นาฏศิลป์ไทย : การสังเคราะห์องค์ความรูจ้ ากวิทยานิพนธ์ดา้ นนาฏศิลป์ไทย
ซึ่งการออกแบบกรอบแนวคิดในการวิจยั มาจากการศึกษางานวิจยั ที่มีวิธีวจิ ยั แบบสังเคราะห์งานวิจยั และ งานวิจยั ทีส่ งั เคราะห์งานวิจยั ทีเ่ กีย่ วข้องกับนาฏศิลป์ไทย โดยเลือกกระบวนการสังเคราะห์งานวิจยั ด้วยการวิเคราะห์ เนื้อหา เนื่องจากวิทยานิพนธ์ทางด้านนาฏศิลป์ไทยเป็ นงานวิจยั เชิงคุณภาพ แล้วใช้สถิติ คือร้อยละและการแจกแจง ความถีส่ าหรับวิเคราะห์ขอ้ มูลเชิงปริมาณด้านคุณลักษณะในภาพรวมของวิทยานิพนธ์ทางด้านนาฏศิลป์ไทย โดยวิทยานิพนธ์ทางนาฏศิลป์ไทยที่ใช้สงั เคราะห์งานวิจยั นัน้ ไม่มกี ารตรวจสอบคุณภาพของวิทยานิพนธ์ เนื่อ งจากขัน้ ตอนการท าวิทยานิพ นธ์ มีกระบวนการกลันกรองอย่ ่ างเป็ นระบบ และมีผู้ทรงคุ ณวุฒิเป็ นคณะกรรมการ ตรวจสอบข้อมูลและวิธดี าเนินทางการวิจยั ของนิสติ ระดับมหาบัณฑิต รวมถึงการสอบประมวลความรูจ้ ากวิทยานิพนธ์ใน ขัน้ สุดท้ายก่อนจะลงนามอนุ มตั ิให้วิทยานิพนธ์ฉบับนัน้ ๆ ออกมาเผยแพร่ ผู้วิจยั จึงเพียงแต่ คดั เลือกวิทยานิพนธ์ท่ี เกีย่ วกับนาฏศิลป์ไทยโดยตรงหรือโดยอ้อมเท่านัน้ โดยพบว่าระหว่าง พ.ศ. 2538 – พ.ศ. 2549 มีงานวิทยานิพนธ์ทเ่ี ผยแพร่ จานวน 79 เล่ม ทีส่ ามารถนามาใช้เป็ นประชากรในการวิจยั ได้ ผลการวิจยั แบ่งออกเป็ น 2 ส่วน คือส่วนที่ 1 คือการวิเคราะห์คุณลักษณะ โดยใช้ลกั ษณะสภาพทัวไปและ ่ ระเบียบวิธวี จิ ยั เป็ นเกณฑ์ในการจัดหมวดหมู่ขอ้ มูล ส่วนประเด็นที่ศกึ ษาวิเคราะห์ของงานวิจยั ใช้องค์ประกอบของ นาฏศิลป์ไทยในการจัดหมวดหมู่ขอ้ มูล โดยเป็ นการวิจยั เชิงคุณลักษณะทีแ่ สดงค่าเป็ นตัวเลข คือ แสดงค่าการวิเคราะห์ ตามกลุ่มเนื้อหาและตัวแปรเป็ นการแจกแจงความถีแ่ ละหาค่าร้อยละ ส่วนที่ 2 การสังเคราะห์ผลของการวิจยั ด้วยเทคนิควิเคราะห์ขอ้ มูลเพื่อหาข้อสรุปตามทฤษฎีของ Krippendorff โดยใช้การแยกเนื้อหาเป็ นวงกลมย่อย (Loop) ตามวิธวี ิเคราะห์เนื้อหาของอุทุมพร จามรมาน มาใช้เป็ นการสรุป องค์ความรูท้ างนาฏศิลป์จากข้อค้นพบ 9.1
สรุปและอภิ ปรายผล ผลการวิ จยั ส่วนที่ 1 การวิเคราะห์ขอ้ มูลเชิงปริมาณ เพื่อให้เห็นภาพรวมของวิทยานิพนธ์ทางด้านนาฏศิลป์ไทย โดยสรุปได้ว่า วิทยานิพนธ์ทางด้านนาฏศิลป์ไทยทีใ่ ช้เป็ นประชากรในการศึกษา เป็ นงานวิจยั เชิงพรรณนาเป็ นส่วนใหญ่ซง่ึ สอดคล้อง กับการทีว่ ทิ ยานิพนธ์ทางด้านศิลปะจัดเป็ นงานวิจยั เชิงคุณภาพ โดยมุ่งเน้นศึกษาในการแสดงประเภทราเป็ นสาคัญ วิทยานิพนธ์ทางด้านนาฏศิลป์ไทย ร้อยละ 87.34 เป็ นงานวิทยานิพนธ์เชิงพรรณนาหรือบรรยาย ซึง่ เป็ น ลักษณะทีส่ อดคล้องว่างานวิจยั ทางด้านศิลปะส่วนใหญ่เป็ นงานวิจยั เชิงคุณภาพ มุ่งให้ความสาคัญกับการบรรยาย ลักษณะ กระบวนการและส่วนประกอบมากกว่า จานวนร้อยละ 84.81 ของประชากรทีใ่ ช้ในการทาวิทยานิพนธ์ทางด้านนาฏศิลป์ ซึง่ คือแหล่งข้อมูลเป็ นชุดการ แสดง ในรูปแบบนาฏศิลป์ไทยประเภทต่างๆ อาทิ การศึกษาระบาในโขน รากลมในการแสดงโขน ราลงสรงโทนในการ แสดงละครในเรื่องอิเหนา ร้อยละ 35.44 เป็ นการศึกษานาฏศิลป์ปรับปรุง ทัง้ นาฏศิลป์พน้ื บ้านและราชสานัก ครอบคลุมรูปแบบนาฏศิลป์ ไทยทัง้ หมด แต่มปี ริมาณการศึกษานาฏศิลป์ปรับปรุงมาก ทัง้ นี้อาจสันนิษฐานได้ว่า เนื่องนาฏศิลป์ปรับปรุงเกิดขึน้ ใหม่ ยังไม่มกี ารเขียนตาราทางวิชาการทีเ่ กีย่ วข้องกับประวัตคิ วามเป็ นมาและทฤษฏีต่างๆ จึงเกิดการเก็บรวบรวมและศึกษา วิเคราะห์ อีกทัง้ เป็ นการศึกษาเพื่อให้เห็นวิวฒ ั นาการของนาฏศิลป์ไทยแต่ละยุคสมัยด้วย ร้อยละ 40.54 ในประเด็นทีศ่ กึ ษาวิเคราะห์เกีย่ วกับองค์ประกอบการแสดง โดยมุ่งเน้นศึกษาวิเคราะห์เกีย่ วกับ การแสดง วิธกี ารและกระบวนการแสดงและร้อยละ 31.35 ศึกษาความเป็ นมาของเนื้อหาทีใ่ ช้ในการศึกษา ทัง้ นี้ขอ้ มูล จากการศึกษาวิเคราะห์ทศ่ี กึ ษาเกีย่ วกับองค์ประกอบการแสดงและประวัตคิ วามเป็ นมา เพื่อให้เข้าใจถึงบริบทของการ แสดงแต่ละชุดต้องมีการศึกษาถึงประวัตคิ วามเป็ นมาของชุดการแสดง เพื่อเข้าใจในองค์ประกอบการแสดงมากยิง่ ขึน้
199