บทคัดย่อ งานวิจยั เรื่องนี้มวี ตั ถุประสงค์เพื่อวิเคราะห์ลกั ษณะงานวิทยานิพนธ์และสังเคราะห์องค์ความรูท้ างนาฏศิลป์ไทย ประชากรที่ศึกษา คือ วิทยานิพนธ์ระดับมหาบัณฑิตของสาขานาฏยศิลป์ไทย จุฬาลงกรณ์ มหาวิทยาลัย ระหว่าง พ.ศ. 2537 – พ.ศ. 2549 จานวน 79 เรื่อง การวิจยั แบ่งออกเป็ น 2 ส่วน คือส่วนที่ 1 การวิเคราะห์คุณลักษณะ ได้แก่ปีทท่ี างานวิจยั ประเภทของการวิจยั ประชากร ประเภทของเนื้อหาทีว่ จิ ยั ประเด็นทีศ่ กึ ษาวิเคราะห์ วิธกี ารเก็บรวบรวมข้อมูล การวิเคราะห์ขอ้ มูล และ ประโยชน์ของการวิจยั ส่วนที่ 2 การสังเคราะห์ผลของการวิจยั ด้วยเทคนิควิเคราะห์ขอ้ มูลเพื่อหาข้อสรุปตามทฤษฎี ของ Krippendorff โดยใช้การแยกเนื้อหาเป็ นวงกลมย่อย (Loop) ตามวิธวี เิ คราะห์เนื้อหาของอุทุมพร จามรมาน มาใช้ เป็ นการสรุปองค์ความรูท้ างนาฏศิลป์ ผลการศึกษาพบว่า ภาพรวมคุ ณ ลัก ษณะของวิ ท ยานิ พ นธ์ ท างด้ า นนาฏศิล ป์ ไทย มีลัก ษณะดัง นี้ 1.พ.ศ.2543 เป็ น ปี ท่ี ทาการศึกษามากทีส่ ดุ คิดเป็ นร้อยละ 15.19 2.งานวิจยั เชิงพรรณา เป็ นประเภทงานวิจยั ทีท่ าการศึกษามากทีส่ ุด คิด เป็ นร้อยละ 87.34 3.รา เป็ นประชากรและกลุ่มตัวอย่างทีศ่ กึ ษามากทีส่ ดุ คิดเป็ นร้อยละ 84.81 4.นาฏศิลป์ปรับปรุง เป็ นเนื้อหาทีใ่ ช้ในการศึกษามากทีส่ ุด คิดเป็ นร้อยละ 35.44 5.องค์ประกอบการแสดง ด้านประวัตคิ วามเป็ นมาของ การแสดง วิธกี ารและกระบวนการแสดง เป็ นประเด็นทีท่ าการวิเคราะห์มากที่สุด คิดเป็ นร้อยละ 40.54 6.การศึกษา เอกสารและการสัมภาษณ์จากศิลปิ น ครู ผูเ้ ชีย่ วชาญ เป็ นวิธกี ารรวบรวมข้อมูลในปริมาณทีเ่ ท่ากัน ในร้อยละ 26.24 และ 7.การอนุรกั ษ์ เป็ นประโยชน์ทไ่ี ด้จากการศึกษามากทีส่ ดุ คิดเป็ นร้อยละ 40.24 องค์ความรูว้ ทิ ยานิพนธ์ท่เี กีย่ วกับ ั ราและระบา พบว่าในปจจุบนั มีทงั ้ รูปแบบราชสานักดัง้ เดิม ราชสานักปรับปรุง แบบพืน้ บ้านดัง้ เดิมและพืน้ บ้านปรับปรุง และมีงานนาฏศิลป์ไทยร่วมสมัยซึง่ สร้างสรรค์บนพืน้ ฐานทางด้านนาฏศิลป์ไทย นาเสนอด้วยการการตีความในมุมมอง ใหม่ องค์ความรู้จากวิทยานิพนธ์เกี่ยวกับโขนพบว่า ในปจั จุบนั มีโขนตามแบบราชสานัก และโขนของชาวบ้าน เรียกว่า โขนสด ทัง้ 2 รูปแบบ มีกระบวนการหลักคล้ายกันคือ เริม่ จากการคัดเลือกแบ่งประเภทตัวโขน การฝึ กหัดท่า พืน้ ฐาน ก่อนจะได้รบั การฝึกหัดเพื่อรับบทบาทแสดงเป็ นตัวละครในเรื่องรามเกียรติ ์ องค์ความรูจ้ ากวิทยานิพนธ์เกีย่ วกับละคร พบว่า มีรปู แบบละคร 3 รูปแบบ คือละคร แบบราชสานัก ละคร พืน้ บ้าน และละครแบบปรับปรุงบนพืน้ ฐานของละครแบบราชสานักหรือละครพืน้ บ้าน โดยพบว่านาฏยลักษณ์ของท่ารา ในละครแบบราชสานักหรือรามาตรฐาน เป็ นการแสดงทีต่ อ้ งใช้พลังในการถ่ายทอดด้วยการเกร็งกล้ามเนื้อ การผ่อน คลายกล้ามเนื้อเพื่อให้การความกลมกลืนของการเรียงร้อยท่าราให้เป็ นกระบวนท่ารา ด้านการแสดงละครพืน้ บ้าน ความ เชื่อเกีย่ วกับการนับถือสิง่ ศักดิสิ์ ทธิ ์ ความเชื่อเรื่องไสยศาสตร์ มีบทบาทในการแสดงมากกว่าละครในราชสานัก องค์ค วามรู้จากวิทยานิพ นธ์เ กี่ยวกับการละเล่น แบ่ง ออกเป็ น 2 ประเภท คือการละเล่น ของหลวงและ การละเล่นพืน้ บ้านพืน้ เมือง โดยการละเล่นของหลวงเป็ นการแสดงสมโภชในงานพระราชพิธขี องหลวงทีส่ าคัญ ด้ า น การละเล่นของชาวบ้าน มีการดาเนินการโดยชาวบ้านและมักมีหวั หน้าชุมชนเป็ นหัวหน้ากลุ่ม และมีหน่ วยงานราชการ เข้ามามีบทบาทในการสนับสนุน เนื่องจากใช้เป็ นการสร้างความสามัคคีในหมู่คณะ และเสริมสร้างธุรกิจการท่องเทีย่ วให้ มีความดึงดูดใจ จากการสังเคราะห์วทิ ยานิพนธ์ทางนาฏศิลป์ไทย พบองค์ความรูใ้ หม่ทเ่ี กิดจากการค้นคว้าอย่างเป็ นระบบและ เชื่อ ถือ ได้ จึง ควรมีก ารปรับ ปรุ ง เนื้ อ หาต าราทางวิช าการเพื่อ เผยแพร่ อ งค์ค วามรู้ใ หม่ และควรมีก ารสัง เคราะห์ วิทยานิพนธ์ทางด้านนาฏศิลป์ไทยทุก 10 ปี การศึกษา เพื่อเป็ นการรวบรวมหัวข้อและเติมเต็มองค์ความรูท้ เ่ี กิดจากการ สังเคราะห์วทิ ยานิพนธ์ในปี การศึกษาก่อนหน้า อีกทัง้ ควรมีการสังเคราะห์วทิ ยานิพนธ์ทม่ี หี วั ข้อเกีย่ วข้องกับนาฏศิลป์ ไทย เพื่อให้เกิดองค์ความรูท้ ค่ี รอบคลุมมากยิง่ ขึน้ ก