หนังสือพิมพ์ข่าวสภาทนายความ ฉบับเดือนเมษายน 2558

ปีที่ 3 ฉบับที่ 4 เดือนเมษายน 2558

2

ข่าวสภาทนายความ ปีที่ 3 ฉบับที่ 4 เดือนเมษายน 2558

สภาทนายความฯ ร่วมจุดเทียนถวายพระพรชัยมงคล ในโอกาสมหามงคลเฉลิมพระชนมพรรษา ๖๐ พรรษา

สมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี

เมือ่ วันที่ 2 เมษายน 2558 เวลา 19.19 น. : นายเดชอุดม ไกรฤทธิ์ นายกสภาทนายความ พร้อมด้วยนางสาวอรอนงค์ เทศะบำ�รุง นายทะเบียนทนายความ ร่วมพิธีถวายพานพุ่มเครื่องราช สักการะ และจุดเทียนถวายพระพรชัยมงคลเนื่องในโอกาสมหามงคลเฉลิมพระชนมายุ 60 พรรษา สมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี โดยมีสมาชิกสภาทนายความ และพนักงานสภา ทนายความร่วมจุดเทียนชัยถวายพระพรโดยพร้อมเพรียงกัน ณ บริเวณมณฑลพิธีท้องสนามหลวง กรุงเทพฯ

การขาดจริยธรรม คือ ต้นทางของการทุจริต ทนายความอาวุโสหลายท่านพร่ำ�สอนเสมอมาว่า “การเป็นทนายความที่ดีอย่าเข้าไปเป็นตัวความเสียเอง อย่าเข้าไปเป็นคู่ขัดแย้งในคดีที่ตนรับจ้างว่าความ จงเป็นทนายความที่รักษาผลประโยชน์ของตัวความด้วยหลักจริยธรรมและข้อกฎหมายก็เพียงพอ” อย่าใช้กลอุบายใดๆ เพื่อหวังได้ทรัพย์สินของลูกความของตน และการแสวงหาประโยชน์จากทรัพย์สินของลูกความ โดยการใช้เทคนิคทางกฎหมาย เป็น สิ่งที่ไม่ควรกระทำ�ยิ่ง การที่ทนายความเข้าไปรับจัดการมรดกโดยยอมตนเป็นผู้จัดการมรดกหรือเขียนพินัยกรรมโดยให้ตนเองเป็นผู้จัดการมรดกตามพินัยกรรม หรือตั้งมูลนิธิของลูกความโดยจดทะเบียนให้ตนและพวกเป็นผู้จัดการและกรรมการในการจดทะเบียนมูลนิธินั้นๆ แล้วเขียนพินัยกรรมยกทรัพย์มรดกของลูกความ ที่มีให้ตกเป็นของมูลนิธิที่ตนเป็นผู้จัดการนั้น โดยไม่ฟังข้อโต้แย้งของทายาทของเจ้ามรดกที่มีอยู่ โดยพฤติกรรมดังกล่าวนี้ถือได้ว่า เป็นการใช้เทคนิคทางกฎหมายเอาเปรียบและแสวงหาประโยชน์จากทรัพย์สินของตัวความ และเมื่อเป็นคดีความก็ตั้งตนเป็น ทนายความสู้คดีกับทายาทเจ้ามรดกเสียเอง ยิ่งมองว่าเป็นการผิดมรรยาททนายความยิ่งขึ้น ในบริบทต่างๆ เหล่านี้ล้วนเป็นการประกอบวิชาชีพทนายความ โดยการนำ�ตนเข้าไปเป็นตัวความเสียเอง นอกจากไม่เหมาะสมแล้วยังเป็นอันตรายมากยิ่งขึ้น หากความขัดแย้งนั้นรุนแรงขึ้นจากการแย่งชิง เพราะการขัดกันด้วยผลประโยชน์ในทรัพย์สินที่เป็นกองมรดกนั้นๆ แต่จะด้วยบริบทใดก็ตามการประกอบวิชาชีพทนายความนั้นเป็นการทำ�งานประหนึ่งว่า “เป็นหมอ ที่คนทั่วไปชอบเรียก ทนายความว่า เป็นหมอความ” ดังนั้น การเป็นทนายความต้องรักษาลูกความ ของตนโดยชี้ผิดชี้ถูกให้เขา และให้อธิบายในเนื้อหาทางคดีที่เขาเป็นอยู่ว่า มีผลดีผลร้ายต่อตัวเขาอย่างไร และมีทางออกอย่างไร นั้นคือ การประกอบวิชาชีพด้วยจิตใจที่สุจริต แต่จะด้วยบริบทใดก็ตาม เมื่อเวลาเดินทางมาถึงเดือนเมษายนของทุกปี ทนายความทุกท่านก็จะเดินทางมาเพื่อร่วมประชุมใหญ่สามัญประจำ�ปีของสภาทนายความอันเป็นองค์กรวิชาชีพทนายความของ พวกเรา ปีนี้ได้ถือเอาวันที่ 25 เมษายน 2558 เวลา 17.00 นาฬิกา เป็นการประชุมใหญ่ ผมในฐานะเลขาธิการสภาทนายความจึงขอเชิญชวนท่านทนายความไปร่วมประชุม และขอให้ท่านได้สอบถามถึงปัญหาและโครงสร้างการบริหารของกรรมการชุดนี้ และกิจกรรมต่างๆ ของสภาทนายความถึงการ ช่วยเหลือประชาชนทางกฎหมาย สำ�นักฝึกอบรมวิชาว่าความ สำ�นักงานคณะกรรมการมรรยาททนายความนั้นได้ปกป้องทนายความที่ดี และกำ�จัดผู้มีพฤติกรรมกระทำ�ผิดจริยธรรมมรรยาทออกไปได้มากน้อยเพียงใด หรือได้ปกป้องผู้ประพฤติผิดจริยธรรมแล้วยังยอมให้พร่ำ�สอนผู้อื่นอยู่ในบริบทเหล่านี้ พี่น้องทนายความจะต้องเข้ามาสืบค้นเพื่อหาความจริงและเพื่อหาคำ�ตอบจากที่ประชุมใหญ่ ในทำ�นองเดียวกัน ข่าวสภาทนายความที่อยู่ในมือของท่านก็ยังเป็นสื่อกลางที่นำ�เสนอกิจกรรมของกรรมการบริหารทั้งในงานด้านสังคม การช่วยเหลือประชาชนทางกฎหมาย งานด้านวิชาการ และ ได้บอกเล่าถึงความก้าวหน้าในการก่อสร้างบ้านใหม่ของพวกเราท่านอันเป็นการแสดงให้เห็นว่า ทค.เดชอุดม ไกรฤทธิ์ นายกสภาทนายความ ได้ทำ�งานภายใต้กรอบนโยบายที่ได้นำ�เสนอต่อพี่น้องทนายความในคราว ออกเดินหาเสียงนั้นได้เป็นอย่างดี จะด้วยมุมมองภายใต้สรรพสิ่งใดก็ตาม ข่าวสภาทนายความก็ยังเป็นที่หวังอันจะเป็นสื่อกลางของโครงสร้างการบริหารองค์กรกับพี่น้องทนายความและประชาชน กองบรรณาธิการต้องขอขอบคุณทุก ท่านที่เสนอแนะและให้กำ�ลังใจด้วยดีตลอดมา เราจะทำ�งานภายใต้กรอบที่ว่า “เราจะไม่เป็นเพียงผู้พร่ำ�สอนจริยธรรมมรรยาทให้คนอื่น แต่เราจะประพฤติตนให้เป็นผู้มากด้วยจริยธรรมมรรยาท เพื่อร่วมกันสร้างความ ศรัทธาต่อองค์กรวิชาชีพของเราท่านจากพี่น้องประชาชน”

นิวัติ แก้วล้วน บรรณาธิการบริหาร

ข่าวสภาทนายความ ปีที่ 3 ฉบับที่ 4 เดือนเมษายน 2558

3

สภาทนายความนำ�ร่องโครงการอบรม กฎหมายล้มละลาย แก่ทนายความอาสา

โดยเมื่อวันที่ 28 มีนาคม 2558 ที่ห้องประชุมชั้น 4 สภาทนายความ ถนนราชดำ�เนินกลาง กรุงเทพฯ : นายเดชอุดม ไกรฤทธิ์ นายกสภาทนายความ เป็นประธานเปิดการอบรม ทนายความอาสาประจำ�ส่วนราชการ (กรุงเทพมหานคร) เพือ่ เสริมสร้างศักยภาพวิชาชีพ และการช่วยเหลือประชาชนทางกฎหมาย เรือ่ ง “การให้ค�ำ ปรึกษากฎหมายคดีลม้ ละลาย/ฟืน้ ฟูกจิ การ ลูกหนี้/การขอรับชำ�ระหนี้ กฎหมายอื่น ๆ ที่เกี่ยวข้องในการปฏิบัติหน้าที่ ณ ศาลล้มละลายกลาง” โดยมี นายสุนทร พยัคฆ์ อุปนายกฝ่ายช่วยเหลือประชาชนทางกฎหมายฯ กล่าว ถึงความเป็นมาและวัตถุประสงค์ของการจัดอบรมในโครงการดังกล่าว ทัง้ นีไ้ ด้รบั เกียรติจากวิทยากรผูท้ รงคุณวุฒใิ นการให้ความรูเ้ กีย่ วกับการสร้างความประทับใจและความพึงพอใจในการให้บริการ ทางกฎหมาย การให้คำ�ปรึกษาฯ คดีล้มละลาย/ฟื้นฟูกิจการลูกหนี้/การขอรับชำ�ระหนี้ กฎหมายอื่นๆ ที่เกี่ยวข้อง โดยอาจารย์ไกรสร บารมีอวยชัย อดีตรองปลัดกระทรวงยุติธรรม จากนั้นจะ เป็นการแนะนำ� ชีแ้ จง ทำ�ความเข้าใจเกีย่ วกับระเบียบคณะกรรมการช่วยเหลือประชาชนทางกฎหมายว่าด้วยการปฏฺบิ ตั ขิ องทนายความอาสาประจำ �ส่วนราชการ หน่วยงานของรัฐ และองค์กรเอกชน ที่มีวัตถุประสงค์ในการช่วยเหลือประชาชน พ.ศ.2556 และบทบาทหน้าที่ การปฏิบัติงานของทนายความอาสา โดยวิทยากรของสภาทนายความ อาทิ นายสุวิทย์ เชยอุบล อุปนายกฝ่ายปฏิบัติ การฯ, นายนิวัติ แก้วล้วน เลขาธิการสภาทนายความ, นางสาวอรอนงค์ เทศะบำ�รุง นายทะเบียนสภาทนายความ และ นายธีรศักดิ์ วิชชุตานนท์ กรรมการฝ่ายช่วยเหลือประชาชนทาง กฎหมาย ซึง่ โครงการอบรมดังกล่าวเป็นโครงการนำ�ร่องเพือ่ พัฒนาศักยภาพทนายความอาสาประจำ�ส่วนราชการของสภาทนายความในการรองรับการปฏิบตั หิ น้าทีข่ องทนายความในศาลล้มละลาย กลาง ทั้งนี้ มีทนายความอาสาเข้าร่วมฟังการอบรมจำ�นวน 50 คน.

สภาทนายความ พร้อมช่วย “ดารานักบู๊” หากไม่ได้รบั ความเป็นธรรมทางกฎหมาย เมื่อวันที่ 30 มีนาคม 2558 นายนิวัติ แก้วล้วน เลขาธิการสภาทนายความ/โฆษกสภาทนายความ ให้สัมภาษณ์สื่อมวลชนเกี่ยวกับความเห็นทางกฎหมายในกรณีพิพาทระหว่างดารานักบู๊ กับค่ายหนังยักษ์ใหญ่ เรื่องการผิดสัญญาจ้างตามที่เป็นข่าว จนทำ�ให้หนังฟอร์มใหญ่ Fast & Furious 7 (เร็ว…แรง ทะลุนรก 7) ที่ดารา คนดังกล่าวร่วมแสดงไม่ได้เข้าโรงฉายในประเทศไทย เป็นที่มาของกระแสวิพากษ์วิจารณ์กันในสื่อสังคมออนไลน์ โดยนายนิวัติ แก้วล้วน เลขาธิการสภาทนายความ/โฆษกสภาทนายความ กล่าวว่า สภาทนายความ พร้อมให้ความช่วยเหลือหากดารานักบู๊หากไม่ได้รับความเป็นธรรม ในกรณีของการต่อสัญญาอัตโนมัตินั้น ส่วนมากจะเขียนไว้ในสัญญาเฉยๆ แต่ในการที่จะทำ�การต่อสัญญากันจริงๆ เป็นเรื่อง ของการยินยอมทั้งสองฝ่าย ไม่ใช่ต่อสัญญาอัตโนมัติแล้วต่อได้เลย จะต้องมาทำ�เงื่อนไขของสัญญาก่อน แต่ในการเซ็นสัญญาครั้งแรกต้องดูหนังสือสัญญาก่อนว่าระบุเงื่อนไขให้ต่อสัญญาได้ในกรณี ใดบ้าง ต่อแบบไหน การต่อมีผลอย่างไร ทั้งนี้ หากพูดถึงเรื่องความเป็นธรรมหรือไม่เป็นธรรมนั้น จะต้องดูสัญญาข้อที่ว่า “ในการต่อสัญญาหรือจะไม่ ต่อสัญญา อีกฝ่ายหนึง่ มีสทิ ธิท์ จี่ ะบอกเลิกได้ภายในกีเ่ ดือน” หรือกรณีทบี่ ริษทั ยืน่ เงือ่ นไขในการต่อสัญญาไปให้ ดารา จะต้องโต้แย้งตัง้ แต่ทบี่ ริษทั ยืน่ สัญญาไปให้วา่ ไม่ตอ้ งการต่อสัญญาแบบนี้ ต้องการเปลีย่ นแปลงสัญญา แต่หากในสัญญาไม่มี เงื่อนไขข้อนี้ ก็จะทำ�ให้เกิดความไม่เป็นธรรมขึ้น แต่ถ้าในสัญญามีเงื่อนไขข้อนี้อยู่ ทางดารานักบู๊ไม่บอกเลิกสัญญาเอง การจะไปโทษบริษัทคงจะไม่ได้ แต่จะด้วยเหตุใดก็ตามจะต้องยึดถือเจตนารมณ์ของคู่สัญญาเป็นหลัก เพราะเกี่ยวกับสิทธิ ของตัวคน ส่วนการส่งใบแจ้งต่อสัญญาไปที่บ้านและมีคนที่บ้านเซ็นรับเอกสารถือเป็นการต่อสัญญาอัตโนมัติหรือไม่นั้น ถือ เป็นการต่อสัญญาอัตโนมัติ ส่วนดารานักบู๊จะไปต่อสู้ในชั้นศาลว่าไม่ได้รับหนังสือต่อสัญญา ตรงนี้เป็นอีกประเด็นหนึ่ง ซึ่ง หลักทัว่ ไปคำ�ว่า “แจ้ง” ต้องดูตามเจตนารมณ์ ถ้าตีความตามกฎหมาย หากแจ้งไปแล้วถ้าให้สญ ั ญาต่อเนือ่ งเลยโดยทีอ่ กี ฝ่าย หนึ่งไม่มีสิทธิ์คัดค้าน ภาษากฎหมาย ใช้คำ�ว่า “เสนอ” พอเสนอไปแล้ว อีกฝ่ายนิ่งหรือไม่โต้แย้งหรือไม่คัดค้านก็ถือว่า สมบูรณ์ “เท่าที่ดูเรื่องสัญญา เหมือนกับวงดนตรีลูกทุ่งสมัยเก่า คล้ายๆ กับที่เรียกกันว่า ‘สัญญาทาส’ ฝ่ายวงดนตรีไม่มีสิทธิ์ ทีจ่ ะเปลีย่ นแปลงสัญญา แต่หากมีสญ ั ญาไม่เป็นธรรม ถ้าตัวดาราเองจะยกขึน้ ต่อสูก้ อ่ นคิดว่าน่าจะทำ �ได้ แต่ผมก็ไม่ทราบข้อ เท็จจริงลึกๆ” ในสัญญาที่เป็นข้อพิพาทกันนั้น ส่วนถ้าหากดาราไม่ได้รู้เรื่องการต่อสัญญาจะมีผลทำ�ให้เกิดการต่อสัญญาอัตโนมัติหรือไม่ นั้น จะต้องพิจารณาใน 2 ประเด็น คือ ถ้าไม่ได้โต้แย้งภายในระยะเวลาที่กำ�หนดไว้ในสัญญาหรือไม่ได้แสดงสิทธิ์ของตัวเอง การต่อสัญญาก็จะเป็น ไปตามนั้น แต่ถ้าต่อมาดารานักบู๊บอกว่าไม่เคยได้รับเอกสารนี้ ก็ต้องไปว่ากันในชั้นศาล ว่าการส่งเอกสารนั้นส่งโดยชอบ ธรรมหรือไม่ ถ้าส่งโดยชอบสัญญาก็เดินต่อ แต่ถ้าส่งโดยไม่ชอบธรรมก็มาเริ่มต้นกันใหม่ ส่วนจะสามารถฟ้องยกเลิกสัญญา ได้หรือไม่นั้น ต้องไปดูเจตนารมณ์ของสัญญาอย่างชัดเจนเสียก่อน อย่างไรก็ตาม ก่อนทีจ่ ะเซ็นสัญญา จะต้องดูหนังสือสัญญาแต่ละข้อว่า ขัดกับหลักกฎหมายหรือไม่ มีความเป็นธรรม หรือเปล่า ต้องมาพิจารณากันเป็นข้อๆ เพื่อจะได้ไม่มีปัญหาในภายหลัง และไม่ตกเป็นเหยื่อของสัญญาทาส ซึ่งในกรณีข่าว นี้ สภาทนายความยินดีให้ความช่วยเหลือทางกฎหมายแต่จะต้องผ่านการพิจารณาจากคณะกรรมการช่วยเหลือ ประชาชนทางกฎหมายก่อนว่า ดารานักบู๊ ได้รบั ความเป็นธรรมหรือไม่ และเป็นคนยากจนหรือเปล่า ถ้ายากจน และไม่ได้รับความเป็นธรรมจริง ทางสภาทนายความก็สามารถเข้าไปช่วยเหลือได้ ล่าสุดศาลแพ่ง รัชดาฯ ได้มีการพิจารณาคำ�ขอถอนระงับฉายภาพยนตร์เรื่อง Fast & Furious 7 (เร็ว…แรง ทะลุนรก 7) แล้ว ส่งผลให้หนังฟอร์มยักษ์ดังกล่าวสามารถกลับมาฉายได้ตามกำ�หนดเดิม.

นายนิวัติ แก้วล้วน เลขาธิการสภาทนายความ เป็น วิทยากรบรรยายกฎหมาย โครงการ “อบรมเชิงปฏิบัติการ กฎหมายที่ประชาชนควรรู้” โดยเป็นการบรรยายในหัวข้อ “กฎหมายที่ประชาชนควรรู้และกฎหมายที่เกี่ยวข้องกับ ท้องถิ่น” และในช่วงบ่ายมีการแบ่งกลุ่มเสวนารับฟังความคิด เห็น ประเด็นปัญหากฎหมายที่ประชาชนควรรู้และกฎหมายที่ เกี่ยวข้องกับท้องถิ่น ทั้งนี้มีผู้สนใจเข้าร่วมอบรมกว่า 150 คน และได้รับเกียรติจาก ผศ.เชิดชาย ดวงภมร รองอธิการบดี สถาบันราชภัฏกาญจนบุรี เป็นผูเ้ ปิดการอบรมฯ ณ ห้องประชุม ไพลิน อาคาร 9 ชั้น 3 มหาวิทยาลัยราชภัฏกาญจนบุรี เมื่อ วันที่ 26 มีนาคม 2558.

4

ข่าวสภาทนายความ ปีที่ 3 ฉบับที่ 4 เดือนเมษายน 2558

บทความพิเศษ

กองบรรณาธิการ

มาตรการจัดการ ดูแล แก้ปัญหา

ชาวโรฮิงญาในประเทศไทย สุรพงษ์ กองจันทึก ประธานอนุกรรมการสิทธิมนุษยชนด้านชนชาติ ผู้ไร้สัญชาติ แรงงานข้ามชาติ และผู้พลัดถิ่น สภาทนายความ

ปัจจุบัน

มีชาวโรฮิงญา เดินทางโดยเรือจากประเทศพม่า และ ชาวบังคลาเทศ ผ่านเข้าสู่ประเทศไทยเป็นจำ�นวนมาก และพบว่ามีชาวโรฮิงญา เข้ามาเพิ่มมากขึ้น โดยยังไม่มีการจัดการดูแลที่ดีได้ ขณะเดียวกันพบว่ามี ขบวนการค้ามนุษย์ที่มีฐานในประเทศไทย นำ�เรือจากประเทศไทยไปชักนำ�พา คนเหล่านี้เข้ามา โดยอ้างว่าสามารถพาไปประเทศมาเลเซียได้

การดำ�เนินการที่ผ่านมายังไม่สามารถใช้กฎหมายและหลักกฎหมายใน การแก้ไขปัญหาได้อย่างเป็นรูปธรรม จึงใคร่เสนอแนะต่อรัฐบาลในการดำ�เนินการ เพื่อดูแลจัดการชาวโรฮิงญาที่เข้ามาประเทศไทย ดังนี้ 1. รัฐควรมีนโยบายในการจัดการ ป้องกันดูแล และแก้ไขปัญหาชาวโรฮิงญาอย่างชัดเจน 2. รัฐควรมีมาตรการในการดูแลชาวโรฮิงญาในประเทศไทยอย่างเหมาะสม ตามกฎหมายและหลักสิทธิมนุษยชน 3. รัฐควรตรวจสอบและดำ�เนินคดีต่อขบวนการค้ามนุษย์ชาวโรฮิงญา ตลอดจนเจ้าหน้าที่ที่เกี่ยวข้อง เพื่อเป็นการแก้ปัญหาในปัจจุบันและอนาคต อนึ่ง ควรมีการมอบหมายนโยบายให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้อง เพื่อให้มีส่วนร่วมในการดำ�เนินการแก้ไขใน เชิงนโยบายและในทางปฏิบัติ ดังนี้

1. สำ�นักงานสภาความมั่นคงแห่งชาติ 1.1 ร่วมกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องในการกำ�หนดนโยบายยุทธศาสตร์และมาตรการที่ชัดเจนในการจัดการ ป้องกัน และแก้ไขปัญหาชาวโรฮิงญา 1.2 ร่วมกับกระทรวงการต่างประเทศในการประสานงานกับประเทศที่เกี่ยวข้อง ในการแก้ไขและรับชาวโรฮิงญาต่อไป อาทิ พม่า บังคลาเทศ มาเลเซีย ตลอดจนประเทศที่สามอื่นๆ

2. สำ�นักงานตรวจคนเข้าเมือง 2.1 ในการจะผลักดันหรือส่งชาวโรฮิงญากลับ แต่ไม่มีประเทศที่จะรับกลับ ซึ่งจะเป็นการส่งชาวโรฮิงญาไปให้ขบวนการค้ามนุษย์ ควรกำ�หนดหลักเกณฑ์ในการอนุญาตให้ชาวโรฮิงญา อยู่ชั่วคราวเพื่อรอการประสานงานแก้ไขปัญหาให้เสร็จสิ้นก่อน 2.2 ควรมีการปรับปรุงสถานที่ต้องกักและสภาพแวดล้อมให้ถูกสุขลักษณะ มีบริการพื้นฐานที่จำ�เป็น ไม่แออัด มีความปลอดภัย และมีอิสระตามสมควร 2.3 ควรมีการจัดให้ครอบครัว (พ่อแม่ลูก) ได้อยู่ร่วมกัน ในกรณีเด็กที่ไม่ได้มาพร้อมครอบครัว ไม่ควรให้เด็กถูกกักร่วมกับผู้ใหญ่ โดยให้อยู่ในการดูแลของกระทรวงการพัฒนาสังคม และความมั่นคงของมนุษย์ เพื่อคุ้มครองเด็ก 2.4 ควรให้จัดทำ�ทะเบียนข้อมูลเด็กซึ่งไม่มีความผิดแยกออกจากระบบทะเบียนอาชญากรผู้กระทำ�ความผิดของผู้ใหญ่ 2.5 ควรตรวจสอบข้อมูลชาวโรฮิงญาอย่างละเอียด เพื่อให้ทราบถึงที่มา สถานที่อยู่เดิม ขบวนการนำ�พา นายหน้าฯ และคัดแยกเหยื่อการค้ามนุษย์ร่วมกับกระทรวงการพัฒนาสังคม และความมั่นคงของมนุษย์ รวมทั้งตรวจสอบสถานะผู้ลี้ภัยร่วมกับสำ�นักงานข้าหลวงใหญ่ผู้ลี้ภัยแห่งสหประชาชาติ (UNHCR) 2.6 ควรให้การสนับสนุนและส่งชาวโรฮิงญาให้หน่วยงานที่มีความพร้อมในการดูแลมากกว่า อาทิ บ้านพักเด็กและครอบครัว องค์กรพัฒนาเอกชน มัสยิด องค์กรระหว่างประเทศ

3. กระทรวงมหาดไทย

3.1 ควรจัดหาทีพ่ กั พิงชัว่ คราวและประสานงานกับหน่วยงานทัง้ ภายในและระหว่างประเทศใน การช่วยเหลือ สงเคราะห์ ดูแล

3.2 จัดทำ�ข้อมูลทะเบียนประวัตบิ คุ คลในระบบทะเบียนราษฎรเป็นกลุม่ เฉพาะ เพือ่ การควบคุม และตรวจสอบ

4. กระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์

4.1 ควรมีการให้รับเด็กและครอบครัวมาดูแลในบ้านพักเด็กและครอบครัว 4.2 ควรมีการตรวจสอบและคัดแยกกรณีของการค้ามนุษย์ ตลอดจนดำ�เนินคดีต่อขบวนการที��่ เกี่ยวข้อง 4.3 ควรจัดให้มีการดูแลเหยื่อการค้ามนุษย์ และให้การช่วยเหลือจนกว่าคดีจะถึงที่สุด

บันทึกลงพื้นที่

ข่าวสภาทนายความ ปีที่ 3 ฉบับที่ 4 เดือนเมษายน 2558

5

เมื่อวันที่ 22 มีนาคม 2558 ที่อำ�เภอท่าแซะ จังหวัดชุมพร : นายสุวิทย์ เชย อุบล อุปนายกฝ่ายปฏิบัติการ พร้อมด้วย นายสุนทร พยัคฆ์ อุปนายกฝ่ายช่วยเหลือ ประชาชนทางกฎหมาย, นายวันรัฐ นาคสุวรรณ กรรมการบริหารภาค 8, นายขวัญชัย จรูญวงศ์ ประธานสภาทนายความจังหวัดชุมพร และคณะทำ�งานจากสำ�นักงานกรรมการ สิทธิมนุษยชน สภาทนายความ เดินทางลงพื้นที่เพื่อสอบถามข้อเท็จจริงกรณีนายชมภู เจริญตา กับพวก ถูกเจ้าหน้าที่ เขตรักษาพันธ์สตั ว์ปา่ อุทยานเสด็จในกรม กรมหลวงชุมพร ด้านทิศเหนือ (ตอนล่าง) จับกุมข้อหาบุกรุก แผ้วถางป่า ณ บริเวณป่าดวงเจริญ หมู่ 4 ตำ�บลสองพี่น้อง อำ�เภอท่าแซะ จังหวัดชุมพร และสอบข้อเท็จจริงชาวบ้านกว่า 100 คน เพือ่ ให้ความช่วยเหลือในเรือ่ งสถานะบุคคลของคนไทยพลัดถิน่ ทีอ่ าศัยอยูใ่ นพืน้ ทีเ่ กิดเหตุ อำ�เภอท่าแซะ จังหวัดชุมพร.

ปลอดภัยสงกรานต์ เทศกาลปีใหม่ไทย เทศกาลสงกรานต์เป็นเทศกาลวันขึน้ ปีใหม่ของไทย มีวนั หยุดติดต่อหลายวันมีการใช้ รถใช้ถนนเดินทางสัญจรจำ�นวนมากเสี่ยงต่อการเกิดอุบัติเหตุทางถนนสูง โดยศูนย์อำ�นวยการ ความปลอดภัยทางถนน (ศปถ.) และหน่วยงานภาคีเครือข่ายที่เกี่ยวข้องได้รณรงค์ขับเคลื่อน ความปลดอภัยภายใต้แนวคิด “สติ วินัย น้ำ�ใจ ปลอดภัยสงกรานต์ สืบสานประเพณี” พร้อมกำ�ชับทุกหน่วยงานคุมเข้มพฤติกรรมเสี่ยงจากการเล่นน้ำ�ที่อาจก่อให้เกิดอุบัติเหตุ และ ส่งเสริมให้เล่นน้ำ�สงกรานต์ตามประเพณีอย่างปลอดภัย เนื่องจากสงกรานต์ปี 2557 (ระหว่าง วันที่ 11 – 17 เมษายน 2557) เกิดอุบตั เิ หตุ 2,992 ครัง้ ผูเ้ สียชีวติ 326 ราย และผูไ้ ด้รบั บาดเจ็บ 3,225 คน เมาสุราและขับเร็วยังเป็นสาเหตุหลักของการเกิดอุบตั เิ หตุทางถนน ดังนัน้ เป้าหมาย การดำ�เนินการในภาพรวม เพือ่ ให้ประชาชนเดินทางสัญจรอย่างปลอดภัยและมีความสุขในช่วง เทศกาลสงกรานต์ 2558 โดยมีสถิติการเกิดอุบัติเหตุทางถนน จำ�นวนผู้เสียชีวิต และจำ�นวน ผู้บาดเจ็บลดลงให้เหลือน้อยที่สุด ซึ่งให้จังหวัด อำ�เภอ และองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น เป็น ผู้กำ�หนดเป้าหมายการดำ�เนินงานด้วยตนเอง

มาตรการภาครัฐ – มาตรการชุมชน คือทางออกหากอยากเห็นประเพณีสงกรานต์มี ความปลอดภัย ล่าสุด ศปถ.กำ�หนด ๕ มาตรการเน้นหนักรับมือหวังลดเจ็บตายให้เหลือน้อย กว่าปีที่แล้ว 1. มาตรการบังคับใช้กฎหมายอย่างเข้มงวด ใช้ ๑๐ ยาขม จัดการกับกลุ่มเสี่ยงคือขับ เร็ว,ย้อนศร,ฝ่าฝืนสัญญาณไฟจราจร,ไม่คาดเข็มขัดนิรภัย ,ไม่มีใบอนุญาตขับขี่ ,แซง ในที่คับขัน , เมาสุรา,ไม่สวมหมวกนิรภัย,มอเตอร์ไซด์ไม่ปลอดภัย , ใช้โทรศัพท์มือ ถือขณะขับรถ และเน้นควบคุมการจำ�หน่ายและการดื่มสุรา ให้เป็นไปตามที่กฎหมาย กำ�หนด 2. มาตรการทางสังคมและชุมชน เสนอให้กำ�นันผูใ้ หญ่บา้ นออกมาช่วยกันสกัดกลุม่ เสีย่ ง เพื่อเลี่ยงอุบัติเหตุ ดูรายละเอียดได้ที่ www.facebook.com/thaincd เป็นแนวทางที่ กรมควบคุมโรคกระทรวงสาธารณสุขได้พสิ จู น์แล้วไว้ได้ผล จัดโซนนิง่ เล่นน้�ำ เป็นทีเ่ ป็น ทางให้สนุกอย่างปลอดภัย 3. มาตรการแก้ไขปัญหา อันนี้เป็นบทของหน่วยงานหลัก เจ้าของพื้นที่ ที่ต้องให้ความ สำ�คัญกับการเฝ้าระวังป้องกันโดยใช้ขอ้ มูลปีทผี่ า่ นมาเป็นฐานแล้ววางแผนดำ�เนินการ ให้รัดกุม

4. มาตรการรณรงค์และการประชาสัมพันธ์ มอบให้ทุกหน่วยงานทำ�หน้าที่ให้ข้อมูลกับ ประชาชนคนไทยทั้งประเทศรวมทั้งนักท่องเที่ยวให้ตระหนักเรื่องความปลอดภัยเป็น สำ�คัญ 5. มาตรการด้านการบริหารจัดการ ให้ทกุ หน่วยงานมีมาตรการจัดการกับกลุ่มเสีย่ ง จัด พื้นที่เล่นน้ำ�ปลอดภัยและปลอดเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ทุกชนิดเพื่อลดพฤติกรรมเสี่ยง มอเตอร์ไซด์ เสี่ยงสูงตายมากสุดช่วงสงกรานต์ หากยังคิดจะขับขี่มอเตอร์ไซด์เล่นน้ำ� ถ้าคิดว่าจำ�เป็นหรือหลีกเลี่ยงไม่ได้ก็อย่าลืมสวมหมวกนิรภัยและใช้หมวกที่มีมาตรฐาน ข้อมูลจาก : สำ�นักงานเครือข่ายลดอุบัติเหตุ คณะกรรมการศูนย์อำ�นวยการความปลอดภัยทางถนน

6

ข่าวสภาทนายความ ปีที่ 3 ฉบับที่ 4 เดือนเมษายน 2558

คุยกับ นายทะเบียน เรียน เพื่อนทนายความทุกท่าน เนื่องด้วยในวันเสาร์ที่ 25 เมษายน 2558 นี้ สภาทนายความ ในพระบรมราชูปถัมภ์ จัดให้มีการประชุมใหญ่สามัญประจำ�ปี 2558 เพื่อชี้แจง วัตถุประสงค์ของสภาทนายความ แสดงรายรับ-รายจ่ายในรอบปีที่ผ่านมาให้ทนายความทุกท่านทราบ ณ ห้องอมรินทร์ โรงแรม เอส ดี อเวนิว ถนน บรมราชชนนี กรุงเทพมหานคร ตั้งแต่เวลา 17.00 น. เป็นต้นไป โดยก่อนที่จะถึงเวลาประชุมใหญ่สามัญประจำ�ปีนั้น ตั้งแต่เวลา 8.00-16.00 น. สภาทนายความจัดให้มีการสัมมนาวิชาการ หัวข้อ “กฎหมาย ใหม่กับสาระบัญญัติ และวิธีสบัญญัติที่ปรับปรุงแก้ไขใหม่” ซึ่งการสัมมนาเกี่ยวกับกฎหมายใหม่ดังกล่าวจะเป็นประโยชน์กับเพื่อนทนายความอย่างยิ่ง นางสาวอรอนงค์ เทศะบำ�รุง เพราะปัจจุบนั ได้มกี ารแก้ไขกฎหมายใหม่เป็นจำ�นวนมากส่งผลกระทบต่อวิชาชีพทนายความซึง่ เป็นผูใ้ ช้กฎหมายโดยตรง การสัมมนาในครัง้ นีม้ วี ทิ ยากร นายทะเบียนสภาทนายความ ผูท้ รงคุณวุฒดิ า้ นกฎหมายหลายท่านร่วมบรรยายด้วย ทัง้ นี้ หนังสือเชิญประชุมและหมายกำ�หนดการต่างๆ สภาทนายความได้จดั ส่งให้เพือ่ นทนายความ ทุกท่านตามทีอ่ ยูท่ แี่ จ้งไว้กบั สำ�นักงานทะเบียนทนายความแล้ว ดิฉนั จึงขอเรียนประชาสัมพันธ์ให้เพือ่ นทนายความทุกท่านเข้าร่วมสัมมนาวิชาการและร่วมประชุมใหญ่สามัญประจำ �ปี 2558 ในวันและเวลาดังกล่าวข้างต้นค่ะ ดิฉันขอเรียนเพิ่มเติมว่าในปี 2557 ที่ผ่านมา ตามนโยบายสำ�นักงานทะเบียนทนายความสัญจรของท่านนายกเดชอุดม ไกรฤทธิ์ เพื่ออำ�นวยความสะดวกแก่เพื่อนทนายความ สำ�นักงานทะเบียนทนายความได้ร่วมกับโครงการทนายความอาสาประจำ�ส่วนราชการ ออกไปรับต่อใบอนุญาตให้เป็นทนายความนอกสถานที่จำ�นวน 6 ครั้ง รวม 6 จังหวัด คือ จังหวัด นครราชสีมา จังหวัดอุดรธานี จังหวัดเลย จังหวัดเพชรบุรี จังหวัดภูเก็ต และจังหวัดพิษณุโลก ซึ่งได้รับการตอบรับเป็นอย่างดีจากเพื่อนทนายความ รวมทั้งได้รับคำ�แนะนำ�ที่เป็นประโยชน์ ต่อสำ�นักงานทะเบียนทนายความอย่างยิ่ง ทั้งนี้ หากสำ�นักงานทะเบียนทนายความมีกำ�หนดออกไปให้บริการต่อใบอนุญาตว่าความครั้งต่อไปในปี 2558 ที่จังหวัดใด จะแจ้งวันเวลาและ สถานที่ให้เพื่อนทนายความทราบเป็นการล่วงหน้าค่ะ อนึ่ง กรณีที่เพื่อนทนายความท่านใดมีการเปลี่ยนแปลงข้อมูลส่วนตัว และ/หรือ ข้อมูลสำ�นักงานที่ท่านสังกัดอยู่ และ/หรือ สอบบรรจุเข้ารับราชการแต่ยังไม่ได้แจ้งยกเลิกการเป็น ทนายความ ขอความกรุณาแจ้งข้อมูลดังกล่าวให้ส�ำ นักงานทะเบียนทนายความเพือ่ ดำ�เนินการปรับปรุงข้อมูลของท่านให้เป็นปัจจุบนั ทีส่ ดุ และเพือ่ รองรับระบบเทคโนโลยีสารสนเทศของสภา ทนายความแห่งใหม่ที่คาดว่าจะแล้วเสร็จในปี 2558 นี้ ทั้งนี้ เพื่อประโยชน์ของท่านในการรับทราบข้อมูลข่าวสารที่เกี่ยวกับการประกอบวิชาชีพทนายความจากสภาทนายความต่อไป.

สภาทนายความยื่นมือ ช่วยเหลือทางกฎหมาย ทวงคืนถนนสาธารณะ

ระเบี ย บการสมั ค รสมาชิ ก การฌาปนกิจสงเคราะห์สภาทนายความ วัตถุประสงค์ : เพื่อเป็นการช่วยเหลือซึ่งกันและกันในระหว่างเพื่อนผู้ประกอบ วิชาชีพทนายความในการจัดการศพ, สงเคราะห์ครอบครัวของสมาชิกทีถ่ งึ แก่ความตาย ด้วยเงินสงเคราะห์ โดยไม่ประสงค์จะหากำ�ไรมาแบ่งปันกัน สิทธิประโยชน์ได้รับเงิน สงเคราะห์จากสมาชิกรายละ 20 บาท และหากมีสมาชิกมากถึง 50,000 คน จะได้รับ เงินสงเคราะห์ถึงประมาณ 1,000,000 บาท คุณสมบัติของสมาชิก (อายุไม่เกิน 65 ปี) : ผู้สมัครต้องเป็นทนายความ บิดามารดา คูส่ มรส หรือบุตรของทนายความ และพนักงานประจำ�ของสภาทนายความ ค่าธรรมเนียมแรกเข้า (650 บาท) : ค่าสมัครท่านละ 100 บาท, เงินสงเคราะห์ ล่วงหน้า 500 บาท (เพือ่ สำ�รองไว้เป็นเงินสงเคราะห์แก่สมาชิกทีเ่ สียชีวติ ศพละ 20 บาท จำ�นวน 25 ศพ) และค่าบำ�รุงประจำ�ปีๆ ละ 50 บาท

เมื่อวันที่ 17 มีนาคม 2558 เวลา 14.00 น. ที่สภาทนายความ ถนนราชดำ�เนินกลาง กรุงเทพฯ : นายสุนทร พยัคฆ์ อุปนายกฝ่ายช่วยเหลือประชาชนทางกฎหมาย รับเรือ่ งร้องขอ ความช่วยเหลือทางกฎหมายเบือ้ งต้นจากกรณีชาวบ้านซับผาสุข หมูท่ ี่ 9 ตำ�บลศิลาทิพย์ อำ�เภอ ชัยบาดาล จังหวัดลพบุรี และบ้านหนองสรวง หมูท่ ี่ 2 ตำ�บลคลองกระจัง อำ�เภอศรีเทพ จังหวัด เพชรบูรณ์ โดยนายเฉลียว ถอสูงเนิน อายุ 79 ปี นายเวียน ภู่คง อายุ 72 ปี และนางสำ�ราญ เอื้อยใจ อายุ 35 ปี เป็นตัวแทนชาวบ้านที่ได้รับความเดือดร้อนเนื่องจากถูกเพื่อนบ้านอ้าง ที่ดินมีโฉนดปิดกั้นถนนสาธารณะทางเข้าหมู่บ้าน จนชาวบ้านจำ�นวนมากได้รับความเดือด ร้อนไม่สามารถเดินทางเข้าออกได้ โดย นายสุนทร พยัคฆ์ อุปนายกฝ่ายช่วยเหลือประชาชนทางกฎหมายสภา ทนายความ เปิดเผยว่า สภาทนายความ โดยสำ�นักงานคณะกรรมการช่วยเหลือประชาชนทาง กฎหมายสภาทนายความ พร้อมให้ความช่วยเหลือด้านกฎหมายอย่างเต็มที่ ซึ่งจากการ สอบถามข้อมูลข้อเท็จจริงเบื้องต้นจากชาวบ้านและพิจารณาจากพยานเอกสารแล้วนั้น พบว่า ถนนเส้นดังกล่าวชาวบ้านได้ใช้เป็นทางสัญจรร่วมกันมากว่า 40-50 ปีแล้ว แต่เอกสารโฉนด ที่ดินเพิ่งออกเมื่อปี 2550 เท่านั้น ถือได้ว่าเป็นภาระจำ�ยอมที่ชาวบ้านใช้ประโยชน์ร่วมกัน มานาน ทั้งนี้ จากการไกล่เกลี่ยครั้งหลังสุดเมื่อวันที่ 11 มีนาคม 2558 ผลปรากฏว่า ผู้ที่อ้าง เป็นเจ้าของทีด่ นิ ได้ยนิ ยอมเปิดเส้นทางให้ชาวบ้านใช้เป็นเวลา 30 วัน เมือ่ ครบกำ�หนดก็จะปิด ถนนห้ามชาวบ้านเข้าออกตามเดิม ทำ�ให้ขณะนีจ้ งึ ยังไม่สามารถดำ�เนินการฟ้องร้องคดีตอ่ ศาล ได้ แต่หากมีการปิดถนนอีกครั้งสภาทนายความก็จะดำ�เนินการยื่นเรื่องส่งฟ้องตามกฎหมาย ทันที ซึ่งกรณีนี้ มีความเป็นไปได้สูงที่ชาวบ้านที่ได้รับความเดือดร้อนจะเป็นฝ่ายได้รับความ ยุติธรรม และสามารถนำ�ถนนเส้นดังกล่าวกลับมาเป็นสาธารณสมบัติของส่วนรวมได้

หลักฐานประกอบการสมัคร : (กรณีทนายความใช้เฉพาะข้อ 1 และข้อ 6) 1. สำ�เนาใบอนุญาตให้เป็นทนายความ หรือสำ�เนาบัตรประจำ�ตัวสมาชิกทนายความ 2. สำ�เนาบัตรประจำ�ตัวประชาชน 3. สำ�เนาใบสำ�คัญการสมรส (กรณีคสู่ มรสของทนายความ ที่มิได้เป็นทนายความ) 4. สำ�เนาทะเบียนบ้าน 5. ใบรับรองแพทย์ 6. รูปถ่าย 1 นิ้ว จำ�นวน 2 รูป 7. กรณียนิ ยอมให้หกั บัญชีธนาคาร โปรดแนบสำ�เนาหน้าสมุดบัญชี ธ.กรุงเทพ จำ�กัด (มหาชน) หน้าที่มีเลขที่บัญชีพร้อมชื่อบัญชีมาด้วย

วิธก ี ารชำ�ระเงิน : ชำ�ระด้วยตนเอง ณ ทีท่ �ำ การสำ�นักงานการฌาปนกิจสงเคราะห์

ชั้น 1 สภาทนายความ, ชำ�ระเป็น เช็ค สั่งจ่ายในนาม “สภาทนายความ (การฌาปนกิจ สงเคราะห์)”, ชำ�ระเป็นธนาณัติ หรือตั๋วแลกเงิน สั่งจ่าย ปณ.ราชดำ�เนิน 12000 ชื่อผู้รับ “สภาทนายความ (การฌาปนกิจสงเคราะห์)” หรือ โอนเงินเข้าบัญชีธนาคาร กรุงเทพ จำ�กัด มหาชน สาขาสะพานผ่านฟ้า บัญชีออมทรัพย์ “สภาทนายความ (การ ฌาปนกิจสงเคราะห์) เลขที่บัญชี 169-0-820343 สอบถามรายละเอียดเพิ่มเติมที่ : สำ�นักงานสวัสดิการและสิทธิประโยชน์สภา ทนายความ เลขที่ 7/89 อาคาร 10 ถนนราชดำ�เนินกลาง แขวงบวรนิเวศ เขตพระนคร กรุงเทพฯ 10200 โทรศัพท์ 0-2629-1430 ต่อ 127, 128 โทรสาร 0-2280-6281 หมายเหตุ : เมื่อท่านนำ�เงินเข้าบัญชีโปรดส่งหลัก ฐานการโอนเงินทางโทรสารหมายเลข 0-2280-6281 เพื่อตรวจสอบและออกใบสำ�คัญรับเงิน

ข่าวสภาทนายความ ปีที่ 3 ฉบับที่ 4 เดือนเมษายน 2558

เปิดฎีกาปิดคดี วิบูลย์ นาคทับทิม

7

ทำ�สัญญาจะซื้อจะขายที่ดินและชำ�ระราคาครบถ้วนแล้ว แต่ยังไม่ได้จดทะเบียนโอนกัน จนเวลาล่วงเลยมากว่า 10 ปี แล้ว จะเรียกร้องให้ผู้จะขายจดทะเบียนโอนที่ดินให้ ได้หรือไม่...?

ในเรือ่ งของการใช้สทิ ธิเรียกร้องกันในทางแพ่งนัน้ กฎหมายก็มกั จะมีการกำ�หนดเกีย่ วกับอายุความในการใช้สทิ ธิเรียกร้องเอาไว้ซงึ่ ก็จะ แตกต่างกันไปแล้วแต่เรื่องแล้วกรณี ในบางเรื่องก็อาจจะมีอายุความเพียงแค่ 1 ปี แต่ในเรื่องเดียวกันบางกรณีก็อาจจะมีอายุความ 10 ปี เช่น ตาม ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 448 ได้บัญญัติไว้ว่า “สิทธิเรียกร้องค่าเสียหายอันเกิดแต่มูลละเมิดนั้น ท่านว่าขาดอายุความเมื่อ พ้นปีหนึง่ นับแต่วนั ทีผ่ ตู้ อ้ งเสียหายรูถ้ งึ การละเมิดและรูต้ วั ผูจ้ ะพึงต้องใช้คา่ สินไหมทดแทน หรือเมือ่ พ้นสิบปีนบั แต่วนั ทำ�ละเมิด” แต่ในบาง เรือ่ งบางกรณีกอ็ าจจะไม่ได้มกี ารกำ�หนดอายุความเอาไว้ในกรณีเช่นนีก้ จ็ ะใช้อายุความ 10 ปี ตามทีป่ ระมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 193/30 ได้บญ ั ญัติ

ไว้ ว่ า “อายุ ค วามนั้ น ถ้ า ประมวลกฎหมายนี้ ห รื อ กฎหมายอื่นมิได้บัญญัติไว้โดยเฉพาะ ให้มีก�ำ หนดสิบ ปี” ดังนัน้ เมือ่ มีการโต้แย้งสิทธิกนั ในทางแพ่งแล้วจำ�เป็นทีจ่ ะ ต้องใช้สิทธิเรียกร้องฟ้องดำ�เนินคดีกันก็จะต้องพิจารณาดูว่า ในเรื่องที่จะใช้สิทธิเรียกร้องกันนั้นมีกฎหมายกำ�หนดอายุ ความในการใช้สิทธิเรียกร้องไว้หรือไม่ ถ้ามีการกำ�หนดเกี่ยว กับอายุความในการใช้สิทธิเรียกร้องเอาไว้ก็ต้องใช้สิทธิเรียก ร้องนัน้ ภายในกำ�หนดอายุความทีก่ ฎหมายในเรือ่ งนัน้ กำ�หนด เอาไว้ ถ้าไม่ได้มีการกำ�หนดอายุความเอาไว้ก็สามารถที่จะใช้ อายุความสิบปี ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 193/30 ได้ ซึง่ ถ้ามีการฟ้องร้องดำ�เนินคดีเพือ่ บังคับตามสิทธิ เรียกร้องไม่ถูกต้อง กล่าวคือ มีการฟ้องร้องบังคับตามสิทธิ เรียกร้องเกินกำ�หนดอายุความที่กฎหมายกำ�หนดไว้ ก็อาจจะ ถูกศาลพิพากษายกฟ้องเพราะขาดอายุความได้ ถ้าคูค่ วามอีก ฝ่ายยกเอาอายุความขึ้นมาเป็นประเด็นในการต่อสู้คดี ในบางเรื่องบางกรณีที่เหมือนว่ามีกฎหมายกำ�หนด อายุความไว้ และมีการฟ้องร้องเพื่อบังคับตามสิทธิเรียกร้อง นั้นเกินกำ�หนดระยะเวลาที่กฎหมายกำ�หนด แต่ศาลก็มิได้ พิพากษายกฟ้องเพราะเหตุขาดอายุความ และยังพิพากษาให้ เป็นฝ่ายชนะคดีอีกด้วย ทั้งนี้ก็อาจจะเป็นเพราะว่าคู่ความอีก ฝ่ายไม่ได้ยกข้อต่อสูเ้ รือ่ งอายุความขึน้ ต่อสูเ้ ป็นประเด็นไว้ เมือ่ ไม่มีประเด็นเรื่องอายุความ ศาลก็ไม่อาจยกเอาเรื่องขาดอายุ ความมาพิพากษายกฟ้องเพราะเหตุขาดอายุความได้ เพราะ อายุความไม่ใช่ข้อกฎหมายที่เกี่ยวกับความสงบเรียบร้อยของ ประชาชนที่ศาลจะยกขึ้นวินิจฉัยได้เอง หรือบางเรื่องก็อาจจะ มีกฎหมายบัญญัติไว้เป็นกรณีพิเศษต่างหากซึ่งไม่อาจยกเอา อายุความปกติมาบังคับได้ สำ�หรับในเรือ่ งของการใช้สทิ ธิเรียก ร้องเกินกำ�หนดอายุความตามที่กฎหมายกำ�หนดไว้ และ คู่ความอีกฝ่ายได้ยกเหตุของการฟ้องคดีเมื่อพ้นกำ�หนดอายุ ความขึ้นเป็นข้อต่อสู้ไว้นั้น ก็เคยเป็นคดีที่มีประเด็นเรื่องอายุ ความขึ้นไปสู่การพิจารณาของศาลฎีกามากมาย และมีทั้งข้อ ต่อสู้ที่รับฟังได้และรับฟังไม่ได้ และคดีตัวอย่างต่อไปนี้ก็เป็น อีกเรื่องหนึ่งที่มีการยกข้อต่อสู้เรื่องอายุความไว้ และเป็น ประเด็นพิพาทที่ต้องขึ้นไปสู่การพิจารณาของศาลฎีกา ข้อเท็จจริงของเรื่องนี้ก็มีอยู่ว่า นาย อ. ได้ติดต่อขอซื้อ ทีด่ นิ ซึง่ เป็นทีด่ นิ น.ส. 3 ก. ตัง้ อยูท่ อี่ ำ�เภอบ้านนาเดิม จังหวัด สุราษฎร์ธานี มีเนื้อที่ 3 งานกว่า จาก นาย น. ทั้งสองฝ่าย สามารถเจรจาตกลงกันได้ จึงได้มีการทำ�สัญญาจะซื้อจะขาย ต่อกัน และนาย อ. ก็ได้มีการชำ�ระราคาค่าที่ดินที่ได้ตกลงทำ� สั ญ ญาจะซื้ อ จะขายกั น ครบถ้ ว นเรี ย บร้ อ ยตั้ ง เมื่ อ เดื อ น พฤษภาคม 2533 โดยนาย น. ก็ได้มีการส่งมอบที่ดินให้แก่ นาย อ. และนาย อ. ก็ได้เข้าครอบครองและทำ�ประโยชน์ใน ทีด่ นิ แปลงนัน้ ตัง้ แต่นนั้ ตลอดมา แต่ทงั้ สองฝ่ายยังไม่ได้มกี าร ไปจดทะเบียนโอนที่ดินแปลงดังกล่าวให้แก่กัน ต่อมาเมื่อวันเวลาผ่านมานาน นาย อ. ก็นึกขึ้นมาได้ ว่าตัง้ แต่ทไี่ ด้ท�ำ สัญญาจะซือ้ จะขายทีด่ นิ กับนาย น. มาจนเวลา ผ่านมาหลายปีแล้วและก็ได้มกี ารชำ�ระเงินค่าทีด่ นิ ครบถ้วนมา ตั้งแต่แรกแล้วด้วยนั้น ปัจจุบันยังไม่ได้มีการจดทะเบียนโอน ที่ดินให้แก่กันเลยจึงมีความคิดขึ้นมาว่าควรที่จะต้องไปขอให้ นาย น. จดทะเบียนโอนที่ดินให้แก่ตนได้แล้ว เมื่อมีความคิด ที่ต้องการที่จะให้ นาย น. จดทะเบียนโอนที่ดินแปลงที่ได้มี การตกลงทำ�สัญญาจะซื้อจะขายกันไว้เช่นนี้ นาย อ. จึงได้ ติดต่อไปยัง นาย น. เพื่อขอให้ นาย น. ไปจดทะเบียนโอน ที่ดินให้

เมื่ อ วั น เวลาเปลี่ ย นไปความคิ ด ของคนก็ ย่ อ ม เปลี่ยนแปลงไปได้เช่นกัน เหมือนดังเช่นนาย น. ก็มีความคิด เปลีย่ นไป กล่าวคือแต่เดิมเมือ่ ปี พ.ศ. 2533 ความคิดของนาย น. คือต้องการขายทีด่ นิ ให้นาย อ. โดยตกลงจะไปจดทะเบียน โอนให้แก่กัน แต่เมื่อวันเวลาเปลี่ยนมาเป็นปี พ.ศ. 2551 ความคิดของ นาย น. ก็เปลีย่ นแปลงไปตามวันเวลา โดยความ คิดของ นาย น. ตอนนี้เปลี่ยนจากเดิมที่คิดจะไปจดทะเบียน โอนที่ดินให้แก่ นาย อ. มาเป็นไม่ต้องการที่จะจดทะเบียน โอนที่ดินแปลงดังกล่าวให้แก่ นาย อ. แล้ว และเมื่อนาย น. มีความคิดเช่นนีก้ แ็ น่นอนว่าไม่เป็นผลดีสำ�หรับนาย อ. เพราะ เงินค่าที่ดินก็จ่ายไปครบถ้วนหมดแล้วแต่กลับไม่ยอมไปจด ทะเบียนโอนที่ดินให้ อย่างนี้มันเป็นการโต้แย้งสิทธิกันชัด ๆ นาย อ. จึงทวงถามนาย น. ย้�ำ อีกครัง้ ว่าตกลงจะไปจดทะเบียน โอนทีด่ นิ ให้แก่กนั หรือไม่ ปรากฏว่านาย น. ก็เพิกเฉยไม่สนใจ ใยดีที่จะไปจดทะเบียนโอนที่ดินให้แก่ นาย อ. และเมื่อนาย อ. ได้เห็นพฤติการณ์ของนาย น. เช่นนี้ แล้ว เหตุการณ์ก็ค่อนข้างจะชัดเจนแล้วว่า นาย น. คงจะไม่ ยอมไปจดทะเบียนโอนที่ดินให้แก่ตนแน่ จึงได้ไปติดต่อหา ทนายความเพื่อไปใช้สิทธิเรียกร้องของตนตามกฎหมาย และ ในที่สุดทนายความที่ นาย อ. ได้ติดต่อมาก็ได้ยื่นฟ้องคดีต่อ ศาลเมื่อเดือนกันยายน 2551 โดยได้มีการฟ้องต่อศาลขอให้ ศาลบังคับให้ นาย น. ไปจดทะเบียนโอนทีด่ นิ แปลงทีไ่ ด้มกี าร ตกลงทำ�สัญญาจะซือ้ จะขายกันไว้ดงั กล่าวนีใ้ ห้แก่ นาย อ. และ หาก นาย น. ไปยอมไปจดทะเบียนโอนที่ดินให้ก็ให้ถือเอา คำ�พิพากษาของศาลแทนการแสดงเจตนาของนาย น. หลังจากที่ทนายความของ นาย อ. ได้ยื่นฟ้องคดีต่อ ศาลแล้ว ศาลก็ได้ส่งหมายเรียกและสำ�เนาคำ�ฟ้องให้แก่ นาย น. เพื่อให้ยื่นคำ�ให้การต่อสู้คดี และเมื่อ นาย น. ได้รับหมาย เรียกสำ�เนาคำ�ฟ้องจากศาลแล้ว นาย น. ก็ได้ไปติดต่อหา ทนายความเพื่อต่อสู้คดี และทนายความของ นาย น. ก็ได้ ยืน่ คำ�ให้การต่อสูค้ ดีและยังฟ้องแย้งมาอีกด้วย โดยขอให้ศาล พิพากษายกฟ้องและให้ขับไล่ นาย อ. และบริวารออกไป จากทีด่ นิ แต่ศาลชัน้ ต้นก็มคี ำ�สัง่ ให้รบั เฉพาะคำ�ให้การ ไม่รบั ฟ้องแย้ง เมื่อ นาย อ. ฟ้องกล่าวหามาและ นาย น. ให้การ ปฏิเสธเช่นนี้ ศาลจึงให้ทั้งสองฝ่ายนำ�พยานหลักฐานมาสืบ ตามข้อกล่าวอ้างของแต่ละฝ่าย และเมื่อทั้งสองฝ่ายนำ�พยาน หลักฐานมาสืบจนครบถ้วนแล้ว ศาลชั้นต้นก็พิพากษาให้ ยกฟ้องของโจทก์ก็คือ นาย อ. เป็นธรรมดาของคดีที่มีการต่อสู้กันย่อมจะต้องมีฝ่าย หนึ่งแพ้ และอีกฝ่ายหนึ่งเป็นผู้ชนะ ซึ่งผู้ที่ชนะคดีในศาลชั้น ต้นก็คือ นาย น. และก็แน่นอนว่า นาย น. ซึ่งเป็นฝ่ายชนะ คดีย่อมต้องพอใจในผลแห่งคำ�พิพากษาจึงไม่อุทธรณ์ แต่ก็ ย่อมสวนทางกับ นาย อ. ที่เป็นเป็นฝ่ายคดีย่อมต้องไม่พอใจ และไม่เห็นพ้องด้วยกับคำ�พิพากษาของศาลชั้นต้น และเมื่อ นาย อ. ไม่พอใจและไม่เห็นพ้องด้วยกับคำ�พิพากษาของศาล ชั้นต้น สิ่งที่ นาย อ. จะแก้ไขได้ก็คือการอุทธรณ์คัดค้านคำ� พิพากษาของศาลชั้นต้นต่อศาลอุทธรณ์ ซึ่งนาย อ. ก็ได้ยื่น อุทธรณ์ต่อศาลอุทธรณ์ และเมื่อศาลอุทธรณ์ได้พิจารณาแล้วก็เห็นว่าอุทธรณ์ ของ นาย อ. ฟังขึ้น จึงได้มีคำ�พิพากษากลับคำ�พิพากษาของ ศาลชั้นต้น โดยพิพากษาให้จำ�เลยคือ นาย น. โอนที่ดิน น.ส.

3 ก. ที่ได้มีการทำ�สัญญาจะซื้อจะขายกันดังกล่าวให้แก่โจทก์

คือ นาย อ. หาก นาย น. ไม่ด�ำ เนินการก็ให้ถอื เอาคำ�พิพากษา ของศาลแทนการแสดงเจตนาของ นาย น. ในศาลชั้นต้น นาย น. เป็นฝ่ายชนะคดี แต่พอมาใน ชัน้ อุทธรณ์กลับเป็น นาย อ. ทีเ่ ป็นฝ่ายชนะคดี ซึง่ เมือ่ ศาลชัน้ ต้นและศาลอุทธรณ์ตัดสินตรงข้ามกันอย่างนี้ ฝ่ายที่ต้องเสีย ประโยชน์ตามคำ�พิพากษาในขณะนี้ก็คือ นาย น. ซึ่งย่อมต้อง ไม่พอใจและไม่เห็นพ้องด้วยแน่ เมือ่ ไม่พอใจและไม่เห็นด้วย กับคำ�พิพากษาของศาลอุทธรณ์ หนทางเดียวที่ นาย น. จะ แก้ไขได้ก็คือต้องยื่นฎีกาคัดค้านคำ�พิพากษาของศาลอุทธรณ์ และนาย น. ก็ได้ยื่นฎีกาคัดค้านทำ�นองว่า การที่ศาลอุทธรณ์ รับฟังว่า โจทก์ชำ�ระเงินค่าที่ดินพิพาทแก่จำ�เลยครบถ้วนแล้ว เมื่อเดือนพฤษภาคม 2533 สัญญาจะซื้อจะขายที่ดินพิพาทจึง ต้องเป็นสัญญาซื้อขายเสร็จเด็ดขาด สิทธิเรียกร้องของโจทก์ที่ จะให้จำ�เลยปฏิบัติตามสัญญาจึงเกิดขึ้นนับแต่วันถัดจากวันที่ โจทก์ช�ำ ระเงินครบถ้วนเป็นต้นไป เมือ่ โจทก์น�ำ คดีมาฟ้องเมือ่ วันที่ 23 กันยายน 2551 จึงเกิน 10 ปี นับแต่วันที่โจทก์อาจ ใช้สิทธิเรียกร้อง คดีโจทก์จึงขาดอายุความ ตามประมวล กฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 193/9 ประกอบมาตรา 193/30 เมื่อจำ�เลยคือ นาย น. ยื่นฎีกาอ้างเหตุผลข้อเท็จจริง และข้อกฎหมายมาดังนี้ ศาลฎีกาท่านจะเห็นชอบด้วยกับฎีกา ของ นาย น. หรือไม่ หรือจะเห็นว่าคำ�วินจิ ฉัยและคำ�พิพากษา ของศาลอุทธรณ์นนั้ ชอบแล้วกันแน่ และทีส่ ดุ แล้วศาลฎีกาท่าน ก็ได้วินิจฉัยชี้ขาดมาแล้ว ส่วนท่านจะวินิจฉัยอย่างไรมาเปิด ฎีกาดูกันว่า ศาลฎีกาท่านวินิจฉัยชี้ขาดเพื่อปิดคดีนี้อย่างไร ดังคำ�พิพากษาศาลฎีกาต่อไปนี้ คำ�พิพากษาศาลฎีกาที่ 6230 / 2556 :

การที่โจทก์และจำ�เลยทำ�สัญญาจะซื้อจะขายที่ดิน พิพาท แล้วโจทก์ช�ำ ระราคาทีด่ นิ พิพาทแก่จ�ำ เลยครบถ้วน และ จำ�เลยส่งมอบการครอบครองทีด่ นิ พิพาทให้แก่โจทก์ ทัง้ โจทก์ ก็ได้เข้าครอบครองที่ดินพิพาททำ�ประโยชน์ในที่ดินตลอดมา เพียงแต่ยังมิได้จดทะเบียนโอนที่ดินพิพาทแก่โจทก์ จำ�เลยยัง มีหน้าที่จะต้องชำ�ระแก่โจทก์คือการจดทะเบียนโอนที่ดิน พิพาท ซึง่ เป็นหนีอ้ นั เป็นคุณประโยชน์แก่โจทก์เกีย่ วด้วยทีด่ นิ พิพาทซึ่งครองอยู่นั้น โจทก์จะยึดหน่วงที่ดินพิพาทไว้จนกว่า จำ�เลยจะจดทะเบียนโอนที่ดินพิพาทแก่โจทก์ โจทก์จึงเป็น ผู้ทรงสิทธิยึดหน่วงที่ดินพิพาทตามมาตรา 241 แม้คดีโจทก์ ตามสั ญ ญาจะซื้ อ จะขายที่ ดิ น พิ พ าทจะขาดอายุ ค วามตาม มาตรา 193/30 ประกอบมาตรา 193/9 ก็ตาม แต่การที่โจทก์ เป็นผู้ทรงสิทธิยึดหน่วงเหนือที่ดินพิพาทของจำ�เลย โจทก์ยัง คงมีสิทธิบังคับชำ�ระหนี้โดยเรียกให้จำ�เลยจดทะเบียนโอน ที่ดินพิพาทซึ่งโจทก์ยึดถือไว้ได้ตามมาตรา 193/27 เมื่อเปิดฎีกาดูก็จะเห็นว่าในที่สุดศาลฎีกาท่านก็เห็น ว่าคำ�วินิจฉัยและคำ�พิพากษาของศาลอุทธรณ์นั้นชอบแล้ว ส่วนฎีกาของจำ�เลยนั้นฟังไม่ขึ้น โดยศาลฎีกาท่านยกหลัก กฎหมายในเรื่องของสิทธิยึดหน่วงที่ นาย อ. นั้นมีอยู่เหนือ ที่ดินพิพาท ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 241 ซึง่ ในเรือ่ งของผูท้ รงสิทธิยดึ หน่วงนัน้ แม้หนีท้ เี่ ป็นประธาน จะขาดอายุความ ผู้ทรงสิทธิยึดหน่วงก็ยังสามารถที่จะบังคับ เอากับทรัพย์สินที่ตนยึดหน่วงนั้นได้ ตามประมวลกฎหมาย แพ่งและพาณิชย์ มาตรา 193/27.

8

ข่าวสภาทนายความ ปีที่ 3 ฉบับที่ 4 เดือนเมษายน 2558

คุยอุปกันายกฝ่ บ ายสวัสดิการ

กองบรรณาธิการ

สำ�นักงานสวัสดิการและสิทธิประโยชน์สภาทนายความ แจ้งผลการดำ�เนินงานการ ฌาปนกิจสงเคราะห์ทนายความ (ณ วันที่ 31 มีนาคม 2558)

นายวิเชียร ชุบไธสง

อุปนายกฝ่ายสวัสดิการและสิทธิประโยชน์ฯ

หากเพื่อนสมาชิกทนายความท่านใดสนใจ โครงการต่างๆ ของสำ�นักงาน สวัสดิการและสิทธิประโยชน์ฯ หรือมีข้อสงสัยประการใด สามารถติดต่อ สอบถามรายละเอียดได้ที่ คุณธัญนุช หงษ์ทอง, คุณสลิตา รัตนวรรณ หมายเลขโทรศัพท์

0-2629-1430 ต่อ 128, 083-040-8662 E-mail : sawatdegan.law@gmail.com ได้ทุกวันและเวลาทำ�การ.

ข่าวสภาทนายความ ปีที่ 3 ฉบับที่ 4 เดือนเมษายน 2558

9

สัมมนากฎหมายใหม่ “ทวงหนี้อย่างไร...ไม่ติดคุก” :

วันที่ 4 เมษายน 2558 เวลา 9.00-16.30 น. ทีห่ อ้ งประชุมอาคารหอประชุมพ่อขุนรามคำ�แหงมหาราช มหาวิทยาลัยรามคำ�แหง กรุงเทพฯ : สภาทนายความฯ ร่วมกับสมาพันธ์ผบู้ ริหาร หนี้สถาบันการเงินแห่งประเทศไทย จัดสัมมนากฎหมายใหม่ “ทวงหนี้อย่างไร...ไม่ติดคุก” โดยนายเดชอุดม ไกรฤทธิ์ นายกสภาทนายความ เป็นประธานเปิดการสัมมนา พร้อมทั้งเป็น วิทยากรบรรยายในหัวข้อ “พระราชบัญญัติแก้ไขเพิ่มเติมประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ (ฉบับที่ 20) พ.ศ.2557” (ค้ำ�ประกัน จำ�นอง) นอกจากนี้ในการสัมมนายังมีการบรรยาย กฎหมายใหม่ในเรื่อง “พระราชบัญญัติคุ้มครองผู้บริโภค” โดยเลขาธิการคณะกรรมการคุ้มครองผู้บริโภค จากนั้นในช่วงบ่ายของการสัมมนาเป็นการบรรยายเรื่อง “พระราชบัญญัติวิธี พิจารณาคดีผู้บริโภค พ.ศ.2551” โดยประธานศาลอุทธรณ์แผนกคดีผู้บริโภค และปิดท้ายการสัมมนาด้วยเรื่อง “พระราชบัญญัติการทวงถามหนี้ พ.ศ.2558 และทวงหนี้อย่างไร... ไม่ติดคุก” โดยนายประชา ชัยสุวรรณ ประธานชมรมผู้ติดตามหนี้ที่เป็นธรรม และนายวิเชียร ชุบไธสง อุปนายกฝ่ายสวัสดิการและสิทธิประโยชน์สภาทนายความ ร่วมเป็นวิทยากร ทั้งนี้ มีผู้ให้ความสนใจเข้าร่วมสัมมนากว่า 2,700 คน.

ร่วมไว้อาลัย :

นายเดชอุดม ไกรฤทธิ์ นายกสภาทนายความ พร้อมด้วย นายวิทยา แก้วไทรหงวน กรรมการ บริหารสภาทนายความภาค 7, ทนายความและพนักงานสภาทนายความ ร่วมเป็นเจ้าภาพสวดพระอภิธรรมศพ นางสอ พันธ์รัศมี มารดาของทนายความภัทราวุฒิ พันธ์รัศมี ประธานสภาทนายความจังหวัดสุพรรณบุรี และ ได้มอบเงินช่วยเหลือสวัสดิการทนายความให้แก่ทายาท ที่บ้านในที่อำ�เภอดอนเจดีย์ จังหวัดสุพรรณบุรี เมื่อวันที่ 13 มีนาคม 2558

ที่ปรึกษาประจำ�กองบรรณาธิการ :

นายเดชอุดม ไกรฤทธิ์, นายสัก กอแสงเรือง, นายบำ�รุง ตันจิตติวัฒน์, นายเจษฎา อนุจารี, นายสุชาติ ธรรมาพิทักษ์กุล, นายพูนศักดิ์ บุญชู, ดร.สุธรรม วลัยเสถียร, นายสุมิตร มาศรังสรรค์, นางสาวอรอนงค์ เทศะบำ�รุง, นายธีรศักดิ์ วิชชุตานนท์, ผศ.ว่าที่ร้อยตรี ดร.สุรพล สินธุนาวา, นายชวน คงเพชร, นายชัยณรงค์ กัจฉปานันท์, นายวิเชียร ชุบไธสง, นายชลิต ขวัญแก้ว, นายสุรศักดิ์ รอนใหม่, นายพิเชษฐ คูหาทอง, นายอาสา เม่นแย้ม, นายผาติ หอกิตติกุล, นายวิทยา แก้วไทรหงวน, นายวันรัฐ นาคสุวรรณ, นายโอฬาร กุลวิจิตร

บรรณาธิการ : นายนิวัติ แก้วล้วน กองบรรณาธิการ : นายสุนทร พยัคฆ์, นายสุวทิ ย์

เชยอุบล, ดร.เกียรติศกั ดิ์ วรวิทย์รตั นกุล, นายไสว จิตเพียร, นายศุภกิจ หล่อพัฒนากูร, นายสุชาติ ชมกุล, นายสุรนิ ทร์ ทาซ้าย, นายวิบลู ย์ นาคทับทิม, ว่าทีร่ อ้ ยตรี สมชาย อามีน, นายคราศรี ลอยทอง, นายโอวาท จุลโคตร, นายเจษฎา คงรอด, นายสัมฤทธิ์ เชือ้ สาวถี, นายดนัย พุม่ เล็ก, นางสาวชืน่ ชนก วชิรธาราธาดร, ดร. วิเศษ แสงกาญจนวนิช, นางสาวนงลักษณ์ แตงเจริญ ผู้ช่วยกองบรรณาธิการ : นางสาวนัทธมน จันดี, นางสาวพรธิรา แจ้งสว่าง, นายไพศาล แก่ฉมิ

• ผลิตโดย สภาทนายความในพระบรมราชูปถัมภ์ เลขที่ 7/89 อาคาร 10 ถนนราชดำ�เนินกลาง แขวงบวรนิเวศ เขตพระนคร กรุงเทพฯ 10200 โทรศัพท์ : 0-2629-1430 ต่อ 129, 146 โทรสาร : 0-2282-9908

10

มุมกิจกรรม

ข่าวสภาทนายความ ปีที่ 3 ฉบับที่ 4 เดือนเมษายน 2558

บรรยากาศการจัดงานวันทนายความในภูมิภาคต่างๆ เกาะสมุย

ชัยภูมิ

ราชบุรี

ตรัง

ปราจีนบุรี

พิษณุโลก

อุดรธานี

อำ�นาจเจริญ สระบุรี

มุมกิจกรรม

ข่าวสภาทนายความ ปีที่ 3 ฉบับที่ 4 เดือนเมษายน 2558

11

ต้อนรับแขกต่างประเทศ :

เมื่อวันที่ 27 มีนาคม 2558 เวลา 14.30 น. ในการประชุมคณะกรรมการบริหารสภา ทนายความประจำ�เดือนมีนาคม 2558 : H.E. Ms. Kirsti Westphalen Ambassador The Embassy of Finland, Mr. Abdellatif Moufakkir The Embassy of Finland, Mr. Marc Spiegel Vice Chairman Joint Foreign Chamber of Commerce in Thailand and Mr.Pornpracha Wattanakijsiri President of Thai-Finnish Chamber of Commerce เดินทางเข้าเยี่ยมชมการบริหารงานของสภาทนายความ โดยนายเดชอุดม ไกรฤทธิ์ นายกสภา ทนายความ ซึ่งติดภารกิจในการเข้าร่วมประชุมคณะกรรมาธิการวิสามัญพิจารณาร่างแก้ไขพระราช บัญญัติวิธีพิจารณาความแพ่ง (ฉบับที่..) พ.ศ. .... (แก้ไขเพิ่มเติมการอุทธรณ์ฎีกา) สภานิติบัญญัติ แห่งชาติ ได้มอบหมายให้ ดร.สุธรรม วลัยเสถียร อุปนายกฝ่ายต่างประเทศ เป็นผู้แทน พร้อมด้วย กรรมการบริหารสภาทนายความ ร่วมให้การต้อนรับ แนะนำ�การบริหารงานของสภาทนายความ และ หารือเกี่ยวกับความสัมพันธ์ทางด้านกฎหมายระหว่างประเทศ

จากนั้นเวลา 16.30 น. ได้ให้การต้อนรับ Mr. Ito Junji Former Fisrt Secretary to The Embassy of Japan and Mr. Yuki Nakata Fisrt Secretary to The Embassy of Japan ใน โอกาสเข้าพบเพื่อแนะนำ�ตัวในโอกาสที่เดินทางมารับ ตำ�แหน่งใหม่ในสถานทูตญี่ปุ่นประจำ�ประเทศไทย ณ ห้องประชุมประธานดวงรัตน์ ชั้น 3 สภาทนายความ ถนนราชดำ�เนินกลาง กรุงเทพฯ.

เมื่อวันที่ 28 มีนาคม 2558 เวลา 9.45 น. ที่คณะนิติศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ท่าพระจันทร์ กรุงเทพฯ : นายเดชอุดม ไกรฤทธิ์ นายกสภาทนายความ ได้รับเกียรติเป็นวิทยากร ในงานวิชาการรำ�ลึกศาสตราจารย์ จิตติ ติงศภัทิย์ ครั้งที่ 20 เรื่อง หลักวิชาชีพนักกฎหมาย “ในยุคปฏิรูป” โดยมี ศ.ดร.คณิต ณ นคร ประธานกรรมการปฏิรูปกฎหมาย, ศ.พิเศษ ไพโรจน์ วายุภาพ อดีตประธานศาลฎีกา และนายประสงค์ เลิศรัตนวิสุทธิ์ ผู้อำ�นวยการบริหารสถาบันอิศรา เป็นวิทยากรร่วมบรรยายในหัวข้อดังกล่าวด้วย ทั้งนี้ก่อนเริ่มการสัมมนาวิชาการนั้น ศ.พิเศษ สิทธิโชค ศรีเจริญ ได้กล่าวปาฐกถานำ� เรื่อง “หลักวิชาชีพนักกฎหมาย” ทั้งยังได้รับเกียรติจากนักกฎหมาย อาวุโสหลายท่านร่วมฟังการสัมมนาด้วย อาทิ ศ.มารุต บุนนาค, นายสัก กอแสงเรือง, นายสมัคร เชาวภานันท์ เป็นต้น และมีผู้ให้ความสนใจเข้าร่วมงานสัมมนาทางวิชาการครั้งนี้กว่า 100 คน

นายเดชอุดม ไกรฤทธิ์ นายกสภาทนายความ ร่วมเป็นวิทยากร ในการประชุมเรื่อง “ธรรมาภิบาลและความโปร่งใสในภาครัฐและ เอกชน” (International Conference on Good Governance and Transparency in Public and Private Sectors) โดยบรรยายให้หัวข้อ “Good Governance and Transparency from Criminal Law Perspective” ทั้งนี้นายกสภาทนายความเป็นวิทยากรในหัวข้อดังกล่าวร่วมกับ ดร.กิตติ พงษ์ กิตยารักษ์ ผูอ้ �ำ นวยการสถาบันเพือ่ การยุตธิ รรมแห่งประเทศไทย และ Professor Matti Joutsen Director The European Institute for Crime Prevention and Control, affiliated with the United ณ ห้องจิ๊ด เศรษฐบุตร (LT1.) คณะนิติศาสตร์ มหาวิทยาธรรมศาสตร์ ท่าพระจันทร์ กรุงเทพฯ.

12

บ้านของเรา

ข่าวสภาทนายความ ปีที่ 3 ฉบับที่ 4 เดือนเมษายน 2558

ความคืบหน้าการก่อสร้างอาคารที่ทำ�การสภาทนายความ

ความคืบหน้าการก่อสร้างอาคารที่ทำ �การสภาทนายความ ณ วันที่ 24 มีนาคม 2558 : งานโครงสร้าง : กำ�ลังดำ�เนินการก่อสร้างในส่วนโครงสร้าง หลังคาดาดฟ้า ควบคู่ไปกับการติดตั้งระบบสาธารณูปโภคต่าง ๆ ภายใน อาคาร

ขอขอบคุณผู้ให้ยืม-บริจาคเงินสมทบกองทุนจัดซื้อที่ดินและก่อสร้างที่ทำ�การสภาทนายความ รายนามผู้บริจาคเงินสมทบกองทุนจัดซื้อที่ดินและ ก่อสร้างที่ทำ�การสภาทนายความ ดังนี้ ปี 2549 : (ต่อ)

นายสุทิน จามรสวัสดิ์ 2,000 บาท, นายสุกิจ คำ�ทา 2,000 บาท, นายเจษฎา อนุจารี 3,000 บาท, นายภาสวัฒน์ ปั้นมา 1,000 บาท, นายทองวิโรจน์ สง่าแสง 1,000 บาท, นายประสิทธิ์ บุญยืน 1,000 บาท, นายอินสอน ก้อนแก้ว 1,000 บาท, ส.อ.ชัยศักดิ์ คนชม 1,000 บาท, นายธานินทร์ อินทร์ณะราม 200 บาท, นายอรรถพร ตะนุสะ 100 บาท, นางเกษศิรินทร์ ตะนุสะ 100 บาท, คุณนภสร สังวาล 100 บาท, นายผจญ ประชากริช 5,000 บาท, พันโททวีศักดิ์ หงษ์ทอง 2,000 บาท, นายสงวน คงรักษา 1,000 บาท, นายอนันต์ สันตวิสิษฐ์ 1,000 บาท, ร.อ.สานิตย์ ฉายากุล 1,000 บาท, นายดำ�รงศักดิ์ รักยุติธรรมกุล 1,000 บาท, นายวัชระ ลดาวัลย์ 1,000 บาท, นางอมาวสี สิริเรืองบุญ 500 บาท, นายนิวัติ แก้วล้วน 10,000 บาท, บริษัทธรรมสาร จำ�กัด 5,000 บาท, สำ�นักงานกฎหมายปราโมทย์-วิรัตน์ 3,000 บาท, นายพิศาล ทิพย์พิมล 2,000 บาท, นายสมบูรณ์ อาจิณกิจ 1,000 บาท, นายธวัชชัย แตงหนู 1,000 บาท, นายสุดประสงค์ เหล่าศิริวุฒิ 1,000 บาท, คุณสุทธิกาญจน์ สุคันโธ 300 บาท, นาย นันทกร ไกรฤกษ์ 300 บาท, นายสุนทร พยัคฆ์ 300 บาท, นายธงชัย สระบัวทอง 100 บาท, นายชวน คงเพชร 10,099 บาท, ว่าที่ร.ต.นฤดล อบมา 5,000 บาท, พ.จ.อ.อภิรมย์ เกษกุล 500 บาท, นายโกมล วรพันธ์ 500 บาท, นายศฤงคาร สารชุม 500 บาท, นายปราโมทย์ ศรีไสทอง 200 บาท, คุณชนากานต์ คงดี 100 บาท สภาทนายความในพระบรมราชูปถัมภ

ËÇÁÊ‹§ÀÒ¾¢‹ÒÇ-º·¤ÇÒÁÁÒŧà¼Âá¾Ã‹ ไดที่ ¡Í§ºÃóҸԡÒÃ˹ѧÊ×;ÔÁ¾ ¢‹ÒÇÊÀÒ·¹Ò¤ÇÒÁ àÅ¢·Õè 7/89 ÍÒ¤Òà 10 ¶.ÃÒª´Óà¹Ô¹¡ÅÒ§ á¢Ç§ºÇùÔàÇÈ à¢µ¾Ãй¤Ã ¡ÃØ§à·¾Ï 10200

â·ÃÈѾ· 0-2629-1430 µ‹Í 129, 146 â·ÃÊÒà 0-2282-9908

Facebook : ÊÀÒ·¹Ò¤ÇÒÁã¹¾ÃкÃÁÃÒªÙ»¶ÑÁÀ

E-mail : lctnews2013@gmail.com

เลขที่ 7/89 อาคาร 10 ถ.ราชดำเนินกลาง แขวงบวรนิเวศ เขตพระนคร กรุงเทพฯ 10200 โทรศัพท 0-2629-1430 ตอ 129, 146 โทรสาร 0-2282-9908

ติดตามต่อได้ในฉบับหน้า...

ชำระคาฝากสงเปนรายเดือน ใบอนุญาตเลขที่ พ.211/2547

ปณ.ราชดำเนิน