องกัน สถานทีส่ ำ� หรับอบรมเด็กคืออาคาร 40 ห้องนัน้ ก็ใหม่กิ๊กส�ำหรับทีมงาน โรงอาหารก็ใหม่ ไม่เคยใช้มาก่อน

แต่ความท้าทายที่ใหญ่หลวงก็คือ “ทีมจิตอาสา” ค่ะ เรามีกันเพียง 24 ชีวิต แต่ต้องดูแลคอร์สปฏิบัติธรรมถึง 2 คอร์ส กับ 2 อาคารใน เวลาเดียวกัน แต่...ณ นาทีนี้ครูบิ๊กต้องขอบคุณความท้าทายต่างๆ เหล่านี้มากที่สุดค่ะ เพราะมันท�ำให้ครูบิ๊กตระหนักถึงประโยคที่ว่า “ความล�ำบากสร้างคน ความสบายท�ำลายคน” เมือ่ เราต้องบริหาร จัดการการท�ำงานทีย่ ากเช่นนี้ ท�ำให้เราแข็งแกร่งและได้ปญ ั ญาจาก การคิดแก้ปัญหาที่เข้ามา เมื่อเราผ่านมันมาได้จึงภูมิใจอย่างบอก ไม่ถูกค่ะ เรามาพูดถึงบรรยากาศของค่ายกันดีกว่าค่ะ จาก 65 ครอบครัวที่ได้ รั บ ข่ า วดี แต่ ร ะหว่ า งทางก็ มี เ หตุ ป ั จ จั ย ต่ า งๆ เข้ า มา เหลื อ 53 ครอบครัว กับตัวเลขอัศจรรย์คือ ผู้ปกครองและโยคีมีจ�ำนวนฝั่งละ

20 จิตสดใส ปีที่ ๑ ฉบับที่ ๖


67 ชีวิต เท่ากันพอดีเป๊ะเลยค่ะ สมาชิกก็มาจากหลากหลายจังหวัด ทั่วประเทศนะคะ แต่ที่เด่นและสร้างสีสันให้ค่ายได้มากคงหนีไม่พ้น ทีมจากจังหวัดสุพรรณบุรี ผู้ปกครอง 3 ครอบครัวรวมตัวกันอย่าง เหนียวแน่น สมัครพร้อมกัน และถึงกับบอกครูบกิ๊ ว่า หากมีครอบครัว ใดครอบครัวหนึ่งไม่ได้รับคัดเลือก ก็จะสละสิทธิ์กันทั้งหมด สมกับ เพลง “มาด้วยกัน ไปด้วยกัน เลือดสุพรรณเอ๋ย” จริง ๆ นะคะ ฮ่า ๆๆ ภาพบรรยากาศของค่ายเป็นไปอย่างที่พระอาจารย์ใหญ่ท่านได้ ปรารภไว้ทุกประการค่ะ เมื่อจบพิธีเปิดค่ายแล้ว ทีมค่ายเด็กก็น�ำ เยาวชนเดินมายังอาคาร 40 ห้อง ซึง่ เราพร้อมใจกันเรียกว่า “ตึกเด็ก” ส่วนผู้ปกครองก็ฟังธรรมและปฏิบัติอยู่ที่ธรรมศาลาตลอดค่ายค่ะ ทันทีที่ครูบิ๊กได้ไปยืนหน้าแถวลูกโยคีที่ตึกเด็ก ความรู้สึกแรกที่รู้สึก ได้ชัดเจนก็คือ “ความเป็นกันเอง” ของตึกเด็กค่ะ มันให้ความรู้สึก อย่างนั้นตั้งแต่วินาทีแรก และบรรยากาศของฝั่งเด็กๆ ก็เป็นกันเอง จริงๆ จนถึงนาทีสุดท้ายเลยค่ะ ถึงแม้วา่ ในค่ายนีอ้ ายุของลูกโยคีอาจจะห่างกันไปสักนิด คือมีตงั้ แต่ 7 ขวบ ถึง 13 ปี แต่ทกุ คนก็ยงั มีความสดใสร่าเริงในธรรมให้คณ ุ ครูได้ อมยิม้ กันตลอดเวลา ปีนเี้ รามีกจิ กรรมใหม่คอื เกมส์ “อิทปั ปัจจยตา -ปฏิจจสมุปบาท” ตอนแรกทีค่ ดิ จะเล่นเกมส์นี้ ก็ยงั สงสัยอยูว่ า่ ลูกๆ จะเข้าใจได้หรือไม่ แต่ธรรมะของพระพุทธองค์นั้นถูกพิสูจน์มาแล้ว ว่า เหมาะกับทุกคนจริงๆ ค่ะ เราพยายามท�ำเกมส์นี้ให้ง่าย โดยการ อธิบายว่า อิทัปปัจจยตา-ปฏิจจสมุปบาท คือการสอนเรื่อง เหตุ-ผล นั่นเอง เพราะมีเหตุ ผลจึงมี หากสร้างเหตุ ต้องยอมรับในผล หาก ไม่ต้องการรับผล ต้องดับที่เหตุ ซึ่งลูกๆ ก็เข้าใจได้ดีทีเดียว วัดจาก การที่ครูบิ๊กบอก “ผล” แล้วให้ลูกโยคีช่วยกันบอก “เหตุ” ลูกๆ ก็ช่วย กันคิดได้มากมายจนคุณครูสิบกว่าคนเขียนกันไม่ทันเชียวค่ะ ยก ตัวอย่างเช่น อะไรเป็น “เหตุ” ของ “การสอบตก” ค�ำตอบของลูกๆ ก็ เช่น ขี้เกียจ ไม่อ่านหนังสือ ชอบผลัดวันประกันพรุ่ง ติดเกมส์ อะไร เป็นเหตุของฟันผุ ค�ำตอบของลูกๆ ก็คือ ไม่แปรงฟัน อมลูกอมมาก ดื่มน�้ำอัดลมมาก คุณครูเห็นลูกๆ เข้าใจแบบนี้ก็ชื่นนนนน...ใจค่ะ เรือ่ งของการปฏิบตั ิ ลูกๆ โยคีกท็ ำ� ได้ดไี ม่แพ้รนุ่ อืน่ ๆ ลูก ๆ สูก้ บั ตัวเอง มาก แต่กส็ ามารถเอาชนะใจตัวเองได้ เห็นได้จากในวันสุดท้ายทีล่ กู ๆ สามารถเดินจงกรมเดีย่ วได้ดแี ละเดินได้นานโดยไม่ตอ้ งมีครูหรือพระ อาจารย์ไปคุมเลย อีกเรื่องที่ไม่พูดถึงคงไม่ได้ ครูบิ๊กมั่นใจว่าสิ่งนี้สร้างความประทับใจ ให้ทกุ คน นัน่ คือ...ห้องอาหารของลูกโยคีนนั่ เองค่ะ วิวสวยมาก...เป็น

ห้องอาหารทีส่ ร้างยืน่ ออกไปจากเขา วิวด้านหน้าคือภูเขาทีโ่ อบรอบ เขาดินหนองแสงของเรา ยามเช้ามีไอหมอกจางๆ ช่วยสร้างมิติ ส่วน วิวด้านล่างคือป่ายางอันเขียวชะอุม่ ทีส่ ำ� คัญเป็นวิวพาโนราม่า เกือบ 360 องศาเชี ย วนะคะ นี่ ถ ้ า ต้ อ งไปเช่ า รี ส อร์ ท เพื่ อ ให้ ไ ด้ วิ ว แบบนี้ล่ะก็ มีหวังต้องจ่ายหลายหมื่นเลยล่ะค่ะ แต่มาเข้าค่าย ครอบครัวอบอุ่นของเรา... ได้ทั้งอาหารสมอง อาหารปัญญา แถม อาหารตาเป็นโบนัสอีกต่างหากค่ะ ส�ำหรับฝั่งผู้ปกครองนั้น พอจ.ท่านให้แบ่งโยคีออกเป็น 3 กลุ่มคือ กลุ่มที่ไม่เคยปฏิบัติมาก่อน กลุ่มที่เคยปฏิบัติในแนวทางอื่น และ กลุ่มศิษย์เก่าที่เคยปฏิบัติกับศูนย์ฯ เรามาแล้ว ปรากฏว่า กลุ่มที่ สองนีม่ จี ำ� นวนมากทีส่ ดุ ค่ะ แต่กไ็ ม่ใช่ปญ ั หาแต่อย่างใด เพราะใน วันสุดท้าย ทุกคนต่างพูดเป็นเสียงเดียวกันว่า ประทับใจกับความ เมตตาและค�ำสอนของท่านพอจ.ใหญ่เป็นอย่างมาก คุณแม่ท่าน หนึ่งถึงกับมาขอโทรศัพท์เพื่อโทร.ตามให้คุณพ่อมารับแต่เช้า เพื่อ จะได้ฟังธรรมจาก พอจ.พร้อมกันทั้งครอบครัว ภาพประทับใจที่สุดของครูบิ๊กในค่ายนี้ เกิดขึ้นในวันสุดท้ายและ เป็นกิจกรรมเกือบท้ายสุด นั่นคือการปฏิบัติธรรมพร้อมกันทั้ง ครอบครัวนัน่ เองค่ะ พระอาจารย์ปรารภว่า น่าจะไปเชิญกินเนสบุค๊ มาบันทึกไว้ ว่าเป็นการปฏิบตั ธิ รรมพร้อมกันทัง้ ครอบครัวมากทีส่ ดุ ในโลก การเดินจงกรมในวันนั้นเรียกได้ว่าเป็นภาพจ�ำเลยทีเดียว พ่อแม่ลูก ปู่ย่า ตายาย พี่ ป้า น้าอา เดินจงกรมพร้อมกับลูกๆ

ชีวิตดี 21


หลานๆ สงบเงียบ นิ่ง รู้สึกตัวทุกขณะก้าวเดิน ช่างเป็นภาพที่เราชาวพุทธควร น้อมถวายต่อองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า พ่อทางจิตวิญญาณของเรา ยิง่ นัก ให้ทา่ นได้ทอดพระเนตรเห็นว่า ภิกษุ อุบาสก อุบาสิกา ทัง้ รุน่ พ่อแม่และ รุ่นลูกหลาน ต่างก็พร้อมใจกันปฏิบัติบูชา สมาทานเดินตามค�ำสอนของ พระองค์ และจะเป็นหน่วยเล็กๆ ของสังคมพุทธที่ยั่งยืนต่อไปค่ะ ค่ายครอบครัวอบอุน่ จบลงด้วยความภาคภูมใิ จ พระอาจารย์ได้รบั ฟังค�ำชืน่ ชม จากผูป้ กครองกันเกือบจะทุกครอบครัว ทุกบ้านประทับใจในรูปแบบการปฏิบตั ิ ธรรมเช่นนี้ แถมยังมีผู้ปกครองเสนอความคิดเห็นที่เป็นประโยชน์ด้วยนะคะ ว่าน่าจะมีสรุปเนื้อหาที่สอนลูกๆ โยคีให้ผู้ปกครองทราบบ้าง เผื่อผู้ปกครอง อยากจะเอาไปติดตามผล หรือต่อยอดที่บ้าน เราทีมงานก็ขอรับข้อเสนอนี้ไว้ ด้วยความขอบพระคุณยิ่งค่ะ ค่ายซีซนั่ นีพ้ ระอาจารย์เมตตาให้โบนัสพิเศษกับเรา คือให้มวี นั พักระหว่างค่าย 1 วันเต็มค่ะ ตรงนี้ดีงามมากๆ เพราะเหมือนกับให้จิตอาสาได้มีโอกาสชาร์ท พลั ง ให้ เ ต็ ม ครั้ ง นี้ เ ราก็ มี ก ารแตะมื อ กั น อย่ า งไร้ ร อยต่ อ ที ม หนึ่ ง กลั บ ทีมหนึ่งมา และก็มีจิตอาสาหลายท่านที่อยู่ช่วยทั้งสองค่ายเลย ก็ต้องขอ อนุโมทนาไว้ ณ ที่นี้ด้วยค่ะ

22 จิตสดใส ปีที่ ๑ ฉบับที่ ๖


1 เมษา มหาฤกษ์ วันเริ่มต้นค่ายจิตสดใสฯ รุ่น 54 ส�ำหรับเยาวชนอายุ 13-15 ปี หรือศึกษาอยูช่ นั้ ม.1-ม.3 ครัง้ นีอ้ บอุน่ กะทัดรัด มีเยาวชนเข้าค่าย 49 ชีวติ และจ�ำนวนลูกชายมากกว่าลูกสาว ซึง่ ไม่คอ่ ยเกิด ขึ้นบ่อยนัก จ�ำได้ว่าเกิดขึ้นครั้งแรกเมื่อปีที่แล้ว และเกิดขึ้นซ�้ำอีกในปีนี้ จะว่าไปครูบิ๊กค่อนข้างชอบจ�ำนวนโยคีฉบับกระเป๋าแบบนี้นะคะ รู้สึกเป็น กันเองดี ที่ส�ำคัญ... เห็นผลของการปฏิบัติได้ชัดเจนทีเดียวค่ะ ทุกค่ายที่ ผ่านมา พระอาจารย์ท่านจะน�ำปฏิบัติรวมก่อน สักวันที่ 3 ของค่ายจึงจะให้ แยกไปเดินจงกรมตามอัธยาศัย แต่ปีนี้แปลกใจมาก เพราะแค่วันที่ 2 พระอาจารย์ก็ให้แยกกันเดินจงกรมแล้ว ลูกๆ รักษาความเงียบและความ เป็นระเบียบได้ดี และเมื่อคนน้อย...การรักษาเวลาในกิจกรรมต่างๆ ก็ดีไป ด้วย เวลาเป๊ะ...ว่างั้นเถอะ ค่ายเด็กโตครัง้ นีม้ กี จิ กรรมหลายกิจกรรมทีเ่ พิง่ เปิดตัว เด่นๆ คงเป็นกิจกรรม ด้วยรักและผูกพัน กิจกรรมคิดบวก และเดินธุดงค์ 21 กิโลเมตรค่ะ “ด้วยรักและผูกพัน” ชือ่ สือ่ ความหมายกิจกรรมได้ดมี ากค่ะ กิจกรรมนีอ้ ยาก สอนลูกๆ ให้เห็นคุณค่าของร่างกายนี้ที่ครบ 32 และเห็นการพึ่งพิงอาศัยซึ่ง กันและกัน ลูกๆ จับคู่กับเพื่อน แล้วตกลงกันว่า ใครจะ “ผูก” ใครจะ “พัน” ผูก..คือผูกตา ส่วนพัน..คือพันข้อมือสองข้างเข้าด้วยกันนั่นเองค่ะ พูดง่ายๆ คนหนึ่งสมมติว่าตาบอด อีกคนหนึ่งสมมติว่าแขนพิการ หลังจากผูกพันกัน แล้ว ทัง้ คูก่ ต็ อ้ งใช้ชวี ติ ผ่านการรับประทานอาหารกลางวัน จงกรมธรรมชาติ และศพอาสนะด้วยกัน ตอนทานอาหารคนมีตาก็ตอ้ งบอกคนมีแขนว่าอาหาร อยูต่ รงไหน คนมีแขนแต่ไม่มตี าก็ตอ้ งป้อนคนแขนพิการด้วย เรียกว่าผ่านไป อย่างทุลักทุเลในช่วงแรกๆ แต่สักพักลูกๆ ก็เริ่มพึ่งพากันและกันได้อย่างดี เห็นได้จากตอนเปิดตาแล้ว..ลูกๆ ออกมาแสดงความรู้สึก ว่าเห็นคุณค่าของ สายตา มือ และแขนของตัวเองก็ตอนนี้ เหนือสิ่งอื่นใด... ลูกๆ ได้เรียนรู้ที่จะ ไว้ใจ เอื้ออาทร และพึ่งพาอาศัยคนอื่นด้วยใจที่เปิดกว้างด้วยค่ะ

ชีวิตดี 23


ขอให้มองหามุมบวก จากปัญหาทุกอย่างที่เราพบเจอให้ได้ ชีวิตก็จะมีความสุข

อีกกิจกรรมใหม่แกะกล่อง ชื่อตรงๆ คือ “คิดบวก” ค่ะ ในโลกข้างนอก ของลูกๆ วัยนี้ ช่างมีแรงเสียดทานและสิง่ ท้าทายมากมายเหลือเกิน สิง่ ที่เราอยากปลูกฝังคือ ขอให้ลูกๆ มองหามุมบวกจากปัญหาทุกอย่างที่ เราพบเจอให้ได้ ชีวิตก็จะมีความสุขค่ะ ตรงนี้ตรงกับค�ำสอนของพระ ศาสดาทีว่ า่ ด้วย “โยนิโสมนสิการ” กิจกรรมนีใ้ ห้ลูกๆ ท�ำเป็นกลุ่ม โดย คุณครูจะมีโจทย์เป็นปัญหาหรือความท้าทายที่ลูกจะต้องเจอหรือเคย พบเจอมาแล้ว จากนั้นให้ระดมสมองภายในกลุ่มเพื่อ 1) มองหามุมบวกจากปัญหานั้น 2) ดูวา่ จะใช้ธรรมะข้อใดพาตัวเราผ่านสถานการณ์นนั้ ไปได้ แต่ละกลุม่ มีเวลา 30 นาทีเพื่อระดมสมองค่ะ

24 จิตสดใส ปีที่ ๑ ฉบับที่ ๖

และครูบิ๊กไม่อยากเชื่อเลยว่า ลูกๆ แต่ละกลุ่มมองหาแง่มุมบวก จากปัญหาได้มากกว่าทีค่ ณ ุ ครูคาดหวังไว้มากทีเดียวค่ะ เช่น โดน เพื่อนล้อ ลูกหาแง่บวกได้ว่า “เพื่อนเขาสนใจเรานะ เพราะถ้า เขาไม่สนใจเราเขาคงไม่สามารถหาประเด็นมาล้อเราได้” อีก กลุ่มมองว่า “เพื่อนเขาอยากเล่นกับเรา จึงหาประเด็นมาล้อ เราเพือ่ เข้าถึงตัวเราได้” ในขณะทีอ่ กี กลุม่ มองว่า “ท�ำให้เราได้ ทราบข้อบกพร่องของตัวเอง เพือ่ น�ำไปปรับปรุงและพัฒนา ขึ้น” ส่วนธรรมะที่ใช้เพื่อผ่านสถานการณ์นี้ ส่วนมากตอบว่า “ความอดทน” หรือ “ขันติ” นั่นเองค่ะ ตัวอย่างอีกข้อคงเป็นเรือ่ ง “การสอบตก หรือ ติดศูนย์” ลูกๆ มอง ว่าเป็นโอกาสท�ำให้แม่นในวิชานั้นๆ เพราะต้องเรียนใหม่อีกรอบ ส่วนธรรมะทีไ่ ด้เรียนรูก้ ค็ อื “ความซือ่ สัตย์เป็นนโยบายทีด่ ที สี่ ดุ ” หมายความว่า สอบตกก็ยังภูมิใจว่าไม่ได้ทุจริตในการสอบค่ะ “หน้าตาไม่ดี” ลูกๆ มองว่า เป็นโอกาสให้ได้พบคนดี ที่มองเรา ลึกไปถึงจิตใจ ไม่ได้มองพี่เพียงหน้าตา และจะใช้ธรรมะขัดเกลา ท�ำให้จิตใจดี จะได้สวย/หล่อออกมาจากข้างในค่ะ เห็นมั๊ยล่ะคะ อ่านมาถึงตรงนี้ก็คงอดภาคภูมิใจในตัวลูกๆ ไม่ได้ หวังว่าลูกๆ จะได้น�ำการคิดแบบโยนิโสมนสิการนี้ไปใช้หลังออก จากค่ายด้วยนะคะ เพื่อความสงบร่มเย็นในใจของลูกๆ เองค่ะ และแน่นอนค่ะ...กิจกรรมที่ได้รับผลโหวตและกดไลค์ให้อย่าง ถล่มทลายก็คือ แต่น...แต๊นนนน... การเดินธุดงค์เป็นระยะทาง กว่า 20 กิโลเมตรนัน่ เองค่ะ แฟนคลับหลายท่านคงจะร�ำลึกได้วา่ เมือ่ ปี 2557 ทีผ่ า่ นมา การธุดงค์ของเราเปลีย่ นรูปแบบไปเล็กน้อย คือเปลี่ยนจาก “เดินทางไกล” เป็น “เดินทางใกล้” แต่เดินไปใน


ที่ที่ซ่อนความหมายของการใช้ชวี ติ คือ โรงพยาบาล บ้านพักคนชรา และบ้านเด็กพิการค่ะ ซึง่ การเดินทางใกล้นี้ ลูกๆ ก็ได้เรียนรูแ้ ละเอาชนะ ตัวเองได้มากมายทีเดียวค่ะ เพียงแต่เสียงโหวตทีอ่ ยากจะเดินทางไกล ก็ยังท่วมท้นอยู่ ปี 2558 นี้พระอาจารย์จึงจัดให้ “ไกล” สมใจนึกเลย ล่ะค่ะ ปีก่อนๆ เราเดินทางไกลก็ระยะทางเพียง 7-8 กิโลเมตรเท่านั้น แต่ปีนี้...พระอาจารย์ท่านไม่ยอมบอกว่ากี่กิโล ค่อยไปเฉลยตอนเดิน ถึงจุดหมายแล้ว ว่าพวกเราช่างกล้าหาญชาญชัย เดินกันมาได้อย่างไร กว่า 20 กิโลเนี่ย!!!

ภายใต้ผนื แผ่นดินไทยนี้ แม้เราจะเป็นคนแปลกหน้าอย่างไร..แต่เรา เป็น “ลูกของพ่อ” เหมือนกัน และเรามี “พ่อ” คนเดียวกันเสมอมาค่ะ การเดินทางตามรอยพ่อสิ้นสุดลงที่หาดเจ้าหลาวเวลาประมาณ 16.30 น. ที่นี่...ทุกคนพากันอุทานว่า “สวยคุ้มกับความพยายาม และความเหน็ ด เหนื่ อ ย” เหงื่อดูเหมือนจะระเหยหายไปหมด หลังจากได้เห็นทัศนียภาพของทะเลใสสงบ และโขดหินสวยรูปร่าง แปลกตา ทีมกองกลางและธรรมบริการท�ำงานหนักมากในการ ล่วงหน้ามาก่อนและจัดแจงกางเต้นท์และเคลียร์สถานที่ไว้พร้อม ส�ำหรับให้ลกู ๆ ได้เขียนไปรษณียบัตรท�ำดีถวายพ่อ และน�ำขึน้ ประดับ ต้นผ้าป่า ก่อนจะทอดถวายให้พระอาจารย์ได้เป็นพยานในความ จงรักภักดี และแน่นอนขอขอบพระคุณผูใ้ หญ่ใจดีคอื คูโบต้าระยอง มีรถน�้ำเย็นวิ่งบริการตลอดเส้นทาง และน�้ำแข็งใสมารอรับลูกๆ โยคี ที่หาดเจ้าหลาว บางคนยังไม่ชื่นใจพอ ขอ 3 ถ้วย พี่ๆ เค้าก็บริการ ด้วยความยิม้ แย้มค่ะ ตบท้ายด้วยการเป็นเจ้าภาพเลีย้ งอาหารค�ำ่ สุด พิเศษแสนอร่อยอีกต่างหาก ต้องขอกราบขอบพระคุณอย่างสูงค่ะ

ที่จริงแล้วพวกเรามีค�ำตอบค่ะ...ว่าเราเดินมาได้อย่างไรตั้ง 20 กิโล... เราเดินเพื่อพ่อหลวงของเราไงคะ คืนก่อนหน้าวันธุดงค์เป็นกิจกรรม “เรารักในหลวง” ซึง่ ปีนพี้ เิ ศษกว่าทุกปี เพราะพระอาจารย์ได้ให้คณ ุ ครู ทุกคนในค่าย ได้แสดงความในใจของตนเองที่มีต่อพ่อหลวง ซึ่งเชื่อ ว่าลูกๆ ก็สัมผัสได้ถึงความประทับใจที่คุณครูมีต่อพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว จากนั้นพระอาจารย์ก็ได้ให้โจทย์ว่า “พรุ่งนี้...เราจะ เดินตามรอยเท้าพ่อกัน” เราจะเดินพื่อบูชาพระคุณพ่อ เพื่อพิสูจน์ รอยเท้าพ่อ... ว่าพระองค์เสด็จไปทุกที่โดยไม่ถาม ไม่บ่น ไม่ท้อ แล้ว เมื่อเราต้องเดินบ้างเล่า เราจะถาม เราจะบ่น เราจะท้อไหม เมื่อได้ โจทย์อย่างนีแ้ ล้ว เชือ่ ว่าทุกดวงใจในค่ายจิตสดใสฯ ก็มกี ำ� ลังใจพร้อม ที่จะ “เดินเพื่อพ่อ” ค่ะ

ค�่ำวันนั้นเรา ได้ท�ำวัตรเย็นกันท่ามกลางลมทะเลและปรากฏการณ์ จั น ทรุ ป ราคา พร้ อ มท� ำ กิ จ กรรมเคลี ย ร์ ใ จเพื่ อ เข้ า นอนกั น อย่ า ง มีความสุขค่ะ

การเดินธุดงค์เริ่มขึ้นตั้งแต่เวลา 4.00 น. ซึ่งไม่ง่ายเลยส�ำหรับการ เริ่มต้น แต่เชื่อหรือไม่ว่าไม่มีเสียงบ่นสักค�ำ มีแต่ความตื่นตัวและ ธงสีเหลืองในมือ รถพาขบวนธรรมยาตราไปยังเนินนางพญาอ่าว คุ้งวิมาน และเราออกเดินไปสู่หาดเจ้าหลาว (หลายท่านคุ้นเส้นทางก็ คงต้องร้องอู้ฮูกับระยะทางอันยาวไกล...) ลูกๆ เดินเรียงแถวกันเป็น ระเบียบ พร้อมใจช่วยกันถือป้ายผ้า “จิตสดใส วัยบริสทุ ธิ์ ด้วยพุทธ ปัญญา ธรรมยาตรา ตามรอยพ่อหลวง” ท่ามกลางแดดร้อนจัดยัง มีนำ�้ ใจอันแสนชุม่ ชืน่ จากชาวบ้านตลอดทางทีข่ บวนธรรมยาตราของ เราเดินผ่าน น�ำ้ เย็น ลูกอม ขนม ของว่าง หรือแม้แต่นำ�้ หวาน น�ำ้ อัดลม มีให้ขบวนของเราได้เย็นกายและอิม่ ใจตลอดทาง เป็นการพิสจู น์วา่ ...

งานเลีย้ งใดๆ ย่อมมีวนั เลิกรา ค่ายจิตสดใสฯ รุน่ 54 ก็มาถึงวันสุดท้าย ที่ท่านผู้ปกครองเดินทางมารับบุตรหลานกลับบ้านด้วยความอบอุ่น ส� ำ หรั บ พระอาจารย์ แ ละที ม งานจิ ต อาสาทุ ก คน เราล้ ว นได้ รั บ สิ่ ง ตอบแทนที่ ยิ่ ง ใหญ่ อั น ประมาณค่ า ไม่ ไ ด้ นั่ น คื อ ความอิ่ ม ใจ ที่ได้เป็นสื่อมอบธรรมะของพระผู้มีพระภาคเจ้าให้สถิตย์ไว้ในใจ เยาวชนตลอดไป เราชาวค่ายช่วยหยอดเมล็ดพันธุแ์ ห่งปัญญาลงไป ในใจของลูกๆ แล้ว ฝากให้ท่านผู้ปกครองได้หมั่นพรวนดิน (ธรรม) และรดน�้ ำ (ใจ) ให้ เ มล็ ด พั น ธุ ์ นี้ ด ้ ว ยนะคะ เพื่ อ สั ง คมพุ ท ธของ พ่ อ หลวงจะได้ ร ่ ม เย็ น ด้ ว ยความเมตตาและเอื้ อ อาทรต่ อ กั น ตราบนานเท่านานนะคะ

ชีวิตดี 25


นิทาน ... ธรรมดี

ความลับของลูกหมี เรื่อง คุณนายฟู ภาพประกอบ ภัทรีดา ประสานทอง

26 จิตสดใส ปีที่ ๑ ฉบับที่ ๖


ในวันที่อากาศสดใสวันหนึ่ง ลูกหมีกำ�ลังช่วยแม่ตากผ้าอย่างขะมักเขม้น “ขอบใจนะจ๊ะลูกหมี ลูกเป็นเด็กดีเสมอเลย” ลูกหมียิ้มอย่างภาคภูมิ ใจ

ลูกลิงซึ่งอยู่ข้างบ้านเรียกลูกหมีมาเล่นด้วยกัน “ลูกหมีมาขี่จ ักรยานใหม่ของเราไหม” “เราช่วยแม่ตากผ้าอยู่ไม่ว่างเล่นหรอก” แต่จริงๆ แล้วที่ลูกหมีปฏิเสธเพราะขี่จ ักรยานไม่เป็นมากกว่า “ลูกลิงเข้ามาทานขนมก่อนสิจ๊ะ มีเค้กกล้วยหอมด้วยนะ”แม่หมีเรียก

ชีวิตดี 27


“ขอบคุณมากครับ เค้กนี่อร่อยมากเลย” ลูกลิงเอ่ยชมทั้งที่ขนมเต็มปาก “ดี ใจที่ชอบนะจ๊ะ ทานเยอะๆ ล่ะ” แม่หมีบอกแล้วก็เดินกลับ เข้าไปทำ�งานบ้านต่อ

ลูกหมีตากผ้าเสร็จแล้ว เห็นจักรยานจอดทิ้งไว้คิดว่าลูกลิงคงลืมไว้ “ขอยืมไปหัดขี่หน่อยนะลูกลิง” ลูกหมีพึมพัมกับจักรยาน

28 จิตสดใส ปีที่ ๑ ฉบับที่ ๖


แม่หมีกลับออกมาก็ต้องตกใจ “ตายจริง ทำ�ไมราวตากผ้าล้มลงมาแบบนี้” แม่หมีอุทาน แม่ลิงที่ถือถาดผลไม้เข้ามา ก็รีบ เข้ามาช่วยเก็บผ้าที่เลอะเทอะแล้วเจอจักรยานของลูกลิงล้มอยู่ใต้กองผ้า

แม่ลิงดุลูกลิงที่ข ี่จ ักรยานชนราวตากผ้าของแม่หมี “ลูกซุกซนจนข้าวของแม่หมีพ ังหมดแล้ว แม่ต้องลงโทษลูกโดยการยึดจักรยานจนกว่าลูกจะยอมรับผิด” “แต่ผมไม่ได้ทำ�นะแม่!”ลูกลิงเถียง ลูกหมีได้แต่แอบมองอยู่ในบ้านด้วยสีหน้าเคร่งเครียด

ชีวิตดี 29


คืนนั้นลูกหมีนอนไม่หลับ ได้แต่ระแวงกลัวว่าจะมีคนรู้ว่า จริงๆ แล้วลูกหมีเป็นคนขี่จ ักรยานของลูกลิงชนราวตากผ้าล้ม

วันต่อมาแม่หมีขอให้ลูกหมีช่วยไปเอาจดหมายหน้าบ้าน ลูกหมีเห็นลูกลิงนั่งซึมอยู่ที่ชิงช้า ก็รู้สึกเสียใจ แต่ไม่กล้าไปสู้หน้าจึงรีบหลบเข้าบ้าน แต่ก็ต้องเอามือกุมขมับ เพราะมีอาการปวดหัวจี๊ดขึ้นมา

30 จิตสดใส ปีที่ ๑ ฉบับที่ ๖


แม่หมีเห็นลูกหมีหน้าเครียดจึงจะเข้ามาคุยด้วย ลูกหมีตกใจนึกว่าแม่จ ับได้ว่าเขาเป็นคนทำ�ราวตากผ้าพัง จึงชิงบอกแม่ว่า “ผมรู้สึกปวดหัวขอนอนพักก่อนนะครับ”แล้วรีบกลับ เข้าห้องนอนทันที

ลูกหมีนอนขดอยู่บนเตียงหน้าเครียด ใจนึกถึงแต่ว่าจะมีคนสงสัยไหมว่าลูกหมีเป็นคนทำ� “ถ้าทุกคนรู้คงจะเกลียดเราแน่ๆ” ลูกหมีคิด แล้วลูกหมีก็ปวดหัวหนักขึ้นจนต้องกุมขมับ

ชีวิตดี 31


แม่หมีเข้ามาในห้อง แล้วลูบหัวลูกหมีพลางพูดว่า “ปวดหัวมากไหมลูกแม่เป็นห่วงนะ” ลูกหมีรับรู้ถึงความรักของแม่ก็ยิ่งรู้สึกเสียใจสิ่งที่ทำ�ไปจนร้องไห้ออกมา

“แม่ครับผมขอโทษ ผมเป็นคนขี่จ ักรยานชนราวตากผ้าเองครับ” ลูกหมีสารภาพ “อย่างนี้เองลูกถึงปวดหัว คงจะเครียดเพราะรู้สึกผิดสินะ แม่น่ะไม่เป็นไรหรอกจ้ะ แต่ลูกลิงนี่สิ...น่าสงสารว่าไหมจ๊ะ”

32 จิตสดใส ปีที่ ๑ ฉบับที่ ๖


ลูกหมีมาที่บ้านลิงเพื่อขอโทษลูกลิงและแม่ลิง “ผมขอโทษครับที่ทำ�ผิดแล้วปล่อยให้ทุกคนเข้าใจว่าลูกลิงทำ�” ลูกหมีพูดเสียงอ่อย “ก่อนหน้านี้เราโกรธนะลูกหมี.....แต่หายแล้วล่ะขอบคุณที่บอกความจริงนะ” ลูกลิงยิ้มกว้าง แม่ลิงหันมาบอกลูกลิงว่า “แม่เองก็ต้องขอโทษลูกที่ ไม่เชื่อนะจ๊ะ ต่อจากนี้ลูกเอาจักรยานไปเล่นได้เหมือนเดิมจ้ะ”

แม่หมีแตะไหล่ให้กำ�ลังใจลูกหมีพร้อมบอกว่า “ลูกทำ�ถูกแล้วจ้ะที่บอกความจริง แม้เราจะถูกดุ ถูกโกรธ หรือถูกทำ�โทษ ก็เป็นการรับผิดชอบสิ่งที่ทำ� แต่เราจะสบายใจกว่าที่ ไม่ต้องคอยระแวงและปกปิดความผิด จริงไหมจ๊ะ”

ชีวิตดี 33


“จริงที่สุดครับ แม่” ลูกหมีรู้สึกโล่งใจ อาการปวดหัวหายไปอย่างน่าประหลาด ลูกหมียิ้มออก มาได้ “ถ้าสารภาพผิดตั้งแต่แรกก็คงไม่ทุกข์ ใจจนปวดหัวแบบนี้” ลูกหมีคิด

“ลูกหมี เราไปขี่จ ักรยานเล่นด้วยกันไหม” ลูกลิงถาม แต่ลูกหมีบอกว่า “เราขอกลับไปช่วยแม่ซักผ้าที่เลอะเมื่อวานก่อนนะ แล้วก็...” ลูกหมียิ้มอายๆ “ลูกลิงช่วยเราสอนขี่จ ักรยานด้วยได้ ไหมล่ะ” ลูกลิงยิ้มและตอบตกลง ลูกลิงตั้งใจสอนลูกหมีข ี่จ ักรยานเต็มที่ จนลูกหมีเริ่มจะขี่ ได้แล้ว “รู้อย่างนี้น่าจะบอกลูกลิง ตามตรงตั้งแต่แรก” และทุกคนก็พ ักผ่อนอย่างมีความสุขในวันที่ท้องฟ้าสดใสแบบนี้

34 จิตสดใส ปีที่ ๑ ฉบับที่ ๖


ธรรมะออนไลน์ เรื่องและภาพประกอบ

faithbook

ชีวิตดี 35


ประกาศ... ประกาศ... ร ค ั ม ส บ ั ร ด ิ ป เ แล้วจ้า... ค่าย

“จิตสดใส วัยบริสุทธิ์ ด้วยพุทธปัญญา” ช่วงปิดภาคเรียน ปี 2558 นี้

ช่วงปิดภาคเรียน ปี 2558 วันที่ 16-20 ตุลาคม 2558 (4 คืน 5 วัน) ค่ายเด็กอายุ 13-15 ปี (หรือระดับชั้น ม.1-ม.4) จำ�นวน 70 คน ณ ศูนย์ปฏิบัติธรรมเฉลิมพระเกียรติ 84 พรรษา ราชนครินทร์ จ.จันทบุรี

เปิดรับสมัครวันนี้ - 13 กันยายน นี้


ผู้ปกครองท่านใดที่สนใจ สามารถขอรับระเบียบการและใบสมัครได้ ตาม 4 ช่องทางต่อไปนี้ 1. ส�ำหรับผู้ที่อยู่ใกล้บริเวณศูนย์ปฏิบัติธรรมเฉล ิมพร ราชนครินทร์ ให้มารับใบสมัครและส่งใบสมัครได ะเกียรติ 84 พรรษา ประชาสัมพันธ์ของศูนย์ (ในกรณีที่ตั้งใจจะมารับ ้ด้วยตนเอง ที่ห้อง ใบสมัครและสมัครเลยให้ เตรียมหลักฐานคือ 1) รูปถ่ายเด็กที่สมัครขนาด 1 นิ้ว 1 ใบ 2) ส�ำเนาบัตรประชาชนหรือส�ำเนาสูติบัตร 3) ซองเปล่าติดแสตมป์ 3 บาท จ่าหน้าซองถึงตัว ท่านเอง มาด้วย) 2. หรือขอใบสมัครเข้ามาได้ที่อีเมล์ goodkidshappy

@gmail.com

3. ดาวน์โหลดได้จากเว็บไซต์ www.jitsodsai.com หรื อ www.pra-manop.org หรือ ค้นหาใน google ด้วยค�ำว่า “ค่ายจิตสดใส” ก็ ได้ค่ะ 4. ท่านสามารถส่งใบสมัครได้ด้วยตนเองที่โต๊ะประ ชาสัม ปฏิบัติธรรมเฉลิมพระเกียรติ 84 พรรษา ราชนคริพันธ์ของศูนย์ นทร์ หรือกรอกใบสมัครให้ชัดเจนส่งใบสมัครพร้อมหลั กฐานมาทางไปรษณีย์ ตามที่อยู่ที่ระบุในระเบียบการ

สอบถามรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ พระอาจารย์แจ็ค : 085-482-4422 ครูป๊อบ : 089-424-1651 ครูไก่ : 085-133-3788 คุณสุวรรณี : 089-074-0564 อีเมล: goodkidshappy@gmail.com www.jitsodsai.com


ผู้ใหญ่ใจดี พี่ๆ ใจบุญ ย า ล ห ง ้ ั ท ก ั ที่น่าร ... บ า ร ท ด ร โป

ค่าย “จิตสดใส วัยบริสุทธิ์ ด้วยพุทธปัญญา” กลับมาแล้วค่ะ หากท่านใดมีจิตศรัทธาสนับสนุนค่ายธรรมะเยาวชน สามารถสนับสนุนได้หลายรูปแบบ ดังต่อไปนี้

บริจาคแรงกายแรงใจ โดยการมาเป็นอาสาสมัคร ครูพี่เลี้ยง ธรรมะบริการ ช่วยงานในโรงครัว ช่วยงานทำ�ความสะอาด

รับบริจาค

เป็นสิ่งของแจกโยคีเด็กประมาณ 80 คน เป็นสิ่งของจำ�พวก ดินสอ ยางลบ ปากกา สี หนังสือธรรมะเด็ก ถุงผ้า ของเล่นเด็ก ฯลฯ

อาหารและเครื่องดื่ม

• สำ�หรับเด็ก ได้แก่ เครื่องดื่ม บรรจุกล่องทั้งหลาย • สำ�หรับทีมงาน ได้แก่ เครื่องชง ทุกชนิด เช่น ไมโล โอวัลติน กาแฟ น้ำ�มะตูมผง ฯลฯ

บริจาคเป็นปัจจัย โดยบริจาคด้วยตัวเอง ที่ศูนย์ปฏิบัติธรรมเฉลิมพระเกียรติ 84 พรรษา ราชนครินทร์ จ.จันทบุรี หรือเข้าบัญชี ธ.ไทยพาณิชย์ สาขาย่อยท่าพระจันทร์ ชื่อบัญชี “พระมานพ อุปสโม” บัญชีเลขที่ 114-2-10518-6 สำ�หรับท่านที่โอนปัจจัยทำ�บุญเข้าบัญชีนี้ ขอความกรุณามีต้อยติ่ง 3 บาทด้วยนะคะ เช่น ท่านมีศรัทธาทำ�บุญ 500 บาท ขอความกรุณาโอนเข้ามาเป็นเงิน 503 บาท เพื่อเราจะได้ทราบว่า ยอดนี้สมทบทุนทำ�ค่ายสำ�หรับเยาวชนค่ะ สำ�หรับสิ่งของบริจาค รบกวนเขียนข้างกล่อง/ถุง/หรือซองว่า “ค่ายจิตสดใส” ด้วยนะคะ แต่หากท่านไม่ได้อยู่ใกล้ศูนย์ปฏิบัติธรรม สามารถติดต่อทีมงาน เพื่อส่งมอบของกันได้ โดยติดต่อ ครูบิ๊ก 081-741-8141 ครูป๊อป 089-424-1651 ค่ะ


ค่าย

“จิตสดใส วัยบริสุทธิ์ ด้วยพุทธปัญญา”

ค่ายจิตสดใส วัยบริสุทธิ์ ด้วยพุทธปัญญา ถือกำ�เนิดโดยความเมตตาของท่านพระอาจารย์มานพ อุปสโม เมื่อปี พ.ศ. 2551 ด้วยความคิดที่จะปลูกฝังศีลธรรมให้กับเยาวชนไทย ได้เดินตามรอยบาทพระศาสดา เป็นค่ายศีลธรรมที่เน้นการภาวนาแนวสติปัฏฐาน 4 เสริมด้วยกิจกรรมบูรณาการเสริมทักษะการดำ�เนินชีวิต ต่างๆ อาทิ มารยาทชาวพุทธ ความกตัญญู ความมีน้ำ�ใจ อายตนะ-ขันธ์ 5 การฝึกหายใจกับโยคะอย่างง่าย เยาวชนจะได้ฟังธรรมะในรูปแบบธรรมะหรรษา เช่นหัวข้อ ภพภูมิ เบญจศีล เบญจธรรม พุทธประวัติ ความ สุขจากการให้ เป็นต้น เมื่อผ่านการอบรมแล้ว เยาวชนจะสามารถเป็นผู้เชื่อมโยงระหว่าง บ้าน วัด และโรงเรียน ให้กลายเป็นภาคีธรรมะ สร้างสรรค์สู่การเป็นสังคมแห่งสันติและความเมตตาต่อไป ค่ายจิตสดใส วัยบริสุทธิ์ ด้วยพุทธปัญญา ศูนย์ปฏิบัติธรรมเฉลิมพระเกียรติ 84 พรรษา ราชนครินทร์ อ.แก่งหางแมว จ.จันทบุรี


ความดี

ทำ�ความดีแล้วทำ�ไมใจยังทุกข์ เพราะใจไม่บริสุทธิ์ต่อความดี ทำ�ความดีด้วยใจบริสุทธิ์... ใจจะไม่ทุกข์เพราะความดี พระมหาปัญญา วิสุทโธ

ใจไม่บริสุทธิ์ต่อความดี หมายความว่า เรายังแอบคาดหวัง หรือหวังผลอย่างใดอย่างหนึ่งต่อการทำ�ความดี เราไม่ได้ทำ�ด้วยใจอันบริสุทธิ์ ใจจึงเป็นทุกข์กังวล ตั้งใจใหม่ ทำ�ความดีเพื่อความดี อย่าทำ�ความดีเพื่อตัวเรา อย่ามีตัวไปแบกรับผลของความดี ความดีจะบริสุทธิ์ ให้ผลเป็นสุขร่มเย็นอย่างแท้จริง


Issuu converts static files into: digital portfolios, online yearbooks, online catalogs, digital photo albums and more. Sign up and create your flipbook.