Ca351 week03 tv genre

Page 1

นศ 351

การผลิตรายการวิดที ศั น์ 1 [CA 351 Video Program Production 1] (ปี การศึกษาที่1/2557)

สาขาวิชานิเทศศาสตร์ บูรณาการ คณะศิลปศาสตร์ มหาวิทยาลัยแม่ โจ้

รวมรวม/เรียบเรียง โดย อาจารย์ ณัฏฐพงษ์ สายพิณ ประเภทของรายการโทรทัศน์ • • • • • • • • • • • • •

การจําแนกรายการโทรทัศน์ โครงสร้ างด้ านเนื ้อหารายการโทรทัศน์ การเขียนบทโทรทัศน์ กระบวนการผลิตความคิด กลุม่ เป้าหมายของสื่อโทรทัศน์ ความสนใจในการรับสาร องค์ประกอบในการสร้ างความพึงพอใจ องค์ประกอบในการชักจูงใจ การกําหนดโครงสร้ างรายการโทรทัศน์ รูปแบบรายการโทรทัศน์ รายการโทรทัศน์ที่แบ่งตามวัตถุประสงค์ทางการสื่อสาร รายการที่แบ่งตามกลุม่ เป้าหมาย สรุปผลสํารวจสื่อโทรทัศน์ปลอดภัยและสร้ างสรรค์


ประเภทของรายการ

โทรทัศน |

2

ทุกวันนี ้รายการโทรทัศน์มีการผลิตออกมาให้ ผ้ ชู มได้ เลือกสรรมากมาย ทังจากฟรี ้ ทีวี เคบิลทีวี และระบบการส่งสัญญาณ โทรทัศน์ในรูปแบบต่างๆ ถ้ าลองแบ่งเป็ นช่วงเวลาที่ออกอากาศในแต่ละวันนัน้ อาจแบ่งช่วงเวลาที่ออกอากาศช่วงละ 1-3 ชัว่ โมงได้ ดังนี ้ ช่ วงเวลาออกอากาศ ระยะเวลาออกอากาศ ช่วงเช้ ามืด 04.00 - 06.00 น. ช่วงเช้ า 06.00 - 08.00 น. ช่วงสาย 08.00 - 10.00 น. ช่วงก่อนเที่ยง 10.00 - 12.00 น. ช่วงเที่ยง 12.00 – 13.00 น. ช่วงบ่าย 13.00 – 15.00 น. ช่วงบ่าย – เย็น 15.00 – 18.00 น. ช่วงเย็น 18.00 – 19.00 น. ช่ วงไพรม์ ไทม์ 19.00 – 22.00 น. ช่วงดึก 22.00 – 24.00 น. ช่วงหลังเที่ยงคืน 24.00 – 02.00 น. ช่วงหลังตีสอง – เช้ ามืด 02.00 – 04.00 น.

สําหรับช่วงไพรม์ไทม์ (Prime time) นัน้ เป็ นช่วงเวลาที่มีผ้ ชู มโทรทัศน์มากที่สดุ นัน่ เอง ซึง่ ถือเป็ นช่วงเวลาทองของรายการ โทรทัศน์ตา่ งๆ ที่แย่งชิงฐานผู้ชม และมักเป็ นช่วงเวลาที่มีรายการหากพิจารณาดูลกั ษณะโครงสร้ างหรื อองค์ประกอบต่างๆ จะ พบว่า รายการแต่ละรายการนันมี ้ ลกั ษณะหรื อรูปแบบที่แบ่งเป็ นประเภทชัดเจนได้ 2 ประเภทใหญ่ๆ คือ รายการสาระและรายการ บันเทิง สําหรับในบทนี ้เราจะมาพิจารณาถึงโครงสร้ างให้ เฉพาะเจาะจงลงไปในรายละเอียดและรูปแบบของรายการแต่ละประเภท การจําแนกประเภทของรายการโทรทัศน์ Genre เป็ นคํามาจากภาษาฝรั่งเศส แปลว่า ชนิด ประเภท หรื อตระกูล ซึง่ การจําแนกประเภทรายการได้ ถกู นํามาใช้ กบั สือ่ วิทยุและโทรทัศน์ ซึง่ เป็ นสือ่ สารธารณะประเภทที่เข้ าถึงคนจํานวนมากและหลากหลาย เนื ้อหาที่ปรากฏก็หลากหลายตามไป ด้ วย จึงต้ องมีการจําแนกประเภทรายการให้ ตรงกับความต้ องการของกลุม่ เป้าหมาย เช่น รายการธรรมะสําหรับผู้สงู อายุ รายการ การ์ ตนู สําหรับเด็ก รายการละครหลังข่าวสําหรับแม่บ้าน รายการกีฬาสําหรับพ่อบ้ าน เป็ นต้ น ทังนี ้ ้องค์ประกอบที่ทําให้ รายการ ประเภทหนึง่ ๆ แตกต่างจากรายการประเภทอื่นๆ ขนบหรื อองค์ประกอบต่างๆนันจะถู ้ กใช้ ซํ ้าไปซํ ้ามา จนทังผู ้ ้ ผลิตรายการและผู้รับ


ประเภทของรายการโทรทัศน |

3

สารคุ้นเคย รายการที่มีขนบหรื อองค์ประกอบเหมือนๆ กันก็จะถูกจัดให้ อยูใ่ นประเภทเดียวกัน ดังที่ แมคเควล (Denis McQuail 2005:370) ได้ กําหนดว่าการจัดประเภทรายการตังมี ้ ลกั ษณะดังนี ้ 1. ต้ องเกิดจากความเข้ าใจที่ตรงกันระหว่างผู้ผลิต (สือ่ มวลชน) และผู้บริ โภค (ผู้ฟัง/ผู้ชม) 2. รายการประเภทต่างๆ จําแนกได้ โดยดูที่ I. วัตถุประสงค์ หรื อหน้ าที่ของรายการว่าให้ ขา่ วสาร ให้ ความบันเทิง หรื ออื่นๆ II. รูปแบบรายการ (ความยาว, จังหวะการดําเนินเรื่ อง, โครงสร้ าง, ภาษา และอื่นๆ) III. เนื ้อหารายการ 3. ต้ องได้ รับการยอมรับในช่วงเวลาหนึง่ และกลายเป็ นรูปแบบหรื อขนบ (Conventions) ที่ถกู รักษาไว้ 4. รายการแต่ละประเภทจะใช้ โครงสร้ างในการเล่าเรื่ อง การเรี ยงลําดับเหตุการณ์ ภาพเหตุการณ์ตา่ งๆ ที่ผ้ ชู มสามารถ คาดเดาได้ และใช้ แก่นของเรื่ อง (Theme) ที่เคยใช้ มาแล้ ว รายการโทรทัศน์จําเป็ นต้ องมีการจําแนกประเภทรายการเพื่อสร้ างความชัดเจนให้ กบั ทังผู ้ ้ ผลิตรายการและผู้ชม รวมทัง้ กําหนดเนื ้อหาของรายการ ดังนี ้ สําหรับผู้ผลิตรายการ เหตุที่ต้องมีการจําแนกประเภทรายการต่างๆ เพราะรายการมีรูปแบบหรื อสูตรการผลิตรายการที่แตกต่างกันไป การ จําแนกประเภทรายการจะช่วยให้ ผ้ ผู ลิตรายการมีแนวทาง และรู้วา่ จะใช้ สตู รการเล่าเรื่ องแบบใด และเลือกใช้ องค์ประกอบที่ รายการแต่ละประเภทต้ องมีหรื อต้ องรักษาไว้ ได้ อย่างถูกต้ อง เช่น เมื่อกําลังผลิตรายการเกมโชว์ ผู้ผลิตจะนําองค์ประกอบของเกม โชว์มาใช้ ในรายการ คือ เกมหรื อการแข่งขัน, ผู้เข้ าแข่งขัน, พิธีกรที่คอยควบคุมกฎ และดําเนินรายการ, เวทีที่เป็ นพื ้นที่สาํ หรับ แข่งขัน, ผู้ชมในห้ องส่ง, ของรางวัล, เสียงดนตรี หรื อเพลงประกอบรายการที่เร้ าใจ หรื อหากผลิตละครจักรๆ วงศ์ๆ การจําแนก ประเภท และสูตรในการผลิตจะเป็ นตัวกําหนดว่า ผู้ผลิตต้ องไม่ใส่องค์ประกอบที่ไม่เกี่ยวข้ องลงไป เช่น ให้ ตวั ละครขับรถยนต์ หรื อ ส่วมกางเกงยีนส์ เพราะจะผิดไปจากขนบของรายการประเภทนี ้ สําหรับผู้ฟังและผู้ชมรายการ การจําแนกรายการมีประโยชน์ตอ่ ผู้ฟังและผู้ชม ในแง่ของการตอบสนองความต้ องการ หรื อความคาดหวัง เนื่องจากผู้ชม ได้ ถกู ติดตังวิ ้ ธีคิด และมีประสบการณ์เดิมในการเปิ ดรับชมโทรทัศน์ การที่ผ้ รู ับสารเคยชมหรื อฟั งรายการประเภทต่างๆ มาก่อน ย่อมเกิดความรับรู้ จดจํา และตีความหมาย ทําให้ เกิดความหวัง ดังนันการจํ ้ าแนกรายการแต่ละประเภท (Warshaw, 1975 อ้ างใน สมสุข หินวิมานและคณะ, 2554 : 75) เช่น หากผู้ผลิตนําเสนอรายการประเภทซิทคอม (Situation comedy) ผู้ชมย่อมคาดหวังว่า ต้ องได้ ยินมุกตลก หรื อได้ รับความสนุกสนานจากการรับชมรายการ หรื อหากเป็ นรายการทําอาหาร (Cookery show) ผู้ชมย่อม คาดหวังว่าจะได้ เห็นอาหาร, เชฟ, เครื่ องครัว, สูตรการปรุงอาหาร และการสาธิตการประกอบอาหาร เป็ นต้ น หากรายการไม่มีองค์ประกอบที่คาดหวังว่าจะได้ เห็นหรื อได้ ยิน ผู้รับสารก็จะไม่เลือกชม หรื อฟั งรายการนันๆ ้ การจําแนก รายกาจึงถือเป็ นการช่วยจัดกลุม่ สินค้ าให้ กบั ผู้ฟังและผู้ชมทําให้ สามารถเลือกเปิ ดรับประเภทรายการที่ตนเองต้ องการได้ สําหรับเนือ้ หารายการ การจําแนกรายการส่งผลถึงเนื ้อหาของรายการ กล่าวคือ เนื ้อหาของรายการ (Content/Message) จะถูกทําซํ ้า (Repetition) เพื่อติดตังวิ ้ ธีคิดให้ กบั ผู้ชม โดยใช้ ขนบของรายการเป็ นเครื่ องบ่งชี ้ว่าในขณะนันสั ้ งคมมีความเชื่อหรื อค่านิยมอย่างไร ดังนันการจํ ้ าแนกประเภทรายการจึงไม่ใช่เรื่ องตายตัว และสามารถเปลีย่ นแปลงได้ ตามยุคสมัย สิง่ ที่เป็ นขนบและได้ รับการยอมรับ ในอดีตอาจไม่เป็ นที่ยอมรับจากทังผู ้ ้ ผลิตรายการ และผู้รับสารในปั จจุบนั ทําให้ ต้องมีการเปลีย่ นแปลงเนื ้อหาของรายการที่


ประเภทของรายการโทรทัศน |

4

นําเสนอ เช่น ในอดีตบทตํารวจในละครโทรทัศน์ต้องสะท้ อนภาพผู้รักษากฎหมาย ผดุงความยุติธรรม และเป็ นฝ่ ายธรรมะ แต่ ปั จจุบนั บทตํารวจในละครบางเรื่ องสะท้ อนภาพตํารวจเป็ นฝ่ ายอธรรม เป็ นต้ น หรื อในละครซิทคอมที่มกั นําเสนอภาพครอบครัว เดียวที่มีสมาชิกเพียง 2-3 คน อาศัยอยูใ่ นคอนโดมิเนียมมากกว่าที่จะนําเสนอภาพครอบครัวขยายที่อาศัยในบ้ านที่มีสมาชิก มากกว่า สิง่ เหล่านี ้สะท้ อนให้ เห็นถึงความเปลีย่ นไปของสังคมสมัยใหม่ซงึ่ ส่งผลกระทบต่อเนื ้อหาของรายการประเภทต่างๆ นอกจากนี ้ ความคิดหรื อค่านิยมบางอย่างในสังคมในช่วงเวลาหนึง่ ๆ อาจทําให้ เกิดตระกูลรายการใหม่ๆ ขึ ้น เช่น Crime television series ซึง่ เป็ นรายการที่เกี่ยวข้ องกับอาชญากรรมหรื อคดีสะเทือนขวัญต่างๆ อาทิ ตรงจุดเกิดเหตุ (ไทยทีวีสชี ่อง 3) ผลิต โดยบริ ษัท เทน เทเลมาร์ เก็ต มีผ้ ดู ําเนินรายการ คือ คุณจตุรงค์ สุขเอียด ซึง่ เป็ นรายการที่เปิ ดเผยแผนโจรกรรมหรื อแผนฆาตกรรม ของคดีตา่ งๆ ในสังคมปั จจุบนั ออกอากาศทุกวันจันทร์ ถึงศุกร์ เวลา 11.10 น. หรื อ เรื่ องจริ งผ่านจอ (สถานีโทรทัศน์สกี องทัพบก ช่อง 7) ผลิตโดย บริ ษัท สาระดี จํากัด ในเครื อบริ ษัท กันตนา กรุ๊ป จํากัด (มหาชน) ปั จจุบนั มีผ้ ดู ําเนินรายการ 4 คน ได้ แก่ คุณฐาป กรณ์ ดิษยนันทน์ , คุณ สุรวุฑ ไหมกัน , คุณ คงกะพัน แสงสุริยะ และคุณ ลลนา ก้ องธรนินทร์ ออกอากาศทุกวันพฤหัสบดี (เดิม ออกอากาศทุกวันอาทิตย์) เวลา 23.00 - 00.00 น. ทางสถานีโทรทัศน์สกี องทัพบกช่อง 7 เริ่ มออกอากาศเป็ นครัง้ แรก เมื่อวัน อาทิตย์ที่ 15 สิงหาคม พ.ศ. 2542 เป็ นรายการสารคดีเชิงข่าวนําเสนอภาพจริ งและเสียงจริ ง ตีแผ่ทกุ เรื่ องราวในสังคมได้ รับรู้ ทังนี ้ ้ รายการทังสองได้ ้ เกิดขึ ้นและถ่ายทอดความคิด ความเชื่อที่วา่ อาชญากรรมหรื อเหตุรุนแรงเป็ นสิง่ ใกล้ ตวั ผู้ชม และสามารถเกิดขึ ้น ตลอดเวลา

รายการตรงจุดเกิดเหตุและผู้ดําเนินรายการ

รายการเรื่องจริงผ่ านจอและผู้ดําเนินรายการ


ประเภทของรายการโทรทัศน |

5

โครงสร้ างด้ านเนือ้ หารายการโทรทัศน์ รายการโทรทัศน์ที่นําเสนอสูก่ ลุม่ เป้าหมาย มีหลายประเภท ได้ แก่ รายการละคร รายการเกมส์โชว์ รายการสารคดี รายการกีฬา รายการทอล์ค รายการสนทนา รายการสาธิต รายการแข่งขันตอบปั ญหา และรายการประเภทอื่นๆ ซึง่ รายการ โทรทัศน์ในแต่ละประเภทรายการดังกล่าว ประกอบด้ วย โครงสร้ างหลัก 3 ลักษณะคือ โครงสร้ างทางภาพ โครงสร้ าง ทางเสียง และโครงสร้ างทางแสง ซึง่ นอกจากโครงสร้ างหลัก 3 โครงสร้ างดังกล่าวแล้ ว รายการโทรทัศน์ยงั ประกอบด้ วย โครงสร้ างด้ านเนือ้ หา ซึง่ เป็ นส่วนประกอบที่สาํ คัญที่สดุ อีกส่วนหนึง่ และเนื ้อหาที่นําเนอทางรายการโทรทัศน์นนั ้ มีรูปแบบการ นําเสนอเนื ้อหาที่หลากหลาย เช่น นําเสนอในลักษณะของข้ อเท็จจริ งแบบข่าว นําเสนอในลักษณะของสารคดี นําเสนอใน ลักษณะของบทสนทนาในรายการละคร เป็ นต้ น รูปแบบในการนําเสนอเนื ้อหาในลักษณะต่างๆ ดังกล่าว มีที่มาจากการเขียน บทโทรทัศน์ ซึง่ บทโทรทัศน์เปรี ยบเสมือนหนึง่ พิมพ์เขียวของรายการโทรทัศน์แต่ละประเภท ซึง่ มีความสําคัญอย่างยิ่งหากบท โทรทัศน์มีความสมบูรณ์จะช่วยให้ การผลิตรายการโทรทัศน์แต่ละรายการเป็ นไปอย่างราบรื่ นและมีประสิทธิภาพสูงสุด

การเขียนบทโทรทัศน์ ผู้ที่จะเขียนบทโทรทัศน์ได้ ดีนนั ้ จําเป็ นจะต้ องมีความรู้ความเข้ าใจ ทังในหลั ้ กการและวิธีการของศาสตร์ และศิลป์ การ เขียนบทโทรทัศน์มีองค์ประกอบต่างๆมากมาย ที่จะต้ องนํามาใช้ เป็ นแนวทางในการคิดวิเคราะห์ เลือกสรร และ นําเสนอ อย่างมี ขันตอนและเป็ ้ นระบบซึง่ ต้ องสามารถตรวจสอบและวัดผลอย่างเป็ นรูปธรรมด้ วยหลักการต่างๆ ได้ ดังนันผู ้ ้ ที่จะเป็ นนักเขียนบท โทรทัศน์ที่ดีจึงต้ องใช้ เวลาในการแสวงหา เรี ยนรู้ และฝึ กฝนปฏิบตั ิให้ มีทกั ษะอย่างเชี่ยวชาญ ซึง่ องค์ประกอบที่จําเป็ นที่นกั เขียน บทโทรทัศน์จะต้ องมีพื ้นฐาน ได้ แก่ ข้ อมูล ใช้ เป็ นเนื ้อหาในการเขียนบทโทรทัศน์ ทังข้ ้ อมูลทัว่ ไปที่ใช้ ประกอบการคิด การนําเสนอและข้ อมูลที่ทําการค้ นคว้ าเฉพาะ เรื่ อง ข้ อมูลทัง้ 2 ประเภทนี ้จะเป็ นฐานในการสร้ างความคิดที่มีรูปลักษณะเฉพาะตัวให้ เหมาะกับเนื ้อหา วัตถุประสงค์ และ กลุม่ เป้าหมายของการเขียนบทอย่างมีประสิทธิภาพ การคิด การคิด เป็ นการวางแนวทาง หลักการ และขันตอน ้ เพื่อเป็ นต้ นเรื่ องของเนื ้อหา เมื่อมีความเข้ าใจ มีทกั ษะและความ เชี่ยวชาญในการคิดแล้ ว ก็สามารถสร้ างสรรค์ความคิดที่ดีและแปลกใหม่ได้ อย่างไม่จบสิ ้น ซึง่ การคิดทีดีจะนําไปสูก่ ารคิด สร้ างสรรค์ที่ดี และนําความคิดที่ได้ นนไปถ่ ั ้ ายทอดแก่บคุ คลเป้าหมายได้ อย่างเข้ าใจและบรรลุวตั ถุประสงค์ในการสือ่ ความหมาย อย่างมีประสิทธิภาพ


ประเภทของรายการโทรทัศน |

6

การถ่ ายทอดความคิด การถ่ายทอดความคิด คือ วิธีการนําเสนอความคิดอย่างมีลาํ ดับที่ดี เป็ นระบบ และมีเหตุผลที่สมั พันธ์กนั อย่างต่อเนื่อง ตังแต่ ้ ต้นจนจบ โดยการใช้ ภาษาที่เหมาะสมกับรูปแบบการสือ่ สาร ประเภทของสือ่ และกลุม่ เป้าหมาย รวมทังบรรยากาศ ้ อารมณ์และวัตถุประสงค์เฉพาะในการนําเสนอเนื ้อหาหรื อความคิดนันๆ ้ การใช้ ภาษาในการถ่ ายทอดความคิด การใช้ ภาษาในการถ่ายทอดความคิด เป็ นการลงรายละเอียดของโครงเรื่ องของเนื ้อหาให้ มีความสอดคล้ องกับเนื ้อหา และกลุม่ เป้าหมายตามวัตถุประสงค์ซงึ่ เป็ นกลยุทธ์ในการนําเสนอเนื ้อหา การสื่อสารผ่ านสื่อโทรทัศน์ การสือ่ สารผ่านสือ่ โทรทัศน์เป็ นองค์ประกอบเกี่ยวกับ วิธีการ ขันตอน ้ และเทคนิคการนําเสนอซึง่ ต้ องนํามาเป็ นแนวทาง เพื่อสร้ างสรรค์บทโทรทัศน์ให้ มีประสิทธิภาพสูงสุดและสอดคล้ องกับความเป็ นอยูจ่ ริ งของวงการวิชาชีพและรายการที่นําเสนออยู่ ในปั จจุบนั หรื อคาดว่าจะเปลีย่ นไปในอนาคต ระบบ ประเภท และลักษณะในการนําเสนอรายการโทรทัศน์ที่เป็ นอยูใ่ นทางปฏิบตั ิ รวมทังช่ ้ องทางในการนําเสนอรายการต่างๆ นัน้ ทําให้ แนวโน้ มของรายการโทรทัศน์และการเขียนบทโทรทัศน์มีความแตกต่างกัน หลักการสื่อสารผ่ านสื่อโทรทัศน์ ในการถ่ายทอดความคิดนัน้ หากใช้ วิธีการเล่าเรื่ องที่เหมาะสม มีการใช้ ภาษาที่ถกู ต้ องจะทําให้ การสือ่ สารนันเกิ ้ ด สัมฤทธิ์ผลได้ เช่นเดียวกับการสือ่ สารผ่านสือ่ ต่างๆ ผู้สง่ สารต้ องมีความเข้ าในในคุณลักษณะและธรรมชาติของสือ่ นันๆ ้ เพื่อจะได้ ออกแบบสารหรื อใช้ สอื่ นันได้ ้ ตรงตามลักษณะทางธรรมชาติของสือ่ ได้ ในการสือ่ สารผ่านสือ่ โทรทัศน์ ผู้ทําการเขียนบทจะต้ องมี ความรู้ความเข้ าใจและสามารถทําการวิเคราะห์ผ้ รู ับสาร เพื่อจะได้ กําหนดวัตถุประสงค์ในการสือ่ สารให้ ถกู ต้ อง ตรงกับตามความ ต้ องการและสร้ างความพึงพอใจให้ แก่ผ้ รู ับสารได้ ซึง่ หากบรรลุวตั ถุประสงค์ดงั กล่าว บทรายการโทรทัศน์นนจึ ั ้ งจะถือว่าประสบ ความสําเร็ จ ภาษาภาพและภาษาเสียงสําหรับโทรทัศน์ เนื่องจากตัวบทโทรทัศน์เป็ นเสมือนแผนที่หรื อพิมพ์เขียวในการผลิตรายการโทรทัศน์สาํ หรับทีมงานผลิตรายการทุกคนให้ เข้ าใจได้ ตรงกันหรื อสือ่ ความหมายไปในแนวทางเดียวกันโดยจะมีหลักการและขึ ้นตอนการเขียนบทโทรทัศน์ ตังแต่ ้ การจัด หน้ ากระดาษของการเขียนบทภาษาเทคนิคเฉพาะสําหรับบอกรายละเอียดทางด้ านภาษาภาพและภาษาเสียง แต่สงิ่ ที่สาํ คัญยิ่ง กว่า คือ การนําเอาความคิด เนื ้อหา เรื่ องราวถ่ายทอดผ่านสือ่ โทรทัศน์ให้ สอื่ ความได้ สอดคล้ องกับคุณลักษณะและธรรมชาติ ของสือ่ โทรทัศน์ ซึง่ ก็คือความรู้เกี่ยวกับภาษาภาพและภาษาเสียงสําหรับโทรทัศน์ รูปแบบรายการโทรทัศน์ เพื่อให้ การเขียนบทโทรทัศน์สนองตอบต่อกลุม่ เป้าหมายอย่างมีประสิทธิภาพ จึงต้ องกําหนดรูปแบบรายการให้ สอดคล้ องกัน ซึง่ แต่ละรูปแบบต่างมีวตั ถุประสงค์ตา่ งกันและให้ ผลที่ตา่ งกันตามแต่โอกาสและกลุม่ เป้าหมายที่ตา่ งกันไป การ นําเสนอรายการตามประเภทของรายการโทรทัศน์จึงมีความหลากหลาย ได้ แก่ รายการข่าว รายการสนทนา รายการสารคดี รายการนิตยสาร รายการละคร รายการสาธิต รายการทอล์คโชว์ รายการเกมส์โชว์ เป็ นต้ น


ประเภทของรายการโทรทัศน |

7

การแสวงหาข้ อมูลเพื่อการเขียนบทโทรทัศน์ เนื่องจากกระบวนการสือ่ สารเกิดจากการที่มนุษย์มีความประสงค์ที่จะส่งและรับข้ อมูลข่าวสารซึง่ กันและกัน ดังนันข้ ้ อมูล จึงเป็ นจุดเริ่ มต้ นของการสือ่ สาร ข้ อมูล คือ ข้ อเท็จจริ งที่เป็ นที่มาของความรู้ และนํามาใช้ ในการสร้ างความคิด เพื่อให้ เข้ าใจ เรื่ องราว ปั ญหา ตลอดจนแนวทางในการแก้ ปัญหาต่างๆ ข้ อมูลหรื อข้ อเท็จจริ งนี ้สามารถรับรู้ได้ โดยตรงหรื อโดยอาศัยเครื่ องมือช่วย ซึง่ เป็ นสิง่ ที่ได้ ปรากฏอยูจ่ ริ ง สามารถพิสจู น์ ได้ นํามาตรวจสอบได้ ข้ อเท็จจริ งนันมี ้ อยูม่ ากมายและไม่สามารถรู้ข้อเท็จจริ งทีมีอยูไ่ ด้ ทงหมดจึ ั้ งต้ องอาศัยสือ่ หรื อผู้อื่นเป็ นตัว นําเสนอแก่เรา และหากเรามีความรู้เกี่ยวกับข้ อเท็จจริ งนันไม่ ้ พอหรื อไม่ถกู ต้ องหรื อมีความผิดพลาดในการสือ่ สาร ก็จะนําไปสูก่ าร คิดที่ผิดได้ ฉะนันจึ ้ งควนที่จะมีการตรวจสอบ ทดลองเกี่ยวกับข้ อเท็จจริ งนันเสี ้ ยก่อนให้ แน่ใจว่า ข้ อมูลนันจะไม่ ้ นําเราไปสูก่ ารคิด ที่ผิดพลาด นอกจากข้ อมูลที่เป็ นข้ อเท็จจริ งแล้ ว ยังมีข้อมูลที่อาจเป็ นเพียงความเชื่อหรื อความเห็นซึง่ เกิดจากอารมณ์ความรู้สกึ ส่วนตัวของบุคคล ข้ อมูลเช่นนี ้ไม่สามารถยืนยันความถูกต้ องด้ วยการพิสจู น์ได้ และความคิดที่สร้ างขึ ้นจากข้ อมูลประเภทนี ้จะไม่ เป็ นที่ยอมรับของบุคคลทัว่ ไป ดังนัน้ ในการเขียนบทโทรทัศน์ จึงต้ องใช้ ข้อมูลที่เป็ นข้ อเท็จจริง สามารถพิสูจน์ ได้ และเป็ นที่ยอมรับของคน ทั่วไป เพื่อให้ บทโทรทัศน์ ท่ เี ขียนขึน้ นัน้ มีความถูกต้ องและเป็ นที่ยอมรับซึ่งข้ อมูลที่เป็ นข้ อเท็จจริงนีแ้ บ่ งได้ เป็ น 2 ประเภท คือ 1. ข้ อมูลทั่วไป ข้ อมูลทัว่ ไป เป็ นข้ อเท็จจริ งกว้ างๆ ทัว่ ๆ ไปที่ได้ มาจากชีวิตประจําวัน อาจเป็ นเรื่ องราวเกี่ยวกับวัตถุ บุคคล สถานที่ เหตุการณ์ หรื อ ค่านิยม ทัศนคติของแต่ละบุคคลที่แตกต่างกันไปในแต่ละเพศ วัย การศึกษา อาชีพ วัฒนธรรมประเพณี ยุค สมัย สถานภาพทางสังคมเศรษฐกิจ หรื อแม้ แต่วิถีทางแห่งการดําเนินชีวิตของบุคคล ข้ อมูลเหล่านี ้ได้ มาจากการสังเกตการณ์ การอ่านหนังสือ ดูหนัง ฟั งเพลง หรื อรับรู้ด้วยวิธีอื่นๆ เป็ นข้ อมูลที่มีการสะสมมายาวนาน และเป็ นสิง่ ที่ทําให้ เกิดความเข้ าใจคน ในสังคมเพื่อให้ สามารถติดต่อสือ่ สารกับคนอื่นได้ ข้ อมูลทัว่ ไปนี ้อาจเกิดจากความบังเอิญหรื อความสนใจต้ องการรู้ของบุคคล ซึง่ จะมีความแตกต่างกันไปแล้ วแต่ความสนใจในหัวข้ อหรื อเรื่ องราวของแต่ละบุคคล ผู้ที่จะทําการเขียนบทโทรทัศน์ได้ ดีนนั ้ จะต้ องเป็ นนักสะสมข้ อมูลทัว่ ไปซึง่ เป็ นความจําเป็ นอย่างยิ่งและต้ องฝึ กฝนตนเอง ให้ เป็ นคนที่มีความสนใจใฝ่ หาความรู้เรื่ องราวต่างๆ ให้ มากที่สดุ เท่าที่จะทําได้ แม้ จะไม่ใช่สงิ่ ที่เราสนใจหรื อไม่มีประโยชน์แก่เรา ในปั จจุบนั ก็ตาม และต้ องมีการคาดการณ์หรื อเล็งถึงผลประโยชน์จากข้ อมูลเหล่านันที ้ ่จะมีสง่ ผลต่อไปในอนาคต เพราะหากเรา ไม่มีการสะสมข้ อมูลเหล่านี ้ไว้ เมื่อถึงเวลาที่จําเป็ นจะต้ องใช้ จะทําให้ เสียเวลาในการหาข้ อมูลเหล่านี ้เป็ นอย่างยิ่ง 2. ข้ อมูลเฉพาะ ข้ อมูลเฉพาะ เป็ นข้ อเท็จจริ งเฉพาะด้ านที่ผ้ เู ขียนบทโทรทัศน์ ต้ องทําการค้ นคว้ าเป็ นครัง้ ๆ ไปเกี่ยวกับเรื่ องที่จะศึกษาใน แต่ละครัง้ ข้ อมูลเฉพาะนี ้เป็ นส่วนที่ช่วยให้ เกิดความลึกซึ ้งเข้ าใจในเนื ้อหาที่ทําการเขียนบทเป็ นอย่างดี ข้ อมูลลักษณะนี ้สามารถ เปลีย่ นแปลงทัศนคติของผู้รับสารได้ โดยมีข้อมูลทัว่ ไปเป็ นตัวเชื่อมโยง ซึง่ ข้ อมูลทัว่ ไปจะช่วยให้ เกิดความรู้สกึ ที่มีชีวิต มีความ น่าสนใจ มีความเป็ นมนุษย์ ซึง่ จะสามารถสร้ างความพึงพอใจให้ แก่ผ้ ชู มได้ ในการเขียนบทโทรทัศน์นนในขั ั ้ นแรกผู ้ ้ เขียนบทจะได้ รับเพียงจ้ อมูลเฉพาะหรื อสามารถค้ นคว้ าหาข้ อมูลได้ เพียงข้ อมูล เฉพาะเท่านัน้ เช่น ในการเขียนบทโฆษณา ข้ อมูลเฉพาะที่ผ้ เู ขียนบทจะได้ รับอาจจะเป็ นข้ อมูลการวิจยั ในเชิงการตลาดเกี่ยวกับ


ประเภทของรายการโทรทัศน |

8

ตัวสินค้ านันๆ ้ ซึง่ ไม่เพียงพอที่จะใช้ เขียนบทเพื่อทําให้ ผ้ ชู มเกิดความพึงพอใจได้ จึงต้ องมีการใช้ ข้อมูลทัว่ ไปเป็ นกลยุทธ์ในการ เขียนบทเพิ่ม ตังแต่ ้ แนวเรื่ อง การสร้ างเหตุการณ์ กิจกรรมที่จะใช้ ในการดําเนินเรื่ อง ส่วนประกอบของข้ อมูลเหล่านี ้จะช่วยสร้ าง ความสนใจ เร้ าอารมณ์ร่วม และสร้ างความประทับใจให้ แก่ผ้ ชู มได้ เป็ นอย่างดี สัดส่วนในการใช้ ข้อมูลทัง้ 2 ประเภทนี ้ ขึ ้นอยูก่ บั วัตถุประสงค์ของรายการ เช่น ในรายการข่าว จะต้ องมีข้อมูลเฉพาะ มากกว่าข้ อมูลทัว่ ไป เพื่อแสดงความน่าเชื่อถือ ส่วนรายการละครจะต้ องมีข้อมูลทัว่ ไปมากกว่าเพราะมีวตั ถุประสงค์ในการสร้ าง อารมณ์ได้ มากกว่าแต่ก็ยงั ขาดข้ อมูลเฉพาะไม่ได้ เพราะจะทําให้ ละครนันไร้ ้ สาระ ขนาดแนวคิด หรื อ การนําเสนอโฆษณาก็จะมี ความแตกต่างกันไป หากเป็ นโฆษณาที่ต้องการสร้ างอารมณ์และความพึงพอใจ จะใช้ ข้อมูลทัว่ ไปมากกว่าข้ อมูลเฉพาะ แต่ถ้า เป็ นโฆษณาที่มีวตั ถุประสงค์ให้ เกิดการสร้ างความพึงพอใจทางกาย ก็จะเน้ นข้ อมูลเฉพาะมากกว่าข้ อมูลทัว่ ไป การแสวงหาข้ อมูล การแสวงหาข้ อมูลมีอยูห่ ลายวิธี แต่เมื่อได้ ข้อมูลมาในครัง้ แรกแล้ ว จะต้ องไม่เชื่อในทันทีจนกว่าจะได้ มีการยืนยันหรื อมี ข้ อเท็จจริ งรองรับแล้ วจึงควรเชื่อถือได้ วา่ ข้ อมูลนันมี ้ ความถูกต้ อง ซึง่ วิธีการแสวงหาข้ อมูลนันแบ่ ้ งได้ เป็ น 4 วิธี คือ 1. การสังเกต การสังเกตเป็ นวิธีการที่ง่ายที่สดุ ที่จะทําให้ ได้ มาซึง่ ข้ อมูล สามารถทําได้ ด้วยตนเอง แต่สงิ่ ที่สาํ คัญที่สดุ คือ ต้ องสังเกตให้ ได้ รายละเอียดที่ลกึ ซึ ้ง ถ้ วนถี่ และถูกต้ อง ดังนันสิ ้ ง่ ที่ควรคํานึงในการทําการสังเกตมีดงั นี ้ 1.1 สังเกตอย่างมีระบบ มีจดุ มุง่ หมายในการสังเกต ไม่ใช่สงั เกตไปเรื่ อยๆ โดยไร้ จดุ หมาย และต้ องพยายามทําความ เข้ าใจในเรื่ องที่ทําการสังเกตด้ วย ควรเลือกสังเกตในเรื่ องที่มีสาระมีแก่นสาร ยิ่งถ้ าเป็ นเรื่ องที่เห็นว่าจะเป็ นประโยชน์ จะต้ อง ทําการศึกษาทีละด้ าน แบ่งเรื่ องออกตามองค์ประกอบของเรื่ องอย่างมีแบบแผน มีแนวทางแน่นอนแล้ วศึกษาให้ เป็ นขันตอน ้ 1.2 พยายามจับสิง่ ที่ผิดสังเกต ควรฝึ กตนเองให้ เป็ นคนขี ้สงสัยและตังปั ้ ญหาในสิง่ ที่ผิดสังเกต ถ้ ามีการพบสิง่ ที่ผิดสังเกต แล้ วปล่อยให้ ผา่ นเลยไป จะไม่ได้ อะไรจากการสังเกตนัน้ เราต้ องพยายามตังคํ ้ าถามว่าทําไม แล้ วพยายามหาคําตอบเพื่ออธิบาย หรื อให้ เหตุผล รวมทังนํ ้ าข้ อเท็จจริ งที่มีอยูเ่ ดิมมาตอบคําถามในสิง่ ที่สงสัย การนําข้ อเท็จจริ งที่มีอยูแ่ ล้ วนี ้มาสัมพันธ์กบั สิง่ ที่ผิด สังเกตก็อาจจะทําให้ เกิดข้ อเท็จจริ งใหม่ๆ ขึ ้นได้ 1.3 ให้ เครื่ องมือช่วยสังเกต เนื่องจากประสาทสัมผัสที่มีอยูใ่ นตัวมนุษย์เรานัน้ บางครัง้ อาจไม่สามารถสังเกตข้ อเท็จจริ ง ได้ ถกู ต้ องครบถ้ วนและข้ อเท็จจริ งบางอย่างเกินความสามารถที่จะรับรู้ได้ จากการสังเกต จึงจําเป็ นต้ องใช้ เครื่ องมือช่วยในการ สังเกตเพื่อให้ ได้ ข้อเท็จจริ งที่ถกู ต้ องมากที่สดุ 1.4 จดบันทึกสิง่ ที่สงั เกตไว้ เนื่องจากความสามารถในการจดจําข้ อเท็จจริ งของมนุษย์นนมี ั ้ ข้อจํากัด เราไม่สามารถนํา ข้ อเท็จจริ งที่สงั เกตทังหมดมาใช้ ้ ได้ ถ้ าหากไม่ได้ ทําการจดบันทึกเอาไว้ สิง่ ที่ได้ รับรู้จากการสังเกตมาก็จะสูญเปล่า ดังนันผู ้ ้ สงั เกต ควรทําการจดบันทึกข้ อมูลที่ได้ มาอย่างมีระบบ จะช่วยให้ นํามาใช้ ได้ ทนั ทีในเวลาที่ต้องการ 2. การเข้ าไปมีส่วนร่ วมด้ วยตนเอง การเข้ าไปมีสว่ นร่วมด้ วยตนเอง มีความแตกต่างจากการสังเกต คือ การสังเกตเป็ นเพียงการมองดูเหตุการณ์หรื อสิง่ นันๆเพี ้ ยงภาพนอก ไม่ได้ เข้ าไปมีสว่ นร่วมกับสิง่ เหล่านันด้ ้ วยตนเอง อาจทําให้ การได้ ข้อเท็จจริ งมานันไม่ ้ ถกู ต้ องที่สดุ แต่การเข้ า ไปลงมือกระทําหรื อได้ สมั ผัสกับสิง่ เหล่านันด้ ้ วยตนเองจะทําให้ ได้ ข้อเท็จจริ งที่ถกู ต้ อง มีความเข้ าใจลึกซึ ้งเกี่ยวกับข้ อเท็จจริ งนันๆ ้ มากกว่า แต่สงิ่ ที่ต้องระวังในการเข้ าไปมีสว่ นร่วมด้ วยตนเองคือ เรื่ องของอคติของบุคคล เพราะอคติจะมีผลให้ ข้อเท็จจริ งที่ควร


ประเภทของรายการโทรทัศน |

9

จะได้ มานันถู ้ กบิดเบือนไป ตัวอย่างการเข้ าไปมีสว่ นร่วมด้ วยตนเอง เช่น เราต้ องการเขียนบทรายการโทรทัศน์เกี่ยวกับบ้ านพัก คนชรา แต่เราไม่มีข้อมูลเลย นอกจากเราจะหาจากหนังสือ เอกสารต่างๆ แล้ วเราควรจะเข้ าไปสัมผัสกับคนชราที่อาศัยอยูใ่ น บ้ านพักคนชราด้ วยตนเอง จะทําให้ เรารู้วา่ คนชราเหล่านันมี ้ วิถีชีวิต กิจวัตรประจําวันอย่างไร มีความรู้สกึ นึกคิดอย่างไร เป็ นต้ น 3. ข้ อมูลจากสื่ออื่นๆ เนื่องจากมนุษย์เรามีข้อจํากัดในเรื่ องต่างๆ มากมาย เช่น เวลาในการหาข้ อมูล ความสามารถในการจํา ฯลฯ การ แสวงหาข้ อมูลด้ วยตนเองเพียงอย่างเดียวจึงไม่เพียงพอเมื่อเทียบกับข้ อมูลที่มีอยูม่ ากมายในสาระบบ ดังนันการแสวงหาข้ ้ อมูล จากผู้อื่นที่ได้ ทําการแสวงหาไว้ ก่อนแล้ ว จึงเป็ นวิธีหนึง่ ในการแสวงหาข้ อมูลที่สามารถนํามาใช้ ได้ เช่น การอ่าน หนังสือทัง้ หนังสือวิชาการในห้ องสมุด หรื อ หนังสือทัว่ ไป นิตยสาร หนังสือพิมพ์ วารสาร จุลสาร การฟั งวิทยุและการชมภาพยนตร์ และ รายการโทรทัศน์ตา่ งๆ เป็ นต้ น 4. การพูดคุยกับผู้ร้ ูหรือผู้เชี่ยวชาญเฉพาะด้ าน การพูดคุยกับผู้ร้ ูหรื อผู้เชี่ยวชาญเฉพาะด้ าน จะทําให้ ได้ ข้อมูลที่มีความลึกซึ ้งและถูกต้ อง เชื่อถือได้ และการพูดคุยเพื่อ แสวงหาข้ อมูลจากผู้ร้ ูนี ้ นอกจากจะได้ ข้อมูลที่ถกู ต้ องชัดเจนแล้ ว ยังสามารถสร้ างความมัน่ ใจเกี่ยวกับข้ อมูลที่ได้ ทําการแสวงหา นันด้ ้ วย นอกจากวิธีการแสดงหาข้ อมูลทัง้ 4 ที่ได้ กล่าวมาแล้ วนัน้ ยังมีวิธีการอื่นๆเพื่อให้ ได้ มาซึง่ ข้ อมูลได้ อีก เช่น การวิจยั แต่ การวิจยั จะสิ ้นเปลืองค่าใช้ จ่ายและใช้ เวลามาก จึงควรจะใช้ วิธีอื่นๆก่อน ถ้ ายังไม่สามารถหาข้ อเท็จจริ งได้ หรื อได้ ข้อมูลที่ไม่ น่าเชื่อถือจึงควรใช้ การวิจยั เข้ าช่วย หรื ออาจจะใช้ งานวิชยั ที่ผ้ อู ื่นได้ ทําไว้ แล้ วมาใช้ อ้างอิงก็ได้ หลังจากที่ได้ ทําการแสวงหาข้ อมูลแล้ ว ผู้เขียนบทต้ องนําข้ อมูลหรื อข้ อเท็จจริ งที่ได้ มานัน้ ไปทําการวิเคราะห์ซงึ่ ก็คือการ สร้ างความคิดนัน่ เอง การสร้ างความคิดที่ดีต้องมีทงเหตุ ั ้ และผล มีข้อเท็จจริ งมาอ้ างอิงได้ อาจเป็ นไปในทางรูปธรรมก็จะมองเห็น ได้ ชดั เจนยิ่งขึ ้น และการอ้ างเหตุผลให้ นา่ เชื่อถือก็ควรจะเป็ นไปตามหลักตรรกวิทยา ขัน้ การคิด เมื่อได้ ข้อมูลที่จะนํามาทําการสือ่ สารแล้ ว เราไม่สามารถนําข้ อมูลนันมานํ ้ าเสนอได้ ในทันทีโดยตรง เพราะข้ อมูลเหล่านัน้ ยังเป็ นข้ อมูลดิบอยู่ เราต้ องหาวิธีการว่าจะนําข้ อมูลมาใช้ ได้ อย่างไร ตามวัตถุประสงค์ของการสือ่ สาร ต้ องมีการลําดับข้ อมูลตาม เวลา เหตุการณ์ สถานที่ ความสําคัญ หรื อความยากง่ายในการสร้ างความเข้ าใจของผู้รับสาร ซึง่ การวิเคราะห์หรื อการจัดลําดับ ข้ อมูลนี ้ คือขันการคิ ้ ด นัน่ เอง การคิด คือการจัดระเบียบความทรงจําของมนุษย์เกี่ยวกับข้ อมูลที่ได้ ทําการรับมาและสะสมไว้ โดยจัดการแยกแยะ ลําดับได้ เป็ นหมวดหมู่ และหาความสัมพันธ์ระหว่างข้ อมูลเหล่านัน้ การคิดของมนุษย์จะเกิดขึ ้นเมื่อได้ ประสบกับปั ญหาที่ผา่ นเข้ ามา คิดเพื่อหาทางจัดการกับปั ญหานันๆ ้ ถ้ าไม่มีปัญหา ใดๆ มนุษย์ก็จะอยูเ่ ฉยๆ ไม่แก้ ปัญหานันๆ ้ ในการคิดแก้ ปัญหานี ้มีความสําคัญ หากการคิดเพื่อตัดสินปั ญหาเป็ นไปในทางที่ผิดก็ จะนําไปสูค่ วามเห็นที่ผิดได้ ดังนันจึ ้ งต้ องมีการฝึ กฝนการคิดและเรี ยนรู้ให้ ได้ วา่ การคิดที่ถกู ต้ องเป็ นอย่างไร


ประเภทของรายการโทรทัศน |

10

การจัดระเบียบความคิด การจัดระเบียบความคิด คือ การแยกแยะข้ อมูลที่มีอยู่ เพื่อหาความสัมพันธ์ของข้ อมูลเหล่านันและแยกส่ ้ วนที่ไม่ เกี่ยวข้ องกันออกจากกัน รวมทังการจั ้ ดลําดับข้ อมูลก่อนหลัง ซึง่ การจัดระเบียบความคิดนี ้ มีอยู่ 3 ลักษณะ คือ 1. การจัดลําดับตามเวลาหรื อเหตุการณ์ ว่าเหตุการณ์ใดเกิดขึ ้นก่อนหลัง 2. การจัดลําดับตามสถานที่ เช่น การคิดเกี่ยวกับสถานที่ทอ่ งเที่ยวในประเทศไทยเพื่อให้ การคิดมีระเบียบเราอาจจะ คิดถึงสถานที่เหล่านันโดยแบ่ ้ งเป็ นแต่ละภาคแล้ วย่อยลงเป็ นแต่ละจังหวัด 3. การจัดลําดับเหตุผล เป็ นการพิจารณาในแง่ของเหตุผลว่า อะไรเป็ นเหตุผล เช่น การที่นํ ้าท่วมเกิดจากฝนตกหลักอัน เป็ นผลมาจากการที่ป่าไม้ ถกู ทําลาย เป็ นต้ น กระบวนการผลิตความคิด ในการผลิตความคิดหรื อสร้ างแนวคิดถือว่าเป็ นกระบวนการที่มีขนตอนแน่ ั้ นอนสามารถฝึ กฝนและควบคุมให้ เป็ นไปอย่าง มีประสิทธิภาพได้ ซึง่ กระบวนการคิดเริ่ มมากจากการสะสมข้ อมูลที่ได้ แสวงหาไว้ แล้ ว และดําเนินการตามขันตอนดั ้ งนี ้ 1. ตีความปั ญหาที่เกิดขึ ้นและต้ องการจะแก้ ปัญหานัน้ ทุกแง่มมุ และทุกประเด็น 2. ทําการศึกษา พิจารณาข้ อมูลที่มีอยูใ่ ห้ เข้ าใจอย่างแจ่มแจ้ ง หาความสัมพันธ์ของข้ อมูลที่มีอยูก่ บั ปั ญหาว่ามีความ เกี่ยวพันธ์กนั อย่างไร อาจจะเป็ นการนําข้ อมูลเก่ามารวมกันให้ เกิดเป็ นความคิดใหม่หรื อการนําเอาข้ อมูลใหม่ที่จะใช้ ในการ แก้ ปัญหามารวมกับข้ อมูลเก่าซึง่ ก็ขึ ้นอยูก่ บั ความสามารถของบุคคลในการหาความสัมพันธ์ของแต่ละส่วน 3. ระยะที่จะก่อให้ เกิดความคิด คือ ปล่อยหัวสมองให้ วา่ ง ไม่ต้องคิดอะไร เพราะเมื่อไปกังวลกับความคิดนันมากๆ ้ จะ ทําให้ การความคิดหยุดชะงักได้ แต่ถ้าปล่อยให้ สมองว่างไว้ เมื่อย้ อนกลับมาทําการคิดต่อก็จะทําให้ สามารถคือได้ อย่างมี ประสิทธิภาพแม้ วา่ ความคิดที่ได้ ใหม่นนจะเป็ ั้ นความคิดที่ไม่ตรงตามที่ต้องการนัก แต่สามารถปรับเปลีย่ นความคิดนันให้ ้ นําไปใช้ ในการแก้ ปัญหาได้ 4. นําความคิดที่ได้ มาปรับให้ สามารถนําไปปฏิบตั ิได้ จริ ง โดยการนําไปปรับให้ เข้ ากับเงื่อนไขที่มีอยู่ เป็ นขันตอนที ้ ่มี ความสําคัญ เพราะคือวัตถุประสงค์ในการคิดของเรา คือเป็ นการติดเพื่อหาทางแก้ ปัญหา เพราะถ้ าหากความคิดที่ได้ มานันไม่ ้ สามารถนําไปแก้ ปัญหาได้ ความคิดนันก็ ้ ไม่มีประโยชน์ เราสามารถนําความคิดนันไปทดลองเพื ้ ่อทําการพิสจู น์ได้ หรื ออาจจะ นําไปปรึกษากับผู้มีประสบการณ์มากกว่าหรื อผู้ที่ทํางานฝ่ ายปฏิบตั ิจนกว่าจะสามารถปรับความคิดจนลงตัวและนําไปแก้ ปัญหาได้ เทคนิคในการสร้ างความคิด แม้ วา่ จะรู้ขนตอนหรื ั้ อกระบวนการในการผลิตความคิดแล้ วก็ตาม แต่ถ้าไม่สามารถนความคิดมาใช้ ได้ กระบวรการคิดก็ ไม่สามารถดําเนินไปได้ จนจบกระบวนการ หลายครัง้ ที่อาจเกิดอาการคิดไม่ออก เทคนิคในการเร้ าให้ เกิดความคิดนี ้อาจจะช่วยให้ สามารถสร้ างความคิดใหม่ๆ ขึ ้นได้ เทคนิคเหล่านี ้ ได้ แก่ 1.การระดมสมอง การระดมสมอง ไม่ใช่การรวมกลุม่ กันเพื่อหาทางแก้ ปัญหา แต่เป็ นการรวมกลุม่ กันเพื่อแสดงความคิดหรื อทัศนะต่างๆที่ อาจจะแก้ ปัญหานันได้ ้ โดยไม่สนใจว่าความคิดนันๆ ้ จะสามารถนํามาใช้ ได้ จริ งหรื อไม่ ขณะที่กําลังทําการระดมสมองนี ้จะต้ องไม่ มีการวิจารณ์หรื อประเมินคุณค่าของความคิดเหล่านัน้ เพราะจะทําให้ ความคิดเหล่านันสะดุ ้ ดหยุดลงและต้ องมีการจดบันทึกสิง่ ที่


ประเภทของรายการโทรทัศน |

11

คิดได้ นนให้ ั ้ ได้ มากที่สดุ หลังจากระดมสมองแล้ ว จะทําการคัดเลือกความคิดที่ดีที่สดุ ซึง่ ขณะที่ทําการระดมสมองนี ้ จะทําให้ ได้ ความคิดใหม่ๆ ขึ ้นมามากมายเป็ นการกระตุน่ ความคิดให้ เกิดขึ ้นมาได้ อย่างหลากหลาย วิธีการนี ้เป็ นวิธีการที่ได้ รับความนิยมมาก เพราะการที่คนเราจะเกิดความคิดใหม่ๆขึ ้นมาได้ นนจะอาศั ั้ ยเพียงสมองของ คนๆเดียวย่อมไม่สามารถสร้ างสรรค์ความคิดใหม่ๆ ได้ ดังนันการที ้ ่ได้ พดู คุยแสดงความคิดกันในกลุม่ หลายๆ คน แต่ละคนมี ความรู้ มีภมู ิปัญญา มีประสบการณ์ดีๆที่แตกต่างกัน สิง่ ที่แต่ละคนเสนออาจไปจุดประกายความคิดใหม่ๆให้ แก่ผ้ อู ื่นในกลุม่ ได้ 2.การตรวจสอบด้ วยคําถาม การตรวจสอบด้ วยคําถาม เป็ นอีกวิธีการหนึง่ ที่จะทําให้ เรามองเห็นจุดบกพร่องหรื อสิง่ ที่มองข้ ามไป ทําให้ ค้นพบ ความคิดหรื อทางออกใหม่ๆสําหรับการแก้ ปัญหา ซึง่ คําตอบนี ้มีความสําคัญต่อการคิดเป็ นอย่างยิ่ง หากได้ คําตอบที่ถกู ต้ องจาก การตังคํ ้ าถาม ก็จะคือไปได้ ถกู ทางแต่ถ้าคําตอบไม่ถกู ต้ องครบถ้ วน ความคิดที่จะคิดต่อมาก็จะไม่ได้ ผล และวิธีที่นา่ จะใช้ ในการ ตรวจสอบด้ วยคําถามคือ การทอลองด้ วยตนเองโดยการออกสํารวจข้ อมูลตามที่ต้องการ จะเห็นได้ ชดั เจนในงานโฆษณา ถ้ าเรา ต้ องการจะรู้คําตอบของคําถามเกี่ยวกับตัวสินค้ าและกลุม่ เป้าหมายวิธีการที่เราจะหาคําตอบได้ ก็คือ การทดลองใช้ สนิ ค้ าด้ วย ตนเอง หรื อการออกทําการวิจยั ตลาดเพื่อสอบถามจากลุม่ เป้าหมายโดยตรง 3.การเปิ ดหูเปิ ดตาต่ อสิ่งที่อยู่รอบๆ ตัว การเปิ ดหูเปิ ดตา เป็ นอีกวิธีการหนึง่ ที่จะทําให้ เราได้ ข้อมูลมา ซึง่ อาจจะไปกระทบความคิดหรื อทําให้ เกิดความคิดใหม่ๆ ขึ ้นมาได้ ซึง่ ก็ควรจะมีการจดบันทึกเอาไว้ ด้วย 4. การพูดคุยกับผู้ร้ ู การพูดคุยกับผู้ร้ ู คือการพูดคุยกับผู้มีทกั ษะและประสงการณ์ในแต่ละด้ านจะทําให้ เราได้ มีความรู้ในด้ านนันๆได้ ้ ลกึ และ เข้ าใจดีกว่าการรู้เพียงผิวเผิน ในส่วนที่เราไม่เข้ าใจหรื อไม่เห็นด้ วยนันก็ ้ สามารถถามหรื อแสดงความคิดได้ บ้าง โดยต้ องมุง่ หา คําตอบที่ถกู ต้ องและเป็ นผลสรุปทีดีและไม่ใช้ อารมณ์เป็ นใหญ่ จะทําให้ เราได้ ร้ ูถึงทัศนะที่ตา่ งไปจากความคิดของเรา และอาจ กระตุ้นความคิดใหม่ๆ ให้ กบั เราได้ ในการคิดให้ ได้ ผลดีนนั ้ จะต้ องมีความเข้ าใจในหลักเกณฑ์พื ้นฐาน 2 ส่วน ได้ แก่ 1. การอ้ างเหตุผล ต้ องเข้ าใจวิธีการอ้ างเหตุผลและข้ อบกพร่องที่อาจจะเกิดจากการอ้ างเหตุผล เป็ นเรื่ องของวิธีการอ้ าง ความสัมพันธ์ของเหตุและผลว่ามีความสัมพันธ์กนั อย่างถูกต้ องหรื อไม่ 2. การใช้ ภาษา ต้ องเข้ าใจการใช้ ภาษาประเภทต่างๆ ว่ามีจดุ มุง่ หมายอย่างไร ที่จะสามารถนํามาใช้ ในการคิดได้ ในการเขียนบทโทรทัศน์ผ้ ทู ี่จะเป็ นนักเขียนบทที่ดี จะต้ องเป็ นผู้ที่มีกระบวนการคิดที่ดีสามารถนําข้ อมูลที่มีมาทําการคิด วิเคราะห์ และนําไปใช้ ประโยชน์ได้ และต้ องเป็ นการคิดอย่างมีเหตุผล มีระบบไม่ใช่การคิดอย่างเลือ่ นลอย ไร้ เหตุผล เมื่อผู้นนมี ั้ กระบวนการคิดที่มีประสิทธิภาพแล้ ว จะสามารถผลิตความคิดที่แปลกใหม่ออกมาได้ ซึง่ เป็ นสิง่ ที่มีความจําเป็ นในการเขียนบท โทรทัศน์ในปั จจุบนั ที่เต็มไปด้ วยการแข่งขันเพื่อเสนอสิง่ ที่แปลกใหม่ กระบวนการคิดที่มีประสิทธิภาพนี ้ก็จะสามารถดําเนิน ความคิดสร้ างสรรค์ออกมาได้ ซึง่ ก็เป็ นกระบวนการผลิตความคิดเดียวกันนัน่ เอง


ประเภทของรายการโทรทัศน |

12

การคิดสร้ างสรรค์ (CREATIVE THINKING) ความคิดสร้ างสรรค์ คือการคิดที่มีการลําดับขันตอน ้ แล้ วประมวลออกมาเป็ นกรรมวิธีที่สามารถนําไปใช้ ได้ จริ ง โดยที่ คนอื่นสามารถเข้ าใจได้ ตรงกับที่ตนคิด อาจเกิดจากการพัฒนาความคิดที่มีอยูเ่ ดิมหรื อเป็ นความคิดใหม่ๆ ที่ไม่เคยมีใครคิดมา ก่อน ที่มาของความคิดสร้ างสรรค์ ความคิดสร้ างสรรค์ มีที่มา 2 ลักษณะ คือ 1. ได้ จากความรู้และประสบการณ์ที่มีอยูก่ ่อน แล้ วนํามาประมวลและจัดลําดับใหม่ 2. เป็ นสิง่ ใหม่ที่เพิ่งคิดได้ เอง ไม่ซํ ้ากับความคิดเดิมของใคร ไม่เคยมีผ้ ใู ดคิดมาก่อนแต่สงิ่ ที่สาํ คัญ คือ การที่เราจะมี ความคิดสร้ างสรรค์ได้ นนั ้ จะต้ องเป็ นคนที่มีความคิดริ เริ่ มในการที่จะแสวงหาสิง่ แปลกใหม่ และมีทศั นคติเชิงสร้ างสรรค์ การชอบ ค้ นคว้ าเพื่อการค้ นพบสิง่ ใหม่ๆ การมองเห็นสิง่ ของสิง่ เดียวกับที่ทกุ คนมอง แต่คิดต่างจากที่คนอื่นคิด ในบางครัง้ เมื่อเราจําเป็ นต้ องใช้ สมองในการแสวงหาวิธีการคิดริ เริ่ มสร้ างสรรค์แต่เรากลับพบว่าเราไม่สามารถทําได้ เหตุผลที่สาํ คัญที่ทําให้ เราเป็ นเช่นนันก็ ้ คือ การที่เรามีสงิ่ ที่คอยผูกมัดจิตใจ และคอยบังคับให้ เราคิดวนเวียนอยูแ่ ต่ในความคิด เดิมๆ ซึง่ เป็ นอุปสรรคที่คอยขัดขวางไม่ให้ เราสร้ างความคิดสร้ างสรรค์ได้ อุปสรรคเหล่านี ้ได้ แก่ 1. การยึดมัน่ ว่าคําตอบที่ได้ นนถู ั ้ กต้ องแล้ ว ทําให้ ไม่มองหาคําตอบอื่นที่ดีกว่า 2. การคิดว่าความคิดนันไม่ ้ ถกู ต้ องตามหลักตรรกวิทยา อาจทําให้ เสียโอกาส 3. การคิดว่าจะต้ องทําตามกฎเสมอ ทําให้ ได้ คําตอบที่จํากัดขอบเขตเกินไป 4. การคิดว่า ต้ องคิดในสิง่ ที่สามารถทําได้ จริ ง 5. การคิดที่พยายามหลีกเลีย่ งความคลุมเครื อ 6. การคิดว่าการทําสิง่ ผิดเป็ นสิง่ ที่ไม่ถกู ต้ อง 7. การคิดว่าเป็ นเรื่ องไร้ สาระ 8. การคิดว่าเราไม่สามารถทําในสิง่ ที่เราไม่ถนัด 9. การคิดว่า การทําอะไรต่างไปจากคนอื่นเป็ นสิง่ ที่แปลก ทําให้ ไม่กล้ าทํา 10. การคิดว่าตัวเองไม่มีหวั คิดสร้ างสรรค์ อุปสรรคทัง้ 10 ประการนี ้ จะเป็ นเครื่ องจํากัดทําให้ เราไม่สามารถสร้ างความคิดสร้ างสรรค์ได้ ซึง่ มีข้อเสนอเพื่อให้ เรา สามารถตัดอุปสรรคเหล่านี ้ออกไปได้ ดังนี ้ ข้ อที่ 1 พยายามมองหาคําตอบที่ถกู ต้ อง ข้ อที่ 2 จงเล่นคําพูดหรื อตังคํ ้ าถามโดยใช้ คําพูดที่ตา่ งออกไปจากเดิม ข้ อที่ 1 และ 2 นี ้จะช่วยให้ สามารถตัดอุปสรรคในการคิดว่าสิง่ ที่เราคิดในตอนแรกนันถู ้ กต้ อง และทําให้ เรามองหา ความคิดอื่นๆอีก ข้ อที่ 3 อย่าใช้ ความคิดอย่างอ่อน คือ ความคิดในเชิงเปรี ยบเทียบอุปมาอุปไมย ในลักษณะของการประมาณ และคลุมเครื อ ในการมองหาความคิดใหม่ๆ แต่ใช้ ความคิดอย่างแข็ง คือ ความคิดที่มีเหตุ มีผล ชัดเจน ตรงไปตรงมา ในการปฏิบตั ิ ข้ อที่ 4 เมื่อประสบกับปั ญหา จงพยายามใช้ วิธีการอุปมาอุปไมยกับสิง่ ที่ แตกต่างกัน


ประเภทของรายการโทรทัศน |

ข้ อที่ 5 แสวงหาวิธีการอุปมาอุปไมยใหม่ๆ และพยายามสังเกตการณ์อปุ มาอุปไมยของคนอื่นๆ ข้ อที่ 6 ระวังการคิดแบบอุปมาอุปไมย เพราะบางครัง้ อาจทําให้ เราจนแต้ มได้ ข้ อ 3 – 6 นี ้ จะช่วยให้ เราลืมการคิดให้ ถกู ต้ องตามหลัก ตรรกวิทยา ซึง่ เป็ นอุปสรรคในการคิดสร้ างสรรค์ ข้ อที่ 9 จงถามตัวเองว่า “ทําไม” แล้ วพยายามหาคําตอบให้ ได้ ข้ อที่ 10 อย่าตกหลุมกับความคิดใดๆ หรื อกับแนวคิดใดๆ เพราะเราจะนํามันมาใช้ ในทุกโอกาสและมองข้ าม ข้ อดีของวิธีการอื่นไปหมด ข้ อที่ 11 ตรวจสอบกฎเกณฑ์และขจัดกฎเกณฑ์ที่ไม่เหมาะสมทิ ้งไป ข้ อ 7-11 เป็ นวิธีการที่จะทําให้ เรามีอิสระในการแสวงหาความคิดใหม่ๆ ข้ อที่ 12 ใช้ ทศั นคติเปิ ดใจแบบศิลปิ นในการสร้ างแนวความคิดใหม่ๆ ข้ อที่ 13 พยายามตังคํ ้ าถามว่า อะไรจะเกิดขึ ้น...ถ้ า แล้ วหาคําตอบให้ ได้ คือไม่พงึ พอใจในสิง่ ที่มนั เป็ นอยูอ่ ย่าง ปกติ พยายามคิดว่า ถ้ ามันเปลีย่ นไป มันจะเป็ นอย่างไร ข้ อที่ 14 ให้ เวลาในการใช้ จิตนาการ แม้ วา่ ความคิดเหล่านันจะยั ้ งไม่สามารถนํามาใช้ ประโยชน์ได้ ในทันที แต่ การกระทําเช่นนี ้จะเป็ นการฝึ กฝนการคิดและจินตนาการของเรา ข้ อที่ 15 กระตุ้นให้ บคุ คลอื่นมีความคิดและตังคํ ้ าถาม “อะไรจะเกิดขึ ้น...ถ้ า ข้ อ 12 – 15 จะช่วยให้ เราลืม ความคิดที่วา่ ต้ องแสวงหาความคิดที่สามารถนําไปปฏิบตั ิจริ ง เป็ นการเปิ ดสมองของเราให้ วา่ งขึ ้น จากข้ อจํากัด ข้ อที่ 16 หาประโยชน์จากความคลุมเครื อ ข้ อที่ 17 ตังคํ ้ าถามที่คลุมเครื อ ถ้ าหากต้ องการคําตอบที่เป็ นความคิดสร้ างสรรค์ ข้ อที่ 18 หาแหล่งที่มาของความคลุมเครื อของตนเอง อาจจะเป็ นปรัชญาต่างๆ ที่สร้ างความคลุมเครื อให้ กบั ตนเอง และคิดถึงมันทุกครัง้ ที่ต้องการแสวงหาความคิดสร้ างสรรค์ ข้ อที่ 19 บางครัง้ อาจใช้ เรื่ องขําขันเพื่อช่วยให้ ความคิดสร้ างสรรค์เกิดขึ ้นมาได้ ข้ อที่ 20 ตังปั ้ ญหาที่ต้องการความคิดสร้ างสรรค์ในลักษณะที่คลุมเครื อแล้ วลองตีความหมายที่เป็ นไปได้ สกั 3 ประการ ข้ อที่ 16 – 20 เป็ นการใช้ ความคลุมเครื อในการเพาะความคิดสร้ างสรรค์ เป็ นการเปิ ดจินตนาการซึง่ เป็ นที่มาของความคิดสร้ างสรรค์ ข้ อที่ 21 เมื่อมีการทําอะไรผิดพลาด จงใช้ ความผิดนันเป็ ้ นบันไดไปสูค่ วามคิดใหม่ๆ ข้ อที่ 22 ทําความเข้ าใจระหว่างคําว่า การกระทํา และการละเว้ น การละเว้ นอาจมีผลเสียมากกว่าการกระทําก็ ได้ นัน่ คือ ถ้ าเราไม่เคยทําอะไรผิดเลยแสดงว่าเราปล่อยให้ โอกาสดีๆ หลุดลอยไป ข้ อที่ 23 ทําใจให้ กล้ าเสีย่ งมากขึ ้น เพราะการเสีย่ งก็คือการบ่อมเพาะความคิดนัน่ เอง ข้ อที่ 24 ระลึกถึงข้ อดีขงความผิดพลาดว่า ความผิดพลาด ทําให้ เรารู้ได้ วา่ วิธีการนี ้ใช้ ไม่ได้ ผลและข้ อผิดพลาด ย่อมเปิ ดโอกาสให้ เราได้ ลองวิธีการใหม่ๆ ข้ อที่ 21-24 แสดงให้ เห็นว่า ความผิดพลาดที่เกิดขึ ้นในช่วงการเพาะความคิดสร้ างสรรค์นนเป็ ั ้ นสิง่ ที่ เหมาะสม เพราะมันเป็ นสัญญาณที่ชี ้ให้ เห็นว่า เรากําลังหันเหออกจากเส้ นทางเก่าๆ ข้ อที่ 25 ถ้ าพบปั ญหา จงเล่นกันมัน

13


ประเภทของรายการโทรทัศน |

ข้ อที่ 26 แม้ วา่ จะไม่มีปัญหา ก็จงเล่นกับมัน ข้ อที่ 27 พยายามทําให้ สภาพแวดล้ อมของเราเป็ นสภาพที่นา่ สนุก ข้ อที่ 25-27 เป็ นสิง่ ที่ทําให้ เราเห็นว่า การเล่นสนุกเป็ นแรงกระตุ้นที่มีอํานาจมากในการแสวงหา ความคิดสร้ างสรรค์ เพราะคนเราพอใจที่จะทํางานที่นา่ สบายมากกว่าจะฝื นใจทําและย่อมให้ แนวคิดที่ ดีกว่าออกมาได้ ข้ อที่ 28 ฝึ กนิสยั ของตนให้ เป็ นนักล่า คือเปิ ดหูเปิ ดตาของตนให้ กว้ างอยูเ่ สมอ เพื่อรับสิง่ ใหม่ๆ ข้ อที่ 29 เปิ ดโอกาสให้ ตนเองมีเวลาในการล่าความคิดใหม่ๆ อย่างทําตัวให้ เป็ นคนตกยุค ข้ อที่ 30 พัฒนาวิธีการตามล่า หรื อแสวงหาความคิดใหม่ๆ ข้ อที่ 31 เมื่อพบปั ญหา จงมองหาสถานการณ์ที่ใกล้ เคียง บางครัง้ เราจะพบว่า ในสถานการณ์เช่นนี ้เราเคย แก้ ปัญหามันได้ มาแล้ ว ข้ อที่ 32 จดทุกสิง่ ทุกอย่างที่เป็ นความคิดใหม่ๆ ที่คิดได้ ในทันที ข้ อที่ 28-32 จะช่วยตัดความคิดที่วา่ นัน่ ไม่ใช่สงิ่ ที่เราถนัด เพราะการคิดเช่นนัน้ จะทําให้ เราไม่ยอม คิดในเรื่ องอื่นเลย ถ้ าเป็ นสิง่ ที่เราไม่ยอมคิดในเรื่ องอื่นเลย ถ้ าเป็ นสิง่ ที่เราไม่ถนัด การทําตัวให้ เป็ น นักล่าแนวคิดใหม่ๆ จะทําให้ เราพยายามที่จะรู้และแสวงหาความคิดใหม่ๆ ในทุกเรื่ อง ข้ อที่ 33 ทําตัวเป็ นคนโง่ในบางครัง้ หยุดความคิดเก่าๆ ที่เคยรู้มาชัว่ ครู่ อาจทําให้ เราเกิดความคิดใหม่ๆ ขึ ้นมา ได้ ข้ อที่ 34 จงรู้ตวั ทุกครัง้ ที่เกิดความคิดว่ากําลังเลียนแบบใครหรื อกําลังดูถกู คนโง่ เพราะนัน่ แสดงว่าเรากําลังเปิ ด ฉากในการคิดแบบกลุม่ ขึ ้น ข้ อที่ 35 จงมีอารมณ์ขนั อยูต่ ลอดเวลา การเป็ นคนโง่ จะทําให้ เราไม่ต้องคํานึงถึงกฎเกณฑ์ พยายามที่จะเปลีย่ นสมมุติฐานต่างไปจาก มาตรฐานสากล และในบางครัง้ อาจจะขุดเรื่ องเล็กๆ ที่คนอื่นมองข้ ามไปและทําเรื่ องเล็กให้ กลายเป็ นสิง่ ที่มีความสําคัญได้ ในขณะเดียวกันคนโง่อาจมองปั ญหาว่าเป็ นเรื่ องเล็กน้ อย ทําให้ สามารถคิดอะไรได้ กว้ างขึ ้น ข้ อที่ 36 มีความมัน่ ใจว่า ตนเองเป็ นคนที่มีความคิดสร้ างสรรค์ ความคิดที่เราคิดขึ ้นมาได้ วา่ จะเป็ นเรื่ อง เล็กน้ อย แต่มนั จะนําเราไปสูอ่ ะไรบางอย่างในอนาคต จากข้ อเสนอทัง้ 36 ข้ อนี ้ เป็ นแนวทางที่ควรฝึ กฝน ปฏิบตั ิอยูต่ ลอดเวลา แม้ วา่ จะไม่ใช่เวลาที่ ต้ องการสร้ างความคิดสร้ างสรรค์ เพราะมันเป็ นกระบวนการที่ต้องได้ รับการฝึ กฝนให้ มีความชํานาญ เสียก่อนจึงจะสามารถนํามาใช้ ได้ จริ งในยามที่ต้องการและใช้ ได้ อย่างมีประสิทธิภาพด้ วยสิง่ ที่ควรจะ จําไว้ คือไม่มีใครที่สามารถสร้ างความคิดสร้ างสรรค์ได้ อยูต่ ลอดเวลาสิง่ เหล่านี ้เป็ นสิง่ ที่อาศัยการ ฝึ กฝนจนสามารถใช้ งานได้ ควรให้ เวลาในการฝึ กฝนให้ มาก เมื่อได้ ใช้ ความคิดในสิง่ เหล่านี ้แล้ ว ลองนําไปปฏิบตั ิให้ เป็ นนําไปปฏิบตั ิได้ จริ ง ก็พยายามหาความคิดอื่นที่จะทําให้ เป็ นจริ งได้

14


ประเภทของรายการโทรทัศน |

15

การถ่ ายทอดความคิด เมื่อสามารถหาแนวความคิดหรื อวิธีการที่จะนําเสนอเนื ้อหาได้ แล้ ว แต่หากไม่สามารถถ่ายทอดความคิดหรื อวิธีการที่จะ นําเสนอข้ อมูลออกมาได้ ความคิดและข้ อมูลที่มีอยูน่ นก็ ั ้ จะไม่มีประโยชน์อะไรเลย อีกประการหนึง่ คือแม้ วา่ จะมีวิธีการในการ ถ่ายทอดความคิดเหล่านันแล้ ้ วแต่วิธีการที่ใช้ ไม่สามารถทําให้ ผ้ รู ับสารเข้ าใจอย่างแจ่มแจ้ ง ไม่สอดคล้ องกับเนื ้อหา บรรยากาศ อารมณ์ และการรับรู้ของผู้รับสารแล้ ว ก็ถือได้ วา่ เป็ นความล้ มเหลวในการถ่ายทอดความคิด การถ่ายทอดความคิด คือ การวางโครงเรื่ องของเนื ้อหาที่จะทําการถ่ายทอด ผู้ทําการถ่ายทอดจะต้ องมีความเข้ าใจใน เนื ้อหาที่จะทําการถ่ายทอดเพื่อที่จะได้ ทําการเลือกรูปแบบที่ถกู ต้ องได้ มีการลําดับความคิดที่จะทําการถ่ายทอดและมีความเข้ าใจ ในกลุม่ เป้าหมายที่จะรับการถ่ายทอดความคิดนันๆ ้ รูปแบบในการถ่ ายทอดความคิด รูปแบบในการถ่ายทอดความคิด คือรูปแบบในการเล่าเรื่ อง (STORY TELLING) ซึง่ แต่ละรูปแบบจะมีความเหมาะสม กับประเภทของเนื ้อหาและวัตถุประสงค์ที่ตา่ งกัน ได้ แก่ 1. การบรรยาย (NARRATION) คือ การเล่าเรื่ อง หรื อเหตุการณ์ ตามลําดับเวลา หรื อสถานที่ ให้ ผ้ รู ับสารเข้ าใจถึง ความสัมพันธ์ของข้ อเท็จจริ งที่นํามาถ่ายทอด เพื่อให้ เข้ าใจเรื่ องราวเกิดขึ ้นและเรื่ องราวจะดําเนินไปอย่างไร ได้ แก่ อัตตชีวประวัติ การบรรยายข้ อเท็จจริ งหรื อเหตุการณ์ในประวัติศาสตร์ การบรรยายเหตุการณ์หรื อเรื่ องที่แต่งขึ ้น 1.1 COMMENTARY การพูดตรงๆ การให้ ความเห็นอย่างตรงไปตรงมา เป็ นการถ่ายทอดที่ไม่มี ความซับซ้ อน ถ่ายทอดโดยการใช้ ข้อความ เสียง หรื อ ภาพ 1.2 DRAMA เป็ นการบรรยาย ที่ใช้ ตวั ละครเป็ นสือ่ กลางในการถ่ายทอดความคิดตัวละครจะเป็ นตัว เล่นเรื่ องเอง โดยใช้ รูปแบบของบทสนทนา 2. การอธิบาย (CXPOSITION) คือ การถ่ายทอดความคิดในเรื่ องใดเรื่ องหนึง่ ให้ แจ่มแจ้ ง มุง่ ในประเด็นที่สงสัยแล้ ว นํามาพิจารณาให้ เข้ าใจ ได้ แก่ การอธิบายกระบวนการ การวิเคราะห์หรื อจําแนกเนื ้อหาออกเป็ นประเภท การให้ นิยามหรื ความหมายของคํา 3. การพรรณนา (DESCRIPTION) คือ การถ่ายทอดความคิดในสิง่ ที่ได้ สงั เกตหรื อประทับใจในเรื่ องใดเรื่ องหนึง่ ให้ ผู้รับสารได้ มีความคิดหรื อมองภาพได้ ตรงตามที่ผ้ ถู ่ายทอดต้ องการ ซึง่ สิง่ ที่ทําการถ่ายทอดนี ้อาจได้ แก่ อารมณ์ มโนภาพ ความรู้สกึ จากการที่ได้ สมั ผัสซึง่ การพรรณนานันจะใช้ ้ วิธีการพรรณนาตามความเป็ นจริ ง หรื อ การพรรณนาตามความรู้สกึ 4. การวิพากษ์ (ARGUMENTATION) คือ รูปแบบการถ่ายทอดความคิดที่ต้องการพิสจู น์หรื อยืนยันว่า สิง่ ที่เรา ถ่ายทอดไปนันเป็ ้ นสิง่ ที่ถกู ต้ อง เป็ นจริ ง น่าเชื่อถือ ซึง่ ต้ องประกอบด้ วยหลักฐานที่มาสนับสนุนข้ อสรุปนันๆ ้ ได้ แก่ การวิพากษ์ โดยใช้ ข้อเท็จจริ ง การวิพากษ์ โดยใช้ การชักจูงทางอารมณ์ 5. การเล่ าเรื่องเชิงละคร (DRAMATIZATION) เป็ นการถ่ายทอดความคิดให้ เข้ าใจง่ายโดยใช้ รูปแบบของละคร มี การจําลองเรื่ องราวและการดําเนินเรื่ อง ใช้ การบรรยายจากเหตุการณ์ยอ่ ยไปสูจ่ ดุ สุดยอด (CLIMAX) ของเหตุการณ์


ประเภทของรายการโทรทัศน |

16

กลุ่มเป้าหมายของสื่อโทรทัศน์ (TARGET AUDIENCE) การเขียนบทโทรทัศน์จะต้ องมีการกําหนดกลุม่ เป้าหมายให้ ชดั เจน ไม่กําหนดว่าเป็ นกลุม่ เป้าหมายทัว่ ไป จะต้ องมีการ เจาะจงกลุม่ เป้าหมายลงไปให้ ชดั เจน ซึง่ การกําหนดกลุม่ เป้าหมายนันจะต้ ้ องเข้ าใจถึงประเภทของกลุม่ เป้าหมายว่าแต่ละกลุม่ มี ความต้ องการอย่างไร การแบ่งประเภทกลุม่ เป้าหมายอาจใช้ ลกั ษณะทางกายภาพ (DEMOGRAPHIC INFORMATION) หรื อ ลักษณะทางจิตที่อยูภ่ ายใน (PSYCHOGRAPHIC INFORMATION) หรื ออาจใช้ ทงั ้ 2 อย่างรวมกัน และถ้ าจะให้ ได้ ผลดีที่สดุ แล้ ว การแบ่งประเภทของกลุม่ เป้าหมายควรจะกําหนดลักษณะเฉพาะของกลุม่ เป้าหมายให้ ละเอียดที่สดุ ซึง่ โดยทัว่ ไปการกําหนด ประเภทของกลุม่ เป้าหมายสําหรับโทรทัศน์และโฆษณา นิยมกําหนดเป็ นสัญลักษณ์แทนกลุม่ ดังนี ้ กลุ่ม A คือ กลุม่ เป้าหมายชันสู ้ ง มีรายได้ สงู ถึงขันเหลื ้ อใช้ สามารถใช้ จ่ายฟุ่ มเฟื อยได้ ตามต้ องการ กลุม่ นี ้จะมีจํานวนน้ อยใน สังคม มีความเป็ นตัวของตัวเองสูง มักใช้ สนิ ค้ าที่ไม่มีการโฆษณาเพราะไม่ชอบทําอะไรที่เหมือนกับการถูกชักจูง กลุม่ นี ้มักไม่คอ่ ย สนใจสือ่ โทรทัศน์นกั มักในใจในสือ่ สิง่ พิมพ์มากกว่า เช่น สนใจสือ่ สิง่ พิมพ์ประเภทนิตยสาร เพราะมีความเป็ นส่วนตัวมากกว่า จึง ไม่คอ่ ยเป็ นกลุม่ เป้าหมายในการเขียนบทโทรทัศน์ กลุ่ม B คือ กลุม่ เป้าหมายชันกลางค่ ้ อนข้ างไปทางสูง มีรายได้ ใช้ จ่ายอย่างเพียงพอมีเงินเก็บเพื่อใช้ จ่ายฟุ่ มเฟื อยได้ บอ่ ยครัง้ หน้ าที่การงานมักอยูใ่ นระดับผู้จดั การ หัวหน้ าฝ่ าย มีพื ้นฐานการศึกษาระดับอุดมศึกษาขึ ้นไป กลุ่ม C คือ กลุม่ เป้าหมายชันกลางทั ้ ว่ ไป เป็ นคนทํางาน มีเงินที่จะใช้ จ่ายได้ อย่างเพียงพอแต่อาจต้ องใช้ อย่างประหยัด มีเงิน เก็บพอที่จะใช้ จ่ายฟุ่ มเฟื อยได้ นานๆ ครัง้ กลุม่ นี ้จะมีจํานวนมากในสังคม มีการศึกษาระดับอนุปริ ญญา ถึง ระดับอุดมศึกษา มีตําแหน่งหน้ าที่การงานระดับพนักงานทัว่ ไป กลุ่ม D คือ กลุม่ เป้าหมายระดับกลางค่อนไปทางตํ่า มีรายได้ ประจําแน่นอน แต่ต้องใช้ จ่ายอย่างระมัดระวังจึงจะพอใช้ อาจขาด เหลือบ้ างนิดหน่อย ไม่สามารถใช้ จ่ายฟุ่ มเฟื อยได้ การศึกษาระดับมัธยม ปวช. ปวส. หน้ าที่การงานระดับเจ้ าหน้ าที่ระดับล่าง กลุ่ม E คือ กลุม่ เป้าหมายระดับตํ่า ไม่มีรายได้ ประจําแน่นอน ทํางานใช้ แรงงานไม่มีตําแหน่งหน้ าที่การงานชัดเจน หาเช้ ากิน คํ่า การศึกษาระดับตํ่ากว่ามัธยม 3 กลุม่ นี ้ไม่เป็ นกลุม่ เป้าหมายในการเขียนบทโทรทัศน์ เพราะไม่สามารถใช้ จ่ายได้ ตามต้ องการ และไม่มีเวลาดูโทรทัศน์ ดังนัน้ กลุม่ เป้าหมายของการเขียนบทโทรทัศน์ คือ กลุม่ B, C, D เพราะคนกลุม่ นี ้มีจํานวนค่อนข้ างมาก และมี ความสามารถที่จะจ่ายเงินได้ ลักษณะการรับรู้และความสนใจของผู้รับสาร ผู้ชมรายการโทรทัศน์มีสทิ ธิที่จะเลือกรับสารหรื อชมรายการโทรทัศน์ ดังนี ้ 1. การชมรายการโทรทัศน์เป็ นเพียงหนึง่ ของกิจกรรมในชีวิตประจําวันเท่านัน้ ไม่ใช่เป็ นกิจกรรมเดียวในชีวิต การเขียน บทโทรทัศน์จึงต้ องทําให้ ผ้ รู ับสารหันมาสนใจกิจกรรมการดูโทรทัศน์ให้ มากขึ ้น


ประเภทของรายการโทรทัศน |

17

2. ผู้เขียนบทโทรทัศน์จะมัน่ ใจได้ อย่างไรว่า กลุม่ เป้าหมายจะเลือกชมรายการของเรา ดังนันจึ ้ งต้ องทํารายการให้ มีความ น่าสนใจ เพียงพอที่จะดึงดูดกลุม่ เป้าหมายมาชมรายการของเราให้ ได้ 3. เมื่อชมรายการของเราแล้ ว ทําอย่างไรจึงจะชมรายการของเราตังแต่ ้ ต้นจนจบ ดังนันผู ้ ้ เขียนบทโทรทัศน์จะต้ องทําความเข้ าใจในหลักการทางจิตวิทยาการรับรู้ของกลุม่ เป้าหมาย เพื่อให้ บทโทรทัศน์ที่ นําเสนอในแต่ละรายการนันมี ้ ความสมบูรณ์ที่สดุ ดังนี ้ การเลือกรับสาร ELECTIVE PERCEPTION การใช้ หลักการคัดสรรของมนุษย์ ซึง่ โดยธรรมชาตินนั ้ มนุษย์เรามีกระบวนการที่จะเลือกรับรู้สงิ่ ใดๆอยูแ่ ล้ ว แม้ วา่ เขาจะ ชมรายการของเรา ถ้ ารายการของเรามีวตั ถุประสงค์ในการจูงใจ ผู้เขียนบทจะต้ องทําความเข้ าใจจิตวิยาการรับรู้ของมนุษย์วา่ มี ขันตอนอย่ ้ างไร จึงจะทําให้ การเขียนบทโทรทัศน์สามารถจูงใจผู้รับสารได้ ซึง่ มีขนตอนของการเลื ั้ อกที่จะรับของมนุษย์ดงั นี ้ ขัน้ ตอนที่ 1 SELECTIVE EXPOSURE มนุษย์มีอิสรุในการเลือกรับรู้ข้อมูลต่างๆ และมนุษย์เรามีสมองจํากัด ทําอย่างไรจึงจะจดจําข้ อมูลที่ต้องการจะจดจําได้ จึงมีการเลือกที่จะจําสิง่ ที่มนุษย์เลือกที่จะรับรู้เป็ นบางส่วน ได้ แก่ 1. เป็ นเรื่ องที่ตนสนใจ เป็ นการกําหนดวัตถุประสงค์ในใจ การเขียนบทโทรทัศน์จึงต้ องทราบว่า อะไรคือสิง่ ที่ผ้ ชู มสนใจ 2. เป็ นเรื่ องที่เป็ นผลประโยชน์กบั ผู้ชม ต้ องค้ นหาว่าผลประโยชน์ของผู้ชมคืออะไร และมีผลกระทบอย่างไรกับผู้ชมของ เรา ในขันตอนนี ้ ้ การเขียนบทจะต้ องทําให้ ผ้ ชู มเปิ ดใจที่จะรับรู้และสนใจที่จะชมรายการของเรา เราจึงต้ องเขียนบทให้ ดงึ ดูดใน ผู้ชมให้ ได้ ขัน้ ตอนที่ 2 SELECTIVE PERCEPTION เมื่อมนุษย์ยอมเปิ ดใจที่จะรับรู้สงิ่ นันๆ ้ แล้ ว จะยังไม่สามารถจดจําเข้ าไปในสมองได้ เพราะมนุษย์ยงั เลือกที่จะจดจําสิง่ ที่ ได้ ผา่ นเข้ ามาเพียงบางส่วนเท่านัน้ เรื่ องที่มนุษย์มกั จะจดจําไว้ จะเป็ นเรื่ องที่สะเทือนใจ เร้ าอารมณ์หรื อมีคณ ุ ค่า การเขียนบท โทรทัศน์ต้องพยายามทําให้ ผ้ ชู มจดจํารายการของเราได้ ถ้ ารายการของเราอยูใ่ นความทรงจําของผู้ชมใน 3 อันดับแรกก็ถือว่า รายการประสบความสําเร็ จแล้ ว ขัน้ ตอนที่ 3 SELECTIVE REENTION คือ การที่สมองมนุษย์เลือกที่จะจดจําสิง่ ใดไว้ ตลอดไป จะติดอยูใ่ นหัวสมอง ไม่ต้องใช้ การจํา ถ้ าเราเขียนบทสามารถ ทําในส่วนนี ้ได้ ถือว่าประสบความสําเร็ จมาก เรี ยกว่าเป็ นความคงทนในการจํา (RETENTION) รายการโทรทัศน์ที่มีวตั ถุประสงค์ ในการชักจูงใจผู้ชม จะต้ องทําให้ ผ้ ชู มเกิดความคงทนในกาจําสูงๆ จึงจะประสบความสําเร็ จในการชักจูงใจ การที่จะทําให้ ผ้ ชู ม เกิด RETENSTON กับรายการของเรานัน้ ผู้เขียนจะต้ องมีความเข้ าใจในการแยกประเภทของกลุม่ เป้าหมาย ความสนใจของ


ประเภทของรายการโทรทัศน |

18

กลุม่ เป้าหมายในการรับสาร ต้ องรู้และเข้ าใจโครงสร้ างของรายการโทรทัศน์เป็ นอย่างดี และสามารถนํามาใช้ ในการเขียนบท โทรทัศน์ได้

ความสนใจในการรับสาร (ATTENTION) หลักแห่งความสนใจ ซึง่ เป็ นหลักทางจิตวิทยาการรับรู้ที่เกี่ยวข้ องกับพฤติกรรมในการรับสารของกลุม่ เป้าหมายนัน้ แบ่งเป็ นหลายลักษณะ ดังนี ้ INTENSITY OF ATTENTION คือความมากน้ อยของความสนใจที่ผ้ ชู มมีให้ กบั รายการโทรทัศน์ ซึง่ แตกต่างกันไปตามความสําคัญของเนื ้อหา เนื ้อเรื่ อง และการนําเสนอต่างๆในรายการ ธรรมชาติของมนุษย์จะสนใจในสิง่ ที่แปลกใหม่และจะค่อยๆลดความสนใจลงเมื่อเวลาผ่านไป ผู้เขียนบทจึงต้ องมีความเข้ าใจและสามารถวิเคราะห์วา่ มนุษย์ในแต่ละเพศ วัย หรื อกลุม่ เป้าหมายที่แตกต่างกัน มีความสนใจใน สิง่ ต่างๆที่แตกต่างกันไปตามการอบรมจากครอบครัว และสิง่ ที่หล่อหลอมตามสภาพแวดล้ อมของคนๆ นัน้ ในบางครัง้ กลุม่ เป้าหมายเดียวกันอาจจะมีความสนใจคนละเรื่ องกัน หรื อแม้ วา่ จะมีความสนในเรื่ องเดียวกัน แต่ความ สนใจอาจจะไม่เท่ากัน ขึ ้นอยูก่ บั สถานการณ์ของแต่ละคนผู้เขียนบทจึงต้ องพยายามวิเคราะห์วา่ เรื่ องใดเป็ นเรื่ องที่นา่ สนใจของ กลุม่ เป้าหมายใด และคํานึงถึงระยะเวลาในการนําเสนอว่า เวลาใดจึงจะสามารถดึงดูดความสนใจของผู้ชมได้ มากที่สดุ ซึง่ ใน การวิเคราะห์นี ้ ต้ องไม่นําตัวเองเข้ าไปวัด ในต่างประเทศ จะมีการทําวิจยั ว่า กลุม่ เป้าหมายของรายการต้ องการรายการประเภทใด อย่างไร แล้ วจึงเขียนบท และต้ องทํา PRE-TEST ก่อน คือการเอาบทให้ กลุม่ เป้าหมายจากการสุม่ ตัวอย่างอ่าน แล้ วจึงทําการผลิต และก่อนการ ออกอากาศจะมีการทํา PILOT PROGRAMS คือ ให้ กลุม่ เป้าหมายดูรายการแล้ วดูปฏิกิริยา เพื่อแก้ ไขปรับปรุง จากนันจึ ้ งค่อย นําออกอากาศ ATTENTION SPAN ATTENTION คือ ช่วงของความสนใจที่จะชมรายการ ระยะหรื อช่วงเวลาในการนําเสนขึ ้นอยูก่ บั ช่วงเวลาที่ กลุม่ เป้าหมายจะสนใจกับเนื ้อหานันๆ ้ ผู้เขียนบทต้ องสามารถกําหนดเวลาให้ เหมาะสมกับความสนใจของกลุม่ เป้าหมาย เพื่อคน ดูแล้ วรู้สกึ ว่าไม่นา่ รี บจบเลย ซึง่ อาจสรุปได้ วา่ - เด็ก จะมี ATTENTION SPAN น้ อยกว่าผู้ใหญ่ รายการเด็กจึงไม่ควรนําเสนออยาวมาก - ผู้ชาย จะมี ATTENTION SPAN น้ อยกว่าผู้หญิง - คนที่มีการศึกษาน้ อยกว่า จะมี ATTENTION SPAN น้ อยกว่าคนที่มีการศึกษาสูงกว่าเพราะคนที่มีการศึกษาสูงจะมี ความในใฝ่ รู้ในเรื่ องต่างๆ มากกว่า - ชีพที่มีเวลาว่างมาก เช่น แม่บ้าน ข้ าราชการ จะมี ATTENTION SPAN มากกว่าผู้ที่ประกอบอาชีพที่ต้องทํางาน หนัก เพราะไม่มีเวลาว่างพอที่จะมาติดตามดูตลอด เช่น ผู้ที่ทํางานในบริ ษัทเอกชน - เนื ้อหาที่นําเสนอที่มีความซับซ้ อน ยากต่อการเข้ าใจ หรื อเนื ้อหาที่ประเทืองปั ญญาจะทําให้ เกิด ATTENTION SPAN น้ อยกว่า เนื ้อหาที่บนั เทิง


ประเภทของรายการโทรทัศน |

19

องค์ ประกอบในการสร้ างความพึงพอใจ (AUDIENCE GRATIFICATION) เป็ นองค์ประกอบในการสร้ างความสนใจให้ ผ้ ชู มสนใจรายการ และตืดตามต่อจนจบ ซึง่ ได้ แก่ INFORMATION โดย ธรรมชาติของมนุษย์ มีความต้ องการที่จะรับรู้ขา่ วสารอยูแ่ ล้ ว แต่จะมีเหตุผลในการรับรู้ขา่ วสาร 2 ประเภท คือ SURVEILANCE คือ เพื่อการดํารงชีวิตอยูไ่ ด้ ในสังคม ทันโลกทันเหตุการณ์ IMPORTANCE เป็ นการนําเสนอสิง่ ที่มีความสําคัญ เช่น เรื่ องเกี่ยวกับบุคคลที่มีชื่อเสียง ความดังของข่าว แต่ละคนจะให้ ความสนใจใน ความสําคัญต่างกัน เพราะแต่ละคนจะเห็นความสําคัญของแต่ละสิง่ แตกต่างกัน SUBJECT MATTER เป็ นความสําคัญของเนื ้อหาที่จะนําแสนอ เช่น เรื่ องเกี่ยวกับความอยูร่ อดปลอดภัย สุขภาพนามัย ความเป็ นความตาย ซึง่ กลุม่ จะให้ ความสําคัญต่างกัน ขึ ้นอยูก่ บั เพศ วัย ผลกระทบ ความสนใจ AUTHORITY คือความสําคัญในด้ านตัวบุคคล ได้ แก่ AUTHORITY คือ ผู้ที่มีความเชี่ยวชาญในด้ านใดด้ านหนึง่ เป็ นที่ยอมรับ มีชื่อเสียงทางด้ านวิชาการ ผู้ที่จะให้ ความสําคัญในการรับชม คือ กลุม่ ที่มีการศึกษา มีอายุหรื อสูงวัย STERGNALITY คือ ผู้มีชื่อเสียงเป็ นที่คลัง่ ไคล้ ในวงการบันเทิง เช่นดารา นักร้ อง ผู้ที่จะให้ ความสําคัญในการรับชม คือ กลุม่ วัยรุ่น BIGNESS เป็ นความสําคัญในแง่ความดังของเนื ้อหา ซึง่ กําลังเป็ นที่สนใจของคนทัว่ ไป ซึง่ SUBJECT METTER อาจจะเป็ น BIGNESS ได้ ถ้าอยูใ่ นช่วงที่สง่ ผลให้ ดงั รายการโทรทัศน์สว่ นใหญ่จะใช้ ในการดึงดูดความสนใจ VALUE คือ คุณค่าของเนื ้อหาที่นําเสนอ เป็ นองค์ประกอบที่ทําได้ ยาก ได้ แก่ - คุณค่าทางอารมณ์ ทําได้ ง่ายที่สดุ เป็ นการสร้ างความพึงพอใจในเนือหา เช่น ละคร - คุณค่าทางกาย ให้ ผลประโยชน์แก่คนดูโดยตรง - คุณค่าทางใจ ทําได้ ยาก เช่น การรักธรรมชาติ การทําอะไรเพื่อสังคม ACTION เป็ นเหตุการณ์ที่มีการเคลือ่ นไวของการกระทํา เช่น การต่อสู้ ให้ ความรู้สกึ เคลือ่ นไวทางอารมณ์ เป็ นตัวแทนหรื อที่ ระบายอารมณ์รุนแรงที่เก็บกดไว้ ของผู้ชม ส่วนใหญ่คนทัว่ ไปจะมีความสนใจเรื่ องราวที่รุนแรง โดยเฉพาะผู้ชมที่อายุน้อยจะให้


ประเภทของรายการโทรทัศน |

20

ความสนใจมากกว่าผู้ชมที่อายุมากและการใช้ ACTION นี ้ต้ องดูเวลาด้ วย ในช่วงเวลาที่ผ้ ชู มส่วนใหญ่พกั ผ่อนไม่ควรเสนอ นอกจากจะเป็ นการต่อสู้แล้ ว ในรายการทัว่ ไป จะใช้ ACTION ในลักษณะที่สร้ างความเคลือ่ นไหวทางอารมณ์ คือดูแล้ วรู้สกึ ว่า มีความเคลือ่ นไหว ถ้ ารายการที่ผ้ ดู ําเนินรายการอยูเ่ ฉยๆ หรื อ รายการที่ไม่มี ACTION มักจะไม่ประสบความสําเร็ จ เพราะดู แล้ วน่าจะเบื่อ หยุดนิ่ง เป็ นทางการ COMEDY / HUMOR เป็ นเนื ้อหาหรื อเหตุการณ์ที่มีความตลก เนื่องจากธรรมชาติของมนุษย์ชอบสิง่ ที่ให้ ความบันเทิง สนุกสนาน ผู้ชมทุกเพศ ทุกวัยจะชอบตลอกแต่จะต่างกันไปตามรสนิยมและความสามารถในการรับรู้ ซึง่ การใช้ องค์ประกอบของ COMEDY มีหลายวิธี ได้ แก่ SLAP STICK คือ ตลกเจ็บตัว ใช้ ความรุนแรงเพื่อให้ เกิดความขบขัน ส่วนใหญ่วยั รุ่นและเด็กจะให้ ความสนใจมาก เช่น คนอ่อนแอ กว่าไล่ตีคนที่แข็งแรงกว่าได้ คนดูจะชอบ เพระผู้ชมส่วนใหญ่เป็ นคนระดับลูกน้ องมาก ในการ์ ตนู มักจะใช้ ตลกแบบนี ้ แต่ตลก แบบนี ้ถือว่าเป็ นตลกที่ไร้ สาระและไร้ รสนิยมที่สดุ SITUATION คือ ตลกโดยสถานการณ์ของเหตุการณ์ มีสถานการณ์อยูแ่ ล้ วเกิดตลกขึ ้นมา GAG คือ ตลกที่มีการกําหนดมุขตลกขึ ้นมา เช่น ตลกในคําพูด ซึง่ ไม่คอ่ ยมีสาระ SOCIAL คือ ตลกเสียดสีสงั คม สะท้ อนภาพสังคมในขณะนันแต่ ้ เอามาทําเป็ นตลก ดูได้ เรื่ อยๆ ซึง่ หากคิดให้ ดีผ้ ชู มจะ ได้ อะไรจากตลกนี ้ ถือว่าเป็ นตลกที่มีคณ ุ ค่าสูงสุด เพราะให้ สาระทางใจและทางสมอง ผู้ที่มีการศึกษาสูงและคนในวัยทํางานจะ ชอบดู SATIRE เป็ นตลกที่มีเรื่ องราวเสียดสี เช่น เสียดสีบคุ คลสําคัญ ดารา คนดูจําขําและได้ สาระด้ วยอาจเสียดสีการ กระทําที่ไม่ดี ผู้ชมจะเห็นว่าการกระทํานันไม่ ้ ดีก็จะไม่ทํา BLACE คือ ตลกร้ าย ส่วนมากใช้ ในละคร ภาพยนตร์ เป็ นการใช้ การกระทําที่โหดเหี ้ยมแต่ผ้ ชู มๆ แล้ วตลก เอาความ รุนแรงมาดูให้ ขนั ผู้ชมดูแล้ วตลกแต่เมื่อนํามาคิดแล้ วก็จะสะเทือนใจ ผู้ชมเป้าหมายจะเป็ นกลุม่ ที่มีการศึกษาและเก็บกด SEX APPEAL เป็ นองค์ประกอบที่ใช้ ดงึ ดูดเรื่ องของเพศ รายการโทรทัศน์เกือบทุกรายการจะใช้ องค์ปรกอบนี ้ตังแต่ ้ ตวั ผู้ดําเนินรายการ ผู้ร่วมรายการแต่อาจยกเว้ นในรายการที่ให้ INFORMATION การใช้ SEX APPEAL ยังแตกต่างกันไปตาม เพศ วัย อาชีพ การศึกษา เช่น อาชีพที่ต้องใช้ สมองมากจะสนใจเรื่ องนี ้น้ อย คนมีการศึกษามากจะสนใจน้ อยเพราะสามารถยับยังใจได้ ้ และมี กฎเกณฑ์ทางสังคมมาก SEX APPEAL ใช้ ได้ หลายทาง ได้ แก่ PHYSICAL ATTRACTIVENESS เน้ นทางด้ านรูปร่างหน้ าตาของตัวบุคคล อย่างน้ อยก็สามารถดึงดูดให้ ผ้ ชู มหยุดดู รายการได้ โฆษณามักจะใช้ องค์ประกอบนี ้มากถึง 70 – 80% LOVE STORIES เป็ นเรื่ องราวเกี่ยวกับรักๆ ใคร่ๆ ผู้หญิงจะชอบเรื่ องนี ้มากกว่าผู้ชายและยังใช้ ได้ กบั วัยรุ่น อาชีพ แม่บ้าน นักเรี ยน นักศึกษา และคนไม่มีการศึกษา TALKING ABOUT SEX เป็ นการเชื่อมโยงไปถึงเรื่ องทางเพศโดยการพูดคุยในเรื่ องชีวิตคูค่ วามสัมพันธ์และความรัก อาจจะเป็ นตลกสองแง่สามง่าม


ประเภทของรายการโทรทัศน |

21

MUSIC AS SEX APPEALใช้ ดนตรี ที่สร้ างความรู้ทางอารมณ์ ความรัก ลีลาของดนตรี เร้ าอารมณ์ให้ เคลิบเคลิ ้ม โร แมนติก ซึง่ เรื่ องราวของความรักนี ้ ไม่รวมความรักของพ่อแม่หรื อความรักชาติ จะใช้ เฉพาความรักของหนุม่ สาว CURIOSITY คือการใช้ ความอยากรู้อยากเห็นของมนุษย์มาดึงดูดความสนใจของผู้ชมให้ ติดตามเพื่อคลีค่ ลายข้ อสงสัย เป็ นสิง่ ที่ท้า ทายความอยากรู้อยากเห็นของผู้ชมเป็ นเรื่ องราวของความลับลมใน ความฉงนสงสัย จะใช้ ได้ กบั วัยรุ่น ผู้ชมกลุม่ ที่มีอายุน้อย ต้ องเสนอเรื่ องให้ ในตอนเช้ าคนเพิ่งตื่นไม่เหมาะที่จะเสนอเรื่ องราวแบบนี ้ ซึง่ ความอยากรู้ ความสนใจ แบ่งได้ เป็ น 2 อย่างคือ HUMAN INTEREST เป็ นเรื่ องที่อยูใ่ นความสนใจพื ้นฐานของมนุษย์เช่นเรื่ องที่สะเทือนใจ SENSATIONAL เรื่ องแปลกประหลาดพิสดาร INELECTUAL CURIOSITY คือ ความอยากรู้อยากเห็นในเรื่ องของวิชาการ ความรู้ ความคิดที่แปลกใหม่ กลุม่ ผู้ที่มีการศึกษาสูงจะสนใจ นอกจากนี ้ยังเกี่ยวกับอาชีพการงานด้ วย REALISM เป็ นการนําเสนอเรื่ องราว เหตุการณ์ บุคคล ให้ ดสู มจริ งเป็ นเรื่ องจริ งที่สามารถเกิดขึ ้นได้ รวมทังสิ ้ ง่ ที่เป็ นเหตุการณ์จริ ง ซึง่ อาจจะนํามาประกอบกันเพื่อให้ มีความน่าเชื่อถือ เช่น รายการข่าว ละคร ที่สร้ างแล้ วมีความสมจริ ง หรื ออาจจะเสนอ เรื่ องราวเกี่ยวกับพฤติกรรมที่เป็ นปมด้ อยของมนุษย์ NOVELTY ความสดใหม่ของเนื ้อหา ความก้ าวหนาทางวิทยาศาสตร์ และเทคโนโลยี แฟชัน่ เพราะมนุษย์มีความอยากรู้ในสิง่ ใหม่ๆ ต้ องการทดลองของใหม่ ได้ แก่ ORIGINALITY เป็ นความใหม่อย่างแท้ จริ ง ไม่เคยมีมาก่อน ผู้ชมจะพึงพอใจมาก FRESHNESS ความสด ทันเหตุการณ์ เป็ นการเอาของเก่ามาปรับปรุงโฉมให้ เป็ นของใหม่ NEWNESS เป็ นสิง่ ที่มีมาแล้ วแต่มีการพัฒนาการใหม่ๆ UNUSUALITY เป็ นสิง่ ที่ผิดปกติ ไม่เคยเกิดขึ ้นมาก่อน PERSONALISM เป็ นเรื่ องที่ให้ ความรู้สกึ เป็ นส่วนตัว หรื อสะท้ อนบุคลิกของผู้ชม ได้ แก่ PERSONAL IDENTIFICATION สิง่ ที่บง่ บอกถึงความเป็ นเอกลักษณ์ของเรา FANTASY สร้ างความหฤหรรษ์ ในโลกส่วนตัว SYMPATHY การเอาตัวเองเข้ าไปผูกพัน เข้ าอกเข้ าใจสิง่ ใดสิง่ หนึง่


ประเภทของรายการโทรทัศน |

22

TENSION เป็ นการสร้ างความตึงเครี ยด ความตื่นเต้ น ทําให้ เกิดการลุ้นและติดตาม ได้ แก่ DANGER เรื่ องราวเสีย่ งอันตราย PROBLEM SOLVING เป็ นเรื่ องที่มีปัญหา ให้ ต้องติดตาม CONFLICT เป็ นเรื่ องความขัดแย้ งของ 2 ฝ่ าย ทังในด้ ้ านความคิดเห็น การกระทํา REVOLUSION เป็ นเรื่ องราวเกี่ยวกับความรุนแรง ผู้ชมที่ชอบความรุนแรงก็จะสนใจชม

องค์ ประกอบในการชักจูงใจ (PERSUASIVE APPEALS) รายการโทรทัศน์ที่มีวตั ถุประสงค์เพื่อชักจูงให้ ผ้ ชู มทําตามนัน้ จะต้ องสามารถสร้ างความพึงพอใจในการรับสารโดยใช้ องค์ประกอบดังที่ได้ กล่าวมาแล้ วให้ ได้ เสียก่อน จึงจะสามารถทําการชักจูงใจได้ แต่จะได้ ผลหรื อไม่นนขึ ั ้ ้นอยูก่ บั ความเข้ าใจและ ความสามารถในการใช้ องค์ประกอบในการชักจูงใจ ซึง่ มีดงั นี ้ต่อไปนี ้ 1. ACQUISITION AND SAVING คือ การนําเสนอสิง่ ที่จะให้ ประโยชน์แก่กลุม่ เป้าหมายหรื อเมื่อปฏิบตั ิตามแล้ วจะ ได้ รับประโยชน์ตอบแทน เป็ นสิง่ ที่ผ้ ชู มสนใจ และช่วยให้ พ้นภัย 2. ADVENTURE AND SAVING ใช้ เรื่ องราวหรื อเหตุการณ์ที่นา่ ตื่นเต้ นเร้ าใจทําให้ ผ้ ชู มเกิดอารมณ์คล้ อยตาม 3. ARQUMENT ใช้ ความขัดแย้ งเป็ นจุดสนใจ เช่น ให้ 2 ฝ่ ายมาแสดงความเห็นขัดแย้ งในเรื่ องใดเรื่ องหนึง่ เพื่อแสดง คุณสมบัติของสินค้ า 4. FRIENDSHIP ใช้ ความเป็ นเพื่อนหรื อพวกเดียวกันมาชักจูงความคิดให้ คล้ อยตาม 5. CREATION ใช้ สงิ่ ที่เป็ นความคิดสร้ างสรรค์ใหม่ๆ ที่เห็นได้ เป็ นรูปธรรมอย่างชัดเจน 6. CURIOSITY สร้ างความยากรู้อยากเห็นให้ กบั เรื่ องที่ต้องการจะชักจูงใจ 7. DESTRUCTION ใช้ การทําลายล้ างเพื่อสร้ างความเห็นคล้ อยตาม 8. FEAR สร้ างความกลัวให้ เกิดกับผู้ชม เพื่อให้ ปฏิบตั ิตามในสิง่ ที่ปลอดภัย 9. GUILTYใช้ การสร้ างความละอายใจในการกระทําสิง่ ไม่ดีมาเปลีย่ นแปลงพฤติกรรม 10. HEALTHY AND SAFTYใช้ เรื่ องเกี่ยวกับสุขภาพและความปลอดภัยมาชักจูง 11. IMITATION ใช้ พฤติกรรมการเลียนแบบกระตุ้นให้ ผ้ ชู มรู้สกึ ยากจะทําตามบ้ าง 12. INDEPENDENCE นําเรื่ องที่เกี่ยวกับความเป็ นอิสระ ความเป็ นส่วนตัวมาชักจูงใจ 13. ROYALTYใช้ ความซื่อสัตย์จงรักภักดีเกี่ยวกับสิง่ ต่อไปนี ้มานําเสนอ 13.1 FAMILY LOVE ความรักความอบอุน่ ในครอบครัว 13.2 FRIENDS ความรักเพื่อนพ้ อง 13.3 SOCIAL GROUPS ความรักในสังคมและชุมชน 13.4 NATION ความรักในประเทศชาติ 14. PERSONAL ENJOYMENTเป็ นเรื่ องเกี่ยวกับความสนุกสนาน ในเรื่ องต่อไปนี ้ 14.1 COMFORT AND LUXURYความสะดวกสบาย และความหรูหรา 14.2 BEAUTY AND ORDER ความสวยงามเป็ นระเบียบเรี ยบร้ อย


ประเภทของรายการโทรทัศน |

23

14.3 PLEASANT SENSATION ความสุขสบาย 14.4 RECREATION การพักผ่อนหย่อนใจในยามว่าง 15. POWERเป็ นเรื่ องเกี่ยวกับความมีอํานาจ พลัง ความเข้ มแข็ง มักใช้ กบั ผู้ชาย 16. PRIDE &VANITY สร้ างความภาคภูมิใจ หยิ่งทะนงในศักดิ์ศรี และเกียรติ 17. REVERENCE AND WORSHIPความเคารพนับถือ เทิดทูนบูชาในเรื่ องดังนี ้ 17.1 HEROวีรบุรุษ วีรสตรี 17.2 TRADITION AND INSTITUTION ความยึดมัน่ ในขนบธรรมเนียมประเพณี 17.3 DEITYพระเจ้ า 18. REVOLUSIONการแสดงการเปลีย่ นแปลง การทําลายล้ างอย่างรุนแรง 19. SEXUAL ATTRACTIONใช้ การดึงดูดทางเพศ ต้ องใช้ อย่างมีคณ ุ ธรรม จรรยาบรรณ 20. SYMPATHY AND COMPASSIONใช้ ความสงสารเห็นอกเห็นใจ การกําหนดโครงสร้ างรายการโทรทัศน์ โครงสร้ างของรายการโทรทัศน์แต่ละส่วน เกิดขึ ้นมาเพื่อทําหน้ าที่เฉพาะส่วนแตกต่างกัน ผู้เขียนบทโทรทัศน์จึงต้ องมี ความเข้ าใจในหน้ าที่ของแต่ละส่วน ที่มาประกอบกันเป็ นการโทรทัศน์ โดยแต่ละส่วนของโครงสร้ างจะต้ องมีความแตกต่างกันเพื่อ สร้ างความหลากหลายแต่ยงั ต้ องให้ มีความเป็ นเอกภาพตลอดทังรายการ ้ โครงสร้ างของรายการโทรทัศน์ประกอบด้ วย 3 ส่วน หลัก ได้ แก่ 1.ส่ วนเปิ ดรายการ (PROGRAMME OPENING) ประกอบด้ วย 1.1 ส่ วนดึงดูดความสนใจผู้ชมให้ ดรู ายการ (ATTRACT ATTENTION) ใช้ องค์ประกอบของ AUDIENCE GRATIFICATION โดยต้ องทําการวิเคราะห์กลุม่ เป้าหมายของรายการก่อน แล้ วจึงเลือกว่าจะใช้ องค์ประกอบใด 1.2 ส่ วนที่บอกชื่อ ลักษณะ และประเภทของรายการ (PROVIDING IDENTIFICATION) ส่วนนี ้มีความสําคัญมาก ทําให้ ผ้ ชู มที่เคยชมแล้ วรู้วา่ เคยชมรายการนี ้มาแล้ วและผู้ชมที่ไม่เคยชมจะได้ จําได้ วา่ นี ้คือ รายการใด อาจจะนํามาใส่ไว้ ในช่วงท้ ายของแต่ละช่วงด้ วย 1.3 ส่ วนในการสร้ างบรรยากาศ หรือปูพนื ้ อารมณ์ ของรายการ (SETTING THE MIID) เป็ นการเตรี ยมใจของคนดูวา่ ผู้ชมจะได้ รับรู้อะไรจากรายการ เพื่อจะได้ เตรี ยมใจไว้ ข้ อดีของส่วนนี ้คือจะทําให้ คนดู คล้ อยตามได้ ง่าย 1.4 ส่ วนที่จะเกริ่น อธิบายความเป็ นมาของเรื่องราว (PROVIDING EXPLANATION) เป็ นการให้ รายละเอียดว่า ในรายการจะมีอะไรนํามาเสนอบ้ าง เช่น การนํา HI – LIGH ของแต่ละช่วงมาให้ ดู แต่ก็ไม่ จําเป็ นกับทุกรายการ เช่น รายการที่เสนอความลึกลับพิศวง


ประเภทของรายการโทรทัศน |

24

2. ส่ วนเนือ้ หาของรายการ (BODY OF THE PROGRAMS) ประกอบด้ วย 2.1 ส่ วนที่จะดึงดูดความสนใจของผู้ชมให้ คงไว้ กับรายการ (MAINTAIN AND REATTRACT ATTENTION) 2.2 ส่ วนประกอบของการจัดลําดับเนือ้ หา o ความมีเอกภาพของเนื ้อหา (UNITY) o มีความหลากหลายในการนําเสนอเนื ้อหา (VARIETY) แต่ละส่วนดูแล้ วไม่ซํ ้าซากจําเจ ทําได้ โดยมีการเปลีย่ น ELEMENT ให้ มีความแตกต่างของแต่ละส่วน เช่น การเปลีย่ นภาพ เนื ้อหา เสียงบรรยาย หรื ออะไรก็ได้ ให้ คนดูมีความรู้สกึ ว่ามีการเปลีย่ น o SPACE การกําหนดจังหวะของเนื ้อหา ในการดํารงเรื่ องราว เหตุการณ์ ให้ มีความเหมาะสมเป็ นระบบ เข้ าใจ ง่าย ไม่สบั สน โดยแต่ละส่วนมีความยาว สันในการนํ ้ าเสนออย่างเหมาะสม o CLIMAX จุดตื่นเต้ นสูงสุด เพื่อสร้ างความพึงพอใจให้ กบั ผู้ชมมักจะจัดวางไว้ ในส่วนท้ ายของรายการ เพื่สร้ าง ความตื่นเต้ นสูงสุด 3. ส่ วนปิ ดรายการ(PROGRAMME CLOSING) ประกอบด้ วย 3.1 ส่ วนที่บอกชื่อ ลักษณะและประเภทของรายการ (PROVIDING IDENTIFICATION)อาจจะมีหรื อไม่มีก็ได้ 3.2 ส่ วนที่สร้ างความรู้สึกว่ า รายการได้ จบแล้ วอย่ างแท้ จริง (PROVIDING A SENSE OF FINALITY) โครงสร้ างของรายการในแต่ละส่วนนี ้ อาจจะมีหรื อไม่มีก็ได้ โดยจะต้ องพิจารณาว่าถ้ ามีแล้ สจะเกิดผลที่ดีกว่าไม่มี หรื อไม่อย่างไร เพราะถ้ ามีแล้ วไม่ได้ เกิดประโยชน์อะไรก็ไม่ควรมีและในส่วนของ ELEMENTS นี ้จะต้ องดูวา่ จะใช้ ELEMENTS ใดบ้ าง ใช้ อย่างไร ความสัมพันธ์ของแต่ละ ELEMENTS มีหรื อไม่ อย่างไร ความสันยาวของแต่ ้ ละ ELEMENTS เหมาะสมกับ เนื ้อหาหรื อไม่ แต่ละ ELEMENTS ควรมีความยาวไม่เกิน 30 – 60 วินาที เพราะถ้ านานมากจะทําให้ คนดูเบื่อ แต่ก็ขึ ้นอยูก่ บั เนื ้อหา ถ้ ามีความสําคัญมากก็อาจจะเสนอได้ นาน หรื อเนื ้อหาที่ไม่มีอะไรควรเสนอสันๆ ้ อาจมีจดุ เปลีย่ น ELEMENTS คือ การ สร้ างความแตกต่างของ 2 ELEMENTS เช่นในเนื ้อหาเดียวกัน ใน ELEMENTS แรกอาจเป็ นการพูด ใน ELEMENTS ที่ 2 อาจเป็ นเพลง เป็ นต้ น นอกจากจะพิจารณาในเรื่องของโครงสร้ างของรายการโทรทัศน์ แล้ ว ควรมีการพิจารณาส่ วนประกอบ ดังนี ้ 1. ชื่อรายการ หัวข้ อ เรื่องราว ของรายการ TITLE – TOPIC 2. กลุ่มเป้าหมายของรายการ TARGET AUDIENCE 3.วัตถุประสงค์ ของรายการ OBJECTIVES 4. แนวคิดหลักของรายการ CORE CONCEPT ทัง้ 4 ส่วนนี ้ อาจจะเริ่ มต้ นที่สว่ นใดก็ได้ และในการกําหนดส่วนประกอบทัง้ 4 ส่วนนี ้จะต้ องเป็ นกําหนดเพื่อใช้ ได้ ใน ระยะยาว ต้ องมีการวางแผนไว้ เป็ นอย่างดีวา่ จะสามารถทําไดนานโดยไม่ตนั หลังจากนันจึ ้ งค่อยกําหนดว่าจะใช้ โครงสร้ าง รายการโทรทัศน์ใดบ้ าง ก่อนที่จะทําการเขียนบทโทรทัศน์ เพื่อให้ การเขียนบทเป็ นไปอย่างมีประสิทธิภาพผู้เขียนบทควรจะมีความสามารถในการ วิเคราะห์รายการโทรทัศน์ที่มีอยูแ่ ล้ วว่ามีการใช้ สว่ นประกอบใดบ้ าง ในการสร้ างความสนใจจากผู้ชม และใช้ ได้ อย่างมี


ประเภทของรายการโทรทัศน |

25

ประสิทธิภาพหรื อไม่ ได้ แก่ 1. วิเคราะห์ช่วงเวลาในการนําเสนอ 1.1 เป็ นเวลาที่ผ้ ชู มกลุม่ เป้าหมายจะดูโทรทัศน์หรื อไม่ 1.2 มีคแู่ ข่งที่ทํารายการรูปแบบเดียวกับเราในเวลาเดียวกับเราหรื อไม่ 1.3 ถ้ ามี จะเอาชนะคูแ่ ข่งได้ อย่างไร จะใช้ จดุ เด่นอะไรที่เหนือกว่าหรื อคูแ่ ข่งไม่มี 2. วิเคราะห์วตั ถุประสงค์ในการนําเสนอรายการ วัตถุประสงค์ของผู้ทํารายการ คือ ความต้ องการให้ ผ้ ชู มได้ รับ หรื อีการกระทําอย่างไร หลังจากได้ ชมรายการแล้ ว และการคาดว่ารายการจะมีคนดูมากเท่าไร อยูไ่ ด้ นานหรื อไม่ อย่างไร สําหรับวัตถุประสงค์ของผู้ชมรายการ คือ มีความพึง พอใจและมีความสนใจในการชมรายการ หรื อมีการเปลีย่ นแปลงทัศคติที่พงึ ประสงค์ได้ 3. วิเคราะห์ CONCEPT ของรายการที่ตงไว้ ั ้ วา่ สามารถนําเสนอรายการให้ เป็ นไปตาม CONCEPT คือ แนวคิด วิธีการในทางนามธรรมที่จะทําให้ วตั ถุประสงค์นนสั ั ้ มฤทธิ์ผล 4. วิเคราะห์รูปแบบรายการว่าเหมาะสมกับ CONCEPT หรื อไม่ และแนวคิดนันสามารถถ่ ้ ายทอดออกมาเป็ นรูปธรรม ในลักษณะของเหตุการณ์จริ งได้ หรื อไม่ (EXCUTION) 5. วิเคราะห์ความยาวของรายการว่า เหมาะสมกับกลุม่ เป้าหมายและเนื ้อหาหรื อไม่ 6. วิเคราะห์โครงสร้ างของรายการว่า สามารถใช้ ได้ เหมาะสมกับเนื ้อหาหรื อไม่ การวิเคราะห์รายการโทรทัศน์ จะทําให้ เห็นข้ อดีข้อเสียของแต่ละรายการ และจะเป็ นประโยชน์แก่ผ้ เู ขียนบท ในการ นําเสนอข้ อมูลเหล่านี ้มาใช้ ในการเขียนบท

รูปแบบรายการโทรทัศน์ (TELEVISION PROGRAMS FORMAT) TV PROGRAMS คือรูปแบบของรายการที่นําเสนอเนื ้อหา เรื่ องราว เพื่อตอบสนองประโยชน์และสร้ างความพึงพอใจแก่ ผู้ชม ส่วนใหญ่จะมีความยาวเช่น 30 นาที 60 นาที หรื อ 2 ชัว่ โมง เป็ นต้ น การนําเสนอรายการรูปแบบ PROGRAMS ทาง โทรทัศน์สามารถแบ่งหรื จดั ประเภทได้ หลายวิธี ในการเขียนบทรายการโทรทัศน์ให้ สมั ฤทธิ์ผลตามวัตถุประสงค์ของการสือ่ สารนัน้ ผู้เขียนบทจะต้ องมีความรู้ ความสามารถในด้ านการเลือกสรรเนื ้อหาซึง่ ต้ องใช้ ข้อมูลและความคิดสร้ างสรรค์อย่างมาก รวมทังการหาวิ ้ ธีการในการสร้ าง เรื่ องราวถ่ายทอดความคิดนันออกมาด้ ้ วยภาษาที่เหมาะสมกับผู้รับสาร แม้ จะได้ ทําตามหลักการต่างๆแล้ วก็ตาม การเขียนบท โทรทัศน์นนจะไม่ ั้ ประสบความสําเร็ จได้ เลย หากผู้เขียนบทโทรทัศน์ยงั ขาดความเข้ าใจเกี่ยวกับรูปแบบของการนําเสนอรายการ ซึง่ มีหลากหลายรูปแบบ ซึง่ รายการแต่ละรูปแบบต่างมีโครงสร้ างของการนําเสนอเนื ้อหาที่แตกต่างกัน การจัดประเภทที่แบ่งตามวิธีการนําเสนอ หรื อวิธีการถ่ายทอดเนื ้อหา ซึง่ แบ่งออกเป็ นประเภทของรายการต่างๆ ดังนี ้ 1. รายการข่ าว (NEWS) คือ ประเภทของรายการโทรทัศน์ที่นําเสนอเนื ้อหา โดยวิธีการรายงานความเคลือ่ นไหวที่ เกิดขึ ้นตามความเป็ นจริ งของเหตุการณ์ที่เกิดขึ ้นสดๆ ร้ อนๆ ด้ วยความรวดเร็ ว ฉับพลัน สาระหลักของการถ่ายทอดเนื ้อหาแบบ รายการข่าว คือ นําเสนอข้ อเท็จจริ งของมนุษย์ สังคม ซึง่ รายการนี ้นําเสนอขึ ้นมาเพื่อให้ ผ้ ชู มได้ รับทราบความเคลือ่ นไหวของ สังคมที่เปลีย่ นไปในแต่ละวัน และสิง่ ต่าง ที่นําเสนอในการรายงานข่าวจะเป็ นสิง่ ที่ทําให้ ผ้ ขู มรับรู้โลกแห่งความเป็ นจริ ง คือมี ความน่าเชื่อถือสูง บางครัง้ การนําเสนอรายการโทรทัศน์หรื อรู้โลกแห่งความเป็ นจริ ง คือมีความน่าเชื่อถือสูง บางครัง้ การนําเสนอ


ประเภทของรายการโทรทัศน |

26

รายการโทรทัศน์หรื อโฆษณาที่ต้องการจะสร้ างผลในลักษณะของความน่าเชื่อถือ ก็สามารถยืมวิธีการของรายการข่าวไปนําเสนอ ได้ เช่นโฆษณาที่ต้องการบอกว่าสิง่ ที่พดู ต่อไปนี ้เป็ นเรื่ องจริ งและเป็ นสิง่ ที่เกิดขึ ้นใหม่ๆ เพื่อนําเสนอแก่ผ้ บู ริ โภค เป็ นต้ น 2. รายการสัมภาษณ์ (INTERVIEW) เทคนิคพิเศษในการรายการประเภทนี ้นัน้ ผู้ผลิตรายการจะต้ องคํานึงถึงเรื่ องที่ จะสัมภาษณ์ บุคคลที่จะให้ สมั ภาษณ์ พิธีกรดําเนินรายการสัมภาษณ์ และวิธีการดําเนินรายการสัมภาษณ์ เรื่ องที่จะสัมภาษณ์นนั ้ ผู้ผลิตรายการต้ องกําหนดร่วมกับผู้กํากับรายการและทีมงานผลิตก่อนการผลิตว่า ในรายการ ของเดือนนี ้มีอะไรที่นา่ สนใจ มีอะไรที่ประชาชนสนใจ อะไรที่มีประโยชน์กบั ประชาชน อะไรที่ประชาชนสนใจใฝ่ รู้ อะไรที่ต้อง อธิบายให้ ประชาชนรู้ หากได้ เวลาในรายการสัปดาห์ละ 1 ครัง้ หนึง่ เดือนจะต้ องนําเสนอรายการ 4 ครัง้ บางเดือนมี 5 ครัง้ ต้ องกําหนดเรื่ องที่จะพูดไว้ ให้ ครบทัง้ 5 เรื่ อง เมื่อกําหนดเรื่ องแล้ วต้ องมากําหนดบุคคลผู้ซงึ่ จะให้ สมั ภาษณ์ การเลือกควรเลือก ให้ เป็ นไปตามวัตถุประสงค์ของการสัมภาษณ์ ถ้ าสัมภาษณ์เพื่อทราบทัศนคติ ความคิดเห็น ผู้มาให้ สมั ภาษณ์ไม่จําเป็ นต้ องมี ความรู้เกี่ยวกับเรื่ องนันๆ ้ มากนัก แต่ถ้าสัมภาษณ์เพื่อต้ องการข้ อเท็จจริ งหรื อรายละเอียดของข้ อมูลเกี่ยวกับเรื่ องนัน้ ผู้มาให้ สัมภาษณ์จะต้ องมีคณ ุ สมบัติสาํ คัญ คือ เป็ นผู้ที่ทราบเรื่ องนันๆ ้ เป็ นอย่างดี พิธีกรดําเนินรายการโทรทัศน์ที่เป็ นรายการสัมภาษณ์นี ้ ต้ องเป็ นผู้ที่มีบคุ ลิกภาพดี นํ ้าเสียงชัดเจน ลีลาการพูดน่าฟั ง หน้ าตาดีพอสมควร เป็ นกันเองกับผู้ชมทางบ้ าน ผู้ผลิตรายการและทีมงานควรพิจารณาเลือกผู้ที่จะมาเป็ นพิธีกรดําเนินรายการให้ ดี เมื่อผู้ชมชอบพิธีกร ก็จะทําเกิดการติดตามรายการได้ ดี พิธีกรที่ดีควรจะต้ องรู้จกั วิธีการให้ ผ้ รู ่วมรายการรู้สกึ เป็ นกันเอง หาย ประหม่า ควรมีชนเชิ ั ้ งทางการพูดโดยยกย่องผู้มาร่วมกรายการเสมอ พิธีกรควรจะต้ องศึกษาเรื่ องที่ตนจะสัมภาษณ์ให้ มากที่สดุ สําหรับคําถามนัน้ ทีมผู้ผลิรายการจะมอบแนวนโยบายกว้ างๆ ให้ พิธีกรเตรี ยมตัว หรื ออาจจัดทีมผู้เขียนบทให้ เหมาะสมกับ เนื ้อหานันๆ ้ วิธีการดําเนินการสัมภาษณ์ ทีมผู้ผลิตรายการควรจะพิจารณาเตรี ยมร่างคําถามคร่าวๆ ส่งให้ ผ้ ใู ห้ สมั ภาษณ์ลว่ งหน้ า เพื่อให้ ทา่ นเหล่านันได้ ้ เตรี ยมตัว นอกจากนี ้ ทีมผู้ผลิตรายการต้ องพิจารณา ดูแลจัดฉากให้ เหมาะสม จะถ่ายทําในหรื อนอกห้ อง ส่ง สถานที่นนๆ ั ้ ควรจะสามารถถ่ายทําได้ หลายมุม ควรใช้ ไมโครโฟนที่เสียงลมเข้ าได้ น้อยที่สดุ เป็ นต้ น การจัดวางไมโครโฟนให้ อยูใ่ นระดับธรรมชาติ ภาพประกอบ กราฟฟิ ค สไลด์ เทปบันทึกวิดีโอประกอบ และการสัมภาษณ์ควรจะเตรี ยมอุปกณ์ยางอย่าง ที่เกี่ยวข้ องไปด้ วย แม้ วา่ จะเป็ นเรื่ องเล็กน้ อย เช่นเก้ าอี ้ที่นงั่ ควรสบาย นํ ้าดื่มควรเตรี ยมไว้ เพราะผู้ให้ สมั ภาษณ์บางคนอาจตื่น เวทีจนคอแห้ ง สัญญาณต่างๆ ไม่วา่ จะใช้ สญ ั ญาณมือ สัญญาณกล้ อง การบอกเวลาที่เหลือ ผู้กํากับเวทีจะต้ องอธิบายให้ ผ้ รู ่วม รายการได้ ทราบ วิธีการปฏิบตั ิงานระหว่างการผลิต สามารถเลือกใช้ ได้ 2 วิธี คือ บันทึกเทปรายการผู้ให้ สมั ภาษณ์และแทรก ภาพประกอบไปพร้ อมกัน เมื่อบันทึกเสร็ จไม่จําเป็ นต้ องมีการตัดต่อ อีกวิธีหนึง่ คือ บันทึกเทปเฉพาะการสัมภาษณ์ จากนันมาสู ้ ่ กระบวนการหลังการผลิต ด้ วยการแทรกภาพประกอบ การตัดต่อ การใส่ข้อความซ้ อนภาพ การใส่ข้อมูลเชิงกราฟฟิ คที่เกี่ยวข้ อง กับการสัมภาษณ์รวมทังการใส่ ้ เสียงเพิ่มเติมในภายหลัง แล้ วจึงนําออกอากาศ 3. รายการสาธิต (DEMONSTRATION) คือการนําเสนอความรู้ ข้ อเท็จจริ งเกี่ยวกับกระบวนการของการกระทําหรื อ การแสดงให้ ผ้ ชู มได้ เข้ าใจตามลําดับขัน้ เพื่อที่ผ้ ชู มจะได้ เกิดความรู้ ความเข้ าใจและนําไปปฏิบตั ิได้ เช่น รายการสาธิตการ ทําอาหาร รายการสาธิตการประดิษฐ์ ดอกไม้ เป็ นต้ น ในการนําเสนอรายการสาธิตนันควรคํ ้ านึงถึงลําดับของขันตอนใน ้ กระบวนการต่างๆเหล่านันให้ ้ ตอ่ เนื่องเป็ นช่วงๆเพื่อให้ เข้ าใจได้ ง่ายและผู้ชมจะได้ ตามทันหรื อสามารถปฏิบตั ิตามทีละขันที ้ ละตอน


ประเภทของรายการโทรทัศน |

27

ในขณะที่นําเสนอรายการนัน้ เนื่องจากสือ่ โทรทัศน์เป็ นสือ่ ที่เกี่ยวข้ องกับเวลาผู้ชมไม่สามารถกําหนดและควบคุมการรับรู้ด้วย ตนเองได้ ผู้นําเสนอจึงควรเป็ นผู้กําหนดการรับรู้ให้ ง่ายที่สดุ ดังนันการนํ ้ าเสนอรายการสาธิตควรเริ่ มจากการนําเสนอผลรวม สุดท้ ายของสิง่ ที่จะสาธิตให้ เห็นเสียก่อนว่าเป็ นอะไร เช่น ต้ องการสาธิตการประดิษฐ์ ดอกไม้ กระดาษ ก็ควรแสดงให้ เห็นดอกไม้ กระดาษที่ทําเสร็ จแล้ วว่ามีรูปร่างหน้ าตาเป็ นอย่างไร สวยหรื อมีประโยชน์มากน้ อยแค่ไหน เป็ นต้ น หลังจากนันก็ ้ ควรจะบอก รายละเอียดของวัสดุ และอุปกรณ์ที่ใช้ ทํา ตามด้ วยขันตอนต่ ้ างๆตามลําดับ ซึง่ ในแต่ละขันตอนที ้ ่นําเสนอจบไปแล้ วควรใช้ เวลา พักสักคูเ่ พื่อให้ ผ้ ชู มมีเวลาคิดและทําความเข้ าใจ และหากเป็ นสิง่ ที่ซบั ซ้ อนมากก็อาจจะสรุปให้ ผ้ ชู มรับรู้อีกครัง้ แล้ วจึงค่อยเริ่ ม ขันตอนต่ ้ อไป และเมื่อเสนอทุกขึ ้นตอนเสร็ จเรี ยบร้ อยแล้ ว ก็ควรแสดงผลรวมของสิง่ ที่สาธิตให้ ชดั เจน หลังจากนันทบทวนให้ ้ ผ้ ชู ม ทราบอีกครัง้ เกี่ยวกับ วัสดุ อุปกรณ์ และขันตอนต่ ้ างๆ ตังแต่ ้ ต้นจนจบ ซึง่ ถ้ าจะให้ ได้ ผลดีควรจะใช้ ภาพตารางหรื อไดอะแกรม รวมทังข้ ้ อความเป็ นตัวหนังสือประกอบการอธิบายด้ วย จะทําให้ ผ้ ชู มเข้ าใจและจําได้ ดียิ่งขึ ้น 4. รายการสารคดี (DOCUMENTARYFEATURE) คือ รายการที่นําเสนอข้ อมูล ข้ อเท็จจริ งหรื อความคิดเห็นที่เป็ น ประโยชน์ตอ่ กลุม่ เป้าหมาย เพื่อเพิ่มเติมโลกทัศน์ และชีวทรรศน์ทงในด้ ั ้ านชีวิตส่วนตัว สังคม สิง่ แวดล้ อม และศิลปวัฒนธรรม อีกทังเพื ้ ่อให้ ชีวิตของปั จเจกชนและสังคมส่วนรวมดีขึ ้น เนื ้อหาสาระเรื่ องราวในสารดีจะต้ องเกี่ยวกับ บุคคล สถานที่ เหตุการณ์ที่ มีอยูจ่ ริ งและเกิดขึ ้นจริ ง อาจจะเกิดขึ ้นหรื อมีอยูใ่ นอดีต หรื อเกิดขึ ้นสดๆ ร้ อนๆ ที่เราอาจไม่ร้ ูกําหนดการล่วงหน้ ามาก่อน เช่น เหตุการณ์จลาจล เหตุการณ์รบในสงครามในสมรภูมิตา่ งๆ เป็ นต้ น ซึง่ การนําเสนอเป็ นสารคดีโทรทัศน์นนั ้ สามารถนําเสนอได้ ใน 2 รูปแบบ คือ 4.1DOCUMENTARY คือสารคดีที่นําเสนอมุมมอง (POINT OF VIEW) ในแง่มมุ ใดมุมหนึง่ ตามความคิดเห็นและ ความเชื่อของผู้เขียนบทหรื อเปรี ยบเทียบหลายมุมมองจากทัศนะที่หลากหลายต่างกันของบุคคลแต่ละคน แล้ วหาข้ อมูลหลักการ หลักฐานและความเห็นของบุคคลต่างๆ มาสนับสนุน แล้ วปล่อยให้ ผ้ ชู มสรุปเอาเองหรื อคิดเอาเองก็ได้ ส่วนใหญ่ สารคดีใน ลักษณะนี ้มักจะเป็ นเรื่ องหนักๆ ผู้ชมต้ องใช้ ความคิด เช่น สารคดีเกี่ยวกับปั ญหาสังคม เป็ นต้ น 4.2 FEATURE คือ สารคดีที่นําเสนอข้ อมูลของบุคคล สถานที่ หรื อเหตุการณ์ตามความเป็ นจริ งที่เป็ นอยูโ่ ดยมิได้ มี จุดประสงค์ ในการแสดงทัศนะความเชื่อหรื อมุมมองใดๆ เกี่ยวกับสิง่ เหล่านัน้ เพื่อให้ ผ้ ชู มคิด แต่จดุ หลักอยูท่ ี่เพื่อให้ ความรู้ ความเพลิดเพลินแก่ผ้ ชู มมากกว่า เช่น สารคดีทอ่ งเที่ยว เป็ นต้ น ประเภทของเนื ้อหาที่นําเสนอในรายการสารคดี ทังรู้ ปแบบ DOCUMENTARY และ FEATURE แบ่งได้ ดงั นี ้ 1. กิจกรรมสาธารณะ (PUBLIC AFFAIR) คือเรื่ องราวที่เกี่ยวข้ อง หรื อมีผลกระทบกับสาธารณชน เช่น ความอด อยาก ความหิวโหย สงคราม ปั ญหาสังคม และการเมือง เป็ นต้ น 2. การสร้ างสรรค์และประดิษฐ์ เช่น การออกแบบและการประดิษฐ์ ด้านวิศวกรรมต่างๆ 3. เหตุการณ์กิจกรรม (CREATIVITY AND INVENTION) เช่น การเผาเทียน เล่นไฟ การแข่งขันกีฬา 4. ธรรมชาติและสิง่ แวดล้ อม (NATURE AND ENVIRONMENT) เช่น ชีวิตสัตว์ หรื อป่ าดงพงศ์ไพร เป็ นต้ น 5. ชีวิตประจําวัน (SLICE OF LIFE) เช่นชีวิตประจําวันของแม่ค้าในตลาดสด หรื อคนเดินทางด้ วยรถประจําทางใน กรุงเทพฯ เป็ นต้ น 6. อัตชีวประวัติ (AUTO BIOGRAPHY) เช่น ประวัติมหาตมะคานที เป็ นต้ น ในการนําเสนอสารคดี อาจจะใช้ วิธีการเล่าเรื่ องได้ หลายลักษณะ คือ อาจเป็ นอย่างใดอย่างหนึง่ หรื อหลายอย่าง


ประเภทของรายการโทรทัศน |

รวมกัน จากวิธีการนําเสนอต่อไปนี ้ 1. นําเสนอโดยการบรรยายประกอบภาพเหตุการณ์ (NARRATION) 2. นําเสนอโดยการสัมภาษณ์บคุ คล (INTERVIEW) 3. นําเสนอโดยการรายงานแบบข่าวในสถานที่ของเหตุการณ์ (REPORTING) 4. นําเสนอโดยสมมุติสถานการณ์ หรื อจําลองสถานการณ์จากเหตุการณ์จริ งบางส่วนประกอบกับภาพ เหตุการณ์จริ ง (SEMI- DOCUMENTARY) 5. นําเสนอโดยการเล่าเรื่ องแบบละครทังหมด ้ ไม่มีบคุ คล เหตุการณ์หรื อแม้ แต่สถานที่จริ งเลย DRAMA) แต่เรื่ องราว เหตุการณ์ และตัวบุคคลมีอยูจ่ ริ ง

28

(DOCU

5. รายการสนทนา (TALK) คือ รายการที่นําเสนอ ข้ อมูล ข่าวสาร ความรู้ ความคิดเห็นโดยการสนทนาของบุคคล ตังแต่ ้ สองบุคคลขึ ้นไป ซึง่ รายการสนทนานี ้แบ่งตามวัตถุประสงค์ของเนื ้อหาหรื อการสือ่ สารได้ 3 ประเภทคือ 5.1 PERSUASIVE TALK คือ รายการสนทนาที่มีวตั ถุประสงค์เพื่อการชักจูงใจให้ ผ้ ชู มเห็นคล้ อยตามใน แนวคิดหรื อความเชื่อย่างใดอย่างหนึง่ เช่น รายการสนทนาทางศาสนา การเมือง เป็ นต้ น 5.2 ENTERTAINING TALKอาจเป็ นรายการสนทนา ที่นําเสนอโดยบุคคลเดียวเล่าเรื่ องตลกกับผู้ชม (COMEDY MONOLOGUE) หรื อเป็ นการสัมภาษณ์กนั ระหว่างผู้ดําเนินรายการกับบุคคลที่มีชื่อเสียง เช่น ดารานักร้ อง ดารา นักแสดง เป็ นต้ น บางรายการอาจให้ ความสําคัญแก่แขกรับเชิญในรายการเป็ นหลัก เพื่อดึงดูดความสนใจของผู้ชม แต่บาง รายการหากผู้ดําเนินรายการมีชื่อเสียง หรื อมีความสามารถสูงเป็ นที่ชื่นชอบของผู้ชมอยูแ่ ล้ ว ก็อาจเน้ นที่ตวั ผู้ดําเนินรายการเป็ น หลักในการดึงดูดความสนใจของผู้ชม โดยที่การเชิญแขกรับเชิญเป็ นเพียงหัวข้ อในการสนทนาที่เปลีย่ นไปเรื่ อยๆ ในแต่ละครัง้ เช่น รายการ TONIGHT SHOW ซึง่ เน้ นที่ตวั ผู้ดําเนินรายการคือ JOHNY GARSOW เป็ นต้ น 5.3 INFORMATIVE TALK เป็ นรายการสนทนาที่เน้ นให้ ข้อมูลข่าวสาร หรื อความรู้แก่ผ้ ชู มเป็ นหลัก แบ่ง ออกเป็ น 5.3.1 THE OPINION INTERVIEW เป็ นรายการสนทนาที่ให้ ความคิดเห็นเกี่ยวกับการเมือง เศรษฐกิจ และสังคม โดยมีผ้ เู ชี่ยวชาญในแต่ละด้ านมาเป็ นแขกรับเชิญ หรื ออาจเป็ นประชาชนคนเดินดินธรรมดา ที่เป็ นตัวแทน ขอบคนส่วนใหญ่มาเป็ นผู้แสดงความคิดเห็นเกี่ยวกับประเด็นต่างๆ ที่ทกุ คนกําลังสนใจ หรื อมีผลกระทบต่อสังคมส่วนรวม ซึง่ ก็ คือวิธีการนําเสนอแบบ VOX – POP นัน่ เอง (VOICE OF POPULARITY) 5.3.2 THE FEATURE INTERVIEW เป็ นการสนทนาโดยการสัมภาษณ์ บุคคลธรรมดาๆ ไม่ได้ มี ชื่อเสียงเป็ นที่ร้ ูจกั ของประชาชนทัว่ ไป แต่เป็ นบุคคลที่ได้ เข้ าไปเกี่ยวข้ องกับเหตุการณ์ที่นา่ สนใจ หรื อผิดปกติวิสยั เช่น คนที่เพิ่ง หนีมาจากสงครามอิรัก – คูเวต เป็ นต้ น ส่วนใหญ่จะใช้ ประกอบข่าวทัว่ ๆ ไป (SOFT NEWS) 5.3.3 THE INFORMATIVE INTERVIEW เป็ นรายการสนทนาที่สมั ภาษณ์บคุ คลที่เกี่ยวข้ อง กับ ข่าวสาร ข้ อมูล ข้ อเท็จจริ ง ที่บคุ คลที่เกี่ยวข้ องหรื อรับผิดชอบอยู่ เช่น สัมภาษณ์หวั หน้ าโครงการมูลนิธิสายใจไทย เกี่ยวกับ ความเป็ นมาของโครงการ หรื อสัมภาษณ์ผ้ รู ้ ู ผู้เชี่ยวชาญเกี่ยวกับการผสมเทียม เป็ นต้ น 5.3.4 THE PANEL DISCUSSION คือ รายการสนทนาที่เน้ นการแสดงความคิดเห็นจากบุคคล หลายๆ บุคคลที่มีแนวความคิดหลากหลายแตกต่างกัน ในหัวข้ อใดหัวข้ อหนึง่ ที่กําหนดไว้ ในรายการ 5.3.5 THE AUDIENCE PARTICIPATION จะคล้ ายกับ PANEL DISCUSSION แต่มีผ้ ชู มเข้ า


ประเภทของรายการโทรทัศน |

29

ร่วมแสดงความคิดเห็นในรายการด้ วย และหัวใจในรายการจะเป็ นเนื ้อหาเรื่ องราวเฉพาะด้ าน เช่นการเงิน การแพทย์ นิเวศน์วิทยา หรื อปั ญหาทางเพศ เป็ นต้ น ผู้ที่จะมาเป็ นผู้ดําเนินรายการจะต้ องมีความรู้ความเชี่ยวชาญเฉพาะทาง เป็ นอย่างดี ในการเขียนบทรายการสนทนา ผู้เขียนไม่สามารถเขียนบทให้ ละเอียดได้ เพราะการนําเสนอรายการของผู้ดําเนิน รายการและแขกรับเชิญจะเป็ นแบบเปิ ดที่ไม่มีสคริ ปท์แน่นนอนตายตัว สรุปแล้ ว รายการสนทนา สามารถนําเสนอออกได้ 3 รูปแบบ คือ 1. STRAIGHT TALK เป็ นการสนทนาของผู้ดําเนินรายการเพียงคนเดียวกับผู้ชม เพื่อให้ ความรู้ความคิดเห็นต่างๆ รายการลักษณะนี ้จะเน้ นตัวผู้ดําเนินรายการมากกว่าหัวข้ อเรื่ อง เช่น รายการสนทนาของ ดร.เสรี วงศ์มณฑา เกี่ยวกับเรื่ องของ ความรักของวัยรุ่น หรื อ อาจจะเป็ นการเล่าเรื่ องตลกคนเดียว (STAND - UP COMEDY) เป็ นต้ น 2. INTERVIEWเป็ นการนําเสนอข้ อมูลข่าวสาร ความรู้ ความคิดเห็นในเรื่ องต่างๆ โดยเน้ นที่หวั เรื่ อง มากกว่าตัวบุคคล การเชิญบุคคลมาเป็ นเพียงเลือกให้ เหมาะสมกับหัวเรื่ องเท่านันหรื ้ ออาจจะเป็ นการนําเสนอความรู้ความสามารถและความเป็ นมา ของบุคคลที่นา่ สนใจหรื อมีชื่อเสียง เช่น ดารา นักแสดง นักร้ อง คือ เน้ นตัวบุคคลเป็ นหลัก แล้ วพยายามถามเรื่ องราวที่ เกี่ยวกับบุคคลที่เชิญมา 3. PANEL DISCUSSION เป็ นการนําเสนอความคิดเห็นที่หลากลายแตกต่างกันไปของบุคคลที่เชิญมาในสาขาต่างๆ เพื่อแสดงความคิดเห็นเกี่ยวกับหัวข้ อเรื่ องมากกว่าผู้ที่เชิญมา 6. รายการแข่ งขัน (COMPETITION) คือรายการที่เน้ นความตื่นเต้ นเร้ าใจ ชวนติดตามทําให้ ผ้ ชู มคล้ อยตามไปกับ รายการ โดยการแข่งขันในกิจกรรมต่างๆ ของบุคคลต่างๆ ที่เชิญมาร่วมในรายการ อาจจะเป็ นการเชิญบุคคลที่สมัครมาจากทาง บ้ าน เพื่อให้ ความรู้สกึ แก่ผ้ ชู มในการมีสว่ นร่วมในรายการหรื ออาจจะผสมกันคือ มีทงดาราและผู ั้ ้ ชมที่เชิญมาจากทางบ้ านซึง่ รายการแข่งขันนันหั ้ วใจสําคัญอยูท่ ี่วิธีการแข่งขันที่แปลกใหม่เร้ าใจชวนตื่นเต้ นตัวรางวัลอาจเป็ นเงินสด หรื อเป็ นสิง่ ของมีคา่ ราคาแพง รายการแข่งขันแบ่งออกเป็ น 2 ประเภท คือ 6.1 รายการเกมโชว์ (GAME SHOW) คือ การแข่งขันกันโดยวิธีเล่นเกม เช่นการเดาะลูกบอล หรื อต่อ ภาพ เป็ นต้ น แบบนี ้เหมาะกับกลุม่ เป้าหมายทีมีอายุน้อย หรื อการศึกษาน้ อย หรื อเหมาะกับกลุม่ ผู้ชมที่ไม่ต้องการคิดอะไรมาก ต้ องการเพียงความผ่อนคลาย สนุกสนาน เพลิดเพลินเท่านัน้ เทคนิคพิเศษของรายการเกมโชว์ที่ผ้ ผู ลิตรายการควรพิจารณา คือ ลักษณะการเล่นเกม อุปกรณ์การเล่มเกม วิธีการ เล่นเกม พิธีกร และผู้เข้ าร่วมแข่งขัน ทีมวางแผนผลิตรายการต้ องพิจารณาจุดเด่นของเกมโชว์อยูท่ ี่ไหน การเสีย่ ง การแสดง ความสามารถพิเศษ ความเร็ ว ความสวยงาม เป็ นต้ น ขันตอนก่ ้ อนการผลิต ต้ องเตรี ยมพิธีกรที่คล่องแคล่ว อาจจะต้ องมีตวั ตลกร่วมด้ วย ผู้ร่วมรายการจะใช้ วิธีให้ สมัครเข้ าไปในรายการ หรื อจะเชิญเข้ ามาร่วมรายการ กลุม่ อายุ การศึกษา ความสามารถพิเศษ จุดอะไรที่ผ้ ผู ลิตรายการต้ องการ บางรายการต้ องมีรูปถ่าย บางรายการต้ องสัมภาษณ์ด้วยเพราะผู้เข้ าร่วม รายการจะเป็ นตัวทําให้ รายการมีชีวิตชีวา ไม่แห้ งแล้ งสําหรับรูปแบบการเขียนบทนัน้ อาจใช้ บทกึ่งสมบูรณ์ หรื อบทประเภท รูปแบบ หรื อบทสมบูรณ์ ขึ ้นอยูก่ บั ความพร้ อมของรายการขันตอนระหว่ ้ างปฏิบตั ิการผลิต ทีมผู้กํากัลป์ และเจ้ าหน้ าที่ในห้ องส่ง จะดําเนินการตามบทที่วางไว้ แล้ วแต่ผ้ กู ํากับจะเห็นสมควร ถ้ าผิดพลาดจะบันทึกใหม่ ขันตอนต่ ้ อมา คือ การตัดต่อ ผู้กํากับ รายการและเจ้ าหน้ าที่ตดั ต่อจะช่วยกันเพื่อให้ รายการออกมาสมบูรณ์ที่สดุ ที่สาํ คัญจะต้ องหาจุดที่ใช้ เป็ นจุดเด่นในรายการ ต้ อง ทราบตังแต่ ้ ก่อนเขียนบทแล้ วว่ากลุม่ เป้าหมายและผู้ร่วมรายการเป็ นกลุม่ ใด ควรเลือกให้ เหมาะสมกับวิธีการเล่นและอุปกรณ์การ เล่นเกมโชว์


ประเภทของรายการโทรทัศน |

30

6.2 รายการตอบปั ญหา (QUIZ) คือรายการที่มีการแข่งขันถามตอบปั ญหา เหมาะกับกลุม่ เป้าหมาย ที่มี การศึกษาหรื อมีอายุพอสมควร เทคนิคพิเศษที่ทางผู้ผลิตรายการและทีมงานผลิตรายการประเภทแข่งขันตอบปั ญหาควรคํานึงถึงจุดพิเศษ ที่ทําให้ รายการตอบปั ญหานันมี ้ ความโดดเด่น มีความแปลกกว่ารายการอื่น ทังด้ ้ านการออกแบบเวที กติกา วิธีการแข่งขัน บุคลิกของ พิธีกร ชื่อรายการ คําถามที่จะใช้ ในรายการ รางวัลที่มอบให้ และผู้เข้ าร่วมรายการ เป็ นต้ น ในกรณีที่เป็ นรายการแข่งขันตอบ ปั ญหาทางภาษาอังกฤษ ผู้ผลิตรายการควรกําหนดวัตถุประสงค์ของรายการให้ แน่นอนว่าจะเป็ นรายการที่ให้ ความรู้ในเรื่ องอะไร แก่ใคร กติกาเป็ นอย่างไร พิธีกรควรจะมี 2 คน หรื อ 3 คน และควรเป็ นใคร พิธีกรสมัครเล่นหรื อพิธีกรระดับอาชีพ ทังนี ้ ้ขึ ้นอยู่ กับการวางตําแหน่งภาพลักษณ์ของรายการและงบประมาณการผลิต เมื่อได้ รายละเอียดดังกล่าวครบถ้ วนแล้ ว ควรมีการทดสอบ คําถามกับกลุม่ ของผู้ที่จะมาตอบคําถาม (PRE-TEST) เพื่อดูวา่ คําถามนันยากง่ ้ ายเหมาะสมกับผู้แข่งขันหรื อไม่ กติกาที่กําหนด นันมี ้ ความยุง่ ยากซับซ้ อนหรื อเข้ าใจได้ ง่าย เมื่อมีการทดสอบแล้ วควรพิจารณาว่าจะปรับปรุงในส่วนอื่นๆเพิ่มเติมหรื อไม่ ขณะเดียวกันควรมีการซ้ อมฉาก ซ้ อมพิธีกร และเตรี ยมกลุม่ ผู้ร่วมรายการไปด้ วย และเพื่อให้ ผ้ ชู มรายการมีความสนุกกับรายการ มีอารมณ์ร่วมและลุ้นกับรายการอย่างต่อเนื่องตังแต่ ้ ต้นจนจบรายการ 7. รายการละคร (DRAMATIC PROGRAMS) เป็ นรายการที่สะท้ อน หรื อจําลองเหตุการณ์ ที่เกิดขึ ้นจริ งหรื อเกิดขึ ้น มาแล้ วของมนุษย์เพื่อสอนใจหรื อเป็ นอุธาหรณ์แก่ผ้ ชู มให้ เข้ าใจชีวิตสังคมและโลก โดยการกําหนดแนวเรื่ อง โครงเรื่ อง เหตุการณ์ สถานที่ ตังละคร การแสดง และบทสนทนา ให้ มีความชัดแย้ ง หรื อการเผชิญกับปั ญหา เพื่อดึงดูดความสนใจให้ ผ้ ชู มติดตาม จนมีอารมณ์ร่วมคล้ อยตาม และมีอารมณ์ตื่นเต้ น ตึงเครี ยดมากขึ ้นเรื่ อยๆ จนถึงจุดตื่นเต้ นสูงสุด แล้ วคลีค่ ลายปั ญหา หรื อ ความขัดแย้ ง ไปในทางที่สร้ างความพึงพอใจแก่ผ้ ชู มในที่สดุ ดังนันในการเขี ้ ยนบทละครจึงต้ องมีองค์ประกอบต่อไปนี ้ 7.1 ตัวละคร คือ ตัวแทนของผู้ชมที่เผชิญกับปั ญหา หรื อ ความขัดแย้ ง ซึง่ จะต้ องนําเสนอให้ ดเู หมือนเป็ น มนุษย์จริ งๆ ที่มีอยูใ่ นโลกนี ้ มีบคุ ลิก ลักษณะนิสยั เฉพาะตัว ซึง่ จะส่งผลให้ เรื่ องดําเนินไปหรื อเปลีย่ นแปลงไปอย่าง น่าเชื่อถือและในทางกลับกันตัวละครก็อาจมีพฒ ั นาการเปลีย่ นพฤติกรรมไปตามสถานการณ์แวดล้ อมที่เปลีย่ นแปลงไป ตามเวลาได้ ด้วยเช่นกัน 7.2 สถานที่ คือที่ๆเกิดเหตุการณ์ เพื่อให้ ผ้ ชู มได้ รับรู้โลกแห่งความเป็ นจริ งว่า เป็ นที่ไหน ซึง่ จะต้ องสะท้ อน ความเป็ นไปได้ ของการเกิดเหตุการณ์ หรื อ การกระทํา ความขัดแย้ ง ระหว่างตัวละครได้ อย่างสมจริ ง 7.3 เหตุการณ์ ที่เป็ นเรื่ องราวของความขัดแย้ ง หรื อปั ญหาของตัวละครต่างๆ ตังแต่ ้ สาเหตุและผลของ เหตุการณ์นนั ้ ที่จะส่งผลให้ เรื่ องดําเนินไปได้ ตงแต่ ั ้ ต้นจนจบ จากจุดก่อตัวปั ญหา หรื อ ความขัดแย้ งจนสูค่ วามขัดแย้ ง ที่สร้ างความตื่นเต้ น เอาใจช่วยของคนดูสงู สุด แล้ วคลีค่ ลาย แสดงผลสุดท้ ายในที่สดุ 7.4 บทสนทนา ละครจะต้ องมีการพูดคุยสนทนาระหว่างตัวละคร ประกอบเหตุการณ์ หรื อการกระทําให้ ดู เหมือนชีวิตจริ ง สามารถสะท้ อนบุคคลตัวละคร บอกยุคสมัย และใช้ ดําเนินเรื่ อง 7.5 ความขัดแย้ ง ซึง่ เป็ นหัวใจหลักของละครที่จะทําให้ ละคร สร้ างความน่าในใจชวนติดตามอาจเป็ นเรื่ อง การขัดแย้ งระหว่างมนุษย์กบั มนุษย์ หรื อมนุษย์กบั สิง่ แวดล้ อม หรื อมนุษย์กบั แนวคิดใดแนวคิดหนึง่


ประเภทของรายการโทรทัศน |

31

จากองค์ประกอบเหล่านี ้นํามาเป็ นตัวแทนในการถ่ายทอดเรื่ องราว ซึง่ ได้ กําหนดไว้ โดยผู้เขียนบทคือ 1. แนวคิดเรื่อง (THEME) หมายถึงสาระสําคัญของเรื่ อง คือ สิง่ ที่ผ้ สู ร้ างต้ องการจะเสนอแก่ผ้ ชู ม บางครัง้ จะไม่ แสดงชัดเจนให้ ผ้ ชู มทราบ แต่มกั จะซ่อนไว้ ในบทสนทนาบ้ าง ในลักษณะท่าทางการแสดงออกของตัวละครบ้ าง แก่นของเรื่ อง ที่ ปรากฏอยูเ่ สมอทางละครโทรทัศน์ ได้ แก่ - ความรัก อาจเป็ นความรักในอุดมคติ รักข้ ามแดน รักต่างวัย ความรักของชายหนุม่ หญิงสาว ความรักในครอบครัว ความรักชาติ เป็ นต้ น - การผจญภัย อาจเป็ นการผจญต่อเหตุร้ายในชีวิต ผจญภัยในป่ า แนวคิดเกี่ยวกับการผจญภัย จะบทพิสจู น์ความ กล้ าหาญ ความเด็ดเดี่ยวของตัวละคร - ชนชัน้ ในสังคม สังคมสลัม สังคมชันสู ้ ง เป็ นเรื่ องราวที่มีความแตกต่างกันอย่างรุนแรง สังคมวัยรุ่น สังคมนักธุรกิจ สังคมนายทุน สังคมกรรมกรหาเช้ ากินคํ่า - ความทรนง ความไว้ ตวั รักเกียรติ ไม่ยอมก้ มหัวให้ ใคร การต่อสู้เพื่อเผ่าพันธุ์ การต่อสู้เพื่อวงศ์ตระกุลและศักดิ์ศรี - ความมักใหญ่ ใฝ่ สูง ความทะเยอทะยาน ความโลภมาก การต่อสู้ฟาดฟั นเพื่อให้ ได้ มาในลาภยศ - ความอาฆาตพยาบาท ความริ ษยา ความเจ็บแค้ น การต่อสู้เพื่อล้ างแค้ น - ความอดทน ความบากบัน่ อุตสาหะ การต่อสู้เพื่อล้ างแค้ น นอกจากที่กล่าวไปแล้ วนัน้ แก่นของเรื่ องอาจเป็ นเรื่ องลี ้ลับ เรื่ องประหลาดมหัศจรรย์ หรื อความฝั นเฟื่ องต่างๆ เป็ นต้ น อย่างไรก็ตาม แก่นของเรื่ องของละครโทรทัศน์นนจะเป็ ั้ นส่วนที่ให้ สาระสําคัญแก่ผ้ ชู มซึง่ อาจกล่าวได้ วา่ เมื่อผู้ชมละคร เรื่ องนันจบลง ้ ย่อมได้ แง่คิดอะไรจากละครเรื่ องนันบ้ ้ าง 2. โครงเรื่อง (PLOT) โครงเรื่ องของรายการละคร เมื่อจะเริ่มเขียนบทละครโทรทัศน์นั้น ผู้เขียน บทละครโทรทัศน์ต้องเข้าใจหลักพื้นฐานของคําว่า “เนื้อเรื่อง (Story)” กับ “โครงเรื่อง (Plot)” ก่อน โดยสามารถยกตัวอย่างเพื่อให้เกิดความเข้าใจได้ด้วยประโยคต่อไปนี้ “จะเด็ดถูกขับไล่ออกจากพระราชวังเมืองตองอู และตละแม่จันทราโศกเศร้าเสียใจ” จากเหตุการณ์นี้ ถือว่าเป็น “เนื้อเรื่อง (Story)” “จะเด็ดถูกขับไล่ออกจากพระราชวังเมืองตองอู และตละแม่จันทราโศกเศร้าเสียใจ เพราะถูกกีดกันความรักจากพระราชบิดา” จากเหตุการณ์นี้ ถือว่าเป็น “โครงเรื่อง (Plot)” จะพบว่าทั้งสองเหตุการณ์มีความแตกต่าง กัน เพราะความเป็น “เนื้อเรื่อง ”ในเหตุการณ์แรกก็แค่บอกว่าเกิดอะไรขึ้น กับตัวละครบ้าง แต่ สําหรับ “โครงเรื่อง ” ในเหตุการณ์ที่สอง บอกว่าเกิดอะไรขึ้นกับจะเด็ดและตละแม่จันทรา และการกีดกัน ของพระราชบิดาเป็นสาเหตุที่ทําให้เกิดเหตุการณ์นี้ขึ้น


ประเภทของรายการโทรทัศน |

32

ดังนั้นโครงเรื่องจึงประกอบด้วย 1. การลําดับสาเหตุที่เหตุการณ์ต่างๆ เกิดขึ้นในเรื่อง ซึ่งเมื่อรวมเหตุการณ์เหล่านี้ทั้งหมดแล้วสามารถนํามาสู่ข้อยุติหรือข้อสรุปได้และเป็นอันจบเรื่อง 2. ลําดับของเหตุการณ์ซึ่งผูกและรวมกันเป็นปมของความขัดแย้ง 3. โครงเรื่องจะเกี่ยวข้องกับการมีเหตุและผลต่อกัน ส่วนประกอบของโครงเรื่อง 1. การเปิดเรื่อง (Opening Scene) คือจุดเริ่มต้นของเรื่องซึ่งถือว่าเป็นตอนสําคัญที่จะถึงดูดความสนใจของผู้ชมละครโทรทัศน์ให้ติดตามเรื่องราวต่อไป ในละครโทรทัศน์ไทยโดยทั่วไปนิเยมเปิดเรื่องหลายวิธี เช่น 1.1. เปิดเรื่องโดยการบรรยาย การเปิดเรื่องแบบนี้มักเป็นการเริ่มต้นเล่าเรื่องอย่างเรียบๆ แล้วค่อยๆ ทวีความเข้มข้น ของเรื่องขึ้นเป็นลําดับ อาจเป็นการบรรยายฉาก บรรยายตัวละคร หรือเหตุการณ์อย่างใดอย่างหนึ่งก็ได้ 1.2. เปิดเรื่องโดยการพรรณนา การเปิดเรื่องวิธีนี้อาจเป็นการพรรณนาฉาก พรรณนาตัวละครหรือพรรณนาเหตุการณ์อย่างใดอย่างหนึ่งก็ได้ คล้ายกับวิธีการบรรยาย เพียงแต่เน้นที่ จะสร้างภาพเพื่อปูพื้นอารมณ์ให้ผู้ชมเกิดความรู้สึกคล้อยตามเป็นพิเศษ 1.3. เปิดเรื่องโดยใช้นาฏการหรือการกระทําของตัวละคร เป็นการเปิดเรื่องที่ก่อให้เกิดความสนใจโดยเร็ว การเปิดเรื่องวิธีนี้สามารถทําให้ผู้ชมกระหายที่จะติดตามเรื่องราวต่อไปได้มากเป็นพิเศษ 1.4. เปิดเรื่องโดยใช้บทสนทนา การเปิดเรื่องแบบนี้สามารถเรียกร้องความสนใจของผู้ชมละครได้ดีวิธีหนึ่งถ้าถ้อยคําที่นํามาเริ่มต้นนั้นเร้าใจ หรือกระทบใจผู้ชมทันที แต่ก็ต้องพยายามเชื่อมโยงบทสนทนานั้นให้เกี่ยวพันกับเรื่องต่อไปให้ แนบเนียน 1.5. เปิดเรื่องโดยใช้สุภาษิต บทกวี เพลง เปิดเรื่องโดยใช้ข้อความที่คมคายชวนคิด ชวนให้ฉงนสนเท่ห์น่าติดตาม 2. การดําเนินเรื่อง (Narrative) นอกจากโครงเรื่องจะประกอบไปด้วยการเปิดเรื่องในตอนต้นแล้ว การดําเนินเรื่องซึ่งเป็นตอนกลางของเรื่อง ก็มีความสําคัญอยู่มากเช่นเดียวกัน เพราะผู้เขียนทละครโทรทัศน์จะต้องดึงความสนใจของผู้ชมละครให้ติดตาม เรื่องอย่ างจดจ่ออยู่เสมอ ดังนั้นจึงต้องสร้างความขัดแย้ง (Conflict) ที่เร้าใจ แล้วคลี่คลายความขัดแย้งเหล่านั้น อย่างแนบเนียนไปจนถึงเป้าหมายสุดยอดในตอนปิดเรื่อง รวมทั้งต้องอาศัยกลวิธีเล่าเรื่องที่เหมาะสมประกอบด้วย 2.1. ความขัดแย้ง (Conflict) ในทุกตัวละครหลักของละครโทรทัศ น์ล้วนต้องมีความขัดแย้ง หรืออุปสรรคที่คอยขัดขวาง หน่วงเหนี่ยว ไม่ให้ตัวละครสามารถทําตามที่มุ่งปรารถนาได้สําเร็จ ดังนั้นตัวละครต้องพยายามทําลายกําแพงก้าวข้าม อุปสรรคเหล่านั้นออกไปให้ได้ เพื่อสามารถทําตามที่ตัวละครต้องการได้ (Need) โดยแบ่งความขัดแย้งออกได้เป็น 3 ประการ คือ 2.1.1. มนุษย์กับมนุษย์ หมายถึงความขัดแย้งที่เกิดขึ้นระหว่างตัวละครกับตัวละคร ซึ่งอาจเป็นตัวละครเอกกับตัวละครรอง เช่น ความขัดแย้งระหว่างขุนแผนกับขุนช้าง หรือความขัดแย้งของตัวละครกับคนรัก เพื่อ พ่อ แม่ พี่ น้อง เป็นต้น


ประเภทของรายการโทรทัศน |

33

2.1.2. มนุษย์กับตัวเอง เป็นความขัดแย้งของตั วละครกับตัวเอง อาจเป็นความขัดแย้งทางกายภาพ เช่น ความพิการหรือเป็น ความขัดแย้งที่เกิดขึ้นในจิตใจและความรู้สึกของตัวเอง เช่น หากตัวละครไปเข้าห้องนํ้าแล้วเจอกระเป๋าเงิน ของคนอื่นวางทิ้งไว้ สิ่งแรกที่ตัวละครคิดคือ อากได้เงินในกระเป๋ามาก แต่แล้วก็มีอีกความคิดเ ข้ามาขัดแย้ง ว่าการเอาของผู้อื่นที่ไม่ใช่ของตัวเองนั้นถือว่าบาป และคนอื่นก็จะเดือดร้อนจากการกระทําของเราเอง เป็นตัน จากตัวอย่างจะพบว่า ตัวละครพบความขัดแย้งทางความคิดของตัวเองขึ้นมาพร้อมๆ กัน จึงต้องตรองให้ดี ว่าจะกระทําอย่างไรต่อไป 2.1.3. มนุษย์กับสิ่งอื่นๆ เป็นควา มขัดแย้งของตัวละครกับสิ่งอื่นรอบตัว เหตุการณ์ต่างๆ ที่เกิดขึ้น หรือจากภัยธรรมชาติต่างๆ เช่น วาตภัย อุทกภัย มหันตภัย เป็นต้น หรือเป็นความขัดแย้งกับสังคมที่อยู่บนความแตกต่าง ถูกสังคมรังเกียจ หรือไม่ได้รับการเชื่อถือ เป็นต้น 2.2. กลวิธีเกี่ยวกับการดําเนินเรื่อง 2.2.1. การเล่าเรื่องตามปฏิทิน (Chronological Order) คือ การเล่าเรื่องไปตามลําดับเวลา ก่อนหลังของ เหตุการณ์ที่เกิดขึ้น เช่น ละครโทรทัศน์เรื่อง “เมียแต่ง” (2555) เป็นต้น 2.2.2. เล่าเรื่องย้อนต้น (Flashback) คือ การดําเนินเรื่องที่เล่าย้อนสลับกันไปมาระหว่างอดีตกับปัจจุบัน ดังนั้ นเรื่องจึงอาจเริ่มต้นที่ตอนใดก็ได้ เช่น ละครโทรทัศน์เรื่อง “นางมาร” (2556) ที่เล่าเรื่องสลับไปมา ระหว่างภาพอดีตในสมัยรัชกาลที่ 2 กับเหตุการณ์ในยุคปัจจุบัน เป็นต้น 2.2.3. เล่าเหตุการณ์เกิดต่างสถานที่สลับกันไปมา แต่เรื่องยังคงต่อเนื่องกันไปตลอด เช่น ในละครโทรทัศน์ เรื่อง “แรงเงา” (2555) เป็นการตัดสลับระหว่างสองเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในเวลาเดียวกัน มุตตากําลังเดินในกระทรวงตัดสลับกับเหตุการณ์ที่นพนภากําลังเดินทางในรถเพื่อมาหาเรื่องมุตตาที่กระทรวง เป็นต้น 2.2.4. เล่าตอนกลางก่อนแล้วย้อนมาตอนต้นเรื่อง คือ จัดเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นตอน กลางของเรื่องมาก่อนแล้ว จึงเล่าเรื่องตอนต้นมาบรรจบกันก่อนที่จะดําเนินเรื่องไปสู่ตอนจบ 3. การปิดเรื่อง (Ending) 3.1. ปิดเรื่องแบบหักมุมหรือพลิกความคาดหมายของผู้ชม (Surprise Ending หรือ Twist Ending) การปิดเรื่อง แบบนี้เป็นการทําให้ผู้ชมละครคาดไม่ถึง ไม่ควรให้ผู้ชมระ แคะระคายตั้งแต่ต้นเรื่องหรือกลางเรื่อง เพราะจะ ทําให้เรื่องขาดความน่าสนใจ ส่วนมากมักปรากฎอยู่ในละครโทรทัศน์ประเภทลึกลับซ่อนเงื่อน 3.2. ปิดเรื่องแบบโศกนาฏกรรม (Tragic Ending) คือ การจบเรื่องด้วยความตาย ความผิดหวัง การสูญเสีย หรือ ความล้มเหลวในชีวิต เช่น ในละครโทร ทัศน์เรื่อง “คู่กรรม” (2556) แม้พระเอกคือโกโบริจะตายตอนจบ แต่ผู้ประพันธ์ อย่างทมยันตีและผู้เขียนบทละครก็ได้ให้โกโบริกับอังศุมาลิน ได้มีโอกาสเปิดเผยความรัก ซึ่งกันและกันที่ต่างคนต่างไม่ยอมกล่าวในตอนดําเนินเรื่อง ดังนั้นเรื่องจึงประทับใจ ผู้ชมละครอย่างมากเพราะตัวละครทั้งสองเข้าใจกันดีแล้ว เป็นต้น


ประเภทของรายการโทรทัศน |

34

3.3. ปิดเรื่องแบบสุขนาฏกรรม (Happy Ending) คือ การจบเรื่องด้วยความสุขหรือความสําเร็จของตัวละคร การปิดเรื่องแบบนี้มีผู้เขียนบทละครโทรทัศน์นิยมใช้กันทั่วไป เช่น ละครโทรทัศน์เรื่อง “คุณชายรัชชานนท์ ” (2556) ทั้งคุณชายรัชชานนท์แ ละสร้อยฟ้า สุดท้ายก็ร่วมกันพิสูจน์ตัวเองและความรักที่มีต่อกัน จนชนะอุปสรรคหัวใจอย่างหม่อมเอียด และคุณย่าอ่อนได้สําเร็จ เป็นต้น 3.4. ปิดเรื่องแบบสมจริงในชีวิต (Realistic Ending) คือการจบเรื่องแบบท้ิงปัญหาไว้ให้ผู้ชมละครโทรทัศน์คิดหา คําตอบเอาเอง เพราะในชีวิตจริงมี ปัญหาหลายอย่างที่ไม่สามารถแก้ปัญหาหรือหาคําตอบให้แก่ปัญหานั้นได้ เช่น ในละครโทรทัศน์เรื่อง “ดอกส้มสีทอง ” (2554) ที่ท้ายสุดเรยาเองก็ต้องถูกทอดทิ้งทรุดตัวอยู่กับพื้น อย่างโดดเดี่ยวเดียวดายในห้องนอน โดยไม่รู้ว่าต่อไปตัวละครจะทําเช่นไรกับชีวิตที่เหลืออยู่ของเธอเ อง เป็นต้น การดําเนินเรื่ องที่ดีควรมีขนตอนในการวางแนวของเรื ั้ ่ องให้ มีความคืบหน้ าที่นา่ ติดตามอยูต่ ลอดเวลา ซึง่ ลําดับในการ ดําเนินเรื่ องมีดงั นี ้ 1) การเริ่ มเรื่ องหรื อจุดเริ่ มเรื่ อง (EXPOSITION) 2) การขัดแย้ ง การเกิด และการขยายตัวของปั ญหา (TURNING POINT AND FALLING ACTION) 3) การถึงจุดสุดยอดของปั ญหา หรื อความขัดแย้ ง (CLIMAX) 3.1 จุดวกกลับ หรื อจุดหักมุมสูจ่ ดุ อวสาน 3.2 การคลีค่ ลายปั ญหา หรื อความขัดแย้ งสูจ่ ดุ อวสาน โครงสร้ างของละครโทรทัศน์ ในลักษณะทั่วไปของละครโทรทัศน์มีลําดับของความเข้มข้นของเรื่องดังนี้ สาระสําคัญของเรื่อง (Theme) หรือหลักสมมุติฐานเรื่อง (Premise) หรือการเปิดเรื่อง (Exposition) การแสดงที่เข้มข้น (Rising Action) การตัดสินใจ หรือจุดวิกฤต (Crises) จุดสูงสุดทางอารมณ์ (Climax) จุดคลายปม (Falling Action) จุดคลี่คลายเรื่อง (Resolution)

ภาพแสดงโครงสร้างของละครโทรทัศน์


ประเภทของรายการโทรทัศน |

1. 2.

3.

4. 5.

35

โดยสามารถอธิบายความหมายดังกล่าวได้ดังนี้ บทเปิดเรื่อง (Exposition) คือ บทนําเรื่องที่ผู้แต่งจะปูพื้นฐานให้ข้อมูลเกี่ยวกับตัวละคร เหตุการณ์ เวลา และสถานที่ การผูกปม (Complication) และการขมวดปม (Rising Action) คือ เรื่องราวที่เกิดขึ้นหลังบทเปิดเรื่อง ปัญหาและความขัดแย้งของโครงเรื่องจะค่อยๆ ปรากฏออกมาให้เห็นอย่างเด่นชัด และทวีความเข้มข้นขึ้นเรื่อยๆ จนกระทั่งถึงจุดหักเหของเรื่อง จุดวิกฤต (Crisis) เป็นส่วนหนึ่งของการขมวดปม ความตึงเครียดของเรื่องสามารถเกิดขึ้นได้หล ายครั้ง ฉะนั้น จุดวิกฤตจึงเกิดขึ้นได้มากกว่าหนึ่งครั้ง แต่เมื่อเรื่องดําเนินมาถึง ความตึงเครียดที่สุดของเรื่องจนเกิดการหักเห เป็นครั้งสุดท้ายก่อนเรื่องจะจบลง ซึ่งนับเป็นจุดสูงสุดของเรื่อง และเป็นจุดสุดท้ายของช่วงการขมวดปม การแก้ปม (Falling Action) คือตอนที่ เรื่องค่อยๆ ลดความตึงเครียดลง ซึ่งจะนําไปสู่ความคลี่คลาย ของปมปัญหาและความขัดแย้งต่างๆ ในที่สุด การคลี่คลายเรื่อง (Resolution หรือ Denouement) คือ การคลี่คลายปัญหาและความขัดแย้ง เป็นตอนจบ หรือตอนสุดท้ายของเรื่อง ทําให้เรื่องจบได้อย่างสมบูรณ์แบบ อย่างไรก็ตาม ไม่ได้หมายความว่าจะสามารถวิเคราะห์ แยกแยะโครงเรื่องได้ครบตามขั้นตอนทั้ง 5 ขั้นได้เสมอไป ทั้งนี้ขึ้นอยู่กับผู้แต่งที่อาจตัดหรือรวบบางขั้นตอนเข้าไว้ด้วยกัน เช่น อาจจะรวม บทเปิดเรื่องกับการผู้ปมเข้าด้วยกัน เป็นต้น

ภาพแสดงโครงสร้างเรื่องในละครโทรทัศน์


ประเภทของรายการโทรทัศน |

36

ภาพแสดงโครงสร้างละครโทรทัศน์ 3 องก์ การสร้ างตัวละครของละครโทรทัศน์ การสร้ างตัวละครของละครโทรทัศน์นนั ้ มีลกั ษณะเช่นเดียวกับการสร้ างตัวละครในนิยายทัว่ ๆ ไป การสร้ างตัวละครไม่ ว่าจะเป็ นตัวละครหลัก (MAIN CHARACTER) หรื อตัวละครรอง (SUB ORDINATOR หรื อ MINOR CHARACTER) นันได้ ้ เปลีย่ นแปลงไปตามความนิยม แต่ความนิยมในการสร้ างตัวละครต่างๆ นัน้ ก็ไม่พนั ลักษณะตัวละครดังต่อไปนี ้ 1. ตัวละครชนิดถอดแบบ (STEREO TYPE) เป็ นการสร้ างตัวละครให้ มีลกั ษณะท่าทาง การแสดงออกเหมือนความจริ ง เหมือนต้ นแบบทุกประการ เน้ นการสร้ างตัวละครที่ทําให้ ผ้ ชู มเกิดความรู้สกึ ว่าเป็ นบุคคลจริ งๆ ที่มีอยู่ ไม่ใช่ตวั ละครที่สมมติขึ ้น 2. ตัวละครที่สะสมลักษณะตามธรรมเนียมนิยม (STOCK CHARACTER) ได้ แก่ ตัวละครที่สร้ างสมมานาน เมื่อนึง่ จะ ให้ เกิดมีลกั ษณะตัวละครแบบใดก็ดงึ ออกมาใช้ ได้ ทนั ที เช่น ถ้ าเป็ นนางเอกจะต้ องเป็ นกุลสตรี เรี ยบร้ อย นุม่ นิ่ม ขี ้อาย ถ้ าเป็ น ผู้ร้ายต้ องดุดนั โหดเหี ้ยม ถ้ าเป็ นพระเอก ต้ องรูปหล่อ กล้ าหาญ มีมดั กล้ าม ลักษณะแบบนี ้เป็ นธรรมเนียมที่นิยมมากันแต่ โบราณมีลกั ษณะเป็ นสัญลักษณ์ที่เป็ นสากล และยึดถือสืบต่อกันมา 3. ตัวละครแบบสัญลักษณ์หรื อเป็ นการเปรี ยบเทียบ (SYMBOLICAL CHARACTER) หรื อ ( ALLEGORICAL CHARACTER) เป็ นการสร้ างตัวละครโดยสร้ างตัวแทนขึ ้นให้ ตวั ละครในเรื่ องเชื่อมโยงกับบุคคลจริ งๆของเรื่ อง เช่น สร้ างให้ พระ เพลิงเป็ นสัญลักษณ์ของความร้ อนแรง ยมบาลเป็ นสัญลักษณ์ของความตาย สีขาวเป็ นสัญลักษณ์ของผู้บริ สทุ ธิ์ หรื ออานสร้ างให้ สิงห์โตและเสือเป็ นตัวละครเปรี ยบเทียบกับความดุร้ายให้ แมวหรื อสุนขั เป็ นตัวละครที่เชื่องรู้ภาษา ซึง่ สัตย์ เป็ นต้ น 4. ตัวละครแบบไม่หยุดนิ่งอยูก่ บั ที่ (DYNAMIC CHARACTER) หรื อตัวละครแบบมิติสมบูรณ์ (FULLDIMENSIONAL CHARACTER) เป็ นการสร้ างตัวละครที่พฒ ั นาไปตามเหตุการณ์กบั ที่ ไม่ใช่วา่ เริ่ มต้ นเป็ นคนดีแล้ วจะต้ องเป็ น คนดีเสมอไปตลอดเรื่ อง หรื อเริ่ มต้ นร้ ายแล้ วจะต้ องร้ ายไปตลอด ลักษณะตัวละคนแบบนี ้จะไม่หยุดนิ่งอยูก่ บั ที่ จะเปลีย่ นแปลงไป เรื่ อยๆ ตลอดเวลา มีความเป็ นมนุษย์ปถุ ชุ นในทุกแง่ทกุ มุมอย่างสมบูรณ์แบบ มีทงส่ ั ้ วนดีและส่วนเลวอยูใ่ นตัวบางครัง้ เคยดีก็ เปลีย่ นเป็ นเลวได้ เช่นลักษณะตัวละครของละครโทรทัศน์เรื่ องคําพิพากษา ของชาติ กอบจิตติ ตัวละครหลัก “ฟั ก” ซึง่ เดิมเป็ น คนดี แต่ตอ่ มามีเหตุการณ์มาบีบคันทํ ้ าให้ “ฟั ก” เปลีย่ นบุคลิกลักษณะจากคนดีกลายเป็ นคนขี ้เมาในที่สดุ


ประเภทของรายการโทรทัศน |

37

5. ตัวละครแบบคงที่ (STATIC CHARACTER) เป็ นการสร้ างตัวละครที่ตรงข้ ามกับแบบที่ 4 แบบนี ้จะมีลกั ษณะไม่ เป็ นไปตามธรรมชาติ จะไม่เปลีย่ นแปลงไปตามกาลเวลาและเหตุการณ์ แห่งความเป็ นจริ งของปุถชุ นธรรมดาที่ควรจะเป็ น หากแต่วา่ ไม่วา่ จะมีเหตุการณ์ใดๆ เกิดขึ ้นตัวละครนันก็ ้ ยงั คนมีนิสยั ใจคอและพฤติกรรมคงที่ไม่เปลีย่ นแปลง เช่น ลักษณะคงที่ ตลอดกาลของ “จเด็ด” จากเรื่ องผู้ชนะสิบทิศของยาขอบ ที่มีความเจ้ าชู้ไม่เปลีย่ นแปลง หรื อลักษณะคงที่ของ พล นิกร กิมหงวน ของ ป. อินทรปาลิต ตังแต่ ้ ต้นจนจบ เริ่ มต้ นอย่างไร แม้ เวลาจะล่วงเลย หรื อเหตุการณ์เปลีย่ นแปลงไปอย่างไร ช่วง ท้ ายก็คงเป็ นเช่นนันไม่ ้ เปลีย่ นแปลง เป็ นต้ น การเขียนบทละครสําหรับโทรทัศน์ สามารถเขียนได้ 2 ประเภท คือ 1. SERIES คือ ละครชุดจบในตัว หรื อจบในตอนของการนําเสนอในแต่ละครัง้ แต่การนําเสนอละครในแต่ละครัง้ แต่ ละครยังคงใช้ ตวั ละครหลักเป็ นตัวดําเนินเรื่ องในทุกตอน ซึง่ อาจจะเป็ นแบบ SOAP OPERA คือละครชีวิต หรื อละครแบบ สถานการณ์ (ACTION DRAMA) 2. SERIALS คือ ละครเรื่ องยาวต่อเนื่องกันไป อาจมี 40 ตอนจบ หรื อ 200 ตอนจบ การนําเสนอแต่ละตอนจะ ต่อเนื่องกัน ตัวละครแต่ละตัวมีความเกี่ยวข้ องกัน และอาจมีจดุ สุดยอดของเรื่ องราวหลายครัง้ ละครประเภทนี ้ ได้ แก่ ละครหลัง ข่าวของสถานีโทรทัศน์ของประเทศไทยหลายสถานี 3. MINI SERIES คือ ละครสันที ้ ่มีไม่กี่ตอนจบ อาจนําเสนอ 10 ตอนจบ มีการดําเนินเรื่ องราวต่อเนื่องกันไป ตัวละ คนมีความเกี่ยวข้ องกัน เหมือนละครเรื่ องยาว แต่เป็ นการนําเสนอเพียงไม่กี่ตอนในแต่ละเรื่ อง 8.รายการภาพเพลง (MUSIC VIDEO) รายการมิวสิควิดีโอ คือการนําเสนอภาพเพื่อการสือ่ ความหมาย ถ่ายทอดบรรยากาศ และอารมณ์ของเพลงหรื อดนตรี เพิ่มเติมในส่วนที่เพลงหรื อดนตรี ให้ ได้ ไม่ครบถ้ วน สรุปคือการนําเสนอภาพเพลงนี ้มีจดุ ประสงค์เพื่อให้ ผ้ ชู มได้ เข้ าใจซาบซึ ้ง ประทับใจ และคล้ อยตามไปกับเพลงหรื อดนตรี นนๆ ั ้ ซึง่ การนําเสนอ MUSIC VIDEO นี ้สามารถใช้ เทคนิคในการเล่นเรื่ องได้ หลากหลาย แล้ วแต่ความเหมาะสม ได้ แก่ 8.1 ใช้ วิธีการนําเสนอแบบข่าวหรื อสารคดี 8.2 ใช้ วิธีการเล่าเรื่ องแบบละคร 8.3 ใช้ วิธี MONTAGE คือ นําภาพตัวแทนสัญลักษณ์ตา่ งๆ ที่ไม่เกี่ยวข้ องต่อเนื่องกันโดยตรงมาผสมผสานกัน เพื่อเสนอหรื อสือ่ แนวคิดของเพลง 8.4 ใช้ ศิลปิ น ที่ร้องเพลงนัน้ เป็ นตัวนําเสนอ โดยการร้ องเพลงในสถานที่ตา่ งๆ ในเหตุการณ์ตา่ งๆ ตาม เรื่ องราวของเพลง 8.5 ใช้ การแสดงดนตรี (CONCERT) เป็ นตัวนําเสนอเพลงและดนตรี หรื อาจจะจัดฉากเหตุการณ์การแสดง ขึ ้นมาเองใช้ ลลี าการแสดงออกทางสีหน้ าท่าทางของนักร้ อง หรื อาจจะมีลกี ลาการเต้ นประกอบของนักเต้ น (DANCER) ประกอบการ เพื่อสือ่ อารมณ์ และบรรยากาศของเพลงหรื อ อาจจะใช้ วิธีการผสมผสานกันบางอย่างหรื อหลายๆ อย่าง แล้ วแต่ ความเหมาะสม ปั จจุบนั MV ส่วนใหญ่ไม่คอ่ ยมีวตั ถุประสงค์เพื่อถ่ายทอดแนวคิด ตีความ หรื อสร้ างความประทับใจในเพลงหรื อ ดนตรี นนๆ ั ้ แต่มกั จะทําขึ ้นเพื่อวัตถุประสงค์ในการส่งเสริ มการขายเพลงและดนตรี เป็ นหลัก ดังนันการเขี ้ ยนบท MV ทางการค้ า ส่วนใหญ่จึงนิยมใช้ วิธีการโชว์ศิลปิ นนักร้ อง นักดนตรี ประกอบเพลงนันๆ ้ ในลีลาบุคลิกต่างๆ ที่คิดว่าจะดึงดูดกลุม่ เป้าหมายของ เพลงนัน้ หรื ออาจจะโชว์บรรยากาศหรื อสถานที่ด้วยภาพที่สวยงาม สอดคล้ องกับอารมณ์เพลงก็เพียงพอแล้ ว หรื อวิธีที่ง่ายที่สดุ ที่ นิยมผลิตกันมากคือใช้ วิธีนําเอาภาพการแสดงสดของศิลปิ นที่ออกอัลบัมชุ ้ ดนันๆ ้ มาตัดต่อให้ เข้ ากับทํานองเพลงเท่านัน้


ประเภทของรายการโทรทัศน |

38

9. รายการนิตยสาร (MAGAZINE) รายการนิตยสาร คือ รายการที่เนื ้อหาเรื่ องราว เหตุการณ์ หรื อการแสดงหลายๆอย่างอยูใ่ นรายการเดียวกันโดยมีจดุ ร่วมที่เป็ นเอกภาพเดียวกัน ซึง่ หมายความว่าในรายการนิตยสารไม่วา่ จะมีกี่สว่ นของรายการที่แตกต่างกันไป เพื่อสร้ างความ หลากหลายไม่ซํ ้าซากจําเจ แต่จะต้ องมี THEME เดียวเท่านัน้ รายการนิตยสารสามารถสร้ าง THEME ร่วมหรื อจุดร่วมที่มี เอกภาพเดียวกันได้ ดงั นี ้ 9.1 ใช้ THEME บางเนื ้อหาเป็ นจุดร่วม เช่น รายการนิตยสารเกี่ยวกับความงาม ในรายการนี ้ อาจประกอบ ไปด้ วยเรื่ องราวเดียวกัน การรับประทานอาหารที่ถกู สุขลักษณะ การออกกําลังกายให้ ร่างกายแข็งแรง มีสขุ ภาพและผิวพรรณดี และเรื่ องการเลือกเครื่ องแต่งกายให้ เหมาะกับบุคลิกและรูปร่าง เป็ นต้ น ทังหมดนี ้ ้แม้ จะเป็ นเรื่ องต่างกัน แต่มีจดุ ร่วมเดียวกัน หรื อมี THEME เดียวกัน คือ ความงาม 9.2 ใช้ กลุม่ เป้าหมายเป็ นจุดร่วม รายการนิตยสารแบบนี ้ เมื่อจะนําเสนอเรื่ องราว เนื ้อหา และการแสดง หลายๆอย่างในรายการเดียวกัน จะต้ องเลือกมาโดยคํานึงถึงความเหมาะสมและอยูใ่ นความสนใจของกลุม่ เป้าหมายนันๆ ้ ที่เรา ต้ องการจะเข้ าถึง เช่น นิตยสารเด็ก เรื่ องราวต่างๆ ที่นําเสนอต้ องเป็ นสิง่ ที่เด็กสนใจหรื อเหมาะกับเด็ก เช่น การ์ ตนู นิทาน ละครที่สง่ เสริ มจินตนาการ ของเด็กและเยาวชน เป็ นต้ น 9.3 ใช้ ผ้ ดู ําเนินรายการเป็ นจุดร่วม ซึง่ ในนิตยสารแบบนี ้ ผู้ที่จะมาเป็ นผู้ดําเนินรายการต้ องเป็ นผู้ที่มี ความสามารถ มีชื่อเสียงและเป็ นที่ชื่นชอบหลงใหลของกลุม่ ผู้ชมเป้าหมาย ในส่วนของเรื่ องราว เนื ้อหา หรื อ การแสดงใดๆ ที่ นําเสนอจะต้ องเป็ นการนําเสนอหรื อพาไปสัมผัสโดยผู้ดําเนินรายการคนเดียวกัน เช่น นิตยสารตลกของ BOP HOPE เป็ นต้ น 9.4 ใช้ บรรยากาศและอารมณ์เป็ นจุดร่วม เช่น รายการนิตยสารที่เน้ นบรรยากาศและอารมณ์บนั เทิงเป็ นจุด ร่วม ในรายการนันอาจจะมี ้ เรื่ องราว หรื อการแสดงใดๆ ที่ให้ ความบันเทิงเป็ นหลัก เช่น มีดนตรี ที่สนุกสนาน COMEDY TALK และมีละครตลก เป็ นต้ น

รายการโทรทัศน์ ท่ แี บ่ งตามวัตถุประสงค์ ทางการสื่อสาร รายการโทรทัศน์ ที่แบ่งตามวัตถุประสงค์ทางการสือ่ สาร สามารถแบ่งได้ ดงั นี ้ 1. รายการที่ใช้ ข่าวสาร ความรู้ (INFORMATIVE PROGGAMME) แบ่งได้ ดงั นี ้ 1.1 รายการข่าว (NEWS PROGGAMME) 1.2 รายการโทรทัศน์เพื่อการสอน (INSTRUCTIONAL TELEVISION) รายการโทรทัศน์เพื่อการสอน เป็ นรายการที่ผลิตขึ ้นมาเพื่อให้ ความรู้แก่ผ้ ทู ี่ลงทะเบียนเรี ยนวิชาใดวิชาหนึง่ หรื อ หลักสูตรใดหลักสูตรหนึง่ ของสถาบันทางการศึกษา เช่น รายการโทรทัศน์เพื่อการสอนของมหาวิทยาลัยรามคําแหง เป็ นต้ น รายการแบบนี ้มีกลุม่ เป้าหมายเฉพาะเจาะจงที่ลงทะเบียนเรี ยนในแต่ละวิชาในหลักสูตร ซึง่ ผู้ชมทัว่ ๆ ไปที่สนใจก็สามารถชมได้ 1.3 รายการโทรทัศน์เพื่อการศึกษา (EDUCATIONAL TELEVISION) รายการโทรทัศน์เพื่อการศึกษา เป็ นรายการที่ให้ ความรู้เฉพาะทางเพื่อให้ ผ้ ชู มนําไปใช้ ปรับปรุงคุณภาพชีวิต และ อาชีพการงานให้ ดีขึ ้นมิใช่เพียงเพื่อเพิ่มโลกทรรศน์เท่านัน้ ซึง่ กลุม่ เป้าหมายของรายการโทรทัศน์เพื่อการศึกษาจะแตกต่างจาก รายการโทรทัศน์เพื่อการสอน คือ จะไม่ทราบว่าผู้ชมเป็ นใคร มีจํานวนเท่าไหร่ รวมทังไม่ ้ ต้องลงทะเบียนเรี ยน เช่น รายการ โทรทัศน์เกี่ยวกับการส่งเสริ มการเกษตร การให้ ความรู้เกี่ยวกับวิทยาศาสตร์ และเทคโนโลยี เป็ นต้ น


ประเภทของรายการโทรทัศน |

39

1.4 รายการโทรทัศน์เพื่อการฝึ กอบรม (TRAINING PROGRAMME) รายการโทรทัศน์เพื่อการฝึ กอบรม คือ รายการที่มีวตั ถุประสงค์เพื่อฝึ กอบรมด้ านอาชีพแก่ผ้ ชู ม เช่น รายการ ฝึ กอบรมเกี่ยวกับเรื่ องการจัดการ เป็ นต้ น รายการแบบนี ้นํามาใช้ กบั องค์กรของรัฐ รัฐวิสาหกิจ และองค์ภาคเอกชน เพื่อพัฒนา บุคลากร 1.5 รายการโทรทัศน์เพื่อสร้ างภาพลักษณ์ให้ แก่องค์กร (CORPORATE PROGAMME) เป็ นรายการโทรทัศน์เพื่อสร้ างภาพลักษณ์ให้ แก่องค์กรเป็ นรายการที่ผลิตขึ ้น เพื่อให้ รายละเอียด ความเป็ นมาของ องค์กร หรื อรายละเอียดเกี่ยวกับกิจกรรม สินค้ า บุคลากร อุปกรณ์ เครื่ องจักร และเทคโนโลยีที่ทนั สมัย รวมทังบทบาทที ้ ่มีตอ่ ชุมชนและสังคม เพื่อให้ กลุม่ ประชาชนเป้าหมายได้ รับทราบความเคลือ่ นไหวเข้ าใจในการดําเนินงานเกิดความเชื่อถือประทับใจใน บริ ษัทหรื อองค์กรนันๆ ้ 2. รายการที่มีวัตถุประสงค์ เพื่อให้ ความบันเทิง (ENTERTANING PROGAMME) เป็ นรายการที่เน้ นให้ ความบันเทิงเป็ นหลัก เช่น รายการละคร รายการวาไรตี ้ รายการดนตรี และเพลง รายการตลก รายการเกมส์โชว์ เป็ นต้ น 3. รายการมีวัตถุประสงค์ เพื่อการจูงใจ (PERSUASIVE PROGAMME) เป็ นรายการที่ต้องการเปลีย่ นแผลงความคิด ความเชื่อ ทัศนคติ หรื อพฤติกรรมของผู้ชมให้ สอดคล้ องกับวัตถุประสงค์ ของผู้นําเสนอ เช่น รายการสารคดี รายการสนทนา เป็ นต้ น

รายการที่แบ่ งตามกลุ่มเป้าหมาย รายการที่แบ่งตามกลุม่ เป้าหมาย แต่ละรายการมีลกั ษณะ เนื ้อหา และโครงสร้ างแตกต่างกันไป เนื่องจาก กลุม่ เป้าหมายแต่ละกลุม่ ย่อมมีความสนใจและมีความจําเป็ นหรื อมีปัญหาแตกต่างกันไป รวมทังมี ้ ระดับการเรี ยนรู้ ความสนใจ และความเข้ าใจได้ มากน้ อยแตกต่างกัน ประเภทของรายการที่แบ่งตามกลุม่ เป้าหมายที่นิยมนําเสนอกันทัว่ ๆ ไปได้ แก่ รายการ เด็ก รายการสําหรับวัยรุ่น รายการสตรี รายการสําหรับผู้สงู อายุ และรายการสําหรับแม่บ้าน เป็ นต้ น ในการจัดประเภทของรายการ ไม่วา่ จะจัดโดยอาศัยวิธีใด หรื อเป็ นรายการประเภทใดนัน้ สามารถนําเอาเทคนิควิธีการ นําเสนอรายการแบบหนึง่ มาประยุกต์ใช้ ในอีกแบบหนึง่ ได้ ทังนี ้ ้ถ้ าหากว่าจะทําให้ รายการน่าสนใจแก่กลุม่ เป้าหมายมากขึ ้น หรื อ สือ่ ความหมายได้ ชดั เจนยิ่งขึ ้น รวมทังสามารถสร้ ้ างความพึงพอใจให้ แก่ผ้ ชู มซึง่ จะนําไปสูส่ มั ฤทธิผลทางการสือ่ สารได้ ในที่สดุ เช่น เราสามารถใช้ การสัมภาษณ์ในรายการข่าวเพื่อใช้ อ้างอิงประจักษ์ พยาน ใช้ ละครนําเสนอสารคดีเพื่อให้ เรื่ องเข้ าใจง่ายและ น่าสนใจสําหรับกลุม่ เป้าหมายที่อายุน้อย หรื อการศึกษาไม่สงู เป็ นต้ น หรื ออาจ สร้ างความหลากหลายของรายการข่าวด้ วย วิธีการของนิตยสารที่เรี ยกว่านิตยสารข่าว (NEWS MAGAZINE) หรื อใช้ การสาธิตในสารคดีเพื่อให้ เข้ าใจในความรู้นนๆ ั ้ ง่ายขึ ้น เป็ นต้ น


ประเภทของรายการโทรทัศน |

40

รายการประกาศแจ้ งความ (ANNOUNCEMENT) รายการประกาศแจ้ งความ เป็ นการนําเสนอผ่านสือ่ โทรทัศน์โดยมีวตั ถุประสงค์หลักเพื่อชักจูงใจ แบ่งออกเป็ น 3 ประเภท คือ 1) COMMECIAL ADVERTISING ANNOUNCEMENT เป็ นประกาศแจ้ งความ หรื อ โฆษณาทางโทรทัศน์ เพื่อให้ ผู้บริ โภคเป้าหมาย จําตราหรื อยี่ห้อสินค้ า สร้ างการรับรู้ เร้ าให้ เกิดความสนใจ ยํ ้าเตือนความทรงจํา ในตัวสินค้ า เพื่อให้ เกิดการ ตัดสินใจซื ้อในที่สดุ 2) PUBLIC SERVICE ANNOUNCEMENT (PSA) คือประกาศแจ้ งความในเชิงส่งเสริ มสังคมหรื อบริ การเพื่อประโยชน์ ของสังคม เป็ นการกระตุ้นให้ ประชาชนร่วมไม้ ร่วมมือกันเพื่อแก้ ไขปั ญหาต่างๆ ที่มีอยูใ่ นสังคม เช่น การรักษาความสะอาด การ รณรงค์เพื่อเลิกยาเสพติด เป็ นต้ น 3) PROMOTIONAL ANNOUNCEMENT หรื อ PROMOTE คือ ประกาศแจ้ งความเพื่อการส่งเสริ มรายการโทรทัศน์ ของทางสถานีให้ ผ้ ชู มสนใจอยากชมรายการ การเขียนบทประกาศแจ้ งความประเภท ADVERTISING ANNOUNCEMENT และ PUBLIC SERVICE ANNOUNCEMENT นัน้ ควรมีขนาดความยาวไม่มากนัก ตามที่นิยมกันจะมีตงแต่ ั ้ 15 วินาที 30 วินาที และ 60 วินาที ส่วนใหญ่จะมีความยาวใกล้ เคียงกัน แต่อาจไม่จําเป็ นต้ องมีความยาวลงตัวพอดีเหมือนกันแล้ วแต่เนื ้อหาที่ต้องการนําเสนอจะ มากน้ อยแค่ไหน ในการนําเสนอ ANNOUNCEMENT นันมี ้ ขนตอนต่ ั้ างๆ ในการเขียนดังนี ้ 1. วัตถุประสงค์ หรื อจุดมุง่ หมาย ซึง่ แบ่งออกเป็ น 3 ระดับ 1.1 จุดมุง่ หมายระยะยาว (LONG – RANGE GOAL) คือ เป้าหมายระยะยาวของสินค้ า หรื อบริ การนันๆ ้ 1.2 จุดมุง่ หมายเฉพาะสําหรับการทํา ANNOUNCEMENT ในครัง้ นัน้ 2. กลุม่ เป้าหมายคือใครและกลุม่ เป้าหมายสามารถรับสารได้ ทางสถานีไหน เวลาอะไร 3. ใช้ จดุ จูงใจ (PERSUASIVE APPEALS) ใดเป็ นส่วนกระตุ้นหรื อจูงใจผู้บริ โภคเป้าหมาย 4. ใช้ วิธีการใดเพื่อดึงดูดความสนใจผู้ชมเป้าหมาย ให้ สนใจในตัว ANNOUNCEMENT นัน้ เช่น ใช้ อารมณ์ขนั หรื อใช้ ดนตรี และเสียง หรื อเหตุการณ์แปลกๆ เป็ นต้ น 5. มีแนวคิดอะไร อย่างไร ในการนําเสนอที่คิดว่าจะสามารถให้ รายละเอียดของสินค้ าหรื อบริ การที่จงู ใจผู้บริ โภค เป้าหมายอย่างได้ ผล 6. มีลาํ ดับการนําเสนอเรื่ องอย่างไร จึงจะทําให้ ตวั โฆษณามีความหลากหลาย น่าสนใจมีจงั หวะจะโคน และกลมกลืน กันตังแต่ ้ ต้นจนจบอย่างมีเอกภาพ อีกทังมี ้ จดุ สร้ างความพึงพอใจในการชมที่เหมาะสม ซึง่ ลําดับการนําเสนอเรื่ องที่ดีจะต้ อง สามารถดึงดูดความสนใจ และตรึงให้ ผ้ ชู มอยูก่ บั โฆษณาได้ ตลอดตังแต่ ้ ต้นจนจบ โดยอาจลําดับการนําเสนอ เพื่อสร้ างลําดับการ รับรู้ ดังนี ้ 6.1 สร้ างปั ญหาแล้ วบอกวิธีแก้ ไข (PROBLEM& SOLUTION) ที่โยงกับสินค้ าหรื อบริ การ 6.2 สาธิตกระบวนการการใช้ (DEMONSTRATION) สินค้ า 6.3 เล่าเรื่ องราวแบบละคร (DRAMATIZATION) 6.4 อ้ างอิงประจักษ์ พยาน (TESTIMONIAL) ซึง่ อาจจะเป็ นผู้เชี่ยวชาญ หรื อผู้ที่มีชื่อเสียง เช่น ดารานักแสดง มา บอกกล่าวถึงข้ อดีของสินค้ า หรื ออาจจะเป็ นความเห็นของคนทัว่ ๆไป อ้ างอิงถึงข้ อดีของสินค้ า 6.5 ใช้ ผ้ ทู ี่มีชื่อเสียง เป็ นที่ร้ ูจกั มานําเสนอ (PRESENTERY) หรื อ SPOKES PERSONSเหมือนเป็ นตัวแทนของ ผู้ผลิตสินค้ า


ประเภทของรายการโทรทัศน |

41

6.6 ใช้ ผลพิเศษทางภาพเพื่อดึงดูดความสนใจ (SPECIAL EFFECTS) เช่นใช้ เทคนิคทาง ANIMATION หรื อทาง COMPUTER GRAPHICเป็ นต้ น

สรุ ปผลสํารวจสื่อโทรทัศน์ ปลอดภัยและสร้ างสรรค์ 1 ปั จจุบนั ต้ องยอมรับว่าสือ่ ทีวีเข้ ามามีอิทธิพลต่อชีวิตของคนในสังคมเป็ นอย่างมากด้ วยเป็ นสือ่ ที่ใกล้ ชิดกับทุกคนใน ครอบครัว แทบทุกหลังคาเรื อนจะมีทีวีอย่างน้ อยหนึง่ เครื่ อง เมื่อทีวีเข้ ามาใกล้ ชิดกับคนในครอบครัวมากขึ ้น รายการต่างๆในทีวีก็ ย่อมจะมีอิทธิพลต่อความนึกคิดของคนในสังคมเพิ่มมากขึ ้น โดยเฉพาะรายการจากช่องฟรี ทีวีซงึ่ เป็ นสถานีหลักของประเทศไทย 0

ในการตอบการสํารวจในครัง้ นี ้ ทําการสํารวจผ่านเว็บไซต์ kapook , prachatai , blognone และ siamintelligence โดย มีผ้ เู ข้ าตอบเกือบหนึง่ พันคนมีความหลากหลายทังอายุ ้ ระดับการศึกษา เพื่อสํารวจรายการทีวี ตลอดจนช่วงเวลาการรับชม รายการที่มีความคิดสร้ างสรรค์ปลอดภัยและมีการติดตามรับชมมากที่สดุ โดยผู้ที่เข้ ามาตอบผลสํารวจพบว่าเป็ นผู้มีอายุในช่วง 20-30 ปี มากที่สดุ อยูท่ ี่ 38% และเป็ นผู้ที่จบปริ ญญาตรี ขนตํ ั ้ ่ามากที่สดุ ถึง 57% ซึง่ อาจจะถือว่าเป็ นกลุม่ ที่กําลังมีบทบาทที่มากขึ ้น ในสังคมไทยและเป็ นกลุม่ ใช้ อินเตอร์ เน็ตกลุม่ หลักในเวลานี ้ จากผลการสํารวจของช่องทีวีที่มีคนเข้ ารับชมมากที่สดุ 2 ช่องแรกของเมืองไทยคือช่อง 3 และช่อง7 ซึง่ สูงถึง 68%และ 58% ตามลําดับ และเมื่อดูรายการที่ติดตามมากที่สดุ จะพบว่าเป็ นรายการเรื่ องเล่าเช้ านี ้ของทางช่อง 3 ซึง่ สูงถึง 68% ส่วนรายการ อันดับสองยังคงเป็ นของช่อง3 คือรายการตีสบิ อยูท่ ี่ 55% ขณะที่รายการของช่อง 7 ที่ติดตามมากที่สดุ คือรายการเรื่ องจริ งผ่านจอ อยูท่ ี่ 25% ถือว่ายังห่างจากรายการของทางช่อง3 โดยรายการที่มีการติดตามถัดจากของช่อง3 คือรายการของช่อง9 คือรายการกบ นอกกะลาอยูท่ ี่ 52% และช่อง5 รายการชิงร้ อยชิงล้ านอยูท่ ี่ 52 %

กราฟแสดงข้ อมูลรายการที่ติดตามมากที่สุด 1

ที่มา : สรุปผลสํารวจสื่อโทรทัศน์ปลอดภัยและสร้ างสรรค์ . (ออนไลน์ ). เข้ าถึงได้ จาก : http://www.siamintelligence.com/summary-tv-safetycreative (วันที่ค้นข้ อมูล : 10 มิถนุ ายน 2556).


ประเภทของรายการโทรทัศน |

42

เมื่อดูรายการที่ติดตามกันมากใน 10 อันดับแรก เป็ นรายการข่าวถึง 3 รายการ คือ รายการเรื่ องเล่าเช้ านี ้ (1) รายการข่าว ข้ นคนข่าว ( 6) รายการข่าวสามมิติ ( 8) ซึง่ สอดคล้ องกับประเภทของรายการที่รับชมมากที่สดุ คือ ข่าว และเมื่อไปสัมพันธ์กบั ช่วงเวลาของการเข้ ารับชมรายการในวันธรรมดาในช่วงเช้ าตรู่เป็ นช่วงที่คนให้ การรับชมเป็ นลําดับที่สามรองจากช่วงเวลา Prime time คือช่วงคํ่า ( 18.00-20.59น.)และช่วงดึก ( 21.00-22.59น.) สะท้ อนการติดตามและสนใจในการรับข่าวสารของคนรุ่นใหม่ นอกจากนี ้รายการข่าวยังเป็ นประเภทรายการทีวีที่มีการรับชมมากที่สดุ สูงถึง 79%ของผู้ที่ตอบแบบสํารวจมา แสดงถึงการเสพ ข่าวสารของคนไทยมีอยูใ่ นระดับสูง และเมื่อดูที่รายการที่ได้ รับการติดตามมากที่สดุ ยังเป็ นรายการข่าวคือเรื่ องเล่าเช้ านี ้ ยิ่งเป็ นตัว สะท้ อนถึงความรุ่งเรื องของรายการข่าวในยุคปั จจุบนั จะเห็นว่ ารายการข่ าวในปั จจุบันมีอิทธิพลต่ อผู้รับชมทีวีมากขึน้ โดยเฉพาะรายการเรื่องเล่ าเช้ านีม้ ีอิทธิพลต่ อ ผู้ชมสูงมากอย่ างมีนัยสําคัญ ดังกรณีล่าสุดสามารถระดมเงินบริจาคผ่ านรายการเพื่อช่ วยเหลือชาวเฮติได้ เงินบริจาคสูง ถึง 170 ล้ านบาทในช่ วงเวลาที่สนั ้ มากคือใช้ เวลาเพียง 2 อาทิตย์ นี่นับเป็ นการสะท้ อนที่ชัดเจนมากในอิทธิพลของสื่อ กระแสหลักต่ อความคิดของคนในสังคมที่พร้ อมร่ วมเป็ นส่ วนหนึ่งของรายการ แต่ทว่าคุณสมบัติทีส่ ําคัญของรายการข่าวทีผ่ ตู้ อบแบบสํารวจต้องการให้เกิ ดขึ้นคือ ความเป็ นกลางไม่เข้าข้างฝ่ ายใด มี ความเทีย่ งตรงสูง นําเสนอข้อมูลรอบด้าน โดยเฉพาะการเสนอข่าวต้องการให้ปราศจากอคติ ไม่เกิ ดการชี ้นํา ขณะที่รายการที่สร้ างสรรค์ที่สดุ ที่ได้ จากการสํารวจในครัง้ นี ้พบว่าเป็ นรายการ กบนอกกะลา ได้ รับความนิยมถึง 82% ทิ ้ง ห่างจากที่สองคือรายการคุณพระช่วยซึง่ ได้ รับความนิยมที่ 35% โดยรายการสารคดีเป็ นประเภทของรายการที่ได้ รับการรับชมอยู่ อันดับ 3 รองจาก ข่าวและละครไทย ในการแสดงความคิดเห็นในการสํารวจยังพบว่าความต้ องการรายการที่มีสาระ แนวการศึกษา สารคดี หรื อรายการที่มงุ่ สร้ างความคิดที่สร้ างสรรค์เป็ นที่ต้องการเป็ นอย่างมา แสดงถึงความต้ องการในการชมรายการที่มีสาระ เข้ มข้ นอย่างรายการสารคดียงั มีอยู่

กราฟแสดงข้ อมูลรายการที่คิดว่ าสร้ างสรรค์ ที่สุด ในอีกด้ านของรายการทีวีไทยที่มีอิทธิพลมายาวนานคือละครไทยซึง่ ผลการสํารวจออกมาเป็ นลําดับที่สองของประเภท รายการที่รับชม ซึง่ ก็สอดคล้ องกับช่วงเวลาที่มีคนรับชมมากที่สดุ คือช่วงเวลา Prime Timeหรื อช่วงคํ่า (18.00-20.59น.) แสดงถึง


ประเภทของรายการโทรทัศน |

43

พฤติกรรมในการรับชมรายการของคนไทยบางส่วนยังไม่ได้ เปลีย่ นมากนัก ขณะที่ความคิดเห็นต่อละครไทยมีความต้ องการละคร สร้ างสรรค์มากขึ ้นและต้ องการให้ ละครไทยหลากหลายในเนื ้อเรื่ องมากขึ ้น สอดแทรกสาระลงไปในละคร สามารถสร้ างค่านิยมที่ดี แก่สงั คมได้ ถือได้ วา่ คนในสังคมต้ องการละครที่สร้ างสรรค์และมีประโยชน์มากขึ ้น ประเภทรายการทีวีที่เป็ นที่นิยมอีกประเภทหนึง่ คือ รายการโชว์ทงหลายไม่ ั้ วา่ จะเป็ นเกมส์โชว์ ทอล์คโชว์ และเกมส์กึ่ง สาระ ที่แต่ละประเภทความนิยมอยูใ่ นอันดับ 4 ของความนิยมในรายการทีวีโดยแต่ละรายการมีความนิยมอยูท่ ี่ 35% แต่เมื่อรวม จํานวนของรายการทัง3เข้ ้ าด้ วยกันถือว่าเป็ นรายการที่มีได้ รับความนิยมสูงพอสมควร

กราฟแสดงข้ อมูลประเภทรายการที่รับชม รายการทีวีไทยที่รับชมผ่านสายตาในแต่ละวันจะพบรายการบันเทิงเป็ นจํานวนมากตังแต่ ้ ช่วงเช้ าจนถึงช่วงคํ่าไม่วา่ จะเป็ น เกมส์โชว์ ละคร ภาพยนตร์ ถ่ายทอดกีฬา โดยมีรายการข่าวสอดแทรกเป็ นช่วงใหญ่ๆแบ่งได้ เป็ น ช่วงเช้ า ช่วงคํ่า ช่วงดึก ซึง่ จะเป็ น ช่วงที่คนสามารถติดตามรายการข่าวได้ มากที่สดุ ของในระหว่างวัน ในส่วนรายการที่มีสาระเช่น สารคดีเป็ นรายการที่ได้ รับความ นิยมในลําดับต้ นๆ แต่จํานวนรายการยังถือว่าน้ อยเมื่อเทียบกับรายการบันเทิงต่างๆ และรายการข่าว สรุปได้ วา่ สือ่ กระแสหลักของคนไทยยังคงเป็ นสือ่ จากทีวีอยูโ่ ดยเฉพาะจากช่องฟรี ทีวีไม่วา่ จะเป็ นช่อง 3 ,5 ,7 ,9 ,11 และ ไทยพีบีเอส แม้ วา่ จะมีทีวีทางเลือกเช่น ทีวีดาวเทียม หรื อเคเบิ ้ลทีวี เริ่ มเข้ าแย่งพื ้นที่จากฟรี ทีวีมากขึ ้นด้ วยตัวเลือกของรายการที่ มากขึ ้นหลากหลายมากกว่ารายการของฟรี ทีวีแต่ความนิยมหลักก็ยงั อยูใ่ นรายการของฟรี ทีวี ในส่วนของสือ่ ทางเลือกอื่นๆได้ เริ่ ม เข้ ามาในพื ้นที่ของสือ่ มากขึ ้น ไม่วา่ จะเป็ น วิทยุออนไลน์ ทีวีออนไลน์ แต่ยงั เป็ นส่วนน้ อยและต้ องเป็ นกลุม่ ที่ทนั ต่อเทคโนโลยี มี อินเตอร์ เน็ตความเร็ วสูงซึง่ ต้ องมีจํานวนที่มากพอแต่ในเวลานี ้ถือว่ามีจํานวนไม่มากเมื่อเทียบกับจํานวนทีวีที่เข้ าถึงทุกหลังคาเรื อน แล้ ว แม้ ว่ารายการโทรทัศน์ โดยส่ วนใหญ่ เป็ นรายการบันเทิงเป็ นหลัก แต่ การที่รายการใช้ ความคิดสร้ างสรรค์ ผลิต งานมีคุณภาพ สามารถได้ รับการติดตามชมมากเป็ นอันดับสามรองจากรายการข่ าวและรายการบันเทิง พร้ อมกันนีย้ งั


ประเภทของรายการโทรทัศน |

44

เป็ นรายการที่ผ้ ตู อบแบบสํารวจให้ เป็ นที่หนึ่งในด้ านความคิดสร้ างสรรค์ แสดงว่ าความต้ องการในรายการที่มีสาระผ่ าน การผลิตจากความคิดสร้ างสรรค์ ยงั มีความต้ องการในรายการโทรทัศน์ ของไทยยังมีอยู่เป็ นอย่ างมาก

บรรณานุกรม

ศุภางค์ นันตา. (2552). หลักการวิทยุกระจายเสียงและวิทยุโทรทัศน์ . พิมพ์ครัง้ ที่ 1. มหาสารคาม : สํานักพิมพ์มหาวิทยาลัยมหาสารคาม. สมสุข หินวิมาน และคณะ. ( 2554). ความรู้เบือ้ งต้ นทางวิทยุและโทรทัศน์ . พิมพ์ครัง้ ที่ 1. กรุงเทพมหานคร : สํานักพิมพ์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ . สรุ ปผลสํารวจสื่อโทรทัศน์ ปลอดภัยและสร้ างสรรค์ . (ระบบออนไลน์). วันสืบค้ น 15 มิถนุ ายน 2556, แหล่งที่มา

http://www.siamintelligence.com/summary-tv-safety-creative สุโขทัยธรรมาธิราช, มหาวิทยาลัย, สาขาวิชานิเทศศาสตร์ . (2550). เอกสารการสอนชุดวิชาการสร้ างสรรค์ รายการโทรทัศน์ หน่ วยที่ 1-5. พิมพ์ครัง้ ที่ 2. นนทบุรี : โรงพิมพ์มหาวิทยาลัยสุโขทัยธรรมาธิราช. สุโขทัยธรรมาธิราช, มหาวิทยาลัย, สาขาวิชานิเทศศาสตร์ . (2539). เอกสารการสอนชุดวิชาการสร้ างสรรค์ และการผลิตภาพยนตร์ เบือ้ งต้ น . พิมพ์ครัง้ ที่ 3. กรุงเทพมหานคร : โรงพิมพ์ชวนพิมพ์. สุทิติ ขัตติยะ. (2555). หลักการทางวิทยุกระจายเสียงและวิทยุโทรทัศน์ . พิมพ์ครัง้ ที่ 1. กรุงเทพมหานคร : บริ ษัท ประยูรวงศ์พริ น้ ท์ติ ้ง จํากัด. องอาจ สิงห์ลําพอง. (2557). กระบวนการผลิตละครโทรทัศน์ . พิมพ์ครัง้ ที่ 1. กรุงเทพมหานคร : ห้ างหุ้นส่วนจํากัด สามลดา. อดิศกั ดิ์ ลิมปรุ่งพัฒนกิจ. (2556). ภูมิทศั น์ ส่ อื ใหม่ : Digital Media ทีวีพันช่ อง. พิมพ์ครัง้ ที่ 1. สมุทรปราการ : บริ ษัท ดับบลิวพีเอส (ประเทศ ไทย) จํากัด. อรนุช เลิศจรรยารักษ์ . (2544). หลักการเขียนบทโทรทัศน์ . พิมพ์ครัง้ ที่ 2. กรุงเทพมหานคร : สํานักพิมพ์มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ . อุษณีย์ ศิริสนุ ทรไพบูลย์. (2552). หลักการวิทยุกระจายเสียงและวิทยุโทรทัศน์ . พิมพ์ครัง้ ที่ 1. กรุงเทพมหานคร : สํานักพิมพ์แห่งจุฬาลงกรณ์ มหาวิทยาลัย.

ภาพประกอบบางส่ วนจาก http://www.lwbc.net http://www.th.wikipedia.org http://www.tvdigitalthailand.com http://www.thaitv3.com http://www.thairealtv.com/main http://www.visual.merriam-webster.com/communications/communications/broadcast-satellite-communication.php


Turn static files into dynamic content formats.

Create a flipbook
Issuu converts static files into: digital portfolios, online yearbooks, online catalogs, digital photo albums and more. Sign up and create your flipbook.