

























สารจากรัฐมนตรีว่าการกระทรวงอุตสาหกรรม

ป จจุบัน โลกอุตสาหกรรมกําลังเผชิญกับยุคแห่ง
การเปลียนแปลงครังใหญ่และซับซ้อนอย่างทีไม่เคยเกิดขึน มาก่อน การเคลือนไหวของเศรษฐกิจโลกทีผันผวนและ รุนแรง ความไม่แน่นอนทางภูมิรัฐศาสตร์ ความก้าวหน้าอย่าง
รวดเร็วของเทคโนโลยี
ล้วนสร้างแรงกดดันอย่าง
ต่อเนืองต่อภาคอุตสาหกรรมไทย ป จจัยเหล่านีไม่เพียงแต่
ทดสอบศักยภาพในการปรับตัวของผู้ประกอบการไทย
แต่ยังเป นบทพิสูจน์สําคัญต่อความพร้อมของประเทศ
ในการก้าวไปสู่เศรษฐกิจยุคใหม่ ทีต้องขับเคลือนพร้อมกับ
ความยังยืน ความปลอดภัย สิงแวดล้อม และการปฏิบัติ
ตามมาตรฐานสากล
ในบริบทของความท้าทายทีซับซ้อนนี ทังเรือง
ความสัมพันธ์ระหว่างประเทศ มาตรการกีดกันทางการค้า สงครามการค้า และข้อกําหนดด้านสิงแวดล้อมทีเข้มงวด ล้วนเป นแรงผลักดันให้ภาคอุตสาหกรรมไทย ต้องปรับตัว อย่างเป นระบบและต่อเนือง เพือให้สามารถแข่งขันได้
อย่างมันคงและยังยืน การปรับตัวครังนีไม่ใช่เพียง การเพิมขีดความสามารถทางเศรษฐกิจเท่านัน แต่ยัง สะท้อนความจําเป นในการปรับกระบวนการผลิต การบริหารจัดการทรัพยากรและการใช้เทคโนโลยี และนวัตกรรมให้สอดคล้องกับมาตรฐานสิงแวดล้อม






ภายในประเทศ เป นแนวทางสําคัญในการเพิมผลิตภาพ
การผลิต ยกระดับขีดความสามารถในการแข่งขันและ
สร้างความมันคงทางเศรษฐกิจในระยะยาว ด้วยการ
ส่งเสริมเทคโนโลยีสมัยใหม่ การปรับสายการผลิตและ
การลงทุนในนวัตกรรม ล้วนเป นเครืองมือสําคัญ
ในการสร้างความได้เปรียบทางการแข่งขันและรองรับ
การเติบโตอย่างยังยืน
นอกจากนี กระทรวงอุตสาหกรรมยังเน้นการกํากับดูแล
และสนับสนุนธุรกิจอุตสาหกรรมด้วยแนวคิด เศรษฐกิจ สีเขียว (Green Economy) ผ่านการใช้เทคโนโลยีและ
นวัตกรรมเพือเพิมประสิทธิภาพการตรวจ กํากับ ดูแล รักษาสิงแวดล้อมและความปลอดภัย กระบวนการนี
ครอบคลุมทังการอํานวยความสะดวก (Facilitate)
การสนับสนุนผู้ประกอบการ(Enable) และการตรวจสอบ
และบังคับใช้กฎหมายอย่างเข้มข้น(Regulate)เพือสร้างระบบ อุตสาหกรรมทีปลอดภัยโปร่งใสและยังยืนการปรับปรุงกลไก
การอนุมัติและการอนุญาตโรงงาน การบริหารจัดการมลพิษ และระบบการจัดการกากอุตสาหกรรมอย่างเป นระบบและ มีมาตรฐานจะช่วยให้การบังคับใช้กฎหมายมีประสิทธิภาพ สูงสุดและสร้างความเชือมันให้กับผู้ประกอบการ





ป จจุบันการพัฒนาอุตสาหกรรมของประเทศกําลัง
เทคโนโลยี ซึงโครงสร้างทางเศรษฐกิจและการประกอบการ อุตสาหกรรมของไทยในรูปแบบเดิมเริมแข่งขันได้ยากขึนและ
กําลังเผชิญกับข้อจํากัดหลายด้านจากแนวโน้มของสถานการณ์ ทังภายในประเทศและระดับโลกทังทีเกิดจากป จจัยของการ
ชะลอตัวของเศรษฐกิจโลก สงครามทางการค้า
ด้านสิงแวดล้อมจากการประกอบการหรืออุบัติเหตุจากการ
ประกอบการส่งผลต่อภาคธุรกิจอุตสาหกรรมจึงมีความจําเป น
ทีจะต้องปฏิรูปอุตสาหกรรมไทยไปสู่อุตสาหกรรมเศรษฐกิจ
ยุคใหม่ทีมีประสิทธิภาพและสร้างความยังยืนควบคู่ไปกับ
การขับเคลือนเศรษฐกิจ สังคม และสิงแวดล้อม
ด้วยเหตุนีจึงนํามาสู่นโยบายของกระทรวง
อุตสาหกรรม
“ปฏิรูปอุตสาหกรรมสู่เศรษฐกิจยุคใหม่









การดําเนินการรับเรืองร้องเรียน
เพือสร้าง
ความสมดุลและยังยืน และผมขอขอบคุณทุกท่าน
ทีร่วมเป นพลังสําคัญในการขับเคลือนอุตสาหกรรม
ของประเทศไทยมาอย่างต่อเนือง โดยการยกระดับ
และพัฒนาภาคอุตสาหกรรมไปสู่ความสําเร็จ ซึงต้อง
เกิดจากการร่วมแรงร่วมใจการช่วยเหลือ และการผสาน
พลังของทุกภาคส่วนเพือทีจะก้าวไปสู่สังคมโลก ยุคใหม่ได้อย่างมันคงและยังยืนต่อไป








ชองทางการสื อสารของกรมโรงงานอุตสาหกรรม 01 03 02 04
ภาคผนวก (รายงานการกํากับติดตามการดําเนินงานและการใชงบประมาณ พ ศ.2567)






















































BCG (Bio-CircularGreen Economy) ของรัฐบาล เพือสร้างความสมดุลระหว่าง การเติบโตทางเศรษฐกิจและการอนุรักษ์สิงแวดล้อมอย่างยังยืน ประกอบกับนโยบายรัฐมนตรีว่าการกระทรวงอุตสาหกรรม

ในการดําเนินธุรกิจ 2. ความอยู่ดีกับสังคมโดยรวม ส่งเสริมการทํางาน
ร่วมกันระหว่างสถานประกอบการ ชุมชน และสังคมให้อยู่ร่วมกัน
อย่างเป นมิตรและมีความสุข 3. ความลงตัวกับกติกาสากล ดูแล
รักษาสิงแวดล้อมสู่อุตสาหกรรมสีเขียวและ 4. ต้องมีการบูรณา
การกับภาคส่วนทีเกียวข้อง เพือสร้างอุตสาหกรรมเศรษฐกิจใหม่
ขับเคลือนเศรษฐกิจไทย และประเทศไทยให้เติบโตอย่างสมดุลและ
ยังยืน กรมโรงงานอุตสาหกรรม ตระหนักถึงความสําคัญ
ของเรืองนีเป นอย่างดี เรามุ่งมันทีจะส่งเสริมและสนับสนุน
ให้ผู้ประกอบการทุกท่าน ปรับเปลียนกระบวนการผลิตและ ดําเนินธุรกิจให้เป นมิตรต่อสิงแวดล้อมมากขึน โดยการนํา
เทคโนโลยีสะอาดมาใช้ ลดการปล่อยของเสียและมลพิษ ใช้ทรัพยากรอย่างมีประสิทธิภาพ และส่งเสริมการใช้พลังงาน หมุนเวียนเพือก้าวสู่สังคมคาร์บอนตําและการรับผิดชอบต่อสังคม เราเชือมันว่าการดําเนินธุรกิจอย่างยังยืนไม่ได้เป นเพียงภาระ แต่ยังเป นโอกาสในการสร้างความเข้มแข็งและเพิมขีดความ









ห้ามอาวุธเคมี และกฎหมายอืนทีเกียวข้อง
รวมทังข้อกําหนดหรือข้อตกลงระหว่างประเทศ ตามทีได้รับมอบหมาย
2. ศึกษา พัฒนา วิเคราะห์ วิจัย และส่งเสริม
การประกอบกิจการโรงงานและธุรกิจอุตสาหกรรม




































































พ.ศ. 2567
1 เมษายน 2568
เข็มเชิดชูเกียรติแก่ข้าราชการพลเรือนดีเด่นประจําป พ.ศ. 2567 เนืองในวันข้าราชการพลเรือน ประจําป พ.ศ. 2568 โดยได้รับเกียรติจาก นางสาวแพทองธาร ชินวัตร นายกรัฐมนตรี เป นประธานในพิธีมอบเกียรติบัตรและเข็มเชิดชูเกียรติแก่ ข้าราชการพลเรือนดีเด่น ประจําป พ.ศ. 2567
ข้าราชการดีเด่นของ กรมโรงงานอุตสาหกรรมทีเข้ารับมอบเกียรติบัตรและเข็มเชิดชูเกียรติ จํานวน 2 คน ได้แก่ 1. นางสาวอรทัย






เสริมความรู้ภาคอุตสาหกรรม :
เพิมความปลอดภัยรักษาสิงแวดล้อมเพิมประสิทธิภาพ
การพัฒนาประสิทธิภาพการใช้พลังงานในอุตสาหกรรมอาหารและเครืองดืม การพัฒนาศักยภาพโรงงานอุตสาหกรรมสู่การผลิตแบบดิจิทัลและ Lean Manufacturing การเพิมประสิทธิภาพการผลิต
หรือนวัตกรรม






ภาคอุตสาหกรรม ถือเป นกลไกสําคัญทีขับเคลือนเศรษฐกิจของประเทศ
การจ้างงานจํานวนมาก
ทีก่อให้เกิดของเสียอันตรายหรือมีความเสียงสูง
สิงแวดล้อมโดยรอบได้ กรมโรงงานอุตสาหกรรมจึงมีภารกิจทีสําคัญในการตรวจสอบและกํากับดูแล สถานประกอบการเหล่านีอย่างเข้มงวด
ห้องปฏิบัติการวิเคราะห์เอกชน
อุตสาหกรรมจึงเป นเสาหลักทีสําคัญในการ สร้างสมดุลระหว่างการพัฒนาอุตสาหกรรม ทีเข้มแข็งและการรักษาคุณภาพชีวิตของ ประชาชน รวมทังการอนุรักษ์สิงแวดล้อม เพือให้เศรษฐกิจไทยเติบโตได้อย่างยังยืน






วัตถุทีก่อให้เกิดการเปลียนแปลงทางพันธุกรรม วัตถุกัดกร่อน วัตถุทีก่อให้เกิดการระคายเคือง
และวัตถุอย่างอืนไม่ว่าจะเป นเคมีภัณฑ์หรือสิง อืนใดทีอาจก่อให้เกิดอันตรายแก่บุคคล สัตว์ พืช ทรัพย์หรือสิงแวดล้อมโดยมีหน่วยงานผู้รับผิดชอบ ในการควบคุมวัตถุอันตรายให้เป นไปตามพระราช
พ.ศ. 2535 ได้แก่ กรมวิชาการเกษตร กรมประมง
สํานักงานคณะกรรมการอาหารและยา (อย.) กรมโรงงานอุตสาหกรรม
โดยในส่วนของกรมโรงงานอุตสาหกรรม มีบทบาท สําคัญในการควบคุม กํากับ และดูแลการดําเนินการ
วัตถุอันตรายทีใช้ในภาคอุตสาหกรรม ครอบคลุม กิจกรรมต่างๆเช่นการผลิตการนําเข้าการส่งออก และการมีไว้ในครอบครอง การดําเนินการเหล่านี
อยู่ภายใต้พระราชบัญญัติวัตถุอันตราย พ.ศ. 2535
และทีแก้ไขเพิมเติม







ในส่วนการกํากับดูแลสถานทีเก็บรักษาวัตถุ อันตราย ป งบประมาณ 2567
1
ตุลาคม 2566 – 30 กันยายน 2567 มีการ
ตรวจสอบกํากับดูแลสถานทีเก็บรักษาวัตถุ
อันตราย จํานวน 734 แห่ง และมีการจับกุม
และดําเนินคดีตามพระราชบัญญัติวัตถุอันตราย






การป องกันการนําวัตถุอันตรายไปใช้ผิดวัตถุประสงค์
กรมโรงงานอุตสาหกรรมมีมาตรการป องกันการนําวัตถุอันตรายไปใช้ผิดวัตถุประสงค์
เช่น การใช้สารโซเดียมไซยาไนด์เพือผลิตยาเสพติด
การบริหารจัดการสารโซเดียมไซยาไนด์
1. กําหนดให้ตรวจสอบและอนุมัติ
การลงทะเบียนยืนยันตัวตนของผู้ซือ (end user) สารโซเดียมไซยาไนด์ (เพิมเติม) ในระบบแจ้งข้อมูลการซือขายวัตถุอันตรายควบคุมพิเศษของ กรมโรงงานอุตสาหกรรม
2. ออกประกาศกรมโรงงานอุตสาหกรรม ลงวันที 10 ตุลาคม พ.ศ. 2566
(end user) ทีได้ลงทะเบียนยืนยันตัวตนในระบบ แจ้งข้อมูลการซือ-ขายวัตถุอันตรายควบคุม พิเศษของกรมโรงงานอุตสาหกรรม

3.
(end user) ซึงเป น
โรงงานชุบโลหะทีมีการใช้สารโซเดียมไซยาไนด์ ในปริมาณสูง เพือติดตามว่านําสารโซเดียม
ไซยาไนด์ไปใช้ในภาคอุตสาหกรรมจริง
4. ตรวจสอบสถานทีเก็บรักษาสารโซเดียม
ไซยาไนด์
และปริมาณคงเหลือจากการนําเข้า
ในป พ.ศ. 2566 ของผู้นําเข้าจํานวน 5 ราย
โดยลงพืนทีตรวจสอบร่วมกับสํานักงาน
คณะกรรมการป องกันและปราบปราม
ยาเสพติด (สํานักงาน ป.ป.ส.) และกอง อํานวยการรักษาความมันคงภายใน
(กอ.รมน.)
5. ออกประกาศกรมโรงงานอุตสาหกรรม
(end user) สารโซเดียมไซยาไนด์ ทีได้ลงทะเบียนยืนยัน ตัวตนในระบบแจ้งข้อมูลการซือ-ขาย วัตถุอันตรายควบคุมพิเศษของกรมโรงงาน อุตสาหกรรมและปริมาณสารโซเดียมไซยาไนด์ ทีอนุญาตให้นําเข้ามาในราชอาณาจักรเพือใช้ใน ภาคอุตสาหกรรม (ครังที 1) ประจําป พ.ศ. 2567

การจัดทําหนังสือขอความร่วมมือสํานักงานคณะกรรมการคุ้มครองผู้บริโภค ควบคุมวัตถุอันตราย จําพวกสารประกอบไซยาไนด์ โดยกําหนดไม่ให้มีการโฆษณาและจําหน่ายวัตถุอันตรายจําพวกสารประกอบ
เพือปรับปรุงการจัดชนิดวัตถุอันตรายในกลุ่มสารประกอบไซยาไนด์ จํานวน 6 รายการ จากเดิมทีมีการ ควบคุมเป นวัตถุอันตรายชนิดที 1 ให้ยกระดับเป นวัตถุอันตรายชนิดที
การควบคุมและกํากับดูแลโรงงานอุตสาหกรรมทีรับดําเนินการ
ของเสียอันตรายและโรงงานอุตสาหกรรมหรือสถานประกอบ กิจการทีมีความเสียงทีจะมีผลกระทบต่อประชาชนและสิงแวดล้อม
กรมโรงงานอุตสาหกรรมดําเนินการจัดทําแผน และลงพืนทีตรวจติดตาม/ตรวจสอบ โรงงาน
อุตสาหกรรม ทีได้รับอนุญาตประกอบกิจการโรงงาน ประเภท101105และ106จํานวน200แห่งทัวประเทศ เพือเฝ าระวัง กํากับดูแลให้โรงงานอุตสาหกรรมต่าง
ปฏิบัติตามกฎหมายในการจัดการของเสีย อย่างถูกต้องตามหลักวิชาการ



จากการตรวจสอบพบว่า เกิดจากการประกอบกิจการ
ของ บริษัท วิน โพรเสส จํากัด ทีไม่ดําเนินการบําบัด
กําจัดของเสียอุตสาหกรรมให้เป นไปตามหลักวิชาการ มีการรัวไหลออกสู่พืนทีนอกบริเวณโรงงาน เกิดความเสียหายแก่บุคคลทรัพย์สินหรือสิงแวดล้อม
ทีอยู่ใกล้เคียงกับโรงงาน
ทังนี ศาลจังหวัดระยอง
บริษัท
วิน โพรเสส จํากัด และนางสาววิชชุดาหรือใหม่ ไกรพงษ์ มีโทษเปรียบเทียบปรับและโทษจําคุก โดยรอลงอาญาไว้ก่อน ทังนี บริษัทฯ ต้องรับผิดชอบ ดําเนินการกําจัดของกลางทีเป นวัตถุอันตรายให้ ถูกต้องตามหลักวิชาการทังหมดและต่อมาศาลจังหวัด ระยองมีกระบวนการวิธีพิจารณาให้ บริษัท วิน โพรเสส จํากัด กับพวกดําเนินการจัดทําสัญญาจ้างผู้รับบําบัด ของเสียทังภายในอาคารและภายนอกอาคาร (บ่อบําบัด
นําเสีย) ให้แล้วเสร็จภายในกรกฎาคม 2566 เมือสินสุดระยะเวลาตามสัญญาทีให้ บริษัท วิน
โพรเสส จํากัด ดําเนินการจัดการให้แล้วเสร็จ
ปรากฏว่าบริษัทฯ ยังดําเนินการไม่แล้วเสร็จ
ทังสองบริษัท คือ ผู้ว่าจ้างและผู้รับจ้างจัดการของเสีย มีหนังสือแจ้งต่อศาลขอขยายระยะเวลาดําเนินการ ออกไปถึงเดือนธันวาคม 2566 และเมือสินสุด
ระยะเวลาทีขอขยายแล้ว
ตรวจสอบพบว่าทังสองบริษัทยังร่วมกันดําเนินการ จัดการของเสียไม่แล้วเสร็จตามทีขอขยายระยะเวลา ต่อศาล กรมโรงงานอุตสาหกรรมจึงมีหนังสือถึง กรมคุมประพฤติ กระทรวงยุติธรรม และขอแถลง ความคืบหน้าและอุปสรรคต่ออัยการจังหวัดระยอง เพือให้เกิดการบังคับคดีต่อไป
นอกจากนัน กรมโรงงานอุตสาหกรรมยังได้ ดําเนินการแก้ไขป ญหา บริษัท วิน โพรเสส จํากัด ดังนี
1. จัดทําแผนการดําเนินงานป องกันและแก้ไข ป ญหาสารเคมีรัวไหล ซึงเกิดจากการลักลอบ เก็บของเสียเคมีวัตถุจํานวนมากภายในพืนที โรงงานและเกิดเพลิงไหม้ เมือวันที 22 เมษายน 2567 ทําให้สารเคมีและมลพิษเกิดการแพร่กระจาย และต่อมาเมือเข้าสู่ช่วงฤดูฝนจึงเกิดป ญหาการชะล้าง สารเคมีทีรัวไหล
ป ญหาสารเคมีรัวไหล แบ่งเป น 2 ระยะ ดังนี ระยะที 1 ป พ.ศ. 2567 ไตรมาสที 3 – ป พ.ศ. 2569 ระยะที 2 ป พ.ศ. 2568 ไตรมาสที 4 – ป พ.ศ. 2571 2. การดําเนินการการขนย้ายของเสียเพือ นําไปบําบัด/กําจัด กรมโรงงานอุตสาหกรรม
2. เงินจากการจําหน่ายเศษวัสดุทีได้รับความ เสียหายจากเหตุเพลิงไหม้และสามารถนํากลับไปใช้ ประโยชน์ใหม่ได้ (หากมี)
3. กรณีมีผู้ประสงค์ทํากิจกรรมความรับผิดชอบ ต่อสังคมและสิงแวดล้อมขององค์กร

กรณีหากตรวจพบการลักลอบฝ งหรือทิงวัตถุอันตรายลงชันใต้ดิน ซึงทําให้มีการปนเป อนดินและนําใต้ดินหรือ แพร่กระจายสู่สิงแวดล้อม)
กรมโรงงานอุตสาหกรรม ได้ดําเนินการขนย้ายของเสียตามแผนการดําเนินงานในการจัดการของเสีย
ในโรงงาน ตามทีศาลจังหวัดระยองได้ให้ความเห็นชอบ
การดําเนินการระยะเร่งด่วน
ได้แก่ ตะกรันอลูมิเนียม ในอาคาร 3 โดยใช้เงินทีจําเลยวางไว้ต่อศาลอยู่เดิมจํานวน 4.9 ล้านบาท ดําเนินงานโครงการ
จ้างเหมาบริการการบําบัด/กําจัดตะกรันอลูมิเนียมทีอยู่บนดินภายในพืนที บริษัท
อําเภอบ้านค่าย จังหวัดระยอง จํานวน 5,491.66 ตัน เพือนําไปเป นวัตถุดิบทดแทนในเตาอุตสาหกรรมซีเมนต์ อีกทังยังร่วมกับ ภาคเอกชนเตรียมความพร้อมในการวางท่อส่งนําและจัดทําคันดินอย่างเร่งด่วน เพือป องกันไม่ให้นําฝน
ธรรมชาติ) ไหลลงมาปนเป อนกับนําเสียของบริษัท
ซึงเป นการช่วยลดผลกระทบต่อประชาชนในพืนทีข้างเคียง
นอกจากนี ยังอยู่ในระหว่างเสนอขอรับจัดสรรงบประมาณรายจ่ายกลาง รายการเงินสํารองจ่ายเพือกรณีฉุกเฉิน หรือจําเป นประจําป งบประมาณ พ.ศ.
และบําบัด/กําจัดวัตถุ อันตรายทีอยู่ในบ่อคอนกรีตพืนทีระหว่างอาคาร 3 กับ อาคาร 5 รวมปริมาณทังสิน 4,000 ตัน รวมทัง อยู่ระหว่างการขอรับจัดสรรงบประมาณโครงการ
ภายใต้แผนงานบูรณาการเขตพัฒนาเศรษฐกิจพิเศษ
ภาคตะวันออก ป งบประมาณ พ.ศ. 2569 เพือจัดการ
สารเคมีและของเสียอันตรายทีต้องกําจัดทีเหลืออยู่
ในอาคารโรงงาน พืนทีโดยรอบอาคาร (บนดิน) และ
นําเสียในบ่อกักเก็บในพืนทีบริษัทฯ สาขาบ้านค่าย
และพืนทีบริษัทฯ สาขาโขดหิน

สืบเนืองจากเครือข่ายคนรักษ์ต้นนําจังหวัด ราชบุรี ได้ร้องเรียนว่าได้รับความเดือดร้อน จากกลินเหม็นสารเคมี รวมถึงมีการปนเป อนนํา ผิวดินและใต้ดินทําให้ประชาชนไม่สามารถนํานําจาก แหล่งนําธรรมชาติมาใช้ในการทําการเกษตรส่งผลให้ ประชาชนขาดรายได้มาเป นเวลานานกว่า 20 ป รวมถึงนําใต้ดินทีมีการปนเป อนของสารอินทรีย์ ระเหย ทําให้มีกลินเหม็น






โดยบริเวณดังกล่าวเป นโกดังเก่า จํานวน 5 หลัง ไม่มีใบอนุญาตประกอบกิจการโรงงานและไม่มี ใบอนุญาตครอบครองวัตถุอันตราย ภายในอาคาร
มี Lugger Box หรือภาชนะเหล็กสําหรับใช้บรรทุก
กากอุตสาหกรรม มีของเหลวซึงเข้าข่ายเป นวัตถุ อันตรายบรรจุ ในถังขนาด 200 ลิตร ถังขนาด
1,000 ลิตร และแกลลอนพลาสติก รวมทัง
เศษวัสดุปนเป อนทีมีกลินเหม็นฉุนสารเคมี
จํานวนมาก ตรวจสอบพบเข้าข่ายเป นวัตถุอันตราย ชนิดที 3 ตามพระราชบัญญัติวัตถุอันตราย พ.ศ. 2535 อีกทังยังพบจุดทิงสารเคมีบริเวณบ่อนําด้านหน้าโกดัง หมายเลข 3 มีของเหลวมีความเป นกรดแก่
กรมโรงงานอุตสาหกรรม เห็นว่า สารเคมีบ่อนํา หน้าโกดัง 3 เป นจุดเสียงทีอาจจะส่งผลกระทบ ต่อคุณภาพสิงแวดล้อมนําใต้ดินและนําผิวดิน บริเวณโดยรอบโรงงาน จึงขอความร่วมมือไป ยังกลุ่มจัดการสิงแวดล้อม สภาอุตสาหกรรม แห่งประเทศไทย ทําการขุดลอกดินและเศษวัสดุ ทีไม่ใช้แล้วทีป ดทับปกคลุมแล้วเคลือนย้ายไปไว้
IBC ขนาด 1,000 ลิตร และนําไปเก็บไว้
ในอาคารหมายเลข 2 และ 3 จํานวน 312 ถัง จากเหตุการณ์ข้างต้นกรมโรงงานอุตสาหกรรม
ได้อาศัยอํานาจตามพระราชบัญญัติวัตถุอันตราย พ.ศ. 2535 สังการให้ บริษัท เพชรพืชผล จํากัด และนายวิวัฒน์ ศักดิเจริญชัย
กับกระทําดังกล่าว
และของเสียเคมีวัตถุทีตกค้างทังหมดในพืนทีออกไป จัดการให้หมด โดยให้เป นไปตามข้อกฎหมายและ หลักวิชาการ เมือครบกําหนดเวลาตามคําสังปรากฏว่า ผู้ทีเกียวข้องข้างต้นยังมิได้นําสิงปฏิกูลหรือวัสดุทีไม่ใช้แล้ว




2567 (ครังที 1) และวันที 1 พฤษภาคม 2567 (ครังที 2) ซึง
กรมโรงงานอุตสาหกรรมและหน่วยงานทีเกียวข้อง ในจังหวัดพระนครศรีอยุธยา
ป องกันไม่ให้เกิดเหตุซํา
เกิดการแพร่กระจายของสิงปฏิกูลหรือวัสดุทีไม่ใช้แล้ว และของเสียเคมีวัตถุทีตกค้างเช่นการปรับเสถียรตะกอน ดินและนํากรดในบ่อดินด้วยหินฝุ น

10140000725574 (ทะเบียนโรงงานรูปแบบเดิม
3-106-7/57
ด้วยตัวทําละลาย นํานํามันหล่อเย็นทีใช้แล้วมาผ่าน กระบวนการกรอง เพือนํากลับมาใช้ประโยชน์ใหม่ บดย่อยแผงวงจรและชินส่วนอิเล็กทรอนิกส์ คัดแยกสิงปฏิกูลหรือวัสดุที
ของเสียอันตราย ตังอยู่ ณ เลขที 99 หมู่ที 4 ตําบลสามบัณฑิต อําเภออุทัย จังหวัดพระนครศรีอยุธยา
สืบเนืองจากป 2566 เจ้าหน้าทีกรมโรงงาน อุตสาหกรรม และเจ้าหน้าทีสํานักงานอุตสาหกรรม จังหวัดพระนครศรีอยุธยา ได้เข้าตรวจสอบบริษัทฯ พบการจัดการวัตถุดิบผลิตภัณฑ์ไม่เป นไปตามหลัก วิชาการ และพบถังสารเคมีชํารุดรัวไหลส่งกลินเหม็น ภายในโรงงาน เจ้าหน้าทีจึงได้ออกคําสังให้ปรับปรุง แก้ไข โดยให้บริษัทฯ





โครงการฝ กอบรม “การยืนยันค่า Limit of Detection (LOD) และ Limit of Quantitation (LOQ) เพือสอดคล้องกับค่ามาตรฐาน
การเป นห้องปฏิบัติการวิเคราะห์เอกชน ทีขึนทะเบียนกับกรมโรงงานอุตสาหกรรมจะต้อง แสดงขีดความสามารถในการตรวจวัดของวิธีวิเคราะห์ที ห้องปฏิบัติการนํามาใช้โดยค่าปริมาณตําสุดทีสามารถ วัดได้ (Limit of Detection, LOD) และค่าปริมาณตําสุด ทีสามารถวัดได้โดยมีความแม่นและความเพียง (Limit of Quantitation, LOQ)
กรมโรงงานอุตสาหกรรม จึงได้จัดโครงการ ฝ กอบรม “การยืนยันค่า LOD และ LOQ เพือสอดคล้อง กับค่ามาตรฐาน” ให้กับเจ้าหน้าทีและห้องปฏิบัติการ วิเคราะห์เอกชนทีขึนทะเบียนกับกรมโรงงานอุตสาหกรรม โดยดําเนินการฝ กอบรมผ่านระบบออนไลน์ (Application Zoom) เมือวันอังคารที 27 กุมภาพันธ์ 2567 เวลา 9.00-14.30 เพือเป นการเสริมสร้างความรู้ ความเข้าใจ และสามารถดําเนินการกําหนด คํานวณ และทดสอบค่า
LOD และ LOQ อย่างถูกต้อง และสอดคล้องกัน ตามหลักวิชาการและใช้ประกอบการขึนทะเบียนห้องปฏิบัติ การวิเคราะห์เอกชนกับกรมโรงงานอุตสาหกรรมได้ ตามกฎหมาย ซึงผู้สนใจเข้าร่วมฝ กอบรมมากกว่า 300 คน
2566

(Zoom Application)
ณ ห้อง 101 อาคารกรมโรงงานอุตสาหกรรม
300 คน






โครงการควบคุมและป องกัน PM2.5
เพือลดการปล่อยฝุ นละอองจากโรงงานอุตสาหกรรม
กิจกรรมหลักของโครงการประกอบด้วยการตรวจ
โรงงานเชิงรุกในพืนทีกรุงเทพมหานครและปริมณฑล รวมถึง 17 จังหวัดภาคเหนือ ซึงตรวจไปแล้วกว่า 2,404
โรงงาน นอกจากนี ยังมีการปรับปรุงมาตรฐานการระบาย มลพิษทางอากาศจากโรงไฟฟ า เพือควบคุมมลพิษ
ทีต้นทาง และจัดฝ กอบรมแนวทางการปฏิบัติ
เพื อป องกันและลดฝุ นละอองให้กับบุคลากร
ในภาคอุตสาหกรรม
ผลสําเร็จของโครงการนีคือการตรวจพบและแก้ไข ป ญหาการปล่อยฝุ นละอองจากโรงงานกลุ่มเสียง พร้อมทังสร้างความตระหนักและความรู้ให้กับผู้ประกอบการ และบุคลากรในภาคอุตสาหกรรม การปรับปรุงมาตรฐาน การระบายมลพิษทางอากาศยังสอดคล้องกับพันธกรณี ของอนุสัญญามินามาตะว่าด้วยปรอท และมาตรฐานสากล ซึงช่วยปกป องสุขภาพของประชาชนและคุณภาพสิงแวดล้อม


ในพืนทีภาคตะวันออก ได้ดําเนินการจากโรงงานทีมีป ญหา
มลพิษร้องเรียน หรือร้องเรียนซําซากในเขตภาคตะวันออก
และกําหนดการตรวจวัดฝุ นละออง (TSP PM10 และ PM2.5)
จากปล่องระบายออกนอกโรงงานหรือในบรรยากาศ
โดยทัวไป ในพืนทีเป าหมาย จํานวน 5 โรงงาน
สําหรับพืนทีภาคตะวันตก ได้ดําเนินการเฝ าระวัง
และควบคุมมลพิษทางอากาศจากโรงงานนําตาล 17 แห่ง
ใน 8 จังหวัด ซึงเป นพืนทีทีมักเผชิญกับป ญหาฝุ นละออง
และมลพิษในช่วงฤดูการผลิตระหว่างเดือนธันวาคมถึง มีนาคมของทุกป มีเป าหมายหลักเพือการตรวจวัด และวิเคราะห์ปริมาณฝุ นละอองจากแหล่งปล่อยมลพิษ ในโรงงาน รวมถึงการตรวจวัดในบรรยากาศรอบนอก เพือประเมินคุณภาพอากาศในชุมชนใกล้เคียง นอกจากนียังเน้นการเฝ าระวังและการวางแผนรับมือ ผลกระทบด้านมลพิษ โดยใช้ข้อมูลการตรวจวัดและ วิเคราะห์เป นพืนฐานในการกําหนดนโยบายและมาตรการ ควบคุมคุณภาพอากาศในอนาคตต่อไปสามารถลดผลกระทบ ต่อชุมชนและสิงแวดล้อมได้อย่างยังยืน ซึงจากการตรวจวัด



กรมโรงงานอุตสาหกรรมตระหนักถึงความสําคัญ ของการรักษาคุณภาพนําในแม่นําลําคลอง ซึงเป นแหล่ง
รองรับนําทิงจากภาคอุตสาหกรรม และชุมชน จึงได้ดําเนิน
โครงการเฝ าระวังคุณภาพแหล่งรองรับนําทิงอย่างต่อเนือง
เพือตรวจสอบผลกระทบทีมีต่อระบบนิเวศน์
1 การเฝ าระวังคุณภาพนําในพืนทีแม่นําแม่กลอง
และแม่นําท่าจีนป งบประมาณ2567กรมโรงงานอุตสาหกรรม ได้ดําเนินโครงการเฝ าระวังคุณภาพนําในพืนทีแม่นําแม่กลอง
และแม่นําท่าจีน โดยแม่นําแม่กลองมีการเก็บตัวอย่างนํา 19 จุดครอบคลุมสามจังหวัด ได้แก่ กาญจนบุรี (8 จุด)
ราชบุรี (8 จุด) และสมุทรสงคราม (3 จุด) ส่วนแม่นําท่าจีน
24
สุพรรณบุรี (6 จุด) นครปฐม (15 จุด) และสมุทรสาคร (3 จุด) ระหว่างเดือนธันวาคม 2566 ถึงกันยายน 2567 ผลการตรวจวัดแม่นําแม่กลองตลอดระยะเวลา โครงการพบว่าคุณภาพนําจัดอยู่ในประเภทที4โดยมีค่าเฉลีย BOD1.6มก./ล.และDO3.1มก./ล.ซึงไม่เป นไปตามมาตรฐาน ทีกําหนดให้แม่นําแม่กลองควรอยู่ในประเภทที 3
สําหรับแม่นําท่าจีนนัน น่าเป นห่วงมากยิงขึน เมือผลตรวจวัดพบว่าคุณภาพนําเสือมโทรมลงจนจัดอยู่ใน ประเภทที 5 ทังสามช่วงของแม่นํา โดยมีค่า BOD สูงถึง
4.7มก./ล.และDOตําเพียง1.1มก./ล.ในช่วงสมุทรสาคร ซึงแย่กว่ามาตรฐานทีกําหนดไว้อย่างมาก
ข้อมูลทีได้จากโครงการนีชีให้เห็นถึงป ญหาสําคัญ
สองประการ
ประการแรกคือคุณภาพนําในทังสองแม่นํา ไม่เป นไปตามมาตรฐานทีกําหนด โดยเฉพาะแม่นําท่าจีน
ทีเสือมโทรมอย่างชัดเจน ประการทีสองคือมีแนวโน้ม ทีคุณภาพนําจะแย่ลงเมือใกล้ปากแม่นํา โดยเฉพาะในเขต
สมุทรสาครซึงเป นพืนทีอุตสาหกรรมหนาแน่น กรมโรงงาน อุตสาหกรรมจึงมีแผนทีจะควบคุมการระบายนําทิง จากโรงงานอุตสาหกรรมอย่างเคร่งครัดเพือฟ นฟู คุณภาพนําโดยเฉพาะในแม่นําท่าจีน
2.การเฝ าระวังคุณภาพนําคลองแม่ข่าจังหวัด เชียงใหม่ กรมโรงงานอุตสาหกรรมดําเนินการเก็บตัวอย่างนํา
มาวิเคราะห์ในเขตอําเภอแม่ริม และอําเภอเมืองเชียงใหม่
จํานวน 8 จุด โดยมีความถีทุก ๆ 2
ตุลาคม 2566 ถึงกันยายน 2567 คุณภาพนําคลองแม่ข่า ทีทําการตรวจวัดภาคสนามเบืองต้น และการวิเคราะห์ จากห้องปฏิบัติการจัดอยู่ในแหล่งนําประเภทที5โดยพิจารณา จากเปอร์เซ็นไทล์ที80ของบีโอดี(BOD)เท่ากับ18.8มก./ล. และเปอร์เซ็นไทล์ที 20 ของปริมาณออกซิเจนละลาย (DO)
0.5 มก./ล.

3.การเฝ าระวังคุณภาพนําลุ่มนํากวงจังหวัดลําพูน




พบว่าลําตะคองมีอุณหภูมิอยู่ในช่วง 27.9 – 33.3 องศา
เซลเซียส ค่าความเป นกรดด่างอยู่ในช่วง 6.6 – 7.8
ค่าความสามารถในการละลายของออกซิเจน (DO) ทีค่าเปอร์เซ็นไทล์ที 20 เท่ากับ 5.3 มก./ล. ส่วนบีโอดี (BOD) ทีค่าเปอร์เซ็นไทล์ที 80 เท่ากับ 3.8 มก./ล.

7. การเฝ าระวังคุณภาพนําลํานํามูล จังหวัด

พบว่าลํานํามูลมีอุณหภูมิอยู่ในช่วง 28.0 – 31.4 องศา
เซลเซียส ค่าความเป นกรดด่างอยู่ในช่วง 6.7 – 7.6
ค่าความสามารถในการละลายของออกซิเจน (DO)
ทีค่าเปอร์เซ็นไทล์ที 20 เท่ากับ 4.9 มก./ล. ส่วนบีโอดี (BOD)
ทีค่าเปอร์เซ็นไทล์ที 80 เท่ากับ 4.2 มก./ล.

8. การเฝ าระวังคุณภาพนําลํานําโดม จังหวัด
ตังแต่สะพานบ้านนาเยีย ตําบลนาเยีย อําเภอนาเยีย ไปจนถึง
วัดท่าปากโดม ตําบลโพธิไทร อําเภอพิบูลมังสาหาร เป นจุดสุดท้ายก่อนบรรจบกับลํานํามูล พบว่าลํานําโดม มีอุณหภูมิอยู่ในช่วง 24.4 – 33.4 องศาเซลเซียส ค่าความเป นกรดด่างอยู่ในช่วง 6.6 - 8.4 ค่าความสามารถ ในการละลายของออกซิเจน (DO) ทีค่าเปอร์เซ็นไทล์ที 20
เท่ากับ 5.3 มก./ล. ส่วนบีโอดี (BOD) ทีค่าเปอร์เซ็นไทล์
ที 80 เท่ากับ 3.0 มก./ล.

(DO), บีโอดี (BOD), ซีโอดี (COD),



2. ค่า DO ตําสุดที 1.67 มก./ล.



1. คลองแงะ มีป ญหาการสะสมโลหะหนักซึงจะต้องทําการศึกษาสาเหตุ
2. คลองแห ค่า BOD และ TKN สูงจากชุมชนหนาแน่นทีขาดระบบบําบัดนําเสียทีได้มาตรฐาน
3. คลองหวะ
4. ตัวเมืองสะเดา




สนับสนุนการนําเทคโนโลยีต่าง



สําคัญต่อเศรษฐกิจของประเทศไทย เนืองจาก
เกียวข้องโดยตรงกับภาคเกษตรกรรม
พืนฐานของวิถีชีวิตและอาชีพของประชากรไทย มาอย่างยาวนาน อุตสาหกรรมนีทําหน้าทีสําคัญในการ
นําวัตถุดิบทางการเกษตรมาแปรรูปให้มีมูลค่าเพิม ช่วยสร้างรายได้ให้กับเกษตรกรและส่งเสริม
10,389
การลงทุนรวมกว่า 859,144 ล้านบาท และมีแรงงาน

ให้มีความแข็งแกร่งและสามารถแข่งขันในตลาดโลกได้อย่างยังยืนในอนาคต
เทคโนโลยีและกระบวนการผลิตอย่างต่อเนือง
(Waste Heat Recovery) การติดตังแผงเซลล์แสงอาทิตย์เพือลดการพึงพาพลังงานจากเชือเพลิงฟอสซิล
มีเป าหมายเพือสนับสนุนให้โรงงานอุตสาหกรรมสามารถลดต้นทุนด้านพลังงาน และเพิมประสิทธิภาพ การใช้พลังงานอย่างเป นระบบ
ทําความเย็น เช่น
Adsorption Chiller
การทําความเย็น
พลังงานไฟฟ า
ทําความสะอาดคอนเดนเซอร์
การแลกเปลียนความร้อน จากการดําเนินมาตรการเหล่านี



3. มาตรการติดตังระบบพลังงาน
แสงอาทิตย์ (Solar Cell)
เพือเพิมการใช้พลังงานสะอาดและลดการพึงพา พลังงานจากเชือเพลิงฟอสซิล โรงงานได้นํา
Solar Cell มาใช้ใน 2 รูปแบบ ได้แก่ การติดตัง
บนหลังคาโรงงาน (Roof-top Solar) และ
การติดตังแบบลอยนําในบ่อเก็บนําดีของ โรงงาน (Floating Solar)
ผลลัพธ์จากการใช้พลังงานแสงอาทิตย์ พบว่า ประหยัด


เช่น ปรับแต่งการเผาไหม้ของหม้อนํา
5,398.64 toe/ป หรือ 62,744,235.89 kWh/ป
37,648.58 tCO2eq/ป

การพัฒนาศักยภาพโรงงานอุตสาหกรรม
สู่การผลิตแบบดิจิทัลและ Lean Manufacturing
กรมโรงงานอุตสาหกรรมให้ความสําคัญ
กับการเพิมศักยภาพ และยกระดับโรงงาน
อุตสาหกรรมให้มีประสิทธิภาพในกระบวนการ
ทํางาน จึงได้มีโครงการทีมีวัตถุประสงค์ ในการยกระดับขีดความสามารถของโรงงาน
เป าหมายสําคัญคือการทําให้
แนวทางการพัฒนาและเทคโนโลยี
ทีนํามาใช้ในการดําเนินโครงการ จะมี
การพัฒนาและติดตังเทคโนโลยีดิจิทัล
ทีทันสมัย ได้แก่
E- Production Run Card (คัมบัง
อิเล็กทรอนิกส์) – ช่วยบริหารจัดการ
การผลิตแบบเรียลไทม์
ระบบ SCADA พร้อม Dashboard
โดย Power BI – ใช้สําหรับติดตาม
และวิเคราะห์ข้อมูลการผลิต
New QC 7 Tools – เครืองมือ
ควบคุมคุณภาพแบบใหม่ทีช่วยเพิม ความแม่นยําในการวิเคราะห์ข้อมูล
Cycle) เพือให้สามารถวิเคราะห์
(Hardware)
ผลิตให้เกิดประโยชน์สูงสุด พร้อมผลักดัน ให้ภาคอุตสาหกรรมก้าวสู่ Digital Transformation ได้อย่างเป นระบบ
นอกจากนี ผลลัพธ์ทีได้จากโครงการ ยังสามารถนําไปเป นต้นแบบให้กับผู้ประกอบการ และหน่วยงานอืน ๆ เพือนําแนวคิดและ
เทคโนโลยีไปปรับใช้ในอุตสาหกรรมต่าง ๆ
เพือเสริมสร้างศักยภาพการแข่งขันของ ประเทศ
ผลการดําเนินงาน ภาพการศึกษากระบวนการผลิตและปรับปรุงด้วย
Lean Manufacturing







ได้ขับเคลือนการพัฒนาอุตสาหกรรมไทยให้เติบโต ควบคู่ไปกับความยังยืนด้านสิงแวดล้อม ผ่านการ ส่งเสริมเทคโนโลยีสะอาด การจัดการพลังงาน และการลดของเสียในกระบวนการผลิต

(DIW Digital Transformation Phase 3)
ของการนําเทคโนโลยีมาประยุกต์ใช้เพือเพิมประสิทธิภาพ การให้บริการ ลดขันตอนทีซับซ้อน และอํานวยความสะดวก ให้แก่ผู้ประกอบการและหน่วยงานทีเกียวข้อง จึงได้ดําเนิน
โครงการระบบพัฒนาแพลตฟอร์มสู่ดิจิทัลกลาง ระยะที 3 (DIW Digital Transformation Phase 3) อย่างต่อเนือง โดยมีเป าหมายสําคัญในการยกระดับระบบบริหารจัดการ ข้อมูลภาครัฐ และสร้างกลไกการทํางานทีโปร่งใส รวดเร็ว และมีความปลอดภัยสูง และมีวัตถุประสงค์หลักดังต่อไปนี
Web Service



ในการวางแผนและกําหนดยุทธศาสตร์ทีตอบสนองต่อ สถานการณ์ป จจุบันได้อย่างมีประสิทธิภาพ
(Maintenance Log)
(Username)
Chatbot




ฝ กอบรมกลุ่มเจ้าหน้าทีผู้ใช้งานระบบ


ตรวจวัดค่าความเข้มกลินในอากาศจากโรงงานอุตสาหกรรม
กรมโรงงานอุตสาหกรรมได้พัฒนาเครื องจมูกอิเล็กทรอนิกส์ (E-Nose) ร่วมกับ SCGP และ
มหาวิทยาลัย เพื อตรวจวัดกลินรบกวนจากโรงงานอุตสาหกรรมแบบ Real-time ลดป ญหา
การร้องเรียนจากชุมชนเรื องกลินรบกวนจากการประกอบกิจการโรงงานซึ งเกิดขึ นเฉลี ย
ต่อสุขภาพของผู้สูดดมกลินนัน แต่ยังมีกลินจากการประกอบการ โรงงานอีกหลากหลายชนิดประเภทที ไม่สามารถใชจมูกคนดมได้
เนื องจากกลินมีองค์ประกอบของสารเคมีอันตราย

การวิเคราะห์หาองค์ประกอบทางเคมีของกลินในกลุ่มที ไม่สามารถใชจมูกคนดมได้ จําเป นต้องใชเครื องมือ
ตรวจวัดวิเคราะห์ขันสูง เชน Gas Chromatography เพื อแยกองค์ประกอบทางเคมีของกลินกลุ่มนี
โดยมีขันตอนการเก็บตัวอย่างกลินและการตรวจวัดวิเคราะห์ที ยุ่งยาก
กรมโรงงานอุตสาหกรรม ได้ประสานความร่วมมือระหว่าง

ของกลินอีกทังยังสามารถตรวจวัดได้อย่างต่อเนือง เพือการเฝ าระวังอย่างมีประสิทธิภาพ รวมทังได้ ทําการทดลองใช้งานแล้วกว่า21โรงงานใน10กลุ่ม อุตสาหกรรมทีมีประเด็นเรืองกลิน อาทิ โรงงาน
ยางพาราโรงงานผลิตอาหารสัตว์โรงงานเชือเพลิง ขยะ(RDF)โรงงานแปรรูปอาหารทะเลโรงงานผลิต ปลาร้า ซึงผลการใช้งานระบบตรวจวัดและเฝ าระวัง กลิน สําเร็จเป นทีน่าพึงพอใจ







โรงงานต้องดําเนินการทวนสอบหรือสอบเทียบระบบ CEMS ด้วยวิธีการตามทีองค์การพิทักษ์ สิงแวดล้อมแห่งประเทศสหรัฐอเมริกา (United States Environmental Protection Agency: U.S. EPA) กําหนดไว้หรือใช้วิธีตามมาตรฐานระดับสากลอืนทีเทียบเท่า อย่างน้อยป ละ
อุตสาหกรรม จึงได้ดําเนินการศึกษาความเหมาะสมของการทวนสอบหรือสอบเทียบระบบ CEMS ตามมาตรฐานหรือวิธีการอืนทีเป นสากลนอกเหนือจากวิธีการตาม U.S. EPA





1) การตรวจกํากับดูแลโรงงาน
2) การดําเนินงานกรณีร้องเรียนโรงงาน
3) การบังคับการตามมาตรา 37 และ 39 การส่ง
คําสังตามมาตรา 38 และการป ดประกาศคําสัง
40 แห่งพระราชบัญญัติโรงงาน

เพือยกระดับมาตรฐานงานกํากับดูแลโรงงาน มุ่งสู่อุตสาหกรรมดีอยู่คู่ชุมชนอย่างยังยืน สอดคล้องกับแนวคิด “MIND" ใช้ “หัว” และ “ใจ” ป นอุตสาหกรรมคู่ชุมชน







ในยุคทีป ญหาสิงแวดล้อมและทรัพยากรธรรมชาติกําลังทวีความรุนแรงมากขึน การพัฒนา อุตสาหกรรมอย่างยังยืนจึงเป นแนวทางสําคัญทีหลายประเทศทัวโลกให้ความสําคัญ ประเทศไทย เองก็เป นหนึงในประเทศทีตระหนักถึงความสําคัญนี โดยกรมโรงงานอุตสาหกรรมได้ดําเนิน โครงการต่าง ๆ เพือส่งเสริมการพัฒนาอุตสาหกรรมควบคู่ไปกับการรักษาสิงแวดล้อมและ ทรัพยากรธรรมชาติ รวมไปถึงการสร้างความร่วมมือกับหน่วยงานภาครัฐและเอกชนของ ประเทศญีปุ นอย่างต่อเนือง เช่น JICA, JETRO, NEDO โดยมุ่งเน้นด้านการพัฒนาอุตสาหกรรม ทีเป นมิตรต่อสิงแวดล้อม


ถูกต้องตามหลักวิชาการ ไม่ละเลยเรือง เล็ก ๆ ซึงอาจนําไปสู่อุบัติเหตุใหญ่
ทีไม่เพียงแต่ช่วยลดความเสียงของ
สถานประกอบการเท่านัน แต่ยังเป น
การสร้างสิงแวดล้อมทีดีและปลอดภัย
ให้กับชุมชน




โครงการนีเป นหนึงในโครงการสําคัญทีตอบสนอง แผนแม่บทการบริหารจัดการนําของประเทศ
(พ.ศ. 2560-2580)


โครงการส่งเสริมอุตสาหกรรมสีเขียว
Green Industry




2. การตรวจประเมินสถานประกอบการ
ทีขอรับรองอุตสาหกรรมสีเขียวระดับที 4
วัฒนธรรมสีเขียว (Green Culture)
หรือระดับที 5 เครือข่ายสีเขียว (Green Network) ภายใต้โครงการตรวจประเมิน สถานประกอบการทีขอรับการรับรอง อุตสาหกรรมสีเขียว เพือส่งเสริมและ
ผลักดันให้สถานประกอบการเข้าสู่การรับรอง
อุตสาหกรรมสีเขียวมากขึน
3. การส่งเสริมและสนับสนุนให้ผู้ประกอบการ



(i-Industry)
D Bank
SME Green Productivity

ระดับที2ขึนไปสามารถเข้าถึงสินเชือดอกเบียตํา จากธพว. หรือ SME D Bank ได้
โครงการส่งเสริมและสนับสนุน SMEs ในการประเมิน
คาร์บอนฟุตพรินท์ขององค์กร และแลกเปลียน องค์ความรู้ด้านเศรษฐกิจหมุนเวียนและเทคโนโลยี





ความรับผิดชอบต่อสังคมและสิงแวดล้อม (Corporate
Social Responsibility: CSR) ผ่านการกํากับดูแลโรงงาน
อุตสาหกรรมให้ดําเนินกิจการโดยคํานึงถึงผลกระทบต่อชุมชน และสิงแวดล้อม และได้พัฒนาแนวทาง CSR-DIW (Corporate
Social Responsibility - Department of Industrial Works)
เพือเป นมาตรฐานในการดําเนินธุรกิจอุตสาหกรรมทีเป นมิตร
ต่อสังคมและสิงแวดล้อม โดยมุ่งเน้นให้โรงงานมีการจัดการ ทีดีภายในองค์กรและมีส่วนร่วมกับชุมชนรอบข้าง

ต่อสังคมและสิงแวดล้อม (CSR-DIW) ตังแต่ป 2551 จนถึง
ป จจุบันผลการดําเนินการดําเนินงานทีผ่านมามีโรงงานทีได้รับ
รางวัล CSR-DIW จํานวนดังตาราง


การบริหารจัดการให้มีการดําเนินการตามพันธกรณี
รวมทังการจัดการสิงแวดล้อมเพือความยังยืน

กรมโรงงานอุตสาหกรรมดําเนินการร่วมกับกรม การเปลียนแปลงสภาพภูมิอากาศและสิงแวดล้อม และหน่วยงานทีเกียวข้อง ในการจัดทําแผนปฏิบัติ การลดก๊าซเรือนกระจกของประเทศ ป พ.ศ. 25642573 (NDC Action Plan on Mitigation 20212030) เพือให้เป นไปตามเป าหมายการลดก๊าซเรือน
20 - 25
30 - 40 ภายในป พ.ศ. 2573 ซึง
(Industrial Process and Product Use: IPPU) รวมถึงนําเสียอุตสาหกรรม
1) มาตรการทดแทนปูนเม็ด
ไฮดรอลิก และการใช้วัสดุทดแทนปูนซีเมนต์ เพิมขึนในคอนกรีตผสมเสร็จ
2) มาตรการทดแทน/ปรับเปลียนสารทําความเย็น และการกําจัดทําลายของเสียและสารทําความเย็น ทีเสือมสภาพอย่างถูกวิธี และ
3) มาตรการการจัดการนําเสียอุตสาหกรรม โดยการเพิมการผลิตก๊าซชีวภาพจากนําเสีย อุตสาหกรรมด้วยการนําก๊าซมีเทนกลับมาใช้
ได้ผ่านความเห็นชอบจากคณะทํางานจัดทําบัญชี ก๊าซเรือนกระจกและมาตรการการลดก๊าซเรือนกระจก ภาคอุตสาหกรรมและการใช้ผลิตภัณฑ์

โครงการความร่วมมือไทย-เยอรมัน “การส่งเสริมอุตสาหกรรมเคมีทีเป นมิตร
กับสิงแวดล้อมอย่างยังยืน CLIMATE ACTION PROGRAMME FOR CHEMICAL INDUSTRY (CAPCI)” ระยะที 2
กรมโรงงานอุตสาหกรรม ร่วมกับ องค์กร ความร่วมมือระหว่างประเทศของเยอรมัน (GIZ) เพือยกระดับศักยภาพการดําเนินการ อุตสาหกรรมเคมีทียังยืนและปกป องสภาพ ภูมิอากาศ โดยมีการจัดทําแผนทีนําทาง การขับเคลือนอุตสาหกรรมเคมีคาร์บอนตํา ของประเทศไทย
ได้แก่ 1) หลักสูตร
ยังยืนของอุตสาหกรรมเคมี (The changing climate of chemical industry)” เมือวันที
26 ตุลาคม 2566 ณ โรงแรมแมริออท เอ็กเซ็ก
คิวทีฟอพาร์ทเม้นต์สุขุมวิทพาร์คสุขุมวิท24และ2)
ทางคาร์บอน (Actual actions towards carbonneutrality)”ระหว่างวันที8-9พฤศจิกายน 2566 ณ โรงแรมพูลแมน

กรมโรงงานฯ






ความร่วมมือ (Memorandum of Cooperation : MOC) ด้านการจัดการกากอุตสาหกรรมร่วมกัน














Project for Comprehensive End-of-Life Vehicles (ELVs) Management System in Thailand
กรมโรงงานอุตสาหกรรม ร่วมกับองค์การ ความร่วมมือระหว่างประเทศแห่งประเทศญีปุ น (Japan International cooperation Agency: JICA)ดําเนินโครงการProjectforComprehensive End-of-Life Vehicles (ELVs) Management System in Thailand
(ELVs)
โดยในป
1.
ระหว่างประเทศแห่งประเทศญีปุ น (JICA) และหน่วยงาน
ทีเกียวข้อง เพือจัดทําระบบบริหารจัดการรถยนต์ทีหมด
อายุ (ELVs) ในประเทศไทยอย่างครบวงจร โดยร่วมกัน
กําหนดขอบเขตของโครงการความร่วมมือ (Record of Discussions (R/D) พร้อมกําหนดระยะเวลาการดําเนินงาน ของโครงการฯ
2. จัดตังคณะกรรมการกํากับโครงการความร่วมมือ
ไทย - ญีปุ น เพือจัดทําร่างระบบบริหารจัดการรถยนต์ ทีหมดอายุ พร้อมทังแผนการดําเนินการทีเหมาะสม สําหรับประเทศไทย



โครงการ Smart Industrial Safety (SIS) ร่วมกับกระทรวงเศรษฐกิจ

ซึงทัง 2 หน่วยงานได้มีการลงนาม ในบันทึกข้อตกลงความร่วมมือร่วมกันครังแรกเมือวันที 11 มิถุนายน 2561 มีระยะเวลาดําเนินการ เป นเวลา 3 ป ต่อมาได้ลงนามในบันทึกข้อตกลงความร่วมมือครังที 2 เมือวันที 25 มิถุนายน 2564
มีระยะเวลาดําเนินการเป นเวลา 3 ป ถึงป 2567 และล่าสุดได้มีการลงนามในบันทึกข้อตกลง
ความร่วมมือเป นครังที 3
ให้แก่ผู้ประกอบการในไทย




Smart Industrial Safety (SIS) ฉบับที

2567 มีการดําเนินกิจกรรมร่วมกันดังนี
การจัดงานสัมมนาเรือง Smart Industrial Safety Technology ในวันที 19 ตุลาคม 2566
ภายในงาน Smart Industrial Safety Technology and Maintenance (SISTAM) โดยมีผู้เชียวชาญ
ทางด้าน AI/IoT

Smart Industrial Safety Technology การจัดฝ กอบรมในหัวข้อ “Smart Industrial Safety(SIS)technologyfortheplantmanagement anddevelopmentofthetechnicalprofessionals” ผ่านระบบออนไลน์ ระหว่างวันที 20-22

“Smart Industrial Safety(SIS)technologyfortheplantmanagement and development of the technical professionals” ณ











กฎหมายใหม่2567

พฤศจิกายน 2566
ประกาศกรมโรงงานอุตสาหกรรม
เรือง หลักเกณฑ์และวิธีการให้ความ
เห็นชอบในการตรวจสอบภายใน
หม้อต้มทีใช้ของเหลวเป นสือนํา ความร้อนทุกระยะเวลาเกินกว่า

(Remaining Life Assessment)
พ.ศ. 2566

285 ง หน้า 30
ประกาศกรมโรงงานอุตสาหกรรม
เรือง การกําหนดคุณสมบัติของผู้
ขอรับใบอนุญาตนําเข้าวัตถุอันตราย
และหลักเกณฑ์การพิจารณาอนุญาต
การนําเข้าสารเอชเอฟซี (HFCs)
พ.ศ. 2566
2567 14 พ.ย. 2566 เล่ม 140
28 ธ.ค. 2566 เล่ม 140
ตอนพิเศษ 328 ง หน้า 42 ประกาศกรมโรงงานอุตสาหกรรม

27 พ.ย. 2566 เล่ม 140
298 ง หน้า 54

ประกาศกรมโรงงานอุตสาหกรรม
แนวทางการอนุญาตการใช้สาร
(HFCs) ของประเทศไทย
พ.ศ. 2566 28 ธ.ค. 2566 เล่ม 140
328 ง หน้า 46


กฎหมายใหม่2567

กุมภาพันธ์ 2567
ประกาศกรมโรงงานอุตสาหกรรม
24 ชัวโมง และระดับเสียงสูงสุด
พ.ศ. 2567

พ.ศ. 2567
2567 21 ก.พ. 2567 เล่ม 141 ตอนพิเศษ 50 ง หน้า 8

ประกาศกรมโรงงานอุตสาหกรรม
เรือง แนวทางการเก็บตัวอย่าง
สารอินทรีย์ระเหยในบรรยากาศ
ทีแนวรัวขอบเขตของโรงงาน
จากการซ่อมบํารุงใหญ่ พ.ศ. 2567
8 ส.ค. 2567 เล่ม 141
ตอนพิเศษ 215 ง หน้า 12
7 มิ.ย. 2567 เล่ม 141
155 ง หน้า 60

เรือง กําหนดให้โรงงานต้องติดตัง
เพือรายงานมลพิษอากาศจากปล่อง
(ฉบับที 2) พ.ศ. 2567 8 ส.ค. 2567 เล่ม 141 ตอนพิเศษ 215 ง หน้า 10






ทีได้รับอนุญาตให้ประกอบกิจการขยายกิจการ




โดยในป 2567ของเสียอันตราย(Hazardous Waste) มีอัตราการนํากลับไปใช้ประโยชน์อยู่ที
ร้อยละ 85.30 เพิมขึนร้อยละ 0.03 จากป 2566
ด้วยวิธีการจัดการต่าง ๆ อาทิ การทําเชือเพลิงผสม (fuel blending) เพือนําไปใช้เป นเชือเพลิงสําหรับ เตาเผา (incinerator)
(cement industrial furnace)
(boiler and industrial furnace)
(use as raw material substitution)
(cement industrial furnace) การเข้า
(acid/base regeneration) เป นต้น

ส่วนของเสียไม่อันตราย (Non-Hazardous Waste) ในภาพรวมช่วงระยะเวลา 10 ป
ช่วงป 2562 – 2564


เพือยกระดับการจัดการและการนํากลับไปใช้ประโยชน์ให้มีประสิทธิภาพมากยิงขึน โดยการปรับปรุงกฎหมายดังกล่าว
(burn for energy recovery) เฉพาะวัสดุทีไม่ใช้แล้วทีไม่เป นของเสียอันตรายสําหรับเตาไฟ (stove) หรือหม้อไอนําและ
(boiler and industrial furnace) การนํากลับมาใช้ประโยชน์อีกด้วยวิธีอืน ๆ (other recycle methods)

หมายเหตุ
1. ป 2558 – 2566 อัตราการนํากลับไปใช้ประโยชน์ของเสียอันตราย (Hazardous Waste) คํานวณจากรหัสวิธีการ
กําจัด 033, 039, 041, 042, 043, 044, 049, 051, 052, 053 และ 059 ตามประกาศกระทรวงอุตสาหกรรม
การกําจัดสิงปฏิกูลหรือวัสดุทีไม่ใช้แล้ว พ.ศ. 2548 และ ป 2567 อัตราการนํากลับไปใช้ประโยชน์ของเสียอันตราย (Hazardous Waste) คํานวณจากรหัสวิธีการจัดการ 031, 033, 039, 041, 042, 044, 045, 048, 049, 051, 052, 053, 054, 055, 056, 057, 059 และ 081 ตามประกาศกระทรวงอุตสาหกรรม
พ.ศ. 2566
2. ป 2558 – 2566
อัตราการนํากลับไปใช้ประโยชน์ของเสียไม่อันตราย (Non-Hazardous Waste) คํานวณจาก
011, 031, 033, 039, 041, 042, 043, 044, 049, 052, 059, 081, 083 และ 084 ตามประกาศ
2548 และ ป 2567
(Hazardous Waste) คํานวณจากรหัสวิธีการจัดการ 011, 031, 033, 039, 041, 042, 043, 044, 045, 046, 047, 049, 051, 052, 053, 054, 055, 056, 057, 059, 081, 083 และ 084 ตาม






















































วันที 26 กรกฎาคม 2567 กรมโรงงาน อุตสาหกรรม กระทรวงอุตสาหกรรม
บริษัท ไทยออยล์ จํากัด (มหาชน) จัดกิจกรรม จิตอาสา ภายใต้ชือโครงการ
กรมโรงงานอุตสาหกรรม ประจําป 2567” เนืองในโอกาสพระราชพิธีมหามงคลเฉลิม พระชนมพรรษา 6 รอบ 28 กรกฎาคม 2567 สําหรับกิจกรรมจิตอาสาพัฒนาในครังนี เป นการ ร่วมมือร่วมใจบําเพ็ญสาธารณประโยชน์ เพือให้เกิดความรักใคร่ปรองดองและความสามัคคี ของคนในชุมชน พร้อมทังสร้างจิตสํานึก
ในการรักษาสิงแวดล้อมให้โรงงานและชุมชน สามารถอยู่ร่วมกันได้อย่างยังยืน
ต่าง ๆ ดังนี
มอบอุปกรณ์กีฬาให้แก่โรงเรียนวัดบ้านนา
สอนการทําถังดักไขมันสําหรับใช้ในครัวเรือน
และมอบถังดักไขมันให้แก่ชุมชนบ้านนาเก่า
สอนการคัดแยกขยะ และให้ความรู้เกียวกับ
ก๊าซเรือนกระจก ณ ชุมชนบ้านนาเก่า
ปลูกต้นโกงกาง
บ้านแหลมฉบัง ปล่อยพันธ์ุสัตว์ทะเล







































