ทดลองอ่าน ย้อนเวลาขึ้นเป็นอ๋อง เล่ม 1

Page 1




เล่ม 1 ตอน ไฟสงครามปะทุ


ก า ร อ่ า น คื อ ก า ร บ่ ม เ พ า ะ

เมล็ดพันธุ์แห่งปัญญา

ท่องไปในโลกหนังสือออนไลน์ของพวกเราชาว

ได้ที่...

website www.smm.co.th, www.boolimthai.com facebook www.facebook.com/siaminterbooks


ข้อมูลทางบรรณานุกรม เยี่ยกวน เขียน, น.นพรัตน์ แปล. ย้อนเวลาขึ้นเป็นอ๋อง เล่ม 1. -- กรุงเทพฯ : สยามอินเตอร์บุ๊ค, 2560. 280 หน้า. 1.นวนิยายจีนแปล. I.ชื่อเรื่อง. ISBN : 978-616-410-430-3

ชื่อหนังสือ : ย้อนเวลาขึ้นเป็นอ๋อง เล่ม 1 ผู้เขียน : เยี่ยกวน ผู้แปล : น.นพรัตน์ พิมพ์ครั้งที่หนึ่ง : มกราคม 2560 จำ�นวน : 280 หน้า ราคา : 230 บาท <<回到明朝當王爺>>

Vol. 1 All rights reserved. Original story and characters created and copyright © Author : 月關 Yue Guan Thai edition rights under license granted by Shanghai Yuewen Information Technology Co., Ltd. (www.qidian.com) Thai translation copyright © 2017 Siam Inter Multimedia Public Co., Ltd., Thai edition arranged through Pelican Media Agency Ltd., Taiwan ลิขสิทธิ์ฉบับภาษาไทยเป็นของ สำ�นักพิมพ์สยามอินเตอร์บุ๊ค ภายใต้การดูแลของ บริษัท สยามอินเตอร์มัลติมีเดีย จำ�กัด (มหาชน) อย่างถูกต้องตามกฎหมาย ห้ามลอกเลียนแบบส่วนใดส่วนหนึ่งของหนังสือเล่มนี้ รวมทั้งการจัดเก็บ ถ่ายทอด ไม่ว่ารูปแบบ หรือวิธีการใดๆ ในกระบวนการอิเล็กทรอนิกส์ การบันทึก การถ่ายภาพ หรือวิธีการใดโดยไม่ได้รับอนุญาต ยกเว้นเพื่อการประชาสัมพันธ์หนังสือเท่านั้น ผู้จัดพิมพ์ คณะที่ปรึกษา บรรณาธิการบริหาร กองบรรณาธิการ เลขานุการกองบรรณาธิการ หัวหน้าแผนกศิลปกรรม กองงานปกและสื่อสิ่งพิมพ์ หัวหน้าแผนกศิลปกรรม กองงานศิลปกรรมออกแบบรูปเล่ม กองงานศิลปกรรม ออกแบบปก จัดรูปเล่ม หัวหน้ากองงานพิสูจน์อักษร รองหัวหน้ากองงานพิสูจน์อักษร พิสูจน์อักษร ผู้อำ�นวยการใหญ่สายงานธุรกิจสิ่งพิมพ์ ผู้อำ�นวยการฝ่ายประชาสัมพันธ์ ผู้อำ�นวยการฝ่ายต่างประเทศ ผู้อำ�นวยการใหญ่สายการผลิตและพัฒนาสินค้า ฝ่ายการผลิต แยกสี พิมพ์ที่ จัดจำ�หน่ายทั่วประเทศ

สำ�นักพิมพ์สยามอินเตอร์บุ๊ค ระวิ โหลทอง, สมชาย กรุสวนสมบัติ, สฤษฎกุล แจ่มสมบูรณ์, วิฑูรย์ นิรันตราย, อัญชลีพร ธีระสินธุ์, วิรัตน์ ทีฆพุฒิสกุล, ปราชญ์ ไชยคำ�, ธัญญรัตน์ สิทธิ์ธนาวิธาน, ภูษณาภรณ์ เกษเมธีการุณ สิทธิเดช แสนสมบูรณ์สุข ณัฐพล จันทรวินิจ, จักรี อินต๊ะปา ปฏิญญา ชูภักดี ประพัทธ์ รัตนธารี เบญจภัทร บุญบงกชรัตน์ ธนิดา จุลจินดา, จรัสพรรณ มากรอด, นุตประวีณ์ อำ�นวยวิทย์ Choi Da Kong เบญจภัทร บุญบงกชรัตน์ สุชาดา บุญเสริมเจริญสุข พรทิพย์ พวงจำ�ปา ต้นหลิว ดวงตา เทียมทัด ณิชนันทน์ วิบูลย์ศิริวงศ์ กิตติวัฒน์ นิรันตราย ชูชัย ศิระจินดา ปฏิวัติ มัชถาประเท, ยุวศรี หิรัญโน S.S.Film Process บริษัท สยามพรินท์ จำ�กัด บริษัท สยามอินเตอร์มัลติมีเดีย จำ�กัด (มหาชน) 459 ซ.ลาดพร้าว 48 แขวงสามเสนนอก เขตห้วยขวาง กรุงเทพฯ 10310 โทร. 0-2694-3031-33 ต่อ 1601-1607, 0-2276-5035-39 ลูกค้าสัมพันธ์ : โทร. 0-2693-0904


6


7

ค�ำน�ำส�ำนักพิมพ์ “ย้ อ นเวลาขึ้ น เป็ น อ๋ อ ง” เป็ น นวนิ ย ายอิ ง ประวั ติ ศ าสตร์ ข อง “เยี่ยกวน” หนึ่งในนักเขียนยอดนิยมแห่งยุคของโลกนวนิยายจีนยุคนี้ เรื่องราวเล่าถึงบุรุษหนุ่มเซลส์แมนผู้หนึ่งในยุคปัจจุบัน วิญญาณ กลับย้อนไปยังสมัยราชวงศ์หมิง อยู่ในร่างบุรุษหนุ่ม บัณฑิตซิ่วไฉนาม “หยางหลิง” เขาไม่มีปณิธานอันยิ่งใหญ่ใด หากแต่ที่เขาย้อนเวลามานี้ เพียง ต้องการเสพสุขให้สมกับเป็นอ๋อง! หากครั้งหนึ่งคุณเคยประทับใจกับ “พยัคฆราชซ่อนเล็บ” มาแล้ว นี่ คือผลงานเรื่องเยี่ยมอีกชิ้นของเยี่ยกวนที่คุณไม่สมควรพลาดด้วยประการ ทั้งปวง!


8

ค�ำน�ำผู้แปล เรื่ อ งย้ อ นเวลาขึ้ น เป็ น อ๋ อ ง เป็ น ผลงานของเยี่ ย กวน นั ก เขี ย น นวนิยายอิงประวัติศาสตร์ที่เลื่องชื่อที่สุดของจีนแผ่นดินใหญ่ ส�ำนักพิมพ์ สยามอินเตอร์บุ๊คจัดพิมพ์จ�ำหน่าย โดยได้รับมอบลิขสิทธิ์จากเจ้าของบท ประพันธ์อย่างถูกต้องตามกฎหมาย ย้อนเวลาขึ้นเป็นอ๋อง แปล-เรียบเรียงจากต้นฉบับภาษาจีนเรื่อง หุยเต้าหมิงเฉาตังหวังแหย เป็นนวนิยายอิงประวัติศาสตร์ที่สร้างชื่อให้กับ เยี่ยกวน ขณะที่เรื่องนี้น�ำลงในเว็บไซต์ฉีเตี่ยนจงเหวิน ชื่อหุยเต้าหมิงเฉา ตังหวังแหย หรือที่ถูกย่อเหลือเพียงค�ำว่าหุยหมิง (กลับคืนหมิง) เป็นหนึ่ง ในสิบชื่อที่ถูกสืบค้นมากที่สุดใน Google ฉบับภาษาจีน เมื่อเป็นฉบับ ภาษาไทย จึงขอใช้ชื่อว่าย้อนเวลาขึ้นเป็นอ๋อง เยี่ยกวนเขียนเรื่องนี้ก่อนจิ่นอีเย่สิง หรือพยัคฆราชซ่อนเล็บ แต่ พยัคฆราชซ่อนเล็บเขียนถึงเหตุการณ์ปลายรัชสมัยหงอู่ฮ่องเต้จนถึง หย่งเล่อฮ่องเต้ ส่วนย้อนเวลาขึ้นเป็นอ๋องเป็นเหตุการณ์หลังจากนั้นอีก ร้อยปีเศษ ในรัชสมัยเจิ้งเต๋อฮ่องเต้ ซึ่งได้ชื่อว่าเป็นฮ่องเต้เจ้าส�ำราญใน ประวัติศาสตร์จีน และชอว์บราเดอร์สเคยสร้างเป็นภาพยนตร์จอเงินเรื่อง เจียงซันเหม่ยเหยิน หรือจอมใจจักรพรรดิ น�ำแสดงโดย หลินไต้กับเจ้า


9

เหลย ทั้งยังก�ำกับโดย หลีฮั่นเสียง ย้อนเวลาขึ้นเป็นอ๋อง เขียนถึงนายหน้าขายประกันชีวิตเจิ้งเส้าเผิง ประสบอุบัติเหตุพลัดตกหน้าผา ขณะที่ร่วงลอยอยู่กลางอากาศยังไม่สิ้น ใจตาย ดวงวิญญาณก็ถูกปีศาจหน้าม้าหัววัวคร่ากุมกลับไปยมโลก มิคาด ตุลาการยมโลกบอกว่าอายุขยั ของมันยังไม่สนิ้ ได้แต่สง่ มันกลับสูโ่ ลกมนุษย์ แต่วา่ ซากศพของมันถูกเผาเป็นเถ้าถ่านแล้ว จ�ำต้องสิงร่างบุคคลอืน่ จนสิน้ อายุขัย แต่ด้วยเหตุบังเอิญแล้วบังเอิญเล่า เจิ้งเส้าเผิงสร้างบุญกุศลตาย แล้วตายอีก จนเป็นคนใจบุญเก้าชาติภพ หากว่าสร้างกุศลอีกครัง้ จะส�ำเร็จ เป็นพุทธะ หน้าม้าหัววัวจึงร้องขอให้ตลุ าการยมโลกส่งมันไปยังสถานทีซ่ งึ่ เจิ้งเส้าเผิงไม่มีวันส�ำเร็จเป็นพุทธะ นับเป็นงานเขียนย้อนเวลาตัวละครที่ แปลกพิสดารอย่างที่ ไม่เคยมีคนเขียนมาก่อน ตลอดทั้งเรื่องตื่นเต้น สนุกสนาน แทรกด้วยฉากพิศวาสชวนรัญจวน ตามสไตล์ของเยี่ยกวน หุยเต้าหมิงเฉาตังหวังแหย ได้รับการสร้างเป็นละครโทรทัศน์แล้ว แต่เนื่องจากรัฐบาลจีนแผ่นดินใหญ่ออกกฎสั่งห้ามถ่ายท�ำภาพยนตร์แนว ย้อนเวลา ทีมงานผู้สร้างจึงเปลี่ยนชื่อเรื่องเป็นหยางหลิงจ้วน (ชีวประวัติ หยางหลิง) ขอเชิญชวนแฟนพันธุ์แท้ของเยี่ยกวนพิสูจน์ดูว่า ย้อนเวลาขึ้นเป็น อ๋องสามารถเทียบเทียมพยัคฆราชซ่อนเล็บได้หรือไม่

น.นพรัตน์


10


11

คนใจบุญเก้าชาติภพ สะพานไน่เหอ* อันลี้ลับทอดยาวข้ามแม่น�้ำว่างชวน ยื่นถึงส่วนลึก อันเวิ้งว้าง เหล่าวิญญาณภูตผีที่เท้าไม่แตะสัมผัสพื้นสะอึกสะอื้นพลางดื่ม ยาน�้ำของเมิ่งผอ** ลงไป เดินสู่เส้นทางเกิดใหม่ซึ่งไม่ทราบว่าจะเป็น ประการใด ในห้วงลึกอันเวิง้ ว้างมีแรงดึงดูดชนิดหนึง่ เมือ่ วิญญาณภูตผีกา้ วขึน้ สะพาน จะไม่สามารถเหลียวหน้ากลับไป ได้แต่ล่องลอยไปข้างหน้า ประหนึ่งแมลงเม่าบินเข้ากองไฟ ยามนั้ น บั ง เกิ ด สุ ้ ม เสี ย งหนึ่ ง ร้ อ งว่ า “เราขออุ ท ธรณ์ เราขอยื่ น อุทธรณ์” พร้อมกับเสียงดัง ปรากฏชายหนุ่มหน้าตาหล่อเหลาผู้หนึ่งเดินมา จากฝั่งตรงข้ามของสะพานไน่เหอ มันใส่น�้ำมันแต่งผมจนมันวาว สวมชุด สูทที่ติดเกล็ดแก้วระยิบระยับ ลักษณะคล้ายนักร้องที่เพิ่งลงจากเวที เมิ่งผอคลายมือปล่อยยาน�้ำร่วงหล่นลง ใบหน้าที่เต็มไปด้วยริ้วรอย * ชือ่ สะพานทีท่ อดจากขุมนรกสูโ่ ลกมนุษย์ ตัง้ อยูห่ น้าต�ำหนักทีส่ บิ ของยมโลก ผูต้ ายทีย่ ากไร้หรือตายตัง้ แต่เยาว์วยั จะเดินข้าม สะพานเพื่อไปเกิดใหม่ ** เทพองค์หนึ่งในยมโลก มีหน้าที่ปรุงยาน�้ำชนิดหนึ่งให้วิญญาณภูตผีดื่มลงไป หลังจากนั้นจะลืมชีวิตในชาติภพก่อนจนหมด สิ้น


12

เหีย่ วย่นยิง่ ลึกลำ�้ กว่าเดิม นางพึมพ�ำว่า “ครัง้ ทีเ่ ก้า ครัง้ ทีเ่ ก้าแล้ว ตัวหายนะ นี้มาอีกแล้ว” ที่ด้านหลังของวิญญาณนักร้องตามติดด้วยภูตหน้าม้าหัววัว* สอง ตน ลูกตาของหัววัวเบิง่ จนโปนโต ใบหน้าของหน้าม้าก็ยดื ยาวกว่าหน้าของ ลา เนือ่ งเพราะเจิง้ เส้าเผิงซึง่ พวกมันนัดแนะเป็นการภายในว่าจะไม่ตอ้ นรับ ได้หวนกลับมาอีกแล้ว คนผู้นี้ผ่านการตายมาเก้าครั้งแล้ว การตายครั้งแรกเริ่มจากพลัด ตกลงจากรถกระเช้าที่ขึ้นเขาหนันชาง เนื่องจากก่อนตายมันรับร่างเด็ก หญิงอายุสามขวบ สร้างสมบุญกุศลไว้ จึงมีชีวิตบนโลกเพิ่มอีกสามปี แต่ หน้าม้าหัววัวที่รีบรุดกลับจากงานเลี้ยงแต่งลูกสาวของท่านยมบาล ไม่ทัน รอจนมันร่วงลงในหุบเหวก็คร่าวิญญาณมันกลับมา รอจนทั้งสองสร่างเมา พบว่าคร่ากุมวิญญาณผิด กายเนือ้ ของเจิง้ เส้าเผิงในโลกมนุษย์กถ็ กู เผาเป็น เถ้าถ่าน เพื่อปฏิเสธความรับผิดชอบ ได้แต่สมคบคิดกับชุยพ่านกวน** ส่ง มันกลับมายังโลกมนุษย์โดยการยืมศพคืนวิญญาณ ให้มันใช้ชีวิตสามปีนี้ จนหมดสิ้น มิคาดภายในหนึ่งปี มันกลับตายอย่างปัจจุบันทันด่วนถึงแปดครั้ง ไม่มีครั้งใดมีอายุเกินสองเดือน กล่าวไปนับว่าชุยพ่านกวนดีต่อมันไม่น้อย ครั้งแรกส่งไปสิงร่างเศรษฐีเมืองเวินโจวซึ่งเพิ่งจมน�้ำตายผู้หนึ่ง เศรษฐีผู้นี้ เปิดร้านเสื้อผ้าอาภรณ์สี่แห่ง มีสินทรัพย์สามร้อยล้านเหรียญ ปีนี้อายุหก สิบแปด แต่ภรรยาอายุเพียงยี่สิบแปดปี ยังมีเมียเก็บอีกสามคนอายุน้อย ยิ่งกว่า คนเล็กสุดเพียงสิบแปดปี ปัญหาอยูท่ เี่ ศรษฐีผนู้ ตี้ ายคาอ่าง ขณะทีอ่ าบนำ�้ ถูกภรรยาทีง่ ามหยด ย้อยจับกดนำ�้ ตายทัง้ เป็น วิญญาณของเจิง้ เส้าเผิงทีล่ อ่ งลอยอยูก่ ลางอากาศ * ตามค�ำเล่าขาน ยมบาลมีพลพรรคภูตผีสองตน หนึ่งหัวเป็นวัว หนึ่งหัวเป็นม้า ** พ่านกวน แปลว่า ตุลาการ เป็นขุนนางในปรโลก ดูแลบัญชีการเกิดการตายของมนุษย์ให้กับยมบาล


13

ถึงกับชมดูจนขนลุกเกรียว แต่แล้วถูกหน้าม้าหัววัวผลักเข้าสิงร่างเศรษฐี ร้อยล้านทั้งที่ไม่ยินยอม มันใช้เวลาครึ่งเดือน ท�ำความเข้าใจกับการด�ำเนินงานของบริษัท จากนัน้ แบ่งสมบัตหิ นึง่ ในสามส่วนให้กบั ภรรยาคูท่ กุ ข์คยู่ ากของเศรษฐี และ บุตรชายที่ถูกทอดทิ้งทั้งสอง ส่วนที่เหลือหาทางบริจาคให้กับองค์กรการ กุศล หนึ่งเดือนให้หลัง ภรรยาผู้เลอโฉมซึ่งเห็นมันตายแล้วฟื้นคืนชีพ ตลอดทั้งวันเอาแต่ใช้สายตาที่ประหลาดพิกลมองดูมันพลันเสียสติขึ้นมา ใช้มีดปอกผลไม้จ้วงแทงใส่มันไม่ย้ัง รอจนหน้าม้าหัววัวทราบข่าวรุดไป ซากศพของมันก็ถูกทิ่มแทงจนปรุพรุน ได้แต่หอบหิ้วมันลงสู่ยมโลก เจิ้งเส้าเผิงย่อมไม่บอกว่า มันตั้งข้อรังเกียจเศรษฐีเฒ่าว่า ส่วนที่ สมควรแข็งกลับอ่อนนุม่ ส่วนทีส่ มควรอ่อนกลับแข็งทือ่ ดังนัน้ คิดหาทีต่ าย ชุยพ่านกวนจึงส่งมันไปสิงร่างรองผูว้ า่ ราชการจังหวัดทีเ่ พิง่ ป่วยตายคนหนึง่ รองผู้ว่าราชการจังหวัดผู้นี้เพิ่งมีอายุสี่สิบแปดปี ถือว่ายังอยู่ในวัย ท�ำงาน พักอยูห่ อ้ งคนไข้พเิ ศษ บนร่างต่อท่อสายยางช่วยชีวติ ระโยงระยาง ตอนแรกทีเ่ ข้าโรงพยาบาล มีคนมาเยีย่ มไข้ไม่ขาดสาย เมือ่ แพทย์ทที่ �ำการ รักษาบอกให้ทางครอบครัวเตรียมจัดงานศพ ทัง้ หมดก็หายหน้าหายตาไป เจิ้งเส้าเผิงยังไม่เคยเป็นข้าราชการชั้นผู้ใหญ่เช่นนี้ จึงคิดสร้างผล งานให้กับตัวเอง แต่ไม่อาจทนทานรับภรรยาซึ่งอายุมากกว่ามารดาอีก หลายปี จึงนอนแช่อยู่ในโรงพยาบาลไม่ยอมกลับบ้าน หลังจากนั้นมันพบว่ารองผู้ว่าราชการจังหวัดผู้นี้ท�ำการฉ้อราษฎร์ บังหลวง จึงรวบรวมหลักฐานส่งไปยังคณะกรรมการปราบปรามการทุจริต ของมณฑล เมื่อทางการท�ำการไต่สวนคดีอย่างเคร่งเครียด มันก็ยินยอม ให้ข้าราชการที่สมรู้ร่วมคิดฆ่าตาย เจิ้งเส้าเผิงได้แต่ทอดถอนใจว่า ผู้คนไม่มีคนที่สมบูรณ์แบบ หรือว่า


14

ในโลกไม่มีชายหนุ่มรูปงามที่มั่งมีเงินทอง ทั้งงดงามสง่า? ซึ่งความจริงมิใช่ไม่มี เพียงแต่ต้องรอไปก่อน อย่างล�ำบากยากเย็น ครั้งที่แปดค่อยเข้าสิงร่างนักร้องหนุ่มที่มีชื่อเสียงโด่งดังผู้หนึ่ง นับว่าสม มาดปรารถนา จะได้ใช้ชีวิตที่เหลืออยู่สองปีให้ดี คิดไม่ถงึ มันตายอีกแล้ว อย่าว่าแต่ชยุ พ่านกวน แม้แต่หน้าม้าหัววัว ก็ร้อนใจจนแทบเสียสติแล้ว เจิ้งเส้าเผิงกลับหายใจโล่งอก เมื่อมันเข้าสิงร่างนักร้องหนุ่มที่เพิ่ง ป่วยตายไม่นาน ก็พบเห็นด้วยความตระหนกว่า ยอดรักนักร้องทีส่ ร้างความ คลั่งไคล้แก่หญิงสาวทั้งฮ่องกงไต้หวันกลับเป็นคนรักร่วมเพศ ทั้งยังสวม บทเป็นเกย์ควีน เจิง้ เส้าเผิงไม่อาจทนทานรับการรบกวนจากเด็กหนุม่ รูปกายก�ำย�ำที่ เป็นนักเต้นประกอบเพลงทั้งสอง เห็นว่าตนเองเป็นลูกผู้ชายชาตรี ไม่อาจ เสียศักดิ์ศรีได้ ดังนัน้ เอง เมือ่ ทางบริษทั ต้นสังกัดจัดให้มนั มาเปิดการแสดงการกุศล ช่วยผูป้ ระสบอุทกภัยทีจ่ นี แผ่นดินใหญ่ นักร้องทีเ่ พิง่ “ฟืน้ ไข้” บังเอิญพลัด ตกเวที ท้ายทอยกระแทกกับก้อนหินเล็กๆ ก้อนหนึ่ง ดวงวิญญาณอันคับ แค้นจึงล่องลอยสู่ยมโลก ............ ในต�ำหนักยมโลกเงียบสงัดงัน บนโต๊ะแปดเหลี่ยมสีด�ำกองสุมด้วย เอกสารสูงท่วมศีรษะคน แต่ไม่พบเห็นชุยพ่านกวน หน้าม้าหัววัวเดินเข้ามา เห็นบนโต๊ะแปดเหลี่ยมแบบโบราณจัดวาง เครื่องเสี่ยนซื่อชี่* ที่คล้ายกับเตี้ยนเน่า** ของโลกมนุษย์ ชุยพ่านกวนกลับ มุดอยู่ใต้โต๊ะ จึงร้องว่า “ใต้เท้าพ่านกวน ท่านอยู่ใต้โต๊ะท�ำอะไร?” * จอมอนิเตอร์ ** เครื่องคอมพิวเตอร์


15

ชุยพ่านกวนคืบคลานออกจากใต้โต๊ะ ท่านสวมเครื่องแบบโบราณสี แดง บนหมวกแพรด�ำเสียบขนนกสองเส้น ลักษณะคล้ายนายอ�ำเภอบน เวทีงิ้ว สองคิ้วหลุบต�่ำ ตาเล็กหยี ใบหน้าน้อยๆ ที่ยับย่นคล้ายรอยจีบบน ซาลาเปา ดูไปตลกขบขันอยู่บ้าง ชุยพ่านกวนทอดถอนใจกล่าวว่า “ยังมิใช่เพราะระบบ ‘เวินเต้าซื่อ ชาผีเลี่ยว*’ นับตั้งแต่ใช้มัน ประสิทธิผลในยมโลกดีขึ้น แต่ไม่กี่เดือนต้อง วางระบบใหม่ มีปัญหาไม่หยุดหย่อน ฟังว่าที่ต�ำหนักหลุนหุย (ต�ำหนัก วัฏสงสาร) ของจางพ่านกวนมีวญิ ญาณฉวยโอกาสทีร่ ะบบขัดข้อง ย้อนเวลา กลับไปเป็นพ่อพันธุ์ของม้าสมัยโบราณ ที่ค�ำกล่าวว่าคนมุ่งสู่ที่สูง พวกมัน กลับแย่งกันไปเป็นม้าลา ช่างขบคิดไม่เข้าใจจริงๆ” หน้าม้าหัววัวกลั้นหัวร่อไว้ คิดอ่านในใจ ท่านผู้เฒ่าอายุมากแล้ว ไม่ทราบว่าการเป็นพ่อพันธุ์ม้ามีประโยชน์อันใด เราไม่สะดวกกับการบอก ออกไป ดังนั้นหันเหหัวเรื่องว่า “ระบบมีปัญหาอันใด ต้องการให้เสี่ยวเซิน มาซ่อมแซมหรือไม่?” ชุยพ่านกวนสัน่ ศีรษะกล่าวว่า “ครัง้ นีม้ ปี ญั หาไม่มาก นัน่ คือหลังจาก เปิดเครื่อง แผ่นอิ่งเตี๋ย** สว่างวาบอยู่ครึ่งชั่วยามค่อยท�ำงาน เรารอจนนั่ง สัปหงกไป” หน้าม้ากล่าวว่า “ตอนแรกไยไม่เชิญยมบาลต่างชาติมาออกแบบ ฟังว่าท่านยมบาลก�ำลังเจรจากับยมบาลตะวันตก ให้พวกมันจัดส่งนัก ออกแบบปี้เอ่อไก้วา*** มาช่วยออกแบบให้” ชุยพ่านกวนสั่นศีรษะกล่าวว่า “ฟังว่าคนผู้นั้นลาพักร้อนไปยังโลก มนุษย์ บนบัญชีเป็นตายไม่มีชื่อของมัน ไม่ว่าผู้ใดก็ตามหามันไม่พบ ได้ แต่ทนใช้ไปก่อน ใช่แล้ว พวกท่านมิใช่ยนื่ ใบลาพักร้อนหรอกหรือ ยังรุดมา * เป็นค�ำสแลง หมายถึงระบบวินโดวส์ ** ฮาร์ดดิสก์ *** บิล เกตส์


16

ท�ำอะไร?” หัววัวฝืนหัวร่อกล่าวว่า “ใต้เท้า ผู้...ผู้ที่ไม่ต้องการมีชีวิตอยูก่ ลับมา อีกแล้ว อายุขัยสามปีผ่านไปเพียงปีเดียว ก็ผ่านการตายเก้าครั้ง ขอท่าน ผู้เฒ่านึกหาวิธีแก้ไข หากล่วงรู้ถึงท่านยมบาลก็ย�่ำแย่แล้ว” ชุยพ่านกวนพอฟัง กล้ามเนือ้ ใบหน้าพลันสัน่ กระตุกขึน้ มา เคาะแป้น พิมพ์หน้าเตี่ยนเน่าวุ่นวาย สร้างความตื่นเต้นตึงเครียดแก่หน้าม้าขึ้นมา ยื่นหน้าเข้ามาถามว่า “เป็นไรหรือ?” ชุยพ่านกวนกล่าวว่า “เตีย้ นเน่าของเราคงต้องวางระบบใหม่ ภายใน มีขยะมากเกินไป เป็นเหตุให้ท�ำงานชักช้า” หัววัวพอฟังได้แต่ยกมือลูบคล�ำหัววัวไม่กล่าวกระไร รอคอยอยู่ชั่วขณะ ชุยพ่านกวนพลันหน้าแปรเปลี่ยนไป ชี้มือไปบน จอภาพ ร�่ำร้องว่า “จบสิ้นแล้ว คราครั้งนี้จบสิ้นแล้ว หากทราบแต่แรกมิสู้ รายงานท่านยมบาลโดยตรง บอกว่าพวกท่านคร่าวิญญาณผิดไป” หน้าม้ากล่าวอย่างไม่ยนิ ยอมว่า “จบสิน้ อันใด มิใช่ในหนึง่ ปีกลับมา แปดครั้งหรอกหรือ อย่างมากในสองปีที่เหลือ คร่าวิญญาณมันกลับมาอีก สิบหกครั้ง” ชุยพ่านกวนกล่าวเสียงละห้อยว่า “ท่านดู หากนับรวมครั้งที่พวก ท่านคร่าวิญญาณผิดไป มันผ่านการตายเก้าครั้ง แต่ละครั้งล้วนตายเพราะ สร้างบุญกุศล ดังนัน้ ...” พลางสูดลมหายใจค�ำหนึง่ กล่าวว่า “ตอนนีม้ นั ถือ เป็นคนใจบุญเก้าชาติภพแล้ว” หัววัวรับฟังไม่เข้าใจ ทวนค�ำว่า “คนใจบุญเก้าชาติภพ หมายความ ว่าอย่างไร?” ชุยพ่านกวนร่างสั่นสะท้านขึ้นมากล่าวว่า “หากว่าตอนนี้ส่งมันกลับ โลกมนุษย์ จากนัน้ ตายเพราะสร้างบุญกุศล มันจะเป็นคนใจบุญสิบชาติภพ หลุดพ้นจากการเวียนว่ายตายเกิด ส�ำเร็จเป็นพุทธะแล้ว”


17

หน้าม้าหัววัวล้วนอ้าปากค้าง กล่าวอย่างไม่ยอมเชื่อว่า “เป็นไปไม่ ได้กระมัง?” ชุยพ่านกวนฝืนยิ้มพลางกล่าวว่า “บางครั้งการส�ำเร็จเป็นพุทธะขึ้น อยู่กับปรัตยยะ วันที่พระโพธิสัตว์กวนอิมสดับฟังธรรมพุทธองค์จนส�ำเร็จ เป็นพุทธะ ประจวบกับทางโลกบังเกิดพิบตั ภิ ยั พระองค์จงึ ตรัสว่า ‘ตราบใด ที่ไม่สง่ เสริมมวลส�ำ่ สัตว์ทงั้ หมด สาบานไม่ขอเป็นพุทธะ’ ดังนัน้ ชนชาวโลก แซ่ซ้องพระโพธิสัตว์กวนอิมกอปรด้วยมหากรุณา ยังมีพระกษิติครรภ โพธิสัตว์ก็ตรัสว่า ‘ตราบใดที่นรกไม่ว่างเปล่า สาบานไม่ขอเป็นพุทธะ’ ใน ใจเรากลับยึดถือพระองค์เป็นพุทธะที่แท้จริง “เพราะเหตุนี้เมื่อสามร้อยปีก่อน พุทธองค์เปล่งวาจาที่ภูเขาหลิง ซาน* ว่า หากแม้นมีปุถุชนใดสร้างกุศลสิบชาติภพ จะส�ำเร็จเป็นพุทธะ หากว่าเจ้าผู้นี้สร้างกุศลอีกครั้งแล้วตกตาย ก็จะส�ำเร็จเป็นพุทธะแล้ว” หน้าม้าหัววัวล้วนตะลึงลาน กล่าวว่า “อย่างนั้นท�ำอย่างไรดี?” ชุยพ่านกวนเดินพล่านไปมาในต�ำหนัก พลันกวักมือเรียกหาหน้าม้า หัววัวมาที่เบื้องหน้า ยกมือลูบหนวดมุสิก กล่าวว่า “เมื่อเตี้ยนเน่าของจาง พ่านกวนต�ำหนักหลุนหุย สามารถท�ำให้วิญญาณย้อนเวลากลับไปยัง โบราณกาล เราก็จะนึกหาวิธีให้มันไปเกิดใหม่ในยุคโบราณ” หัววัวกะพริบตากล่าวว่า “แต่ว่าหากตัวอุบาทว์นั้นซ่อมถนนสร้าง สะพาน แล้วพุง่ ศีรษะชนก้อนหินตาย ไยมิใช่กลายเป็นคนใจบุญสิบชาติภพ แล้ว?” ชุยพ่านกวนหัวร่อเฮอะฮะกล่าวว่า “พุทธองค์เปล่งวาจาให้คนใจบุญ สิบชาติภพส�ำเร็จเป็นพุทธะเมื่อสามร้อยปีก่อน หากว่ามีคนถือจุติในห้วง เวลาก่อนหน้าสามร้อยปีก่อน ต่อให้มันผ่านการตายร้อยครั้งก็ไม่สอดรับ กับเงื่อนไขดังกล่าว ฮาฮา...” * ภูเขาคิชฌกูฏ


18

หน้าม้าหัววัวพอฟัง พากันปรบมือกล่าวว่า “วิเศษแท้ ใต้เท้าคิดอ่าน สุขุมรอบคอบนัก” ............ เจิ้งเส้าเผิงถูกน�ำตัวมาถึงเบื้องหน้าชุยพ่านกวน ชุยพ่านกวนยกมือ ลูบเครา ปั้นสีหน้าเป็นเมตตาปรานีกล่าวว่า “เจิ้งเส้าเผิง พวกเราแม้คร่า วิญญาณท่านมาก่อนสามปี แต่ให้ท่านสิงร่างเศรษฐี หาไม่ก็เป็นคนบุญ หนักศักดิ์ใหญ่ ถือว่าดีตอ่ ท่านอย่างมาก จนใจท่านไม่รจู้ กั พอ ในหนึง่ ปีคนื สูย่ มโลกแปดครัง้ เอาเถอะ พวกท่านมิใช่ชมชอบย้อนเวลาคืนสูอ่ ดีตหรอก หรือ เราพ่านกวน (ตุลาการ) เมือ่ กระท�ำผิดมาก่อน จะส่งท่านย้อนเวลาไป ยังอดีตกาลสักครั้ง ท่านเห็นเป็นอย่างไร?” เจิ้งเส้าเผิงพลุ่งพล่านใจขึ้นมา ครุ่นคิดขึ้น ‘เราเมื่อมีอายุขัยเพียง สามปี ลองย้อนกลับไปท่องยุคโบราณก็ไม่เลว แต่เมื่อมีชีวิตอีกเพียงสอง ปี คงไม่มโี อกาสเข้าสูส่ มรภูมิ เป็นวีรบุรษุ ที่โลกยกย่อง มิสเู้ สพสุขสักครา... ไม่ทราบเป็นติ้วอ๋อง* หรือสุยหยางตี้** ดี แต่ว่าสาวงามเน้นคุณภาพไม่ เน้นปริมาณ มิสู้เป็นกษัตริย์ฉงเจิน*** ประเสริฐกว่า ยุคนั้นมีทั้งแปด สะคราญแดนฉินไหว หงเหนียงจื่อและเฉินหยวนหยวน****’ ชุยพ่านกวนโคลงศีรษะกล่าวว่า “เจิง้ เส้าเผิงเราเมือ่ ให้ทา่ นย้อนเวลา ไปยุคโบราณกาล สมควรเลือกศักดิ์ฐานะที่เหมาะสมแก่ท่าน ท่านใช่รู้จัก วิชาแพทย์ เช่นผ่าตัดเปิดสมองหรือไม่?” เจิ้งเส้าเผิงเพียงคิดเสพสุขสักหลายปี พอฟังจึงกล่าว “ผ่าตัดเปิด สมองหรือ อย่าได้ลอ้ เล่นแล้ว ฮูโต๋เป็นหมอวิเศษ เพียงบอกว่าจะเปิดสมอง โจโฉ ก็ถูกตัดศีรษะ แม้แต่หมอวิเศษพวกมันยังไม่เชื่อ หากให้เราไปอวด * ทรราชสมัยราชวงศ์ซัง ** ฮ่องเต้สมัยราชวงศ์สุย *** ฮ่องเต้องค์สุดท้ายของราชวงศ์หมิง **** จีนแต้จิ๋วออกเสียงว่าตั้งอี้อี้


19

โอ่วชิ าแพทย์ ไม่ถกู ผูค้ นยึดถือเป็นพวกมารนอกรีตทุบตีจนตายก็แปลกไป แล้ว” ชุยพ่านกวนข่มความไม่พอใจไว้ กล่าวว่า “เมื่อเป็นหมอรักษา จะ ได้รบั ความเคารพจากผูค้ น แต่วา่ ท่านไม่ตอ้ งการก็แล้วกันไป เราถามท่าน ท่านสามารถคิดค้นดินระเบิดหรือไม่ หากมีโอกาสคิดค้นสิ่งประดิษฐ์ใหม่ๆ ให้กับโลก ถือเป็นความภาคภูมิใจประการหนึ่ง” เจิ้งเส้าเผิงทอดถอนใจกล่าวว่า “ดินระเบิดหรือ เราจ�ำได้ว่าใช้ดิน ประสิว ก�ำมะถัน ยังมีข้ีเถ้า แต่ว่าจ�ำอัตราส่วนไม่ได้ นาเป้ยเอ่อ* ถือเป็น ผู้เชี่ยวชาญวัตถุระเบิด ขณะคิดค้นอาจถูกระเบิดแขนขาขาดด้วน เราจึง ไม่กระท�ำ” หัววัวอดเหลือกตามิได้ กล่าวว่า “อย่างนั้นปรุงสุราดีหรือไม่ หาไม่ ก็จัดท�ำกระจก อาจได้เป็นพ่อค้าใหญ่โต” เจิง้ เส้าเผิงกล่าวว่า “เราไม่สามารถปรุงสุรา แต่สามารถดืม่ สุรา เรา เห็นว่าสุราเอ้อว่อโถวตราดาวแดงยังชวนดื่มกว่าเหล้าเหมาไถ** ส�ำหรับ กระจก เราเพียงทราบว่าหลอมจากเม็ดทราย อื่นๆ หาทราบไม่ แต่ทราบ ว่ามีกระจกชนิดหนึ่งเรียกว่าปอหลีเจี่ยน*** ยังมีถังฮว่าปอหลี**** ที่ใช้ใน การถ่ายท�ำภาพยนตร์ ปัญหาอยู่ที่เมื่อเปิดเผยความคิดสร้างสรรค์ออกไป ช่างท�ำกระเบื้องกระจกสามารถคิดค้นวัตถุดิบออกมาหรือไม่?” หน้าม้ากล่าวอย่างไม่พอใจว่า “บุ๋นก็ไม่ได้ บู๊ก็ไม่ได้ ลองบอกมาว่า ท่านคิดท�ำอะไร ใช่คิดปฏิรูปหรือไม่?” เจิ้งเส้าเผิงแบะปากกล่าวว่า “เราจ�ำได้ว่าแคว้นฉินมีบุคคลชื่อ ซางยาง ด�ำเนินการปฏิรูปขนานใหญ่ ยกเลิกสิทธิพิเศษของคนบุญหนัก * อัลเฟรด โนเบล ** สุราประจ�ำชาติของจีนแผ่นดินใหญ่ *** ไฟเบอร์กลาส **** กระจกที่ผ่านการเปลี่ยนสภาพ


20

ศักดิ์ใหญ่ สุดท้ายถูกชนชั้นปกครองคัดค้าน ใช้ห้าม้าฉีกแบ่งสังขาร สมัย ราชวงศ์ซอ้ งมีขนุ นางชือ่ หวังอันสือ เสนอให้พฒ ั นาผลผลิต เสริมสมรรถนะ กองทัพ ปรับเปลีย่ นการสอบแข่งขัน มันเป็นถึงมหาเสนาบดี ทัง้ ยังมีฮอ่ งเต้ หนุนหลัง แต่ขุนนางระดับล่างไม่ปฏิบัติตาม สุดท้ายตรอมใจตาย เราไม่ ล่วงรู้ระบบการปกครองสมัยโบราณ หากเสนอให้ปฏิรูปคงพบจุดจบเช่น ซางยางแล้ว” ชุยพ่านกวนรับฟังจนเบิกตาค้าง ชัว่ ครูค่ อ่ ยกล่าวอย่างอับจนปัญญา ว่า “อย่างน้อยท่านล่วงรู้แนวโน้มของประวัติศาสตร์ ทราบว่าผู้ใดคิดการ ใหญ่ จากนั้นยึดเกาะต้นไม้ใหญ่ไว้ ก็จะอยู่สุขสบายไปชั่วชีวิต” เจิง้ เส้าเผิงสัน่ ศีรษะระรัวกล่าวว่า “เราล่วงรูป้ ระวัตศิ าสตร์มปี ระโยชน์ อันใด เรากลับทราบว่าจิ๋นซีฮ่องเต้รวมแผ่นดินเป็นปึกแผ่น แต่ว่าท่านเข้า ร่วมกับมัน ผู้อื่นยังจะชุบเลี้ยงท่านหรือ เรายังทราบว่าราชวงศ์ถังมีหลี่ซื่อ หมิน เบื้องล่างมีหลี่จิ้ง เว่ยเจิง และเฉินเย่าจิน แต่ไม่ทราบว่ามีตัวตนจริง หรือเป็นเรื่องแต่ง “ที่น่ากลัวยิ่งกว่า บันทึกประวัติศาสตร์ตลอดจนอิงพงศาวดาร บรรยายลักษณะนิสยั และพฤติการณ์ของพวกมัน ไม่ทราบว่าเป็นความจริง หรือแปลกปลอม เมื่อชาติก่อนเราเป็นนักร้อง เคยแสดงละครโทรทัศน์อิง ประวัติศาสตร์เรื่องหนึ่ง ได้ยินนักประวัติศาสตร์บอกว่า มีขุนนางกังฉิน ผู้หนึ่งนามเอี๋ยนซง รั้งต�ำแหน่งขุนนางโซ่วฝู่สิบกว่าปี ต่อมาถูกทางการ ยึดทรัพย์ พบว่าทรัพย์สินที่ยึดได้ยังมีไม่ถึงเศษหนึ่งส่วนสี่ของขุนนางมือ สะอาดนามฉีเจี๋ย ดังนั้นสมควรบอกว่าบันทึกประวัติศาสตร์ท�ำร้ายคน สาหัสนัก” ชุยพ่านกวนขุ่นแค้นยิ่ง ชั่วครู่ค่อยกล่าวว่า “อย่างนั้น...เราส่งท่าน กลับไปปลายราชวงศ์ซ้อง หรือปลายราชวงศ์มองโกลเป็นอย่างไร จะได้ เสาะหาคัมภีร์เก้าเอี้ยงจินเก็ง หรือวิชาเก้ากระบี่เดียวดาย เป็นผู้กล้าหาญ


21

แห่งยุค” เจิ้งเส้าเผิงทอดถอนใจกล่าวว่า “ตอนอ่านหนังสือไม่ได้ท�ำความ เข้าใจ เหล่าจิน* ก็ไม่ได้วาดภาพแผนที่ไว้ ภูเขาคุนลุน้ กว้างไพศาลจะให้หา คัมภีร์พบได้อย่างไร เพียงจ�ำได้ว่าเตียบ้อกี๋พลัดตกหน้าผา พบเห็นคัมภีร์ เก้าเอี้ยงจินเก็ง เราคงไม่ใช้เชือกผูกมัดตัว หย่อนร่างลงไปค้นหาหน้าผา แล้วหน้าผาเล่ากระมัง ต่อให้หาพบ เมือ่ เป็นสุดยอดคัมภีรว์ ชิ าฝีมอื สามารถ อ่านดูเข้าใจหรือ สุดท้ายมิใช่ถูกธาตุไฟเข้าแทรก คงกลายเป็นเสียสติไป” มันกล่าวจนน�้ำลายกระเซ็นซ่านว่า “อีกประการ ท่านเข้าใจว่าหาตัว ฮวงเช็งเอีย้ งพบได้หรือ เฒ่าผูน้ ซี้ อ่ นตัวในป่าเขาหลายสิบปี พอแก่เฒ่าค่อย รับเหล็งฮูช้ งเป็นศิษย์ เพียงเพราะไม่ปล่อยให้นำ�้ ปุย๋ ไหลเข้าสูท่ นี่ าผูอ้ นื่ เห็น ว่าเหล็งฮู้ชงจะอย่างไรเป็นศิษย์ส�ำนักฮั้วซัวเท่านั้น” หัววัวรับฟังจนขบเขีย้ วเคีย้ วฟัน กล่าวว่า “ท่านผูน้ นี้ บั เป็นสวะอันดับ หนึ่งของแผ่นดิน สร้างความอับอายขายหน้าแก่คนยุคปัจจุบันยิ่ง” เจิ้งเส้าเผิงหาถือสาไม่ หากกล่าวว่า “ความจริงเป็นเช่นนี้อยู่แล้ว คนผู้หนึ่งย้อนเวลาไปยุคโบราณกาล ก็คิดเปลี่ยนโลกหรือ ยังมีแนวความ คิดปัจจุบันหากย้อนยุคกลับไป คงถูกยึดถือเป็นรากเหง้าแห่งเภทภัย แม้ มีมิสู้ไม่มียังประเสริฐกว่า” ชุยพ่านกวนอับจนปัญญา หันไปสอบถามหน้าม้าหัววัวว่า “ยุค โบราณกาลมีผู้ใดไม่ต้องท�ำอะไร เพียงนั่งรับประทานรอความตายสถาน เดียว?” หัววัวตอบว่า “เป็นท่านอ๋อง ขณะทีฮ่ อ่ งเต้ตอ้ งปกครองแผ่นดิน ท่าน อ๋องไม่ต้องท�ำอะไร หากคิดยุ่งเกี่ยวกลับเกิดเรื่องขึ้น ถือเป็นตัวมอดของ สังคม นับว่าเหมาะสมกับมันที่สุด” เจิ้งเส้าเผิงพอฟังก็กล่าวว่า “เป็นท่านอ๋องยังไม่เลว ยามอยู่ว่างน�ำ * จีนแต้จิ๋วออกเสียงว่าเล่ากิม หมายถึงกิมย้ง


22

สมุนบริวารออกไปหยอกเย้าหญิงชาวบ้านสักครา หากว่าเป็นฮ่องเต้โฉด ดีนั้นดีอยู่ แต่ต้องถูกผู้คนก่นด่าหลายพันปี ยังคงเป็นท่านอ๋องประเสริฐ กว่า” ชุยพ่านกวนฝืนยิ้มออกมา ตอนนี้ตนเองเพียงคิดผลักไสต้าแหย (นายใหญ่) ท่านนี้ให้รีบไป แต่แล้วครุ่นคิด หากว่าส่งมันไปยังยุคโบราณ มันไม่ยอมใช้ชีวิตอย่างเรียบๆ ร้อยๆ สองปีตกตายอีก ก็ยุ่งยากมากแล้ว จึงกล่าว “ตกลง ส่งมันย้อนเวลากลับไปเป็นท่านอ๋อง แต่ว่าสองปีนี้ท่าน ต้องครองตัวเป็นท่านอ๋องให้ดี อย่าได้สร้างปัญหาให้กับเราอีก ไม่เช่นนั้น เราพอพบเห็นท่าน จะเตะท่านกลับไปเป็นขุนนางที่ใหญ่กว่าท่านอ๋องอีก” เจิ้งเส้าเผิงกล่าวด้วยความคาดหวังว่า “ท่านคิดส่งเราไปเป็นฮ่องเต้ หรือ?” ชุยพ่านกวนปั้นหน้าเคร่งเครียดกล่าวว่า “หากไม่ถึงเวลา ท่านกล้า กลับลงมายังปรโลก เราจะให้ท่านเป็นเก้าพันปี*” เจิ้งเส้าเผิงสยิวกายอย่างหนาวเหน็บ รีบกล่าวว่า “ไม่ต้องการ เป็น ท่านอ๋องดีแล้ว เรา...เราผู้เป็นอ๋องรู้จักค�ำว่าพอ เอ๊ะ เรายังกล่าวไม่จบ ท่านทั้งสองท�ำอะไร?” หน้าม้าหัววัวไม่แยแสสนใจมัน หอบหิ้วเจิ้งเส้าเผิงลอยตัวออกจาก ต�ำหนัก เหินข้ามสะพานไน่เหอ โถมเข้าสู่ทะเลเมฆ ............ สงสารจักรหกภพเป็นวงล้อขนาดใหญ่มคี วามสูงเท่ากับบ้านสามชัน้ ก�ำลังหมุนอย่างช้าๆ ด้านนอกของล้อสลักอักษรสีทองว่า “พระอารยะแห่ง สงสาร” บนล้อแกะสลักรูปของพระแห่งกาลสมัยสาม** พระองค์มพี ระพักตร์ อัปลักษณ์ มุมปากมีเขีย้ วงอกเงย ปากคาบวงล้อ สองมือโอบล้อขนาดใหญ่ ไว้ อยู่ในลักษณะแยกเขีย้ วยิงฟัน คล้ายกับว่าด้วยฤทธานุภาพของท่าน ยัง * สังคมศักดินาเรียกขานฮ่องเต้ว่ามีพระชนมายุหมื่นปี และสอพลอขันทีใหญ่เป็นเก้าพันปี ** ได้แก่ อดีตสมัย ปัจจุบันสมัย และอนาคตสมัย


23

ไม่อาจเปลี่ยนแปลงกรรมของมวลมนุษย์ ได้ ตรงกลางของวงล้อพวยพุ่งประภามณฑลหกสาย แบ่งวงล้อขนาด ใหญ่ออกเป็นหกส่วน ประกอบด้วยภพสวรรค์ ภพมนุษย์ ภพอสุรกาย ภพ เดียรัจฉาน ภพเปรต และภพนรก หน้าม้าหัววัวหาเหตุผลหลอกให้ภูตผีที่เฝ้าวงล้อออกไป จากนั้นมา ถึงภพมนุษย์ เพ่งพิจารณาโดยละเอียด แล้วขยับวงล้อแห่งกาลเวลาที่ชั้น สองของวงล้อขนาดใหญ่กลับมาอย่างช้าๆ วงล้อนีแ้ ปลกพิสดารยิง่ พอขยับ วงล้อแห่งกาลเวลา วงล้อแห่งศักดิฐ์ านะบนชัน้ ทีส่ ามก็จะเปิดเผยศักดิฐ์ านะ ต่างๆ ทางสังคมออกมา ภูตหัววัวจึงจัดแจงขยับวงล้อชั้นที่สามมาถึง ต�ำแหน่งของท่านอ๋อง ในการใช้กลวิธีเลี่ยงหลบที่ผ่านมาทั้งแปดครั้ง ล้วนเป็นหน้าม้าหัว วัวหอบหิ้วเจิ้งเส้าเผิงไปยังโลกมนุษย์ เลือกสิงร่างบุคคลที่เหมาะสม แต่ คราครั้งนี้อาศัยสงสารจักรหกภพ เตรียมผลักดันเจิ้งเส้าเผิงย้อนเวลาสู่ โบราณกาล เจิง้ เส้าเผิงรูส้ กึ แปลกใหม่ยงิ่ อดวิง่ ไปข้างหน้ามิได้ พบว่าวงล้อแห่ง ศักดิ์ฐานะผนึกนิ่งอยู่ในต�ำแหน่งท่านอ๋อง สร้างความยินดียิ่ง แต่ว่ามันอยู่ในสภาพวิญญาณไร้ตวั ตน หน้าม้าหัววัวก็เป็นวิญญาณ ไร้ตัวตน พอวิ่งไปข้างหน้า จึงกระทบถูกข้อศอกของหัววัว เป็นเหตุให้วง ล้อแห่งกาลเวลาขยับเขยื้อนเล็กน้อย เพียงแต่ทั้งสามไม่ทันสังเกตแต่ อย่างไร ได้ยินเสียงแกร๊ก วงล้อแห่งวัฏสงสารผนึกนิ่ง ประภามณฑลที่พวย พุง่ ออกจากวงล้อเปล่งประกายสีทองเจิดจ้า รวมตัวเป็นล�ำแสง ล�ำแสงส่อง ต้องร่างของเจิง้ เส้าเผิง ร่างของมันคล้ายถูกแสงนับไม่ถว้ นสาดทะลุผา่ นไป จนแทบกลายเป็นโปร่งใส ต่อจากนั้นสองเท้ามันลอยพ้นจากพื้น ร่างก็หด เล็กลง โถมเข้าสู่ประกายสีทองล�ำนั้น


24

ประกายสีทองหยุดนิง่ ไปชัว่ ขณะ แล้วกระจายเป็นประภามณฑลหก สายใหม่ วงล้อวัฏสงสารหมุนรอบอย่างช้าๆ อีกครา หน้าม้าหัววัวต่างปรบ มือ หัวร่อดังๆ หลังจากหัวร่อจบ หัววัวพลันเบิ่งตาโปนโตดุจตาวัวมองดู หน้าม้า อุทานว่า “น้องเรา” “มีเรื่องใด?” “น้องแซ่หม่าจ�ำได้หรือไม่ว่ามันเข้าสิงร่างผู้ใด?” “เรื่องนี้...พี่เหนียนไม่ได้จดบันทึกไว้หรือ?” “โอ พวกเราคล้ายกระท�ำผิดพลาดอีกแล้ว...ครัง้ นีเ้ ป็นการย้อนเวลา พวกเราไม่สามารถส่งมันออกไปด้วยตัวเอง หากว่ามันไม่คดิ ตาย คนทีม่ นั เข้าสิงร่างก็ตกตายแต่แรก ถูกจ�ำหน่ายออกจากบัญชียมโลก เมื่อถึงเวลา พวกเราจะไปคร่าวิญญาณมันได้อย่างไร?” หน้าม้าหดศีรษะลงกล่าวว่า “นี่...สมควรไม่ปรากฏปลาที่เล็ดลอด จากร่างแหเป็นเผิงจู่* กระมัง?” “หมายความว่า...” “ว่าอะไร วาจาลมปากไม่มีหลักฐาน ผู้ใดสามารถพิสูจน์ว่าเป็นพวก เราส่งมันย้อนเวลากลับไป เฮอะเฮอะ ผู้ที่ต้องตายภายในสองปี หากว่า มีอายุยืนถึงร้อยปี ได้แต่บอกว่าผู้คนเรื่องราวแปรเปลี่ยนผัน เป็นเด็กน้อย นี้อาศัยช่วงเวลาเล็ดลอดผ่านไป” “ใช่แล้ว เรื่องราวเกี่ยวข้องใดกับพวกเรา ฮาฮา น้องแซ่หม่า เมื่อ วานเราผู้นี้ได้สุราดีไหหนึ่ง พวกเราไปลิ้มลองดู...”

* ชื่อเซียนวิเศษองค์หนึ่ง มีอายุยืนถึงแปดร้อยปี


25

ตายแล้วฟื้นคืนชีพ เจิง้ เส้าเผิงฟืน้ คืนสติมาอย่างช้าๆ รูส้ กึ เหน็บหนาวยิง่ การย้อนเวลา เกิดใหม่ครั้งนี้ ท�ำให้ความทรงจ�ำแต่ปางก่อนเปลี่ยนเป็นเลือนราง ความ ทรงจ�ำของการกลับชาติเกิดใหม่แปดครัง้ ผสมปนเปกับประสบการณ์ทผี่ า่ น มา ท�ำให้จ�ำแนกไม่ออกว่าสิ่งใดเป็นประสบการณ์เมื่อชาติปางก่อน เรื่อง ใดเป็นเหตุการณ์กลับชาติเกิดใหม่ คล้ายความฝันอันเหลวไหลตื่นหนึ่ง หน้าม้าหัววัวส่งมันมาราวกับรีบน้อมส่งเทพแห่งโรคห่า ไม่ทราบว่า นี่เป็นยุคสมัยใด แต่พวกมันคิดให้ตนเองสิงร่างท่านอ๋อง อย่างนั้นตนเอง สมควรเข้าสิงท่านอ๋องผู้หนึ่งแล้ว แต่ว่าที่นี้เป็นที่ใด ทั้งมืดมิดทั้งเหน็บหนาวนัก เจิ้งเส้าเผิงยื่นมือที่ อ่อนล้าออกลูบคล�ำดู พบว่าบนร่างห่มผ้าห่มเบาบางผืนหนึง่ คาดว่าสมควร เป็นฤดูหนาว ในอากาศยังแฝงความหนาวเย็นอยู่ขุมหนึ่ง เจิง้ เส้าเผิงขณะจะท�ำความเข้าใจกับต�ำแหน่งทีต่ นเองอาศัยอยู่ พลัน ได้ยินเสียงเคาะเกราะไม้ไผ่สามครา มีคนร้องขานว่า “มีแขกมาถึง...โอย หยางเหล่าไท่แหย (ท่านผู้สูงอายุแซ่หยาง) ท่านผู้เฒ่าไฉนมาแล้ว หยาง ซิ่วไฉ่ (บัณฑิตแซ่หยาง) ถือเป็นผู้เยาว์รุ่นหลัง ไม่อาจรับไว้ได้” เจิ้งเส้าเผิงระงับสติ ครุ่นคิดขึ้น ‘หยางเหล่าไท่แหย? นี่เป็นค�ำเรียก


26

หาอันใด ที่ด้านข้างบังเกิดเสียงดัง สายตาเราไฉนมีแต่ความมืดทะมื่น สวรรค์...เราคงไม่กลับชาติเกิดใหม่บนร่างท่านอ๋องตาบอดอันใดกระมัง?’ ได้ยินสุ้มเสียงชราภาพเสียงหนึ่งกระแอมไอแล้วกล่าวว่า “เชื้อสาย ของลิ่วตี้ (น้องที่หก) ถือว่าจบสิ้นแล้ว เราไม่มาได้หรือ หลิงเอ๋อเป็นคนที่ โดดเด่นของตระกูลหยางเรา ลิว่ ตีอ้ ายุหา้ สิบสีค่ อ่ ยให้ก�ำเนิดบุตรโทนเช่นนี้ ตอนนี้เพิ่งอายุสิบเจ็ดปี ก็จัดเป็นซิ่วไฉอายุเยาว์ที่สุดของตัวเมืองเซวียนฝู่ เรา ความจริงเข้าใจว่าจะเชิดหน้าชูตาให้กับตระกูลหยางเรา มิคาด โอ...” ยามนั้นยังแว่วเสียงสะอึกสะอื้นไห้ของสตรี สร้างความงุนงงสงสัย แก่เจิง้ เส้าเผิง นีท่ แี่ ท้เป็นเรือ่ งราวใด ถึงแม้วา่ มันไม่เคยย้อนเวลามายังยุค โบราณกาล แต่ฟังจากน�้ำเสียง นี่ไม่คล้ายเป็นตระกูลท่านอ๋องอันใด เจิ้งเส้าเผิงรีบร้อนคิดลุกขึ้นยืน แต่ร่างที่เพิ่งเข้าสิงอยู่ระหว่างการ ฟื้นฟู มือเท้าที่แข็งทื่อค่อยเกิดเลือดลมหมุนเวียน ยามกะทันหันไม่มี เรีย่ วแรงยันกายขึน้ ดีทมี่ นั มีประสบการณ์หลายครัง้ ทุกครัง้ ทีน่ กดุเหว่ายึด ครองรังนกเขาล้วนเป็นเช่นนี้ ดังนั้นใช้ความอดทนสะสมเรี่ยวแรง สุม้ เสียงตอนแรกดังอีกว่า “เหล่าไท่แหยเชิญนัง่ ทางด้านนี้ ญาติมติ ร ทั้งหลายแสดงความเคารพ” เสียงขาดค�ำ ห้องหับที่เงียบสงบพลันบังเกิดเสียงร�่ำไห้ดังระงม เจิ้ง เส้าเผิงค่อยทราบว่าภายในห้องมีผู้คนมากหลาย การกลับชาติเกิดใหม่ที่ ผ่านมาหลายครัง้ ก็เป็นเวลาเดียวกับทีผ่ อู้ นื่ ร้องห่มร้องไห้ แต่ไม่เคยมืดมิด จนยื่นมือไม่เห็นนิ้วทั้งห้าเช่นนี้ เจิ้งเส้าเผิงกะพริบตา ถึงแม้มองไม่เห็น อันใด แต่ก็พบว่าสายตาไม่มีปัญหา ค่อยคลายใจลงบ้าง ได้ยินคนเหล่านั้นร�่ำไห้วุ่นวาย ร�ำพึงร�ำพันว่า “น้องเราอายุยังเยาว์ กลับด่วนจากไป” “น้องหลิงตายอย่างปัจจุบันทันด่วนนัก” เจิ้งเส้าเผิงถึงกับคิดหัวร่อออกมา มันพบเห็นการร�่ำไห้จริง แสร้ง


27

ร�่ำไห้มาหลายครั้ง เพียงแต่ยุคปัจจุบันยังยั้งเอาไว้บ้าง ตอนนี้คิดร้องไห้ก็ ร้องไห้ ราวกับอยู่บนเวทีงิ้ว นึกดูช่างน่าหัวร่อนัก สุ้มเสียงนั้นดังอีกว่า “แขกเหรื่อค�ำนับเสร็จ เจ้าภาพค�ำนับตอบ” สุ้มเสียงพอดัง เสียงร�่ำไห้วุ่นวายพลันชะงักขาดหาย ได้ยินสุ้มเสียง สตรีเสียงหนึ่งกล่าวเบาๆ ว่า “เว่ยว่างเหยิน* นางหยางหานซื่อขอขอบคุณ เหล่าไท่แหย ขอบคุณญาติมิตรทุกคน” เจิ้งเส้าเผิงพอฟังค�ำ “เว่ยว่างเหยิน” ต้องใจเขม็งตึงเครียด คาดว่า คนเหล่านี้ร�่ำไห้อาลัยตนเอง นี่นับว่าประเสริฐแท้ กระทั่งภรรยาก็ตบแต่ง ให้ แต่ว่าเหตุใดยังมืดมิดถึงเพียงนี้ เมื่อจัดพิธีไว้อาลัย สมควรจุดโคมไฟ จึงถูกต้อง เจิ้งเส้าเผิงคล้ายนึกได้อันใด รีบยกมือลูบคล�ำ ค่อยคล�ำพบสิ่งของ โดยรอบ ที่แท้มันถูกบรรจุอยู่ในโลง อย่างนั้นอีกสักครู่ไยมิใช่ต้องถูกฝัง ทั้งเป็น? ยามนัน้ สุม้ เสียงชราภาพนัน้ ดังอีกว่า “นางหยางหานซือ่ กงผอ (พ่อ สามีแม่สามี) เจ้าด่วนจากไป ตอนนี้หลิงเอ๋อก็ติดตามพวกมันลงสู่ปรภพ คงเหลือเจ้าตัวคนเดียว ไม่ทราบคิดอ่านอย่างไร?” ได้ยินสุ้มเสียงสตรีเสียงหนึ่งกล่าวเบาๆ ว่า “เรียนสูสู (ท่านอา) โย่ว เหนียงแต่งเข้าบ้านตระกูลหยาง ถือเป็นสะใภ้ของตระกูลหยาง ถึงแม้ทาง บ้านยากไร้ โชคดียังมีที่นาอยู่สี่มู่ (ไร่จีน) โย่วเหนียงสมควรผ่านวันเวลา ได้” หยางเหล่าไท่แหยนั้นส่งเสียงกระแอมกล่าวว่า “โย่วเหนียงเอย เจ้า อายุยังเยาว์ จะดูแลบ้านช่องได้อย่างไร เราหารือกับผู้เฒ่าในตระกูลหลาย ท่าน คิดยกทีน่ าสีม่ ขู่ องเจ้าให้เฉวียนเอ๋อเพาะปลูก พร้อมกับให้เฉวียนเอ๋อ ดูแลอาหารการกินของเจ้า เจ้าเห็นว่าดีหรือไม่?” * ค�ำเรียกตัวเองของหญิงม่าย


28

เจิง้ เส้าเผิงครุน่ คิด ทีแ่ ท้เป็นการแย่งชิงมรดกรายหนึง่ เพิง่ มาเคารพ ศพก็ฉีกหน้ากัน สูสูผู้นี้ออกจะใจร้อนวู่วามไปแล้ว ที่เบื้องนอกเงียบสงบไปชั่วขณะ โย่วเหนียงนั้นค่อยกล่าวเบาๆ ว่า “สูสมู นี ำ�้ ใจ โย่วเหนียงขอรับด้วยใจ โย่วเหนียงชะตาอาภัพ ฟูจวิน (ค�ำเรียก สามี) ด่วนจากไป ไม่ทิ้งเชื้อไฟใดไว้ แต่โย่วเหนียงแม้เป็นบุตรีครอบครัว ทั่วไป ยังเคยท่องค�ำสอนสตรี ทราบว่าเมื่อเป็นภรรยาต้องเสมอต้นเสมอ ปลาย ตอนนีท้ างบ้านแม้หลงเหลือหนูเจีย* คนเดียว แต่เชือ้ สายนี้ไม่ถอื ว่า สูญสิ้นไป ในเมื่อตระกูลหยางแบ่งสมบัติตั้งแต่แรก หากให้ยกที่นาที่กงผอ ตกทอดให้แก่หยางเฉวียนต้าป๋อ (ลุง) เกรงว่าไม่ถูกต้อง” หญิงสาวนางนี้ในความอ่อนแฝงความแข็งกร้าว บอกว่าอย่าได้เข้าใจ ว่าตัวเองอายุยังเยาว์ ไม่สามารถครองตัวเป็นม่าย จนต้องขายสมบัติของ บรรพบุรุษออกไป ทั้งกล่าวโทษมันคิดอ่านแทนบุตรชายตัวเอง รุดมาแย่ง ชิงสมบัติของพี่น้องร่วมปู่เดียวกัน หยางเหล่าไท่แหยถูกนางกล่าวเปิดโปง ต้องหน้าแดงวูบ แทบไม่ อาจรักษาหน้าไว้ได้ มันมีบุตรชายสี่คน มีแต่บุตรคนที่สามหยางเฉวียนไม่ เอาการเอางาน เพียงเที่ยวเตร่ดื่มกิน ผลาญสมบัติที่นาซึ่งแบ่งปันให้จน หมดสิน้ หยางเหล่าไท่แหยไม่อาจทนดูบตุ รชายตกยากล�ำบาก จึงบากหน้า มาร้องขอ หวังว่าบุตรชายหลังจากได้ครอบครองที่นา จะกลับตัวกลับใจ ใหม่ มิคาดหญิงสาวนางนี้กลับบอกปัดปฏิเสธ ผู้เฒ่าหยางหารู้ไม่ว่า บุตรชายที่ขอให้มันออกหน้าเช่นนี้ แท้จริง แล้วยังมีจุดประสงค์ที่ไม่อาจบอกกล่าวกับผู้คน หยางเฉวียนเที่ยวเตร่ดื่ม กิน ผลาญสมบัติที่นาไปจนหมดสิ้น เมื่อสองปีก่อนพวกตาดมองโกลยก ก�ำลังมาปล้นชิงทรัพย์ สังหารภรรยามันไป จนบัดนี้อายุสี่สิบเศษยังหา ภรรยาไม่ได้ * ค�ำเรียกตัวเองของหญิงสาว


29

ถังตี้ (น้องร่วมปู่เดียวกัน) ของมันหยางหลิง* ซึ่งเป็นบัณฑิตซิ่วไฉ ทีเ่ จิง้ เส้าเผิงคิดสิงร่าง ปีนเี้ พิง่ ตบแต่งนางหยางหานซือ่ ซึง่ มีชอื่ เดิมว่าหาน โย่วเหนียง จัดเป็นหญิงสาวงดงาม มีชื่อเลื่องลือทั้งใกล้ไกล หยางหลิงจัด งานแต่งงานทั้งที่ไม่สบาย ความจริงคิดอาศัยงานมงคลชะล้างคราเคราะห์ สุดท้ายไม่ทันเลิกแพรคลุมหน้าของเจ้าสาว อาการก็ทรุดหนักลง ล้มป่วย ลุกไม่ขึ้น หยางเฉวียนอ้างว่ามาเยีย่ มน้องร่วมปูเ่ ดียวกัน ฉวยโอกาสเกาะแกะ แทะโลม สุดท้ายถูกหานโย่วเหนียงขับไล่ออกไป หากมิใช่นอ้ งสะใภ้ผนู้ เี้ ป็น บุตรีของนายพรานหาน มีวิชาฝีมือติดตัว มันคงบังคับขืนใจนางแล้ว ในความคาดคิดของมัน เมือ่ ยึดครองทีน่ าของนาง ควบคุมการด�ำรง ชีวิตของนาง วันหน้าจะได้ครอบครองหญิงม่ายอายุสิบห้าปีนางนี้ทั้งกาย และใจโดยไม่ยากนัก หยางเฉวียนยืนอยูด่ า้ นข้าง มองดูนอ้ งสะใภ้ในเครือ่ งแต่งกายไว้ทกุ ข์ หากยังหมดจดงดงาม พอฟังนางยันบิดากลับมา นิสยั อันธพาลพลันก�ำเริบ กระโดดปราดออกมาร้องถามว่า “หานโย่วเหนียง ท่านอายุยงั เยาว์ จะดูแล บ้านหลังนี้ได้อย่างไร ท่านพ่อความจริงถือกุศลเจตนา ไม่ต้องการให้เกิด เรื่องเสื่อมเสียแก่ตระกูลหยางเรา” หานโย่วเหนียงแม้อายุยังเยาว์ แต่มีนิสัยแข็งกร้าว พอฟังต้องผุด ลุกขึน้ เลิกคิว้ กล่าวว่า “หนูเจียรูม้ ารยาทธรรมเนียม นับแต่เข้าบ้านตระกูล หยาง ก็ปรนนิบัติดูแลฟูจวิน ไม่ทราบประพฤติผิดศีลธรรมที่ใด ต่อให้ ตระกูลหยางมีลูกหลานไม่รักดี ก็ไม่เกิดจากตระกูลเรา” หยางเฉวียนได้ยินนางกล่าวประชดแดกดันตนเอง ถึงกับอับอาย กลายเป็นโทสะ ด่าทอว่า “นางแพศยาน้อย หลิงตี้ (น้องชาย) เป็นหนึ่ง เดียวของตระกูลหยางเราทีส่ อบได้เป็นซิว่ ไฉ ความจริงเตรียมเชิดหน้าชูตา * หยางเป็นแซ่ หลิงแปลว่าทะยานขึ้น


30

ตระกูลหยาง หากมิ ใช่เจ้าชะตาแข็งข่มมันจนตาย มันอายุยังเยาว์ มี ร่างกายแข็งแรง ไหนเลยตกตายได้?” เมื่อเอ่ยถึงสตรีข่มสามีจนตาย ทั้งไม่สามารถโต้แย้ง ทั้งเป็นความ ผิดที่ไม่อาจรับได้ หานโย่วเหนียงคล้ายถูกดาบทีฆ่ า่ คนโดยไม่เห็นเลือดทิม่ แทงใส่ ขุ่นแค้นจนร่างสั่นระริก สายตายามกวาดมอง เห็นเครือญาติฝ่าย สูสู (ท่านอา) ล้วนใช้สายตาที่เย็นชาจับจ้องมองมา หานโย่วเหนียงบังเกิดความคับแค้น เศร้าโศกและโกรธเคืองประดัง นับตัง้ แต่แต่งให้กบั สามี มันก็นอนรอความตายอยูบ่ นเตียง นางไม่ทนั ถอด ชุดวิวาห์ออก ก็รีบตามหมอมาเจียดยาต้มยา ขายสมบัติรักษาโรคให้กับ สามี สุดท้ายต้องครองตัวเป็นม่ายทั้งที่อายุยังน้อย คิดไม่ถึงซากศพสามี ยังไม่เย็นชืด คนในตระกูลหยางก็มาแย่งชิงสมบัติ ทั้งยังกล่าวโทษตัวเอง ตัวเองโดดเดี่ยวล�ำพัง หลังจากนี้ไหนเลยมีชีวิตอยู่ในตระกูลหยางได้ หานโย่วเหนียงยามหดหู่ใจ ต้องกล่าวด้วยน�้ำตาเอ่อคลอหน่วยว่า “ประเสริฐ ยอดหญิงจี้อี้เหนียนกระโดดแม่น�้ำรักษาศักดิ์ศรี ได้รับการกล่าว ขานตลอดมา เราหานโย่วเหนียงขอตายตามฟูจวินไป จะได้ไม่ตอ้ งรับความ คับแค้นจากคนต�่ำช้าท่าน” กล่าวจบหมุนตัวไป พุ่งศีรษะชนใส่โลงของสามี สร้างความตื่น ตระหนกแก่หยางเหล่าไท่แหยยิ่ง บิดาของหานโย่วเหนียงมีฝีมือกล้าแข็ง เลื่องลือไปทั้งใกล้ไกล วันนี้หยางหลิงเพิ่งเสียชีวิต ตนเองมาแย่งชิงมรดก ถือว่าจ�ำนนต่อเหตุผล หากบีบบังคับนางพุ่งชนโลงเสียชีวิต เรื่องราวพอ เผยแพร่ออกไป ไม่เพียงคนบ้านใกล้เรือนเคียงครหานินทา บิดาของนาง ไหนเลยยอมเลิกรา จึงรีบผุดลุกขึ้นจากเก้าอี้ร้องว่า “รีบขัดขวางนาง” แต่ ว ่ า หานโย่ ว เหนี ย งมี ฝ ี มื อ ปราดเปรี ย ว บวกกั บ กล่ า วค�ำคน เคลื่อนไหว ทั้งหมดคิดขัดขวางก็ไม่ทันการณ์ เห็นนางโถมถึงหน้าโลง พุ่ง ศีรษะชนใส่เหลี่ยมมุมของโลง


31

แต่แล้วยามนั้นนางหยุดกึกลง ลืมตามองดูโลงด้วยความตระหนก โลงไม้ทเี่ บาบางยังไม่ปดิ ฝาโลง เพือ่ ให้ผคู้ นไว้อาลัย ยามนีฝ้ าโลงกลับเลือ่ น ไปด้านข้าง จากนั้นปรากฏนิ้วมือขาวซีดหลายนิ้วยื่นออกมาแตะขอบโลง ไว้ หานโย่วเหนียงพอเห็นภาพประหลาดนี้ ต้องถอยกายไปหนึ่งก้าว ทัง้ หมดก็กวาดตามองตามสายตาของนาง ปรากฏสตรีกลางคนสองนางร้อง ค�ำศพหลอก* จากนั้นหมุนตัววิ่งหนีออกไป บุรษุ ทีเ่ หลือแม้ไม่วงิ่ หนี แต่กต็ วั สัน่ งันงก หานโย่วเหนียงหวนนึกถึง คนในโลงเป็นสามีตัวเอง ต่อให้เป็นศพหลอกคงไม่ท�ำร้ายตัวเอง หรือว่า มันเห็นตัวเองถูกข่มเหงรังแกจึงฟื้นคืนชีพมา ดังนั้นเคลื่อนกายออกไป ผลักเปิดฝาโลงออก เห็นสามีของนางนั่งอยู่ในโลง ก�ำลังหอบหายใจ เนื่องด้วยอากาศ เหน็บหนาว ลมหายใจที่มันพวยพุ่งออกมาจึงแฝงควันขาวเป็นเส้นสาย หานโย่วเหนียงชมดูจนยินดียงิ่ ครุน่ คิดว่า ‘คนตายไหนเลยพ่นลมร้อนออก มาได้ นับว่าฟ้าเวทนา มัน...มันฟื้นคืนชีพมาแล้ว’ เจิ้งเส้าเผิงรวบรวมเรี่ยวแรงทั้งมวล ค่อยผลักเปิดฝาโลงแง้มออก เล็กน้อย ก�ำลังนั่งคุกเข่าหอบหายใจ พลันรู้สึกเบื้องหน้าสายตากระจ่างจ้า ต้องหยีตาลง ค่อยปรับตัวคุน้ ชิน ดังนัน้ เงยหน้ามองดูหญิงม่ายทีถ่ กู ข่มเหง รังแกนางนี้ กลับไม่สามารถนึกโยงว่านางเป็นสตรีที่แต่งงานแล้ว นางสวมเสื้อปอเนื้อหยาบ ศีรษะโพกผ้าขาวผืนหนึ่ง ใบหน้ารูปไข่ หมดจดงดงาม ขอบตาแดงกำ�่ ขนตายังเปียกชืน้ มองดูมนั อย่างหวาดหวัน่ ขลาดเขลา เจิง้ เส้าเผิงแม้ผา่ นประสบการณ์ตายแล้วฟืน้ คืนชีพหลายครัง้ แต่เห็น ภรรยาในนาม “อายุเยาว์” ถึงเพียงนี้ สร้างความประหลาดใจยิ่ง เนื่องด้วย * หมายถึงศพที่ลุกขึ้นก่อนน�ำไปบรรจุโลง


32

มันมีร่างกายอ่อนแอ พอลุกขึ้นนั่ง ต้องส่ายโงนเงนแทบล้มลง ก่อนสิ้นสติ ไปยังฝืนยิ้มให้กับนาง กล่าวว่า “ไม่ต้องกลัว ข้าพเจ้ายังไม่ตาย” หานโย่วเหนียงลืมตากลมกว้าง จับจ้องมองมันตาไม่กะพริบ น�้ำตา เอ่อคลอเบ้าทีละน้อย ชัว่ ครูพ่ ลันร้องไห้โฮออกมา ใช้สองมือยึดเกาะโลงไว้ คล้ายกับว่าพอคลายมือออกจะล้มลง ที่ผ่านมานางปรนนิบัติดูแลมัน ถือว่าท�ำตามหน้าที่ของภรรยา แท้จริงแล้วทัง้ สองไม่มคี วามผูกพันอันใด ยามนีน้ างค่อยทราบว่ามันมีความ ส�ำคัญต่อตัวเองถึงเพียงไหน ถึงแม้มนั มีเพียงลมหายใจค�ำหนึง่ ยังถือเป็น บุรษุ ของตัวเอง เมือ่ มันยังอยู่ บ้านหลังนีค้ อ่ ยไม่พงั พินาศ ค่อยมีเสาขือ่ ค�ำ้ ยันไว้ เจิ้ ง เส้ า เผิ ง ถู ก เสี ย งร�่ ำ ไห้ ข องนางสร้ า งความหดหู ่ ใ จ คิ ด กล่ า ว ปลอบโยนนาง บอกว่า “แรกเริ่มพบหน้า ได้รับการดูแลจากท่าน” จนใจที่ ประคองตัวไว้ไม่ได้ ถึงแม้อ้าปากแต่ปราศจากสุ้มเสียงเปล่งออกมา กลับ เหลือกตาสิ้นสติไป ในห้องตั้งศพปั่นป่วนวุ่นวายขึ้นมา หานโย่วเหนียงทั้งร�่ำไห้ทั้งร้อง เรียก ฉุดลากมันออกจากโลง หยางเหล่าไท่แหยเคยได้ยนิ เรือ่ งคนตายแล้ว ฟื้นคืนชีพ กลับไม่แตกตื่นตระหนกเท่าใด เห็นหยางหลิงตายแล้วฟื้น ใน ใจแม้กระอักกระอ่วนอยูบ่ า้ ง จะอย่างไรยังเกิดความยินดี หยางหลิงเป็นคน มีชื่อมีเสียงเพียงหนึ่งเดียวในจุดพักม้าจีหมิง (ไก่ขัน) แห่งนี้ ตระกูลหยาง มีบุคคลเช่นนี้คนหนึ่ง ถือเป็นความภาคภูมิใจของวงศ์ตระกูล เมื่อหลาน ชายฟื้นคืนชีพ ก็ไม่ต้องเป็นห่วงว่าหลานสะใภ้จะครองตัวเป็นม่ายไว้ไม่ได้ แล้ว หยางเหล่าไท่แหยบอกให้ผคู้ นช่วยกันยกร่างหลานชายขึน้ เตียง ทัง้ สั่งคนไปตามหมอมา วุ่นวายอยู่ครึ่งค่อนวัน ค่อยจากไปภายใต้การประคับ ประคองของลูกหลาน


33

............ ข้าวต้มข้าวฟ่างสองชาม ผักดองจานหนึ่ง ถือเป็นอาหารมื้อแรก ของคนใจบุญเก้าชาติภพเจิ้งเส้าเผิง ซึ่งย้อนเวลากลับมาสิงร่างหยางหลิง กับภรรยา ตะเกียงน�้ำมันดวงหนึ่งส่องแสงริบหรี่อยู่บนเตา ภายในห้อง อบอวลด้วยกลิ่นของการเผาไหม้ ก่อนหน้านีเ้ จิง้ เส้าเผิงมิใช่เกิดเป็นเศรษฐีมที รัพย์ ก็เป็นคนบุญหนัก ศักดิ์ใหญ่ ยามนีก้ ลายเป็นบัณฑิตซิว่ ไฉเขตเซวียนฝู่ในปีทเี่ จ็ดรัชกาลหงจือ้ * ของต้าหมิงนามหยางหลิง พอรับประทานอาหารเช่นนี้ ต่อให้หวิ โหยเพียง ไหน ก็ยากกลืนลงคอ หานโย่วเหนียงกลับรับประทานอย่างเอร็ดอร่อย ถึงแม้อาหารฝืดคอ แต่เห็นสามีไม่เพียงฟืน้ คืนชีพ ยังสามารถลงจากเตียงมารับประทานข้าวต้ม หัวใจน้อยๆ ของนางก็มีแต่ความยินดี หยางหลิงมองดูบ้านช่องที่ยากจน ต้องลอบทอดถอนใจ เห็นหาน โย่วเหนียงกลับรับประทานข้าวต้มจนหมดชาม ทั้งยังใช้ลิ้นเลียขอบชาม จนเกลี้ยงเกลา อดหดหู่ใจมิได้ครุ่นคิดขึ้น ‘ดูท่าพ่านกวน (ตุลาการ) ภูตผี กลั่นแกล้งเรา หากทราบเช่นนี้แต่แรก มิสู้ใช้ชีวิตเศรษฐีร้อยล้านยัง ประเสริฐกว่า อย่างมากเพียงมีอายุมากเท่านั้น ตอนนี้จะท�ำอย่างไร คงได้ แต่ใช้ชีวิตสองปีที่เหลือ อย่างน้อยภรรยานางนี้ยังงดงามชวนมอง’ เห็นหานโย่วเหนียงวางชามลง จึงผลักข้าวต้มที่เหลือครึ่งชามออก ไป กล่าวเสียงอ่อนโยนว่า “ยังไม่อิ่มกระมัง มา รับประทานชามนี้ลงไป เถอะ” หานโย่วเหนียงค่อยกล้ามองดูบุรุษของตัวเอง สีหน้ามันแม้ยัง ซีดเซียว แต่ก็มีสติแจ่มใส เห็นมันใช้สายตาที่อ่อนโยนมองดูตัวเอง อด บังเกิดความเอียงอายมิได้ กล่าวเบาๆ ว่า “เซี่ยงกง (ค�ำเรียกสามี) ท่าน * ชื่อปีรัชกาลของหมิงเสี้ยวจงฮ่องเต้ ตรงกับปี ค.ศ. 1504


34

เพิ่งฟื้นไข้ สมควรรับประทานให้มากไว้” หยางหลิงขบคิดดู ค่อยนึกออกว่าสมควรเรียกนางเป็นเหนียงจื่อ (ค�ำเรียกภรรยา) แต่ว่าค�ำเรียกหาของคนโบราณนี้ สร้างความกระบิด กระบวนแก่ผู้คน จึงเปลี่ยนเป็นเรียกชื่อของนางว่า “โย่วเหนียง ข้าพเจ้า เพิ่งฟื้นไข้ ไม่ควรรับประทานมากเกินไป หากท่านไม่รับประทานถือว่า สิ้นเปลืองแล้ว” หานโย่วเหนียงขบคิดดู ค่อยยิ้มอย่างขวยเขินรับชามข้าวมา กล่าว เบาๆ ว่า “ขอบคุณเซี่ยงกง” หยางหลิงส�ำรวจดูนาง หญิงสาวนางนี้ถอดเครื่องแต่งกายไว้ทุกข์ ออก เปลี่ยนเป็นสวมเสื้อยาวสีเขียว ใบหน้านางนวลเนียน อาจเป็นเพราะ ฝึกวิชาการต่อสู้ ร่างกายจึงเจริญเติบโต ผิวพรรณค่อนข้างคล�้ำ แต่ว่าขน คิ้วดกหนา จมูกโด่งเป็นสัน ริมฝีปากอวบอิ่ม ตากลมโตน่ารักยิ่ง หานโย่วเหนียงพบว่าสามีมองดูนาง ยังเข้าใจว่าท่ารับประทานของ ตัวเองไม่สุภาพ อดบังเกิดความเอียงอายมิได้ เปลี่ยนเป็นนั่งหันข้าง นับ ตั้งแต่แต่งงานกัน นี่เป็นครั้งแรกที่นางกับสามีนั่งรับประทานข้าวด้วยกัน ถึงแม้ว่าทั้งสองเป็นสามีภรรยาครึ่งปี แต่ความทรงจ�ำของนางยังขาวว่าง เปล่า นอกจากทราบชือ่ ของมัน ทราบว่ามันเป็นบัณฑิตซิว่ ไฉอายุเยาว์ทสี่ ดุ ของเขตเซวียนฝู่ เป็นคนมีชอื่ เสียงเพียงหนึง่ เดียวของจุดพักม้าจีหมิง อืน่ ๆ หาทราบไม่ ห้องหับนีต้ รงกลางเป็นห้องอาหาร พอเข้าประตูมาก็เป็นเตาไฟ ด้าน ขวามือเป็นห้องนอน ข้างในยังมีกลิน่ ยาอยูบ่ า้ ง ด้านซ้ายมือความจริงเป็น ที่อยู่ของบิดามารดาหยางหลิง หลังจากที่พวกท่านลาโลกไป ก็ใช้เป็นห้อง เก็บของ ห้องอาหารยังเป็นห้องรับแขก ขณะเดียวกันก็เป็นห้องตั้งศพของ หยางหลิง หานโย่วเหนียงกลัวว่าสามีเพิ่งฟื้นไข้ร่างกายอ่อนแอ ยืนกราน


35

ไม่ยอมให้มันลงมือ หากประคองมันนั่งที่คั่งที่นอน ตัวเองหอบผ้าเขียนค�ำ ไว้อาลัย และหลัวทีเ่ ผากระดาษเงินกระดาษทองไปหลังประตู รือ้ ห้องตัง้ ศพ ทิ้ง กลับวุ่นวายจนหยาดเหงื่อไหลซึม หยางหลิงมองดูหานโย่วเหนียงจัดบ้านช่อง ต้องลอบทอดถอนใจ หญิงสาวยุคปัจจุบนั มีชวี ติ ความเป็นอยูด่ เี ลิศ จึงเติบโตก่อนวัย แต่ทเี่ ติบโต เพียงเป็นร่างกายและความต้องการของพวกนาง หานโย่วเหนียงจึงเจริญ เติบโตทางความคิดและจิตใจ หญิงสาวอายุสิบห้าปีนางหนึ่งเพิง่ แต่งเข้าบ้าน ก็ต้องปรนนิบัตดิ ูแล คนป่วยที่ล้มหมอนนอนเสื่อผู้หนึ่ง ที่บ้านยังยากจนข้นแค้น ไม่ทราบว่า ผ่านครึ่งปีมานี้ได้อย่างไร เห็นนางทั้งงดงามทั้งเฉลียวฉลาด สร้างความ หวัน่ ไหวใจอยูบ่ า้ ง หวนนึกถึงตนเองมีชวี ติ อีกสองปี กลับไม่อาจหักใจย�ำ่ ยี ผู้อื่น หานโย่วเหนียงพอจัดบ้านเสร็จ เห็นมันนั่งอยู่บนคั่งที่นอนส�ำรวจดู ตัวเอง อดหน้าร้อนผะผ่าวมิได้ ครึง่ ปีมานีน้ างเฝ้าภาวนาให้บรุ ษุ ของตัวเอง ฟื้นคืนสติมา ยามนี้มันฟื้นขึ้นมาจริงๆ พอถูกมันจ้องมองเช่นนี้ กลับไม่ สบายใจขึ้นมา นางเดินเข้าห้องนอนมา ไขตะเกียงน�ำ้ มันให้สว่างขึน้ เห็นมันยังมอง ตามมา ใบหน้านางยิ่งมายิ่งร้อนผ่าว ดึงผ้าห่มเบาบางมาคลุมเท้ามัน ตะกุกตะกักว่า “เซี่ยงกง ท่านเพิ่งฟื้นคืนสติมา ยังคงพักผ่อนให้มากไว้ ข้าพเจ้า...ข้าพเจ้าจะไปทีบ่ า้ นหลีต่ า้ เหนียงซึง่ อยูต่ ดิ กัน อีกสักครูก่ จ็ ะกลับ มา” กล่าวจบออกจากห้องราวกับหลบหนีอันใด หยางหลิงยิม้ เล็กน้อย ในใจบังเกิดความอบอุน่ ซึง้ ใจ มันไม่ทราบว่า ตัวเองป่วยเป็นโรคอะไร แต่นบั ตัง้ แต่สงิ ร่างเจ้าของเดิม นอกจากนอนเตียง เป็นเวลานาน บวกกับได้รบั สารอาหารหล่อเลีย้ งร่างกายไม่เพียงพอ กลาย เป็นมือเท้าอ่อนแรงแล้ว กลับไม่เป็นอะไร เห็นหานโย่วเหนียงออกไป จึง


36

เลิกผ้าห่มลงจากคั่งที่นอน ฉวยโอกาสท�ำความคุ้นเคยกับสถานที่ การส�ำรวจครั้งนี้พบว่าทุกแห่งหนล้วนว่างเปล่า ชีวิตความเป็นอยู่ น่าเวทนา เมื่อเดินถึงห้องด้านตรงข้าม มันทราบจากหานโย่วเหนียงว่านี่ เป็นห้องหับของบิดามารดาหยางหลิง ตอนนี้อยู่ว่าง ใช้เก็บข้าวของบาง อย่าง มันเดินถึงข้างประตู ทดลองยกถุงข้าวดู ภายในมีข้าวฟ่างเหลือไม่ ถึงหนึ่งชาม มิน่าเล่านางเพียงต้มข้าวต้มสองชาม ขณะที่รับประทาน ข้าวต้มทีเ่ หลืออยูค่ รึง่ ชามของตัวเอง กลับรับประทานอย่างเอร็ดอร่อย ไม่ ทราบว่าไม่ได้กินอิ่มมากี่วันแล้ว หยางหลิงบังเกิดความหดหู่ใจ ชีวติ เช่นนีจ้ ะอยูร่ อดอย่างไร ผ่านฤดู หนาวประการใด มันบอกว่าจะรับประทานรอความตาย ไม่ได้บอกว่าคิดอด ตาย ดังนั้นนึกด่าทอพ่านกวนภูตกับหน้าม้าหัววัวในใจเที่ยวหนึ่ง หยางหลิงเดินไม่กี่ก้าว ก็ส�ำรวจบ้านช่องจนทั่ว จึงผลักประตูเดิน ออกไป ยามวิกาลของหมู่บ้านชนบทมืดมิด ทุกบ้านช่องจุดตะเกียงน�้ำมัน ดวงเล็กๆ ต่างกับปัจจุบันที่ชนบทยังเปิดไฟสว่างไสว เมื่อแหงนมองท้องฟ้า เห็นเมฆด�ำบดบังเดือนเสี้ยว รู้สึกมีความ หนาวเย็นเสียดกระดูก ไม่ทราบว่าหานโย่วเหนียงไปยังที่ใด ขณะจะกลับ เข้าห้อง พลันได้ยินที่ห่างไปบังเกิดเสียงแอ๊ด จากนั้นแว่วเสียงสุนัขเห่าดัง ขึ้น หยางหลิงเงี่ยหูฟัง ได้ยินที่ห่างไปบังเกิดสุ้มเสียงสตรีเสียงหนึ่งดัง ว่า “โย่วเหนียง ยามมืดค�่ำเดินให้ดี” จากนั้นเป็นเสียงหานโย่วเหนียงดังว่า “ขอบคุณหลี่ต้าเหนียง (ค�ำ เรียกสตรีสูงอายุแซ่หลี่) เสบียงนี้รอจนบ้านเราเก็บเกี่ยวจะคืนให้แน่นอน” หยางหลิงเดินถึงข้างรัว้ ต�ำ่ เตีย้ ทีข่ า้ งรัว้ สุมหิมะซึง่ กวาดมากองรวม ไว้ มันเกาะรั้วมองออกไป เห็นสตรีชราผมหงอกขาวนางหนึ่ง มือหนึ่งถือ ตะเกียงน�้ำมัน มือหนึ่งผลักเปิดประตู คาดว่าหานโย่วเหนียงเดินออกจาก


37

ประตูบ้านแล้ว เห็นสตรีชรานั้นสั่นศีรษะทอดถอนใจ ขณะที่ปิดประตูลง ได้ยิน ภายในบ้านบังเกิดสุ้มเสียงชายชราเสียงหนึ่งดังว่า “นางเฒ่า เมื่อฤดูใบไม้ ร่วงพวกตาดมองโกลยกก�ำลังมา บ้านเรามีเสบียงเหลืออยู่ไม่มาก” สตรีชรานั้นทางหนึ่งปิดประตู ทางหนึ่งกล่าวว่า “เราทราบ แต่ว่า โย่วเหนียงน่าสงสาร สามารถช่วยได้ก็ช่วยเหลือสักครา อีกประการหลิง เอ๋อสอบเป็นบัณฑิตซิว่ ไฉ หลังคราเคราะห์ไม่ตายคงมีวาสนาตามหลัง วัน หน้า...” พร้อมกับประตูที่ปิดลง ไม่ทราบค�ำพูดหลังจากนี้เป็นอะไร หยาง หลิงได้ยินเสียงเปิดประตูบ้าน เงาร่างอ้อนแอ้นสายหนึ่งเดินเข้ามา จึงเดิน ออกไปรับหน้า หานโย่วเหนียงเห็นที่ลานบ้านมีคนผู้หนึ่งเดินออกมา ต้องใจหาย วาบ ยังเข้าใจว่าเป็นอันธพาลหยางเฉวียนมาแทะโลมนาง นางมือหนึ่งหิ้ว เสบียงครึ่งถุง มือหนึ่งหยิบฉวยไม้พลองที่หลังประตูบ้านมาถือไว้ ตวาด เบาๆ ว่า “ไสหัวออกไป ไม่เช่นนัน้ ...ไม่เช่นนัน้ เราจะร้องเรียกบุรษุ ของเรา แล้ว”


38


39

ร่วมทุกข์ร่วมสุขกัน หยางหลิงเพิง่ เดินออกไปสองก้าว ได้ยนิ เสียงหวืด ไม้พลองด้ามหนึง่ จ่อมาทีท่ รวงอก สร้างความตืน่ ตระหนกแก่มนั จนร้องค�ำ “อย่าได้...” จาก นั้นกลืนน�้ำลายค�ำหนึ่ง กล่าวเสริมว่า “โย่วเหนียง เป็นข้าพเจ้า” หานโย่วเหนียงร้องโอยค�ำหนึง่ โยนไม้พลองทิง้ ตรงเข้ามาประคอง มันไว้ กล่าวอย่างร้อนรุ่มว่า “เซี่ยงกง ท่านเพิ่งฟื้นไข้ ไฉนจึงออกมา ข้าง นอกอากาศเหน็บหนาว หากท่านเป็นไรไปอีก จะให้ข้าพเจ้า...ให้ข้าพเจ้า ท�ำอย่างไร?” หยางหลิงตอบว่า “ไม่เป็นไร ข้าพเจ้าดีขึ้นมากแล้ว เพียงแต่ไม่ได้ เคลื่อนไหว ร่างกายจึงอ่อนล้า” พลางยื่นมือหมายช่วยหานโย่วเหนียงหิ้วถุงเสบียง หานโย่วเหนียง ไหนเลยยินยอมให้มันเคลื่อนไหว รีบประคองมันเดินกลับเข้าบ้าน หลังจากกลับเข้าห้อง หยางหลิงอดกล่าวมิได้วา่ “โย่วเหนียง เพราะ รักษาอาการป่วยของเรา บ้านเราใช้เงินไปจนหมดสิ้นกระมัง?” หานโย่วเหนียงวางถุงเสบียงลงบนเตา ค่อยประคองมันเข้าห้อง ทาง หนึง่ กล่าวเบาๆ ว่า “เมือ่ ฤดูใบไม้รว่ ง พวกตาดมองโกลยกก�ำลังมา ข้าพเจ้า แบกท่านหลบหนีขึ้นเขา เสบียงในบ้านถูกพวกตาดมองโกลกวาดไปหมด


40

สิ้น ดังนั้น...ได้แต่น�ำเครื่องเรือนในบ้านไปจ�ำน�ำ” นางประคองหยางหลิงนัง่ ลงบนคัง่ ทีน่ อน ทางหนึง่ ช่วยถอดรองเท้า ให้กบั มัน ทางหนึง่ เงยหน้าขึน้ แย้มยิม้ ให้ กล่าวว่า “เซีย่ งกงไม่ตอ้ งเป็นห่วง รอถึงปีหน้าบ้านเราเก็บเกีย่ วได้ ชีวติ จะดีขนึ้ ท่านเป็นบัณฑิตซิว่ ไฉ ไม่ตอ้ ง วุ่นวายกับเรื่องปลีกย่อยเหล่านี้ รอจนแข็งแรงดีขึ้น ก็ตั้งใจท่องหนังสือ ปี หน้าจะถึงเวลาสอบแข่งขันของต�ำบลแล้ว” หยางหลิงเห็นดวงตานางทอแววเคารพยกย่อง ต้องฝืนยิม้ ในใจ ด้วย สภาพของตนเองยามนี้ นับว่าหาบคอนไม่เป็น เพียงอาศัยความเรียงปากู่ เหวิน* กลับถูกนางยึดถือเป็นลูกผู้ชายชาตรี หากว่าเป็นยุคปัจจุบัน ต่อให้ ท่านส�ำเร็จการศึกษาจากมหาวิทยาลัยชิงหัวหรือเป่ยต้า** หากยากจนข้น แค้นถึงเพียงนี้ คงถูกภรรยาเตะออกไปตั้งแต่แรก นี่ยากต�ำหนินางให้ความส�ำคัญถึงเพียงนี้ ยุคสมัยราชวงศ์หมิง ยกย่องกสิกรรม สะกดพ่อค้า ต่อให้พ่อค้ามั่งมีเงินทอง ฐานะทางสังคมยัง ไม่เทียบเท่าเจ้าของที่ดินที่มีที่นาสามสี่มู่ (ไร่จีน) ดังนั้นหนทางเจริญ ก้าวหน้าได้แต่รับราชการ ก่อนรับราชการต้องผ่านการสอบแข่งขัน ตอน นี้หยางหลิงเพียงเป็นบัณฑิตซิ่วไฉ แต่ในยุคสมัยนั้น ไม่ว่าอยู่ในเมืองหรือ ชนบท บัณฑิตซิ่วไฉได้รับการนับหน้าถือตา มีนักศึกษาบางคนอายุเจ็ด แปดสิบปียังสอบเป็นซิ่วไฉไม่ได้ ราชวงศ์หมิงปกครองราษฎรอย่างเข้มงวด ต่อให้ออกจากหมู่บ้าน ไปเยีย่ มญาติ ก็ตอ้ งขอใบผ่านทางจากท้องถิน่ เวลาผ่านด่านจะประทับตรา เป็นเครื่องหมาย แต่บัณฑิตซิ่วไฉหรือจวี้เหยินได้รับการยกเว้น มีสิทธิ์พก พากระบี่ สวมแพรต่วนสีเขียว เพียงบอกประวัติความเป็นมา ขุนนางตาม รายทางไม่อาจสกัดขัดขวาง พบเห็นนายอ�ำเภอไม่ตอ้ งคุกเข่า ทัง้ ยังมีทนี่ งั่ * แบบข้อสอบเป็นขุนนางสมัยราชวงศ์หมิง ** มหาวิทยาลัยที่มีชื่อเสียงที่สุดของประเทศจีน


41

ในสายตาของผู้คนทั่วไป ย่อมยึดถือเป็นผู้มีศักดิ์ฐานะพิเศษ หานโย่วเหนียงดึงผ้าห่มมาคลุมร่างมัน จากนั้นยกน�้ำร้อนมาอ่าง หนึ่ง ตั้งอกตั้งใจล้างเท้าให้กับมัน หยางหลิงที่ย้อนเวลามาไหนเลยเคยได้ รับการปฏิบัติเช่นนี้ แต่พอกล่าวปฏิเสธก็สร้างความไม่สบายใจแก่นาง สุดท้ายได้แต่รับการปรนนิบัติจากนาง ค�่ำคืนนั้นหยางหลิงใช้แขนหนุนศีรษะ คิดอ่านต่างๆ นานา ข้างหู ได้ยินเสียงลมหายใจของหานโย่วเหนียงเบาๆ คาดว่านางหลับสนิทแล้ว นับตั้งแต่ทั้งสองแต่งงานกัน หานโย่วเหนียงแม้นอนบนคั่งที่นอน เดียวกัน แต่ไม่เคยร่วมหลับนอนมาก่อน ค�่ำคืนนี้เซี่ยงกงไม่สติเลอะเลือน เช่นกาลก่อน กลับสร้างความเอียงอายแก่นาง ถึงแม้ดับตะเกียงน�้ำมันเข้า นอน มันมองไม่เห็นตัวเอง หานโย่วเหนียงร่างยังร้อนผะผ่าว ดึงผ้าห่ม นอนคลุมโปง ไม่กล้าโผล่ศีรษะออกมา แต่ว่าค�่ำคืนนี้นางเบิกบานใจยิ่ง เซี่ยงกงไม่เพียงตายแล้วฟื้นคืนชีพ ทั้งยังทุเลาหายดี ดูท่าหลังจากบ�ำรุงร่างกาย จะมีสุขภาพแข็งแรง สร้าง ความหวังให้กับนางอย่างเต็มเปี่ยม หยางหลิงกับนางแม้เป็นสามีภรรยา แต่นบั ตัง้ แต่มนั ลืมตาขึน้ มา ก็ พบเห็นความโชคร้ายตลอดจนความเด็ดเดี่ยวของนาง ในใจนึกเวทนา สงสารหญิงสาวนางนี้ หวนนึกถึงตนเองมีชวี ติ อีกเพียงสองปี จึงไม่คดิ แตะ ต้องสัมผัสนาง ภายในห้องมืดมิด มองไม่เห็นอันใด เพียงได้ยินเสียงลมหายใจที่ แผ่วเบาของนาง ราวกับแมวน้อยตัวหนึ่ง หยางหลิงต้องลอบทอดถอนใจ ตอนนี้หญิงสาวนางนี้เมื่อได้ชื่อว่าเป็นภรรยาของตนเอง ตนเองมิเพียง ต้องหาทางมีชวี ติ สืบไป ทัง้ ยังต้องดูแลรับผิดชอบต่อนาง แต่วา่ บ้านที่ไม่มี สมบัติติดตัวเช่นนี้ จะเลี้ยงดูนางได้อย่างไร? หยางหลิงครุ่นคิดฟุ้งซ่านวุ่นวาย ยังนึกหาวิธีไม่ออก ยามนี้ความ


42

ร้อนบนคั่งที่นอน* ค่อยๆ เย็นลง ไม่เพียงใบหน้าที่อยู่นอกผ้าห่มถูกแช่จน แข็ง แม้แต่ในผ้าห่มก็เริ่มเย็นเยียบ มันกระชับผ้าห่มคราหนึ่ง พลันฉุกคิด ว่าตนเองนอนอยู่ข้างใน หานโย่วเหนียงนอนอยู่ข้างนอก ไม่ทราบนาง ทนทานได้อย่างไร? หยางหลิงยื่นมือออกลูบคล�ำคั่งที่นอนที่ข้างกายหานโย่วเหนียง ก็ สัมผัสถูกความเย็นเยียบ ในหมู่บ้านสมควรตัดไม้ได้ไม่ยาก เหตุใดไม่ตัด ฟืนให้มากกว่านี้ จ�ำได้ว่าตอนส�ำรวจบ้านช่องที่ข้างเตาคล้ายไม่มีไม้ฟืน จากนั้นค่อยได้คิด ที่ผ่านมาตนเองหลงเหลือลมหายใจอันรวยริน หานโย่ว เหนียงต้องดูแลตนเอง ไหนเลยมีเวลาขึ้นเขาไปตัดฟืน? ยามนั้นนิ้วมือกระทบถูกขอบผ้าห่ม หยางหลิงต้องงงงันวูบ หาก เปรียบกับผ้าห่มทีค่ ลุมร่างตนเอง ผ้าห่มของนางเบาบางมากแล้ว ไม่ทราบ นางผ่านราตรีกาลอันเหน็บหนาวมาได้อย่างไร? ร่างของหานโย่วเหนียงพลันสั่นระริก คล้ายขดตัวขึ้นมา หยางหลิง หน้าร้อนผะผ่าว ที่แท้นางยังไม่นอน จึงกล่าวเบาๆ ว่า “โย่วเหนียง ยังไม่ นอนหรือ?” หานโย่วเหนียงรับค�ำเสียงอูอ้ ี้ หยางหลิงทอดถอนใจกล่าวว่า “ผ้าห่ม ของท่านไฉนเบาบางถึงเพียงนี้ นี่จะผ่านฤดูหนาวได้อย่างไร ที่บ้านไม่มี ผ้าห่มหนาหนักเลยหรือ?” หานโย่วเหนียงส่งเสียงดังอืมม์ กล่าวเบาๆ ว่า “เซี่ยงกง ท่านป่วย หนักยิง่ โย่วเหนียงนึกหาวิธเี ชิญหมอมาไม่ได้ ได้แต่...ได้แต่...ขออภัย...” หยางหลิงลูบคล�ำผ้าห่มหนาหนักของตนเอง หัวใจต้องร้อนวูบ พลัน ลุกขึน้ นัง่ ยืน่ มือดึงผ้าปูทนี่ อนใต้รา่ งหานโย่วเหนียงออกมา สร้างความแตก ตืน่ ลนลานแก่หานโย่วเหนียง จนกล่าวเสียงสัน่ สะท้านว่า “เซีย่ งกง...ท่าน... * คั่งเป็นที่นอนรูปสี่เหลี่ยมผืนผ้า ชาวจีนภาคเหนือจะก่อด้วยอิฐ ข้างล่างมีรูทะลุกับปล่องไฟ พอฤดูหนาวจะก่อไฟให้ไออุ่น ไหลเข้ามาในช่อง


43

ท่านท�ำอะไร?” หยางหลิงเห็นนางแตกตื่นตระหนกถึงเพียงนี้ รู้สึกน่าหัวร่อ จงใจ หยอกเย้าว่า “พวกเราเป็นสามีภรรยา นอนด้วยกันมีอันใดไม่ได้?” หานโย่วเหนียงประหวั่นลนลานกว่าเดิม แต่ฟูจวินกล่าวเช่นนี้ ไม่มี อันใดไม่ถูกต้อง ได้แต่กล่าวตะกุกตะกักว่า “แต่ว่า...แต่ว่าท่านเพิ่งหายดี พวกเราไม่อาจ...” หยางหลิงอดหัวร่อมิได้กล่าวว่า “ยาโถว* โง่เขลา...ผ้าห่มของท่าน เบาบางไปแล้ว เมื่อเห็นท่านเหน็บหนาว ข้าพเจ้ายังหลับลงหรือ มา พวก เรานอนด้วยกัน” พลางปูผ้าห่มที่นอนสองผืนซ้อนกัน หยางหลิงเลิกผ้าห่มของนาง ขึน้ ห่มผ้าของตนเองลงบนร่างนาง จากนัน้ คลุมผ้าห่มเบาบางลงบนผ้าห่ม หนาหนัก กล่าวว่า “ท่านดู เช่นนี้ดีขึ้นมากนัก” หานโย่วเหนียงซ่อนตัวอยู่ในผ้าห่มไม่กล้าออกมา ทั้งขดตัวราวกับ คันธนูคันหนึ่ง ก�ำหมัดน้อยๆ ทั้งสองอยู่เหนืออก นางเองก็ไม่ทราบว่า ตัวเองไฉนตื่นเต้นหวาดกลัวถึงเพียงนี้ หยางหลิงเป็นสามีที่ชอบธรรมของนาง นางได้รับการอบรมตั้งแต่ เล็กว่า สตรีต้องกอปรด้วยสามคล้อยตามสี่จริยา** สามีคือฟ้า สตรีคือดิน ทั้งยังมีค�ำกล่าวว่า “สตรีเป็นผู้ศิโรราบ” หากว่าสามีต้องการนาง แต่มีอัน ใดไม่สมควร แต่พอนึกถึงเหตุการณ์ที่จะบังเกิดขึน้ อดแตกตืน่ ลนลานมิได้ เปรียบกับตอนที่ติดตามบิดาออกล่าสัตว์ เผชิญเสือร้ายเป็นครั้งแรก ยัง หวาดกลัวยิ่งกว่าอีก หยางหลิงก็รสู้ กึ ถึงความตืน่ เต้นของนาง กล่าวตามความสัตย์ มันก็ ไม่กล้าใกล้ชดิ หานโย่วเหนียงเกินไป หากว่าทัง้ สองสนิทชิดใกล้ ยากรับรอง * ในที่นี้เป็นค�ำเรียกหญิงสาว ** ค�ำสอนในสังคมศักดินา ให้สตรีอยูบ่ า้ นคล้อยตามบิดา แต่งงานแล้วคล้อยตามสามี สามีตายคล้อยตามบุตร ทัง้ ต้องประพฤติ ดี มีกิริยาอ่อนหวาน แต่งตัวเรียบร้อย และยินดีท�ำงานบ้าน


44

ว่าตนเองไม่หวั่นไหวใจ อย่างน้อยมันมีร่างกายแข็งแรง เมื่ออยู่เคียงคู่กับ หญิงสาวเยาว์วัยเช่นนี้ ต่อให้ในใจไม่นึกถึง ทางสรีระร่างก็จะเกิดปฏิกิริยา ขึ้น แต่ว่าเมื่อเป็นเช่นนี้ ความอบอุ่นอันน้อยนิดในผ้าห่มก็ปลาสนาการ ไป ถึงแม้ผ้าห่มหนาหนัก แต่ไม่รู้สึกอุ่นแต่อย่างไร หยางหลิงพานลุกขึ้น มา คล�ำหารองเท้าสวมใส่ หานโย่วเหนียงโผล่ศีรษะออกมา ถามว่า “เซี่ยงกง ท่าน...ท่านคิด ไปที่ใด?” หยางหลิงถามว่า “ตะเกียงจุดอย่างไร มิใช่ ตะเกียงอยู่ที่ใด?” หานโย่วเหนียงรีบลุกขึ้นมา ตีหินเหล็กไฟจุดตะเกียงน�้ำมัน ใต้แสง ไฟสาดส่อง ใบหน้านางแดงเปล่งปลั่ง ไม่ทราบเป็นอับอายหรือถูกแสงไฟ สาดส่อง กลับเพิ่มความงามอีกหลายส่วน นางกล่าวอย่างสงสัยใจว่า “เซี่ยงกง คิดปลดทุกข์เบาหรือ ถังปัสสาวะอยู่ห้องด้านนอก” หยางหลิงสั่นศีรษะกล่าวว่า “ไม่ เราคิดเติมฟืนในเตา” หานโย่วเหนียงถือตะเกียงน�ำ้ มัน ติดตามมันออกมายังห้องด้านนอก ที่ใต้เท้ามีไม้ฟนื มัดเล็กๆ หยางหลิงมองดูแวบหนึง่ แล้วเดินไปหอบผ้าเขียน ค�ำไว้อาลัย หลัวไม้ไผ่และกระดาษเงินกระดาษทองยัดใส่ใต้เตา สิง่ ของเหล่า นี้ท�ำจากก้านต้นเกาเหลียงและกระดาษ จุดติดได้โดยง่าย ไม่นานไฟที่ใกล้ มอดดับจึงลุกโชนขึ้นมาใหม่ หยางหลิงยังโยนไม้ฟนื มัดนัน้ ลงไป หานโย่วเหนียงอ้าปากคิดกล่าว กระไร แต่แล้วกล�้ำกลืนไว้ ครุ่นคิดขึ้น ‘เผาทิ้งก็เผาทิ้งเถอะ จะอย่างไร ฟูจวินหายดีแล้ว พรุ่งนี้เช้าเราขึ้นเขาไปตัดฟืนก็แล้วกัน’ หยางหลิงมองดูไฟที่ลุกไหม้ หันมากล่าวว่า “เมื่อเป็นเช่นนี้คืนนี้จะ ได้อุ่นขึ้น” มันพอเหลียวหน้ามา ภายใต้แสงไฟสาดส่อง ค่อยเห็นชัดตาว่าหาน


45

โย่วเหนียงสวมเสือ้ ชัน้ ในเนือ้ หยาบสีขาวตัวหนึง่ ถึงแม้มรี อยปุปะหลายแห่ง แต่ยังไม่อาจปกปิดเรือนร่างที่รัดรึงใจ โดยเฉพาะผิวพรรณบริเวณปกเสื้อ ถูกแสงไฟขับจนเย้ายวนใจเป็นพิเศษ หยางหลิงใจเต้นระทึกขึ้น รีบเบือนสายตาไปไม่กล้ามองดูอีก หาน โย่วเหนียงก็พบเห็นประกายตาของมัน บังเกิดความเอียงอายอยู่บ้าง พก ความกระบิดกระบวนประคองหยางหลิงกลับเข้ามา เมื่อหยางหลิงรับ ตะเกียงน�ำ้ มันจากมือหานโย่วเหนียง พบว่าฝ่ามือของนางเกิดรอยสาก หลัง มือก็หยาบกร้าน ถูกความหนาวคุกคามจนปริแตก ถึงแม้ว่าวันนี้เพิ่งรู้จัก กัน ยังสร้างความเจ็บปวดใจแก่หยางหลิงยิ่ง หานโย่วเหนียงชักดึงมือกลับไป กล่าวว่า “เซีย่ งกง อย่าได้ทนหนาว แล้ว รีบพักผ่อนเถอะ” หลังจากเคลื่อนไหวเช่นนี้ ทั้งสองไม่ส�ำรวมตนเช่นตอนแรก ในใจ เกิดความผูกพันอย่างบอกไม่ถูก หลังจากมุดเข้าผ้าห่ม ก็ไม่ระมัดระวังตัว เช่นตอนแรกอีก แต่ว่าความเย็นที่ช�ำแรกเข้ามาตามร่องของผ้าห่มยังยากทนทาน สุดท้ายหยางหลิงต้องขยับเข้าใกล้ หานโย่วเหนียงสะท้านขึน้ คราหนึง่ ร่าง แข็งทื่ออยู่บ้าง แต่ไม่ขัดขืนอันใด หยางหลิงเพียงแนบชิดกัน เพื่อมิให้ไอร้อนรั่วไหลออกไป พลาง กล่าวเป็นเชิงเยาะเย้ยตัวเองว่า “โย่วเหนียง พวกเราเฉกเช่นปลาที่ขาดน�้ำ พ่นน�ำ้ ลายแก่กนั เพือ่ ให้ตวั ชุม่ *” พลางลูบคล�ำมือน้อยๆ ของนาง กล่าวด้วย ความรักเวทนาว่า “มือของท่านล้วนปริแตก เกิดจากการซักเสื้อผ้าผ่าฝืน กระมัง เจ็บหรือไม่?” หานโย่วเหนียงสั่นศีรษะ จากนั้นพบว่ามันมองไม่เห็น จึงกล่าว “ไม่ เจ็บ เซี่ยงกง ขอเพียงท่านมีสุขภาพดีขึ้น โย่วเหนียงแม้รับความล�ำบาก * เป็นสุภาษิตบทหนึ่ง หมายถึงร่วมทุกข์ร่วมสุขกัน


46

กว่านี้ก็ไม่ปริปากบ่น” หยางหลิงพอฟัง ต้องกุมมือนางแนบแน่น มีความรู้สึกว่าการกลับ ชาติเกิดใหม่ครั้งนี้ แม้เป็นครั้งที่ยากล�ำบากที่สุด แต่ในใจทั้งอบอุ่นทั้ง เป็นสุข ผ่านไปครู่หนึ่ง ฟังจากเสียงลมหายใจของหานโย่วเหนียงคล้ายยัง ไม่นอน จึงถามว่า “คิดอะไร?” หานโย่วเหนียงถอนใจเบาๆ กล่าวว่า “เซี่ยงกง ข้าพเจ้านึกถึงเรื่อง เข้าสอบในปีหน้าของท่าน ทางบ้าน...ไม่มีเงินอีกแล้ว บ้านมารดาเรามี เกอเกอ (พีช่ าย) สองคน ตีต้ ี้ (น้องชาย) คนหนึง่ ท่านพ่อแบกรับภาระหนัก ไม่สามารถช่วยเหลือได้ ที่นาทั้งสี่มู่ของบ้านเราตกทอดจากบรรพบุรุษ ไม่ อาจขายทิ้ง แล้วนี่จะท�ำอย่างไร” หยางหลิงฉุกใจคิด มันไม่มคี วามคิดว่ามรดกตกทอดจากบรรพบุรษุ ไม่อาจแตะต้อง เพียงครุ่นคิดว่าที่นาทั้งสี่มู่จะขายได้เท่าใด ทางที่ดีช่วยให้ ตนเองอยู่สุขสบายสักสองปี หลังจากตายแล้ว สตรีนางนี้ไม่ต้องล�ำบาก ล�ำบนอีก หลังจากคิดฟุง้ วุน่ วาย ค่อยเกิดความง่วงเหงาทีละน้อย มีความรูส้ กึ ว่าใต้คงั่ ทีน่ อนยิง่ มายิง่ ร้อน หานโย่วเหนียงแม้ปล่อยให้มนั กระทบไหล่ แต่ ยังนอนขดตัวไว้ ร่างกายเขม็งเกร็ง หยางหลิงบังเกิดความขบขัน ยิม้ พลาง กล่าวว่า “โย่วเหนียง ผ่อนคลายกว่านี้ อากาศหนาวถึงเพียงนี้ ท่านกลัวเรา ท�ำอะไร อืมม์...เราพลันนึกถึงคนโบราณผู้หนึ่ง” หานโย่วเหนียงไม่ทราบว่าเซี่ยงกงซิ่วไฉของตัวเองกล่าวอันใด จึง กล่าวด้วยความสงสัยอยากรู้ว่า “เซี่ยงกงนึกถึงคนโบราณอันใด?” หยางหลิงกลั้นหัวร่อไว้ กล่าวว่า “เรานึกถึงหลิวเซี่ยฮุ่ย* หากว่า ‘วิญญูชน’ ท่านนี้ไม่ได้บกพร่องอันใด คงมีสภาพไม่ต่างกับเรา ยามฤดู หนาวโอบกอดหญิงสาวนางหนึ่งที่หน้าประตูเมือง เนื่องเพราะ...เหน็บ * หมายถึงบุรุษที่ยึดถือข้อห้ามฉันบุรุษสตรีโดยเคร่งครัด


47

หนาวเกินไป ไม่ว่าความคิดต�่ำช้าใดล้วนถูกแช่แข็งไป” หานโย่วเหนียงอดหัวร่อคิกมิได้ ก่อนแต่งงานนางยังหวั่นวิตกว่า เซี่ยงกงตัวเองหัวโบราณคร�่ำครึ คิดไม่ถึงว่ามีอารมณ์ขันถึงเพียงนี้ ในใจ ต้องบังเกิดความรูส้ กึ ทีแ่ ปลกประหลาดขึน้ ขยับเข้าใกล้หยางหลิง ร่างกาย ก็ผ่อนคลาย กล่าวเบาๆ ที่ข้างหูมันว่า “เซี่ยงกง ข้าพเจ้ายินยอมแนบชิด กับท่านเช่นนี้ ไม่วา่ เกิดแก่เจ็บตายหรือยากดีมจี น ข้าพเจ้าจะอยูเ่ ป็นเพือ่ น ท่านตลอดไป” หยางหลิงได้ยนิ นางเปิดเผยความในใจ อดใจสัน่ สะท้านมิได้ ชนชาว โลกมิใช่ค้นหาคู่ชีวิตที่กล่าวค�ำ “ข้าพเจ้ายินยอม” เช่นนี้หรอกหรือ ยาม พลุ่งพล่านใจถึงกับคิดบอกว่าตนเองก็ยินยอมอยู่เป็นเพื่อนนางเช่นนี้ แต่ พอหวนนึกถึงตนเองมีชีวิตอีกเพียงสองปี ต้องกล�้ำกลืนค�ำพูดไว้ ร่างของหานโย่วเหนียงทั้งนุ่มนิ่ม ทั้งร้อนผะผ่าว ยามโอบรั้งกับ อ้อมอกให้ความสุขสบายยิง่ ยามรักถนอมต้องหักห้ามความต้องการไว้ จาก นั้นบังเกิดความง่วงเหงา อ้าปากหาวค�ำหนึ่งม่อยหลับไป ............ ไก่แจ้ของบ้านตระกูลหลีท่ อี่ ยูต่ ดิ กันขันเอ๊กอีเ้ อ๊ก ปลุกหยางหลิงตืน่ ขึ้นมา พอยกมือลูบคล�ำกลับพบกับความว่างเปล่า รีบลืมตาขึ้นพบว่าใน ผ้าห่มมีแต่มันคนเดียว หยางหลิงฝืนยิ้มออกมา ตนเองยังคิดดูแลผู้อื่น คิดไม่ถึงผู้อื่นตื่น แต่เช้า ตนเองยังมุดอยู่ในผ้าห่ม จึงหยิบฉวยเสื้อผ้าสวมใส่ พบว่าชุดยาว สีเขียวที่ยัดไส้ปุยฝ้ายมีรอยปุปะหลายแห่งเช่นกัน พอเดินออกมายังห้องด้านนอก สอดส่ายสายตามอง แต่ไม่เห็นหาน โย่วเหนียงแม้แต่เงา หยางหลิงเดินออกจากประตูบา้ น อากาศหนาวเย็นยิง่ ความเย็นพวยพุ่งเข้ามายังจมูก ต้องยืดแขนเหยียดขา ค่อยมีชีวิตชีวาขึ้น ภายใต้แสงอุทัยสาดส่อง นี่เป็นหมู่บ้านเล็กๆ บริเวณไหล่เขาแห่ง


48

หนึ่ง มีอยู่สิบกว่าหลัง ส่วนใหญ่โกโรโกโส ที่เชิงเนินก็ปลูกบ้านหลายสิบ หลัง ลักษณะดีกว่านี้ สมควรมีความเป็นอยู่เหนือกว่า หยางหลิงยืนอยู่ข้างรั้วขวามือส�ำรวจดูเชิงเขา พลันได้ยินเสียงเปิด ประตูรั้วดังแอ๊ด พอเหลียวหน้าไป เห็นไม้ฟืนมัดใหญ่ กิ่งไม้บางกิ่งยังมี คราบหิมะอยู่ ใต้ไม้ฟืนเป็นร่างเล็กๆ ร่างหนึ่ง ตัดกับไม้ฟืนมัดใหญ่ ท่ามกลางไม้ฟืนเผยเห็นใบหน้าน้อยๆ ที่ถูกความเย็นคุกคามจนแดง เปล่งปลั่ง หยางหลิงรีบวิ่งเข้าไป กล่าวด้วยความละอายว่า “โย่วเหนียง ท่าน ไฉน...รีบวางลง ไฉนตัดฟืนมากมายถึงเพียงนี้?” หานโย่วเหนียงพอเห็นมัน ยังร้อนใจยิ่งกว่า รีบวางไม้ฟืนลงที่ด้าน ข้าง ถือขวานวิ่งมาประคองมัน กล่าวอย่างร้อนรุ่มว่า “เซี่ยงกง ท่านไฉน ออกมาอีก ข้างนอกเหน็บหนาวยิ่ง รีบกลับบ้านไป” หยางหลิงนึกต�ำหนิตัวเอง แย่งชิงขวานจากมือหานโย่วเหนียงโยน ทิ้งไป สองมือกุมมือน้อยๆ ที่แดงก�่ำของนางไว้ กล่าวว่า “โย่วเหนียง หลัง จากนีอ้ ย่าได้ตดั ฟืนมากมายถึงเพียงนี้ ท่านสมควรปลุกข้าพเจ้าขึน้ มา งาน เช่นนี้สมควรให้บุรุษกระท�ำจึงถูกต้อง” หานโย่วเหนียงบังเกิดความอบอุน่ ใจ ปากกล่าวอย่างจริงจังว่า “ท่าน เป็นซิ่วไฉ หากว่าท�ำงานเช่นนี้จะถูกผู้คนหัวร่อเยาะ เซี่ยงกง รีบกลับเข้า บ้านเถอะ อย่าได้ทนเหน็บหนาวแล้ว” มือของนางก็เย็นเฉียบ นิ้วทั้งสิบแข็งทื่ออยู่บ้าง หยางหลิงห่อมือ น้อยๆ ของนางอยู่ในฝ่ามือ สาวเท้าเข้าห้องไป กล่าวว่า “ท่านจึงสมควร เข้าบ้านไปรับความอบอุน่ ท่านสวมเสือ้ ผ้าเบาบางไปแล้ว” พลางกล่าวด้วย ความล�ำบากใจว่า “ทางบ้านยากจนจนไม่มีเสื้อผ้าสักชุดหรือ?” หานโย่วเหนียงยิ้มอย่างเอียงอายว่า “ยังมีเสื้อผ้าใหม่ชุดหนึ่ง ข้าพเจ้าคิดรอถึงปีใหม่คอ่ ยสวมใส่ เซีย่ งกง ท่านหิวแล้วกระมัง ข้าพเจ้าจะ


49

ไปหุงข้าว” หยางหลิงบังเกิดความหดหู่ใจ คิดอ่านในใจ ‘หน้าม้าหัววัว พวกท่าน ชนะแล้ว หากไม่ช่วยเหลือหญิงสาวที่น่าเวทนานี้มีชีวิตที่ดีขึ้น ต่อให้พวก ท่านให้เราเป็นเก้าพันปีบวกอีกพันปี เราก็ไม่กลับไป’ มันฉุดลากหานโย่วเหนียงมานั่งลงที่ริมขอบของคั่งที่นอน แบะปก เสื้อออก วางมือทั้งสองของนางอยู่ในอกเสื้อ วางอ�ำนาจของสามีกล่าวว่า “นั่งอย่างเรียบร้อย รอจนมืออุ่นขึ้นแล้วค่อยว่ากล่าว” หานโย่วเหนียงเหม่อมองดูนาง พลันสะอึกสะอื้นไห้ออกมา หยาง หลิงรีบกล่าวว่า “โย่วเหนียง ท่านเป็นไรแล้ว?” หานโย่วเหนียงดึงมือข้างหนึง่ จากอกเสือ้ มันไปปาดเช็ดนำ�้ ตา กล่าว ว่า “ผู้อื่นเบิกบานใจยิ่ง เซี่ยงกง ท่านดีต่อข้าพเจ้าไปแล้ว โย่วเหนียง สามารถแต่งให้กับท่าน นับเป็นบุญวาสนาของโย่วเหนียง” นางเห็นว่าสวรรค์ดีต่อนางไม่น้อย ไม่เพียงคืนสามีแก่นาง มันยัง นุ่มนวลเอาใจถึงเพียงนี้ โลกนี้ให้แก่ตัวเองมากมายไปแล้ว หยางหลิงมอง ดูสีหน้าที่เปี่ยมสุขของนาง ต้องโอบรั้งนางเข้ามายังอ้อมอก อาหารเช้ายังคงเป็นข้าวต้มข้าวฟ่างกับผักดอง หานโย่วเหนียงหุง ข้าวต้มมากกว่าเมือ่ วาน ส�ำหรับกับหยางหลิง อาหารทีฝ่ ดื คอกลับหอมหวน อยูบ่ า้ ง มันกัดกินผักดองทีแ่ ฝงเกล็ดน�ำ้ แข็ง พลันถามว่า “โย่วเหนียง ตอน นี้ที่ดินหนึ่งมู่ราคาเท่าใด?” หานโย่วเหนียงงงงันวูบจึงกล่าวว่า “หากว่าเป็นที่ดินเมืองตาถงเขต เซวียนฝู่ ที่ดินหนึ่งมู่มีราคาหกถึงแปดต�ำลึง ส่วนที่นาภูเขาของพวกเรา ประมาณสี่ต�ำลึง” หยางหลิงร้องว่าเพียงสี่ต�ำลึง หานโย่วเหนียงกะพริบตากล่าวว่า “สี่ต�ำลึงถือว่าไม่น้อย เท่ากับเงินสีก่ ว้ น* พวกเราครอบครัวชาวนาสามารถ * เงินตราสมัยโบราณ ใช้เชือกร้อยเป็นพวง พวงละหนึ่งพัน เรียกว่าหนึ่งก้วน


50

ใช้จ่ายถึงสองปี” หยางหลิงค่อยพบว่าตนเองคุน้ กับการใช้คา่ นิยมในยุคปัจจุบนั นึกถึง ปัญหา หลังจากเลียบเคียงถามดู ค่อยทราบว่าหนึง่ ต�ำลึงเทียบเท่าหนึง่ พัน เหรียญ มิน่าเล่าหานโย่วเหนียงบอกว่าไม่น้อยแล้ว แต่การค�ำนวณเช่นนี้ หมายความว่ารับประทานข้าวทีป่ ลูกเอง ไม่เช่นนัน้ เงินหนึง่ ต�ำลึงอย่างมาก ใช้จ่ายได้หนึ่งปี หยางหลิงใคร่ครวญดู ที่นาหนึ่งมู่ขายได้สี่ต�ำลึง ที่นาสี่มู่เท่ากับสิบ หกต�ำลึง ถือว่าไม่น้อยแล้ว คาดว่าเพียงพอให้หานโย่วเหนียงใช้จ่ายเป็น สิบปี ดูจากสภาพเมื่อวาน หากว่าตนเองไม่มีชีวิตอยู่ ทางตระกูลหยางคง ไม่ยอมให้หานโย่วเหนียงได้ครอบครองที่นา แต่ว่าหากตนเองคิดขายที่นา ก็ไม่มีผู้ใดมีสิทธิ์คัดค้าน หยางหลิงกล่าวว่า “โย่วเหนียง ข้าพเจ้าคิดขายบ้านช่องที่นา ย้าย เข้าเมืองไปพักอาศัย” หานโย่วเหนียงลืมตากลมกว้างกล่าวว่า “นี่จะได้อย่างไร นั่นเป็น มรดกที่กงกงผอผอ (พ่อสามีแม่สามี) ทิ้งไว้ ไหนเลยปล่อยให้หลุดลอย จากมือได้ เซีย่ งกงหวัน่ วิตกว่าพวกเราไม่สามารถด�ำรงชีวติ กระมัง ท่านไม่ ต้องเป็นห่วง วันเวลาที่ผ่านมาท่านไม่สบาย ข้าพเจ้าไม่กล้าอยู่ห่างจาก ท่าน ตอนนี้ท่านหายดีแล้ว ท่านเพียงท่องต�ำรับต�ำรา ส่วนข้าพเจ้าเคยฝึก วิธลี า่ สัตว์จากท่านพ่อ อีกสองวันข้าพเจ้าจะขึน้ เขาไปล่าสัตว์ ขอเพียงผ่าน ฤดูหนาวนี้ได้จะดีขึ้น” หยางหลิงฝืนยิ้มพลางกล่าวว่า “ดินฟ้าอากาศเหน็บหนาว ท่านเป็น สตรีขึ้นเขาไปล่าสัตว์เสี่ยงอันตรายถึงเพียงไหน วันเวลาที่ผ่านมาสร้าง ความล�ำบากแก่ท่านแล้ว ข้าพเจ้าคาดว่าอาศัยความสามารถในการขีดๆ เขียนๆ พอเข้าเมืองไปสามารถหางานท�ำ ข้าพเจ้า...ไม่อาจปล่อยให้ท่าน เลี้ยงดูราวเศษสวะตนหนึ่ง”


51

หานโย่วเหนียงพอฟัง บังเกิดความร้อนใจจนหลัง่ น�ำ้ ตาออกมากล่าว ว่า “ข้าพเจ้าไม่สามารถปรนนิบัติเซี่ยงกงให้ดี ปล่อยให้บัณฑิตซิ่วไฉเช่น ท่านต้องไปท�ำงาน ภายภาคหน้าไหนเลยแบกหน้าไปพบกับกงกงผอผอได้ เซีย่ งกง วิงวอนท่านเถอะ เมือ่ มีบา้ นค่อยมีราก อย่าได้ผลัดทีน่ าคาทีอ่ ยูไ่ ป แล้ว” หยางหลิงเห็นนางหลั่งน�้ำตา ต้องวางชามข้าวลง เดินอ้อมมาโอบ รัง้ นางกับอ้อมอก ปาดเช็ดน�ำ้ ตาให้กบั นาง กล่าวเบาๆ ว่า “โย่วเหนียงอย่า ได้ร้องไห้แล้ว ท่านพอร้องไห้ ข้าพเจ้าพลอยล�ำบากใจขึ้นมา ท่านฟัง ข้าพเจ้ากล่าว ปีหน้าทางต�ำบลจัดสอบแข่งขัน พวกเรากระทั่งค่าเดินทาง ยังไม่มี จะเดินทางไปเข้าสอบได้อย่างไร มิสู้ชักฟืนจากใต้เตา สู้แบบหลัง พิงแม่น�้ำ ยังหวงแหนที่นาไม่กี่มู่ท�ำอะไร หากวันหน้าเจริญก้าวหน้า พวก เราซื้อที่ดินสักร้อยชิ่ง* มิใช่มีหน้ามีตาไปพบกับท่านพ่อท่านแม่ยิ่งกว่า หรอกหรือ?” หยางหลิงอยู่ในถิ่นยากไร้เช่นนี้ เฉกเช่นนักเศรษฐศาสตร์หลงพลัด มายังชนเผ่าดึกด�ำบรรพ์ หลุดพ้นจากมาตรฐานการผลิต สิ่งที่เรียนรู้ไม่มี ตลาดรองรับ ในความคาดคิดของมัน หากเดินทางเข้าเมือง อาจมีชะตา เฉกเช่นบุคคลย้อนเวลาสูอ่ ดีตทีอ่ า่ นจากหนังสือ คิดค้นสิง่ แปลกใหม่อนั ใด จนร�่ำรวยมหาศาล ช่วยให้หานโย่วเหนียงด�ำรงชีวิตอย่างสุขสบาย เพราะ เหตุนี้จึงยืนกรานไปจากที่นี้ แต่วา่ เรือ่ งนี้ไม่อาจบอกต่อหานโย่วเหนียงตรงๆ ได้แต่กล่าวว่า “เมือ่ วานท่านก็เห็นแล้ว ข้าพเจ้าไม่คิดติดค้างน�้ำใจสูสู อย่าว่าแต่...” มันกล่าว สัพยอกว่า “วันเวลาทีผ่ า่ นมาใช่มอี นั ธพาลมาเกาะแกะท่านหรือไม่ ข้าพเจ้า ไหนเลยทิ้งให้ภรรยาอันเฉิดโฉมอยู่ที่นี้อย่างวางใจ” มันความจริงคิดหยอกเอินหานโย่วเหนียงให้นางทัง้ อับอายทัง้ แง่งอน * หนึ่งชิ่งเท่ากับหนึ่งร้อยไร่จีน


52

ขึ้นมา มิคาดหานโย่วเหนียงหน้าซีดสลด ดิ้นรนจากอ้อมอกหยางหลิง กล่าวเสียงสัน่ สะท้านว่า “เซี่ยงกง ท่านเข้าใจว่าข้าพเจ้าไม่รกั นวลสงวนตัว หรือ โย่วเหนียงแม้เป็นบุตรีนายพราน ยังล่วงรู้หลักการประพฤติตน ไหน เลยกระท�ำเรื่องลามกบัดสีเช่นนั้นได้?” หยางหลิงใจหายวาบ รีบกล่าวว่า “โย่วเหนียงท่านคิดมากไปแล้ว เรา...ผู้เป็นสามีเพียงชมว่าท่านงดงาม ไหนเลยต�ำหนิท่านได้ ถือว่าเราผู้ เป็นสามีกล่าวผิดไป ท่านทุบตีข้าพเจ้าเถอะ” พลางคว้าหมัดน้อยๆ ของนางทุบใส่หน้าอกตัวเอง เห็นนางยังมี สีหน้าคับแค้น จึงบังเกิดปฏิภาณวูบ แสร้งเป็นกระแอมไอ หมากตานี้ใช้ได้ ผล หานโย่วเหนียงรีบประคองมันไว้ กล่าวว่า “เซี่ยงกง ท่านไม่สบายหรือ รีบนอนลง” หยางหลิงลอบหัวร่อในใจ ปล่อยให้นางประคองขึ้นไปบนคั่งที่นอน จากนั้นกระแอมไอกล่าวว่า “ข้าพเจ้าไม่เป็นไร เพียงแต่สัพยอกวุ่นวาย พูดจาผิดไป เห็นท่านเศร้าเสียใจ สร้างความร้อนใจจน...แค่กแค่ก...” หานโย่วเหนียงรีบกล่าวว่า “โย่วเหนียงเชือ่ แล้ว ทุกประการล้วนแล้ว แต่เซี่ยงกงจัดการเถอะ” นางฟุบร่างกับอ้อมอก โอบเอวของมันไว้ ทอดถอนใจกล่าวว่า “แต่ ว่า...เซี่ยงกงให้เวลาข้าพเจ้าสักหลายวัน ข้าพเจ้าคิดกลับบ้านมารดาไป บอกต่อท่านพ่อสักค�ำ หลายวันนี้ท่านพ่อกับเกอเกอเข้าป่าไปล่าสัตว์ยัง ไม่กลับมา” หยางหลิงกล่าวว่า “ย่อมแน่นอน ต่อให้คิดขายบ้านช่องที่นา ไม่แน่ ว่าจะหาผู้ซื้อได้ นี่ต้องใช้เวลาอยู่บ้าง อีกสองวันข้าพเจ้าจะติดตามท่านไป ค�ำนับเยี่ยจั้ง (ท่านพ่อตา)”


53

หญิงงามบนหลังม้า มีค�ำกล่าวว่า “คิดเข้านครหลวงต้องผ่านด่านจวีหยง เส้นทางด่าน จวีหยงต้องผ่านจีหมิง” จุดพักม้าจีหมิงอยูห่ า่ งจากป้อมถูมหู่ กสิบลี้ ตัง้ เป็น รูปมุมแหลม บวกกับค่ายอวี้หลิน ถือเป็นสามด่านที่อารักขานครหลวงไว้ หยางหลิงกับหานโย่วเหนียงย้ายออกจากหุบเขา ก่อนอื่นไปค�ำนับ เยี่ยฟู่ (พ่อตา) ซึ่งไม่เคยพบหน้ามาก่อน จนใจที่หานเหล่าต้าน�ำบุตรชาย ขึน้ เขาไปล่าสัตว์ไม่กลับมา หานโย่วเหนียงทราบว่าหิมะปกคลุมภูเขา บิดา เข้าป่าไปภายในสิบวันครึง่ เดือนคงไม่กลับมา จึงฝากข่าวโยกย้ายเข้าเมือง กับบ้านใกล้เรือนเคียง จากนั้นติดตามหยางหลิงมาที่จุดพักม้าจีหมิง ในความทรงจ�ำของหยางหลิง เพียงได้ยนิ ชือ่ ป้อมถูมู่ จ�ำได้วา่ ฮ่องเต้ ต้าหมิงพระองค์หนึ่ง* ยกทัพห้าสิบหมื่นมาสู้รบกับผู้น�ำชนเผ่าวาลา แต่ พบกับความพ่ายแพ้ เคราะห์ร้ายถูกจับเป็น ความรู้นี้ ได้จากการอ่าน นวนิยายของเนี่ยอู้เซ็งเรื่องเพี้ยจงเฮียบเอี้ย** เอง ในความทรงจ�ำของมัน สถานที่เป็นเมืองใหญ่มีเพียงเมืองเซวียน ฝูก่ บั ต้าถง พอออกเดินทางค่อยทราบว่าการคมนาคมในตอนนัน้ ไม่สะดวก * หมายถึงหมิงอิงจงฮ่องเต้ ** เรื่องรอยแหนเงาจอมยุทธ์


54

อย่างมาก ส่วนจุดพักม้าจีหมิงแม้เป็นเมืองขนาดเล็ก แต่ก็มีร้านค้า โรง จ�ำน�ำ ร้านขายน�้ำมัน ร้านน�้ำชากับร้านอาหารครบครัน นีเ่ ป็นชัยภูมสิ �ำคัญแห่งหนึง่ ระหว่างนครหลวงกับพืน้ ทีต่ ะวันตกเฉียง เหนือ มีการคมนาคมสะดวก กิจการค้ารุง่ เรือง ถือว่าเจริญก้าวหน้าไม่นอ้ ย หยางหลิงกับหานโย่วเหนียงเช่าบ้านเล็กๆ ของร้านค้านำ�้ มันตระกูล เจี่ยงห้องหนึ่ง ตอนนี้ไม่มีบ้านช่องที่นา หากถือเงินสิบกว่าต�ำลึง หานโย่ว เหนียงไม่ยอมรับประทานจนภูเขาเงินกลวงว่างเปล่า จึงไปท�ำงานเย็บปัก ถักร้อยจากร้านตัดเสื้อผ้าที่หัวถนน หยางหลิงก็คดิ ออกมาดูวา่ มีชอ่ งทางร�ำ่ รวยอันใด อย่างน้อยก็หางาน ท�ำสักอย่าง แต่หานโย่วเหนียงยืนกรานให้มันอยู่บ้านท่องต�ำรับต�ำรา เปลือกนอกหยางหลิงรับปาก ฉวยโอกาสที่นางไม่อยู่ ก็ลอบออกมาเดิน เตร็ดเตร่ดู ที่นี้มีที่ท�ำการขุนนางเจ๋อเฉิง* ร้านรถม้า โรงจ�ำน�ำ วัดวา มีงานใด ที่เหมาะสมกับมัน หยางหลิงเดินเตร็ดเตร่อยู่ครึ่งค่อนวัน พอเงยหน้าขึ้น เห็นร้านสุราเล็กๆ แห่งหนึ่ง จึงเข้าไปสั่งเนื้อวัวสามต�ำลึง เหล้าเผาดาบ ป้านเล็กๆ ลองลิ้มดู พบว่าเหล้าเผาดาบมีรสชาติดีกว่าเหล้าขวดละร้อย เหรียญที่เคยดื่มตามโรงแรมอีก โอ ตอนแรกที่อ่านนวนิยาย ผู้ที่ย้อนเวลาสู่อดีตคิดร�่ำรวยก็มีคนส่ง เงินมา คิดเป็นขุนนางก็ได้รับแต่งตั้งจากฮ่องเต้ แม้แต่ตอนเข้าห้องน�้ำ ยัง ได้พบสาวงามสองสามนาง ตนเองใช่ใช้การไม่ได้หรือไม่? หยางหลิงดื่มสุราจนหมดป้าน ช�ำระเงินเจ็ดเหรียญ เดินออกจาก ร้านสุรา เมื่อเดินบนพื้นหิมะ เหยียบย�่ำจนบังเกิดเสียงดัง ตัวเมืองนี้เจริญ รุ่งเรือง แต่หาได้มีผู้คนแออัดเบียดเสียดไม่ ตอนนั้นยังไม่มีประชากร มากมายถึงเพียงนั้น * ชื่อยศต�ำแหน่ง มีหน้าที่รับส่งข่าวสาร


55

ทันใดทีด่ า้ นหลังบังเกิดเสียงกีบม้าดังขึน้ หยางหลิงคุน้ กับเสียงแตร รถยนต์ค่อยหลีกทางจึงไม่รู้สึกตัว ยังคงเดินอยู่กลางถนน รู้สึกว่าไหล่ขวา ถูกกระทบอย่างแรง ร่างถลาไปเบื้องหน้า แทบล้มคว�่ำกับพื้น หยางหลิงพอทรงกายมั่น ค่อยเหลียวหน้ามอง เห็นม้าสีพุทราแดง ตัวหนึ่งหยุดยืนอยู่ข้างกาย บนหลังม้าบังเกิดเสียงตวาดดังเจื้อยแจ้วว่า “ท่านหูหนวกหรือ?” หยางหลิงบังเกิดโทสะพลุง่ ขึน้ ชนคนยังถือว่ามีเหตุผลหรือ พอเพ่ง ตามองเห็นหมวกหนังก�ำบังลมปกปิดใบหู ไว้ เผยเห็นใบหน้ารูปแตงที่ งดงาม หัวคิ้วทั้งคู่อ่อนจาง หลังจากนั้นทั้งดกหนาทั้งด�ำ ใต้ดวงตากลมโต มีจมูกโด่ง ปากจิ้มลิ้มสีแดงสดใส หยางหลิงตากระจ่างวูบ นีเ่ รียกว่านึกถึงหญิงงาม หญิงงามก็มา นับ ตั้งแต่มันย้อนเวลามายังยุคโบราณ นี่เป็นหญิงงามคนแรกที่พบพาน นาง มีองคาพยพรับรูป กอปรด้วยความงามของสตรีอย่างแท้จริง ดูเหมือน มีอายุเพียงสิบสี่สิบห้าปี หากว่าเติบโตกว่านี้ ยังจะทนทานรับได้หรือ หานโย่วเหนียงแม้เป็นหญิงสาวงดงาม แต่หว่างคิ้วแฝงเค้าความ องอาจเกินไป รูปลักษณะของหญิงสาวชนบทยิง่ ไม่อาจเทียบเปรียบกับสตรี ทีส่ งู ส่งสง่าเช่นนี้ เมือ่ เห็นดวงตาคูน่ ี้ ค่อยทราบว่านางปีศาจจิง้ จอกสมควร มีลักษณะอย่างไร นางสวมใส่ชดุ บุรษุ คลุมทับด้วยเสือ้ คลุมสีนำ�้ ทะเล เท้าสวมรองเท้า หนังกวางคู่หนึ่ง ตอนแรกเลิกคิ้วร้องตวาดใส่หยางหลิง มันพอหมุนตัวมา เห็นอีกฝ่ายสวมชุดยาวสีเขียวเข้ม คลุมเสื้อยาวอีกตัวหนึ่ง ถึงแม้ท่วงท่า สุภาพเรียบร้อย แต่หน้าตาหล่อเหลาไม่เบา สร้างความสบายตาแก่ผู้คน ค่อยควบคุมอารมณ์ ไว้ คนทีด่ า้ นข้างมีวชิ าขับขี่ไม่เท่าหญิงสาวงดงาม จึงรัง้ ดึงสายบังเหียน จนม้าคูข่ าส่งเสียงร้องยาวนาน กีบม้าตะกุยหิมะปลิวกระจาย มันยกก้นขึน้


56

ค่อยทรงกายมั่น ร้องถามว่า “เม่ยจื่อ (น้องสาว) เป็นไรหรือไม่ เอ๊ะ เด็ก น้อยตาบอดชนเม่ยเม่ยเราหรือ?” คนผูน้ มี้ รี ปู กายแข็งแรง สวมชุดขีม่ า้ ใส่หมวกสักหลาดสีมว่ ง มีอายุ ยี่สิบเศษ ผิวสีเข้มคิ้วดกหนาตาโต สีหน้าแฝงแววเย่อหยิ่งยโส ทางหนึ่ง กล่าวทางหนึ่งควบม้าโถมเข้ามา เงื้อแส้ม้าในมือหวดใส่หยางหลิง หยางหลิงคิดหลบก็หลบไม่พน้ กลัวว่าแส้นหี้ วดใส่ใบหน้า จึงยกมือ ปิดหน้าตามสัญชาตญาณ หญิงสาวนั้นพลันโน้มตัวไป ขยับแส้ม้าในมือ ปลายแส้พงุ่ ตรงออกไป ม้วนขวับเมือ่ ม้วนพันแส้มา้ ของเกอเกอไว้ จากนัน้ กระชากมายังด้านหลัง แส้นี้จึงไม่สามารถหวดลง หญิงสาวนัน้ ใช้เท้าหนีบท้องม้า ควบขับเข้าใกล้หยางหลิง ยิม้ พลาง กล่าวว่า “แล้วกันไปเถอะเกอเกอ ผู้อื่นเป็นนักศึกษา ไหนเลยรับแส้ของ ท่านได้...” หยางหลิงลดมือลง เงยหน้ามองดูพกั ตร์พริง้ ดุจดอกท้อของนาง มัน ผ่านมาแล้วเก้าชาติภพ ยังไม่เคยพบเห็นนางงามน้อยเช่นนี้มาก่อน หญิงสาวนั้นคล้ายคุ้นชินกับสายตาที่ตื่นตะลึงของบุรุษเมื่อแรกพบ นาง เห็นดวงตาหยางหลิงทอแววชื่นชม แต่ไม่แสดงท่าทีที่หื่นกระหาย น่าชังเช่นบุรุษที่ผ่านมา ดวงตานางต้องฉายรอยยิ้มวูบหนึ่ง จากนั้นหันไป กล่าวกับบุรุษนัน้ ว่า “เกอเกอ ไปกันเถอะ ยังต้องไปซื้อหาของขวัญ” กล่าว พลางใช้เท้ากระทุ้งท้องม้า กล่าวกับหยางหลิงว่า “นักศึกษาหลีกทาง อย่า ได้ชนถูกท่านอีก” พลางหัวร่อเสียงสดใส ม้าสีพุทราแดงพุ่งเฉียดผ่านไป พร้อมกับเงาหลังอันงดงามพุ่งผ่านไป หยางหลิงยังสูดได้กลิ่นกาย สาวที่หอมรวยรินชนิดหนึ่ง บุรุษนั้นถลึงมองหยางหลิงคราหนึ่ง ควบม้าตามหลังเม่ยเม่ยไป หยางหลิงทั้งมิใช่คนชอบเอาชนะคะคาน ทั้งไม่มีทุนรอนในการเอาชนะ คะคาน จึงยิ้มเล็กน้อย เดินเตร็ดเตร่ต่อไป


57

หยางหลิงพบเห็นร้านรวงก็แวะเข้าไป หวังว่าจะจุดประกายหาเงิน ทองขึ้นมา น่าเสียดายที่นึกไม่ออกว่ามีสิ่งที่เหมาะกับคนโบราณ ทั้งอยู่ใน วิสัยที่ตนเองเรียนรู้ได้ อย่างยากเย็นค่อยนึกถึงน�้ำเต้าน�้ำตาลขึ้นมา จาก นั้นเห็นที่มุมถนนมีคนขายน�้ำเต้าน�้ำตาลอยู่สองคน หยางหลิงครุ่นคิดสืบต่อ ไม่ทราบอาหารหยางโย่วฉ่าง* ของแดน ซีอวี้ (ดินแดนตะวันตก) แพร่หลายมาถึงแผ่นดินจงหยวนแล้วหรือไม่ หากว่ายังไม่ ถือเป็นวิชาชีพที่เรากระท�ำ แต่ต่อให้ขายของหยางโย่วฉาง ไหนเลยร�่ำรวยได้? หวนนึกถึงตนเองสวมผ้ากันเปื้อน ติดหนวดปลอมยืนอยู่ข้างเตา เหล็ก ปลอมตัวเป็นชาวอุยกูร** เชิญชวนแขก หานโย่วเหนียงนั่งอยู่ด้าน หลัง ใช้ไม้เสียบเนือ้ ของมุสกิ ตาย หยางหลิงต้องสยิวกายอย่างหนาวเหน็บ หากอาศัยของกินชนิดนี้สร้างฐานะร�่ำรวยได้ ต่อให้ฟาดมันจนตายยังไม่ ยอมเชื่อ เดินไปเดินไป เห็นร้านดนตรีร้านหนึ่งจึงเดินเข้าไป เห็นซงเม่ย (พี่ ชายน้องสาว) คู่นั้นก็ยืนอยู่ภายใน หญิงสาวนั้นเห็นมีคนเข้ามา ก็เหลียว มองมันแวบหนึ่ง เมื่อเป็นเช่นนี้หยางหลิงไม่สะดวกกับการล่าถอยออกไป หาไม่จะถูกผู้คนหัวร่อเยาะว่ามันขวัญอ่อนกลัวเกิดเรื่อง หญิงสาวนั้นถอดหมวกหนังลงมา เผยเห็นคิ้วขนงวงพักตร์ พอ เหลียวหน้าเห็นเป็นมัน ก็เผยอแย้มยิ้ม จากนั้นหันกลับไปทดลองดีดพิณ โบราณตัวหนึ่ง พิณตัวนี้สีสันโบราณ ลวดลายประณีต จัดท�ำจากไม้ถงมู่อย่างดี นางยื่นมือเรียวงามดีดใส่เบาๆ ภายในร้านก็บังเกิดเสียงดนตรีอันไพเราะ ดังขึ้น * เคบับที่เสียบไม้ปิ้งย่างบนเตา ท�ำจากเนื้อแพะ ** ชื่อชนกลุ่มน้อยของจีน ส่วนมากอาศัยอยู่ที่มณฑลซินเกียง


58

หญิงสาวนั้นกล่าวด้วยความยินดีว่า “พิณที่ดี เหลาป่าน (ค�ำเรียก เถ้าแก่) พิณตัวนี้ราคาเท่าใด?” เถ้าแก่ของร้านมีอายุหกสิบเศษ ยิม้ ประจบกล่าวว่า “คุณหนูมสี ายตา แหลมคม พิณตัวนี้เป็นของโบราณของราชวงศ์ก่อน หากท่านชมชอบก็ ขายให้ในราคายี่สิบต�ำลึง” หญิงสาวนั้นอ้าปากค้าง กล่าวว่า “พิณตัวนี้แม้ไม่เลว แต่ว่ายี่สิบ ต�ำลึงแพงเกินไป อย่างมากมีราคาสักสิบต�ำลึง” เถ้าแก่นนั้ กล่าวว่า “คุณหนู พิณตัวนีท้ �ำจากไม้ถงมูอ่ ย่างดี เพียงเนือ้ ไม้ไม่ทราบต้องเข้าป่าไปค้นหานานเท่าใด ยังมีสายพิณแต่ละสายขึงจาก ลวดอูจิน* พิณชั้นดีเช่นนี้ตั้งราคายี่สิบต�ำลึงหาเกินเลยไป” หญิงสาวนั้นเผยอยิ้ม เผยเห็นรอยลักยิ้มเล็กน้อย ฟันในปากขาว ราวกับเปลือกหอยมุก หยางหลิงชมดูจนหวัน่ ไหวขึน้ มา หญิงสาวนัน้ เหลียว มองมันแวบหนึ่ง แสดงว่าทราบว่ามันแอบดูตัวเอง แต่หามีทีท่าไม่พอใจ ไม่ หญิงสาวนั้นหันไปกล่าวกีลีกูลูกับเกอเกอ ซึ่งหยางหลิงฟังไม่เข้าใจ บุรุษนั้นก็ตอบด้วยภาษาเดียวกันประโยคหนึ่ง หญิงสาวนั้นจึงกล่าวกับ เถ้าแก่นั้นว่า “เหลาป่าน จุดพักม้าจีหมิงนี้นอกจากข้าพเจ้าแล้ว คงไม่มี ผู้ใดหักใจจ่ายเงินมากมายเพียงนี้ซื้อพิณตัวนี้ไป เช่นนี้เถอะ สิบห้าต�ำลึง ก็แล้วกัน” เถ้าแก่นั้นผงกศีรษะกล่าวว่า “ตกลง สินค้าขายให้กับผู้รู้คุณค่า คุณ หนูเมื่อกล่าวเช่นนี้ พิณตัวนี้ขอขายให้กับท่านแล้ว” หญิงสาวนั้นยิ้มเล็กน้อย ล้วงถุงแพรจากอกเสื้อ เทไข่มุกออกจาก ถุงลูกหนึง่ วางลงบนฝ่ามือขาวผ่อง ยืน่ ถึงเบือ้ งหน้าเถ้าแก่นนั้ กล่าวว่า “นี่ เป็นไข่มุกเหอผู่** ชั้นดี ต่อให้อยู่ในเมืองน้อยเช่นนี้ ก็มีราคาสิบแปดต�ำลึง * โลหะผสมเนื้อทองแดงเก้าสิบส่วน ทองค�ำสิบส่วน ** ชื่ออ�ำเภอ ปัจจุบันอยู่ในมณฑลกวางสี


59

ข้าพเจ้าใช้ไข่มุกลูกนี้แลกกับพิณของท่าน ท่านไม่ต้องทอนเงินให้ เพียง จัดหากล่องพิณให้ใบหนึ่ง” ยุคสมัยนั้นแม้ใช้เงินและทองค�ำ ตลอดจนเงินกระดาษต้าหมิง แต่ ในระดับชาวบ้านยังใช้วตั ถุแลกวัตถุ ดังนัน้ พฤติการณ์ของหญิงสาวนี้ไม่นา่ ประหลาด เถ้าแก่นั้นรับไข่มุกมา หยีตาส่องดูกับแสงอาทิตย์ พบว่าเป็น ไข่มุกน�้ำงาม หญิงสาวนางนี้น�ำมาแลกกับพิณของมัน การค้านี้กลับไม่ ขาดทุน แต่วา่ เถ้าแก่นนั้ คิดอ่านในใจ ‘จุดพักม้าจีหมิงแม้เจริญรุง่ เรือง แต่ไม่ เหมาะกับการเปิดร้านดนตรี เราเปิดกิจการสองปี พบกับการขาดทุน ก�ำลัง คิดขายร้านค้าออกไปค้าขายที่เมืองต้าถง เห็นปีใหม่ใกล้เข้ามา ต่อให้รับ ไข่มกุ ไว้ ก็ตอ้ งหาทางปล่อยออกไป ซงเม่ยคูน่ แี้ สดงว่ามิใช่คนพืน้ เมือง ฟัง จากน�ำ้ เสียงคล้ายมาจากนอกด่าน ไม่แน่วา่ ผ่านทางมา หากฮุบไข่มกุ ของ นางไว้ ต่อให้ค้าขายขาดทุน ยังถือว่าได้ก�ำไรกลับมา’ นึกถึงตอนนี้บังเกิดความละโมบขึ้น บังคับไข่มุกลื่นไหลไปในแขน เสื้อ หัวร่อพลางกล่าวว่า “คุณหนู พิณตัวนี้ซื้อขายด้วยเงิน หากท่าน ต้องการก็น�ำเงินมาซื้อหาไป” หญิงสาวนัน้ พอฟัง ต้องเชิดปากน้อยๆ ขยีเ้ ท้ากล่าวว่า “ท่านผูน้ ที้ งั้ ที่ให้ท่านได้ก�ำไร ยังอิดๆ ออดๆ อย่างนั้นคืนไข่มุกมา ข้าพเจ้าไม่ซื้อแล้ว” เถ้าแก่นนั้ กะพริบตา แสร้งกล่าวอย่างงุนงงว่า “ไข่มกุ อันใด ท่านเข้า ร้านมาซื้อสิ่งของ ไม่ได้มาขายสิ่งของ เราไหนเลยเคยเห็นไข่มุกของ ท่าน?” หญิงสาวนั้นหน้าแดงก�่ำขึ้นมา กระชากเสียงว่า “ท่านผู้นี้ไฉนไม่มี เหตุผลถึงเพียงนี้ คิดคดโกงไข่มุกของข้าพเจ้าหรือ?” เกอเกอของนางก็เดือดดาลขึ้นมาเป็นการใหญ่ ยื่นมือตะปบร่างซูบ ผอมของเถ้าแก่นั้น ยกร่างมันข้ามตู้สินค้าออกมา ด่าทอว่า “มารดามัน


60

เถอะ กลับกล้าขโมยสิ่งของเม่ยจื่อเรา เข้าใจว่าเราหม่าอังข่มเหงได้หรือ สุนัขเฒ่าคืนไข่มุกมา” เถ้าแก่นั้นแผดเสียงร้องออกมาว่า “มีโจรผู้ร้าย ท�ำร้ายคนแล้ว พ่อ แม่พี่น้องรีบมาชมดู เราเฒ่าหวังค้าขายโดยยุติธรรม ไม่หลอกลวงชรา ทารก คนต่างถิ่นมารังแกผู้คนถึงถิ่นแล้ว” ชายหนุ่มนามหม่าอังเดือดดาลสุดระงับ เงื้อมือหมายตบใส่ ด่าทอ ว่า “สุนัขเฒ่าคดโกง ข่มเหงผู้คนไปแล้ว” ยามนั้นม่านประตูเลิกวูบ ชายฉกรรจ์ ไว้หนวดเคราอายุสี่สิบเศษ ผู้หนึ่งโถมเข้ามา พอเห็นเช่นนั้นก็ขู่ค�ำรามก้อง พุ่งหมัดเข้าใส่ ร�่ำร้องว่า “ปล่อยบิดาเรา เดรัจฉานน้อยจากที่ใด กล้ามาข่มเหงถึงร้านตระกูลหวัง เรา” ชายฉกรรจ์ผนู้ มี้ กี �ำลังวังชาอยูบ่ า้ ง หมัดนีแ้ หวกฝ่าอากาศเป็นเสียง ดัง หม่าอังยิ้มอย่างเหยียดหยาม ตวัดมือเหวี่ยงเถ้าแก่นั้นออกไป จากนั้น ยืน่ มือออก เสียงฉาดเมือ่ กุมหมัดของชายฉกรรจ์นนั้ ไว้ สร้างความเจ็บปวด แก่ชายฉกรรจ์นั้นจนร้องโอดโอยออกมา พอถูกมันบิดข้อมือก็คุกเข่าลง เถ้าแก่นนั้ ถูกมันรวบคว้าคอเสือ้ ตบหน้าสองฉาด พอถูกสลัดเหวีย่ ง ออกไป ก็ส่งเสียงร้องโวยวายออกมา แต่ว่าร�่ำร้องอยู่สองค�ำ ใบหน้ากลับ กลายเป็นแดงก�่ำ หอบหายใจอยู่หลายค�ำ จากนั้นล้มระทวยลงนิ่งเงียบงัน ไป หม่าอังบิดข้อมือของชายฉกรรจ์นั้น ขณะจะแสดงอานุภาพออกมา ร้านรวงข้างเคียงพากันห้อมล้อมเข้ามา มีคนประคองเถ้าแก่นนั้ ขึน้ ร�ำ่ ร้อง ดังๆ ว่า “หวังต้า รีบมาดูบิดาท่านเหล่าแหยจื่อไม่รอดแล้ว” หม่าอังเหลียวหน้ามอง เห็นเถ้าแก่ร้านดนตรีที่เห็นทรัพย์สินเกิด ความละโมบหน้าซีดเผือด ล้มระทวยอยู่ในอ้อมอกผู้คน ต้องใจหายวาบ คลายมือออกอย่างลืมตัว


61

ชายฉกรรจ์นามหวังต้ารีบเข้าไปโอบอุม้ บิดาชรา ยืน่ มือรอทีร่ มิ จมูก มัน พบว่าไม่มีลมหายใจแล้ว ต้องร�่ำไห้คร�่ำครวญว่า “ท่านพ่อ น่าเวทนา ท่านอายุสูงวัย กลับถูกโจรร้ายทุบตีจนตาย...” ยามนั้นที่ประตูหลังปรากฏชายฉกรรจ์อายุไล่เลี่ยกับหวังต้า ยังมี เด็กและสตรี คาดว่าคนของตระกูลหวังล้วนรุดมา หม่าอังอดหน้าแปร เปลี่ยนมิได้ บังเกิดจิตขลาดเขลาขึ้นมา กระตุกแขนเสื้อของเม่ยเม่ยคิด หมายจากไป คนของตระกูลหวังไหนเลยยอมปล่อยคน พากันห้อมล้อมเข้ามา ทัง้ ผลักทัง้ ดันหม่าอัง ในความชุลมุนวุน่ วาย มีคนออกไปร้องเรียกเจ้าหน้าที่ กรมเมืองที่เดินตรวจตราสองนายเข้ามา เจ้าหน้าที่กรมเมืองทั้งสองฟังว่า มีคนถูกทุบตีจนตาย จึงโถมเข้าร้านมา ตวาดว่า “ฆาตกรฆ่าคนอยู่ที่ใด?” จุดพักม้าจีหมิงความจริงเป็นจุดรับส่งข่าวสารแห่งหนึ่ง ไม่ถือเป็น อ�ำเภอ เพียงแต่ทนี่ มี้ คี วามส�ำคัญทางทหาร ทัง้ ยังเป็นจุดพักม้าของพ่อค้า เก็บภาษีเต็มเม็ดเต็มหน่วย จึงจัดตั้งที่ท�ำการอ�ำเภอ ปกครองพื้นที่หลาย สิบลี้ นายอ�ำเภอก็เป็นขุนนางชั้นที่เจ็ด หม่าอังเห็นเจ้าหน้าที่กรมเมืองมาถึง มันยังไม่กล้าฆ่าขุนนางก่อ กบฏ จึงไม่กล้าเคลือ่ นไหวโดยวูว่ าม หวังต้าชีห้ น้ามันร้องว่า “เป็นมัน เป็น โจรร้ายผู้นี้ฆ่าบิดาเรา” หม่าอังโต้แย้งว่า “เราไม่ เถ้าแก่ผู้นี้อายุมากแล้วกลับฮุบไข่มุกน้อง เรา ถูกเรากล่าวเปิดโปง ยามอับอายขุ่นแค้นปรากฏเลือดลมจู่โจมหัวใจ เสียชีวิต เกี่ยวข้องใดกับเรา?” เจ้าหน้าที่กรมเมืองไม่ฟังเสียง หนึ่งในสองดึงโซ่เหล็กจากข้างเอว เส้นหนึง่ คล้องใส่ศรี ษะมัน มัดพันธนาการร่างมันอย่างแน่นหนา อีกผูห้ นึง่ ชักดาบออกมาถือมั่น หากว่ามันกล้าขัดขืน จะฟันดาบใส่ เจ้าหน้าที่ที่ถือโซ่กระตุกโซ่เหล็ก ตวาดว่า “มีค�ำพูดใดให้บอกต่อ


62

ไท่แหย (ค�ำเรียกนายอ�ำเภอ) หวังต้าไม่ต้องร�่ำไห้แล้ว น�ำบิดาท่านไปแจ้ง ความที่กรมเมืองเถอะ เหล่าพ่อแม่พี่น้องรบกวนให้ไปเป็นพยานด้วย” หญิงสาวนั้นร้อนรุ่มจนน�้ำตาคลอหน่วย เห็นเกอเกอก�ำลังจะถูกคุม ตัวไปแล้ว พลันชี้มือไปยังหยางหลิงที่ชมดูอยู่ด้านข้าง กล่าวว่า “เกอเกอ เราไม่ได้ฆ่าคน คนผู้นี้อยู่ในเหตุการณ์ มันสามารถเป็นพยาน” หยางหลิงอยู่ที่ด้านข้าง กลับเห็นเหตุการณ์ทั้งหมด หม่าอังผู้นี้แม้ อายุเยาว์เลือดลมร้อนแรง แต่เถ้าแก่ร้านดนตรีประสงค์ต่อทรัพย์สินผู้อื่น ถือเป็นโจรเฒ่าผู้หนึ่ง ดูจากอาการสมควรเป็นโรคเลือดคั่งในสมอง หรือ เป็นโรคหัวใจ พอถูกหม่าอังทุบตีด่าทอ จึงทั้งร้อนรุ่มทั้งเดือดดาล สุดท้าย ตายเพราะไข่มุกลูกหนึ่ง เจ้าหน้าที่กรมเมืองที่ถือดาบความจริงก้าวเท้าออกนอกประตูแล้ว พอฟังจึงวกกลับมากล่าวว่า “อย่างนัน้ ท่านผูน้ กี้ ต็ ามเรากลับไปเป็นพยาน” หยางหลิงเห็นหญิงสาวงดงามนั้นน�้ำตานองหน้า สีหน้าทอแวว อ้อนวอน ต้องใจอ่อนลง ผงกศีรษะรับค�ำ ขบวนผู้คนมาถึงที่ท�ำการอ�ำเภอ ลูกหลานของตระกูลหวังย�่ำกลองร้องทุกข์ ท่านนายอ�ำเภอมินเหวินเจี้ยน รีบสวมเครื่องแบบออกมาไต่สวน อย่าได้เห็นว่าเสีย้ นหลิง่ (นายอ�ำเภอ) ในเวทีงวิ้ เป็นขุนนางชัน้ ทีเ่ จ็ด ตัวเล็กๆ แท้จริงแล้วยังมีอ�ำนาจมากกว่าเลขาธิการคณะกรรมการอ�ำเภอ ในยุคปัจจุบัน ทั้งดูแลการพาณิชย์ การคลัง การเก็บภาษี เป็นหัวหน้า ตุลาการและหัวหน้าพิทักษ์สันติราษฎร์ มินเสี้ยนหลิ่ง (นายอ�ำเภอแซ่มิน) ผูน้ ยี้ งั ต่างกับนายอ�ำเภอทัว่ ไปทีม่ าจากบัณฑิตจิน้ ซือ่ ความจริงเป็นแม่ทพั ยศอิ๋วชีประจ�ำชายแดน เนื่องด้วยจุดพักม้าจีหมิงมีความส�ำคัญทางทหาร จึงถูกส่งมายังที่นี้ ดูแลงานบุ๋นและบู๊ หยางหลิงเห็นท่านนายอ�ำเภอเป็นชายฉกรรจ์หน้าด�ำไว้หนวดเครา รกครึม้ กลับเหนือความคาดหมายนัก มินเสีย้ นหลิง่ ทีถ่ อื ก�ำเนิดจากแม่ทพั


63

บู๊ท่านนี้อยู่ฝ่ายพลเรือนสองปี จะมากจะน้อยล่วงรู้กฎระเบียบ พอฟังว่า หยางหลิงเป็นบัณฑิตซิ่วไฉ รีบสั่งคนจัดที่นั่งให้ ทั้งไม่ต้องคุกเข่า จากนั้น นั่งบัลลังก์พิจารณาคดี มินเสีย้ นหลิง่ เพ่งตามอง พบว่าสงเม่ยคูน่ กี้ ลับมิใช่คนผ่านทาง หาก เป็นคุณชายกับคุณหนูของใต้เท้าหม่า ซึง่ เพิง่ รับต�ำแหน่งเจ๋อเฉิง* เมือ่ วาน ขุนนางเจ๋อเฉิงก็เป็นขุนนางที่ขึ้นตรงต่อนายอ�ำเภอ แต่เนื่องจากจุดพัก ม้าจีหมิงเลื่อนฐานะจากจุดพักม้าขึ้นเป็นเมือง ขุนนางเจ๋อเฉิงก็มีผู้ใต้ บังคับบัญชาหลายสิบคน จัดอยูฝ่ า่ ยทหาร จึงมีฐานะเท่าเทียมกับมินเสีย้ น หลิ่ง เมื่อคืนมินเสี้ยนหลิ่งเพิ่งเข้าร่วมงานเลี้ยงต้อนรับ หม่าเจ๋อเฉิง (ขุนนางเจ๋อเฉิงแซ่หม่า) ในงานเลีย้ งยังได้พบกับคุณชายกับคุณหนูของมัน กลับคิดช่วยเหลือพวกมันพ้นข้อหา แต่การท�ำร้ายคนถึงแก่ความตายมิใช่ เรื่องเล็กน้อย ถึงแม้ค้นพบไข่มุกจากตัวผู้ตาย ยืนยันว่ามันประสงค์ต่อ ทรัพย์สินผู้อื่น แต่ก็เสียชีวิตในที่เกิดเหตุ หากมินเสี้ยนหลิ่งตัดสินประหาร ชีวิตหม่าอัง ก็หาเกินเลยไม่

* ชื่อยศต�ำแหน่ง มีหน้าที่รับส่งข่าวสาร


64


65

เคล็ดวิชาลากถ่วง สุดท้ายหยางหลิงให้การตามที่พบเห็นมา ยืนยันว่าหม่าอังไม่ได้ ลงมือต่อหวังเหลาป่านอย่างรุนแรง แต่ลูกหลานตระกูลหวังคุกเข่าร�่ำไห้ คร�่ำครวญว่าบิดามันมีร่างกายแข็งแรง เป็นหม่าอังท�ำร้ายคนถึงแก่ชีวิต ก่อกวนจนมินเสี้ยนหลิ่งที่ไต่เต้าจากพลทหารศีรษะพองโตขึ้นมา ที่โต๊ะเตีย้ ด้านข้างนัง่ ไว้ดว้ ยหวงเสีย้ นเฉิง ต�ำแหน่งของเสีย้ นเฉิงเป็น ผู้ช่วยนายอ�ำเภอ ตามกฎแล้วไม่มีสิทธิ์มีเสียง ไม่ว่าเรื่องใดก็ไม่อาจแสดง ท่าที คล้ายรูปปั้นในศาลเจ้ารูปหนึ่ง หวงเสี้ยนเฉิงผู้นี้เป็นขุนนางบุ๋น ยุคสมัยนั้นขุนนางบุ๋นได้รับการ ยกย่อง ขุนนางบูถ๊ กู มองว่าต�ำ่ ต้อย จึงนึกดูแคลนมินเสีย้ นหลิง่ ทีม่ าจากนาย ทหาร มินเสีย้ นหลิง่ ก็ถอื ว่ามันไม่ได้ด�ำรงคงอยู่ หาสอบถามความเห็นของ มันไม่ ขณะที่มินเสี้ยนหลิ่งดึงหนวดเครานึกอับจนปัญญา เจ้าหน้าที่กรม เมืองผูห้ นึง่ ก็ยนื่ หน้ามากระซิบทีข่ า้ งหูมนั มินเสีย้ นหลิง่ จึงประกาศว่า “คุม ขังหม่าอังไว้ก่อน ซากศพมอบให้สัปเหร่อดูแล ที่เหลือกลับไปก่อน หลัง จากชันสูตรศพ เราค่อยตัดสินคดี” ดังนั้นหม่าอังถูกส่งตัวเข้าคุก ทั้งหมดแจ้งชื่อแซ่ ทิ้งต�ำบลที่อยู่ไว้


66

แล้วจากมา หยางหลิงก็ผดุ ลุกขึน้ กล่าวค�ำอ�ำลามินเสีย้ นหลิง่ ออกจากห้อง ไต่สวน คุณหนูหม่าเร่งฝีเท้าตามมา ย่อกายคารวะกล่าวว่า “ขอบคุณหยาง ซิ่วไฉ (ค�ำเรียกบัณฑิตแซ่หยาง) ให้การด้วยคุณธรรมให้กับเกอเกอเรา” หยางหลิงได้ยินนางเรียกตนเองเป็นซิ่วไฉ อดนึกโยงไปถึงหนอน ต�ำราคร�่ำครึมิได้ จึงกล่าว “เราเพียงบอกกล่าวตามตรง เมื่อครู่อยู่บนท้อง ถนน เห็นคุณหนูมีรูปลักษณะของวีรสตรี ไยต้องเรียกซิ่วไฉอันใด ยังคง เรียกชื่อเราตรงๆ เถอะ” คุณหนูหม่าฝืนแย้มยิ้มกล่าวว่า “อย่างนั้นขอขอบคุณคุณชายหยาง รอให้ไต่สวนใหม่ ยังต้องรบกวนคุณชายหยางเป็นพยานอีกครั้ง” เอ่ยถึงตอนนี้ ปรากฏขุนนางไว้เคราด�ำสามแฉก มีอายุห้าสิบเศษ ผู้หนึ่งรีบรุดมา มินเสี้ยนหลิ่งพอเหลือบแลเห็นมัน ก็เข้ามารับหน้า กล่าว ว่า “ใต้เท้าหม่า ท่านมาได้พอดี เรื่องนี้สร้างความปวดเศียรเวียนเกล้าแก่ ผู้น้อง ท่านเห็นควรท�ำอย่างไร?” มันกล่าวอย่างเปิดเผยตรงๆ เป็นหม่าเจ๋อเฉิง (ขุนนางเจ๋อเฉิงแซ่ หม่า) มีไหวพริบปราดเปรียว เห็นในบริเวณนอกจากมินเสี้ยนหลิ่งกับบุตรี แล้ว ยังมีชายหนุ่มอีกคนหนึ่ง จึงไม่กล้าเอ่ยถึงเรื่องคดี เพียงโบกมือต่อ มินเสี้ยนหลิ่ง กล่าวถามหยางหลิงว่า “ท่านนี้คือ...” คุณหนูหม่ารีบกล่าวว่า “ท่านพ่อ ซิ่วไฉท่านนี้เรียกว่าหยางหลิง ข้าพเจ้ากับเกอเกอออกไปซื้อสิ่งของ เถ้าแก่นั้นฮุบไข่มุกข้าพเจ้า ถูกเกอ เกอต�ำหนิดุด่า สร้างความอับอายคั่งแค้นจนตาย ดีที่คุณชายหยางให้การ ด้วยคุณธรรม จึงไม่ถูกก�ำหนดโทษตามค�ำกล่าวหาของลูกหลานผู้ตาย” หม่าเจ๋อเฉิงรีบประสานมือกล่าวขอบคุณ มินเสีย้ นหลิง่ ใจร้อนวูว่ าม อดกล่าวมิได้วา่ “ใต้เท้าหม่า มิใช่ผนู้ อ้ งไม่คดิ ช่วยเหลือท่าน แต่ตระกูลหวัง มีคนมาก ทุกคนกล่าวเป็นเสียงเดียว ถึงแม้มีหยางซิ่วไฉเป็นพยานบุคคล แต่เรื่องนี้เกี่ยวพันถึงชีวิตหนึ่ง ผู้น้องไม่กล้าปล่อยคนตามอ�ำเภอใจ”


67

หยางหลิงเห็นนายอ�ำเภอท่านนี้ปากไวใจตรงถึงเพียงนี้ ต้องหัวร่อ ออกมา เห็นว่าตนเองไม่สะดวกกับการรับฟัง จึงประสานมือกล่าวค�ำอ�ำลา คุณหนูหม่าเฉลียวฉลาดหลักแหลม เห็นมันสั่นศีรษะหัวร่อออกมา คล้าย มีแผนเป็นมั่นเหมาะ จึงเร่งฝีเท้าตามมา กล่าวเสียงเจื้อยแจ้วว่า “คุณชาย หยาง ดูจากสีหน้าท่าทีของท่าน ใช่มีวิธีช่วยเหลือเกอเกอเราหรือไม่?” มินเสีย้ นหลิง่ กับหม่าเจ๋อเฉิงพอฟังล้วนคึกคักอักโข กวาดตามองมา สร้างความแตกตืน่ แก่หยางหลิงจนโบกไม้โบกมือกล่าวว่า “หามิได้ ข้าพเจ้า เพียงเป็นพยานคนหนึ่ง ไหนเลยกล้าก้าวล่วงคิดอ่านแทนใต้เท้าเสี้ยน หลิ่ง?” คุณหนูหม่าไม่ยอมปล่อยปละละเว้น รุกเร้าว่า “เช่นนีเ้ ป็นว่าคุณชาย หยางมิใช่ไม่มีวิธีการ เพียงติดขัดที่ศักดิ์ฐานะ ไม่สะดวกกับการก้าวล่วง กระมัง?” หยางหลิงคิดบอกว่าตนเองไม่มหี นทาง ก็สามารถจากไป พอถูกนาง กล่าวกระตุ้น ต้องร้องโพล่งว่า “ถูกแล้ว ข้าพเจ้าเพียงอยู่ในฐานะพยาน หากกล่าวชี้น�ำ ถือว่าก้าวล่วงแล้ว” คุณหนูหม่าพลันคุกเข่าต่อมัน กล่าวว่า “คุณชายหยาง เกอเกอเรา แม้วู่วามไปบ้าง แต่มิใช่คนชั่วร้าย เถ้าแก่ร้านรวงนั้นเห็นทรัพย์สินลืม คุณธรรม เป็นเหตุให้เสียชีวติ กลับต้องให้เกอเกอเราชดใช้ชวี ติ ไยมิใช่เกิน เลยไป คุณชายหยางเมื่อล่วงรู้ตัวบทกฎหมาย ไหนเลยเห็นการตายโดย ไม่ช่วยเหลือ ปราชญ์เมธีบอกว่าผู้คนท่องต�ำรับต�ำรา เพียงเพื่อ ‘แบกรับ ภาระ’ เมื่อเกิดเรื่องราว ขอเพียงไม่ละอายต่อมโนธรรม ไม่ค�ำนึงถึงครา เคราะห์ หากเป็นเรือ่ งราวไม่ถกู ต้อง กลับหาข้ออ้างไม่รกั ษาความยุตธิ รรม ถือว่าไม่มีหิริโอตตัปปะ ไม่ทราบคุณชายหยางคิดเห็นอย่างไร?” หยางหลิงคิดไม่ถึงว่าคุณหนูนางนี้ปากคอเราะรายถึงเพียงนี้ รู้สึก อับอายขายหน้าอยูบ่ า้ ง ทางหนึง่ นึกหาวิธกี าร ทางหนึง่ ประคองนางขึน้ มา


68

ปากกล่าวว่า “คุณหนูหม่ารีบลุกขึ้น ในความเห็นข้าพเจ้า เจ้าของร้านนั้น คงมีโรคที่ไม่แสดงอาการ เกอเกอท่านเพียงผลักดันมัน ต้องไม่ท�ำร้ายมัน ถึงแก่ชวี ติ แต่คนของตระกูลหวังกล่าวเป็นเสียงเดียวกัน คนก็เสียชีวติ แล้ว ต่อให้ข้าพเจ้ามีความคิดอ่าน ก็ไม่แน่ว่าจะช่วยเหลือเกอเกอท่านได้” ยุคสมัยนัน้ บุรษุ สตรีไม่อาจถูกเนือ้ ต้องตัว ต่อให้ไม่ตอ้ งการรับความ เคารพจากนาง คิดประคองนางขึ้นมา ก็ได้แต่ยื่นมือท�ำท่าประคองในระยะ ห่างหนึ่งเชียะ หยางหลิงแม้ล่วงรู้กฎเหล่านี้ แต่ยังติดความเคยชินในยุค ปัจจุบัน กลับตรงเข้าไปประคองนางขึ้นมา ช้อนแขนอันนุ่มนิ่มของนางไว้ เห็นใบหน้าอันงดงามอยูต่ รงหน้า ทัง้ ยังสูดได้กลิน่ กายหอมจรุงดุจกล้วยไม้ คล้ายชะมดเชียง ยังเข้มข้นกว่าตอนทีน่ างควบม้าเฉียดผ่านข้างกายไปอีก คุณหนูหม่าบังเกิดความเอียงอายขึ้นมา หม่าเจ๋อเฉิงก็เห็นว่ามัน วู่วามไปบ้าง แต่ตอนนี้คิดช่วยเหลือบุตรชายออกจากคุกส�ำคัญกว่า ได้แต่ แสร้งเป็นมองไม่เห็น สะอึกเข้ามากล่าวว่า “ขอบอกต่อคุณชายหยางตาม ตรง มินเสีย้ นหลิง่ กับเราล้วนเป็นทหาร ไม่ลว่ งรูต้ วั บทกฎหมาย...คุณชาย หยางมีความคิดใดลองบอกมา ไม่ว่ามีประโยชน์หรือไม่ เราล้วนน้อมรับ บุญคุณของท่านไว้” เมื่อเป็นเช่นนี้ หยางหลิงเฉกเช่นขี่บนหลังเสือ ต้องกวาดมองมิน เสีย้ นหลิง่ แวบหนึง่ มินเสีย้ นหลิง่ ก็โบกมือกล่าวว่า “ใช่แล้ว พวกท่านเหล่า นักศึกษามีความคิดอ่าน มีวธิ ีใดล้วนบอกออกมา เรือ่ งทีเ่ ราปวดเศียรเวียน เกล้าทีส่ ดุ เป็นตอนนัง่ บัลลังก์ไต่สวนคดี ไม่ทราบยกอ้างเหตุผลอย่างไรดี” หยางหลิงกล่าวว่า “มีค�ำกล่าวว่ารูเ้ ขารูเ้ รา ค่อยรบร้อยครัง้ ชนะร้อย ครา ข้าพเจ้าเห็นเหตุการณ์ทั้งหมด กลับไม่ต้องบรรยายอีก แต่รูปคดีอยู่ ที่หวังเหลาป่านถูกทุบตีจนตาย หรือว่าตายเพราะโรคชรา ทั้งหมดนี้ต้องดู สภาพร่างกายของมัน จากนั้นค้นหาช่องว่าง ค่อยผลักความรับผิดชอบ ออกไป ทั้งยังปิดปากพวกมัน จนไม่อาจโต้แย้งได้”


69

มินเสี้ยนหลิ่งปรบมือโห่ร้องชมเชย หม่าเจ๋อเฉิงก็ถูมือด้วยความ ยินดี กล่าวว่า “คุณชายหยางยอดเยีย่ มจริงๆ ใต้เท้ามิน เรือ่ งนีต้ อ้ งรบกวน ท่านส่งคนไปท�ำความเข้าใจให้ดี” มินเสีย้ นหลิง่ รับค�ำติดต่อกัน หยางหลิงกลับลอบร้องค�ำละอายในใจ มันเพียงใช้เคล็ดวิชาลากถ่วงเมื่อตอนชดใช้ผู้ประกันชีวิต ชนชาวโลกล้วน ทราบว่า ธุรกิจประกันชีวิตของจีนท�ำประกันง่ายชดใช้ล�ำบาก เนื่องเพราะ เขียนกฎระเบียบข้อบังคับวกวนจนคนจบปริญญาเอกยังกลายเป็นคนไม่ รู้จักหนังสือ ทั้งเรียกเอกสารหลักฐานหยุมหยิมจนผู้คนแทบเสียสติ ตอน นีเ้ พียงแสดงความสามารถเล็กน้อย กลับแลกมาซึง่ สายตาอันชืน่ ชม สร้าง ความอิ่มเอมใจแก่หยางหลิงยิ่ง ขณะทีเ่ ดินกลับบ้าน ท้องฟ้าปรากฏเกล็ดหิมะปลิวโปรย อากาศกลับ อบอุ่นขึ้นมา เพียงแต่เกล็ดหิมะตกใส่ร่าง ให้ความรู้สึกที่เหนียวเหนอะ หานโย่วเหนียงกลับบ้านมาแล้ว ก�ำลังชะเง้อคอมองดูที่หน้าประตู หยางหลิงพอพบเห็นนางต้องบังเกิดความอบอุ่นใจ ทั้งลอบละอายใจ เช้า วันนี้โย่วเหนียงออกไปท�ำงาน ตนเองยังบอกว่าจะอยู่บ้านอ่านหนังสือ สุดท้ายถูกนางจับผิดคาหนังคาเขา มิคาดหานโย่วเหนียงไม่เอ่ยถึงแม้สกั ค�ำเดียว ทัง้ ยังรับมันเข้าประตู ปัดเกล็ดหิมะตามร่างกายมัน กล่าวเสียงนุ่มนวลว่า “เซี่ยงกง ท่านกลับมา แล้ว ข้าพเจ้าหุงข้าวแล้วเสร็จ ยังไม่ทราบจะไปตามหาท่านที่ใด?” หยางหลิงกล่าวอย่างกระดากว่า “ข้าพเจ้าความจริงคิดอยู่บ้านอ่าน หนังสือ แต่แล้ว...นึกออกว่ามีคนรุ่นเดียวกันอยู่ที่นี้ จึงไปเยี่ยมเยียนมัน” หานโย่วเหนียงเม้มปากหัวร่อกล่าวว่า “เซี่ยงกงเป็นบุรุษ ย่อมต้อง คบค้าสมาคม ใช่แล้ว วันนี้โย่วเหนียงไปท�ำงานทีร่ า้ นเสือ้ ผ้า เพียงครึง่ เช้า ก็ปะชุนชุดยาวสิบตัว ได้ค่าแรงสิบเหรียญ ร้านเสื้อผ้านี้รับงานของแผนก ม้าพาหนะที่ท�ำการเจ๋อเฉิง ที่นั้นมีเจ้าหน้าที่รับส่งเอกสารนับร้อย เสื้อผ้า


70

เสียดสีจนเปื่อยขาด มีงานปะชุนไม่ขาดสาย” หยางหลิงเห็นนางยิ้มแย้มแจ่มใส ยินดีจนหน้าแดงเปล่งปลั่ง ต้อง หยิกแก้มนางคราหนึง่ สร้างความอับอายแก่หานโย่วเหนียงจนก้มศีรษะลง หยางหลิงพานโอบกอดนางไว้ ลูบคล�ำผมเผ้านุ่มสลวยของนาง นี่เป็นครั้ง แรกที่หานโย่วเหนียงใกล้ชิดสนิทสนมกับมันถึงเพียงนี้ ต้องฟุบหน้ากับ หน้าอกมัน ในใจทั้งปีติทั้งเป็นสุข ชั่วครู่ให้หลัง หานโย่วเหนียงค่อยผลักไสมันออกเบาๆ กล่าวว่า “เซี่ยงกง ข้าวปลาอาหารยังร้อนอยู่ ท่านรีบนั่งลง ข้าพเจ้าจะตักข้าวให้กับ ท่าน” ข้าวปลาอาหารแม้จ�ำกัด แต่ยังดีกว่าบนเขา บวกกับเถ้าแก่ร้านค้า น�้ำมันยกกากน�้ำมันมาให้ผัดผัก ถึงแม้ยังไม่คุ้นชิน แต่หยางหลิงยัง รับประทานมากกว่าเดิม หานโย่วเหนียงเห็นมันเจริญอาหาร จึงเบิกบานใจยิง่ กว่าสิง่ ใด หลัง อาหารหานโย่วเหนียงเก็บชามตะเกียบไป คาดผ้ากันเปื้อนล้างชาม หยาง หลิงคิดเข้าไปช่วยเหลือ หานโย่วเหนียงกลับดุว่า “ไหนเลยมีบุรุษท�ำงาน เช่นนี้ เซี่ยงกง ท่านนั่งดูเถอะ” หยางหลิงลูบจมูก กลับมานั่งที่เก้าอี้ พลันนึกถึงเหตุการณ์ ในวันนี้ จึงรื้อหีบหนังสือของตนเอง พบเห็นหนังสือต้าหมิงลวี่ (ประมวลกฎหมาย ต้าหมิง) เล่มหนาเตอะ จึงล้วงหยิบขึ้นมาพลิกอ่านดู ขณะพลิกดูขอ้ บังคับเกีย่ วกับการฟ้องร้อง หานโย่วเหนียงก็ยกนำ�้ ชา ร้อนกรุ่นมาถ้วยหนึ่ง หยางหลิงต้องครุ่นคิด ‘บุรุษในสังคมศักดินาช่างเสพ สุขนัก ในสังคมปัจจุบันไหนเลยได้รับการปฏิบัติเช่นนี้?’ ยุคสมัยนั้นร้านค้าทั่วไปไม่ก�ำหนดเวลาท�ำงานเช่นปัจจุบัน ช่วงพัก กลางวันก็ยาวนาน ประมาณสิบสี่นาฬิกาค่อยท�ำงานต่อ ดังนั้นหยางหลิง จิบน�้ำชาดูหนังสือ หานโย่วเหนียงก็นั่งปะชุนเสื้อผ้าบนคั่งที่นอน


71

หยางหลิงพลิกดูหนังสือกฎหมายอยู่ครู่หนึ่ง กลับไม่พบว่ามีข้อ บังคับใดที่เอื้อประโยชน์ต่อหม่าอัง ดูท่ายังคงพึ่งพาเคล็ดวิชาหมัดไท้เก๊ก* ซึ่งตนเองเรียนรู้จากอาชีพขายประกันชีวิตประเสริฐกว่า มันเงยหน้าขึ้นระบายลมจากปากค�ำหนึ่ง พอดีเห็นหานโย่วเหนียง ยกชุดยาวขึ้นถึงมุมปาก ใช้ฟันกัดเส้นด้ายขาด แต่สายตากลับจ้องจับที่ ตนเอง พอประสานสบตากับนางก็รีบเบือนสายตาไป หยางหลิงความจริงตัง้ ใจว่าจะยึดถือนางเป็นเสีย่ วเม่ยเม่ย (น้องสาว คนเล็ก) คนหนึ่ง พอเห็นเช่นนั้นยังอดวาบหวามใจมิได้ นับตั้งแต่มันเวียน ว่ายเกิดใหม่เก้าชาติภพ ยังไม่เคยเกิดความรู้สึกอันซาบซึ้งเช่นนี้ ตนเอง มิใช่ต้องการภรรยาที่นุ่มนวลเอาใจ มีจังหวะชีวิตที่แช่มช้าเนิบนาบเช่นนี้ หรอกหรือ? หานโย่วเหนียงก้มหน้าก้มตาปะชุนเสื้อผ้า พบว่าบุรุษของนางมอง ดูนางตลอดเวลา อดประหม่ามิได้ ปลายเข็มจึงแทงถูกนิ้วมือตัวเอง ต้อง ร้องโอยออกมา หยางหลิงรีบวางหนังสือต้าหมิงลวี่ลง รุดไปกุมมือน้อยๆ ของนางไว้ เห็นนิ้วชี้ของนางมีโลหิตไหลซึมออกมาหยดหนึ่ง หยางหลิงกวาดตามองรอบข้าง ค่อยเข้าใจว่าคนโบราณพอถูกเข็ม ทิ่มแทงนิ้วมือ จึงใช้ปากดูดโลหิต มิใช่เพราะว่าพวกมันทราบว่าน�้ำลาย สามารถฆ่าเชื้อ หากแต่ไม่มีสิ่งใดเช็ดคราบเลือดได้ จึงเลียนแบบด้วยการ อมนิ้วมือหานโย่วเหนียงไว้ ใช้ปากดูดเบาๆ ปลายลิ้นดูดนิ้วมือนางเอาไว้ หานโย่วเหนียงพลันร่างสั่นสะท้าน ใบหน้าแดงสดใสขึ้นมา หยางหลิงดุว่า “ดูท่านช่วงเช้าท�ำงานข้างนอก กลับบ้านมายังไม่ พักผ่อน ยังท�ำอะไรอีก?” หานโย่วเหนียงหลุบตาลง กล่าวอย่างขวยเขินว่า “ใกล้ปีใหม่แล้ว ท่านยังไม่มีชุดยาวที่ดูได้สักชุด ข้าพเจ้าจึงเร่งตัดเย็บชุดใหม่ให้กับท่าน” * เป็นค�ำสแลง หมายถึงการประวิงเวลาหาข้ออ้าง


72

หยางหลิงทอดถอนใจค�ำหนึง่ ยิง่ อยูร่ ว่ มกัน ยิง่ รูส้ กึ ว่าตนเองติดค้าง นางมากมาย หญิงสาวอายุสบิ ห้าปี สมควรอยู่ในวัยศึกษา แต่นางกลับเป็น ภรรยาผู้คนแล้ว นี่เป็นผลพวงจากสังคมเก่าอย่างแท้จริง กฎหมายต้าหมิงก�ำหนดให้สตรีอายุสบิ หกต้องออกเรือน แต่ในระดับ ชาวบ้านน้อยคนที่ปฏิบัติตาม ความจริงแล้วกฎหมายของต้าหมิงตราไว้ อย่างเคร่งครัด มีโทษถึงประหารชีวิตมากมาย แต่ทางการกลับผ่อนผันต่อ กฎข้อนี้ แสร้งเป็นลืมตาข้างหลับตาข้าง หยางหลิงคาดเดาว่าโลหิตหยุดไหลแล้ว จึงคลายนิ้วออก กล่าวว่า “ดีขึ้นแล้ว ยังเจ็บหรือไม่?” หานโย่วเหนียงตอบว่าไม่เจ็บ หยางหลิงค่อยพบว่าแม้หลุบตาลง มุมปากกลับประดับด้วยรอยยิม้ น้อยๆ ใบหน้าอันอ่อนเยาว์ฉายแววนุม่ นวล มีแต่สตรีที่เติบโตเต็มสาวจึงแสดงท่าทีเช่นนี้ต่อบุรุษที่นางรัก ทีน่ อกบ้านปรากฏเกล็ดหิมะปลิวโปรย แต่หานโย่วเหนียงเกิดความ รู้สึกอันหนักแน่นมั่นคงขึ้น พริบตานี้ ความหวาดหวั่นวิตกที่รุมเร้า นางมา ครึ่งปีคล้ายหลีกลี้จากนางไปไกลแสนไกล หยางหลิงก็เหม่อมองนางจนซึมเซา เฝ้ามองกันและกันอยู่ครู่หนึ่ง บรรยากาศที่สงบเป็นสุข พลันถูกเสียงร�่ำร้องที่เบื้องนอกท�ำลายไป ได้ยิน สุ้มเสียงบุรุษเสียงหนึ่งดังว่า “หยางหลิงคุณชายหยางพักอยู่ที่นี้หรือไม่?” หานโย่วเหนียงอุทานดังอา สะท้านตื่นจากความเคลิบเคลิ้ม รีบชัก ดึงมือกลับไป หยางหลิงก็ยิ้มเล็กน้อย หมุนตัวเดินไปเปิดประตูแง้มออก เห็นเกล็ดหิมะพัดพลิ้วมาตามลม เพียงชั่วระยะเวลากลับมารับประทาน อาหารที่เบื้องนอกก็กลายเป็นขาวโพลน หยางหลิงเพ่งตามอง เห็นเจ้าหน้าที่กรมเมืองสองนายเลื่อนมือจับ ดาบยืนอยู่หน้าประตู บนร่างคลุมไว้ด้วยหิมะชั้นหนึ่ง ที่ด้านหลังยังมีหญิง สาวนางหนึ่ง คลุมเสื้อคลุมสีขาวตัวหนึ่ง มือถือร่มกระดาษน�้ำมันสีเหลือง


73

เหนือเสือ้ คลุมยังใช้ผา้ พันคอทีท่ �ำจากหนังสุนขั จิง้ จอก พันรอบคอไว้ เพียง เผยเห็นวงพักตร์ดุจดอกบัวพ้นน�้ำ ท่ามกลางหิมะปลิวโปรยเต็มฟ้า คน คล้ายเทพธิดาลงมาเยือนสู่หล้า เจ้าหน้าทีก่ รมเมืองทัง้ สองเป็นคนทีค่ มุ ตัวหม่าอังไปยังทีท่ �ำการกรม เมือง จึงจดจ�ำหยางหลิงออก พอเห็นเป็นมัน ก็ประสานมือกล่าวว่า “เป็น หยางซิ่วไฉจริงๆ ผู้น้อยได้รับค�ำสั่งมินเสี้ยนหลิ่ง คุ้มครองส่งคุณหนูหม่า มาพบท่าน” หยางหลิงรีบเปิดประตูออก เชิญแขกเข้ามา คุณหนูหม่าเผยอยิ้ม เผยเห็นรอยลักยิ้มอีกครา ใช้สองมือกระชับเสื้อคลุมก้าวเข้ามาก่อน เจ้า หน้าที่กรมเมืองทั้งสองค่อยติดตามเข้าห้อง พร้อมทั้งปิดประตูลง บ้านเล็กๆ หลังนีพ้ อชุมนุมด้วยผูค้ นห้าคนจึงคับแคบไปถนัดตา คุณ หนูหม่ากระตุกสายรัดทีป่ ลายคาง ถอดเสือ้ คลุมสีขาวออก พอกลอกตาตลบ หนึ่ง พบเห็นหานโย่วเหนียง จึงยิ้มอย่างอ่อนหวาน กล่าวว่า “แม่นางท่าน นี้...พี่หยาง เป็นเม่ยจื่อ (น้องสาว) ของท่านหรือ?” หานโย่วเหนียงเห็นผูม้ าเป็นหญิงงามปานบุปผา ตากลมโตก็ทอแวว ระแวดระวัง ทั้งเห็นนางยึดถือตัวเองเป็นเม่ยจื่อของฟูจวินก็ยิ่งขุ่นข้องใจ แต่ไม่สะดวกกับการเอ่ยปาก หยางหลิงยิม้ อย่างกระดาก บอกกล่าวว่า “นางเป็น...ไน่จอื่ (ค�ำเรียก ภรรยา)” ดวงตาหานโย่วเหนียงทอแววกระหยิม่ ยิม้ ย่อง จากนัน้ ย่อกายคารวะ ต่อนาง ปากถามว่า “เซี่ยงกง คุณหนูท่านนี้คือ...” หยางหลิงรีบกล่าวว่า “คุณหนูหม่าท่านนี้เป็นบุตรีของใต้เท้าหม่า เจ๋อเฉิง นางกับชาต้าเกอ* ทั้งสองมาหาข้าพเจ้ามีเรื่องคิดหารือ” คุณหนูหม่ารูส้ กึ เหนือความคาดหมายอยูบ่ า้ ง กล่าวว่า “ทีแ่ ท้พหี่ ยาง * พี่เจ้าหน้าที่


74

มีครอบครัวแล้ว หม่าเหลียนเอ๋อขอคารวะหยางฮูหยิน” หานโย่วเหนียงรีบกล่าวว่า “คุณหนูไม่ตอ้ งเกรงใจ เชิญนัง่ ชาต้าเกอ ทั้งสองเชิญนั่ง” ภายในห้องมีเก้าอี้เพียงสองตัว เจ้าหน้าที่กรมเมืองทัง้ สองได้แต่นงั่ บนคั่งที่นอน หยางหลิงเพิ่งย้ายเข้ามา บวกกับอัตคัดขัดสนตอนดื่มชายัง ใช้ชามใหญ่ หานโย่วเหนียงจึงขนชามสี่ใบออกมา รินน�้ำชาต้อนรับแขก เหรื่อ มินเสี้ยนหลิ่งสั่งคนตรวจสอบเรื่องของเถ้าแก่ร้านดนตรีแล้ว หม่า เจ๋อเฉิงเป็นห่วงบุตรชาย ถึงแม้ได้รับการดูแลจากใต้เท้ามิน แต่เนื่องจาก เป็นฤดูหนาว กลัวว่าอยู่ในคุกคุมขังมีความไม่สะดวกอันใด หม่าเหลียน เอ๋อคุณหนูหม่าก็หว่ งใยเกอเกอ จึงร้องขอให้มนิ เสีย้ นหลิง่ จัดเจ้าหน้าทีก่ รม เมืองทั้งสองมาที่บ้านตระกูลหยาง หยางหลิงรับฟังเจ้าหน้าทีก่ รมเมืองทัง้ สองบอกเล่ารายงานการตรวจ สอบเที่ยวหนึ่ง จากนั้นใคร่ครวญดูโดยละเอียด เห็นว่าไม่อาจนึกหาช่อง โหว่จากกฎหมายต้าหมิงช่วยให้หม่าอังพ้นผิด ได้แต่ใช้เคล็ดวิชา “ลากถ่วง” ของธุรกิจประกันชีวิต เพียงไม่ทราบใช้ได้ผลหรือไม่ จึงบอกความคิดของ ตนเองออกไป หม่าเหลียนเอ๋อหันมาทางเจ้าหน้าทีก่ รมเมืองทัง้ สอง เจ้าหน้าทีก่ รม เมืองผูห้ นึง่ เรียกว่าต้าหลี่ มีฟนั เหลืองทัว่ ทัง้ ปาก พอฟังก็ตบต้นขาฉาดหนึง่ ชมเชยว่า “วิเศษแท้ นี่เรียกว่าใช้ดาบทื่อด้านแล่เนื้อทีละชิ้น ใต้เท้าเสี้ยน หลิง่ ตัดสินคดีอย่างยุตธิ รรม ตระกูลหวังจับผิดไม่ได้ หากยังคิดค้าคดีความ ต่อไป สุดท้ายต้องหมดเนื้อหมดตัว” เจ้าหน้าที่กรมเมืองอีกผู้หนึ่งมีอายุมากกว่า มันก็ย้ิมเล็กน้อยกล่าว ว่า “คุณชายหยางอายุยงั เยาว์ กลับรูต้ วั บทกฎหมาย ต่อให้เป็นซ่งซือ* ชัน้ * ทนายความ


75

แนวหน้า ก็นกึ แผนนี้ไม่ออก หากด�ำเนินการตามนี้ เจ้าทุกข์คงชิงถอนฟ้อง ยุติคดีแน่นอน” หยางหลิงได้รับค�ำชมจากเจ้าหน้าที่กรมเมืองทั้งสอง ก็คึกคักอักโข พลอยคิดอ่านสมองแล่น กล่าวช้าๆ ว่า “แผนการนี้แม้ลากถ่วงจนตระกูล หวังถอนฟ้องเอง แต่หากตระกูลหวังไม่ยอมกล�้ำกลืนโทสะ อาจลากต่อไป สักหกเดือนหนึ่งปี ดังนั้นข้าพเจ้ายังมีอีกแผนหนึ่ง...” พลางยกมือป้องปาก ยื่นหน้าเข้าไปกระซิบบอกต่อหม่าเหลียนเอ๋อ หลายค�ำ หม่าเหลียนเอ๋อรับฟัง ต้องชม้ายมองมันแวบหนึ่ง กล่าวเสียง อ่อนหวานว่า “สมกับเป็นนักศึกษา เป็นแผนอันประเสริฐจริงๆ” สายตาของนางครัง้ นีห้ ยาดเยิม้ ปานจะหยด หานโย่วเหนียงชมดูจน เกิดความหึงหวงขึ้นมา



Issuu converts static files into: digital portfolios, online yearbooks, online catalogs, digital photo albums and more. Sign up and create your flipbook.