I
นักบุญอันตนแหงปาดัว นักบุญแหงอัศจรรย โดย พอสุรชัย ชุมศรีพันธุ
นักบุญอันตนแหงปาดัว มีชื่อเสียงอยางมาก ในเรื่องอัศจรรยตางๆ ที่เกิดขึ้น คริ สตชนทั้งหลายตางพากั นไปขออั ศจรรย จากท านอยูเสมอ ใครที่เคยไปแสวงบุ ญที่ มหาวิหารนักบุญอันตนที่เมืองปาดัว (Padova) คงตองตื่นเตนที่ไดเห็นคําขอบคุณตอทาน นักบุญจํานวนมากมายสําหรับอัศจรรยที่ตนไดรับ นอกจากนี้ ยังไดสวดภาวนาตอหนาหลุม ศพของทานดวยตนเอง เพราะเหตุนี้ พอจึงขอแนะนําใหรูจักกับนักบุญอันตน และมหา วิหารของทาน นักบุญอันตน เปนชาวโปรตุเกส เกิดที่เมืองลิสบอน เมื่อวันที่ 15 สิงหาคม 1195 เดิมชื่อ Fernando de Boullion จากครอบครัวขุนนางซึ่งมาจากสงครามครูเสด (Crusade) อายุ เ พี ย ง 15 ป สมั ค รเป น โนวิ ส ในคณะออกั ส ติ เ นี ย น ที่ อ าราม San Vincenzo ที่เมือง Coimbra ป ค.ศ. 1219 บวชเปนพระสงฆเมื่ออายุ 24 ป ป ค.ศ. 1220 มรณสักขี 5 ทาน คณะฟรังซิสกัน ซึ่งถูกตัดศีรษะที่ Morocco ถูกนํามาที่ เมือง Coimbra เปนแรงดลบันดาลใจใหทานตองการเปนมรณสักขีในการ ประกาศพระวรสาร และดวยการอนุญาตของเจาคณะออกัสติเนียน และ เจาคณะฟรังซิสกัน ทานไดเขาเปนสมาชิก “คณะฟรังซิสกัน” ไดรับชื่อวา “อันโตนิโอ” (Antonio) และสมัครเปนมิชชันนารีในอัฟริกา แตทานเปน มาเลเรียระหวางเดินทาง จึงถูกสงกลับระหวางการสมัชชาคณะฟรังซิส กันที่เมือง Assisi วันที่ 30 พฤษภาคม 1221 ทานไดรับหนาที่อภิบาล สมาชิกคณะที่เปนฆราวาสที่เมือง Montepaolo ที่นี่เอง ทานไดมีโอกาส เทศนในระหวางพิธีบวชพระสงฆ โดยไมมีการเตรียมตัวมากอนและเทศน ไดอยางอัศจรรย ทานไดรับมอบหมายจากนักบุญฟรังซิส ใหทานเปนผู เทศนสอนของคณะและเปนอาจารยเทววิทยา ทานไดประจําอยูหลาย แหง ในอิตาลีและฝรั่งเศส เปนนักเทศนที่มีชื่อเสียงมาก ป 1223 ทาน กอตั้งสํานักเทววิยาเพื่อสอนสมาชิกคณะ ซึ่งตอมาสํานักนี้ไดกลายเปน ส ว นหนึ่ ง ของมหาวิ ท ยาลั ย โบโลญา ในระหว า งนี้ เ องนั ก บุ ญ ฟรั ง ซิ ส แหงอัสซีซีไดเสียชีวิต 3 ตุลาคม 1226 และไดประจักษมาสนทนากับทาน ดวย ป ค.ศ. 1227 เจาคณะแขวงอิตาลีภาคเหนือ แตขอลาออกจากตําแหนงนี้และกลับไป ประจําที่อารามที่ทานกอตั้งขึ้นที่ปาดัว ป ค.ศ. 1228 รับเชิญจากพระสันตะปาปา เกรกอรี่ ที่ 9 ใหเทศนในเทศกาลมหาพรต ผูฟงเทศนในสันตะสํานักมาจากประเทศตาง ๆ และตางก็ไดยินบทเทศน
เป น ภาษาของตนเอง และพระกุ ม ารเยซู ไ ด ป ระจั ก ษ ม าหาท า นด ว ย พระสันตะปาปาตั้งฉายาใหทานวา หีบพระสัญญา (Ark of the Covenant) ที่ฝงศพปจจุบันของทานในมหาวิหารจึงถูกเรียกวา The Ark 13 มิถุนายน 1231 ปวยหนักและขอกลับมาที่ Padova แตทานมาไมถึง เพราะเสียชีวิตในอารามคณะ Clarisse ที่ Convent dell’ Arcella ใกล ๆ เมือง Padova ดวยอายุรวมเพียง 35 ปเทานั้น วัดที่ทานเคยประจําที่เมือง Padova ไดแก Convento di Santa Maria Mater Domini ดําเนินเรื่อง ขอศพของทาน แต Convent dell’ Arcella ไมยอม ในที่สุด เจาคณะฟรัง ซิสกันสั่งใหฝงทานที่ Santa Maria Mater Domini ปจจุบัน วัดนี้ได กลายเปน วัดนอยที่อยูภายในมหาวิหารนักบุญอันตน ตรงแทน “แมพระ ดํา” ป ค.ศ. 1232 พระสันตะปาปา เกรกอรี่ ที่ 9 ประกาศใหทานเปน “นักบุญ” เมื่อวันที่ 30 พฤษภาคม 1232 นั่นคือ 1 ปหลัง จากความตาย (สมัยนั้น ขบวนการ แตงตั้งนักบุญแตกตางจากปจจุบันมาก) ป ค.ศ. 1263 ยายศพของทานจากที่เดิมมาอยูกลางมหาวิหาร ในการยายครั้งนี้ มีการ ตรวจศพของทาน นักบุญโบนาแวนตูราไดพบวา ลิ้นของทานไมเนาเปอย จึงแยกมาเก็บรักษาไว (ชมไดที่ Treasury Chapel ภายในมหาวิหาร) ป ค.ศ. 1946 พระสันตะปาปา ปโอ ที่ 12 ประกาศใหทานเปน “นักปราชญของพระ ศาสนจักร”
อัศจรรยตาง ๆ ของนักบุญอันตน
มีผูรวบรวมเรื่องราวอัศจรรยตาง ๆ ของทาน และพิมพเปนหนังสือ มีผูศรัทธาใน ทา นมากมาย มิ ใช แ ตเ พี ยงอัศ จรรย ในระหว างที่ ทา นมีชี วิต อยู แตร วมถึ ง อัศ จรรย ที่ เกิดขึ้นหลังจากความตาย จนกระทั่งปจจุบัน แมเวลาจะลวงเลยมานานถึง 800 ปแลวก็ ตาม - นักบุญอันตน เปนองคอุปถัมภของผูอดอยาก ผูที่ทําสิ่งของหาย และผูยากจน - ทานเคยทําหนังสือสวด Breviary หายไป และทานก็ไดพบโดยอัศจรรย เปนที่มาของ องคอุปถัมภผูที่ทําของหาย - ทานเคยไลผี ทํานายเหตุการณ รักษาโรคตาง ๆ ผูประสบภัยทางเทา ขา เพราะทาน เคยตอขาใหชายคนหนึ่ง ซึ่งเสียใจที่เตะแมตนเอง เขาตัดขาทิ้ง แตทานนักบุญตอขา ให ผูที่เปนโรคหัวใจ เทศนใหปลาฟง เพราะพวกเฮเรติ๊กที่เมือง Rimini ไมยอมฟงทาน ทานสั่งใหลาคุกเขาตอหนาศีลมหาสนิท มีคนเห็นทานอยูในสถานที่ 2 แหงในเวลา เดียวกัน เห็นทานอุมพระกุมารเยซู ฯลฯ อีกมากมาย
2
มหาวิหารนักบุญอันตน เปนสมบัติของนครรัฐวาติกัน ในรูปแบบ Extra Territory
มหาวิหารนี้สรางขึ้นตั้งแตทานไดรับประกาศเปนนักบุญ ใชระยะเวลากอสรางและ ตอเติมเรื่อยมา มีวัดเล็กวัดนอยภายในมากมาย พอขอแนะนําผูแสวงบุญเยี่ยมชมสวนที่ สําคัญ ๆ ของมหาวิหาร ดังตอไปนี้ : 1. วัดนอยหลุมศพของนักบุญอันตน ที่นี่ เราจะเห็ นเครื่องหมายแหง การขอบคุ ณสํา หรับ อัศจรรยที่ ไดรั บมากมาย ผูแสวงบุญจะเดินสวดและรําพึง พรอมทั้งลูบหลุมศพของทาน มาถึงที่นี่ทั้งที ก็ควร ที่จะวอนขออะไรบางนะครับ สถานที่นี้เปนที่รูจักกันในชื่อวา Ark แตเดิม ศพทานตั้งอยูที่วัดนอย Santa Maria Mater Domini ปจจุบัน เปนวัด นอย “แมพระดํา” ภายในมหาวิหารนี้เอง ค.ศ. 1231-1263 อยูที่วัดนอย Santa Maria Mater Domini ค.ศ. 1263-1310 อยูกลางมหาวิหาร ใตโดมบริเวณที่นักบวชสวดทําวัตร (Presbytery) ค.ศ. 1310-1350 ไมระบุวาศพของทานอยูที่ใด ค.ศ. 1350-ปจจุบัน บริเวณดานหลังของพระแทนนี้ มีการแสดงใหเห็นถึงชีวิตและอัศจรรยตาง ๆ ของ ทาน เชน ทานรับเสื้อเขาคณะฟรังซิสกัน, สามีขี้อิจฉา, เด็กหนุมกลับคืนชีพ, เด็กสาว กลับคืนชีพ และ เด็กนอยคืนชีพ รวมถึงหลานชายของทานดวย, ตอขาใหหนุมที่ตัด ขาของตน เพราะเสียใจที่ไปเตะแมตัวเอง, เด็กเกิดใหมพูดได 2. วัดนอยขุมทรัพย (Treasury Chapel) วัดนอยนี้ตั้งอยูทหี่ ลังพระแทนกลาง เกือบสุดปลายมหาวิหาร ที่นี่เอง ผูแสวงบุญ ทุกคนตองการจะเห็น ไดแก ลิ้นที่ไมเนาของทานนักบุญ (อยาคาดหวังวาจะพบลิ้นสี แดงนะครับ แตเปน ลิ้นที่ไมเนาเปอยไปอยางที่ควรจะเปน ), รัดประคดและตรา ประทับ ที่เคยอยูในโลงศพของทาน, ผาคลุมที่ทานเองเคยใช (Tunic), กรามของทาน รวมทั้งแขนซายและพระธาตุอื่ น ๆ อีก อยาลืมสวดภาวนาเมื่อมาถึง ที่นี่ นักบุ ญ บอนาแวนตูราเมื่อพบลิ้นของทานไมเนาใน ป ค.ศ. 1263 นั้น ทานไดภาวนาวา: “โอ ลิ้นที่ไดรับพระพร เจาไดสรรเสริญพระเจา และนําพาคนอื่น ๆ ทั้งหลายให สรรเสริญพระองค พวกเราเขาใจแจมแจงแลววา เจาเปนผูมีบุญตอเฉพาะพระพักตร พระเจาไดอยางไร” 3. วัดนอยแมพระดํา (Chapel of the Black Madonna) เคยเปนวัด Santa Maria Mater Domini ทานเคยสวดและประจําที่นี่ ศพของ ทานเคยอยูที่นี่จนถึงป ค.ศ. 1263 กอนยายไปกลางมหาวิหาร ที่นี่เอง ปจจุบัน เปนที่ ฝงศพของบุญราศี Luca Belludi เพื่อนและผูสืบตําแหนงของนักบุญอันตน นักเรียนนักศึกษามักจะมาภาวนาที่นี่ เพื่อวอนขอสําหรับงานยาก ๆ ที่ไดรับมอบหมาย 3
รวมทั้งสําหรับการเตรียมสอบและการสอบ เรายังสามารถเห็นโลงศพที่วางเปลาของ ทานนักบุญอันตนดวย 4. วัดแหงพระพร (Chapel of Benedictions) ผูที่ซื้อรูปพระ สายประคํา วัตถุตาง ๆ ที่ตองการใหเสก ก็จะมาที่วัดนอยแหงนี้ เชื่อกันวา ทานนักบุญอันตนเปนผูเสกใหเอง เราจะพบภาพที่ทานนักบุญเทศนใหปลา ฟงที่เมือง Riminiมหาวิหารใหญมาก มีอีกหลายแหงภายในที่นาชม แตเสนอใหสวด ภาวนาภายในนี้ ให ม าก ๆ เพราะคํ าภาวนาของเราจะได รั บการตอบสนองเสมอ ขอถวายมิสซาที่นี่ไดที่หองซาคริสตี มิสซาแรกของการจาริกแสวงบุญ ปแหงความเชื่อ ขอแนะนําสําหรับการรับพระคุณ การุณยครบบริบูรณ ดังนี้ครับ 1. ตั้งใจเวลานี้เลยวา เราขอรับพระคุณการุณยครบบริบูรณวันนี้ เพื่อ ก. รับการยกโทษของบาปทั้งสิ้นของตัวเราเองหรือ ข. รับการยกโทษบาปทั้งสิ้นของ ผูที่ตายไปแลว (วิญญาณหนึ่งดวงในไฟชําระ นั่นเอง) 2. เยี่ยมชมและรําพึงถึงชีวิตของทานนักบุญอันตน ในมหาวิหารและที่หลุมศพของทาน 3. สวดภาวนาตามจุดประสงคของสมเด็จพระสันตะปาปา ก. บทขาพเจาเชื่อถึงพระเจา ข. บทขาแตพระบิดา ค. บทวันทามารีย ง. พระสิริรุงโรจน 4. แกบาป (กรณีที่มีบาป) และรับศีลมหาสนิทอยงดี ภายใน 7 วัน (แนะนําใหแกบาป กอนเดินทาง) และรับศีลมหาสนิทไดตลอดการเดินทางทุกครั้งที่มีมิสซา ใครตองการ แกบาปเปนภาษาอังกฤษ ก็เตรียมหนังสือ เตรียมรับศีลอภัยบาปที่มีภาษาอังกฤษไปดวย)
II
Abbazia และ Basilica Santa Giustina
ไมไกลจากมหาวิหารนักบุญอันตนมากนัก มีวัดที่นาสนใจมากสําหรับคาทอลิก อีกวัดหนึ่งครับ แปลใหฟงกอนนะครับ แปลวา อารามฤาษีและมหาวิหารนักบุญจุสตินา ในอิตาลีและในยุโรป เราจะพบกับคําวาBasilica หรือมหาวิหารมากมาย มหาวิหารมีทั้ง แบบ major และแบบ minor จะอธิบายตอนนี้ก็จะยาวไป มหาวิหารแหงนี้สรางขึ้นมา จากซากปรั กหั กพั ง ของวิ หารเทพเจ า เป น วิ หารที่ เ กา แก ที่สุ ด และมี ค วามสํ าคั ญ ทาง สถาปตยกรรมมากที่สุดของเมือง ปาโดวา สรางขึ้นราวๆ ศต.ที่ 5 เหนือหลุมศพของ มรณสักขี Giustina ชาวเมืองนี้เองที่ถูกฆาตาย ป 304 สมัยจักรพรรดิ Massimiliano (ปตอมาจักรพรรดิผูนี้พายแพสงครามใหแกจักรพรรดิ Constantino ซึ่งชนะสงครามนี้ 4
ดวยอัศจรรยแหงไมกางเขน ในป 305 ทําใหยุติการเบียดเบียนศาสนาคริสต และให คริสตเปนศาสนาประจําชาติโรมัน) บิดาของ Giustina ชื่อ Vitaliano เปนขาราชการของจักรพรรดิ ไดกลับใจมา เปนคริสตโดยนักบุญ Prosdocimo เปนผูเริ่มสรางสวนสําคัญของวิหาร และตอมาได กลายเปนวิหารที่เปนศูนยกลางของเมืองๆนี้ ตอมาวิหารนี้ ไดสรางอารามเบเนดิกติน ซึ่ง ทําให วิหารนี้มีค วามเจริ ญกาวหนา และเต็ม ไปด วยพระธาตุของบรรดานั กบุญ ตางๆ วิหารนี้ไดรับการบูรณะหลังจากแผนดินไหวในป 1117 เรื่อยมาจนเปนสถานที่เห็นใน ปจจุบันนี้ สําเร็จลงในป 1579 โดยสถาปนิกที่มีชื่อเสียงหลายคนโดยเฉพาะ Andrea Moroni และ Andrea da Valle การตกแตงดานหนาของมหาวิหารนี้ใช เวลานานมาก เพราะใชหินออนสีแดง ของเวโรนา ตกแตงหลังคาดานหนาอยางเดียวถึง 85 ป เพราะใชเงินและวัสดุที่มีราคา แพงจํานวนมาก ที่เมืองนี้ เวลาที่คิดถึงงานที่ทําแลวไมรูจักเสร็จสักที เขาจะมีสํานวนพูด วา longo come a fabrica de Santa Giustina มหาวิหารนี้ มีโดมทั้งหมด 8 โดมดวยกัน และหอระฆังเกาแกที่มีตั้งแตสมัยกลาง ยาวทั้งหมด 122 เมตร แสงสวางเขาทางกระจกที่อยูบโดมใหญเปนอันดับที่ 9 ของโลก ภายในมี Pozzo dei Martiri (1566) มีพระธาตุของนักบุญที่เปนชาวปาโดวา มากมาย ทางดานขวา มีพระธาตุนักบุญลูกา และวัดนอยสําหรับ น. Prosdocimo หลุม ฝงศพของ สาวชาวเวนิช หญิงคนแรกที่จบการศึกษาสูง สุดแบบชาย ในป 1678 ชื่ อ Elena Lucrezia Cornaro Piscopia เสียชีวิต ป 1684 อายุเพียง 38 ปเทานั้น(ศิลาจาริก เปนหินออนสีดํา) อารามฤาษี เ บเนดิ ก ติ น แห ง นี้ ถู กป ด ไปโดย จั กรพรรดิ นโปเลี ย น ในป 1818 เปลี่ยนเปน คายทหารและโรงพยาบาล พวกฤาษีไดรับคืนในป 1919 และฟนฟูอารามขึ้น ใหม ป 1943 ภายในอารามมีศิลปะมากมาย หองสมุดสมัยกลาง ตู ชั้นวางของนโปเลียน สั่งใหปด และขาวของทรัพยสินสําคัญๆ ทางศิลปะ สูญหายไปจํานวนมาก
นักบุญลูกา ผูนิพนธพระวรสาร
นอยคนนักที่จะรูวาศพของนักบุญลูกาไดถูกยายมาอยูที่นี่ ตั้งแตศตวรรษที่ 5 แลว พระสงฆชาวอิตาเลียนบางองคก็ยังไมทราบมากอนเลย พระธาตุของนักบุญลูกา เป นหนึ่ งในจํา นวนไม กี่ คน ที่ ไ ดรั บการยื น ยัน ว าเปน ของแท จากการตรวจสอบทาง วิทยาศาสตรตามการสืบคนทางประวัติศาสตร น.ลูกา เสียชีวิตตอนแก ราวๆ 74-84 ป ที่ Bitinia ราวๆ ป 130 A.D. หองทดลองระบุวา กระดูกนี้เปนของชายอายุประมาณ 80 ป สูง 1.65 ม. มหาวิทยาลัย Padova,Oxford และ Tucson ของ Arizona เห็น เหมือนกันวา อยูในชวงเวลาที่ทานนักบุญเสียชีวิต จากการตรวจสอบ DNA มหาวิทยลัย Ferrara ระบุวา เปนของชาวซีเรีย (เชื้อชาติของ น.ลูกา) ยายจาก Constantinople มาที่ 5
Padova ในหีบตะกั่ว ใหนับจากการเบียดเบียน สมัย Giuliano ซึ่งตองการทําลายพระ ธาตุตางๆ ลงให หมด ใน ศต.ที่ 4 ภายในโลงของท าน นักวิทยาศาสตรพบซากโครง กระดูกของงูอยูสิบกวาโครงและพบวาเปนงูที่มีอยูเฉพาะในเขตเมืองปาโดวาเทานั้นดวย แสดงวาศพของทานไดถูกยายมาอยูที่เมืองนี้แลวตั้งแตศตวรรษที่หา มีหนังสือรับรอง จากจักรพรรดิ ชารลที่ 4 ที่มอบกะโหลกศีรษะใหแก อาสนวิหารแหงปราก ซึ่งเก็บรักษา ไวจนถึง ศต.ที่ 14 และพระผูใหญของอาสนวิหารรับรูถึงกระดูกที่อยูที่ปาโดวา จึงสั่ง กระโหลกมาให ด ว ย และรอยต อ ของกระโหลกกั บ กระดู ก ๆ อื่ น ๆ นั้ น เข า กั น พอดี ทั้งหมดนี้มีหลักฐานทางประวัติศาสตรที่ไดรับการบันทึกไว
III
เวนิซ, Venice, Venezia
มาถึงแลวครับ เมืองเวนิซ ถาจะเรียกใหถูกนาจะเรียกวา นครเวนิซมากกว า เพราะเปนเมืองที่มีอิทธิพลทางการเมือง การคา เศรษฐกิจ ทางวัฒนธรรม การกอสราง วรรณกรรม และสําหรับ พวกเราก็คือ ทางศาสนาดวย นับเปนรัฐที่ไดรับเกียรติพิเศษ จากพระศาสนจักรคาทอลิกเสมอมา พระสังฆราชแหงเวนิซ จะไดรับเกียรติเปนพระคาร ดินัลเสมอมา รูจักกันในตําแหนง Patriarch และหลายๆ องคที่เรารูจักกันดีก็ไดเปน พระสั นตะปาปาและนั กบุ ญดว ย เชน พระสันตะปาปา ป โอ ที่ 10, พระสั นตะปาปา ยอหน ที่ 23 ซึ่งเวลานี้เปนบุญราศีแลว เปนตน เมื่อเราถึ งมหาวิหารนักบุญ เปโตรที่ กรุงโรม เราก็จะเขาไปคํานับและสวดภาวนาตอหนาหลุมฝงศพของพระองคดวยครับ , Pope John Paul I ก็มาจากเวนิซเหมือนกันและกําลังไดรับการดําเนินเรื่องเปนบุญราศี ดวย ผูคนอยากมานครเวนิซ ก็เพราะเหตุผลหลายประการ เรารูจักเวนิซ เพราะการ กอสรางบานเมืองบนน้ําอยางอัศจรรย คูคลองที่มีมากมาย พรอมเรือกอนโดลา ที่มี ชื่อเสียงของความโรแมนติก อยาลืมวา เมืองนี้ เปนเมืองที่กลาวขวัญถึงนักรักกองโลก อยาง คาสโนวา ผลิตผลของงานกระจกแบบ มูราโน การเปาแกว ที่เปนเอกลักษณ ของเวนิซ รวมไปถึงหนากากรูปแบบตางๆ ซึ่งในสมัยกอน โดยเฉพาะในยุคกลาง พวก ขุนนาง เจาครองนครตางชอบจัดงานเลี้ยงเตนรําแบบใสหนากาก นี่แหละรวมไปถึง พระสังฆราช คารดินัล ในสมัยยุคเสื่อมของศาสนาดวย (ที่เสื่อมก็เพราะมีความร่ํารวย มากไป จนลืมฐานะทางศาสนา ไปหนทางของโลกมากไปนั้น ) แตพวกเรามาที่นครแหงนี้ มีจุดมุงหมายที่จะมาสวดภาวนาตอหนาหลุมศพของนักบุญ 2 องคครับ คือ 1. นักบุญมารโก ผูนิพนธพระวรสาร ตนฉบับแหงความเชื่ออีกผูหนึ่ง นักบุญ องคอุปถัมภเมืองเวนิซ ที่จริงเราจะเห็นรูปของนักบุญ Theodore ที่เมืองเวนิซนี้ เพราะ เปนนักบุญองคอุปถัมภของเวนิซองคแรก เปนนักบุญ นักรบชาวกรีก เคยมีวัดนอยมอบ ใหทานนักบุญดวย อยูขางๆวัดนักบุญมารโกหลังปจจุบันนั่นเอง ในป 828-829 ไดมีการ 6
นําพระธาตุของทานนักบุญมารโก มาที่เมืองเวนิซ จากเมือง Alexandria ในประเทศ อียิปต ชาวเมืองและ Doge ผูครองนครรับมาเปน นักบุญองคอุปถัมภของเมือง เพราะ เป น นั กบุ ญ ที่ ทํ า ให แ ถบเมื อ งเวนิ ซ นี้ ก ลั บ ใจ และทํ า ให เ มื อ งมี ค วามสํ า คั ญ จนกระทั้ ง สามารถเปนอิสระจาก Byzantine ได - วัดหลังแรกสรางสมัย ศต.ที่ 9 หลังปจจุบันนี้เปนหลังที่ 2 สรางในศต.ที่ 12 - หินออนและเสาหินตางๆ ถูกนํามาจาก Constantinople ตอนที่สงครามครูเสด เขายึดนครนี้และนําสิ่งตางๆ จากเมืองนี้มาที่ เวนิซมากมาย ป 1204 ครูเสดครั้งที่ 4 (ดานหนาของ มหาวิหารนี้) นอกจากนี้ก็มีรูปสําริดที่เรียกวา Tetrarch เขาใจวาเปนลูกๆ ของจักรพรรดิคอนแสตนติน (เดิมคิดวาเปนผูแทน 4 คนที่ปกครองอาณาจักรโรมัน สมัย Diodetian) เทาขางหนึ่งที่หายไปจากรูปนี้ถูกพบที่เมืองคอนสแตนติโนเปล เปนหลักฐาน ชี้วารูปนี้ ถูกนํามาจากที่นั่นจริงๆ - มา 4 ตัวและสิงโตทองบรอนซมีปกและมีอาวุธ ที่จริ งสิงโตเปนรูปสัญลักษณ ของนักบุญมารโก ถูกยายไป Paris สมัยนโปเลียน ในป 1797 และ พอแตงตั้งลูกเลี้ยง มาครองนครนี้ แลว ไดขยายวัดมารโกและอาคารรอบๆ จตุรัสอีกสวนหนง นโปเลียนจึง ใหยายมาทั้งสี่ตัวนี้ กลับมาไวที่เวนิซทั้งหมด ในป 1814 แตในระหวางการขนยายสิงโต ทองบรอนซแตก ตองซอมจนถึงป 1816 สวนมาทั้งสี่ตัวนั้น ปจจุบันตั้งอยูในพิพิธภัณฑใน มหาวิหาร สวนที่แสดงอยูดานหนามหาวิหารนั้นเปนรูปจําลอง * ที่จริงเวนิซมีที่ใหเที่ยวชมมากมาย เปนเกาะเล็กเกาะนอย นักทองเที่ยวจะชอบไปเยี่ยม ชม มูราโน บูราโนและตอรแชลโล มีวัดวาอารามอยูแทบจะทุกแหงหน มีประวัติศาสตร อันยาวนานมาก มีมนตเสนหในหลากหลายรูปแบบ บางคนอยากจะหยุดเวลาไวที่นี่เลย อาหารทะเลที่นี่แพงมาก โรงแรมในสถานที่ เปนสถานที่ทองเที่ยวแบบนี้ บอกไดเลยวา ไปหาโรงแรมนอกเมืองแลวเดินทางมาเที่ยวดีกวากันเยอะเลยครับ * ถนนที่มีชื่อเสียงที่สุดคือ Rialto ถนนสินคา การคาขาย และเศรษฐกิจของเวนิซ ลวน สรางโดย Doge สินคาที่ผูคนสนใจจากเวนิซ ก็มีพวกเครื่องแกวมูราโน สวยงามมากครับ แตการขนยาย อาจลําบากหนอย เพราะแตกงาย เนื่องจากการตกแตงที่วิจิตรก็จะมีสวน ที่หักงายมาก แลวก็เปน พวกหนากากรูปแบบตางๆ แตราคาสูงมาก ที่ผานมาก็มีคนไทย ชอบซื้อนาฬิกาที่มีแกวมูราโนประดับอยู สวยและเกดี ราคาตกประมาณ 13 ถึง 15 ยูโร มีแบบและสีใหเลือกมากมาย 2. Basilica San Marco มหาวิหาร น.มารโก - ภายในมหาวิหารมี Treasure และ Museum การตกแตงมหาวิหารแหงนี้ ลวน ถูกนํามาจาก Constantinople จากผลของสงครามครูเสด ครั้งที่ 4 ซึ่งนําโดยชาวเวนิซ
7
เขายึดกรุง Constantinople และนําสมบัติตางๆมาที่เวนิซ สงครามครั้งนั้นไปไมถึง แผนดินศักดิ์สิทธิ์ แตนําความยิ่งใหญมาใหเวนิซอยางมาก - การออกแบบมหาวิหาร เปนรูปกางเขนกรีก มีโดม 5 โดม อยูบนกางเขนนั้น หมายถึง การประทับอยูของพระเจา - ของมีคามากมาย แตมากที่สุดคือ Pala d’Oro ที่ใสพระธาตุนักบุญมารโก เปน ฉากหลังแทนบูชา - มา 4 ตัว ทองบรอนซ นํามาจาก Constantinople, Napoleon นําไป Paris และนํามาคืน หลังจากใหลูกชายเปนผูครองนคร เวลานี้อยูในพิพิธภัณฑ 4 ตัว ภายนอก เปนรูปลําจอง เปน มา 4 ตัว ประดับที่ Arch of Trajen สําหรับการเขาชมมหาวิหาร มีนักทองเที่ยวมาเวนิซจํานวนมากทุกวัน การเขาแถวซื้อบัตร เขาชมภายใน จึงใชเวลามากจนบางคนอาจทอใจได ผูที่ตองการชมจริงๆ จึงควรวางแผน จัดการเวลาใหเ หมาะสมด วย ภายในเขา หา มการบรรยายใดๆ จึง เป นการเยี่ย มชม สวนตัวโดยสวนใหญ 3. San Geremia และ Santa Lucia สถานีรถไฟที่มาถึงเวนิซชื่อวาสถานี Santa Lucia ที่จริงแตเดิมมีวัดนอยนักบุญลูเชียที่นี่ และเมื่อมีการสรางสถานีรถไฟที่นี่ จึงจําเปนตองรื้อวัดออกไป ตอนนั้นก็จําเปนตองยายพระธาตุอัฐิของนัก บุญลูเชียไปไวที่ อื่น และที่นั่น ก็คือ วั ดนักบุญเยเรมีอ า ไมหา งจากสถานี รถไฟมากนั ก เดินถึ งภายใน 5 นาทีเทานั้น - เรื่องที่นาแปลกใจอยูตรงนี้ครับ นักบุญลูเชียเปนชาวเมือง Siracusa ซึ่งอยูที่ เกาะ Sicilia ทางใตของประเทศอิตาลี เปนมรณะสักขีที่เมืองนี้เอง แตทําไมศพของทาน จึงมาอยูที่เมืองเวนิซ นักบุญ Lucia เปนชาวเมือง Siracusa, องคอุปถัมภผูมีปญหาเรื่อง ตา ชื่อเธอมาจากคําวา Lux แปลวา แสงสวางครับ เธอมาจากครอบครัวร่ํารวย Eutichia และ Lucio เปนมารดาและบิดาของเธอ Lucia มาจากจดหมายของ Paolo บุตรแหงความสวาง ถวายตัวแดพระตั้งแตเด็กอยาง ลับๆโดยแมแตแม ก็ไมทราบมากอนวาจะถือความบริสุทธิ์ - เธอกับแมที่ปวยเปนโรคที่รักษาไมได ไปที่ Catania เมืองที่อยูไมไกลจากเมือง ของเธอมากนัก ฉลองนักบุญอากาทา เพราะมีอัศจรรยมากมาย เธอแนะนําแมใหไปจับ หินศพของทาน เพื่อใหหายจากโรค เธอและแมกลับหลับไหลไปภายในวัดอากาทานั้นเอง นักบุญอากาทามาเขาฝนบอกวา ทําไมมาขอใหรักษาแม ในเมื่อเธอเองก็ทําใหหายได และที่ สุ ด แม ของเธอก็ ม องเห็ น ได อ ย า งดี เธอแนะนํ า ให แ ม ข ายทรั พ ย สิ น ทั้ ง หมด แจกจายใหแกคนยากจน - ในสมัยของการเบียดเบียนศาสนา เธอถูกบังคับใหถวายของแดพระเท็จเทียม แตเธอยอมตาย ไมยอมทําตามนั้นดวยการถูกตัดศีรษะ 8
- ศพของเธอถูกฝงไว คาตาคอมบ ภายหลังการเบียดเบียนยายมาอยูวัดนอยที่ สรางเปนเกียรติใหแกเธอ และที่สุดก็ไดสราง Basilica มีอารามดวยที่ Siracusa ตอมา อีกไมนานนัก แขกอาหรั บ บุ กยึ ด Siracusa มี ค นนํ า ศพเธอไปซ อ นไว ในป 1039 กองทัพ Byzantine ไลแขกอาหรับไปได จึงนําพระธาตุไปไวที่ Constantinople และในป 1204 Doge ของเวนิซ หลังจากยึดครองเมืองคอนแสตนติโนเปลแลวนําศพกลับมาที่ Venice พรอมกับพระธาตุของอากาทาดวย แรกทีเดียวอยูที่ San Giorgio Maggiore มี คนมาแสวงบุ ญ มาก จนเกิ ด โศกนาฎกรรมจมน้ํ า ตาย ย า ยมาอยู ที่ วั ด S. Maria Annunziata มีการแหอยางยิ่งใหญ ป 1280 และในป 1313 มีวัด S.Lucia ตั้งอยูในที่ที่ เปนสถานีที่รถไฟมาเวนิซ จนกระทั่งในป 1860 ยายมาที่วัด S.Geremia เพราะตองรื้อวัด ซานตา ลูเชีย เพื่อสรางสถานีรถไฟ บุญราศี Pope John 23 เปนผูแนะนําใหทําหนากาก เงินสําหรับพระธาตุเธอดวย เราจะเห็นที่ใบหนาของทานมีหนากากเงินสวมอยู เราอาจจะไมสามารถถวายมิสซาที่มหาวิหารนักบุญมารโก แตเราก็จะถวายมิสซา ที่วัดซานเยเรมีอา สวดขอทานนักบุญลูเชีย ตัวอยางความเชื่อของเราคริสตชน
IV
Firenze หรือ Florence
ผานมาถึงเมืองฟเรนเซหรือที่รูจักกันในภาษาอังกฤษวา ฟลอเรนซ ก็ตองแวะให สักหนอย ถาไมแวะเลยก็ออกจะเสียดาย แตแวะนานไปก็ไมได เพราะเวลาบังคับมาก เหลือเกิน หากจะชมฟลอเรนซใหจุใจจริงๆ ก็ควรอยูที่นี่เลยอยางนอยก็สามวันครับ แต ถารักศิลปะและศิลปนแบบที่เรียกวาอยูในสายเลือด ก็ตองอยูเปนเดือนๆละครับ ที่นี่มี พิพิธภัณฑและที่แสดงงานศิลปะอยูเกือบรอยแหง มีงานทางสถาปตยกรรมอีกมากมาย พรอมทั้งประวัติศาสตรอันยาวนานของเมืองนี้ มีสถานที่ที่นาสนใจอยูหลายแห ง จะ แนะนําเล็กนอย อยางนอยรูไวใชวานะครับ แหงแรก ขอแนะนําใหรูจักกับ Duomo ของเมืองนี้ เกือบทุกเมืองในอิตาลีจะมี Duomo เพราะคืออาสนวิหาร วัดประจําตําแหนงสังฆราชของเมืองนั่นเอง ที่นี่เขาไม คอยชอบใชคําวา Cathedral หรือ Cattedrale เขาใชคําวา Duomo บางแหงใชจนเปน ชื่อของวิหารไปเลยก็มี เชน Duomo ที่มิลาน เปนตน
Duomo Santa Maria del Fiore
สําหรับวิหารแหงนี้มีชื่อเปนทางการวา อาสนวิหารพระนางมารียแหงดอกไม Santa Maria del Fiore คงมีประวัติเกี่ยวกับที่มาของชื่อนี้ เพราะเปนชื่อแมพระที่เราไม คอยไดยินและรูจัก วิหารนี้สรางโดย Giotto ศิลปนที่มีชื่อเสียงมากที่สุดคนหนึ่งในยุคนั้น เริ่มสรางในป 1334 และเมื่อเขาตายไป งานนี้ก็สืบตอโดย Andrea Pisano จนกระทั่ง มาถึงสมัยของ Brunelleschi วัดนี้สรางในแบบโกธิคที่มีความหมายว า นําไปสูสวรรค 9
ครับ ลักษณะเดนก็คือศิบปะที่มียอดแหลมนําทุกคนไปหาพระเจา สรางในตําแหนงที่ครั้ง หนึ่งเคยเปนวัดของนักบุญ Santa Reparata องคนี้ก็เหมือนกันครับ ยังไมคอยรูจัก เปนวัดเดิมที่สรางตั้งแตศตวรรษที่ 7 ซากของวัดเดิมนี้ยังถูกเก็บรักษาไวที่วัดนอยใตดิน ของอาสนวิหารนี้เอง แมวาการเขาชมอาสนวิหารจะไมมีคาเขา แตจะลงไปในคริปตใต ดินนี้จะตองเสียสตางค จากภายนอกของอาสนวิหารจุดเดนของวิหารนี้คือ การใชหิน ออน 3 สีคือ สีชมพู สีขาวและสีเขียว ทําใหวิหารดูมีชีวิต ตางจากภายในวิหารที่ใชสีโทน เดียวกันและเรียบงาย ทั้งนี้ เพื่อใหลวดลายของการปูหินโมเสส Mosaic โดดเดนขึ้น นอกจากนี้แสงสว างที่ เขา มาทางหนาต างของวิหาร ยั งชว ยให การชมวิ หารมีรสชาติ เพิ่มขึ้นดวย เหนือทางเขาภายในวิหาร มีนาฬิกาเรือนหนึ่งแขวนอยู ออกแบบในป 1443 โดย Paolo Uccello เวลาของอิตาลีสมัยนั้น ชั่วโมงที่ 24 ซึ่งเปนสิ้นสุดวันคือ เวลาพระ อาทิตยตก นาฬิกาเรือนนี้ถูกออกแบบใหใชเวลาตามนั้น ปจจุบันก็ยังคงทํางานอยูครับ แตใครจะดูออกและเขาใจแคไหนก็คงแลวแตการสังเกตของแตละคนละครับ เขาวิหาร แลวแหงนดูเปนขวัญตาหนอยก็ดีครับ แลวมาเลาใหฟงหนอยวามันทํางานอยางไร จุดเดนของวิหารนี้อีกอยางหนึ่งก็คือ โดมแปดเหลี่ยม ชาวอิตาเลียนเขาเรียกวา Cupola สรางโดย Filippo Brunelleschi ซึ่งชนะการประกวดออกแบบในป 1418 เปน รูปไขและในการยกโดมขึ้น ไมมีการใชนั่งรานอีกดวย โดมนี้ถือวา เปนโดมที่ใหญที่สุดใน โลกสมัยนั้นทีเดียวครับ สรางเสร็จในป 1436 และทําการเสกทันที ทั้งๆที่สวนอื่นๆของ วิหารยังไมเสร็จดีดวยซ้ํา เขาไปในวิหารแลวมองขึ้นไปที่โดมก็ จะพบกับภาพวาดแบบ เฟรซโค เปนการวาดบนปูนที่เปยกหมาดๆ ตองใชความสามารถและการเตรียมการ ลวงหนาอยางดี ภาพจะติดแนนกับปูนนานเทานาน ออกแบบโดย Visari ในป 1572 แต คนวาดคือลูกศิษยของเขาชื่อ Zuccari เสร็จในป 1579 เปนภาพการตัดสินครั้งสุดทาย ของพระหรือที่เราเรียกวา การพิพากษา ประมวลพรอมนั่นแหละครับ ไหนๆก็แหงนหนา ดูที่โดมแลวก็ดูอีกนิดหนึ่ง เราจะเห็นระเบียงใตโ ดมดวย ที่นาสังเกตก็คือระเบียงแปด เหลี่ยมนี้ มีเพียงระเบียงเดียวที่สรางเสร็จ อี กเจ็ดดานยังเปนเพียงหินหยาบๆเทานั้น ไมไดรับการตกแตงอะไร ระเบียงสรางโดย Baccio d’Agnolo ในป 1507 หลังจากสราง เสร็จไปหนึ่งดาน มีคนไปถามความเห็นของ Michelangelo ซึ่งทุกคนเคารพและถือวา เปนปรมาจารยแหงศิลปะ ไมเคิ้ล แอนเยโล ตอบวา มันดูเหมือนกรงจิ้งหรีด คําตอบนี้ ทําใหงานที่เหลือทั้งเจ็ดดานหยุดไปทันทีจนถึงทุกวันนี้ ผูที่ตองการขึ้นไปชมภาพวาดเฟรซ โคชัดๆ และชมวิวเมืองฟเรนเซก็สามารถซื้อตั๋วขึ้นไปชมได ที่นี่ไมมีลิฟทบริการ ตองเดิน ขึ้นบันไดไป มีทั้งหมดแค 463 ขั้นเทานั้นเอง ภาพเฟรซโคนี้ เพิ่งไดรับการทําความสะอาด ลาสุดในป 1996 นี้เอง ใชเงินไปมหาศาล จนกระทั่งชาวเมืองฟเรนเซเองยังตําหนิวา ใช เงินไปมากมาย โดยไมมองความจําเปนของประชาชน ขอแนะนําเฉพาะคนหนุมคนสาว หากมีโอกาสก็ขึ้นไปนะครับ เปนประสบการณที่จะไมมีวันลืมเลย แตถาอายุมากพอควร 10
แลวหัวใจไมดีก็อยาเสี่ยงชีวิตเลยครับ ดูรูปภาพเอาเองดีกวา สวยกวาที่เราจะขึ้นไปดูเอง นะครับ
Baptistery สถานที่ลางบาป
ไมแนใจนักวา จะไดเขาชมหรือไมเพราะตองเสียคาใชจายและมีผูเขาชมมาก แต สถานที่ไมใหญมากนัก นับเปนสิ่งกอสรางที่เกาแกที่สุดหลังหนึ่งในฟเรนเซ ไมรูเวลาที่แน ชัด ในยุคกลางเชื่อกันวา เปนวิหารของชาวโรมันมอบถวายแด เทพอังคารโดยดูจากการ ตกแตงและการออกแบบ แตยังไมมีหลักฐานแนชัดเกี่ยวกับเรื่องนี้ ในบานเราไมมีที่ลางบาปในลักษณะนี้เลย อยางมากที่สุดก็จะมีอางลางบาปที่ทํา เฉพาะ เพื่อการลางบาปเทานั้น เชน ที่วัดอัสสัมชัญของเรา แตเดิมผูที่ยังไมไดรับศีลลาง บาป ไมสามารถเขารวมในพิธีมิสซาไดเลย พวกเขาตองอยูภายนอกวัด แมแตผูที่กําลัง เตรียมตัวเปนคริสตชนก็ยังเขาไดเพียงบางสวนเทานั้น การลางบาปจึงทํากันภายนอกวัด จึงมีการสรางที่ลางบาปขึ้น และเนื่องจากการลางบาปเปนการเกิดใหมในพระเจา เปน ลูกของพระเจา การสรางนี้จึงสรางอยางสงางามและสมเกียรติ ในอิตาลีที่เรายังพบเห็น อยูก็มีที่ ปซา และที่เมืองซีเอนา จึงไมนาแปลกใจ ที่เราจะเห็นที่ลางบาปแตละแหงสราง อยางวิจิตรบรรจง เพื่อตอนรับตริสตชนใหมนั่นเอง จากนั้นพวกเขาจะสามารถเขาไปใน วัดวิหาร รวมพิธีกรรมอยางสมบูรณ ที่ฟเรนเซนี้ เราจะเห็นการแกะสลักประตูของที่ลางบาปนี้ เปนงานแกะที่สําคัญ ที่สุด ในแควนทัสโคนีเลย ประตูถูกแกะสลัก ทําดวยทองสําริด ประตูทิศใตเปนฝมือของ Andrea Pisano ในป 1336 ประตูทางทิศเหนือและตะวันออกเปนฝมือของ Lorenzo Ghiberti ในป 1427และ 1452 มีชื่อเรียกวา ประตูแหงสวรรค Gate of Paradise นับเปนศิลปะที่ดีที่สุดชิ้นหนึ่ง ประตูแทๆ เวลานี้อยูในพิพิธภัณฑของอาสนวิหาร ที่แสดง อยูภายนอกนี้เปนของจําลอง อีกชิ้นหนึ่งที่แสดงอยูในพิพิธภัณฑก็คือ งานสลักหิน ออนที่ อยูเหนือประตูที่เปนรูปพระเยซูเจารับพิธีลาง ฝมือของ Andrea Sansovino ที่เห็นอยูนี้ เปนรูปจําลองครับ ถาดูไดแคภายนอกก็แนะนําใหไปดูประตูแหงสวรรคนะครับ แม เปนรูปจําลอง แตก็คลายของจริงมากๆ มีทั้งหมด 10 รูปดวยกัน เราคริสตชนดูแลวพอนึกเรื่องออก แตถาไมใชก็คงเขาใจไดยากมาก ดูเอาเองนะครับวา รูปไหนอยูไหน รูปอาดัมกับเอวา กา อินกับอาแบล นอแอเมาเหลา อาบราฮัมและอิซาอัค เอเซากับยากอบ โยเซฟถูกขายเปน ทาส โมเสสกับบัญญัติสิบประการ เมืองเยริโคลมสลาย เดวิดกับโกไลแอท โซโลมอนกับ ราชินีแหงเชบา นอกจากนี้ก็มีงานสลักอีกมากที่สามารถชมไดจากภายนอก เขาไปภายใน กันบาง ถาเขาได เราจะพบงานหินโมสาอิคทั้งที่โดมเองและที่พื้นดวย เปนงานในสมัย ศตวรรษที่ 12 และ 13 มีงานทางดาราศาสตรชิ้นแรกอยูในงาน โมซาอิคครั้งนี้ดวย และ ยังมีงานปนตางๆภายในที่นาสนใจสําหรับผูที่ชื่นชอบศิลปะเปนพิเศษ รวมทั้งงานของ 11
Cimabue ซึ่งเปนอาจารยของ Giotto ผูสรางอาสนวิหารดวย ภายในยังมีหลุมฝงศพ ของ ยอหนที่ 23 ซึ่งเปนแอนตี้โปป และมาตายที่เมืองฟเรนเซในป 1426 เรื่องของแอนตี้ โปปนี้ มีหลายองคมาก เปนเรื่องสมัยที่พระศาสนจักรมีพระสันตะปาปาพรอมกันถึงสอง องค และตอมาพรอมกันถึงสามองค องคที่ไมใชพระสันตะปาปาแทถูกเรียกวา แอนตี้ โปปครับ คิดวาคงจบการชมฟเรนเซแลว ก็อยางที่บอกเขาชมอาสนวิหารไมเสียตัง แตเขา อาจจะขอรองใหเชาหูฟงเพื่อไมไหใชเสียงมากในวิหาร การเขาชมพิพิธภัณฑ การชมวัด นอยใตดิน การขึ้นไปชมโดมและชมวิวเมือง การขึ้นชมวิวเมืองโดยใชทางขึ้นหอระฆัง ชม ที่ลางบาป ลวนแตตองซื้อตั๋ว เขามีหลายประเภท ถาเขาชมทุกอยาง ราคาก็จะถูกลง ครับ ถาซื้ออยางเดียวก็แพงหนอย อิตาเลียนไมแพใครเรื่องการคานะครับ ก็อยางที่บอกครับ ฟเรนเซมีที่นาชมอีกมากมาย แตเฉพาะผูที่มีเวลาและรักศิลปะ อยางเชนที่ Galleria dell’ Accademia ถามใครที่นี่ตองรูจัก เพราะตองการไปดูงานชิ้น เอกของไมเคิ้ล แอนเยโล รูปสลักหินออนเดวิ ด แตเดิมรูปนี้ตั้งอยูที่ Piazza della Signoria ซึ่งตั้งรูปจําลองไวใหชมกันเหมือนกัน พิพิธภัณฑที่มีชื่อเสียงอีกแหงหนึ่งก็คือ Galleria Uffizi อีกแหงหนึ่งที่นาสนใจ ก็คือ สะพานเกา Ponte Vecchio เดิมเปนตลาด ขายเนื้อนะครับ ตอมาเปนที่ขายทองคํา รูปพระทองคําที่นี่ก็ไมเลวเลยนะครับ แตก็แพง มาก เป น สะพานที่ส ามารถชมความงามของเมื องไดจ ากกลางสะพาน วา กั นว าเป น สะพานเดียวที่ไมไดรับความเสียหายจากสงครามโลกครั้งที่ส อง เวลาเย็นคือเวลาที่ สวยงามที่สุด สงสัยเราจะอยูไมถึงเย็นนะครับ ใครที่จะมาอีกครั้งหนึ่งที่นี่ ก็อยาลืมจัด เวลาหลายวันหนอยจะดีกวา สําหรับพวกเราสวดภาวนากันที่นี่ ชมศิลปะทางศาสนาก็อิ่ม ใจแลวละครับ
V
Assisi อัสซีซี
เมื อ งเล็ กๆที่ทั ว ร ไ ทยทั่ ว ไปไม พ านั กท องเที่ ย วมา ยกเว น ทั ว ร ค าทอลิ กเท า นั้ น ผูที่มาก็เปนคาทอลิกที่รูจักหรือรับรูความศักดิ์สิทธิ์ ของนักบุญฟรังซิสแหงอัสซีซีและ นักบุญคลารา ครั้งหนึ่ง เคยมีภาพยนตรเรื่อง Brother Sun and Sister Moon มาฉาย ในเมืองไทยดวย จําไมไดวาตั้งชื่อเรื่องเปนภาษาไทยวาอยางไร ทําใหเรารูจักชีวิตสวน หนึ่งของนักบุญทั้งสองดีขึ้น แนนอนวาหนังเรื่องนี้ไมสามารถทําเงินไดมากนักในบานเรา เราจะมาเยี่ยมนักบุญทั้งสองกันที่อัสซีซี เมืองที่นักบุญฟรังซิสเกิดและตาย เมืองที่เกิด คณะที่เรารูจักในนามคณะฟรังซิสกัน ชื่อคณะคือ Friars Minor หรือภราดานอย
12
Basilica Papale di San Francesco
มหาวิ ห ารแห ง นี้ ว างศิ ล าฤกษ โ ดยพระสั น ตะปาปา เกรโกรี ที่ 9 วั น ที่ 16 กรกฎาคม 1228 วันเดียวกับที่พระองคประกาศใหทานเปนนักบุญ พระองคประกาศดวย วามหาวิหารนี้เปนสมบัติโดยตรงของพระสันตะปาปา มหาวิหารมีสองชั้น ชั้นลางสราง เสร็จในป 1230 และในวันสมโภชพระจิตเจา 25 พฤษภาคม 1230 มีพิธีแหแหนรางกายที่ ไมเนาเปอยของทาน จากที่ฝงศพชั่วคราว ของทานที่วัดนักบุญ George (ปจจุบันก็คือ มหาวิหารนักบุญคลาราแหงอัสซีซี)มาไวที่มหาวิหารชั้นลางนี้เอง ทําไมศพของทานไปอยู ที่วัดชั่วคราว ก็เพราะวา หากไมนําไปซอนแลวศพของทาน อาจถูกขโมยได เพราะทุกคน ตองการพระธาตุของทาน สวนมหาวิหารชั้นบน สรางเสร็จในป 1253 มหาวิหารทั้งสอง ชั้นนี้เสกโดยพระสันตะปาปา อินโนเซนตที่ 4 ในป 1253 จัตุรัสที่อยูหนามหาวิหารเต็มไป ดวยเสาหินมากมายนี้ เปนอาคารที่พักสําหรับผูจาริกแสวงบุญมากมายมหาศาล ที่มายัง สถานที่แหงนี้ ในสมัยพระสันตะปาปา ปโอที่ 9 พระองคสั่งใหสรางวัดนอยใตดินเพื่อเปน ที่เก็บศพของทานนักบุญ และสรางเสร็จสมบูรณในป 1932 โลงศพหินเดิมพรอมทั้งเหล็ก ยึดตั้งแสดงอยูเหนือแทนของวัดนอยใตดินนี้ รอบๆแทนนี้ติดกําแพง เพื่อนๆบราเดอร ของทานนักบุญ ไดถูกนํามาฝงไวที่นี่ดวย มีบราเดอร รูฟโน บราเดอรอันเยโล บราเดอร มาสเซโอ บราเดอรเลโอเน และบริเวณทางเขาวัดนอยใตดินมีที่เก็บศพของสตรีผูหนึ่งชื่อ Jacopa dei Settesoli เปนสตรีสูงศักดิ์ชาวโรมัน เปนเพื่อนที่ซื่อสัตยและผูอุปถัมภ นักบุญฟรังซิสเสมอมา เธอเปนผูที่อยูขางๆทานนักบุญในเวลาที่ทานเสียชีวิต เมื่อพูดถึง มหาวิหารวา เปนมหาวิหารพระสันตะปาปา Basilica Papale ก็ยอมหมายความวา มหาวิหารนี้มีสิทธิพิเศษ การตัดสินใจเกี่ยวกับมหาวิหารนี้ การเปลี่ยนแปลง ตอเติมการ ขออนุญาตตางๆตองมาจากพระสันตะปาปากอนเสมอประหนึ่งวาพระองคเปนเจาวัดเอง ดั ง นั้ น พรที่ ไ ด รั บ จากที่ นี่ ก็ เ ป น พรพระสั น ตะปาปาด ว ยนะครั บ เรามี สิ ท ธิ์ รั บ พระคุ ณ การุณยเสมอทุกครั้งที่มาที่นี่ วันที่ 27 ตุลาคม 1986 พระสันตะปาปา ยอหนปอลที่ 2 จัดใหมีการสวดภาวนา สากล เพื่อสันติภาพที่อัสซีซีโดยมีผูแทนจากศาสนาตางๆทั่วโลก 120 ทาน ทั้งนี้ก็เพราะ บทภาวนาของทานนักบุญฟรังซิส ที่สวดใหเราทุกคนเปนผูนําสันติภาพนั่นเอง บทนี้เราทุก คนคงเคยไดยิน และไดสวดมาแลว มีการนําไปแตงเปนเพลงดวยนะครับ มีขาวดีก็ตองมี ขาวราย วันที่ 26 กันยายน 1997 เกิดแผนดินไหวระดับ 5.5 และ 6.1 ริคเตอรทําใหมหา วิหารเสียหายอยางหนัก ระหวางการสํารวจความเสียหาย ก็เกิดอาฟเตอรช็อค ทําใหมี ผูเชี่ยวชาญและบราเดอรสองทานเสียชีวิตไปดวย ภาพเฟรซโกประวัติชีวิตของทาน นักบุญฝมือของ Giotto ถูกทําลายจากการลมครืนของมหาวิหาร มหาวิหารถูกปดซอม เปนเวลาสองป ที่สุดตามมาดวยขาวดีที่วา องคการสหประชาชาติใหมหาวิหารนี้เปน มรดกโลกตั้งแตป 2000 เปนตนมา
13
เรื่องราวสั้นๆเกี่ยวกับนักบุญฟรังซิส
- วันอาทิตยใบลานป 1211 ที่วัด Santa Maria degli Angeli คลาราขอฟรังซิสรับเขา คณะดวย คลาราไดรับมอบเสื้อนักบวชจากทานนักบุญ ตอมามีนองสาวของคลาราและ เพื่อนๆอีก ขอรวมคณะดวย ที่สุดก็เปนคณะคลาริสต จนถึงปจจุบัน ตอมาก็มีการปฎิรูป คณะจนมีคณะเพิ่มขึ้น เชน คณะกาปูชิน เปนตน - คริสตสมภพป 1223 ที่ Greccio ทานไดทําถ้ําพระกุมารขึ้นเปนครั้งแรก และใชสัตวที่มี ชีวิต มาประกอบถ้ําดวย ในระหวางมิสซารูปพระกุม ารที่ทานอุมอยูไดมีชีวิตในออมแขน ของทานดวย ตั้งแตนั้นมาก็มีธรรมเนียมทําถ้ําพระกุมารในเทศกาลคริสตสมภพ - รอยแผลศักดิ์สิทธิ์ วันที่ 17 กันยายน 1224 สองปกอนที่ทานจะตาย ขณะที่กําลังสวด ภาวนา ทานไดเห็นเทวดาเซราฟมองคหนึ่งถูกตรึงกางเขน กอนที่ภาพนิมิตจะจบก็ปรากฏ รอยแผลที่มือและที่เทาของทาน และสีขางดานขวาก็ปรากฏรอยแผลที่หอกแทงดวย จนกระทั่งวันตายทานพยายามที่จะปดบังรอยแผลนี้อยูเสมอ ดวยเหตุนี้เอง ทานจึงไดรับ ฉายาหนึ่งวา เปน Alter Christus - ทานเจ็บปวยอยูนาน ป 1226 ทานอยูที่เมืองโบโลญา ทานขอกลับไปตายในสถานที่ทาน ชอบเปนพิเศษคือ Porziuncola ทานเสียชีวิตที่นี่เอง วันที่ 3 ตุลาคม 1226 ศพของทานถู ถนํามาที่อัสซีซี มายังวัด San Damiano เพื่อให Chiara และนักบวชในคณะไดคํานับเปน ครั้งสุดทาย แลวจึงถูกนําไปที่วัด San Giorgio
Santa Maria degli Angeli: Patriarchal Basilica and Papal Chapel
มาถึงอัสซีซี ก็ควรมาเยี่ยมวัดที่สําคัญที่สุดอีกแหงหนึ่งของพระศาสนจักรดวยนั่น คือ วัดแมพระแหงเทวดา แปลแบบไทยก็คงเชยแบบนี้ เพราะหาคําตรงๆไมได แตถาพูด ถึงเมืองลอส แอนเจอลีส Los Angeles แลวเราก็คงคุนกันดีนะครับ ตอนที่เสปนตั้งชื่อ เมืองนี้ในทวีปอเมริกา พวกเขานําชื่อนี้มาจากมหาวิหารแหงนี้ โดยกลาวถึงแมพระที่ Porziuncola ซึ่งเปนสถานที่นักบุญ ฟรังซิสพบกระแสเรียกและเปนอารามแหงแรกของ ทานอีกดวย ตั้งอยูภายในมหาวิหารนี้เอง ตอนนี้มารูจักกับ Patriarchal Basilica และ Papal Chapel กันกอนนะครับ มหาวิหารนักบุญฟรังซิสไดรับแตงตั้งเปน Papal Basilica แตมหาวิหารแมพระนี้ เปน Patriarchal Basilica ก็หมายความวา ขึ้นโดยตรงตอผูมีตําแหนง Patriarch หรือ แปลเปนไทยวา สังฆอัยกา เปนตําแหนงเกียรติยศสําหรับเมืองสําคัญๆของพระศาสน จักร ใครก็ตามเปนสังฆราชปกครองเมืองเหลานี้ ก็จะไดรับตําแหนงนี้ รวมถึงตําแหนง พระคารดินัลดวย อยางเชน ที่เวนิซที่เคยเลาใหฟงไปแลว สวน Papal Chapel ก็ หมายความวามหาวิหารนี้ไดรับเกียรติเปนวัดนอยของ พระสันตะปาปาอีกดวย ตามปกติ ผูไดรับตําแหนงจิตตาภิบาลวัดนอยแบบนี้ จะไดรับตําแหนง มอนซินญอร หวังวาคงไม งงกันมากนักนะครับ 14
มหาวิหารนี้ สรางอยูเหนือสถานที่สําคัญๆหลายแหงที่เกี่ยวของกับชีวิตศักดิ์สิทธิ์ ของนักบุญฟรังซิส ทําใหมีผูมาแสวงบุญที่นี่มากมาย หลังจากความตายของทานในป 1226 เรื่อยมา จนในที่สุดพระสันตะปาปา ปโอที่ 5 สั่งใหยายสิ่งกอสรางตางๆ บริเวณนี้ ออกไป เพื่อสรางมหาวิหารในป 1569 การกอสรางเสร็จสิ้นลงในป 1679 ใชเวลารวม นานถึง 110 ปใกลเคียงกับการสรางมหาวิหารนักบุญเปโตรทีเดียว นอกจากนี้ก็มีการตอ เติมสรางเริ่มเรื่อยมา ในที่สุดวันที่ 11 เมษายน 1909 พระสันตะปาปา ปโอที่ 10 ยก ฐานะใหเปน Patriarchal Basilica and Papal Chapel เรามาทําความรูจักกับสถานที่ สําคัญๆภายในกันดีกวาครับ
Porziuncola
เป น สถานที่ สํ า คั ญ ที่ สุ ด สํ า หรั บ คณะฟรั ง ซิ ส กั น เป น ที่ ร กร า งมานาน ท า นพบ กระแสเรียกที่นี่ และกอตั้งคณะภราดานอยของทานที่นี่เอง ในป 1209 อุทิศวัดนอยนี้ใน ความอุปถัมภของแมพระ คณะเบเนดิกตินมอบใหทานทําเปนศูนยกลางของคณะใหม ใน วันที่ 28 มีนาคม 1211 Chiara ขอเขาคณะของฟรังซิสที่นี่ และเธอไดรับเสื้อนักบวชจาก มือของทานที่นี่เองและเปนจุดเริ่มตนของคณะนักบวชหญิง Poor Clare หรือ clarist ตนกําเนิดแรกของคณะกาปูชินที่เรารูจักกันดี เปนสถานที่ไดรับสิทธิพิเศษจากพระเยซูเจาและจากพระสันตะปาปาดวย นั่นคือ สามารถรั บ พระคุ ณ การุ ณ ย ค รบบริ บู ร ณ ไ ด เ สมอทุ ก ครั้ ง ที่ ม าที่ นี่ รู จั ก กั น ในนามว า พระคุณการุณยแหงการยกโทษ Indulgence of Porziuncola คืนหนึ่งในป 1216 ฟรังซิส กําลังสวดภาวนาอยู พลันก็มีแสงสวางเขามา ทานเห็นพระเยซูเจา แมพระและเทวดา มากมายยืนอยูเหนือพระแทนบูชา พระเยซูเจาถามทา นวา ทานจะขออะไร เพื่อความ รอดของวิญญาณทั้งหลาย ทานตอบวา ขาพเจาขอใหทุกคนที่ มาที่นี่ ที่เปนทุกขและรับ ศีลอภัยบาปไดรับการยกบาปและโทษบาปทั้งหมด พระองคตอบวา ที่ทานขอนั้นยิ่งใหญ มาก และทานสมควรที่จะไดรับสิ่งที่ยิ่งใหญและมากกวานั้นดวย เรารับคําวอนขอนี้ แต ทานตองไปขออนุญาตจากผูแทนของเราบนโลกนี้กอนดวย สําหรับพระคุณการุณยนี้ ฟรังซิสไปพบพระสันตะปาปา โอโนรีโอที่ 3 ซึ่งตั้งใจฟงทานและที่สุดก็ใหการรับรอง พระองคถามทานวา ฟรังซิส พระคุณการุณยที่ทานขอนี้สําหรับกี่ป ฟรังซิสตอบพระ สันตะปาปาวา ขาพเจาไมไดขอจํานวนป แตขอวิญญาณ ( non anni, ma anime) ใน วันที่ 12 สิงหาคม1216 พระสันตะปาปาประกาศตอหนาพระสังฆราชของแควนนี้และ ตอหนาคริสตชนที่วัดแหงนี้วา พี่นองของเรา เราตองการสงพวกทานทุกคนไปสวรรค
Il Transito : the transit
เปนซอกหินเรียบๆ ธรรมดาๆ ใชเปนที่พยาบาลรักษาตัวของอาราม ทานมาพัก ที่นี่ในชวงปลายของชีวิต ที่นี่เอง ทานเปลือยเปลาอยูบนพื้นแผนดินที่วางเปลา และ 15
หลังจากไดแตงบทเพลงแหงสิ่งสรางที่ตองตายแลว ทานก็เสียชีวิตที่นี่เอง ในเย็นวันที่ 3 ตุลาคม 1226 ทุกวันที่ 3 ตุลาคม จะมีพิธีเฉลิมฉลองทานนักบุญที่นี่ พรอมทั้งขบวนแห ของสมาชิกฟรังซิสกัน ทานเปนองคอุปถัมภของอิตาลี
Il Roseto กุหลาบแหงอัสซีซี
สถานที่มีกุหลาบนี้ อยูในสวนที่บรรดานักพรตอาศัยอยู ฟรังซิสกําลังถูกประจญ ใหสงสัยและใหตกในการประจญลอลวงเรื่องชีวิตบริ สุทธิ์ ทานตอสูและตัดสินใจกรโดด เขาไปในดงกุหลาบเพื่อเอาชนะการประจญนั้น กุหลาบเหลานั้นไดกลายเปนกุหลาบไร หนามและมีอยูเฉพาะที่อัสซีซีเทานั้น รูจักกันในนาม กุหลาบแหงอัสซีซี ที่มหาวิหารแหงนี้เปนสถานที่สําหรับสวดภาวนา รําพึงถึงชีวิตศักดิ์สิทธิ์ของทาน นักบุญ และเมื่อมาถึงแลว ก็ควรทําพระคุณการุณยดวย เพราะเปนสิทธิพิเศษ บาปทุก บาปไมวาบาปใด สามารถไดรับการยกที่นี่ดวย ที่จริงที่อัสซีซี ยังมีสถานที่สําคัญอีกหลาย แหงสําหรับเรา เชน วัด San Damiano วัดที่พระเยซูเจาตรัสกับทานจากกางเขนของวัด ใหไปซอมแซมบานของพระองค เปนตน ทิ้งบางอยางไวบางก็ดีเหมือนกันนะครับ เพราะ เราจะไดมีเหตุผลกลับมาเยี่ยมที่นี่อีก ดีมั้ยครับ
San Damiano Cross
กางเขนซาน ดามีอาโน หรือที่เรารูจักกันในชื่อ กางเขนนักบุญฟรังซิส สําหรับเรา กางเขนแบบนี้ อาจจะมีรูปรางหนาตาแปลกสักหนอย เพราะเต็มไปดวยเรื่องราว มีรูป บุคคลตางๆมากหลายปรากฏในกางเขนนี้ดวย ที่จริงก็เปนกางเขนศิลปะ ไอคอน เปน ศิล ปะที่ นิย มกัน มากในศตวรรษที่ 12 ใหค วามหมายของเหตุ การณ และให ความเชื่ อ เขมแข็งมากขึ้น นิกายออรโธดอกชอบศิลปะแบบนี้มาก ในยุโรปเองก็มีมากแถบบริเวณ แควนอุมเบรีย อิตาลี เมืองอัสซีซีเองก็อยูในแควนนี้ดวย ชื่อกางเขน ซาน ดามีอาโนก็เพราวา วันหนึ่งฟรังซิสเดินผานวัดนี้ซึ่งเปนวัดเกาแก มากและ ผุพัง ทานไดรับการดลใจใหเขาไปสวดภาวนา คุกเขาตอหนากางเขนนี้ ทานเห็น ริมฝปากของพระเยซูเจาตรัสวา ฟรังซิส จงไปซอมบานของเรา ที่เจาก็เห็นแลววากําลังผุ พังเกือบหมดแลว ฟรังซิสตอบวา ลูกพรอมที่จะทําพระเจาขา ทานทําการซอมแซมโบสถ ซาน ดามีอาโน ตอมาทาน เสริมสรางชีวิตคริสตชน และทานก็สรางพันธกิจของคณะฟ รังซิสกัน พระสันตะปาปาอินโนเซนต ที่ 3 ฝนเห็นมหาวิหาร ยอหน ลาเตรันกําลังจะลม และมีบุรุษรางเล็กมาค้ําไวไมใหลม พระองครับรองคณะและวินัยของคณะฟรังซิสกัน ที่ หนามหาวิหารลาเตรันยังมีอนุสาวรียรูปนักบุญฟรังซิสขอใหพระสันตะปาปารับรองวินัย คณะตั้งอยูดวย ตั้งแตนั้นมากางเขนนี้ไดกลายเปนสัญลักษณแหงพันธกิจของคณะฟรัง ซิ ส กั น เราอาจจะไม ไ ด ไ ปวั ด ซาน ดามี อ าโนนี้ แต เ ราสามารถพบเห็ น และเข า ใจถึ ง ความหมายของกางเขนนี้ ปจจุบันกางเขนที่เคยตรัสกับฟรังซิสตั้งอยูที่วัดนักบุญกลารา 16
เมืองอัสซีซี ถาหากใครมีกางเขนนี้แลวตองการสวดภาวนาแบบที่นักบุญฟรังซิสสอนก็ใช บทนี้นะครับ ขาแตพระเจาผูทรงพระสิริรุงโรจนอันสูงสุด โปรดสองสวางความมืดในดวงใจ ข า พเจ า โปรดประทานความเชื่ อ ที่ ถู กต อ ง ความวางใจที่ มั่ น คงและความรั ก ที่ ค รบ บริบูรณ โปรดประทานความเขาใจและความเฉลียวฉลาด เพื่อขาพเจาจะไดปฏิบัติตาม พระบัญชาอันศักดิ์สิทธิ์และเที่ยงแทของพระองคดวยเทอญ อาแมน
VI
บทนํา
โรมา : นครอมตะ (Città Eterna)
โรมา หรือ กรุงโรม ไดรับฉายาวา อมตะนคร หรือนครที่ไมมีวันตาย เปนศูนย กลางแหงอารยธรรม ศูนยกลางแหงศิลปวัฒนธรรม ศูนยกลางการปกครองและอํานาจ ของอาณาจักรโรมัน นอกจากนี้ ยังเปนศูนยกลางทางศาสนาคริสต นับตั้งแตตนศตวรรษ ที่ 4 เปนตนมาอีกดวย ผูที่มาเยี่ยมชมกรุงโรมจึงมีจุดประสงคแตกตางกัน บางคนมากรุง โรมเพราะศิลปะ บางคนมา เพราะโบราณคดี บางคนก็มาเพราะประวัติศาสตร และ บางคนก็มาดวยเหตุผลทางศาสนา ทุกอยางเหลานี้ กรุงโรมร่ํารวยดวยศิลปะ โบราณคดี ประวัติศาสตร และศาสนาคริสต กรุงโรมจึงเต็มไปดวยเสนห มิใชจากสิ่งของวัตถุแตอยาง เดียว แมกับผูคนและวัฒนธรรมความเปนอยูก็มีเสนหไมแพกัน ผูคนสนใจจะมากรุงโรม สมกับคําโบราณของโรมที่วา : “ถนนทุกสายมุงสูกรุงโรม” ใครก็ตามที่รูเกี่ยวกับศาสตร แขนงตาง ๆ เหลานี้ ยิ่งมีความรูมากเทาใด ก็เที่ยวกรุงโรมดวยความสนุกมากเทานั้น กรุง โรมมีอะไร ๆ ใหคนหาไมรูสิ้นสุดจริง ๆ หากจะถามวาเที่ยวกรุงโรมกี่วันจึงจะพอ ตอบได เลยวาไมมีวันพอ ดวยเหตุนี้ จึงมีผูคนที่ตองการหวนกลับมากรุงโรมอยูเสมอ แตจะทํา อยางไรละ จึงจะไดกลับมาที่โรมอีก และนี่แหละ เปนสวนหนึ่งของฉายาของกรุงโรม “อมตะนคร” เพื่อจะไดพบกับคําตอบ “ทําอยางไรละ จึงจะไดกลับมาที่โรมอีก” ขอนําทานมาให รูจักกับ “น้ําพุเทรวี” (Fontana di Trevi) เพราะที่นี่มีคําตอบ เปนปรัมปราที่เลาขานสืบ ตอกันมา แตก็เลาขานไมเหมือนกันนัก แมจะไมเหมือนกัน แตก็มีสิ่งเหมือนกันก็คือ ทุก ตํานานจะพูดถึงการกลับมา กรุงโรมอีกครั้งหนึ่ง ตํานานเรื่องแรก เลาวา ผูที่โยนเหรียญ 1 เหรียญลงไปในน้ําพุเทรวี จะไดกลับมา กรุงโรมอีกครั้ง แตหากโยน 2 เหรียญจะพบคูครองและไดแตงงาน แตถาใครอยากจะ หยารางกับคูครอง ใหโยน 3 เหรียญ พูดงาย ๆ ก็คือ ใครอยากจะหยารางกับคูครอง ก็ ตองลงทุนมากหนอย ใครจะไปรู อาจจะมีผูคนอธิษฐานเรื่องนี้ไวมากก็ไดนะ 17
ตํานานเรื่องที่ส อง เลา วา ผูที่ โยนเหรี ยญ 1 เหรียญลงไปในน้ําพุเทรวี จะได กลับมากรุงโรมอีกครั้ง แตใครที่ปรารถนาจะไดโชคลาภ ก็ตองโยนเหรียญ 3 เหรียญ ดวยมือขวา โดยโยนผานไหลซายของตน วิธีเดียวที่ทําเชนนี้ได จึงตองหันหลั งใหกับ “น้ําพุเทรวี” เพราะเหตุนี้ ปจจุบันใคร ๆ ที่โยนเหรียญก็มักจะหันหลังใหกับน้ําพุ ที่จริงก็ไม จําเปนนัก แตก็สนุกดีเหมือนกัน เพราะเวลาที่เราหันหลังโยนเหรียญ จะทําใหเราถายรูป ไดสวย และสามารถมองเห็นทั้งหนาเราและก็น้ําพุดวย และก็มีหลักฐานวา เราไดไปโยน เหรียญที่น้ําพุแหงนี้มาแลวดวย ตํานานเรื่องที่สาม เปนตํานานที่เลาอยูในหลักสูตรและในตําราเรียนของอิตาเลียน เลาวา ผูใดปรารถนาจะพบกับรักแท รักเดียวใจเดียว ใหโยนเหรียญ 1 เหรียญ ผูใดปรารถนาจะไดโชคลาภ ใหโยนเหรียญ 2 เหรียญ เลข 2 มีความหมายเทากับ ทวีคณ ู ผูใดปรารถนาจะกลับมาที่กรุงโรมอีกครั้ง ก็ใหโยนเหรียญ 3 เหรียญ เลข 3 มีความ หมายถึงนิรันดรกาล ความหมายนี้อาจจะมาจากความหมายในความเชื่อทางศาสนา คริสตดวย ใครอยากจะเชื่อตํานานใดก็เชื่อได เพราะทั้งหมดนี้ เปนตํานาน (Legend) แตที่ แน ๆ ก็คือ มีการประมาณกันว า แตละวันมีผูโยนเหรียญลงในน้ําพุเฉลี่ยแลววันละ 3,000 ยูโร เหรียญเหลานี้ จะถูกเก็บไปโดยเจาหนาที่ของกรุงโรม บางครั้งก็อาจจะ หลาย ๆ วันติดกัน ในกรณีที่มีนักทองเที่ยวมาก ๆ แตบางครั้งก็เวนระยะดวย กรุงโรม นําเงินทั้งหมดนี้ไปสมทบกองทุนชวยเหลือคนยากจนของกรุงโรม อยางไรก็ตาม ก็มีคน บางคนที่หาทางขโมยเงินเหลานี้ดวยวิธีตาง ๆ อยูเสมอ ขโมยมีอยูทั่วไปจริง ๆ เสนหของ “น้ําพุเทรวี” ทําใหภาพยนตรหลายเรื่องพากันมาถายทําที่นี่ เรื่องที่มี ชื่อเสียงมากหนอย เห็นจะเปนเรื่อง “Three coins in the fountain” และก็เรื่อง “La Dolce Vita” บางคนอานแลวอาจจะรูสึกอยากวายน้ําหรืออาบน้ําที่มีน้ําพุแหงนี้เสียเลย ที่จริง เขาไมมีอนุญาตใหอาบน้ําที่น้ําพุนี้นะครับ ขอมูลบางอยางที่ควรรูเกี่ยวกับ “น้ําพุเทรวี” ก็มีประโยชน อยางนอยก็รูอะไรไว บาง เวลาเลาใหเพื่อน ๆ ฟง จะไดมีเสนหเชนเดียวกับ “น้ําพุเทรวี” 1. ชื่อ Trevi : เทรวี มาจากคําภาษาอิตาเลียน Tre vie หมายความถึง ถนน 3 สาย น้ําพุแหงนี้ สรางตรงจุดเชื่อมตอของถนน 3 สาย และเปนจุดปลายทางของทอสง น้ํา (Aqueduct) ที่มีชื่อวา “Aqua Virgo” ซึ่งเปนทอสงน้ําที่เกาแกที่สุดอันหนึ่งของ กรุงโรม จากจุดนี้ น้ําไดถูกสงไปหลอเลี้ยงกรุงโรมไกลถึง 13 กิโลเมตร ไปถึงบอ อาบน้ําของอากริปปา ซึ่งเปนญาติของจักรพรรดิ Ottaviano ทอสงน้ํานี้ใชงาน ตั้งแตสมัยอาณาจักรโรมันรุงเรือง จนกระทั่งถูกพวกโกธ (Goth) ที่เขาปลนกรุง 18
โรม ไดทําลายไปในป ค.ศ. 537-538 ตามปกติแลว ชาวโรมันจะสรางน้ําพุไวบริเวณ ปลาย ทางของทอสงน้ํา 2. “น้ําพุเทรวี” เปนน้ําพุที่ใหญที่สุดในกรุงโรม โดยใชศิลปะแบบบารอค (Baroque) ศิลปะ แบบนี้ เปนความสงางามและความยิ่งใหญ 3. - พระสันตะปาปา นิโคลาส ที่ 5 ซอมแซมทอสงน้ํา “Aqua Virgo” ขึ้นมาใชการใหม ในป ค.ศ. 1453 และไดสรางน้ําพุขึ้นมา - พระสันตะปาปา อูรบาโน ที่ 8 ใหศิลปนผูมีชื่อเสียงมาก ไดแก Bernini ออกแบบ บูรณะน้ําพุแหงนี้ใหดูตระการตามากขึ้น ในป ค.ศ. 1629 Bernini ไดขยายน้ําพุแหง นี้ และใหหันหนาน้ําพุแหงนี้ไปยังพระราชวัง Quirinale อันเปนพระราชวังที่ประทับ ของพระสันตะปาปา ทั้งนี้ เพื่อใหพระองคสามารถชมความงามของน้ําพุแหง นี้ได (พระราชวัง Quirinale ปจจุบัน เปนวังของประธานาธิบดีแหงประเทศอิตาลี) - ตอมา ในป ค.ศ. 1730 พระสันตะปาปา เคลเมนต ที่ 12 มอบหมายให Nicola Salvi ออกแบบและเสริมสรางน้ําพุนี้ใหเปนศิลปะแบบบารอค งานนี้เริ่มตนขึ้นในป ค.ศ. 1732 และสําเร็จบริบูรณในป ค.ศ. 1762 Nicola Salvi เสียชีวิตกอนงานเสร็จ ผูที่ทําจนงานนี้สําเร็จ ไดแก Giuseppe Pannini 4. ปราสาทดานหลังของน้ําพุ ชื่อเต็มวา Palazzo Conti Duca di Poli เปนปราสาท ประจําตระกูล Conti มีตําแหนงเปนทานดยุค (Duke) 5. ชื่อทอสงน้ํา “Aqua Virgo” มาจากเรื่องเลาที่สืบตอกันมาวา ทหารโรมันไดรับคํา สั่งใหมาหาแหลงน้ํา เด็กหญิงคนหนึ่งไดชี้ใหมาพบแหลงน้ํานี้ และปรากฏวา เปนน้ํา บริสุทธิ์ มีคุณภาพดีมาก จึงตั้งชื่อน้ํานี้วา “น้ําแหงผูบริสุทธิ์” หรือ Aqua Virgo เทากับ Virgin Water เรื่องสุดทายสําหรับคํานํานี้ ก็คือ กรุงโรมมีเสนหมากขึ้นมาก โดยเฉพาะสําหรับ บรรดา คริสตชน เพราะที่นี่เปนศูนยกลางของศาสนาคริสต มีสถานที่ศักดิ์สิทธิ์และวัด วาอาราม มีเรื่องราวของพระสันตะปาปา บรรดานักบุญที่มีชื่อเสียงมากมาย โรมเปนจุด ศูนยรวมของวิทยาการความรูดานตางๆและทางดานศาสนาดวย
1. มหาวิหาร (Basilica)
กอ นจะพาชมมหาวิ ห าร ขออธิ บ ายสั กเล็ กน อ ยถึ ง ความหมายของมหาวิ ห าร แต ก อ นจะอธิ บ ายถึ ง เรื่ อ งนี้ ก็ ต อ งบอกกั น ก อ นว า ทางศาสนาคริ ส ต เ ขามี ชื่ อ เรี ย ก “วัด” หลายชื่อและแตละชื่อนั้นก็มีความหมายไมเหมือนกัน ขอเริ่มตั้งแต - Cathedral ภาษาไทยเราเรี ยกว า “อาสนวิ หาร” ภาษาอิ ตาเลี ยนเขาใช คํ าว า Cattedrale (คัทเทดราเล) หรือคําวา Duomo (ดูโอโม) โดยทั่ว ๆ ไป เราหมายถึงวัดประจําตําแหนง ของพระสั ง ฆราชปกครอง ตามปกติ แ ล ว อาสนวิ ห ารจะเป น วั ด ที่ ไ ด รั บ เกี ย รติ สู ง 19
การกอสราง การตกแตงตาง ๆ จึงไดรับการดูแลเอาใจใส และเปนวัดที่มีความสวยงาม เดนสงา เปนพิเศษ - Church ภาษาไทยเราเรียกวา วัดหรือโบสถ ภาษาอิตาเลียนเขาใชคําว า Chiesa (คิเอ-ซา) วัดหรือโบสถนี้จะตองไดรับการกอสรางอยางเปนทางการ มีพระสงฆเจาอาวาส ปกครองดูแล อภิบาลสัตบุรุษของตน ขึ้นโดยตรงตอพระสังฆราชของตนเอง - Chapel ภาษาไทยเราใชคําวา “วัดนอย” ภาษาอิตาเลียนใชคําวา Cappella (คับ-แปลลา) เปนวัดที่ตั้งขึ้น เพื่อใชตามจุดประสงคของคณะนักบวชหรือหนวยงาน องคกรตาง ๆ โดยทั่วๆ ไป ไมมีเจาอาวาสหรือการปกครองดูแลอภิบาลสัตบุรุษเต็มรูปแบบของ “วัด” สวน Basilica ซึ่งผมใชคําวา “มหาวิหาร” นั้น เปนอีกรูปแบบหนึ่งของวัด ผมก็ขอ อธิ บ ายมากหน อ ย เวลาที่ เ ราเยี่ ย มชมวั ด ต า ง ๆ ในยุ โ รป เราก็ จ ะได มี ค วามเข า ใจ ความสําคัญของสถานที่ไดมากขึ้น การใชคําวา "มหาวิหาร" เพื่อใชแทนความหมายของคําวา “Basilica” อาจจะเปน การใชคําที่ไมถูกตองตามความหมายที่แทจริงมากนัก แตก็ไมผิดไปจากความหมายแบบ คริสตชนจนเกินไป ทั้งนี้ เปนเพราะวา เราจําเปนจะตองแยกแยะความหมายของคําๆ นี้ เปน 2 ความหมาย คือ ความหมายดั้งเดิม และความหมายแบบคริสตชน ความหมายดั้งเดิม คําวา Basilica เปนคําภาษากรีก ภาษาลาตินใชคําวา “Basilica” หมายถึงรูปแบบ ของสิ่งกอสรางสาธารณะแบบโบราณ เปนศิลปะการกอสรางแบบผสมผสานกันระหวาง กรีกและโรมัน เพราะเหตุวา ในสมัยที่จักรวรรดิโรมันเรืองอํานาจนั้น อิทธิพลของกรีกได เขามาอยูในอารยธรรมของชาวโรมัน และในทางตรงกันขาม อิทธิพลของโรมันก็ไดเขาไป อยูในอารยธรรมของกรีกดวย ศิลปะการกอสรางแบบนี้เริ่มตนที่เมืองเอเธนส (Athens) ในประเทศกรีก แตในสมัยอาณาจักรโรมันเรืองอํานาจ มหาวิหารแหงแรกที่เราสามารถ พบได คือ มหาวิหารที่เมืองปอมเปอี (Pompei) ซึ่งตามหลักฐานที่ไดมาจากการศึกษา ที่เมืองปอมเปอีนี้ ปรากฏวา มีมหาวิหารที่นี่ ในป 78 กอนคริสตศักราช แตหาก พิจารณาจากศิลปะ การเขียนตัวอักษร การตกแตง ฯลฯ แลว ก็ทําใหสรุปไดวา มหาวิหาร แหงนี้มีมาตั้งแตศตวรรษที่ 2 กอนคริสตศักราช และถือวาไดเลียนแบบมาจากมหาวิหาร ที่เมืองเอเธนส ตามความสําคัญของมหาวิหารที่เมืองปอมเปอีนี้ ยังไดแก การเปนแมแบบ ของมหาวิหารอื่น ๆ ทั้งในโลกตะวันออกและในโลกตะวันตกดวย ป 47 กอนคริสตศักราช จักรพรรดิซีซาร (Caesar C.) ไดสรางมหาวิหารที่เมืองอันทิโอก (Anthioch) ในโลกตะวัน ออก เพราะตองการใหอารยธรรมโรมันเขามามีอิทธิพลอยางเต็มที่ในโลกของชาวกรีก
20
1. จุดมุงหมายของการสรางมหาวิหารตามความหมายดั้งเดิม ชาวโรมันสมัยโบราณใชชื่อมหาวิหาร “Basilica” เพื่อหมายถึงสิ่งกอสราง สาธารณะเพื่อใชเปน Corpus Iuris หรือ Law Court ทําการตัดสินความตาง ๆ และ เนื่องจาก ชาวโรมันกุมอํานาจทั้งหมดในดานการคาเอาไว การตัดสินความตา ง ๆ สวนใหญจึงเปนเรื่องของการคา นอกจากนี้ ยังเปนที่รวมของการคาในรูปแบบตาง ๆ ดวย เพราะตามโครงสราง มหาวิหารจะมีสวนหนึ่งใชสําหรับคาขาย (Commercial Exchange) 2. โครงสรางของมหาวิหารตามความหมายดั้งเดิม ตามกฎเกณฑแลว มหาวิหารจะตองถูกสรางขึ้นโดยมีชองทางเดินตรงกลาง ใหญ มีกําแพงสูงประกอบอยูทั้ง 2 ขาง และชองทางเล็ก โดยมีกําแพงที่ต่ํากวา ขนานอยูทั้ง 2 ขางของชองทางเดินใหญนั้น ชองทางเดินเหลานี้จะถูกแบงออกโดย เสาหิน และโดยสวนใหญ (แมวาจะไมเสมอไป) ตอนปลายสุดของชองทางเดินกลาง ใหญ จะมี ที่ทําการบริหารด านความยุ ติธรรมหรื อศาล โดยมี บัลลังกผูตั ดสิ นความ ตั้งอยู นอก จากนี้ ยังมีสวนที่แยกออกจากชองทางเดินตรงนี้ เพื่อใชดานการคาขาย หรือเปนที่สาธารณะดานตางๆ เรียกรวมๆ วา “ฟอรุม” (Forum) หลายครั้งจึงถูก เรียกพรอมๆ กันวา Forum et Basilica เชน ที่ Forum Romanum มี Basilica Giulia, Basilica di Costantino เปนตน ความหมายแบบคริสตชน เราไมพบความหมายของมหาวิหารแบบคริสตชนนี้ กอนสมัยจักรพรรดิคอนสแตน ติน (Constantine) ความหมายของมหาวิหารแบบคริสตชนนี้ เริ่มมีมาตั้งแตศตวรรษที่ 4 โดยใชศิลปะกรีก-โรมัน นักเขียนตาง ๆ ในศตวรรษที่ 4 ถึงศตวรรษที่ 6 ใชคําวา “มหาวิหาร” ในลักษณะตาง ๆ กันไป เชน ใชในความหมายของบาน ความหมายของวัด ไมไดหมายถึงเฉพาะสถานที่ประกอบพิธีทางศาสนา แตยังหมายถึงที่อยูของพระสังฆราช ดวย ความหมายของมหาวิหารจึงแตกตางจากซีนาโกก (Sinagoque) ของชาวยิว เพราะ ซีนา โกกหมายถึงที่ชุมนุมของหมูคณะเพื่อประกอบพิธีทางศาสนา แตมหาวิหารหมายถึง การสถิตอยูอยางลึกลับของพระ โดยมีพระสังฆราชเปนประธาน และควบคุมดูแลหมู คริสตชน จุดมุงหมายของการสรางมหาวิหารตามความหมายแบบคริสตชน จึงเปนการสราง เพื่อเปนสถานที่นมัสการพระเจา โครงสรางของการสราง พวกคริสตชนไดใชลักษณะของการกอสรางแบบกรีก-โรมันนี้ ผสมผสานกับลักษณะ บางอยางของวัดนอย (Chapels) ที่พวกคริสตชนสมัยถูกเบียดเบียนไดสรางไวในกาตาคอมบ (Catacomb) และตั้งแตหลังการเบียดเบียน คือตั้งแตหลังการกลับใจของจักรพรรดิ 21
คอน สแตนติ น พวกคริสตชนก็ไ ดใชเพื่ อเปน สถานที่ นมัสการพระเจา โดยมี ลักษณะ การสรางโดยทั่ว ๆ ไปดังตอไปนี้ : 1. มีชองทางเดินกลางและขาง ๆ โดยมีแนวเสาหินแบงออก มีประตูที่จะนําไปสูมหาวิหาร และชองทางเดินเหลานี้อยางนอย 3 ประตู นอกจากนี้ ยังมีลานกวางภายนอกเพื่อใช เปนที่สาธารณะตางๆ (forum) 2. มี แ ท น ที่ แ ยกออกจากกํ า แพง สร า งอยู ภ ายในมหาวิ ห าร โดยมี ป ะรํ า คลุ ม แท น ไว ภายใตแทนจะเปน Confessio ซึ่งมักจะใชเปนที่เก็บรางกายหรือพระธาตุขององค อุปถัมภ หรือเปนตําแหนงที่เกิดเหตุการณสําคัญ ๆ เชน Confessio ของมหาวิหาร นักบุญ เปโตร เปนที่ฝงศพของทานนักบุญเปโตร เปนตน 3. ที่นั่ง หรือ บัลลั งกข องพระสังฆราชจะตั้ งอยูที่กํ าแพงดา นหลั งที่ เปน มุขยื่ นออกไป โดยมีที่นั่งของพวกนักบวชอยู 2 ขาง เปนรูปครึ่งวงกลม และพระสังฆราชหันหนา เขาหาสัตบุรุษ เราสามารถสังเกตไดวา ที่นั่งของพระสังฆราชนี้ ก็คือที่นั่งของ ผูพิพากษาในความหมายแบบดั้งเดิ ม ทั้งนี้ เพื่อควบคุมประชากรของพระ อีก ประการหนึ่ง พิธี กรรมที่พระสังฆราชจะทํา ก็กระทําตอหนาสัตบุรุษ มิใชหันหลังให การตกแตงอื่น ๆ ภายในมหาวิหารก็มีแตกตางกันไป ขึ้นอยูกับจุดประสงคของ การสราง และตําแหนงทางภูมิศาสตร แนวทางดานสถาปนิกก็แตกตางกันไป ขึ้น อยูกับ จุดประสงคของการสรางดวยเชนกัน อยางไรก็ตาม การสรางมหาวิหารถูกเรียกวา เป น รู ปแบบแรกของโครงสร า งที่ ถู กสร า งขึ้ นสํ า หรับ การนมั ส การพระของคริ ส ตชน เป น ชื่ อ ที่ ถู ก มอบให กั บ วั ด ต า งๆ ที่ มี ค วามเก า แก มี ศั ก ดิ์ ศ รี มี ค วามสํ า คั ญ ทาง ประวัติศาสตรหรือทางเทววิทยา หรือมีความหมายในฐานะเปนศูนยกลางพิเศษของการ นมัสการพระเจา ชนิดของมหาวิหาร ในสมัยปจจุบันนี้ มหาวิหารมีอยู 2 ชนิดใหญ ๆ คือ Major และ Minor Major Basilica มีพระแทนของพระสันตะปาปา และอาจจะมีประตูศักดิ์สิทธิ์ดวย เพื่อจะเปดรับ ปศักดิ์สิทธิ์ ในบรรดามหาวิหารแบบนี้ที่เรารูจักกันดี ไดแก Patriarchal Basilicas หรือจะ แปลเปนภาษาไทย คงแปลไดวา “Basilica แหงอัยกาของพระศาสนจักร” 1. มหาวิหารนักบุญยวง ลาเตรัน (St.John Lateran) เปนมหาวิหารเอก เปนมารดาของ พระศาสนจักร ไดรับเกียรติสูงสุดในพระศาสนจักร เป นมหาวิหารของสังฆอัยกา (Patriarch) แหงพระศาสนจักรตะวันตก หรือพระสันตะปาปา 2. มหาวิหารนักบุญเปโตร(St.Peter) เปนมหาวิหารสําหรับสังฆอัยกา (Patriarch) แหง คอนสแตนติโนเปล (Constantinople) 22
3. มหาวิหารนักบุญเปาโล (St.Paul) นอกกําแพง สําหรับสังฆอัยกา (Patriarch) แหง อเล็กซานเดรีย (Alexandria) 4. มหาวิหารแมพระ (Santa Maria Maggiore) สําหรับสังฆอัยกา (Patriarch) แหง อันทิโอก (Anthioch) พระแทนของพระสันตะปาปาที่กลาวถึงนี้ มีแตพระสันตะปาปาและผูรับมอบอํานาจ โดยตรงเทานั้นที่จะประกอบพิธีบนพระแทนนี้ได Minor Basilica ไดรับสิทธิพิเศษตาง ๆ เกี่ยวกับการจัดพิธีหลาย ๆ อยางในมหาวิหาร มีจํานวน มากมาย ทั้งที่กรุงโรมและที่อื่น ๆ ทั่วโลก เปนที่นาสังเกตวา วัด St. Francis และ St. Mary of the Angels ที่เมืองอัสซีซี (Assisi) ถูกจัดเปน Major Basilica อีกประการ หนึ่ง สังคายนาสากลที่เมือง Ferrara-Firenze-Rome ป ค.ศ. 1439 ไดรวมพระศาสน จักรตะวันตกและตะวันออกเขาดวยกัน ดังนั้น มหาวิห ารที่ถูกมอบใหกับ สังฆอัยกา (Patriarch) ตาง ๆ จึงเปนเพียงเกียรติและศักดิ์ศรีที่มอบใหเทานั้น
2. มหาวิหารนักบุญเปโตร (Basilica S. Pietro)
มหาวิหารนักบุญเปโตร มีความสําคัญอยางยิ่งในพระศาสนจักรคาทอลิก เพราะ เหตุวา : 1. เป น สถานที่ นั ก บุ ญ เปโตร (St.Peter) ได พ ลี ชี พ เป น มรณสั ก ขี ด ว ยการตรึ ง บนไม ก างเขน โดยศี ร ษะลงดิ น ในระหว า งการเบี ย ดเบี ย นศาสนา ในสมั ย ของ จั ก รพรรดิ เ นโร ราว ค.ศ. 64 นั ก บุ ญ เปโตร เป น ผู ที่ มี ค วามสํ า คั ญ อย า งยิ่ ง ใน พระศาสนาจักรคาทอลิก เพราะทานเปนพระสันตะปาปาองคแรก เปนผูแทนของ พระเยซูเจาบนแผนดินนี้ 2. เป น ผู แ ทนและศู น ย ก ลางของพระศาสนจั กรคาทอลิ ก ทั้ ง ทางด า นพิ ธี ก รรม ขอความเชื่อและ การบริหาร อีกทั้งที่ประทับขององคพระสันตะปาปาก็อยูบริเวณ เดียวกัน 3. เปนสถานที่ศักดิ์สิทธิ์ และเปนเงื่อนไขหนึ่งในการแสวงบุญของบรรดาคริสตชน 1) อนุสาวรียรูปเสาแหลม (Obelisk) - บริเวณปจจุบันที่เปนจตุรัสเซนตปเตอร แตเดิมเปนสนามกีฬาของชาวโรมัน มีชื่อวา สนามกีฬาคาลิโกลา ซึ่งจักรพรรดิคาลิโกลา (Caligola) ไดทรงสรางขึ้นในป ค.ศ. 33 และตองการตั้งเสาหินที่เรียกวา Obelisco นี้ที่กลางสนาม เพื่อเปนศูนยกลางของ สนามกีฬา เสาหินนี้ ไดถูกสรางขึ้นที่ Eliopoli ในประเทศอียิปต โดย Pharaoh Pheros และถูกยายมาที่เมืองอเล็กซาน เดรีย จักรพรรดิคาลิโกลาทรงมีรับสั่งให ยายจากเมืองอเล็กซานเดรีย มาที่กรุงโรม ในสมัยกลาง ที่กรุงโรมมีตํานานเรื่องหนึ่งเลาวา เสาหินนี้ถูกสรางขึ้นโดยกษัตริย ซาโลมอน และฝุนขี้เถาของกษัตริยซาโลมอนถูกเก็บรักษาไวในกลองทองแดง 23
ซึ่งอยูบนยอดเสาหินนี้ ตอมา จูลีอุส ซีซาร มาที่กรุงเยรูซาแลม ไดสั่งใหยายเสา หิ น นี้ ม าที่ ก รุ ง โรม และได เ อาขี้ เ ถ า ของกษั ต ริ ย ซ าโลมอนออกไป เมื่ อ ซี ซ าร สิ้นพระชนมแลว ไดมีรับสั่งใหนํากระดูกของพระองคมาใสแทนที่ ถึงแมวาเรื่องนี้ จะเปนตํานานที่เลาสืบกันมา แตบนเสาหินนี้มีอักษรลาตินจารึกไววา : “ซีซารเปน บุคคลที่ยิ่งใหญเทียบเทากับโลก และเวลานี้ ถูกเก็บอยูในกลองขางบนนี้” ถึงกระนั้นก็ดี เมื่อมีการสรางมหาวิหารใหม และตองทําการยายเสาหินนี้ โดย Domenico Fontana เขาพบวากลองขางบนนี้เปนกลองที่ไมสามารถบรรจุสิ่ง ใดไวภายในไดเลย พระสันตะปาปา ซีสโต ที่ 5 ไดนําเอาพระธาตุไมกางเขนของพระเยซูเจา มาบรรจุไวภายในกางเขนบรอนซที่อยูบนยอดของเสาหินนี้ - สนามกีฬาที่จักรพรรดิคาลโกลาไดสรางขึ้นนี้ ตอมา ไดชื่อวาสนามกีฬาของจักรพรรดิ เนโร เพราะที่นี่เอง ในสมัยที่มีการเบียดเบียนพวกคริสตัง สาเหตุมาจากจักรพรรดิ เนโรเผากรุงโรม และปายความผิดใหกับพวกคริสตัง ไดมีการทรมานและฆาพวก คริสตังอยางทารุณมากมาย และในสนามกีฬาแหงนี้เองที่เปนสถานที่ใชตรึงกางเขน นักบุญเปโตร เลากันวา มีมรณสักขี ที่สนามกีฬาแหงนี้หลายรอยคน แตไมทราบ จํานวนที่แนนอน นอกจากนี้ ยังเปนสถานที่ใชฝงศพของนักบุญเปโตร ซึ่งอยูใกล ๆ กับบริเวณที่ถูกตรึงกางเขนดวย 2. หลุมฝงศพของนักบุญเปโตร - สมัยเบียดเบียนโดยจักรพรรดิวาเลรีอาโน (Valeriano) ป ค.ศ. 258 พวกคริสตังได ยายศพของนักบุญเปโตรมาอยูที่กาตาคอมบเซบาสเตียน และอีก 60 ปตอมา พระสันตะปาปาซิลเวสโตร ที่ 1 (Silvestro I) ไดยายศพมาอยูที่วาติกันอยางเดิมมี เรื่องเลาวา ความศรัทธาตอนักบุญเปโตรมีมากในสมัยนั้น จนถึงกับมีการแยงชิง พระธาตุกันจากพระศาสนจักรตะวันออก รวมทั้งประเทศตาง ๆ ในยุโรปสมัยนั้น เชน ฝรั่งเศส อังกฤษ - อยางไรก็ดี ความเชือ่ ที่วาศพของนักบุญเปโตรถูกฝงที่นั่น ยังคงมีอยูตลอดเวลา แต การคนหาหลุมศพของทานนักบุญอยางจริงจัง เริ่มมีขึ้นในป ค.ศ. 1939, 1950 และ ในป ค.ศ. 1953 ก็คนพบหลุมศพนี้ ในป ค.ศ. 1962 ไดมีการนําเอากระดูกออกมา เพื่อพิสูจน และมีการถกเถียงกันตาง ๆ นานา ในที่สุด พระสันตะปาปา เปาโล ที่ 6 ไดใหการรับรองอยางไมเปนทางการวา พระธาตุเหลานี้คือพระธาตุของนักบุญเปโตร ปจจุบัน ก็ยังคงมีการทํางานนี้ ศึกษา คนควากันอยูตอไป 3. มหาวิหารแรกเริ่ม สรางโดยจักรพรรดิคอนสแตนติน ตามความปรารถนาของพระมารดา คือ พระนางเฮเลนา และของพระสันตะปาปา ซิลเวสโตร ที่ 1 ในป ค.ศ. 326 และสราง เสร็จในป ค.ศ. 349 (23 ป) โดยสรางคลุมหลุมฝงศพของนักบุญเปโตร ดังนั้น จึง ตองรื้อสนามกีฬาของจักรพรรดิ เนโรออกไป ดานหนาของมหาวิหารสรางเปนวังที่ ประทับของพระสันตะปาปา
24
ป ค.ศ. 848 ไดเกิดเพลิงไหมที่วงั ของพระสันตะปาปานี้ แตมหาวิหารรอดพน จากเพลิงไหมครั้งนี้ ชาวโรมันเชื่อกันวา นี่เปนเพราะพระสันตะปาปา เลโอเน ที่ 4 ได หยุดเพลิงไหมครั้งนี้ดวยการทําเครื่องหมายกางเขน 4. การสรางมหาวิหารในปจจุบัน ป ค.ศ. 1451 พระสันตะปาปา Niccolus V (ค.ศ. 1447-1455) ไดมอบหมาย ให Leon Battista Alberti สํารวจสภาพของมหาวิหาร พบวา สภาพของตัวอาคาร ทรุดโทรมมาก จนไมสามารถที่จะซอมแซมได สิ่งเดียวที่สามารถทําไดคือ การสราง มหาวิหารหลังใหม มิฉะนั้น มหาวิหารเกานี้อาจจะลมพังลงมาได พระสันตะปาปาจึง มอบให Bernardo Rossellino เปนผูออกแบบกอสราง พระองคตองการใหสราง มหาวิหารหลังใหมโดยใชโครงสรางเดิม อยางไรก็ดี พระองคไดสิ้นพระชนมกอน เรื่อง นี้จึงหยุดพักไป พระสันตะปาปา จูลีอุส ที่ 2 (ค.ศ. 1503-1513) เปนพระสันตะปาปาที่รักงาน กอสรางและงานศิลปะ พระองคไดรวบรวมนักศิลปะชื่อดังหลายทาน มารวมทํางาน กับพระองค เช น ไมเคิลแองเจลโล ราฟาแอลโล และบรามันเต ไดมอบหมายให บรามันเต วางแผนสรางมหาวิหารนักบุญเปโตรหลังใหม มีพิธีวางศิลาฤกษวันที่ 18 เมษายน ค.ศ. 1506 และเตรียมหาเงินสําหรับการกอสรางดวยการขายพระคุณการุณย ซึ่งตอมาเปนที่วิพากษวิจารณอยางหนักโดยพวกโปรเตสแตนทลูเธอรัน การออกแบบมหาวิหารหลังใหมนี้ กําหนดใหเปน 4 สวน คลายกับรูปทรงของ ไมกางเขน หมายถึง 4 มุมของโลก และโดม (Cupola) ที่อยูตรงกลางนั้น หมายถึง สวรรค บรามันเตเปนผูออกแบบ Cupolo หรือโดมยักษที่เราเห็นในปจจุบัน ผูรับงาน ตอมาไดแก Antonio da Sangallo ป ค.ศ. 1546 ไมเคิล แองเจลโล ไดรับมอบหมาย และรับงานอยางไมเต็มใจจากพระสันตะปาปา เปาโล ที่ 3 (ค.ศ. 1534-1549) เขา ทํางานชิ้นนี้โดยไมรับเงินและรางวัลตอบแทน แตทําเพราะความนบนอบตอพระ สันตะปาปา และ "เพื่อพระสิริมงคลของพระเจา เพื่อเปนเกียรติแดนักบุญเปโตร และ เพื่อความรอดของวิญญาณ" หลังจากไมเคิล แองเจลโล แลว งานนี้ถูกมอบตอมาโดย Giacomo della Porta ในสมัยพระสันตะปาปา ซีสตุส ที่ 5 (ค.ศ. 1585-1590) งานสรางโดมมหา วิหารนี้สําเร็จเรียบรอย ในวันที่ 24 พฤษภาคม ค.ศ. 1590 (ใชเวลาในการกอสรางถึง 84 ป) การเคลื่อนยายเสาหิน (Obelisco) จากดานซายของมหาวิหาร มาไวที่กลาง จตุรัส ทําโดย Domenico Fontana ในป ค.ศ.1585 ตามดําริของพระสันตะปาปา ซิสโต ที่ 5 ใชคนถึง 800 คน และมา 140 ตัว โดยใชกลองตีเปนจังหวะเพื่อใหสัญญาณ ใน ระหวางที่ทําการเคลื่อนยายเสาหินนี้ ผูทําการเคลื่อนยายตองมีสมาธิ ตองไมถูกรบกวน โดยเสียงจากภายนอกเลย พระสันตะปาปาออกคําสั่งและคาดโทษถึงตาย หากผูหนึ่ง ผูใดเขามารบกวนการเคลื่อนยายนี้ หรือกอใหเกิดเสียงรบกวนก็ตาม
25
งานกอสรางตัวมหาวิหารก็เริ่มตอไป ที่สุดในป ค.ศ. 1614 Carlo Maderno ก็ทําการสรางดานหนา (Facciata) ของมหาวิหารเสร็จ Gian Lorenzo Bernini ได สรางแขนของมหาวิหารดวยเสาหิน ระหวางป ค.ศ. 1656-1667 แบรนินี เปนผู สราง แนวเสาหิ น ที่ เ ราเรี ย กกั น ว า “อ อ มแขนของพระศาสนจั ก ร” ในระหว า งป 1656 ถึง 1667 ทําใหมหาวิหารเปนดังมารดาของพระศาสนจักร และอาแขนตอนรับทุกคน เขามาในพระศาสนจักรนี้ ไมวาจะเปนบรรดาคริสตชน พวกเฮเรติ๊ก (ผูยึดถือความ เชื่อคาทอลิกแบบไมถูกตอง) หรือผูที่ไมมีความเชื่อเลย หรือมีความเชื่อตางศาสนา เปนแนว คิดที่แบรนินี เปนผูแสดงออกมาใหทราบดวยตนอง อันที่จริง แบรนินีมี โครงการที่จะทําแนวเสาหิน แนวที่ 3 คือ เพื่อเปนแนวปด Piazza หรือลานหนา มหาวิหารดวย แตแบรนินีก็เสียชีวิตกอนที่จะเริ่มตน และโครงการนี้เปนโครงการ เดียว ซึ่งยังไมมีใครทําใหสําเร็จเลย บริเวณกลางลานมหาวิหาร มีจุดใหชมแนวเสาหินของทั้ง 2 ดาน แนวเสาหิน ทั้ง 2 ดานนี้ ประกอบไปดวย แนวเสาหิน 4 ตน แตจากจุดชมแนวเสาหินนี้ จะเห็น เสาหินเพียงตนเดียวเทานั้น นับวา ทั้งการออกแบบและการกอสรางจะตองเปนไปดวย ความถูกตอง แมนยํา และนาอัศจรรยใจอยางยิ่ง ความสมบูรณของโครงสรางมหา วิหารนี้มาเสร็จเอาจริง ๆ ในป ค.ศ. 1784 โดย Carlo Marchionni เมื่อเขาสรางหอง ซาคริสเตีย (Sagrestia) เสร็จลง (รวมเวลา 278 ป) งานทั้งหมดนี้สิ้นคาใชจายในการกอสราง 46,800,488 scudi (มาตราเงินสมัย โบราณ) แตพระศาสนจักรไดจายสําหรับงานนี้คือการแยกตัวออกไปของโปรเตสตันท ลูเธอรัน นับวา เปนการสูญเสียความเปนสากล (Universality) Bernini สรางและ ออกแบบวงแขนโดยใชเสาหิน เพื่อเปนเครื่องหมายถึงการเปดแขนรับมนุษยชาติเขา มาสูความรอด โดมนั้นเปรียบเหมือนกับศีรษะ (แตดูเหมือนวาโครงสรางนี้กอใหเกิด ผลตรงขามแลว) เรื่องการแยกตัวของพวกโปรเตสตันทนี้เปนเรื่องยาวและซับซอน มาก ผูที่สนใจจะตองศึกษาเพิ่มเติม มหาวิหารไดรับการเสกโดยพระสันตะปาปา อูรบัน ที่ 8 ในวันที่ 18 พฤศจิกายน ค.ศ. 1626 นับตั้งแตการวางศิลาฤกษ เมื่อป 1506 จนถึงไดรับการเสกในป 1626 รวมเวลาการกอสรางทั้งสิ้น 120 ป เฉพาะการสรางโดม (Cupola) ใชเวลาทั้งสิ้น 84 ป หากนับตั้งแตการวางศิลาฤกษจนถึงการสรางออมแขนเสาหินเสร็จ ใชเวลาทั้งสิ้น 161 ป และหากนับการสรางทั้งสิ้นจบสิ้นลงโดยสมบูรณในป 1784 แลว มหาวิหารนี้ ใชเวลาสรางทั้งสิ้น 278 ป มหาวิหารนี้บรรจุคนได 20,000 คน มีความยาว 190 เมตร กวาง 58 เมตร ความสูงจนถึงกางเขนยอดโดม รวม 136 เมตร
26
5. สถานที่สําคัญๆ ในมหาวิหาร - ศิลปะที่อยูเหนือแทนพระจิตนั้นมีชื่อวา Gloria ผลงานของ Bernini เปนแทนที่อยู ดานลึกสุดของมหาวิหาร เปนที่ตั้งบัลลังกของนักบุญเปโตรที่เรียกวา Cattedra di S. Pietro แตผลการศึกษาในป ค.ศ. 1969 บัลลังกนี้เปนบัลลังกที่จักรพรรดิ Carlo il Calvo มอบใหแกพระสันตะปาปา ยอหน ที่ 8 ในโอกาสที่พระสันตะ ปาปาทรง อภิเษกพระองคเปนจักรพรรดิในป ค.ศ. 875 ปะรําที่อยูเหนือพระแทนกลาง และ Confessio สรางโดย Bernini ทําดวยทองบรอนซทั้งหมด - Confessio เปนสถานที่แสดงเหตุการณพิเศษ หรือบุคคล หรือวัตถุ ที่มีความ หมายพิเศษ อันเปนสัญลักษณของมหาวิหารเอง ในที่นี้ หมายถึงเปนที่ฝงศพของ นักบุญเปโตร พระสันตะปาปาองคแรกของพระศาสนจักรคาทอลิก ในการสร าง ปะรําที่อยูเหนือพระแทนกลางนี้ ตองใชทองบรอนซจํานวนมาก พระสันตะปาปา จึงไดสั่งใหวัดตางๆ ในกรุงโรม ยอมสละทองบรอนซในวัดของตน เพื่อนํามาใชใน การสรางครั้งนี้ เรื่องนี้ไดรับ การวิพากษวิจารณ อยางกวางขวางในสมัยนั้นดวย หากเราไปเยี่ยมโบสถตาง ๆ ในกรุงโรม บางแหงจะลงประวัติเกี่ยวกับเรื่องนี้เอาไว ดวยวา ในรูปนักบุญบางรูป แทนบางแทน เคยมีทองบรอนซ แตถูกนําไปสรางแทน ทองบรอนซในมหาวิหารนักบุญเปโตร - ผลงานของ ไมเคิล แองเจลโล (ค.ศ. 1475-1564) มีดังตอไปนี้ : 1. Pietà เปนรูปที่แกะสลักจากหินออนทั้งแทง ใชเวลาในการทําถึง 7 ป ใบหนา ของแมพระ เปนใบหนาของหญิงสาวชาวตะวันออก เปนใบหนาที่ออนวัยกวา ใบหนาของพระเยซูเจา เพื่อแสดงวา แมพระไดรับรูชะตากรรมของพระนาง ลวง หนา และรําพึงอยูนานแลว เปนรูปแกะสลักที่มีชื่อเสียง มีความกลมกลืน และใหความรูสึกที่ดีมาก เปนรูปพระแมมารีอารับพระศพของพระเยซูเจาลงจากกางเขน ความ ทุกขของแมคนหนึ่งที่มีลูกชายของตนนอนตายอยูที่ตักของตน เปนสวนหนึ่ง ของความรู สึกที่บรรดาคริสตชนมีตอพระแมมารีอา จนเรียกพระนางวา “แม พระมหาทุกข” (Mother of Sorows) รูปแมพระมหาทุกขนี้ของไมเคิ้ล แอน เจโล เปนรูปแมพระมหาทุกขที่มีชื่อเสียงที่สุด ไมเคิ้ล แอนเจโล สลักรูปนี้เสร็จ เมื่อมีอายุเพียง 24 ปเทานั้น ในป ค.ศ. 1499 และเปนผลงานเพียงชิ้นเดียว ของทานที่ไดสลักชื่อของทานไวดวย โดยมีเหตุผลอยู 2 ประการ ไดแก : 1) เพราะทานพอใจในผลงานชิ้นนี้มาก
27
2) เพราะมี ศิ ล ป นบางคนในยุ ค ของท านไปแอบอ างว าเป น ผู สลั ก และ ประชาชนไมเชื่อวา ศิลปนหนุมอายุ 24 ปจะสามารถแกะสลักรูปจาก หินแทงเดียวไดสวยงามถึงขนาดนี้ ชื่อของทานถูกสลักไวที่แถบผาที่พาดอยูบริเวณอกของแมพระ โดยสลักเปน ภาษาลาตินไววา “ไมเกิ้ล บัวนารอตติ ชาวฟลอเรนซ เปนผูทํา ” ตอมา ทานก็ รูสึกเสียใจที่ไดสลักชื่อไว เอกลักษณประการหนึ่งของรูปนี้ ก็คือ ใบหนาของแมพระและพระเยซูเจา จะเปนวัยใกลเคียงกัน หรือวัยเดียวกัน เรื่องนี้ ไมเคิล แองเจลโล อธิบายไววา เพื่อใหความหมายวา พระเยซูเจาเปนกษัตริ ย และพระนางมารีอาเปนราชินี แหงสากลจักรวาล อีกทั้งความสาวของพระนางมารีอายังเปนเครื่องหมายแหง ความบริสุทธิข์ องพระนางอีกดวย ในป ค.ศ. 1972 ชายคนหนึ่งชื่อ Laszlo Toth ไดใชฆอนอันหนึ่ง เขาไปทุบ บริเวณนิ้วมือของพระนางมารีอาจนเสียหาย ตอมา ชายคนนี้ไดถูกจั บ แตก็ พบวาเปนคนเสียสติคนหนึ่งเทานั้น อยางไรก็ตาม มหาวิหารนักบุญเปโตรจึงได สรางหองกระจก และไมยอมใหใครเขาไปถึงรูปสลักนี้อีกเลย นอกจากแขก พิเศษของมหาวิหารเทานั้น 2. แทนที่มุมมหาวิหาร คือ 4 ดานของแทนกลาง 3. โดมทั้งหมด 4. ชองทางเดินดานขางทั้ง 2 ดาน - สถานที่ฝงพระศพของพระสันตะปาปา มีพระศพของพระสันตะปาปาในสถานที่แหง นี้ประมาณ 130 องค ที่ฝงพระศพของพระสันตะปาปาที่มีชื่อเสียง และมีผูนิยมมา เยี่ยมชมและสวดภาวนามากที่สุดในเวลานี้ ไดแก หลุมศพของพระสันตะปาปา ยอหน ที่ 23 และหลุมศพของพระสันตะปาปา ยอหน ปอล ที่ 2 เพราะทั้ง 2 พระองคนี้ บรรดาคริสตชนใหความเคารพยกยองอยางสูง และวันขางหนา อาจจะไดเปนนักบุญ ดวย - รูปนักบุญเปโตรนั่งบัลลังก (ธรรมาสนนักบุญเปโตร) ทําดวยทองบรอนซทั้งหมด เปนผลงานในศตวรรษที่ 5 แตนักศึกษาคนหนึ่งชื่อ Wickhoff ไดยืนยันวาเปน ผลงาน ในศตวรรษที่ 13 ความจริงหากพิจารณาเปรียบเทียบกับศิลปะในสมัย จักรวรรดิโรมัน งานชิ้นนี้ตองเปนผลงานในสมัยศตวรรษที่ 5 เปนรูปที่ถูกเก็บรักษาไว เพื่อเปนสัญลักษณอันหมายถึงอํานาจที่พระเยซูเจาทรงมอบใหแกพระสันตะปาปา การยอมรับอํานาจนี้ถูกแสดงออกโดยการจูบเทาของทานนักบุญเปโตรนี้ รูปนี้ถูก รักษาไวจนถึงปจจุบัน และยังมีอีกหลายมหาวิหารที่ไดสรางเลียนแบบรูปนี้ ไปตั้ง แสดงความจงรักภักดีตอพระสันตะปาปาดวย 28
นอกจากนี้ ในมหาวิหารยังมีผลงานของนักศิลปะตาง ๆ มากมาย เฉพาะผูที่ สนใจศิลปะเทานั้นจะคนพบถึงความสามารถและความละเอียดออนของศิลปะเหลานั้น สิ่งที่นาชมเปนบุญตา และความชื่นใจของนักทองเที่ยวไทย ถาหากมีโอกาส และมีกําลัง ก็คือ แผนศิลาจารึกการเสด็จเยี่ยมมหาวิหารของพระบาทสมเด็จพระ จุลจอมเกลาเจาอยูหัว ในป ค.ศ. 1897 ซึ่งติดตั้งไวบนกําแพงของทางบันไดขึ้นไปยัง โดมขางบน (Cupola) เขียนเปนภาษาอิตาเลียน ลองสังเกตดู คําวา Siam ก็ได แต การขึ้นบันไดจนถึงยอดโดม เพื่อดูทิวทัศน กรุงโรมนั้นก็เหนื่อยเอาการอยูนะครับ ปจจุบัน การเขาชมมหาวิหารจะตองผานการตรวจจากเจาหนาที่รักษาความ ปลอดภัยและเจาหนาที่ตํารวจ การเยี่ยมชมก็แบงชองการเดินไวอยางชัดเจน คือ ชอง ทางสําหรับเยี่ยมชมมหาวิหาร ชองทางเดินสําหรับเยี่ยมชมสุสาน ซึ่งอยูใตดินของมหา วิหาร สุสานนี้เปนที่ฝงพระศพของพระสันตะปาปา ราชินี พระคารดินัลผูมีชื่อเสียง และชองทางเดินเพื่อไปขึ้นชมโดม เพราะฉะนั้น แมจะเป นเพียงมหาวิหารแหงเดียว แตรวมการเดินชมทั้งหมดแลว ก็คงตองเหนื่อยกันหนอย
3. มหาวิหารแมพระ (Santa Maria Maggiore)
มหาวิหารแหงนี้ตั้งอยูบนเนิน Esquiline กอสรางโดยพระสันตะปาปา ลิแบรีโอ (Liberio) ในป ค.ศ. 352 พระสันตะปาปาองคนี้มีชีวิตอยูระหวางป ค.ศ. 352-366 ใน ฐานะที่พระสันตะปาปาเปนผูสราง มหาวิหารแหงนี้จึงถูกเรียกอีกชื่อหนึ่งวา Basilica Liberiana ในป ค.ศ. 366 หลังจากที่พระสันตะปาปา ลิแบรีโอ สิ้นพระชนม ปรากฏวามี การเลือกตั้งพระสันตะปาปาขึ้นมา 2 องค คือ พระสันตะปาปา ดามาซุส (Damasus) และพระสันตะปาปา อูรซีนุส (Antipope Ursinus) ความจริง ในสมัยของพระสันตะปาปา ลิแบริโอ ก็มีพระสันตะปาปา 2 องคเชนกัน คือมี พระสันตะปาปาเฟลิกซ (Antipope Felix II ค.ศ. 355-365) และเพราะเหตุนี้เอง เมื่อพระสันตะปาปาทั้งสองพระองคนี้ สิ้ น พระชนม ผู ที่ สนั บสนุ น แต ละฝ า ยต างก็ เ ลื อ กพระสั น ตะปาปาของตนขึ้ นมา ฝ า ย พระสันตะปาปา ลิแบรีโอ ไดเลือกอูรซีนุส (ค.ศ. 366-367) ฝายพระสันตะปาปา เฟริก ไดเลือกดามาซุส แตเนื่องจากอูรซีนุส ทําการอภิเษกตนเองเปนพระสังฆราชกอนกําหนด การอภิเษกนี้จึงเปนไมถูกตอง (illegal) ประชาชนตองการใหอูรซีนุสออกจากกรุงโรมไป และใหดามาซุสเปนพระสันตะปาปาแตเพียงผูเดียว พระสันตะปาปา อูรซีนุส ไดเขายึด ครองมหาวิหารแหงนี้ไว ฝายพระสันตะปาปา ดามาซุส ไดวางแผนโจมตีมหาวิหาร โดย ลงมาจากหลังคามหาวิหาร และไดเกิดการสังหารหมูในที่นี้ ฝายพระสันตะปาปา อูรซีนุส เสียชีวิตไป 137 คน จักรพรรดิวาเลนตีเนียน (ค.ศ. 364-375) อนุญาตใหพระสันตะปาปา อูรซีนุส กลับมาที่กรุงโรมได และพวกนี้จึงเขามาตั้งหลักที่มหาวิหาร โดยถือเปนที่ประทับ (Sede) ของพระสันตะปาปาองคนี้ในป ค.ศ. 367 แตในปเดียวกันนี้เอง พวกเขาก็ถูก เนรเทศอีก เพราะเปนตัวการยึดครองบัลลังกของพระสันตะปาปา ดามาซุส มหาวิหาร แหงนี้ บางครั้งถูกเรียกชื่อวา มหาวิหารอูรซีนีอานาดวย 29
โครงสรางของมหาวิหารปจจุบันนี้ มาจากการสรางขึ้นใหมของพระสันตะปาปา ซีกตุส ที่ 3 (ค.ศ. 432-440) และยกถวายใหแดแมพระ ในฐานะที่เปนมารดาของพระเจา หลังจากสังคายนาที่ Efeso ป ค.ศ. 431 ที่ยืนยันขอความเชื่อนี้ตอตานพวกเนสตอเรียนที่ สอนวาพระนางมารีอาเปนมารดาของพระเยซู ไมใชเปนมารดาของพระเจา และนับ ตั้งแตในปนั้นเปนตนมา มหาวิหารไดรับการซอมแซม ตกแตงใหสวยงามขึ้นมาหลายสมัย มุขที่ยื่นออกไปดานหลังพระแทนกลางนั้นไดรับการตกแตงโดยพระสันตะปาปา Niccolo IV (ค.ศ. 1288-1292) สวนดานหนาของมหาวิหารไดรับการซอมแซมตกแตงโดยพระสันตะ ปาปา เคลเมนต ที่ 10 (ค.ศ. 1670-1676) นับตั้งแตป ค.ศ. 1400 เปนตนมา มหาวิหารแหงนี้ไดรับสิทธิ์ใหเปนหนึ่งในสี่ของ มหาวิหารที่จําเปน เพื่อรับพระคุณการุณยในปศักดิ์สิทธิ์ ตามประเพณีนิยมในสมัยกลาง (ศตวรรษที่ 8 ถึงศตวรรษที่ 14) ไดมีตํานานเลา วา แมพระตองการใหสรางวัดถวายแดพระนางบนเนินแหงนี้ โดยใหเครื่องหมายคือ รอยเทาของพระนางบนหิมะที่ตกมาในฤดูรอนบนเนินแหงนี้ ตํานานเรื่องนี้ทําใหเกิดมีวัน ฉลอง The Feast of Our Lady of Snows (แมพระแหงภูเขาหิมะ) ทุกวันที่ 5 สิงหาคม ของทุกป และยังถือเปนวันฉลองมหาวิหารแหงนี้สืบตอมาจนถึงปจจุบัน มหาวิหารแหงนี้ แมวาจะเปนมหาวิหารที่เล็กกวามหาวิหารอีก 3 แหงก็ตาม แตก็ เปนวัดที่ยกถวายแดแมพระที่ใหญที่สุดในกรุงโรม ในกรุงโรมมีวัดที่ถวายแดแมพระอยู ทั้งหมด 80 วัดดวยกัน สมบัติที่ล้ําคาของมหาวิหารแหงนี้ มีอยู 2 ชิ้นคือ : 1. สวนหนึ่งของรางหญาที่พระกุมารประทับ ภายหลังที่ถือกําเนิดมาในโลกนี้ 2. รูปวาดแมพระ ที่เชื่อกันวาเปนของนักบุญลูกา รางหญาพระกุมาร รางหญาพระกุมารนี้ถูกนํามาจากเบธเลเฮมในป ค.ศ. 642 ในสมัยพระสันตะปาปา เทโอโดโร ที่ 1 (Teodoro I) มหาวิหารนี้จึงถูกเรียกวา Ad praesepe และรางหญานี้ ไดรับการประดับประดาอยางสวยงาม นับตั้งแตปนั้นเปนตนมา ก็เกิดมีธรรมเนียมที่กําหนด วา พระสันตะปาปาจะมาถวายมิสซาเที่ยงคืนในโอกาสพระคริสตสมภพที่มหาวิหารนี้ แตในปจจุบันธรรมเนียมนี้ไดถูกยกเลิกไป ตามธรรมเนียมนี้ มิสซาพระคริสตสมภพมี 3 มิสซาคือ : 1. มิสซาเที่ยงคืน จะทําที่มหาวิหารแมพระ 2. มิสซารุงอรุณ จะทําที่มหาวิหารนักบุญอานาสตาซีโอ (Basilica di S. Anastasio) 3. มิสซาเชา จะทําที่มหาวิหารนักบุญเปโตร หรือมหาวิหารแมพระ ปจจุบัน มิสซาทั้งหมดไดทําที่มหาวิหารนักบุญเปโตร รูปวาดแมพระ เชื่อกันวาวาดโดยนักบุญลูกาผูเปนทั้งแพทยและนักวาดภาพ พระสันตะปาปา ซีสโต ที่ 3ไดนํารูปนี้มาทําพิธีแหที่กรุงเยรูซาแลมในโอกาสพิเศษตางๆ ในป ค.ศ. 590 พระสันตะปาปาเกรโกรี (Pope Gregory, the Great) ไดทรงจัดใหมีการแหรูปนี้จาก 30
มหาวิหารแมพระมาที่มหาวิหารนักบุญ เปโตร เพื่อปองกันโรคระบาด (กาฬโรค) ที่กําลัง คุกคามกรุงโรมอยูในเวลานั้น รูปนี้เปนศิลปะไบแซนทีน และศิลปะนี้มีอยูจนถึงศตวรรษที่ 12 ซึ่งเชื่อกันวานักบุญลูกาเปนผูวาด และเปนรูปเดียวกับที่พระสันตะปาปาเกรโกรี ทรงใช ตอมา วันที่ 8 กันยายน ค.ศ. 1835 พระสันตะปาปาเกรโกรี ที่ 16 ไดทรงใชรูปนี้ อีกครั้งหนึ่งในการแหจากมหาวิหารแมพระมาจนถึงมหาวิหารนักบุญเปโตร เพื่อปองกัน อหิวาตตกโรคที่กําลังระบาดอยูในเวลานั้น
Basilica di Santa Prassede
เราคนไทยคงไม เ คยได ยิ น ชื่ อ นั ก บุ ญ องค นี้ แ น ๆ อย า ว า แต ค นไทยเลยครั บ ฝรั่งหลายคนก็ ไมรูจักเหมือนกัน ตามที่บอกแลวในพระศาสนจักรเรามีมหาวิหารหรือ Basilica ทั้งแบบเมเจอร ไมเนอร มากมาย ดังนั้นถาหากเราเดินชมเมืองตางๆในยุโรป แลวเห็นเขียนวา Basilica หนาวัดไหนก็ตาม เขาไปชมเถอะครับจะมีบางสิ่งบางอยางที่ พิเศษเสมอในวัดหลังนั้น ออกจากประตูหนามหาวิหารแมพระแลวขามถนนดานขวา แลว ก็เลี้ยวขวาตรงซอยแรกที่เจอทางขวามือ เราจะพบกับมหาวิหารนักบุญ ปราซเซเดครับ ประตูท างเข า อาจจะแปลกตาสั กหน อ ยแต ก็ เป น ประตูค รั บ เข าได ทั น ที ที่อ ยู ภายใน เราจะรับรูถึงความเกาแกของวัดจากบรรยากาศและศิลปะที่อยูในวัด มารูจักกับนักบุญ ปราซเซเดกันเล็กนอย นักบุญองคนี้เปนพี่นองกับนักบุญ Pudentiana ทั้งสองคนเปนลูก สาวของนักบุญ Pudens นักบุญเปาโลเคยมาพักที่บานของทาน และครอบครัวนี้ก็เปน คริ สตชนที่กลับ ใจโดยเปาโลเปน กลุม แรกๆ เลยดว ย ปราซเซเด ปละปูเ ดน ซี อานา ถูกประหารชีวิตตามกฎหมายโรมันเพราะลักลอบทําพิธีฝงศพใหแกมรณสักขีในสมัยนั้ น ดังนั้นสัญลักษณของปราซเซเดก็คือรูปหญิงสาวที่กําลังรวบรวมเลือดของบรรดามรณ สักขี วั ด น อ ยหลั ง แรก สร า งเหนื อ ที่ ฝ ง ศพของปราซเซเดในราวป 112 และก็ มี การสรางและบูรณะขึ้นใหมเปนระยะ หลังปจจุบันนี้สรางโดยพระสันตะปาปา ปาสกัลป ที่ 1 ในป 822 ตอนนั้นปาสกัลและจักรพรรดิ ชารลเลอมาญ ตองการนําพาพระศาสน จักรไปสูรากฐานเดิมของเทววิทยาและศิลปะจึงสรางวัดนี้ ขึ้นใหม ปาสกัลปนําพระธาตุ กระดูกและขี้เถาของมรณสักขีที่อยูในคาตาคอมบประมาณสามหมื่นคนมาไวที่วัดนอยใต ดินที่ นี่ และอีกจํา นวนมากมายแจกจา ยไปอยู วัด ตา งๆในกรุง โรม ประมาณ 100 วั ด หากเราไปเยี่ยมคาตาคอมบที่นั่ น ไมมีพระธาตุของนักบุญเหลื อแลว แต คนที่ไปและ พยายามเอาดินหรือฝุนดินกลับบานมาดวยเลาวาไดพบกับอะไรๆที่ไมอยากพบ จนตอง ขอโทษและนํากลับมาคืน สิ่งที่นาสนใจมากอีกอยางหนึ่งก็คือ ศิลปะ โมซาอิคหรือโมเสด ที่นี่ นับวาเปน โมเสดที่เกาแกควรแกการศึกษาอยางยิ่ง เหนือพระแทนกลางะจมีรูปพระเยซูจาเปน ศูนยกลาง แลวก็รูปของนักบุญเปโตรและเปาโล เปาโลกําลังถวายนักบุญปราซเซเดและ 31
ปูเดนซีอานาแดพระเยซู สวนไกลๆทางซายมือเปนรูปของพระสันตะปาปา ปาสกัลป กําลังถวายวัดนี้แดพระเยซูเจา ที่ศีรษะมีรัศมีสี่เหลี่ยมแทนที่จะเปนวงกลม เพื่อบอกวา พระองคยังมีชีวิตอยูตอนที่กําลังทําโมเสดนี้ มีเขียนอธิบายไวดวยวา หวังวาของถวายนี้ จะเพียงพอที่จะใหพระองคมีที่ในสวรรค ที่ ค วรดู อี ก อย า งหนึ่ ง ที่ นี่ ก็ คื อ วั ด น อ ยนั ก บุ ญ เซโน(Zeno) ปาสกั ล สร า งขึ้ น เพื่ อ เป น ที่ ฝ ง ศพของมารดาชื่ อ ธี โ อโดรา ประดั บ ประดาด ว ยโมเสด ถ า จะดู ใ ห ชั ด ตองจายเงินกอนครับ หยอดเหรียญแลวไฟจะติด สวยงามมาก นอกจากโมเสดแลวอีก มุมหนึ่งของวัดนอยนี้ แสดงเสาหินที่พระเยซูเจาถูกมัดและถูกเฆี่ยนบนจวนปลาตกอนที่ จะถูกนําตัวไปตรึงกางเขน เราจะเห็นทาทางที่พระองคถูกมัดและถูกเฆี่ยน อยาลืมสวด ดวยนะครับเวลาชม หินสวนหนึ่งจากเสาหินนี้ก็ถูกนําไปไวที่วัด กางเขนศักดิ์สิทธิ์แหง เยรูซาแลม ในกรุงโรมดวย(Basilica Santa Croce di Gerusalemme) ซึ่งเราก็จะไปเยี่ยมชม เหมือนกัน เสาหินนั้น นักบุญเฮเลนา มารดาของจักรพรรดิ คอนสแตนตินเปนผูคนพบ ตอนอายุ 80 ป พ ระนางไปแผ น ดิ น ศั ก ดิ์ สิ ท ธิ์ เพื่ อ รวบรวมพระธาตุ ต า งๆที่ เ กี่ ย วกั บ พระเยซูเจาและสรางวัดตางๆที่นั่น พระนางพบหลายสิ่งหลายอยาง เชน ไมกางเขน ตะปู มงกุฎิหนามของพระเยซูเจา เปนตน ในระหวางสงครามครูเสด เสาหินนี้ถูกนํามา จากเมืองคอนสแตนตินโนเปลในป 1223 มีผูพยายามพิสูจนวาเปนของแทหรือไม แตที่สุด แลวก็ไมมีหนทางทางวิทยาศาสตรหรือทางนิติเวชศาสตรใดๆสามารถทําได ทั้งหมดจึง ขึ้นอยูกับประเพณีปฏิบัติที่สืบตอกันมาหรือความเชื่อนั่นเอง
วัดพระมารดานิจจานุเคราะห
วัดนี้อยูไมหางจากวัดนักบุญปราซเซเดเลย ออกมาถึงถนนใหญแลวเลี้ยวขวาเดิน ไปไมกี่กาว ก็ขามถนนก็ถึงวัดพระมารดานิจจานุเคราะหแลวละครับ รูปพระมารดานิจจา นุเคราะหตนฉบับอยูที่นี่ครับ ตั้งแตพระสันตะปาปามอบใหคณะสงฆมหาไถรับผิดชอบ เผยแพรความศรัทธาตอพระรูปนี้ มีมีใครรูวาใครวาด แตรูปนี้มีอัศจรรยมากมายเกิดขึ้น กรอบรูปของแมพระไดนําไปเปนพระธาตุและนําไปใหคริสตชนไดภาวนา รวมถึงประเทศ ไทยของเราด วย เราก็ จ ะไปสวดภาวนาที่นี่ กัน เล็กนอ ย ที่ นี่ ยัง มีข องที่ ร ะลึ กเกี่ ยวกั บ พระมารดานิจจานุเคราะหจําหนาย นาสนใจมากครับ
มารีย มารดานิจจานุเคราะห
พระเยซู เ จ า ได ท รงประทานแม พ ระให เ ป น แม ข องพวกเราทุ ก คนคอยดู แ ล ชวยเหลือพวกเราอยูตลอดเวลา แมพระเปยมไปดวยความรัก ความเมตตา แมพระ สุภาพและออนโยนอยางหาที่สุดมิได แมวาเวลาจะผานไปปแลวปเลา แมพระยังคอย
32
ชวยเหลือพวกเราและเชื้อเชิญเราใหมาสัมผัสความรักความเมตตาอันมิรูสิ้นสุดของ พระเยซูคริสตเจาอยูตลอดเวลา รูปแมพระนิจานุเคราะห เปนรูปไอคอนวาดบนแผนไม ขนาด 17 x 21 นิ้ว เปน รู ป ที่ มี ความศั ก ดิ์ สิ ท ธิ์ แ ละผู ค นให ค วามศรั ท ธาต อ พระรู ป นี้ เ ป น อั น มาก มี บั น ทึ กว า รูปไอคอนรูปนี้เดิมทีเดียวถูกประดิษฐานอยู ณ วัดแหงหนึ่งที่เกาะครีต (Crete) เปนรูปที่ มีชื่อเสียงและเกิดอัศจรรยมากมายผานทางพระรูปนี้ ไมมีหลักฐานบงชี้แนนอนวาใคร เปนผูวาดภาพนี้และมาอยูที่เกาะครีตไดอยางไร เรื่องราวที่เราพอจะรูไดก็คือ ในราวป ค.ศ.1450 พอคาชาวกรีกผูหนึ่งไดขโมยพระรูปนี้และนําติดตัวไปขณะเดินทางโดยเรือมุง หนาสูกรุงโรม หลังจากที่เขาถึงกรุงโรมแลว พอคาผูนี้เกิดปวยหนัก ขณะที่ใกลจะสิ้นใจ เขาไดสารภาพตอเพื่อนชาวโรมันถึงรูปแมพระที่เขาไดขโมยมา และขอรองใหนํารูปแม พระนี้ไปมอบใหกับวัดที่เหมาะสม เพื่อใหผูคนทั้งหลายไดแสดงความเคารพบูชาอยาง สงา เพื่อนผูนี้ตกลงยินยอมที่จะทําตามคําขอรองนั้น แตภรรยาของเขาไมยอม ตอมา เพื่อนชาวโรมันผูนี้ก็ลมปวยลงและสิ้นใจในที่สุด หลังจากนั้น แมพระไดปรากฏมาและบอกใหลูกสาวของเขานํารูปของพระแม ไป ประดิษฐานยังวัดนักบุญมัทธิว ซึ่งตั้งอยูระหวางมหาวิหารเซนตแมรี่ เมเจอร และมหา วิหารเซนตจอหน ลาเตรัน และแลวรูปแมพระนิจจานุเคราะหไดถูกนําไปประดิษฐานที่วัด นักบุญมัทธิว โดยมีนักบวชเอากุสติเนียนดูแลอยู ในวันที่ 27 มีนาคม ค.ศ. 1499 และอยู ที่นี่เกือบ 300 ป จนกระทั่งกองทัพนโปเลียนบุกกรุงโรม ในป ค.ศ. 1798 ราว 5 ป ตอมา วัดนักบุญมัทธิวไดถูกทําลายลง นักบวชเอากุสติเนียน ไดนําพระรูปนี้ไปซอนไวยังอาราม แหงหนึ่งของพวกเขา อยางไรก็ตาม บราเดอรทานหนึ่งมักจะเลาถึงเรื่องราวอัศจรรยตางๆ ที่ผูคน ได รั บ ผ า นทางรู ป ไอคอนนี้ ใ ห กั บ เด็ กช ว ยมิ ส ซาที่ ชื่ อ ไมเคิ ล มาร ชี่ ฟ ง อยู เ สมอ ต อ มา ภายหลังเขาไดบวชเปนพระสงฆในคณะพระมหาไถ เมื่อมารชี่พูดถึงเรื่องราวของพระรูป นี้ใหเพื่อนพระสงฆในคณะฟง พวกเขาพบวาวัดนักบุญอัลฟอนโซของพวกเขานั้นถูกสราง ขึ้นใกลกับบริเวณเดิมของวัดนักบุญ มัทธิว เมื่อไดศึกษาประวัติศาสตรและมีหลักฐาน ชัดเจนแลว คณะพระมหาไถจึงไดถวายคํารองตอพระสันตะปาปาปโอที่ 9 เพื่อนํารูปแม พระนิจจานุเคราะหมาประดิษฐานที่วัดนักบุญอัลฟอนโซ ใกลกับบริเวณเดิมที่พระรูปเคย ประดิษฐานอยู ตอมาในวันที่ 11 ธันวาคม ค.ศ.1865 พระสันตะปาปา ปโอที่ 9 ไดใหคุณ พอมารชี่และคณะผูใหญเขาเฝา พระองคไดรับฟงคําบรรยายถึงความเปนมาของพระรูป และคํารองขอของคณะพระมหาไถในเรื่องนี้ ในที่สุด พระสันตะปาปาปโอที่ 9 ไดอนุมัติ ให นํ ารู ป แม พ ระนิ จ จานุ เคราะห ไ ปประดิ ษ ฐานยัง วั ด นักบุ ญอั ล ฟอนโซ และรั บสั่ ง แก คณะพระมหาไถวา “จงทํารูปนี้ใหเปนที่รูจักทั่วโลก” รูปแมพระนิจจานุเคราะหไดถูกนํามา ประดิษฐานอยางสงาที่วัดนักบุญอัลฟอนโซ ในวันที่ 26 เมษายน ค.ศ.1866 และยังคง ประดิษฐานอยูที่นั่นจนถึงทุกวันนี้ 33
4. มหาวิหารนักบุญเปาโลนอกกําแพงกรุงโรม (St. Paul's outside the walls)
ตามหนังสือ Liber Pontificalis ป ค.ศ. 251-253 สตรีใจศรัทธาชาวโรมันผูหนึ่ง ชื่อลูซีนา (Lucina) ไดยายศพของนักบุญเปาโล (รวมทั้งของนักบุญเปโตรดวย) จาก กาตาคอมบ (Catacomba) และไดนําศพของนักบุญเปาโลมาตั้งไวในที่ดินของตน ที่ถนน Ostian Way (Via Ostiense) แตศพของเธอถูกฝงที่ Appian Way ใน Crypt of Lucina จักรพรรดิคอนสแตนตินไดสรางอาคารหลังแรกเหนือพระธาตุของนักบุญเปาโลใน ป ค.ศ. 324 และจักรพรรดิโฮโนรีอุส (Honorius) ไดสรางใหเปนมหาวิหารใหญโตสมบูรณ ในป ค.ศ. 395 ไดรับการประดับประดาดวย เงิน ทอง และเพชรพลอยมากมาย ใหเปน เกียรติแดทานนักบุญเปาโล พวกแขกซาราเซ็น (Saracen) พยายามบุกเขามาปลนมหาวิหารแหงนี้ในหลาย ศตวรรษ จนในที่สุด พระสันตะปาปา ยอหน ที่ 8 (ค.ศ. 872-882) ไดมีพระประสงคที่จะ สรางกําแพงลอมรอบมหาวิหารแหงนี้เพื่อเปนการปองกัน สาเหตุนี้ เอง มหาวิหารแหงนี้ จึงถูกเรียกวา St. Paul's outside the walls เพราะกําแพงที่สรางขึ้นไดทําใหมหาวิหาร แหงนี้อยูนอกกรุงวาติกันไป อันเนื่องมาจาก การบุกปลนและการทําลายของพวกแขก ซาราเซ็นหลายครั้ง ทําใหตองทําการซอมแซมหลายครั้ง ในการซอมแซมแตละครั้งไดมี การนําเอาศิลปะที่ล้ําคาตาง ๆ มากมายเขามาดวย เชน โคมระยาสําหรับเทียนปาสกา (ฐานตั้งเทียนปาสกา) ของศตวรรษที่ 12 ศิลปะโมซาอิค ผลงานของ Cavallini และ Ciborio ที่มีชื่อเสียงในป ค.ศ. 1285 ออกแบบโดย Arnolfo di Cambio มหาวิหารแหงนี้ นับตั้งแตปศักดิ์สิทธิ์ครั้งแรกในป ค.ศ. 1300 (สมัย พระสันตะปาปาบอนิฟาส ที่ 8) ไดรับเกียรติเทียบเทากับมหาวิหารนักบุญเปโตร พวกจาริกแสวงบุญที่ตองการรับพระคุณการุณย จะตองมาเยี่ยมมหาวิหารและสวด ภาวนา ทางเขาไปสูหองซาคริสเตีย มีหองเก็บพระธาตุที่มีชื่อเสียงมาก เชน พระคั มภีร โบราณ ที่เขียนดวยลายมือของนักบุญเยโรม (ค.ศ. 342-420) นอกจากนี้ ยังมีหองเก็บ พระธาตุของนักบุญ สเตฟาโน (St. Stefano) และนักบุญอันนา (St. Anna) ดวย ในหอง เก็บพระธาตุยังมีกางเขนเล็ก ๆ ที่มาจากกางเขนแทของพระเยซูเจา ฝุนกระดูกของบรรดา อัครสาวก โซเหล็กที่ใชลามนักบุญเปาโล(St. Paolo) สวนหนึ่งของไมเทาของนักบุญ เปาโล และพระธาตุของนักบุญองคอื่นๆ ดวย นอกจากนี้ มหาวิหารนี้ยังไดรับการซอมแซมอีกหลายครั้งในสมัยของพระสันตะปาปา ซีสโต ที่ 5 และพระสันตะปาปา เบเนดิกโต ที่ 13 พระสันตะปาปา ซีสโต ที่ 5 ทรงซอม แซมเพดานของมหาวิหารใหม สวนพระสันตะปาปา เบเนดิกโต ที่ 13 ทรงซอมแซมเสาหิน ทั้งสองดานภายในมหาวิหาร 34
วันที่ 15 กรกฎาคม ค.ศ. 1823 ไดเกิดเพลิงไหมนานถึง 5 ชั่วโมง เพลิงไดเผา ผลาญทําลายมหาวิหารเกือบหมด เหลือเพียงอาคารครึ่งหนึ่ง ประตูชัย และโมซาอิค เทานั้นที่เปนของเกาดั้งเดิมมาจนถึงทุกวันนี้ ซึ่งเราอาจเรียกไดวา มุขที่ยื่นออกไปหลัง แทนนั้น ที่ตั้งเทียนปาสกา Ciborio และ Chiostro (อาราม) ที่หลงเหลือจนทุกวันนี้ พระสันตะปาปา ลโอเน ที่ 12 ไดทรงสรางขึ้นใหม โดยไดรับเงินชวยเหลือจาก กษัตริยแหง Sadegna ผูปกครองประเทศ Paesi Bassi ฝรั่งเศส Sicily และ Zar แหง รัสเซีย การสรางนี้ไดใชโครงสรางที่ใกลเคียงกับโครงสรางเดิมมากที่สุด มหาวิหารนักบุญเปาโลไดรับการเสกอีกครั้งหนึ่งในวันที่ 10 ธันวาคม ค.ศ. 1854 นั่นคือสองวันหลังจากการประกาศขอความเชื่อ Immaculate Conception ในวันที่ 8 ธันวาคม ค.ศ. 1854 โดยพระสันตะปาปาปโอ ที่ 9 ปจจุบัน มหาวิหารแหงนี้ไดรับการดูแลโดยนักบวชคณะเบเนดิกติน มหาวิหารแหง นี้ มีความกวางใหญถึง 132×65 เมตร สองขางระหวางเสาหินภายในมหาวิหารนี้ มีรูปโม ซาอิคของพระสันตะปาปาตาง ๆ จนถึงองคปจจุบัน เลาขานกันสืบตอมาวา เมื่อใดก็ตาม เมื่อรูปโมซาอิคของพระสันตะปาปาตางๆ ในมหาวิหารนี้เต็มจนไมสามารถมีรูปโมซาอิค ไดอีก เมื่อนั้นจะเปนวันสิ้นโลก โดยที่เขาไปชมมหาวิหารนี้ ก็มักจะชอบไปนั่งดูวายังเหลือ อีกกี่ชอง และจะเหลืออีกกี่ป ผมไปนับมาครั้งสุดทายเมื่อเดือนมิถุนายน 2007 นับได 13 ชอง ก็ยังไมรูวาจะเหลืออีกกี่ป บนกําแพงใหญขางพระทานกลาง จะมีรูปวาดของศิลปนผูหนึ่ง เปนรูปโลงศพของ พระนางมารีอา โดยมีบรรดาอัครสาวกของพระเยซูเจาอยูขาง ๆ โลงศพนี้ เปนเครื่อง หมายวา พระนางมารีอาไดรับเกียรติยกขึ้นสวรรคทั้ งกายและวิญญาณ หากเราอยูดาน ริมสุดของรูป โลงศพก็หันมาทางเรา และหากเราเดินไปอีกดานหนึ่งของรูป โลงศพก็จะ หันตามเราไปเสมอ เพื่อเตือนใจเราวา “ไมวาเราจะเปนใคร ไมวาจะอยูที่ไหน เราลวน ตองตาย” หากไปเยี่ยมมหาวิหารนักบุญเปาโลก็อยาลืมไป ชมภาพนี้เปนขวัญตา พระสันตะปาปา เบเนดิ๊กต ที่ 16 ไดประกาศเพื่อเฉลิมฉลอง 2,000 ปของนักบุญ เปาโล จึงประกาศใหปนักบุญเปาโลเริ่มตนขึ้นตั้งแตวันที่ 29 มิถุนายน 2008 จนถึงวันที่ 28 มิถุนายน 2009 ดังนั้น ตลอดปนักบุญเปาโล จะมีกิจกรรมเฉลิมฉลองตลอดทั้งปที่มหา วิหารนักบุญเปาโล สําหรับสถานที่ที่ทานนักบุญเปาโลถูกตัดศีรษะนั้น อยูหางออกไปจากมหาวิหาร เรียก บริเวณนั้นวา “Tre Fontane” อันเปนชื่อที่มาจากการตัดศีรษะของทานนักบุญเปาโล ศีรษะของทานไดตกลงมาบนทางเนิน และกอใหเกิดน้ําพุขึ้น 3 แหง จึงเรียกสถานที่นี้วา “Tre Fontane” นอกจากนี้ ตรงขามกับสถานที่นี้ ยังเปนบริเวณสวนสาธารณะ ซึ่ง ปจจุบันมีวัดนอย ตั้งเปนพยานถึงการประจักษมาของพระแมมารีอา โดยประจักษใหแกชาย คนหนึ่ง ชื่อ บรูโน เปนที่รูจักกันในนามของแมพระแหง การเปดเผย (Mother of Revelation) วันที่ 12 เมษายนของทุกปเปนวันฉลองของแมพระแหงการเปดเผยนี้ มีผูที่เชื่อและเห็น ดวยวา ทุก ๆ ป ในวันนี้ จะมีปรากฏการณพระอาทิตยหมุนในระหวางมิสซาฉลองดวย ใครบังเอิญมาชวงวันนี้ ก็ลองมาดูดวยตาตนเองก็ได
35
5. มหาวิหารนักบุญยวง ลาเตรัน (Basilica St. John Lateran)
เมื่อพูดถึงมหาวิหารแหงนี้ จําเปนตองพูดถึง Palazzo ที่ถูกเรียกชื่อวา Domus Faustae ควบคูกันไป Fausta นามสกุล Laterani ลูกสาวของ Massenzio และเปนภรรยา คนที่สองของคอนสแตนติโน Fausta ไดมอบปราสาทนี้ใหเปนที่จัดสังคายนาเพื่อตัดสิน Donatism และนับตั้งแตป ค.ศ. 313 พระสันตะปาปาก็เริ่มมาพักที่นี่ โดยถือเปนที่อยู ถาวรของพระสันตะปาปาและคูเรียดวย จึงตองนับวาเปนที่ประทับของพระสันตะปาปา ถาวร และสืบมาจนหมดสมัยกลาง (Medioeval) แตจะใหถูก ก็คือ จนถึงป ค.ศ. 1309 เมื่อ พระสันตะปาปายายไปพํานักที่อาวียอง สวนสถานที่ปจจุบัน เปนบานเณรใหญและมหาวิทยาลัย Lateranense เปนสวน หนึ่งที่จักรพรรดิคอนสแตนตินไดยกถวายแดพระสันตะปาปา และจักรพรรดิองคนี้เองได เริ่มตนสรางมหาวิหารแหงนี้ขึ้นมาโดยตั้งชื่อวา S. Salvatore เพื่อใหยึดถือเปนเหมือน “หัวหนา และสุดยอด (vertice) ของวัดทั้งหลายในโลกจักรวาลนี้” อาจกลาวไดวาใหเปน วัดเอก (Primato) เหนือวัดทั้งหลายในกรุงโรม ใหถือเปนมารดาของพระศาสนจักร (Mater Ecclesiae) ของพระศาสนจักรโรมัน สําหรับพระศาสนจักรตะวันออกและ ตะวันตก มหาวิหารนี้ถูกทําลายลงเพราะแผนดินไหวในป ค.ศ. 896 พระสันตะปาปา Sergius III (ค.ศ. 904-911) ไดสรางขึ้นมาใหม และเปลี่ยนชื่อจาก S. Salvatore มามอบ ใหแกนักบุญยอหน บัปติสต (St. John Baptist) และนักบุญยอหนอัครสาวก (John the Apostle) เวลาเดียวกัน ก็ไดสรางตึกบริหารงาน อารามนักบวช โรงพยาบาล และที่พัก สําหรับพวกแสวงบุญ ขึ้นมาดวย ตั้งแตป ค.ศ. 1192 มีหลักฐานแนชัดวา ที่นี่เปนสถานที่ เลือกตั้ง พระสันตะปาปา และดังนี้เอง กลางศตวรรษที่ 12 จึงมีตัวอักษร ตัวใหญเขียนอยูเหนือทางเดิน 2 ขางในวัดวา “โดยผานทางคําสอน Dogma ของ พระสันตะปาปาและของจักรพรรดิ ถูกกําหนดวา ขาพเจาเปนมารดาและหัวหนาของวัด ทั้งหลาย” ป ค.ศ. 1308 มหาวิหารถูกไฟเผาเกือบหมด (ชวงสมัยที่พระสันตะปาปา เคลเมนต ที่ 5 ยายจากกรุงโรมไปประทับที่อาวียอง) หลังจากซอมแซมแบบขอไปทีได ไมนาน ก็ถูกไฟไหมอีก ในป ค.ศ. 1361 มหาวิหารถูกซอมแซม แตตัวพระราชวัง (Palazzo) ไมสามารถใชการไดอีก เพื่อเปนที่ประทับของพระสันตะปาปา เพราะชวงนี้กําลังมีขาววา พระสันตะปาปาจากอาวียองจะกลับมาที่กรุงโรม วาติกัน และมหาวิหารนักบุญเปโตร ในฐานะที่มีเกียรติของนักบุญเปโตร จึงไดรับเกียรติเปนที่ประทับของพระสันตะปาปา จึงมีการถกเถียงกันวาที่ใดสําคัญกวากัน ระหวางลาเตรันและเซนตปเตอร พระสันตะปาปา เกรโกรี ที่ 11 จากอาวียอง ไดออกกฤษฎีกา (Bull) และประกาศ อยางเปนทางการวา Laterano ยังคงเปนสํานักเอก (Principal see) และเปนที่หนึ่ง เหนือวัดทุกแหงของกรุงโรมและของจักรวาล และเปนที่หนึ่ งเหนือมหาวิหารทั้งหลาย รวมทั้งเหนือเซนตปเตอรดวย พระสันตะปาปา ปโอ ที่ 5 ในป ค.ศ. 1569 ไดออก Bull ยืนยันเชนเดียวกับพระสันตะปาปา เกรโกรี ที่ 11 เพราะสมัยในของพระสันตะปาปา 36
ปโอ ที่ 5 นี้ ก็เริ่มมีการถกเถียงกันอีก ตอมาในสมัยพระสันตะปาปา ซีสโต ที่ 5 (Sisto V) ไดทําการสรางใหมทั้งหมด เพราะโครงสรางเกานั้นใชไมไดแลว สิ่งที่ยัง เหลืออยูที่เปนของเกาแท ๆ ที่ เราพอจะเห็นไดก็คือ Private Chapel ของ พระสันตะปาปาที่เรียกชื่อวา Sancta Sanctorum ที่บรรจุพระธาตุนักบุญตาง ๆ มากมาย และบันได 28 ขั้นที่เรียกวา Scala Santa ทั้งหมดนี้คือ Sancta Sanctorum และ Scala Santa ถูกยายมาอยูที่ตึกเล็ก ๆ ที่สรางและออกแบบโดย Domenico Fontana สถาปนิกและนักศิลปะที่มีชื่อเสียงในสมัยนั้น ในการออกแบบนี้ไดมีแบบที่จะ สรางพระราชวังใหมขึ้นมาระหวางป ค.ศ. 1585-1589 เพื่อใชเปนที่ประทับในฤดูรอนของ พระสันตะปาปา แตพระสันตะปาปาไมไดประทับที่นี่ เพราะเปลี่ยนมาเปน Quirinale มาถึงตรงนี้ก็นาจะพูดถึง “บันไดศักดิ์สิทธิ”์ (Scala Santa) สักเล็กนอย บันไดศักดิ์สิทธิ์นี้เรียกอีกชื่อหนึ่งวา Scala Pilati หรือบันไดของ Pilato เปนบันได ที่ทําดวยหินออน มีทั้งหมด 28 ขั้น ปจจุบันถูกคลุมดวยไม ตามความนิยมดั้งเดิม (Tradition) ไดบอกและยืนยันวา พระเยซูเจาหลังจากไดถูกตัดสินประหารชีวิตแลว ไดเดินลงมาทางบันไดนี้ และนักบุญเฮเลนา (ค.ศ. 255-330) พระมารดาของจักรพรรดิ คอนสแตนติน (ป ค.ศ. 326 จาริกแสวงบุญไปที่แผนดินศักดิ์สิทธิ์ และเปนผูคนพบ ไมกางเขนที่ตรึงพระเยซูเจาดวย) ไดเปนผูนําบันไดนี้มาที่กรุงโรม ดังนั้น สถานที่แหงนี้จึง เปนสถานที่จาริกแสวงบุญ ผูจาริกแสวงบุญจะเดินขึ้นไปบนบันไดนี้โดยใชเขาเดินขึ้ นไป และบนยอดของบันไดนี้เปนที่ตั้งของ Sancta Sanctorum ที่สรางขึ้นตั้งแตป ค.ศ. 1278 ดังที่กลาวมาแลว มหาวิหารปจจุบันไดรับการซอมแซมและกอสรางเพิ่มเติมตั้งแตสมัยพระสันตะปาปา อูรบัน ที่ 5 ป ค.ศ. 1362-1370 เรื่อยมาจนถึงป ค.ศ. 1737 โดยใชสถาปนิกที่มีชื่อเสียง ในสมัยนั้นหลายคนดวยกันเปนผูออกแบบ เชน D. Fontana (ค.ศ. 1543-1604) F. Borromini (ค.ศ. 1599-1667) และ Alessandro Galilei (ค.ศ. 1691-1737) ปจจุบัน ยังตองถือวาวัดนี้เปน Omnium urbis et orbis ecclesiarum mater et caput ดังนั้น หลังจากที่พระสันตะปาปาถูกเลือกตั้งขึ้นมา จําเปนจะตองมาทําพิธีรับเปน เจาของมหาวิหารในฐานะที่เปน Sede ของตน (เรียกเปนภาษาอิตาเลียนวา presa di possesso) พระสันตะปาปา ปโอ ที่ 12 วางแผนที่จะใหมหาวิหารแหงนี้เปนสถานที่ทํางานของ สังฆมณฑลโรม แตตองทําการบูรณะเสียใหม พระสันตะปาปา ยอหน ที่ 23 ไดทําการบูรณะซอมแซมมหาวิหารแหงนี้ โดยมี พระประสงคจะใชเปน Vicariate of Rome หมายถึงศูนยกลางการบริหารงานสังฆมณฑล โรม พระสันตะปาปา เปาโล ที่ 6 ไดทําตามพระประสงคของพระสันตะปาปาทั้งสอง องคที่กลาวมาแลว โดยจัดใหมหาวิหารแหงนี้เปน Vicariats of Rome ตามเกียรติที่มหา วิหารแหงนี้ ควรจะไดรับ เรื่องนารูอีกประการหนึ่งก็คือ ตําแหนงของพระสันตะปาปา ที่จริงแลวก็คือ สังฆราชแหงสังฆมณฑลโรม ใครก็ตามที่มีตําแหนงพระสันตะปาปาก็เปน สังฆราชแหงโรมนั่นเอง 37
มหาวิหารลาเตรัน (Laterano) ตามธรรมเนียมเกา พระสันตะปาปาจะตองลางเทาอัครสาวก 12 องค ในพิธีวัน พฤหัสศักดิ์สิทธิ์ที่นี่ แตนับตั้งแตป ค.ศ. 1834 เปนตนมา พระสันตะปาปา เกรโกรี ที่ 16 ไดยายมาทําพิธีดังกลาวที่มหาวิหารนักบุญเปโตร แตตามธรรมเนียมเกานั้น พระสันตะปาปา จะลางเทาอัครสาวก 12 องค ณ มหาวิหารแหงนี้ รูปนักบุญเปโตร ปกติจะตองมีกุญแจอันเปนสัญลักษณหมายถึงอํานาจหนาที่ (Autorità) แตหลาย ๆ รูปก็แตกตางกัน บางรูปนักบุญเปโตรถือกุญแจดอกเดียว บางรูปถือ 2 ดอก และบางรูปถือ 3 ดอกก็มี กุญแจ 1 ดอก หมายถึงพระศาสนจักรที่เปน una, santa, catholica e apostolica ซึ่ง หมายถึง พระศาสนจักรที่เปนหนึ่งเดียว มีฝูงแกะฝูงเดียว และนาย ชุมพาบาลเพียงผูเดียว กุญแจ 2 ดอก ดอกหนึ่งจะเปนสีทอง และอีกดอกหนึ่งจะเปนสีเงิน ดอกสีทอง หมายถึงอํานาจดานวิญญาณที่จะผูกหรือแก ที่จะเปดหรือ ปดประตูสวรรค นอกจากนี้ ยังหมายความถึง Potenza หรือการมีอํานาจ บางคนใหความหมายวา หมายถึงความ สามารถ (Potestà) ที่จะตัดสินในเรื่องการใชโทษบาป (Penitenza) ดอกสีเงิน หมายถึ ง อํ า นาจในการปกครองพระศาสนจั กรและยั ง หมายถึงความรู (scienza) บางคนใหความหมายวา หมายถึ ง อํ า นาจที่ จ ะกํ า หนดถึ ง การตั ด สิ น เฮเรติ๊ ก (Anatema) และขั บ ไล อ อกจากพระศาสนจั ก ร (ex-communication) ก็ได ในพระราชวังลาเตราโน ในสวนที่เรียกวา Triclinium มีรูปนักบุญเปโตรที่ถือ กุญแจ 3 ดอก เปนกุญแจที่หมายถึง ความรู (scienza) อํานาจปกครอง (potenza) และ อํานาจการตัดสิน (Giurisdizione) ของพระสันตะปาปา หากจะตีความหมายวาหมาย ถึง กุญแจที่เปดและปดประตูสวรรคดวย การใชโทษบาป (penitenza) พระคุณการุณ (indulgenza) และการขับไล (scomunica) ก็ถูกตองเหมือนกัน ในระหวางพิธีเขารับตําแหนง (presa di possesso) ที่ลาเตราโนของ พระสันตะปาปาพระสันตะปาปาจะคาดเข็มขัดที่ประกอบไปดวยกุญแจ 7 ดอก และตรา ประทับ (Sigilli) 7 ดวง เปนเครื่องหมายถึงพระคุณของพระจิต 7 ประการ และศีล ศักดิ์สิทธิ์ 7 ศีล ซึ่งพระสันตะปาปาจะตองเปนผูโปรดใหแกประชากร
38
Basilica Santa Croce di Gerusalemme แปลไดวา มหาวิหารนอยกางเขน
ศักดิ์สิทธิ์แหงเยรูซาแลม หางจากมหาวิหารลาเตรันไมมากนัก แตก็ไมใกลชนิดเดินไดนะครับ ตองนั่งรถไป ก็จะเปนมหาวิหารไมกางเขนศักดิ์สิทธิ์แหงเยรูซาแลม มหาวิหารนี้เปนการแสดงออกของ ความเชื่อและศิลปะที่ไดรับการดลใจจากกางเขนของพระเยซูเจาอยางแทจริง ตั้งอยูบน เนินเขาที่ชื่อวา Esquilina แรกทีเดียวก็เปนวัดนอยสวนตัวของเฮเลนา แตหลังจากนั้นก็ ไดรับการบูรณะตกแตงเพิ่มเติมเรื่อยมาจนถึงสมัยนี้ พระสันตะปาปาทุกพระองคให ความสําคัญตอที่นี่มากเพราะเปนสถานที่เก็บรักษา พระธาตุตางๆที่เกี่ยวกับพระมหา ทรมานของพระเยซูเจาเอง นักบุญเฮเลนาเกิดป 250 ชอบเก็บตัวมากกวาและไดเปนคริสตชนอยางลับๆแลว จนกระทั่งลูกชายคือจักรพรรดิ คอนสแตนตินไดรับชัยชนะจากเครื่องหมายกางเขน การ สงครามที่ควรแพ นะครับ จากนั้นเธอไดรับตําแหนงเปน Augusta นักประวัติศาสตร ชื่อ เอวเซบีอุส 265-340 บันทึกไววา จักรพรรดิเฮเดรียนไดสรางวิหารเทพเจาไวที่เขากัล วารีโอและที่ที่ฝงศพพระเยซู เพื่อใหคริสตชนลืมความเชื่อเรื่องนี้ไป จนกระทั่งคอนสแตน ตินประกาศใหศาสนาคริสตพนจากการเบียดเบียนในป 313 พระองคใหสรางและนํา วิหารหลายแหงของเทพเจามาเปนวัดวาอารามตางๆของคริสตศาสนา ชวงเวลานี้เองที่ เฮเลนาเริ่มเดินทางไปแผนดินศักดิ์สิทธิ์ ตอนนั้นอายุราว 80 ปแลว นักบุญอัมโบรซีโอยก ยองคุณธรรมของเฮเลนาอยางมากและเชื่อวาเธอเปนผูที่พบกางเขนแทของพระเยซูเจา เธอพบกางเขนสามอันที่เขากัลวารีโอ มีการแหเ ขากรุงเยรูซาแลมอยางยิ่งใหญ นักบุญ มาคารีอุส สังฆราชแหงเยรูซาแลม ตอนนั้นภาวนาขอเครื่องหมายจากพระเจา เพื่อจะได แยกออกวาอันไหนเปนกางเขนของพระเยซูเจา ทานนําเด็กหนุมที่เสียชีวิตแลวมาและจับ มือสัมผัสกางเขน ไมกางเขนนี้ทําใหเด็กหนุมฟนจากความตาย เฮเลนาแบงกางเขนแทออกเปนสามสวน สวนหนึ่งเก็บไวที่เยรูซาแลม สวนที่สอง ใหลูกชายเก็บไวที่คอนสแตนติโนเปล สวนที่สามเธอนํากลับมาไวที่กรุงโรม คือที่วัดนอย ของเธอเอง เธอนํากลับมาพรอมกับตะปูที่ตอกตรึงพระเยซูหนึ่งตัวและดินจํานวนมาก จากเขากัลปวารีโอ เธอนําดินเหลา นั้นมาโปรยลงยังที่ที่จะสรางเปนวัดนอยของเธอ นั่นเอง กางเขนนี้ถูกเก็บไวที่วัดนอยนี้ประมาณพันป หลังจากนั้นก็มีการยายไปหลายแหง เพื่อใหคริสตชนไดสวดภาวนาและรําพึง เคยเก็บไวในอารามนักพรตที่นี่ดวย แตที่สุดตอง เปลี่ยนเพราะคริสตชนเขาชมไดลําบากมาก ในปศักดิ์สิทธิ์ป 1925 มีโครงการสรางวัดให ใหญขึ้น เพื่อเก็บรั กษาพระธาตุนี้ พระสันตะปาปาจอหน ปอลที่ 2 เสด็จเยี่ ยมที่นี่ 25 มีนาคม 1979 ไมกี่เดือนหลังจากเปนพระสันตะปาปาและทรงเรียกที่นี่วา Sanctuary of the Cross และเรียกดวยชื่อนี้มาจนถึงปจจุบัน มีคนสงสัยทุกยุคทุกสมัยวากางเขนนี้เปนของแทหรือไม แตพระสันตะปาปาทุก ยุคทุกสมัยไมเคยสงสัยเลย เพราะประวัติศาสตรเรื่องนี้ไดรับการตรวจสอบและเชื่อกัน 39
มานาน ในหนังสือระเบียบพิธีของพระสันตะปาปาเองก็ระบุแนวทางปฏิบัติทางพิธีกรรม ไวชัดเจนดวย ในอดีตทุกวันศุกรศักดิ์สิทธิ์พระสันตะปาปาจะนําขบวนแหดวยเทาเปลา พรอมกับคณะสงฆและมวลสัตบุรุษจากมหาวิหารลาเตรันมายังมหาวิหารนอยแหงนี้ เพื่อ นมัสการกางเขนนี้ และพระสันตะปาปายังไดแจกจายสวนหนึ่งเล็กๆจากไมกางเขนนี้ ใหแกบรรดาพระสังฆราชในสมัยกอนดวยเพื่อยืนยันวา เปนไมกางเขนของพระเยซูเจา และทุกคนตองแบกกางเขนเดียวกันนี้เชนเดียวกับพระอาจารย เสียดายที่ระเบียบพิธีนี้ เปลี่ยนไปแลว เพราะวันศุกรศักดิ์สิทธิ์พระสันตะปาปาจะนําการเดินรูป 14 ภาคที่โค โลเซียมแทน ปจจุบันการมอบชิ้นไมกางเขนใหแกพระสังฆราชก็ไมมีแลวครับ อาจเปน เพราะไมมีเพียงพอที่จะมอบไหอีกตอไปนั่นเอง ที่ นี่ เ องยั ง ได เ ก็ บ รั กษาตะปู ที่ ต อกตรึ ง พระเยซู เ จ า ด ว ย นั กประวั ติ ศ าสตร ใ น ศตวรรษที่ 4 บันทึกไววาเฮเลนาไดพบตะปูสามตัว ตัวหนึ่งเธอไวที่บังเหียนมาของลูกชาย คือจักรพรรดิคอนสแตนติน อีกตัวหนึ่งไวที่มงกุฎของลูกชายและตัวที่สามเธอนํามาไวที่นี่ ดวย เราจะไดพบกับปายชื่อเหนือไมกางเขนที่จารึกสามภาษาคือ ฮีบรู กรีกและลาติน ตามที่มีอยูในประวัติ หนามสองอันซึ่งเคยถูกยายไปหลายแหงทั้งที่ คอนสแตนติโนเปล ที่ ฝรั่งเศสในชวงเวลาสงครามครูเสด นอกจากนี้ก็มีสวนของหินที่มาจากถ้ําที่ฝงศพพระเยซู เจ า หิ น ที่ม าจากเสาหิน ที่ มัด และเฆี่ย นพระองค มี กางเขนของโจรผู เป น ทุกข กลั บ ใจ ดานขวาของพระองค ที่สุดก็มีนิ้วมือของนักบุญโทมัสมาวางไวที่นี่ดวย ใครพอจะบอกได วาทําไมจึงเกี่ยวของกับนักบุญโทมัส ที่สุดใกล ๆ กับหองนี้เอง เปนที่เก็บศพของเด็กหญิงเล็กๆคนหนึ่งชื่อ Antonietta Meo รูจักกันในชื่อ Nennolina (1930-1937) ตั้งแตป 1999แลว เธอเคยมีชีวิตอยูใกลชิด กับสถานที่ศักดิ์สิทธิ์แหงนี้ ตายดวยโรคมะเร็งกระดูกตั้งแตอายุหกขวบครึ่ง แตเธอมี ชีวิตที่พิเศษมาก มีจดหมายหลายฉบับที่เธอเขียนถึงพระเจา ถึงพระเยซู พระจิตและแม พระ เปนเด็กที่มีชีวิตจิตสนิทกับพระอยางนาประหลาด บางทีอาจเปนเพราะเธอมีโอกาส ใกล ชิ ด กั บ สิ่ ง ที่ ใ กล ชิ ด กั บ พระเยซู เ จ า มากที่ สุ ด ก็ ไ ด น ะครั บ ที่ นี่ เ ราควรขั บ ร อ งเพลง กางเขนชัย พรอมกันนะครับ คงดีสําหรับความเชื่อของเราที่ไดมีโอกาสนมัสการกางเขน ที่พระเยซูเจาใช เพื่อไถบาปเราดวยชีวิตของพระองคเอง อยาลืมแบกกางเขนของเรา ดวยนะครับ
6. Colosseo หรือ Coliseum
มีชื่อเต็มวา Flavian Amplitheatre นับวา เปนสนามกีฬาที่ใหญที่สุดที่ถูกสราง ขึ้นมา ในสมัยอาณาจักรโรมัน เปนงานที่แสดงใหเห็นถึงความยิ่งใหญทางดานการออก แบบสถาปตยกรรม และวิศวกรรม (Architecture and Engineering) อาณาจักรโรมัน สรางสนามกีฬาไวหลายแหงดวยกัน อาจจะกลาวไดวา เกือบทุกแหงที่อาณาจักรโรมันแผ
40
อิทธิพลไปถึงก็วาได แมแตในกรุงโรมเองก็มีอยูหลายแหง ยกตัวอยางเชน สนามกีฬาโค ลิโกลาที่เนินวาติกัน เปนตน แตสนามกีฬาโคโลเซโอแหงนี้นับวายิ่งใหญที่สุด สนามกีฬาโคโลเซโอ ตั้งอยูทางดานตะวันออกของ Romano Foro ถูกสรางขึ้น ในระหวาง ป ค.ศ. 70-72 สมัยจักรพรรดิ Vespasian สําเร็จบริบูรณในป ค.ศ. 80 สมัย Titus และไดรับการปรับปรุงเพิ่มเติมในสมัยของ Domitian สามารถบรรจุผูชมได 50,000 คน ใชเพื่อชมการแขงขันการตอสูของนักสูซึ่งรูจักกันในนามของ Gladiators และชมการ แสดงตาง ๆ ถูกใชงานเปนเวลานานถึง 500 ป นอกเหนือจากการชมการตอ สูของ นักรบแลว การแสดงอื่นๆ ที่นาสนใจก็มี การแสดงการตอสูทางทะเล ชาวโรมันสามารถ ปรับเปลี่ยนสนามกีฬาใหเปนสมรภูมิทางทะเลไดอยางนาอัศจรรยทีเดียว ทั้งนี้ ก็ มาจาก การออกแบบโครงสราง ระบบทอสงน้ําและระบบน้ําของชาวโรมันนั่นเอง นอกจาก นี้ ยัง ใชเปนที่ประหารชีวิตนักโทษ นักโทษของอาณาจักรโรมันมีอยูหลากหลาย เปนทั้งนักโทษ การเมือง นักโทษจากการทําสงคราม และนักโทษทางศาสนา ซึ่งหมายถึงบรรดา คริสต ชนในสมัยนั้น บรรดาคริสตชนถูกอาณาจักรโรมันเบียดเบียนเปนเวลาถึง 200 กวาป นับตั้งแตจักรพรรดิเนโรกลาวรายวา พวกคริสตชนเปนผูที่เผากรุงโรม ในป ค.ศ. 60 เพลิงเผากรุงโรมนาน 5 วัน ทําลาย 4 เขตของโรมโดยสิ้นเชิง และเสียหายอยางมากใน อีก 7 เขต มีอยูเพียง 3 เขตของโรมเทานั้นที่รอดพนจากไฟไหมครั้งนั้น ศาสนาคริสตก็ กลายเปนศาสนาตองหาม และมีโทษอยางหนัก จนถึงประหารชีวิต คริสตชนตองหลบ ซอนอยูในอุโมงคใตดิน ซึ่งรูจักกันในนามของ Catacomba อุโมงคที่มีชื่อเสียงและเปน สถานที่ที่นักทองเที่ยวไปชม ไดแก Catacomba di S. Callisto อันที่จริง อุโมงคเหลานี้มี อยูหลายแหงทีเดียวในกรุงโรม การเบียดเบียนศาสนานี้มาสิ้นสุดในสมัยจักรพรรดิคอนส แตนติ น (Constantine) ซึ่ ง หลั ง จากได รั บ ชั ย ชนะจากสงครามอย า งอั ศ จรรย ด ว ย เครื่องหมายกางเขนบนทองฟา ไดประกาศใหคริสตศาสนาเปนศาสนาประจําชาติของอาณา จักรโรมัน ตั้งแตป ค.ศ. 305 เปนตนมา ในระหวางการเบียดเบียนศาสนา 200 กวาปนี้ คริสตชนถูกจับและประหารชีวิต ในรูปแบบตาง ๆ มากมาย ทั้งการตรึงกางเขน การถูกเผาทั้งเปน การทรมานและจําคุก ตลอดชีวิต การตัดศีรษะ รวมถึงการตอสูกับสัตวรายที่หิวกระหายในสนามกีฬาตาง ๆ บรรดาคริสตชนเสียชีวิตในสนามกีฬาโคลิโกลาที่เนินวาติกันมากที่สุด แตก็มีคริสตชนจํานวน หนึ่งเสียชีวิตที่สนามกีฬาโคลิเซโอแหงนี้ดวย และเนื่องจาก คริสตชนเหลานี้ยอมสละชีวิต เพื่อความเชื่อในพระเยซู ไมยอมประกาศละทิ้งศาสนา พระศาสนจักรคาทอลิกประกาศ ใหพ วกทานเป นมรณสั กขี (Martyrs) และเพื่อ เป นเกี ยรติแ ดพวกท านเหล านี้ สมเด็ จ พระสั น ตะปาปาจะเสด็ จ มาทํ า พิ ธี ท างศาสนา ซึ่ ง เรี ย กกั น ว า “มรรคาศั ก ดิ์ สิ ท ธิ์ ” (The Way of the Cross) ในวันศุกรศักดิ์สิทธิ์ (Good Friday) ของทุกป
41
ปจจุบัน สนามกีฬาแหงนี้เปนสัญลักษณแหงความเจริญของอาณาจักรโรมัน และ ไดรับการยกยองใหเปนหนึ่งในสิ่งมหัศจรรยของโลกดวย ความยิ่งใหญของอาณาจักรโรมัน ปรากฏอยางชัดเจนในบริเวณที่เรียกวา “Romano Foro” ซึ่งอยูใกล ๆ กับสนามกีฬา สําหรับผูที่สนใจโบราณคดีหรือประวัติศาสตร ก็สามารถพบกับประตูชัยตาง ๆ ของอาณา จักรแหงนี้ พระราชวังของจักรพรรดิเนโร วิหารเทพเจาตาง ๆ และสิ่งปลูกสรางที่นาสน ใจอีกมากมาย Romano Foro ใหญมาก ปจจุบัน ประเทศอิตาลีก็กําลังขุดหาและบูรณะ เพิ่มเติมอยูตลอดเวลา อันที่จริง กรุงโรมซึ่งเปนนครหลวงของประเทศ ควรจะมีบริการ รถไฟใตดินมากกวาที่เปนอยูนี้ แตก็ไมสามารถทําได เพราะเกรงวาการขุดอุโมงคสําหรับ รถไฟใตดิน จะเปนการทําลายโบราณสถานเหลานี้นั่นเอง
วัด il Foro et il Carcere Mamertino
คุกนี้ชื่อ Mamertino ตั้งอยูที่ Clivo Argentario ใตวัด S. Giuseppe dei Falegnami เปนคุกเกาแกและยาวนานที่สุดของกรุงโรม Tullianum เป น สถานที่ นั ก โทษของรั ฐ จะถู ก ทิ้ ง และขั ง ไว อ ย า งโดดเดี่ ย ว นักบุญเปโตรและนักบุญเปาโลก็ถูกนํามาขังที่นี่ดวย ไมมีแสงสวางในหองขังเลย ที่นี่เอง ในขณะที่ทานนักบุญเปโตรและนักบุญเปาโลถูกนําตัวลงไปหองใตดิน นักบุญเปโตรไดหก ลม และศีรษะของทานกระแทกกําแพง รองรอยยังคงปรากฏอยูในที่ที่ทานถูกคุมขัง ก็ไดมีตาน้ําขึ้นมาอยางนาอัศจรรย (Tullus : ตาน้ํา, ชื่อ Tullianum มาจากเหตุนี้) ทานทั้งสองที่ไดทําให Processo และ Martiniano ซึ่งเปนผูคุมนักโทษดูแลคุกนี้กลับใจ คุก Mamertino ซึ่งนักบุญเปโตรและเปาโลถูกนํามาขังเปนนักโทษฉกรรจ แทนสัญลักษณการจับกุมและกักขังทานนักบุญเปโตรและนักบุญเปาโล ตั้งอยูบริเวณ ทางเขาเยี่ยมชมคุก บริเวณที่นักบุญเปโตรเสียหลัก ศีรษะกระแทกกับกําแพงและเปน รองรอยที่ถูกเก็บรักษาไวใหเห็นจนถึงปจจุบันนี้ หองขังใตดินของนักบุญเปโตร และนักบุญเปาโลมี แผนหินออนเลาเรื่องการ กลับใจของ Processo และ Martiniano ผูคุมคุก รวมทั้งผูกลับใจอีก 47 คน โดยรับการ รับศีลลางบาปดวยน้ําจากตาน้ํา ที่เกิดขึ้นภายในหองขั งอยางอัศจรรย คุกแหงนี้ตั้งอยู ใกลกับ Foro Romano เวลาเราลงไปชมจะชมไดครั้งละไมมากเนื่องจากทางลงก็เล็ก และแคบ บริ่วณดานลางนั้นก็เล็ก มาถึงที่นี่ก็ควรลงไปชมนะครับ เราจะรูถึงความรูสึก ของทานนักบุญทั้งสองกอนที่จะรับเกรียรติเปนมรณสักขี แบบอยางความเชื่อของเรา
7. Pantheon
ขอแนะนําสถานที่นาเยี่ยมชมในกรุงโรมที่นาสนใจมากอีกแหงหนึ่ง นั่นคือ Pantheon หากไป เยี่ยมชมประมาณ 4-5 โมงเย็นละก็ จะมีเวลาเยี่ยมชมสักครึ่งชั่วโมง ดื่มกาแฟ 42
หอมกรุนที่อยูใกล ๆ นั่นคือ กาแฟ Tazza d’Oro แปลวา ถวยทอง จากนั้น ก็เดินลัดไป เยี่ยมชม Piazza Navona ดูบรรยากาศที่นั่น ตอนเย็นๆ ก็จะมีศิลปนมานั่งวาดรูปเหมือน และรู ปตลกๆ ใหดูมากมาย เป นสถานที่น าเดิน เลน และดูวิถีชี วิตของชาวเมือ งและ นักทองเที่ยว บริเวณรอบๆ Piazza แหงนี้ ก็มีรานอาหาร ไอศกรีม และเครื่องดื่มตางๆ มากมาย แตก็คอนขางแพงนะครับ เพราะเปนสถานที่ยอดนิยม กลับมาที่ Pantheon ของเราดีกวา ตั้งอยูใกลมากเลยกับ Largo Argentina เดิน เขาทางเล็ก ๆ กอนจะถึง Pantheon ก็จะผานรานตัดเสื้อที่มีชื่อเสียงมากรานหนึ่ง ชื่อวา Gammarelli ซึ่งเปนรานตัดเสื้อของพระสันตะปาปา คารดินัล สังฆราช สงฆชั้นผูใหญ สืบตอกันมานานมากทีเดียว ก็เพียงแครูไวเทานั้น ติดกันก็เปน Academy สถาบันอบรม นักการทูตของรัฐวาติกัน ที่นี่มีพระสงฆที่มาจากทั่วโลก เพื่อจะทําหนาที่ทาง การทูตใน อนาคต หนึ่งในจํานวนี้ก็มีพระสงฆไทยรวมอยูดวย 1 องค กลับมาที่ Pantheon ของเราอีกครั้งละกัน มาถึงซะที Pantheon เปนภาษากรีก นะครับ แปลวา “วิหารแหงเทพเจา” ทั้งนี้ เพราะพวกกรีกและชาวโรมันดั้งเดิม มีความ เชื่อถึงบรรดาเทพเจา วิหารนี้ถูกสรางขึ้นเปนเกียรติแดเทพเจา 7 องคแหงดาวทั้ง 7 ซึ่ง ศาสนาประจําชาติโรมันโบราณนั้นไดกลาวไว สมัยกอนนั้นก็รูจักดวงดาวแค 7 ดวง ไมใช 9 ดวงอยางในปจจุบัน ไดยินวา ปจจุบัน มีการคนพบดวงที่ 10 แลวดวย ดานหนาของ Pantheon มีอักษรจารึกเปนภาษาลาตินM·AGRIPPA·L·F·COS· TERTIUM·FECIT มาจากคําเต็มๆ วา MARCUS AGRIPPA Lucii Filius Consolatum Tertium Fecit แปลวา MARCUS AGRIPPA บุตรชายของ Lucius เปนผูสราง ในขณะ ดํารงตําแหนงเปนกงสุลครั้งที่ 3 Agrippa สราง Pantheon ในป 27 B.C. (กอนคริสตศักราช) เพื่อเปนอนุสรณถึง สงคราม แหง Actium ในป 31 กอนคริสตศักราช แตไฟไหมครั้งใหญ ป 80 A.D. ได ทําลาย Pantheon ที่ Agrippa ไดสรางไว หลังที่เราเห็นในปจจุบันนี้สรางขั้นในป 125 A.D. ในสมัยจักรพรรดิ Hadrian โดยใชอักษรสลักหนาวิหารนี้เหมือนของวิหารเดิม บาง คนอาจจะสงสัยนะครับวา สรางป 27 B.C. เปนอนุสรณถึงสงครามป 31 B.C. คําตอบก็ คือ การนับป B.C. หรือกอนคริสตศักราช เรานับถอยหลังจากมากไปหานอย ดังนี้ ป 31 B.C. เปนเหตุการณที่เกิดกอนป 27 B.C. ในป ค.ศ. 609 จักรพรรดิ Phocas แหงอาณาจักรใบซินติน ไดมอบ Pantheon นี้ ใหแกพระสันตะปาปา Boniface ที่ 4 ซึ่งไดทําการอภิเษกวิหารนี้ใหเปนวิหารของคริสต มี ชื่อวา “วิหารแหงพระแมมารีอาและนักบุญมรณสักขีทั้งหลาย” ตอมา ในป 663 A.D. จักรพรรดิ Constans ที่ 2 ไดสั่งใหนําทองบรอนซซึ่งอยูในวิหารนี้กลับไปกรุงคอนสแตนติน โนเปล (ปจจุบัน คือ เมืองอิสตันบูล) และตลอดเวลาหลายศตวรรษตอ ๆ มา สมบัติของ 43
วิหารนี้ก็ไดถูกนําไปยังที่ตาง ๆ เชน หินออนตกแตงดานนอก รูปแกะสลักตาง ๆ รูปปน ตาง ๆ ยังโชคดีที่หินออนตกแตงภายใน และประตูทองบรอนซยังคงอยู ในศตวรรษที่ 15 และศตวรรษที่ 16 วิหารนี้ถูกใชเปนที่ฝงศพของบุคคลสําคัญ เชน ศิลปน Raffaelo, Annibale Caracci และ Baldassare Peruzzi ซึ่งเปน Architect ที่มี ชื่อเสียง นอกจากนี้ ในศตวรรษที่ 15 วิหารนี้ยังไดรับการตกแตงดวยภาพวาดตาง ๆ รูปที่ เปนที่รูจักดีมีชื่อเสียง ไดแก Annunciation หรือเทวดาแจงสารแกแมพระ วาดโดย Melozzo da Forli, Brunelleschi เปนผูออกแบบ โดมของอาสนวิหารเมือง Florence ก็ ไดรับแรงบันดาลใจจากวิหารแหงนี้ ตน ๆ ศตวรรษที่ 17 พระสันตะปาปา อูรบาโน ที่ 8 สั่งใหหลอมทองบรอนซบน หลังคาของมุขทางเขาวิหาร เพื่อนําไปใชในการสรางปนใหญสําหรับปอมที่ปราสาท Castel Sant Angelo และสวนหนึ่ง Bernini ไดนําไปใชสรางปะรํา (Baldachin) ทองบรอนซที่อยู เหนือพระแทนหลุมศพของนักบุญเปโตร อยางไรก็ตาม ทองบรอนซสวนใหญที่ Bernini ใชนั้น นํามาจาก Venice และนี่เองจึงเปนที่มาของคําพูดที่มีอยูในบทประพันธของ Pasquino ที่กลาววา “Quod non fecerunt barbari, fecerunt Barberini” แปลไดวา “สิ่งที่พวกบารเบเรียน ไมไดทํา พวก Barberini ไดทํา” เพราะวา Barberini เปนชื่อตระกูลของพระสันตะปาปา อูรบาโน ที่ 8 นั่นเอง พูดถึงเรื่องหลุมศพของศิลปน Raffaelo ที่อยูในวิหารนี้ ผูนํากลุมทัวรบางคนก็ เขาใจผิด โดยคิดวา Raffaelo เปนชื่อของเทวดาองคหนึ่ง ที่จริงก็เขาใจไดถูกตอง เพราะ Raffaelo เปน 1 ใน 3 เทวดาองคใหญที่ทางศาสนาคริสตเชื่อถือ แตผูนําทัวรบางทานก็ อธิบายใหลูกทัวรคนไทยฟงวา “นี่แหละ หลุมศพของเทวดาราฟาเอโล” ลูกทัวรก็เลยเพิ่ง รูวาเทวดามีศพกับเขาดวย ผูที่มีใจศิลปน จึงมักชอบที่จะมาเยี่ยมหลุมศพของศิลปนผูมี ชื่อเสียงผูนี้ นอกจากนี้ ภายในวิหารยังเปนที่ฝงศพของบุคคลสําคัญอีกหลายคน ไดแก กษัตริย Vittorio Emanuele ที่ 2 และกษัตริย Umberto ที่ 1 พรอมทั้งราชินี Margherita เรื่องที่นารูอีกเรื่องหนึ่งก็คือ ประเทศอิตาลีเปลี่ยนแปลงการปกครองมาเปน ระบบสาธารณรัฐ (Republic) ตั้งแตป ค.ศ. 1946 แตก็ยังคงมีองคกรบางองคกรที่ติด ยึดอยูกับระบอบสมบูรณาญาสิทธิราช พวกนี้จึงยังคงมาทําพิธีระลึกถึงระบอบนี้ ที่ หลุม ศพของกษัตริยในวิหารแหงนี้ ฝายสาธารณรัฐก็ตองประทวงเปนธรรมดา อยางไรก็ตาม วิหารนี้ก็อนุญาตใหทําพิธีระลึกถึงนี้ไดทุกป โครงสราง - ซุมประตูทางเขา ประกอบไปดว ยแนวเสาหิน แบบ Corinthian เปน เสาหิน แกรนิ ต ขนาดใหญ หนักประมาณ 5,000 ตัน - พื้นฐานภายในเปนรูปทรงกลม ดานบนเปน Dome ทําดวยคอนกรีต 44
- ใจกลางของโดมเปนชองวางเปด เรียกว า Oculus หมายถึง ดวงตาที่ยิ่งใหญ (Great Eye) จองมองทองฟา - บริเวณกําแพงดานในสุดจะเปนชองหินหลายชอง เขาใจวา สําหรับใสรูปปนของซีซาร , เอากุสตุส และอากริปปา หรือบรรดาเทพเจาตาง ๆ - ประตูขนาดใหญเขาสูวิหารทําดวยทองบรอนซ แตก็เคยถูกเคลือบดวยทองคํา ซึ่งปจจุบัน นี้ ทองคําเหลานั้นไมมีเหลือใหเห็นแลว - จั่วของวิหารถูกตกแตงดวยประติมากรรมทองบรอนซ เลาเรื่องสงคราม Titans - ความสูงของโดมคือ 43.3 เมตร เมื่อเรามองขึ้นไปยัง Oculus หรือ Great Eye เราจะพบกับสัญลักษณของ สวรรค Great Eye เปนตนกําเนิดของแสงสวาง และสัญลักษณของพระอาทิตย เวลา เดียวกัน ก็ทําหนาที่ใหความเย็น และถายเทอากาศดวย โดยมีคําอธิบายดังนี้ ขณะที่ลม ภายนอกพัดผาน Oculus จะทําใหภายใน มีแรงดันออก เราเรียกวา Venturi Effect ดัน อากาศออกไปภายนอกโดยผาน Oculus เวลาเดียวกัน ก็ดึงลมจากภายนอกโดยผานทาง ประตูทางเขาขนาดใหญดวย อยางไรก็ตาม เมื่อฝนตก น้ําฝนก็จะตกลงมาภายในวิหาร โดยผานทาง Oculus นี้ ดวย แตพื้นดานลางนั้นก็มีรูเล็ก ๆ เพื่อระบายน้ําออกไป ดังนั้น จะไมมีน้ําฝนขังอยูภาย ในวิหารเลย ในสมัยโบราณ เมื่อมีการบูชาบรรดาเทพเจาตาง ๆ ดวยไฟ ควันไฟเหลานี้จะ ทําใหน้ําฝนไมสามารถผานกลุมควันอันหนาทึบนี้ไดอีกดวย โครงสรางวิหารนี้ไดรับการศึกษา จากวิศวกรหลายคน และตางก็มีความเห็นเดียวกันวา โครงสรางของวิหารไมนาจะรับน้ํา หนักทั้งหมดของวิหารไดเลย และก็ยัง ไมเขาใจวาวิหารนี้สามารถตั้งอยูไดหลายศตวรรษ มาแลวไดอยางไร การตกแตงภายในปจจุบัน เปนการตกแตงแบบคริสต ไมมีความเชื่อในเรื่องของเทพเจาตาง ๆ โดยจะมีแทน และรูปวาดเลาเรื่องตาง ๆ ในศาสนาคริสต รูปวาด รูปปนของบรรดานักบุญ โดยศิลปน ของแตละสมัย สวนรูปแกะทองคําที่อยูเหนือหลุมศพของกษัตริย Emanuele ที่ 2 นั้น ตั้งไวเพื่อเปนเกียรติแดกษัตริย Vittorio Emanuele ที่ 3 ซึ่งสิ้นพระชนมในแดนเนรเทศ ในป ค.ศ. 1947 อยาลืมนะครับ อานอยางเดียว สูไปดูดวย อานไปดวย ไมไดเลย
8. บันไดสเปน (Spanish Steps)
พูดถึง “บันไดสเปน” ปจจุบันนี้เปนที่รูจักในฐานะที่เปนยานรานคา บรรดาสินคามี ชื่อแบรนดเนมทั้งหลาย เชน Cucci, Prada, Luis Vitton, Bulgari, Ferragamo, Valentino และอื่น ๆ อีกมาก นอกจากนี้ ก็ยังมีรานอาหารและรานกาแฟที่มีชื่อเสียง ไดแก Caffe 45
Greco เพราะเปนรานคาเกาแก ผูที่มีชื่อเสียงของอิตาลีตางก็เคยมาดื่มกาแฟรานนี้ ดวยกันทั้งนั้น ใครเดินผานจะแวกเขาไปลิ้มลองดู ก็เทไมเบา ที่จริง กาแฟของเขาก็อรอย จริง ๆ ดวย ทั้งรสชาติและราคา แต “บันไดสเปน” นั้นหมายถึงบันได 138 ขั้น สรางขึ้นดวยเงินทุนของนักการทูต ฝรั่งเศส ที่ชื่อวา Étienne Guffier ดวยเงิน 20,000 Scudi บันไดนี้สรางขี้นในระหวางป ค.ศ. 1723-1725 เชื่อมระหวางวัด Trinità des Monti ซึ่งกษัตริยราชวงศ Bourbon แหง ฝรั่งเศส เปนองคอุปถัมภกับสถานทูตสเปนประจําสันตะสํานัก (Holy See) ซึ่งตั้ง อยูใน Palazzo Monaldeschi ดานลาง บันไดนี้ชาวอิตาเลียนเขาเรียกวา Scalinata เปนบันไดที่ กวางและยาวที่สุดในทวีปยุโรป แตทําไมตั้งชื่อ “บันไดสเปน” ก็ไมทราบเหมือน กัน ทั้ง ๆ ที่ผูออกสตางคก็เป นฝรั่งเศส วั ด Trinità ดานบนก็อุป ถัมภโดยกษัต ริยฝรั่ ง เศส เพียงแตมีสถานทูตสเปนอยูดานลางเทานั้นเอง บันไดนี้มีประวัติมายาวนานกอนการ สราง นับตั้งแตป ค.ศ. 1580 เปนตนมา พระสันตะปาปาหลายองคสนพระทัยจะสรางบันได นี้ แตโครงการก็ถูกแชแข็งไวดวยเหตุผลตาง ๆ นานา จนกระทั่งมีการประกวดออกแบบ อยางจริงจัง ในป ค.ศ. 1717 ผูออกแบบบันไดนี้ ไดแก Francesco de Sanctis เรื่องที่ควรรูอีกเรื่องหนึ่งก็คือ เทศบาลกรุงโรมออกกฎระเบียบหามทานอาหารที่ บันไดแหงนี้ แตนักทองเที่ยวสวนใหญก็ชอบที่จะนั่งคุยกัน ทานอาหารจานดวน ดื่มน้ํา ดื่ม เครื่องดื่มตาง ๆ กันอยูเสมอ หลายครั้งก็มักจะมีการเลนดนตรี การแสดงเพื่อหาสตางค ของพวกศิลปนจําเปน ก็ทําใหบันไดสเปนมีบรรยากาศคึกคัก และเต็มไปดวยผูคน ผมก็ ยังไมเคยเห็นตํารวจมาตักเตือนพวกที่ทานอาหารกันที่นี่เลย ลานสเปน (Piazza di Spagna) ไมรูจะตั้งชื่อไทยวาอยางไรดี ก็เรียกวา “ลานสเปน” ก็แลวกัน เปนลานที่อยูดาน หนาของบันไดสเปน ตรงกลางลานจะมีน้ําพุซึ่งเปนรูปเรือโบราณ เรียกเปนภาษาอิตาเลียน วา La Fontana della Barcaccia แปลตรงตัวเลยวา “น้ําพุเรือโบราณ” สรางขึ้นใน ระหวางป ค.ศ. 1627-1629 โดยเปนศิลปะบารอคยุคตน สรางโดย Pietro Bernini ซึ่งเปน คนออกแบบและแตงเติม “น้ําพุเทรวี” ระวัง อยาไปสับสนปนเปกับลูกชายของเขา คือ Gian Lorenzo Bernini ซึ่งเปนผูออกแบบและสรางออมแขนของมหาวิหาร และแทนพระ จิ ต เจ า ในมหาวิ ห ารนั ก บุ ญ เปโตร ที่ ม าของการสร า งน้ํ า พุ เ รื อ โบราณนี้ มาจากพระ สันตะปาปา อูรบาโน ที่ 8 พบเรือลําหนึ่ง ถูกน้ําซึ่งทวมแมน้ํา Tiber พัดพามาจน ถึงบริเวณนี้ จึงมีความคิดที่จะสรางเรือน้ําพุนี้เปนอนุสรณ นี่แหละครับ เสนหของ “บันไดสเปน” หากไมรูวาจะนัดพบกันที่ไหนหลังจากแยก ยายกันไปจับจายใชสอย ก็นัดกันมาเจอกันที่ “น้ําพุเรือโบราณ” ก็ดีนะครับ
46
9. นครรัฐวาติกัน (Vatican State หรือ The Holy See)
วาติกัน เปนศูนยกลางของศาสนาคริสตนิกายโรมันคาทอลิก เปนรัฐอิสระเล็ก ๆ ตั้งอยูในกรุงโรม ประเทศอิตาลี ทางการเมืองก็ถือวาเปนรัฐเล็กมากจนไมมีบทบาททาง การเมืองในสังคมโลก ปกครองโดยองคพระสันตะปาปา ไมมีกองทัพ มีแตทหารอารักขา หรือที่รูจักกันในชื่อ Swiss Guard ทําไมตองเปน Swiss Guard? เราจะเลาใหฟงตอไป เพราะมีประวัติอันยาวนานมาถึง 500 ปแลว แตในทางศาสนานั้น วาติกันมีความ สําคัญ ตอศาสนาคริสตนิกายโรมันคาทอลิกอยางมาก เพราะเหตุวา พระสันตะปาปาเปนผูแทน องคพระเยซูคริสตบนแผนดินนี้ (Vicar of Christ) คริสตชนทั้งหลายเคารพ รัก พระองค ในฐานะที่เปน “บิดาผูศักดิ์สิทธิ”์ (Holy Father) และยังเปนความเชื่อของคาทอลิกดวยวา เมื่อไรก็ตาม ที่พระสันตะปาปาสอนสั่งในเรื่อง “ขอความเชื่อ” และในเรื่อง “ศีลธรรม” คํา สอนนั้นจะไมมีผิดพลาดเลย เราเรียกเปนภาษาลาตินวา “Ex Cathedra” หมายความวา ออกมาจากบัลลังก อํานาจหนาที่นี้พระองคไดรับสืบตอมาจากนักบุญเปโตร ซึ่งเปนพระ สันตะปาปาองคแรก ที่ไดรับมอบหมายโดยตรงจากองคพระเยซูคริสต ดังนั้น แมวา รัฐ วาติกันจะมีประชากรเปนทางการอยูประมาณ 1,000 กวาคน แตในทางปฏิบัติแลว รัฐ วาติกันมีความสําคัญอยางยิ่งตอบรรดาคริสตชนคาทอลิกทั่วโลก 1 พันกวาลานคน เรา มาทําความรูจักกับรัฐวาติกันกันหนอย 1. วาติกัน (Vatican) เปนภาษอิตาเลียน เปนชื่อเนินแหงหนึ่งในกรุงโรม แตเดิมเปนที่ ตั้งของสนามกีฬาคาลิโกลา (Caligola) ตอมา เปนที่ตั้งของมหาวิหารนักบุญเปโตร และวังพระสันตะปาปา ชื่อนี้มีคําแปลหรือไม ผมไมทราบจริง ๆ ครับ อันที่จริง จะ บอกวา คําวา “วาติกัน” ไมมีคําแปลก็ไมถูกตองนัก เนินวาติกันนี้ ภาษาลาตินใชคําวา “vaticanus mons” คําวา “Vaticanus” มาจากคําวา “Vates” ก็เปนภาษาลาตินอีก นั่นแหละ แปลวา ผูพยากรณ (prophet) หรือผูที่มองเห็น (Seer) ชื่อเนิ นวาติกัน นี้ มี มานานแลวนะครั บ มี อยูก อนที่ คริส ตศาสนาจะเขามา เผยแพรในกรุงโรมตั้งนาน คือ ตั้งแตสมัยพวก Etruscans ซึ่งเปนที่เขาใจวาเปนชน เผาแรก ๆ ที่เขามาอาศัยในภูมิภาคนี้ ตอนนั้น เปนชื่อของเมืองของพวกเขา ซึ่งก็ คือ “เมืองวาติกุม” (Vaticum) เนินวาติกันนี้ไมใชเปนเนิน 1 ใน 7 แหงที่มีชื่อเสียงของกรุงโรม อยาลืมนะ ครับ กรุงโรมถูกสรางขึ้นทามกลางเนิน 7 ลูก อาณาจักรโรมันสรางสนามกีฬาขึ้นที่ เนินวาติกันก็เพื่อผนวกบริเวณนี้เขามาในกําแพงเมืองของโรมดวย สนามกีฬาที่วานี้เรา ก็รูจักแลวนั้น ก็คือ สนามกีฬาคาลิโกลา และตอมา เปลี่ยนชื่อเปนสนามกีฬาเนโร ที่ เนินนี้เปนที่ฝงศพของนักบุญเปโตร พระสันตะปาปาองคแรกของคริสตศาสนานิกาย โรมันคาทอลิก ดังนั้น จึงเปนที่ตั้งของมหาวิหารนักบุญเปโตร จนกระทั่งทุกวันนี้
47
พูดถึงมหาวิหารแหงนี้แลวก็จบไมลง ขอเติมอีกหนอยละกันนะครับ มีเรื่อง นารู แตไมมีโอกาสไดเห็น ก็คือ ใตดินมหาวิหารเปนที่ฝงศพของบรรดาคริสตชนในยุค ที่มีการเบียดเบียนศาสนา การขุดคนเรื่องนี้ก็ยังคงทํากันอยู การขุดคนทํากันลึกมาก ถึง 3-4 ชั้น ใตดิน เมื่อครั้งที่สมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯเสด็จเยี่ยม พระองคยังได มีโอกาสเขาชมสวนนี้ดวย แตพวกเราคงเขาไปชมไมได เอาแครูไวก็พอ ภายในมหา วิหารยังมี museum เล็ก ๆ อยูดวย แสดงสมบัติเกาแกของมหาวิหาร(Tesoro do San Pietro) ใครสนใจเขาชมก็ได เสียคนละ 6 ยูโร แตก็คุมคาสตางค เพราะสมบัติ เหลานี้เกาแกและมีคุณ คาจริง ๆ ไปดูเปนบุญตา เพราะไมมีทางที่จะพบที่อื่น สวนผูที่สนใจจะขึ้นไปชมวิวกรุงโรมบนโดมของมหาวิหาร ก็สามารถทําได เชนกัน เขาเรียกโดมมหาวิหารนี้วา “Cupola” ถาเดินขึ้นไปดวยบันได ซึ่งมีทั้งหมด 500 กวาขั้น ก็เสียสตางคคนละ 5 ยูโร แตถาหากขึ้นลิฟทไป ก็จะเสีย 7 ยูโร เสีย สตางค ไ ม พ อ ยั ง ต อ งเดิ น อยู ดี ขึ้ น ไปอี ก 200 กว า ขั้ น ใครจะขึ้ น ไปก็ ค งต อ งฟ ต รางกายกันหนอย ใครเปนโรคหัวใจก็แนะนําวาดูรูปถายเอาดีกวา วิวขางบนนั้นตอง บอกวาสวยงามมาก ทานจะไดเห็นนครวาติกันทั้งหมด สวนอันสวยงามของวาติกัน พระราชวังพระสันตะปาปา ที่ทําการรัฐ หองสมุดวาติกัน หอจดหมายเหตุวาติกัน พิพิธภัณฑ นอกจากนี้ ยังสามารถมองเห็นกรุงโรมไดรอบทิศอีกดวย บอกไดเลยวา คุมคาเหนื่อย เพราะสวยงามมากจริง ๆ และทานจะรูสึกวากําลังลอยอยูบนเมือง สวรรค ประมุขของรัฐวาติกัน ไดแก พระสันตะปาปา คําวาสันตะปาปามาจากคํา ภาษาอิตาเลียนวา “Santo Papa” อานวา “ซันโต ปาปา” เราเรียกไปเรียกมาก็ กลายเปนสันตะปาปา Santo แปลวาศักดิ์สิทธิ์ Papa แปลวาบิดา เพราะฉะนั้น ภาษาอังกฤษเขาจึงเรียกพระสันตะปาปาวา Holy Father คํานําหนาพระสันตะปาปา จึงใชคําวา His Holiness หรือ Your Holiness คําวา Papa ซึ่งแปล วาบิดานี้ หาก ลง Accent ที่พยางคแรก ก็หมายถึง Pope แตหากลง Accent ที่พยางคหลัง ก็ หมายถึงพอของลูกนะครับ (เตี่ย, Daddy) Pope องคแรก ไดแก St. Peter, Pope John Paul II เปนองคที่ 264 Pope Benedict XVI เปนองคที่ 265 2. รัฐวาติกันเปนรัฐอิสระเล็ก ๆ เกิดขึ้นเปนทางการในป ค.ศ. 1929 โดยสนธิสัญญาที่ เรียกวา Lateran Treaty ลงนามโดยพระสันตะปาปา Pius XI และพระเจา Vittorio Emanuel III อาณาเขตก็นิดเดียวครับ ประมาณ 1 ตารางกิโลเมตร ประชากรก็ ประมาณ 1,000 คนเทานั้น อยางไรก็ตาม รัฐวาติกันก็ยังคงมีอาณาเขตพิเศษเปน ของตนดวย เรียกกันวา Extraterritory เชน มหาวิหารสําคัญ ๆ ในกรุงโรม ตึกสําคัญ บางตึก และที่ดินบางแหงในกรุงโรม มหาวิหารนักบุญอันตน ที่เมือง Padova ฯลฯ 48
ขึ้นชื่อวาเปนรัฐอิสระ ก็ตองมีอะไร ๆ เปนของตนเอง นั่นก็คือมีเงินตราของ ตนเอง ปจจุบันก็ใชคาเงินยูโร มีแสตมป มีกองทหารสวิส มีเลขาธิการรัฐ มีกระทรวง ดานตาง ๆ มากมาย ผมก็จะคอย ๆ เลาใหฟงพอสังเขปก็แลวกัน เฉพาะที่นาสนใจ สําหรับนักทองเที่ยวที่มีเวลานอยอยางเรานะครับ 3. ทหารสวิส (Swiss Guard) วาติ กั น เป น รั ฐ ทางศาสนา ดั ง นั้ น จึ ง ไม มี ก องทั พ เรื อ กองทั พ อากาศ กองทัพบก ก็ดีเหมือนกันนะครับ จะไดไมมีการปฏิวัติ (Coup d’Etat) วาติกันมีแต กองทหารองครักษ กองทหารนี้ก็มีจํานวนไมมากนัก แตที่แปลกกวานี้ก็คือ เปนทหาร สวิส แทน ที่จะเปนชาวอิตาเลียน อยางนี้ก็ตอ งอธิบายกันเล็กนอย แมวา ประวัติ ของเรื่องนี้จะมีมายาวนานก็ตาม ในสมัยศตวรรษที่ 15 มีชาวสวิสเปนทหารรับจาง อยูในกองทัพของประเทศ ตาง ๆ ในยุโรป เพราะวา ทหารสวิสมีชื่อเสียงมากในดานระเบียบวินัยและความ จงรักภักดีตอผูวาจาง ปจจุบันมีอยูเฉพาะที่วาติกันเทานั้น กอตั้งขึ้นในป ค.ศ. 1506 โดยพระสัน ตะปาปา จูเ ลี ยส ที่ 2 (1503-1513) ตอนนั้ น กษัต ริย ชาร ลที่ 8 แห ง ฝรั่งเศสกําลังจะทําสงครามกับอาณาจักรเนเปล (Naples) พระสันตะปาปา จูเลียส ที่ 2 เขารวมตอตานอาณาจักร Naples จึงไดขอวาจางทหารสวิสไว 200 นาย ทหาร สวิสกลุมแรกจํานวน 150 นาย เขาสูวาติกัน เมื่อวันที่ 22 มกราคม 1506 และก็ถือ วันนี้เอง เปนวันเริ่มตนกองทหารองครักษแหงวาติกันอยางเปนทางการ และมีการ เฉลิมฉลองครบรอบ 500 ปอยางยิ่งใหญในป ค.ศ. 2006 อยางไรก็ตาม ตอนนั้นก็ไม มีเหตุการณอะไรที่นาตื่นเตน เหตุการณที่เปนประวัติศาสตรของทหารสวิสเกิดขึ้นใน วันที่ 6 พฤษภาคม 1527 เมื่อจักรพรรดิชารลที่ 5 เขาปลนกรุงโรม ทหารสวิส 147 นาย ยอมสละชีวิต เพื่อใหพระสันตะปาปา เคลเมนต ที่ 7 มีเวลาหลบหนีไปได โดย มีทหารสวิสอีก 40 นาย คอยคุมกันอยางใกลชิด เหตุการณนี้ เปนเหตุการณที่ทําใหทหารสวิสสืบสานตํานานแหงความเสียสละ และ กลาหาญ ทําหนาที่เปนองครักษของพระสันตะปาปาและรัฐวาติกัน สืบมาจน ทุกวันนี้ ชาวสวิสถือเปนเกียรติอยางมาก หากมีโอกาสไดทําหนาที่นี้ในชีวิตของตน แตก็ไมใชงายนะครับ ที่จะมาเปนทหารสวิส เพราะเขามี คุณสมบัติเหมือนกัน ก็คือ ตองเปนคาทอลิก มีสัญชาติสวิส และเปนโสด อายุระหวาง 19-30 ป และสูงอยาง นอย 174 เซนติเมตร จบการศึกษาระดับอุดมศึกษา ระยะเวลาของการปฏิบัติหนาที่ ก็คือ 2 ถึง 25 ป ทหารสวิสแตงตัวกันหลายแบบ แลวแตฤดูกาลและโอกาส เวลาที่แตงตัวเต็ม ยศ ดูสงางามมาก คลาย ๆ กับอัศวินโบราณ ชุดที่ดูสวยงามและเปนที่กลาวถึงมาก ที่สุด ก็เห็นจะเปนชุดลายทาง มีหลายสี คือ แดง น้ําเงิน สม เหลือง สวมหมวกแบเล ออกแบบเปนแบบของยุค Renaissance หลายคนเขาใจวา ไมเคิ้ล แอนเจโล เปน ผูออกแบบ แตที่จริงเปนนายทหารคนหนึ่งเทานั้น บางคนก็วาออกแบบโดยราฟาแอลโล ซึ่ง ก็ไ มใ ชอี ก เพี ย งแตว า ราฟาแอลโล เคยวาดรูป พระสั นตะปาปา จู เลี ยส ที่ 2 พรอมกับทหารสวิสเทานั้นเอง 49
ปกติทหารสวิสเปนหนุมหนาตาหลอเหลาเอาการ นักทองเที่ยวก็มักจะกล า ๆ กลัว ๆ จะขอถายรูปกับพวกเขาไดหรือไม ผมมีเพื่ อนเปนทหารสวิสอยูคนหนึ่ง ที่วา เปนเพื่อนก็เพราะเขามีแฟนเปนคนไทย เขาบอกวา พวกเขายินดีจะถายรูปเสมอ หาก วาไมทําใหเสียหนาที่ ก็คือ ถาพบเห็นที่ไหนก็ขอถายรูปได ไมตองกลัวพวกเขา นี่รวม ไปถึงพวกตํารวจชาวอิตาเลียนดวยนะครับ ชาวอิตาเลียนนอกจากจะหลอแลว ยัง แตงตัวเทหอีกดวย 4. พิพิธภัณฑวาติกัน สําหรับผูที่รักงานดานศิลปะ ไมวาจะเปนรูปวาด รูปปน รูปแกะสลัก ผูที่รัก โบราณคดี ไม ว า จะเป น ยุ ด ใด ๆ วั ต ถุ สิ่ ง ของ และความก า วหน า ทางวิ ท ยาการ ประวัติศาสตรอันนาสนใจ พิพิธภัณฑวาติกันมีทุกอยางเหลานี้ ภายในมีพิพิ ธภัณฑ ยอย ๆ หลายแหง โดยมีชื่อเรียกตาง ๆ กันไป เชน Etruscan Museum, Egyptian Museum มี Gallery อยูหลายตอหลายแหง และเมื่อเดือนกันยายน 2007 ที่ผานมา นี้ ก็ เ พิ่ ง จะเป ด พิ พิ ธ ภั ณ ฑ ย อ ยอี ก 2 แห ง ภายใน ได แ ก พิ พิ ธ ภั ณ ฑ แ สตมป และ พิพิธภัณฑเหรียญ ซึ่งตองขอบอกวา แสตมปและเหรียญของวาติกันนั้นมีชื่อเสียงไม แพชาติใด ๆ ในโลก และเปนที่สนใจของผูที่ชื่นชอบแสตมปและเหรียญ ปลายทาง ของพิพิธภัณฑวาติกัน ไดแก โบสถซิสติน (Sistine Chapel) โบสถนี้นาสนใจมาก ๆ เพราะเป น สถานที่ ที่ บ รรดาพระคาร ดิ นั ล ใช ป ระชุ ม เลื อ กตั้ ง พระสั น ตะปาปา ที่ ภาษาอั ง กฤษใช คํ า ว า Conclave ซึ่ ง แปลว า ประชุ ม ภายในห อ งที่ ใ ส กุ ญ แจ หมายความวาเปนความลับเฉพาะ นอกจากนี้ ภายในโบสถซิสตินมีผลงานวาดภาพ ของจิตรกรระดับโลกหลายตอหลายทาน โดยเฉพาะภาพวาด “การตัดสินครั้งสุดทาย” ของไมเคิ้ล แอนเจโล นั้น นาดูที่สุด เพราะภายในภาพนั้นเต็มไปดวยความ หมาย และความเชื่อของศาสนาคริสต ผมเองตองเรียบเรียงภาพนี้ ภาพเดียวตั้ง 4 เดือน เพราะวา ทุกอยางในภาพมีความหมายไปหมด ตั้งแตสี บุคคล ตําแหนงของบุคคลใน ภาพ ความหมายของสวรรค แผ น ดิ น นรก นอกจากนี้ ภาพนี้ ยั ง เป น ภาพที่ ตอเนื่องมาจากภาพอื่น ๆ ภายในโบสถ มีความเชื่อมโยงกันตั้งแตการสรางโลกและ มนุ ษ ย จนกระทั่ ง ถึ ง วั น สุ ด ท า ยของมนุ ษ ยชาติ บรรยายเท า ใดก็ ไ ม มี ท างหมด บรรยายหมดก็ ไ ม เ หมื อ นไปชมด ว ยตนเอง นั ก ท อ งเที่ ย วยุ โ รปเขาขอบมาเยี่ ย ม พิพิธภัณฑแหงนี้มาก มายืนรอกัน ตั้งแตเชาทีเดียว เขาเปดเวลา 8.30 น. – 16.30 น. คาผานประตู 11 ยูโร แตถาหากเปนวันอาทิตยสุดทายของเดือน เขาใหเขาฟรี ตั้งแต 9.00 น. – 12.30 น. จะมีคิวยาวตั้งแตทางเขาออกมาตาม กําแพงวาติกัน สุดลูก หูลูกตาทีเดียว ฝรั่งก็ชอบของฟรีเหมือนกัน เดี๋ยวนี้ ทางเขาพิพิธภัณฑ ก็ทําใหม สวยงามและกวางขวางมาก บอกไดอีกคําหนึ่งวา ใครที่ชมพิพิธภัณฑวาติกันแลวจะ พบไดทันทีวา รัฐวาติกันไมใชรัฐเล็ก ๆ อยางที่เรารู แตเปนรัฐแหงจิตที่ยิ่งใหญจริง ๆ 50
10. Castel Sant’ Angelo
ไมทราบวาจะตั้งชื่อภาษาไทยวาอะไรดี ภาษาอิตาเลี ยนแปลวา “ปราสาทนักบุญ เทวดา” เราแปลงาย ๆ ก็คงจะราว ๆ ปราสาทเทวดาก็แลวกัน หากเรามองจากมหาวิหาร นักบุญเปโตร ไปทางแมน้ําไทเบอร (ภาษาอิตาเลียนใชคําวา Tevere : เตเวเร) เราก็จะ พบกับปราสาทเกา ๆ หลังหนึ่ง เปนรูปทรงกลม และมีรูปเทวดาองคหนึ่งตั้งอยูบนยอด ปราสาท นั่นแหละครับ ที่ผมหมายถึง ถามีคําถามวาปราสาทนี้คืออะไร และเขาใจวาคง ถามอยางเดียว แตไมเขาชมละก็ ตอบแบบนี้นะครับ ปราสาทนี้ คือ ที่ฝงศพของจักรพรรดิเฮเดรียน (Hadrian) และครอบครัวของ พระองค ตอมา ใชเปนปอมปราการและปราสาท ปจจุบันเปนพิพิธภัณฑ แตถ าหากยอม เสียสตางคไปเขาชมละก็ ตองอธิบายใหมากกวานี้หนอย ประการแรกก็คือ ปราสาทนี้ เกาแกมาก สรางตั้งแต ป ค.ศ. 135 หรือ 139 เกาจนไมรูวาปไหนกันแน จักรพรรดิ Hadrian และพระราชินี Sabina ถูกฝงอยูที่นี่ รวมทั้งจักรพรรดิโรมันองคตอ ๆ มาดวย จนถึงป ค.ศ. 401 ปราสาทนี้ถูกปรับเปลี่ยนใหเปนปอมปราการ แรกทีเดียว ก็มีชื่อวา “ที่ฝงศพของเฮเดรียน” ตอมา เปลี่ยนชื่อเปน “ปราสาท เทวดา” ก็เพราะวา มีตํานานเลาขานกันในป ค.ศ. 590 วา อัครเทวดามีคาแอล (Michael) ซึ่งเปนหนึ่งใน 3 เทวดาองคใหญในศาสนาคริสต ปรากฏองคขึ้นมาบนยอดปราสาท เพื่อ ยับยั้งกาฬโรคซึ่งกําลังระบาดอยูในเวลานั้น และกาฬโรคก็ไดยุติลงอยางอัศจรรย ปราสาท นี้ก็ไดรับชื่อใหมนี้ ตั้งแตนั้นเปนตนมา รูปเทวดานี้ทําดวยทองบรอนซในป ค.ศ. 1753 แทนรูปแรกของ Rafaello ที่ทําดวยหินออน พระสันตะปาปาหลายองคในศตวรรษที่ 14 ไดปรับเปลี่ยนโครงสรางของปอม ปราการนี้ ใหมาเปนปราสาท (Castle : Castello) และหากสังเกตดี ๆ นะครับ จากวัง พระสั นตะปาปา จะมีทางเดิน ในช องกํา แพงไปจนถึงปราสาทเทวดาหลังนี้ เลย ชอ ง ทางเดินนี้เขาเรียกวา Passetto di Borgo สรางโดย Pope Nicolas III ชองทางนี้มี ประโยชนในการติดตอกันระหวางวังพระสันตะปาปาและปราสาทหลังนี้ เวลาเดียวกัน ใน ยามฉุกเฉินก็ใชเปนทางหนีภัยของพระสันตะปาปาดวย เชน ตอนที่ Pope Clement VII หนีภัยจากพระเจา Charles V ในการบุกยึดกรุงโรมใน ป ค.ศ. 1527 เปนตน และตอ ๆ มา พระสันตะปาปาก็ ไดปรับปรุงปราสาทนี้ใหเปนที่ประทับของพระสันตะปาปาดวย ปราสาทหลังนี้ก็กลายเปนปราสาทสารพัดประโยชน เพราะตอมาก็ยังถูกปรับเปลี่ยนให เปนคุกขังบรรดานักโทษ และขังพระสันตะปาปาบางองคดวย ดวยเหตุผลทางการเมือง และยังเปนที่ประหารชีวิตนักโทษบางคนอีกดวย 51
ปจจุบันกลายเปนพิพิธภัณฑ ใครอยากชมปราสาทที่เกาแกมาก ๆ จริง ๆ ก็คือที่นี่ แหละครับ ภายในก็มีบารขายเครื่องดื่มใหนั่งชมทิวทัศนของกรุงโรม มีลานที่สวยงาม มี ประวัติศาสตรที่นาสนใจ สําหรับผม อะไร ๆ ก็นาสนใจไปหมด แตสําหรับผูอาน ผมไมรู วาจะนาสนใจขนาดไหนนะครับ ดานหนาของปราสาทก็มีสะพานขามแมน้ําไทเบอร สะพาน นี้มีชื่อเดียวกับปราสาทเลยนะครับ สรางในสมัยจักรพรรดิ Hadrian เหมือนกัน เปน สะพานที่เกาแกมาก เดี๋ยวนี้ไดรับการตกแตงดวยศิลปะบารอค ตั้งรูปเทวดาและรูปประวัติ พระเยซูเจาเพิ่มขึ้นมา นักทองเที่ยวชอบมาถายรู ปที่สะพานแหงนี้มาก เพราะไดความ เกาแกของสะพาน พรอมทั้งปราสาทที่เกาแก จนทําใหรูปของเราดูหนุมดูสาวขึ้นตั้งเยอะ
สักการสถาน DIVINO AMORE
ฉบับนี้พอขอแนะนําสักการสถานแหงหนึ่งใหเรารูจัก เพราะเห็นวามีประโยชน ที่จะรูและมีประโยชนในการแสวงบุญ คริสตังไทยไมคอยคุนเคยกับสักการสถานที่มีชื่อเสียงที่สุดแหงหนึ่งในประเทศ อิตาลี นั่นคือ สักการะสถาน ดิวิโน อะโมเร (Divino Amore) ถาจะใหแปล ก็ตอง แปลวา สักการสถาน “ความรักของพระเจา” นอยคนมากในประเทศอิตาลีที่จะไมรูจัก สถานที่แหง นี้ เปนความศรัทธาที่มีตอ รูปภาพของแม พระรูปหนึ่ ง ไมไดเ กี่ยวของกั บ การประจักษของแมพระแตอยางใด แตเกี่ยวของกับอัศจรรยที่เกิดขึ้นจากการภาวนาตอ หนารูปภาพรูปนี้ ซึ่งมีอยูมากมายจนถึงปจจุบันนี้
อัศจรรยครั้งแรกเกิดขึ้นในป ค.ศ. 1740 สถานที่เกิดอัศจรรย เปนปราสาทเกาแกแหงหนึ่งที่มีชื่อวา “ปราสาทแหงสิงโต” (Castello dei Leoni) ปราสาทหลังนี้สรางขึ้นบนที่ดิน ซึ่งแตเดิม ตั้งแตป ค.ศ. 1081 เปนทรัพยสินของอารามนักบุญเปาโล ตอมา ตกเปนของวัด Santa Sabina และตั้งแตป ค.ศ. 1295 ตกเป น ของครอบครั ว Savelli ระหว า งป นี้ เ องที่ ค รอบครั ว Savelli สรางปราสาทหลังนี้ขึ้น บริเวณหอของกําแพงปราสาทไดติดรูปภาพวาดรูปหนึ่ง เขาใจวา เปนรูปที่วาดโดยสํานักศิลปะของ Pietro Cavallini แตดวยสาเหตุใดแทจริงไมปรากฏ คาดเดาวา อาจเกิดจากแผนดินไหว ทําใหปราสาทแหงนี้พังลงมา และกลายเปนสถานที่ รกราง คง เหลือไวแตสวนหนึ่งของกําแพงและหอที่มีรูปวาดนี้ไวเทานั้น พวกคนเลี้ยง แกะที่เลี้ยงแกะอยูบริเวณนี้จึงใชเปนที่พักผอน และเปนที่สวดสายประคําตอหนารูปวาด รูปนี้
52
รูปภาพวาดนี้เปนรูปของพระนางพรหมจารีมารีอาประทับนั่งบนบัลลังก โดยมี พระเยซูกุมารในออนแขน และมีนกพิราบอยูเหนือศีรษะ นกพิราบนี้เปนสัญลักษณของ พระจิ ตเจา พระจิต เจ านี้ เป น “ความรัก ของพระเจ า ” จึง เป นที่ มาของชื่ อภาพวาดนี้ “แมพระแหงความรักพระเจา” นักเดินทางผูหนึ่ง บางทีอาจจะเปนนักแสวงบุญผูหนึ่ง เราไมทราบชื่อของเขา กําลังมุงหนาไปมหาวิหารนักบุญเปโตร สมัยนั้นมักจะมีผูแสวงบุญเดินทางไปสวดภาวนา หนาหลุมศพนักบุญเปโตรบอย ๆ แตการเดินทางก็เสี่ยงไมใชนอย ทั้งจากการทํารายและ การจี้ปลน แตชายคนนี้หลงทาง และกําลังวิตกกังวลไปตาง ๆ นานา มองเห็นหอกําแพง เกาแหงนี้ จึงมีความหวังวาจะไดรับความชวยเหลือ ในขณะที่กําลังจะเดินผานหอเขาไปภายในกําแพง เขาตองเผชิญหนากับฝูงสุนัขดุ ราย ซึ่งเขามาลอมเขาไว และดูเหมือนวา จะไมมีทางหลบหนีภัยมหันตนี้ได ทําใหเขา ตกใจและหวาดกลัวอยางมาก ชายผูนาสงสารผูนี้ไดมองขึ้นไปยังหอ และเห็นภาพวาดของ แมพระ เขาจึงเปลงเสียงทั้งหมดที่มีอยู กลาววา “พระมารดาของขาพเจา โปรดชวย ดวย” สุนัขทุกตัวหยุดขูกรรโชก และทั้งหมดก็สงบลงทันที ราวกับวามีใครสักคนหนึ่ง สั่งพวกมั นให ทํา เชน นั้น หลังจากนั้ น คนเลี้ยงแกะได มาพบเขา และพาเขาไปชี้ ทาง เพื่อเดินทางไปกรุงโรม ชายผูนี้ไดเลาเรื่องที่ตนเองพบ โดยไมรูจักเหน็ดเหนื่อยเลย คนเลี้ยงแกะหลาย คนก็ไดเลาเรื่องเหลานี้ดวย ทําใหมีผูเดินทางมาสวดภาวนาตอภาพวาดนี้มากขึ้น ๆ และที่ นาอัศจรรยก็คือ คําวอนขอตาง ๆ ไดกลับกลายมาเปนคําขอบคุณสําหรับพระหรรษทาน ต า ง ๆ ที่ ได รั บ จนเป นที่ รู จั กกั นทั่ วไป ในที่ สุ ด พระคาร ดิ นั ล Giovanni Antonio Guadagni ซึ่งเปน Vicario แหง Rome และเปนสมาชิกในคณะคารแมลไมสวมรองเทา ตัดสินใจมาเยี่ยมสถานที่นี้ และกําหนดสถานที่เหมาะสมสําหรับรูปภาพศักดิ์สิทธิ์รูปนี้ - ป ค.ศ. 1742 ยายรูปภาพจากหอเกาแกไปประทับไวที่วัดนอย Santa Maria ad Magor การยายรูปครั้งนั้น ทําใหเกิดความเสียหาย จนกระทั่งตองมีการซอมแซมกัน ตอมาอีกหลายครั้งทีเดียว - 8 มีนาคม 1743 ยายรูปนี้ไปเก็บไวที่ Conservatorio di Santa Caterina della Rota รอใหมีการสรางวัดใหมในสถานที่ที่เกิดอัศจรรย - 19 เมษายน 1745 สร างวั ดเสร็ จสิ้ น และย ายรู ปภาพนี้ มี ฝู งชนจํ านวนมากมาร วม ในขบวนแห ค รั้ ง นี้ พระสั น ตะปาปา เบเนดิ๊ ก ต ที่ 14 ได ม อบพระคุ ณ การุ ญ ครบ บริบูรณแดผูเขา รวมพิธีในโอกาสนี้ดวย และใครก็ตามที่มาเยี่ยมสถานที่นี้ภายใน 7 วัน หลังจากการยายพระรูป ก็ไดรับพระคุณการุญครบบริบูรณเชนเดียวกัน - 31 พฤษภาคม 1750 โอกาสป ศั กดิ์ สิ ทธิ์ ได ม อบถวายวั ดนี้ แด Divino Amore อยางสงา พรอมทั้งใหคําอธิบายไววา “สตรีซึ่งนอมรับที่จะเปนมารดาของพระผูไถนั้น 53
เต็มเปยมไปดวยพระจิตเจา” นั่นคือ Divino Amore ผูที่เปนประธานในวันนั้น ไดแก สังฆราชแหง Padova คารดินัล Carlo Renzonico ซึ่ง 8 ปตอมาไดรับเลือกเปน Pope Clemente XIII นับแตนั้นเปนตนมา สักการสถานแหงนี้ไดกลายเปนศูนยกลางของการจาริกแสวง บุญ โอกาสฉลองครบรอบ 100 ปแหงอัศจรรยแรก 7 มิถุนายน 1840 ไดมีการสราง สะพานและถนนหนทางเพิ่มขึ้น และกษัตริยแหงโปรตุเกส (Michele) ไดเขารวมพิธีดวย
อัศจรรยระหวางสงครามโลกครั้งที่ 2 4 มิ ถุ น ายน 1944 กองทั พ นาซี ถอนกํ าลั งออกจากกรุ งโรม ฝ า ยสั ม พั น ธมิ ต ร เดินเขากรุงโรมอยางสงา เหตุการณนี้เกิดขึ้นอยางอัศจรรย โดยไมมีการสูญเสียเลือดเนื้อ เลย ทหารนาซียึดกรุงโรมอยูเกือบ 9 เดือน ฝายสัมพันธมิตรจําเปนตองขับไลทหารนาซี ออกจากกรุงโรม การหลีกเลี่ยงโจมตีกรุงโรมจึงเปนเรื่องยากมาก พระสันตะปาปา ปโอ ที่ 2 เชิญชวนชาวโรมแหแหนพระรูป Divino Amore ไปตามถนนสายตาง ๆ ในกรุงโรม และไปสวดภาวนาร วมกันต อหนาพระรูปนี้ ที่วัดนักบุ ญอิกญาซีโอที่กรุงโรมเอง ขอให กรุงโรมพนจากการถูกโจมตี - รูปแมพระถูกนํามาที่กรุงโรม เมื่อวันที่ 24 มกราคม 1944 - สัมพันธมิตรยกพลขึ้นบกที่ Anzio วันที่ 22 มกราคม 1944 - รูปแมพระไดรับการแหแหนไปตามวัดตาง ๆ ในกรุงโรม ตามถนนหนทาง และใน เดือนพฤษภาคม 1944 เนื่องจากมีคลื่นมหาชนซึ่งตองการเคารพพระรูป จึงถูกนําไป ตั้งไวที่วัด Lorenzo in Lucina - สัมพันธมิตรทราบดีวา 6 มิถุนายน 1944 เปน “วันดีเดย” (D-Day) จะยกพลขึ้นบก ที่ Normandie ดังนั้น จําเปนตองขับไลทหารนาซีออกจากกรุงโรม เพื่อเสริมกําลัง เขาประเทศเยอรมันนี - 11-12 พฤษภาคม เริ่มสงครามยึดกรุงโรม เวลา 23.00 น. วันที่ 11 พฤษภาคม เริ่มยิงปนใหญถลมเขตทหาร ที่ Eur, Appio เขตทหารใตอาราม Montecassino - 28 พฤษภาคม Pope Pio XII เริ่มอัฐมวารและนพวารแมพระแหง Divino Amore ชาวโรมมารวมพิธีวันละประมาณ 15,000 คน จนทําใหวัด Lorenzo ไมสามารถรับได ตองยายมาที่วัด Ignazio - 4 มิถุนายน 1944 วันสุดทายของอัฐมวารพระจิตเจา เวลา 18.00 น. อานคําบนบาน (Voto) ของชาวโรมตอพระแมแหง Divino Amore สัญญาวา ชาวโรมจะแกไขพฤติ กรรมทางศี ลธรรม จะปฏิ สั งขรณ สั กการสถาน และจะจั ดตั้งงานเมตตาขึ้นที่ ที่เกิ ด 54
อัศจรรยครั้งแรกนั้น Pope Pio XII ตองการจะมาอยูรวมดวย แตไมสามารถออกจาก Vatican ได แตแทบจะเปนเวลาเดียวกันนั้นเอง ฝายนาซีไดรับคําสั่งใหถอนกําลังออก จากกรุงโรม และฝายสั มพันธมิ ตรก็เดิน ทางเข ากรุงโรม เวลา 19.45 น. โดยไม มี การปะทะกันเลย - 11 มิถุนายน 1944 คลื่นมหาชนชาวโรม และ Pope Pio XII ไดนําสวดขอบพระคุณ แมพระที่วัด Ignazio ตอหนารูปพระแมแหง Divino Amore “พระแมปกครอง กรุงโรมใหพนภัย” ตั้งแตนั้น สักการสถานแหงนี้ถือเปนสักการสถานแหง Rome และ ของทุกคน
บุคคลสําคัญของสักการสถาน : Don Umberto Terenzi -
ฟนฟูสักการสถาน เปนเจาอาวาสที่นี่ ตั้งแตป ค.ศ. 1931-1974 23 มกราคม 2004 ดําเนินเรื่องเปนบุญราศีและนักบุญ ทานไดรับอัศจรรยจาก Divino Amore จากอุบัติเหตุทางรถยนต กอตั้งคณะสงฆ Oblati di Divino Amore กอตั้งคณะธิดาแมพระแหง Divino Amore ปจจุบัน คณะนี้ทํางานอยูในหลายประเทศ เชน โคลัมเบีย บราซิล เปรู ฟลิปปนส อินเดีย นิการากัว เปนตน
สักการสถานใหม - เริ่มสรางตั้งแตวันที่ 4 มิถุนายน 1944 - Pope John Paul II เปดและเสกวันที่ 4 กรกฎาคม 1999 - ปจจุบัน สักการสถานแหงนี้มีบานเขาเงียบอบรม และเปนที่สวดภาวนา มีคณะ นักบวชที่คุณพอ Terenzi ตั้งขึ้น เปนผูดูแลบานพักคนชรา
55