ธรรมนิยายใต้แสงจันทร์ ( เขาวงกต )

Page 1

~1~


~2~

ธรรมนิยาย “ใต้แสงจันทร์” เป็นเรื่องราวที่อุดมไปด้วยจินตนาการที่เล่าผ่านถึงวิถีชีวิตของ ผู้คนในชุมชนแห่งหนึ่งซึ่งมีความเกี่ยวพันกันกับพระพุทธศาสนา โดยมีพระสงฆ์องค์เจ้า และ หลักธรรมคําสอนของพระบรมศาสดาสัมมาสัมพุทธเจ้า เป็นกาวใจเชื่อมโยงถึงกันและกัน ใน เนื้อหาธรรมะที่เข้มข้นหลากหลายเรื่องราวให้ได้สัมผัสรับรู้ กับเหตุการณ์ในเรื่องภูตผีปีศาจ , ขนบธรรมเนียมความเชื่อ , เวทมนต์คาถา, วิญญาณอาถรรพ์, ปรากฏการณ์ที่เหนือธรรมชาติ, ปาฏิหาริย์อันเกิดจากฤทธิ์อํานาจแห่งพระกรรมฐานกับการผจญภัย มีบางช่วงตอนในการ ดําเนินเรื่องจะใช้พรรณนาโวหารที่จะนําพาคุณผู้อ่านเริงรื่นชื่นบานในโลกของสํานวนกวี ธรรม นิยาย“ใต้แสงจันทร์” คงมีส่วนหล่อหลอมใจในหนึ่งร้อยส่วนพันที่จะทําให้คุณผู้อ่านนั้น มีดวง จิตที่สว่างไสวด้วยสาระแห่งธรรมที่ได้สอดแทรกไว้ในหนังสือเล่มนี้ ทั้งหมดที่กล่าวมา ผม คาดหวังอยู่ทุกวินาทีคือปรารถนาให้คุณผู้อ่านทุกท่านมีความสุขจน หลุดพ้นวัฏฏะความเหงา เข้าสู่นิพพานความเบิกบานใจ บันเทิงนิโรธแห่งความสุขสมได้ในที่สุด

บรรพชา บุณยรัตพันธุ์


หมู่บ้านศศะ ( หมู่บ้านกระต่าย ) ในนิคมสุวรรณโปดกชนบท แห่ง ขุนเขารัตนกรัณฑ์ เมื่อครั้งในอดีตหลายร้อยปีก่อน เคยเป็นดินแดนแห่ง อาถรรพ์เวทมนต์ น้อยคนนักที่จะก้าวล่วงเข้ามาถึงที่นี้ได้ กาลเวลาผ่านไป ณ ที่แห่งนี้ได้แปรสภาพเป็นชุมชนเกษตรเชิงเขาขนาดเล็ก บนพื้นที่ป่าที่อุดม สมบูรณ์ มีผู้คนอาศัยตั้งบ้านเรือนอยู่ไม่มากนัก ที่เรียกกันว่าหมู่บ้านดงป่าช้า แตก ซึ่งมีสํานักสงฆ์เขาวงกตเป็นจุดศูนย์รวมแห่งขวัญและกําลังใจ และมี หลวงพี่เชียรหรือท่านอาจารย์เชียรที่ชาวบ้านรู้จักกันดี ดีกรีเปรียญธรรม 9 ประโยค และเป็นพระผู้ทรงอภิญญาจัดได้ว่าท่านนั้นดีพร้อมทั้งสองด้านคือ คันถะธุระก็เชี่ยวชาญ วิปัสสนาญาณก็เยี่ยมยอด ได้พํานักอาศัยร่วมกันกับ สามเณรน้อยเจ้าปัญญานามว่าจ่อย และมีหลวงพ่ออุ่นเกจิอาจารย์ผู้เรืองเวทย์ วิทยาคมเป็นเจ้าสํานัก มีกุฏิอยู่ใกล้ ๆ กันด้วยสภาพภูมิประเทศที่แวดล้อมไป ด้วย แมกไม้ สายธาราและป่าเขา จัดได้ว่าเป็นแดนแห่งสับปายะ ซึ่งเป็น รมณียสถานที่เอื้ออํานวยต่อความสงบของจิตใจ ให้เข้าถึงธรรมได้โดยง่าย และเหมาะแก่การประกาศอมตะธรรมขององค์พระบรมศาสดาสัมมาสัม พุทธเจ้า เข้าสู่มวลชนในพื้นที่ได้เป็นอย่างดี หลวงพี่เชียรกําลังก้มหน้าก้มตา รวบรวมเนื้อหาข้อมูลเพื่อเตรียมตัวสําหรับทําตํารายาโบราณสูตรพิเศษ ที่ หลวงพ่ออุ่นท่านได้เห็นชัดแจ้งในสมาธิจิตนิมิตญาณจากหมอชีวกโกมาร ภัจจ์ ( ชี-วะ-กะ-โก-มาน-ระ-พัด ) และได้สั่งกําชับหลวงพี่เชียรเอาไว้ว่า “สิ่งนี้ เป็นสิ่งสําคัญที่จะช่วยเหลือชาวบ้านในยามเจ็บไข้ได้ป่วย เพราะที่นี่ห่างไกล โรงหมอพอสมควร เราเป็นศูนย์รวมแห่งจิตใจของพวกเขาเหล่านั้น มีอะไร


~2~

เดือดร้อนเขาจะมาขอพึ่งใบบุญเราก่อนเป็นอันดับแรก ดังนั้นเราต้องเตรียม ตัวให้พร้อมโดยที่เราสามารถให้เขาพึ่งพาได้ในทุกกรณี” หลวงพี่เชียรท่าน น้อมรับคําสั่งด้วยความเคารพและได้ปฏิบัติงานทันทีไม่มีรีรอด้วยความขยัน ขันแข็งในกิจที่ได้รับหมอบหมาย และเห็นซึ้งในปฏิปทาอันมุ่งมั่นในการ อนุเคราะห์สัตว์โลกผู้ทุกข์ยากเดือดร้อนของหลวงพ่อท่านได้เป็นอย่างดี ขณะที่ปฏิบัติสมณกิจเสร็จแล้วหลวงพี่เชียรชอบออกไปเดินจงกรมตรงลาน ธรรมและผ่อนคลายอิริยาบถ ค่ําคืนนี้พระจันทร์ทรงกลดงดงามยิ่งนักลม หนาวโชยพัดเข้ามาทักทายแสงแห่งศศิธร คงจะเหนื่อยอ่อนตอนกลางวันที่ ไล่แจกความเย็นเป็นของกํานัลรางวัลจากธรรมชาติแก่ผู้คนมากจนเกินไป มีผลทําให้พลังแรงลมและปริมาณความหนาวแลดูแผ่วเบา ไม่โดดเด่นเท่าวิถี โคจรของดวงดาว ลานธรรมที่กว้างใหญ่ไร้หลังคา ท้าทายฟ้าบนผาชัน บรรยากาศนั้นเงียบสงบ จนกระทั่งว่าได้ยินเสียงร้องของหัวใจที่บอกว่ามี ความสุขได้อย่างชัดเจน ทันใดนั้นนั่นเองสามเณรผู้มีคําถามมากมายอยู่ในใจ และต้องการคําตอบไปพร้อมกันด้วยเสมอ ก็ผุดคําถามขึ้นท้าทายภูมิปัญญา ของหลวงพี่เชียรมหาเปรียญผู้ยิ่งใหญ่ ตรงม้านั่งไม้ใต้แสงจันทร์ที่ลานธรรม แห่งนี้ว่า “หลวงพี่ครับ....คืนนี้พระจันทร์สวยดีนะครับ เหมาะแก่การสนทนา ธรรมเป็นที่สุด หลวงพี่พอจะเมตตาอนุเคราะห์ผมได้หรือไม่ครับ ” “ ไอ้ได้ มันได้อยู่หรอก แต่เณรรู้ไหมไม่มีใครบรรลุเป็นพระอรหันต์ได้ด้วยการพูดคุย หรอกนะ หลวงพี่ว่าเรามานั่งทําภาวนากันดีกว่าไหม ปิดตานอกเปิดตาในให้ ใจใสสว่างโชติจนเกิดญาณทัสสนะ เดี๋ยวอะไรที่สงสัยมันก็จะมีคําตอบขึ้นมา กระจ่างแจ้งแก่ใจของเราเอง อวิชชาความไม่รู้ทั้งหลายต่าง ๆ บรรดามีเมื่อถูก


~3~

ดับลงเสียสิ้นแล้ว ปัญญาของเราก็จะสว่างโพลงรู้แจ้งเห็นจริงไปทุกสิ่งทุก อย่าง รู้จํารู้จริงมันไม่เท่ากับการรู้แจ้งหรอกนะน้องเณร ขืนเรายังมัวยังดีแต่ พูดไม่ลงมือปฏิบัติอรหัตมรรคอรหัตผลจะเกิดกับเราได้อย่างไร ” “ ก็ได้ ขอรับหลวงพี่ งั้นเรานั่งปฏิบัติธรรมกันตรงลานธรรมอันโล่งกว้างกันเลยนะ ขอรับ ” “ มันต้องให้ได้อย่างนี้สิว่าที่สามเณรอรหันต์ ” หลวงพี่เชียรกล่าว ชมสามเณรจ่อย ทําให้เณรน้อยกระดากอายเล็กน้อยในถ้อยคําที่ให้มา แสง จันทร์ยังเจิดจรัสจ้าท้าทายฟ้าภูผาชัน พุทธบุตรแห่งพุทธองค์ยังคงหลับตา นิ่ง กายตั้งตรงดํารงสติมั่นไม่หวั่นไหวต่อสายลมที่พัดผ่านกระทบกับอังสะ จนพลิ้วไหว ลานธรรมในค่ําคืนนี้ที่เงียบสงบ การรบในส่วนละเอียดที่ต้องใช้ การหยุดนิ่งอย่างแผ่วเบาและนิ่มนวล ดูเหมือนจะไม่ใช่เรื่องง่ายนักสําหรับ ผู้กระทําความเพียร แสงกระพริบของหมู่ดาวที่พร่างพราวบนฟ้าคล้าย ๆ จะ บอกว่าอย่าเลิกล้มความเพียรมุ่งสู่ความสําเร็จแบบเบ็ดเสร็จในคืนนี้ แสงดาว ยังคงกระพริบถี่เหมือนให้แรงใจแก่พระคุณเจ้าและสามเณร จนเวลาล่วงเลย ผ่านไปนานพอสมควร หลวงพี่เชียรนําน้องเณรออกจากสมาธิกลับเข้าสู่กุฏิ ท่ามกลางอารมณ์ที่เบิกบานแจ่มใส หนทางแห่งมรรคผลนิพพานคงอีกไม่ไกล ถ้าตั้งใจจะไปให้ถึงด้วยกําลังแห่งความเพียรก่อนกลับเข้ากุฏิ เณรจ่อยยกมือ สาธุยิ้มรับธรรมปฏิบัติที่หลวงพี่เชียรมอบให้มาภายใต้แสงจันทรากลางลาน ธรรมบนสํานักสงฆ์เขาวงกตแห่งนี้ นับว่าทรงคุณค่าเป็นอย่างยิ่ง “ น้องเณร ไปจําวัดได้แล้วนะ พรุ่งนี้ค่อยว่ากันใหม่ หลวงพี่ต้องขอตัวไปทําภาวนาต่อ ” “หลวงพี่เก่งจังเลย นําผมนั่งสมาธิจนจิตดิ่งเข้าสู่ภาวะอันละเอียดลึกซึ้งถึง ปานนี้ได้ ประดุจพระวิปัสนาจารย์ชั้นยอดหาผู้ใดเทียบได้ เป็นผู้ชี้ทางสว่าง


~4~

แก่ผู้หลงทางในความมืด หงายของที่คว่ํา และนําพาผมให้หลุดพ้นจากกรอบ ของอวิชชาแห่งปัญหาที่สงสัยได้” เณรน้อยกล่าวพร้อมกับส่งสายตาถึงจันทร์ ที่ลอยเด่นเป็นพยาน เปล่งแสงเจิดจรัสจ้าท้าทายลมหนาวแห่งห้วงรัตติกาล อันมืดมิด “สิ่งนี้จะเป็นประสบการณ์ของเณรเองที่จะนําไปใช้ได้ร่วมกันกับ การเรียนรู้ครั้งใหม่ในอนาคตที่จะมีมาถึง” “หลวงพี่สุดยอดเลยครับ ความ เป็นพหูสูตของหลวงพี่บริบูรณ์โดยแท้” “ขอบใจนะที่ชมเณรนอนเถอะดึก แล้ว เก็บคําถามที่เหลือของเณรที่มีอยู่ รอให้ถึงอรุณรุ่งของพรุ่งนี้เราค่อยมา ฝึกปฏิบัติธรรมกันใหม่ หรือจะรอเวลาที่ดาวพราวระยับตา อ้อนออดฟ้า ยามราตรี แสงหิ่งห้อยค่อยๆกระพริบถี่แอบกระซิบที่หินผาภายใต้แสงจันทรา อันอบอุ่น เป็นกําลังใจหนุนส่งบุญบารมีที่เรานี้หยิบยื่นให้ต่อกัน ” หลวงพี่ เชียรมองดูหมู่มวลดาราห้อยระย้ากลางเวหาหาว นั่งทบทวนเรื่องราวที่ได้ แนะนําธรรมปฏิบัติโปรดน้องเณรในค่ําคืนนี้อย่างภาคภูมิใจ ก่อนเดินไปส่ง สามเณรน้อยที่กุฏิ แล้วปลดปล่อยวางทุกสิ่งด้วยใจที่เบิกบานปีติสุข พร้อม บอกกับตัวเองว่า ตีสามของวันใหม่จะลุกขึ้นมาทําความเพียรเผาผลาญกิเลส ในใจให้มอดไหม้ได้อีกสักกองหนึ่งก็ยังดี ผู้คนยังคงหลับใหลภายใต้มนต์ สะกดของความดึกสงัดแห่งรัตติกาล แต่มีพระภิกษุหนุ่มรูปหนึ่งที่ไม่ยอมตก อยู่ในอํานาจนั้น ได้รักษาสัตย์ปฏิญาณที่ให้ไว้กับตัวเอง นั่นคือหลวงพี่เชียร ท่านลุกนั่งทําภาวนาตั้งแต่ตีสามตามสัญญา โดยตั้งจิตอธิษฐานไว้ว่า หาก ตะวันไม่ส่องหน้าหรือไก่ป่าไม่โก่งขันฉันก็จะไม่ลุกจากที่ แล้วก็เจริญพระ กรรมฐานของท่านเรื่อยไป ท่าทางการนั่งสมาธิที่ดูสงบนิ่งของหลวงพี่เชียร ช่างองอาจสง่างาม ประดุจนักรบกล้าแห่งกองทัพธรรมที่ออกไปกรําศึกสู้รบ


~5~

กับกิเลส และฟาดฟันเหล่าพญามารด้วยธรรมาวุธภายใน อย่างทระนง เอ๊กอี้เอ๊กเอ๊ก.....เสียงไก่ป่าขันเจื้อยแจ้วแน่นอนแล้วคือเช้าวันใหม่ หลวงพี่ เชียรลืมตาขึ้นอย่างช้า ๆ ใบหน้าดูผุดผ่องใสพร้อมยกมือขึ้นพนมก้มลงกราบ พระปฏิมากรองค์น้อย แล้วลุกไปทําภารกิจส่วนตัวก่อนที่จะได้เวลาออกไป บิณฑบาตโปรดญาติโยมสาธุชนต่อไป เณรจ่อยก็ตื่นตามรีบทําหน้าที่ในส่วน ของตน พร้อมก้าวตามหลวงพี่และหลวงพ่ออุ่นเดินลงเขา มุ่งตรงเข้าสู่ หมู่บ้าน ณ เบื้องล่าง ภาพพระภิกษุ 2 รูป กับเณร 1 องค์ ออกเดินบิณฑบาต ลัดเลาะไหล่เขาในยามเช้าที่สดใส ผ่านมวลแมกไม้พฤกษานานาพรรณที่ส่ง กลิ่นหอมตลบอบอวล คละเคล้าไปด้วยไอดินกลิ่นหญ้าภายใต้อ้อมกอดแห่ง ความกรุณาของชะง่อนผาและป่าใหญ่ เสียงวิหคนกไพรกับลําธารน้อยที่ไหล ใสเย็น ช่วยแต่งแต้มสีสันให้สองข้างทาง ที่ได้เดินผ่านเบิกบานใจยิ่งขึ้น ผ้ากาสาวพัสตร์สีเหลืองนวลผ่านดงกล้วยไม้ป่าเป็นภาพที่งดงามยิ่งนัก จน มาถึงกลางลานหมู่บ้านดงป่าช้าแตก ซึ่งมีผู้ใหญ่แจ้และลูกบ้านนั่งรอใส่บาตร อยู่ก่อนแล้ว เป็นแถวเป็นแนวเป็นระเบียบเรียบร้อย “นิมนต์ขอรับพระคุณ เจ้า”หลวงพ่ออุ่นเดินรับบาตรเรื่อยไปจนเกือบสุดแถวแล้วมาหยุดอยู่ตรงหน้า โยมเอี่ยมหลับตาสักพัก พร้อมกําหมัดขึ้นมาตรงปากของท่าน จากนั้นก็ บริกรรมคาถา และลูบลงไปบนหัวตบสามทีเบาๆ พร้อมกับเอ่ยขึ้นว่า “นับตั้งแต่วันนี้เป็นต้นไป โยมจะไม่นอนสะดุ้งหวาดผวาว่าวิญญาณผีป่า โขมดไพรจะมาทําอะไรโยมได้อีกแล้ว เจริญสุขนะโยมเอี่ยม ขออํานาจแห่ง คุณพระศรีรัตนตรัยจงค้ําจุนบุญรักษาโยมก็แล้วกันนะ” นายเอี่ยมก้มกราบ ลงแทบเท้าหลวงพ่ออุ่น ความศรัทธาผุดขึ้นท่วมท้นหัวใจก่อนเอ่ยคําด้วย


~6~

น้ําเสียงระคนความแปลกใจว่า “หลวงพ่อทราบได้อย่างไรขอรับว่าผมนี้มีวิ ญาณมาหลอกหลอน ผมไม่เคยบอกให้ใครรู้เลยกลัวจะแตกตื่นกัน หลวงพ่อ ขอรับผมนอนไม่หลับมาหลายคืนแล้ว พอกําลังเคลิ้มได้ที่ก็จะเห็นวิญญาณ ตนหนึ่งหน้าตาหน้าเกลียดหน้ากลัวมายืนอยู่ปลายเท้าของผม แล้วก็เอื้อมมือ มาจับขาแล้วก็กระตุกปลุกผมให้ตื่นไม่ยอมให้หลับให้นอน จนผมอ่อนเปลี้ย เพลียแรงไปหมดแล้วขอรับ” ชาวบ้านต่างตกตะลึงในคําตอบของนายเอี่ยม ส่งเสียงอื้ออึงไปทั่ว รวมไปถึงเจ้าหน้าที่กรมป่าไม้สองสามท่านที่มาเยือน ผู้ใหญ่แจ้ ต่างก็แปลกใจในเรื่องนี้ที่เกิดขึ้นเช่นเดียวกัน หลวงพ่อกล่าวว่า “คืนนี้โยมไปหาอาตมาที่กุฏิ จะได้ทําพิธีให้อีกครั้งหนึ่ง และนอนค้างเสียที่ นั่นเลย ท่านเชียรมีที่ว่างพอให้โยมเอี่ยมนอนไหม ” “ มีขอรับหลวงพ่อ ” จากนั้นหลวงพี่เชียรก็หันไปพูดกับนายเอี่ยมว่า “โยมเอี่ยมไม่ต้องกังวลนะ อาตมาจะเป็นธุระจัดการให้” “ขอบพระคุณมาก ๆ ขอรับ ” “ไม่เป็นไรโยม ไม่เป็นไร” หลวงพี่เชียรยิ้มให้อย่างเมตตา หลวงพ่ออุ่นเดินฝ่าวงล้อมของ ชาวบ้านที่กรูกันเข้ามารับรู้เรื่องราวของนายเอี่ยม มีหลวงพี่เชียรและสามเณร น้อยเดินตามไปติดๆจนถึงสํานักสงฆ์บนเขา ก็พบกับกลุ่มทหารพราน ที่เดิน ออกลาดตระเวนจากฐานที่ตั้งมาจนถึงที่นี่ ได้นั่งพักรออยู่ก่อนแล้ว หัวหน้า หน่วยปฏิบัติการลาดตระเวน ก็นําทหารหาญทั้งหมดทําความเคารพหลวง พ่อและหลวงพี่เชียรรวมถึงสามเณรด้วย ก่อนคลานเข้าไปกราบแทบเท้า หลวงพ่อท่านเป็นกรณีพิเศษ นั่งพนมมือแล้วกล่าวว่า “ กราบนมัสการ ขอรับหลวงพ่อ พวกกระผมได้ออกลาดตระเวนผ่านมาทางนี้ ก็เลยตั้งใจ เอาไว้ว่าจะมาให้หลวงพ่อเป่าหัวให้หน่อยขอรับ และขอวัตถุมงคลเอาไว้ติด


~7~

ตัวเพื่อเป็นขวัญกําลังใจในการปฏิบัติหน้าที่ต่อไปด้วยนะขอรับ” “ เจริญพร โยม นั่งพักกินน้ํากินท่ากันให้หายเหนื่อยก่อนเถิด แล้วค่อยว่ากัน ” จากนั้น หลวงพ่อก็ขอตัวไปปฏิบัติสมณะกิจของท่าน เหล่าบรรดารั้วของชาติก็ได้ เอนกายยืดเส้นยืดสาย นั่งกินลมชมวิวบนลานธรรมอันร่มรื่น ลมพัดเย็น สบาย ซึ่งเป็นจุดที่สามารถมองเห็นทัศนียภาพเบื้องล่าง ได้อย่างชัดเจน ทันใดนั้นหลวงพี่เชียรก็ได้นําอาหารหวานคาวที่บิณฑบาตมาได้ นํามามอบ ให้แก่เหล่าบรรดาทหารได้รับประทานกันอย่างอิ่มหนําสําราญ เนื่องจากเห็น ว่าบุคคลกลุ่มนี้ทํางานด้วยความเสียสละ กล้าหาญ เสี่ยงอันตรายและต้องใช้ ความอดทนอดกลั้นต่อสภาพการที่ไร้ความสุขสะดวกสบายในชีวิตประจําวัน เลยอยากจะอนุเคราะห์อาหารและเพิ่มพูนกําลังใจไห้บ้าง ทหารทุกนาย ต่าง รู้สึกซาบซึ้ง ถึงความเมตตาของพระคุณเจ้าแห่งสํานักสงฆ์เขาวงกตในครั้งนี้ เป็นอย่างมาก หลังจากที่รับประทานอาหารจนเป็นที่เรียบร้อยแล้วผู้นําหน่วย ก็สั่งบรรดาทหารลูกทีมจัดแถวหน้ากระดานเรียงหนึ่ง เพื่อรอหลวงพ่ออุ่นที่ กําลังย่างเท้าออกมาจากกุฏิของท่าน พอหลวงพ่อมาถึง ทหารทุกนายต่างนั่ง พนมมือคุกเข่า หลวงพ่อปะพรมน้ําพระพุทธมนต์แล้วเป่าหัวพร้อมกับยื่น พระเครื่องให้คนละองค์จนครบหมดทุกนาย พร้อมให้สัมโมทนียกถาว่า “ขอให้แคล้วคลาดปลอดภัยจากสิ่งชั่วร้ายทั้งหลายอันตรายทั้งปวง หมดทุกข์ พบสุขทุก ๆ นายนะ ” “ สาธุ ” เสียงที่หนักแน่นของเหล่านักรบทั้งหลายดัง กังวานสะท้านขุนเขา ต่างพากันกราบอําลาหลวงพ่อ เดินเรียงแถวจากไปด้วย ใจที่เปี่ยมสุข หลวงพ่ออุ่นพาอายุ 65 ปี พรรษาที่ 44 เดินออกมาส่งทหารตรง


~8~

เนินบันไดเขา ก่อนยืนหลับตานิ่งไปชั่วครู่ เพื่อแผ่บารมีคุ้มครองให้พวกเขา เหล่านั้นสวัสดีมีชัย อยู่รอดปลอดภัยตลอดไปตลอดกาล จากเช้าเข้าสู่สาย เที่ยงล่วงกลายเป็นบ่ายคล้อย พ้นเย็นเห็นจันทร์ลอย คู่ดาวน้อยยามราตรี เวลาในแต่ละวันนั้นผ่านไปไวเหลือเกิน ความมืดแผ่ปกคลุมทุกสิ่ง เสียง หริ่งเรไร ประกาศก้องยึดครองผืนป่า นายเอี่ยมเดินถือไฟฉายส่องทางมากับ ผู้ใหญ่แจ้ และท่านสุรัตน์หัวหน้าวนอุทยานป่าไม้ห้วยทรายขาว จนถึงกุฏิ หลวงพ่อ ท่านทําพิธีเฉพาะให้ตามสัญญาที่ได้กล่าวไว้เมื่อเช้านี้จนครบถ้วน ตามหลักพิธี สร้างความอัศจรรย์ใจให้กับผู้ใหญ่แจ้และหัวหน้าวิรัตน์เป็น อย่างมาก ในช่วงตอนที่หลวงพ่อระเบิดเทียนน้ํามนต์ และเป่าพ่นไปที่ตาของ นายเอี่ยมจนชักดิ้นชักงอพร้อมส่งเสียงร้องโหยหวนชวนให้น่าขนลุกขนพอง สยองเกล้าเป็นยิ่งนัก “ยอมแล้วเจ้าข้า หลวงพ่อเจ้าขา อิฉันยอมแล้ว ” เสียง นายเอี่ยมกลายเป็นเสียงผู้หญิง “ ไปเถอะโยมปิ่น อย่าสร้างเวรสร้างกรรม อย่างนี้เลย อาตมาเคยเอ่ยเตือนโยมหลายครั้งแล้วใช่ไหมว่า อย่าผูกอาฆาต พยาบาทใคร อดีตรักข้ามภพมันจบไปแล้วปล่อยวางเสียเถอะ โยมเอี่ยมเขา จําอะไรไม่ได้หรอก ให้อภัยกันนะ หลวงพ่อจะทําพิธีส่งดวงวิญญาณโยมเอง ให้ไปสู่ภพภูมิที่สูงขึ้น” สภาพของนายเอี่ยมหลังจากที่โดนน้ํามนต์หลวงพ่อก็ เปลี่ยนไป ทําท่าทําทางประดุจสตรีโบราณ ยิ่งตอนนี้จะเห็นภาพชัดนั่งพับ เพียบเรียบร้อย ร่ําไห้สะอึกสะอื้นพร่ําแต่คําว่า... อิฉันทราบเจ้าค่ะๆๆๆ อยู่ ตลอดเวลา หลวงพ่ออุ่นเดินไปลูบหัวนายเอี่ยมที่มีวิญญาณอื่นสิงอยู่ พร้อม บริกรรมคาถาแล้วเป่าพรวดทีเดียว นายเอี่ยมสะดุ้งเฮือกฟุบลงตรงแทบเท้า


~9~

หลวงพ่อ ท่านสั่งให้ผู้ใหญ่แจ้และหัวหน้าสุรัตน์ช่วยกันอุ้มนายเอี่ยมมานอน ใกล้ๆท่านตรงหน้าพระประธานในกุฏิ หลวงพ่อมัดด้ายสายสิญจน์ให้ใน ขณะที่นายเอี่ยมยังสลบไม่ได้สติ หลวงพ่ออุ่นจึงกล่าวว่า “ ไม่เป็นไรหรอก ปล่อยให้นอนพักสักประเดี๋ยวก็จะดีขึ้นเอง คุณโยมสุรัตน์ไปยังไงมายังไงถึง มาถึงที่นี่ได้ ” “ กระผมมาสํารวจพื้นที่ป่า เลยถือโอกาสมาเยี่ยมผู้ใหญ่แจ้และ ตั้งใจมากราบนมัสการหลวงพ่อด้วยขอรับ พอดีนายเอี่ยมชวนมาดูหลวงพ่อ ทําพิธี ก็เลยอยากเห็นเป็นบุญตาว่าเป็นพิธีอะไรอย่างไร พอได้เห็นสิ่งเมื่อ สักครู่นี้น่ากลัวเหมือนกันนะขอรับหลวงพ่อ” “ คืนนี้ก็ค้างเสียที่นี่เลยก็แล้ว กันนะทั้งสองท่าน เอาล่ะเข้ามาใกล้ๆหน่อย มาๆๆจะเป่ากระหม่อมให้” หัวหน้าสุรัตน์และผู้ใหญ่แจ้ ต่างคลานเข้าไปหมอบกราบหลวงพ่อ ท่าน หลับตานิ่งไปสักพักแล้วก็เป่าเบาๆแถมด้วยการเคาะหัวอีกสองสามที ก่อน หยิบพระเครื่องมาให้คนละองค์พร้อมกับเอ่ยว่า “ เจริญสุขนะลูกนะ ขอให้ โชคดีมีชัยปลอดภัยแคล้วคลาด เอานี่ของดีพกพาติดตัวไว้ภยันตรายใดๆก็ทํา อะไรเราไม่ได้ เก็บรักษาเอาไว้ให้ดี ของวิเศษถึงปานนี้ มีโอกาสเกิดขึ้นครั้ง เดียวในชีวิต ” ทั้งสองท่านน้อมรับพระเครื่ององค์น้อยกับมือหลวงพ่อด้วย อาการตื่นเต้นดีใจเป็นที่สุด “เรื่องพระเครื่องนี้นะครับท่านสุรัตน์ เคยมีเรื่อง เล่าขานโจษจันกันไปทั่วว่า ครั้งหนึ่งเคยมีกกลุ่มเซียนพระอุตส่าห์บุกป่าฝ่าดง จากกรุงไกลมากราบนมัสการหลวงพ่ออุ่นถึงสํานักสงฆ์เขาวงกต เพื่อขอเช่า บูชาวัตถุมงคลของหลวงพ่อ โดยเสนอราคาเป็นเรือนแสนกับท่าน แต่ท่านไม่ ยอมให้และได้ตอบปฏิเสธไปว่า “ อะไรกันโยมให้ราคาเป็นแสนเชียวหรือ? พระของอาตมามีคุณค่าก็จริงอยู่...แต่ไร้ราคา ที่นี่แจกฟรีไม่ต้องเสียสตางค์


~ 10 ~

แม้แต่แดงเดียว โยมมาช้าไปเสียแล้ว พระทุกองค์มีเจ้าของจับจองกัน หมดแล้ว ไม่เหลือเลยแม้แต่องค์เดียว” ทําให้เซียนพระคนนั้นถึงกับหน้าถอด สี จากนั้นก็ทําท่าทีไม่พอใจ คนที่ติดตามมาด้วยถึงกับแสดงอาการดูหมิ่นท่าน โดยกล่าวคําว่า “ พวกผมอุตส่าห์เดินทางมาไกล กว่าจะมาถึงที่นี่ได้ก็แทบแย่ หลวงพ่อจะไม่มีเมตตาให้อะไรติดไม้ติดมือไปบ้างเลยหรือ ราคาผมพอสู้ถ้า เป็นพระที่ตลาดต้องการ” หลวงพ่อท่านนั่งยิ้มอย่างเย็นใจก่อนตอบคน เหล่านั้นไปว่า “ อยากได้อะไรติดไม้ติดมือไปบ้างอย่างนั้นหรือ ได้สิอาตมา จะให้....เอาคําอํานวยพรไปก็แล้วกันนะขอให้เดินทางกลับบ้านโดยปลอดภัย ช้าหน่อยไม่เป็นไรยังไงก็ถึง ” เซียนพระกับพวกก็พากันกลับ ลุกจากที่นั่นไป โดยไม่แสดงความเคารพท่านสักนิดเดียว มีคนๆหนึ่งในกลุ่มนั้น บ่นว่า เสียเวลามาจริงๆไม่ได้เรื่อง รู้อย่างนี้นอนเล่นอยู่บ้านดีกว่า ไกลก็ไกลรถก็เข้า ไปไม่ถึง ต้องเดินเท้าออกไปอีก ซวยจริงๆ ” จากคําพูดนี้นี่เองทําให้พวกเขา เดินหลงป่าหาทางออกไม่เจอ เดินวกไปเวียนมา แม้จะมีพรานป่านําทาง,เข็ม ทิศ,อุปกรณ์เดินป่าครบครัน มันก็ช่วยอะไรพวกเขาเหล่านั้นไม่ได้ สุดท้ายก็ ต้องเดินย้อนกลับมาที่กุฏิของหลวงพ่อเหมือนเดิม และมากราบขอขมาท่าน ซึ่งหลวงพ่อท่านเองก็ไม่ได้ถือโทษอันใดเพียงแต่กล่าวคําว่า “ ก็ที่นี่มันเขา วงกต แต่งวดนี้เดินทางกลับไปกันเถอะ ยังไงก็ถึง ” คราวนี้ทุกคนก้มกราบ หลวงพ่อ ไม่มีใครกล้าที่จะแสดงอาการเช่นครั้งก่อนที่ทํามา ต่างเดินหุบปาก เงียบจากไปด้วยความสงบ ในที่สุดก็ออกจากป่านั้นได้ เป็นไปตามวาจาที่ หลวงพ่ออุ่นท่านกล่าวไว้จริงๆว่างวดนี้ยังไงก็ถึง นี่คือเรื่องที่ผมได้ยินมาจาก ปากของพรานดําคนนําทางพวกเซียนพระในครั้งนั้นเองเลยทีเดียว พรานดํา


~ 11 ~

ก็ยืนยันขันแข็งว่าเป็นเรื่องจริง” ผู้ใหญ่แจ้กล่าวอย่างชื่นชมในบารมีหลวงพ่อ “ ผมก็เคยได้ยินเจ้าหน้าที่ป่าไม้พูดถึงเรื่องนี้เหมือนกัน ตอนที่ผมเข้ามารับ ตําแหน่งที่นี่ใหม่ๆ ลูกน้องผมแนะนําให้มากราบหลวงพ่ออุ่น ผมถามว่าท่าน อยู่ที่ไหนดีอย่างไรก็ได้คําตอบเกี่ยวกับเรื่องนี้มา ผมว่าเราไปถามเรื่องนี้กับ ท่านดีกว่า” และแล้วสองท่านนั้นก็คลานเข้าไปกราบหลวงพ่อและถามขึ้นว่า “ หลวงพ่อขอรับ เรื่องเซียนพระที่มาจากเมืองกรุง อุตส่าห์มาหาหลวงพ่อถึง ที่นี่ ทําไมถึงไม่ให้พระแก่พวกเขาเหล่านั้นไปล่ะขอรับ ทั้งๆที่ตอนนั้นหลวง พ่อก็มีพระอยู่ตั้งหลายองค์ แต่กลับบอกว่าไม่มีเหลือแล้ว มีคนจองหมดแล้ว อย่างนี้ไม่เป็นการมุสาหรือขอรับกระผมขอความกระจ่างหน่อย ” ท่านสุรัตน์ เอ่ยถามด้วยความสงสัย หลวงพ่ออุ่น ท่านยังคงนั่งจิบน้ําชาอย่างใจเย็น แล้วก็ หันมายิ้มพร้อมกับตอบว่า “ พระเครื่องเขามีเอาไว้เพื่อเตือนใจให้เราทําความ ดี เป็นพุทธานุสติ และพึ่งพาอาศัยพุทธคุณได้บ้างในยามคับขัน ถ้าหากวัตถุ มงคลนั้นดีจริงนะ พูดง่ายๆมีไว้ใช้เตือนใจ ไม่ใช่เกร็งกําไร องค์พระไม่ใช่ สินค้าที่นําไปใช้แลกเปลี่ยนเป็นเงินตรา เป็นสิ่งที่ทรงคุณค่ามากกว่านั้น มัน อยู่ที่มุมมองและใจของคนที่ครอบครองพระองค์นั้นด้วย คนกลุ่มนี้ที่มาขอ เช่าพระกับอาตมาในครั้งนั้น มาด้วยเจตนาที่ไม่บริสุทธิ์ มองเห็นองค์พระ เป็นเพียงวัตถุสินค้า ต้องการได้มาเพื่อเกร็งกําไร อาตมาไม่ใช่พ่อค้าวัตถุ มงคลที่เล็งเห็นผลประโยชน์อันพึงมีพึงได้ อาตมาจะมอบให้แก่บุคคลที่ อาตมาเห็นแล้วว่าเขาเป็นคนดีมีคุณธรรมเท่านั้น ดังที่ให้กับโยมนี่แหละขอให้ รักษาความดีที่มีอยู่นี้เอาไว้นะแล้วทําให้มันงอกงามยิ่งๆขึ้นไป และที่อาตมา บอกกับคนเหล่านั้นไปว่าพระเครื่องเหล่านี้มีคนจองหมดแล้วไม่เหลือเลยสัก


~ 12 ~

องค์เดียว ก็เป็นกุศโลบายไม่ใช่มุสาวาทคนที่จองพระเครื่องเหล่านั้นทั้งหมด ก็คืออาตมาเอง จองเก็บไว้ทั้งหมดไม่มีเหลือไว้เลยสักองค์เดียว เพื่อรอเวลา สําหรับการมาของคนดีผู้มีบุญซึ่งคือเจ้าของที่แท้จริง อาตมาจองเผื่อพวกเขา เหล่านั้น เป็นการป้องกันรักษาสิ่งที่มีค่าไม่ให้ตกไปอยู่ในความครอบครอง ของคนไม่ดี อาตมาจึงไม่ได้ล่วงมุสาวาทแต่ประการใด เข้าใจไหมโยม” “เข้าใจแล้วขอรับหลวงพ่อ” หัวหน้าสุรัตน์กล่าว...... แต่ผู้ใหญ่แจ้ยังสงสัย เรื่องการหลงป่าของเซียนพระกับพวกว่าทําไมถึงเป็นเช่นนั้น ทั้งๆที่มีพราน ดําผู้ชํานานป่าที่เก่งที่สุดเป็นคนนําทางให้ ก็ยังหลงทางได้ หลวงพ่อแสดง ปาฏิหาริย์ทรมานให้สํานึกหรือเปล่าขอรับ” “มันไม่ใช่ปาฏิหงปาฏิหาริย์อะไร หรอกผู้ใหญ่ อาตมาไม่ต้องไปทําอะไรพวกเขาหรอก คนไม่ดีมาถึงที่นี่เจ้าป่า เจ้าเขาก็แกล้งเทวดาก็แช่งให้วิบัติ ทําให้หลงทางจะได้สํานึก ทีหน้าทีหลังจะ พูดจะจาอะไรต้องสํารวมให้มากกว่านี้ อย่าอวดเก่งปากพร่อย ต่อให้ร้อย พรานดําผู้ชํานาญป่าก็เอาไม่อยู่ เลยติดร่างแหไปกับเขาด้วย เล่นอะไรไม่เล่น ไปเล่นกับสิ่งที่มองไม่เห็น ก็เลยซวยจริงๆตามปากที่เขาพูดออกมา นี่มันก็ เป็นแบบนี้แจ่มแจ้งหรือยัง”สิ้นเสียงหลวงพ่อนายเอี่ยมก็ฟื้นขึ้นมา หลวงพ่อ ท่านเรียกให้เข้าไปใกล้ๆ เป่ากระหม่อมอีกครั้งแล้วมอบพระให้หนึ่งองค์แล้ว กล่าวว่า “ หมดเคราะห์หมดโศกเสียทีลูกเอ๊ย ต่อนี้ไปทําอะไรก็เจริญ เอาพระ ไปห้อยคอติดตัวไว้ด้วยจะได้แคล้วคลาดปลอดภัยนะลูกนะ ”นายเอี่ยมสํานึก ถึงพระคุณอันเปี่ยมไปด้วยเมตตาของท่านเป็นอย่างมาก ถึงกับปวารณาว่า ขอเป็นโยมอุปัฏฐากรับใช้หลวงพ่อตลอดไป จนกว่าจะตายจากกันไปข้าง หนึ่ง และน้อมรับเอาพระรัตนตรัยเป็นที่พึ่งที่ระลึกอันสูงสุดไปจนตลอดชีวิต


~ 13 ~

“ ผมด้วยขอรับ ” ท่านหัวหน้าสุรัตน์กล่าว “ ผมก็ด้วยเช่นกันขอรับหลวง พ่อ” หลวงพ่ออุ่นท่านยิ้มเล็กน้อยพอสมควรแก่กาละ ตบหลังให้กําลังใจทุก คนซึ่งนับแต่นี้ต่อไปต้องเรียกโยมอุปัฏฐากใหม่ทั้งหลายเหล่านี้ว่า “ อุบาสก” ท่านสั่งให้ไปอาบน้ําอาบท่าพักผ่อนตามอัธยาศัยกันได้ทุกๆคน หลวงพี่เชียร นําชุดขาวพร้อมของใช้ส่วนตัวมาให้อุบาสกทุกท่าน แล้วเอ่ยทักว่า “ยินดี ต้อนรับอุบาสกใหม่นะ จะอยู่ที่นี่เพื่อศึกษาธรรมและปฏิบัติธรรมกันสักกี่วัน ดีล่ะ ” “ เดือนหนึ่งครับท่านอาจารย์ ” อุบาสกเอี่ยมตอบด้วยสีหน้าที่เขินอาย นิด ๆ เพราะไม่เคยคิดว่าชีวิตนี้จะมีคํานําหน้าอะไรเหมือนกับเขาได้ “แล้วอีก สองท่านที่เหลือล่ะว่าไง” หลวงพี่เชียรเอ่ยถามความตั้งใจ “ผมกับผู้ใหญ่แจ้ ขอแค่อาทิตย์เดียวครับท่านอาจารย์ ” หลวงพี่เชียรได้ฟังดังนั้นถึงกับกล่าว อนุโมทนาในกุศลเจตนาที่ตั้งใจจะมาฝึกฝนอบรมตน เพื่อประพฤติปฏิบัติ ธรรมและอยู่รับใช้หลวงพ่อของอุบาสกทั้งสามท่าน ที่ทีแรกคิดว่าจะอยู่ค้าง แค่คืนเดียวเท่านั้น หลวงพี่เชียรกล่าวต่อไปว่า “ ความคุ้นเคยเป็นญาติอย่าง ยิ่ง การปฏิบัติตัวของเราที่ต่างไปจากวิถีชีวิตเดิม ๆ ในทางโลกที่เราได้กระทํา มาตลอดชีวิต แล้วเข้ามาสัมผัสกับวิถีแห่งธรรม บนเส้นทางแห่งการสร้าง บารมี มันก็ย่อมจะต้องมีความไม่สะดวกสบาย ไร้ความสนุกสนานแตกต่าง กันเป็นอย่างมาก ต้องอาศัยการปรับตัวและใช้เวลาสักพักเดี๋ยวก็คุ้นไปเอง และเราจะมีความรู้สึกว่าอยู่ได้อย่างสบาย ๆ ไม่อึดอัด ร้อนรนกระวนกระวาย ใจ ขอให้เชื่ออาตมาเถอะ 1 อาทิตย์สําหรับทั้งสองท่านและอีกหนึ่งเดือนต่อ จากนี้ไปของอุบาสกเอี่ยมจะได้อะไรกลับไปมากมายและเป็นสิ่งที่ทรงคุณค่า ยิ่ง สําหรับการเกิดมาครั้งหนึ่งในชีวิตนี้ ไปอาบน้ําอาบท่าให้สบายใจเถอะ


~ 14 ~

แล้วมาพบกันที่กุฏิของอาตมา มีน้ําปาณะให้ดื่มแก่หิว เชิญตามสบายนะ ” “ครับพระอาจารย์ ” อุบาสกทั้งสามท่านกล่าวอย่างนอบน้อมและได้ขอตัว เพื่อไปอาบน้ําชําระร่างกาย ณ ภายในกุฏิหลังน้อย ๆ ของหลวงพี่เชียรยังคง สว่างไสว ด้วยแสงเทียนพรรษาเจิดจรัสจ้าประดุจกลางวัน เณรจ่อยอุ่นน้ํา ปาณะ ( น้ําเต้าหู้ ) จนร้อนแล้วรินใส่แก้วยกมาถวายหลวงพี่เชียร ซึ่งกําลัง จัดเตรียมที่หลับที่นอนให้กับอุบาสกทั้งสามอยู่ “ หลวงพี่ขอรับน้ําปาณะ ร้อน ๆนิมนต์ดื่มได้เลยขอรับ ” “ขอบใจนะน้องเณร แต่เอ.....น้ําเต้าหู้นี้มา จากไหนเหรอ ทุกวันไม่เคยเห็นมีนี่นา ” หลวงพี่เชียรเอ่ยถามด้วยความ สงสัย “ก็โยมแม่บ้านของอุบาสกเอี่ยมนั่นแหล่ะขอรับทํามาถวาย ตั้งแต่ หัวค่ําแล้ว ทราบมาว่าชาวบ้านช่วยกันต้มช่วยกันทําอย่างสุดฝีมือเชียวนะ ขอรับ ” จังหวะนั้นอุบาสกเอี่ยม,ผู้ใหญ่แจ้และท่านสุรัตน์ก็เดินเข้ามาในกุฏิ แสงไฟจากเทียนพรรษาเล่มใหญ่ทําให้เห็นใบหน้าของอุบาสกทุกท่านได้อย่าง ถนัดถนี่ ที่มาในภาพลักษณ์ใหม่ใส่ชุดขาวไร้หนวดเคราที่รกรุงรัง หวีผม เรียบแปล้ ปะแป้งจนหน้าขาวนวล ทําให้หลวงพี่เชียรกับเณรจ่อยต้องเหลียว ไปดูด้วยความแปลกใจแทบไม่เชื่อสายตาตัวเอง ที่กลับกลายมาเป็นคนใหม่ ในเวลานี้ “โอ้โหท่านทั้งหลายหรือนี่ ไม่น่าเชื่อเลยว่าจะเปลี่ยนไปได้ถึงเพียง นี้ ” เณรจ่อยกล่าวออกมาด้วยความชื่นชม “ พ่อเณรอย่าแซวพวกกระผมสิ ขอรับพวกผมอาย” หลวงพี่เชียรได้ทีเลยเรียกให้มาดื่มน้ําปาณะกัน อุบาสก เอี่ยมรับเสื่อแล้วนําไปปู พร้อมกราบนิมนต์เชิญหลวงพี่เชียรกับเณรจ่อยมา นั่งสนทนาด้วย หลวงพี่เชียรบอกว่าไปที่ลานธรรมดีกว่า เพราะว่าที่นั่นเป็นที่ โล่ง ,กว้างขวาง นั่งสบายภายใต้แสงจันทร์ที่สาดส่องลอดช่องเมฆาทะลุฟ้า


~ 15 ~

มาเยือน ทุกคนจึงไปรวมตัวกันที่นั่น ทันใดนั้นเณรน้อยก็เอ่ยคําว่า “ ชน แก้วต้อนรับอุบาสกใหม่หน่อย น้ําเต้าหู้สู่นิพพาน ” อุบาสกใหม่ตกตลึงทํา อะไรไม่ถูก จนหลวงพี่เชียรต้องออกปากห้ามปรามความไร้เดียงสาของเณร น้อยองค์นี้ว่า“เณรสํารวมหน่อย อย่ากล่าวล่วงวาจาแบบนี้มันไม่เหมาะ ไม่ ถูกกาละจะว่าทําแบบนี้ผิดไหม มันก็ไม่ผิดอะไรหรอกแต่มันเสียสมณะสารูป เป็นโลกะวัชชะโลกติเตียน มันไม่งาม เข้าใจไหม ” “ ขอประทานอภัยด้วย ขอรับหลวงพี่ คือผมดีใจที่ได้เพื่อนใหม่ตั้งหลายคน จึงเผอเรอไปหน่อย คราวหน้าคราวหลังผมจะสํารวมให้มากกว่านี้ การสนทนาธรรมภายใต้แสง จันทร์เริ่มอุบัติขึ้นจากการเริ่มต้นของเณรจ่อย แม้จะเรืองปัญญาชอบถาม ปัญหาธรรมได้ละเอียดลึกซึ้งก็ตามที แต่ด้วยความเป็นเด็กวุฒิภาวะในเรื่อง ที่ว่าอะไรควรไม่ควร ยังคงต้องได้รับการอบรมสั่งสอนจากหลวงพี่เชียร ผู้ เป็นทั้งพระอาจารย์ พระพี่เลี้ยง สหธรรมิก ที่สามเณรจ่อยเคารพนับถือมาก อุบาสกเอี่ยมเอ่ยถามหลวงพี่เชียรว่า “ พระอาจารย์ขอรับ เราจะมีวิธีทําบุญ ได้อย่างไรบ้างขอรับ”“ เป็นคําถามที่ดีมากนะอุบาสกเอี่ยม สําหรับการ เริ่มต้นสนทนาธรรมในค่ําคืนนี้ วิธีทําบุญในพระพุทธศาสนาโดยย่อแล้วมี 3 วิธีด้วยกันคือ 1.ให้ทาน ได้แก่ แบ่งปันทรัพย์สิ่งของที่เป็นประโยชน์ให้แก่ บุคคลที่สมควร โดยไม่ถึงกับทําให้ตัวเองเดือดร้อน ซึ่งโดยทั่วไปแล้วชาว พุทธก็นิยมทําบุญด้วยการให้กับพระภิกษุบ้าง, ผู้มีศีลบ้าง เป็นประจํา สม่ําเสมอ 2. รักษาศีล คือ การสํารวมกาย วาจา ไม่ให้ทําความเดือดร้อนทั้ง แก่ตนเองและผู้อื่นอย่างน้อยก็รักษาศีล 5 เป็นประจําทุกวัน หากมีโอกาสใน วันโกนวันพระหรือวันธรรมสวนะก็นิยมรักษาศีล 8 เพื่อให้ได้บุญเพิ่มขึ้นมา


~ 16 ~

อีกหรือบางท่านอาจจะปรับให้เหมาะสมกับกิจการงานที่ทํา โดยรักษาศีล 8 เป็นประจําในวันใดวันหนึ่งทุก ๆ 7 วัน 3. เจริญภาวนา ได้แก่ การทําบุญ ด้วยการฝึกใจให้เป็นสมาธิ ศึกษาธรรมะสวดมนต์ไหว้พระ เพื่อทําให้ใจ มั่นคงผ่องแผ้วปลอดโปร่งแจ่มใสชื่นบาน ซึ่งนิยมทํากันเป็นประจําทุก ๆ คืน ก่อนนอน อย่างน้อยคืนละ 15 นาที ถึง 1 ชั่วโมง โดยทั่วไปแล้วการทําบุญ ทั้ง 3 วิธีนี้ ชาวพุทธถือหลักปฏิบัติง่าย ๆ ว่า เช้าใดถ้ายังไม่ได้ให้ทาน เช้านั้น ก็จะยังไม่รับประทานอาหาร วันใดถ้ายังไม่ได้ตั้งใจรักษาศีลวันนั้นก็จะยังไม่ ออกไปนอกบ้าน คืนใดถ้ายังไม่สวดมนต์เจริญสมาธิภาวนา คืนนั้นก็จะยัง ไม่เข้านอน เมื่อใดได้สร้างบุญเป็นประจําอย่างนี้แล้ว เป็นอันหวังได้ว่าชีวิต จะไม่มีวันตกต่ํา อนาคตจะมีแต่ความก้าวหน้า สิ่งใดที่ตนปรารถนาก็จะ ได้สิ่งนั้นมาโดยง่ายดาย ด้วยอํานาจของบุญที่ทํามาดีแล้วทั้ง 3 ประการนี้ ” “พระอาจารย์ขอรับพวกผมได้ขึ้นชื่อว่าเป็นอุบาสกแล้ว อยากจะทราบว่า คุณสมบัติของการเป็นอุบาสกนั้นมีอะไรบ้างขอรับ” อุบาสกสุรัตน์กล่าวถาม ด้วยความใฝ่รู้ หลวงพี่เชียรได้สรุปคําจํากัดความให้จําได้ง่าย ๆ เพื่อไขข้อ ข้องใจท่านทั้งหลาย โดยขอยืมสํานวนของพระมหากําจัด เอกจารีที่ท่านให้ คําจํากัดความของคําว่าอุบาสกได้ดีดังนี้ว่า อุบาสกยกว่าดีมีธรรมห้า มีศรัทธาตั้งมั่นมิหวั่นไหว มีศีลสัตย์ฝึกหัดกายและใจ หูตาใสไม่ตื่นข่าวเล่าลือมา แสวงบุญนิวาสในศาสน์นี้ ขวนขวายดีในพุทธศาสนา เมื่อมีครบจบงามตามกล่าวมา ท่านเรียกว่าอุบาสกรัตนัง


~ 17 ~

“หลวงพี่ขอรับ มีหมวดธรรมข้อไหนบ้างครับที่จะทําให้กิจการงานนั้นสําเร็จ สมความประสงค์ได้เป็นอย่างดี ขอความกรุณาหลวงพี่ช่วยสรุปย่อให้ผม ทราบหน่อยเถิดครับ เอาแบบจําได้ง่าย ๆ หน่อยนะครับไอ้ผมมันความจํา สั้น” อุบาสกผู้ใหญ่แจ้ถามบ้าง “นี่ก็เป็นคําถามที่ดีมากอีกคําถามหนึ่งคือ ผู้ใหญ่เป็นผู้นําชุมชนมีกิจการงานมากมายหลาย ๆ อย่างที่ต้องกระทําเพื่อ ส่วนรวม ให้ถือหลักอิทธิบาท 4 นี่แหละ ซึ่งเป็นธรรมให้สําเร็จความ ประสงค์จําไว้สั้น ๆ มี 4 ข้อดังนี้นะ 1. ฉันทะ พอใจในสิ่งนั้น 2. วิริยะ บากบั่นขยันกล้า 3. จิตตะ เอาใจใส่ไม่ร้างรา 4. วิมังสา ตรวจสอบรอบคอบจริง หรือท่องเป็นสโลแกนอย่างนี้ก็ได้ว่า 1. พอใจมัน 2. ขยันไว้ 3. เอาใจใส่ 4. ใช้ความคิด ถ้าอุบาสกผู้ใหญ่ยึดหลักนี้เอาไปใช้ อาตมารับรองได้ว่างาน ของผู้ใหญ่ที่ได้รับมอบหมายมานั้น ก็จะรุดหน้าไม่มีกองค้างไว้ให้รกหูรกตา ชาวประชาก็ยินดีปรีดา หลวงพี่ย่อเนื้อหาสาธยายสั้นเกินไปหรือเปล่า เข้าใจ กันไหมทุกท่าน ” “เข้าใจครับ” อุบาสกใหม่กล่าวตอบพระอาจารย์เชียร พร้อมกันโดยไม่ได้นัดหมาย จากนั้นอุบาสกเอี่ยมก็มีคําถามที่สงสัยมานาน ว่าห่วงที่มีอยู่ในใจของเรา ๆ ท่าน ๆ ทั้งหลายทางพระพุทธศาสนาได้กล่าว เรื่องนี้ไว้อย่างไรบ้างโดยกราบเรียนถามหลวงพี่เชียรด้วยความใคร่รู้เป็นอย่าง ยิ่ง ซึ่งท่านก็ให้คําตอบมาดังนี้ว่า “ห่วงหรือเครื่องจองจําของคนเรานะท่าน อุบาสก โดยเฉพาะเครื่องจองจําที่เห็นง่าย และเป็นการจองจําชนิดติดกับ


~ 18 ~

ตัวเองเลยเช่น ตํารวจเขาใส่กุญแจมือหรือผู้คุมเขาใส่โซ่ตรวน ดูแล้วมัน เหมือนมัดเราจนแน่น พวกนี้มันเป็นเครื่องจองจําทางกาย ถึงเวลาเขาก็ต้อง ปลดออก แต่มีเครื่องจองจําชนิดหนึ่งมันไม่ได้ติดอยู่กับตัวหรอก แต่มัน สลัดไม่หลุด มันไม่ได้ติดตัวแต่มันติดใจสลัดอย่างไรก็ไม่หลุดเช่นอะไรบ้าง ก็อย่างที่ท่านอุบาสกถามนั่นแหล่ะคือ สามีภรรยา ยามคิดถึงอุตส่าห์ข้ามน้ํา ข้ามทะเลไปหา คิดถึงอยู่นั่นแหละ จะตายเสียให้ได้ พอมีลูกขึ้นมามันให้ ห่วงลูกต่อ ห่วงอันนี้จัดเป็นเครื่องจองจําทีเดียว บางคนห่วงสามี บางคน ห่วงภรรยา ห่วงกันจนกระทั่งกินไม่ได้นอนไม่หลับ และห่วงอีกอันหนึ่งก็ คือ ห่วงสมบัติ ห่วงทั้ง 3 นี้ ( สามีภรรยา,ลูก,สมบัติ ) เป็นเครื่องพันธนาการ ทางใจที่ดิ้นหลุดยากเหลือเกิน เพราะมันทําให้ห่วงมันผูกพัน ยกตัวอย่างเช่น เรากําลังเจริญพระกรรมฐานอยู่ดี ๆ แท้ ๆ อุบาสกเอี่ยมอาจจะเห็นหน้าลูก โผล่ออกมา พอสงบใจลงได้ เอ๊า...หน้าเมียโผล่มาอีกแล้ว เรื่องเงินเรื่องทอง สมบัติพัสถานแซงขึ้นมาอีกจนได้ ที่นั่งปฏิบัติธรรมกันไม่ค่อยจะได้ผลก็ตรง นี้แหละ มันติดกันอยู่อย่างนี้ อย่าสงสัยเลยอุบาสกเอี่ยม ” “อุบาสกเชิญดื่ม น้ําชาร้อน ๆ ก่อนนะ ตามสบายจะได้ชุ่มคอมีแรงไว้ถามธรรมะกันต่อ อ้าว... ใครเข้ามาน่ะ โยมเจิดมีกิจอันใดรึ เข้ามา ๆ มาฟังธรรมะใต้แสงจันทร์กัน ” โยมเจิดคลานเข้ามากราบหลวงพี่เชียรแล้วกล่าวว่า“พระอาจารย์ขอรับ ผม ขอนอนที่นี่ด้วยคนไม่อยากอยู่บ้านรําคาญใครบางคนขอรับ บ่นจู้จี้น่ารําคาญ ไม่รู้อะไรกันนักกันหนาไร้สาระจริง ๆ ” พระอาจารย์เชียรยกน้ําชาขึ้นดื่มแก้ กระหาย หลังจากที่ได้สาธยายธรรมโปรดสามเณรจ่อย และอุบาสกใหม่เป็น เวลาพอสมควร ก่อนจะกล่าวกับโยมหมายว่า “ใจเย็นๆโยม ไอ้ที่รําคาญน่ะ


~ 19 ~

หมายถึงเมียใช่ไหม เอ้อ....ไปฟัดกับห่วงมาหรือยังไง ทั้งโดนรัดทั้งโดนฟัด อย่างนี้ หนีเข้าวัดก็ยังถือว่าใช้ได้นะ ดีกว่าหนีไปกินเหล้าเมายา เห็นไหม... เล่าเรื่องนี้ยังไม่ทันไร มีตัวอย่างมาให้เห็นเสียแล้ว นี่คือโทษภัยของห่วงใหญ่ ทั้ง 3 ที่ได้เล่ามา แล้วโยมเจิดจะค้างที่นี่จริง ๆ หรือ ” “จริงขอรับพระอาจารย์ ผมเองก็อยากมาเยี่ยมไอ้เอี่ยมด้วย” “ก็ได้ นอนเบียด ๆ กันหน่อยก็แล้วกัน แต่ขอติงโยมเจิดนิดหนึ่ง อย่าว่ากันนะขอความกรุณาเรียกท่านเอี่ยมว่า อุบาสกเอี่ยมด้วยก็จะดีมาก เป็นการให้เกียรติผู้ที่ตั้งใจมาฝึกฝนอบรมตนให้ เป็นคนดี คําว่าอุบาสกเป็นคําที่ศักดิ์สิทธิ์ไม่ใช่ใครต่อใครก็จะมีสิทธิ์ใช้กันได้ ง่าย ๆ ดังนั้นให้ความเคารพกันหน่อยนะ ” “ได้ขอรับพระอาจารย์ ผมต้อง ขอกราบประทานโทษด้วยเพราะเคยเรียกกันจนชินแบบนี้” “ดีแล้วล่ะที่เข้าใจ เอาชาร้อน ๆ สักถ้วยไหม แก้หนาวได้นะ แล้วนี่มาคนเดียวมีใครอยู่ข้างนอก อีกหรือเปล่า” “ไม่มีแล้วขอรับ ผมมาคนเดียว ฝ่าดงความมืดมา เสียวสัน หลังวาบ มันหวิว ๆ ยังไงชอบกล แก่ตัวมาทําไมมันดันมากลัวผีได้ไม่รู้สิ ขอรับท่านอาจารย์”หลวงพี่เชียรยิ้มรับเรื่องราวของโยมเจิดที่เล่ามาแล้วกล่าว ว่า “สิ่งแวดล้อมในยามค่ําคืนมันหล่อหลอมความรู้สึกของเราให้คิดไปต่าง ๆ นานา เพราะว่าความมืดทําให้เรามองเห็นสรรพสิ่งรอบข้างได้ไม่ชัด เมื่อไม่ ชัดก็ไม่เห็นเมื่อไม่เห็นว่าอะไรเป็นอะไร ก็คิดหวาดระแวงขึ้นมา แล้วก็ จินตนาการไปตามความรู้สึกนึกคิดนั้น ซึ่งส่วนใหญ่จะคิดกันไปในเรื่องของ โลกวิญญาณ จึงทําให้เกิดอาการผวาหวาดกลัว เสียวสันหลัง อย่างที่โยมเจิด ได้สัมผัสมาก่อนจะมาถึงที่นี่นั่นแหล่ะ มันก็เป็นเช่นนี้นี่เองอย่าไปคิดอะไร มากเลย” พระอาจารย์เชียรกล่าว “ มีใครจะเติมน้ําเต้าหู้บ้างไหมในหม้อกําลัง


~ 20 ~

ร้อน ๆ เลยนะ แล้วอุบาสกเอี่ยมล่ะเห็นตาปรือ ๆ ง่วงนอนแล้วหรือ น้องเณร รินน้ําชาให้หลวงพี่หน่อย ดูสิเอาตั้งไว้เสียไกลเชียว.....เอาล่ะยื่นมาคิดว่าเอา บุญหยาบไปต่อยอดกับบุญละเอียดก็แล้วกันนะ” “ท่านอาจารย์ครับ ผม สังเกตเห็นว่าวัดที่เน้นเรื่องการรักษาญาติโยมผู้ป่วยที่มาขอพึ่งพระ เพื่อมารับ การรักษานั้นจะต้องมีรูปท่านหมอชีวกโกมารภัจจ์เกือบทุกวัดไปโดยให้ผู้ป่วย นําดอกไม้ธูปเทียนไปกราบไหว้ท่านก่อน แม้แต่ที่นี่ที่สํานักสงฆ์เขาวงกตของ เราผมเดินผ่านมาข้าง ๆ กุฏิหลวงพ่อก็เห็นมีรูปปั้นของท่านหมอชีวกฯตั้งอยู่ ได้ข่าวว่ามีชาวบ้านมากราบไหว้กันมาก ก่อนจะเข้ารับการรักษาและรับยาไป ทานจากหลวงพ่อ ที่สําคัญคือหายกันทุกราย ท่านอาจารย์จะอธิบายเรื่องนี้ว่า อย่างไรขอรับ หมอชีวกโกมารภัจจ์เป็นใคร มีประวัติความเป็นมาอย่างไร แล้วหลวงพ่ออุ่นสร้างรูปจําลองท่านหมอชีวกโกมารภัจจ์ ไว้เพื่อเหตุผลอันใด อีก นอกเหนือจากการให้ผู้ป่วยได้เคารพกราบไหว้” “ เป็นคําถามที่ดีมากนะ ท่านอุบาสกสุรัตน์ อาตมาขอชี้แจงเป็นข้อๆไปก็แล้วกัน ที่ถามว่าวัดส่วนใหญ่ ที่เน้นเรื่องการรักษาคนนั้นจะมีรูปหล่อจําลองท่านหมอชีวกฯก็ด้วยเหตุผล 2 ประการคือ1.เพื่อต้องการให้ผู้ป่วยมีขวัญกําลังใจในเบื้องต้นก่อนเป็นอันดับ แรก พอผู้ป่วยที่มาเข้ารับการรักษาได้จุดธูปเทียนบูชากราบไหว้ขอพรท่าน ที่ รูปหล่อจําลองแล้ว ก็เกิดกําลังใจขึ้นมาพร้อมที่จะเข้ารับการรักษาในลําดับ ต่อไป ถือได้ว่าเป็นจิตวิทยาอย่างหนึ่งก็ว่าได้โดยอาศัยสิ่งศักดิ์สิทธิ์เป็นเครื่อง นําพาจิตใจให้คลายต่อความวิตกกังวลและส่งผลในด้านปลอบขวัญให้มีแรง ฮึดสู้กับโรคภัยไข้เจ็บต่อไปนั่นเอง ประการที่ 2. นี้ว่ากันตามส่วนละเอียดนะ คืออาศัยอานุภาพแห่งความศักดิ์สิทธิ์ฤทธิ์บารมีของท่านหมอชีวกฯโดยตรง


~ 21 ~

ให้ช่วยแผ่ลงมาถึงผู้ป่วย แต่อันนี้อาตมาไม่กล้ายืนยันรับรองว่า ทุกคนจะ ได้รับการแผ่นบารมีจากท่านหมอชีวกฯ ให้หายจากโรคร้ายได้ทั่วหน้ากัน หรือไม่ อยู่ที่จิตที่มีศรัทธาเชื่อมั่นของผู้ป่วยเป็นสําคัญ และเป็นเรื่องของบุญ กรรมที่เข้ามาเสริมด้วย อาตมาคิดว่ารูปหล่อจําลองที่ทางวัดต่าง ๆ สร้างขึ้น จุดประสงค์ของผู้สร้างโดยส่วนตัวแล้ว ก็น่าจะเป็นการน้อมระลึกถึงพระคุณ ของท่านหมอชีวกฯอย่างใดอย่างหนึ่ง ที่ผู้สร้างได้ประสบมากับตัวนั่นเอง ยกตัวอย่างง่าย ๆ ใกล้ ๆ ตัวของเรานี่แหละเห็นรูปหล่อหมอชีวกฯ ข้าง ๆ กุฏิ หลวงพ่อใช่ไหม ท่านสร้างขึ้นไว้ทําไม เอ่อ...เข้าใจถามมันต้องมีที่มาที่ไปสิ นอกเหนือจากจุดประสงค์ที่เหมืนกันกับวัดทั่ว ๆ ไปอย่างที่อาตมาบอกนั้นก็มี เหตุผลอีกข้อหนึ่ง ซึ่งเรื่องนี้ไม่มีใครรู้นอกจกอาตมาคือหลวงพ่ออุ่นท่านได้ เล่าให้ฟังว่า ตอนที่ท่านบวชสร้างบารมีใหม่ ๆ ในพรรษาที่ 7 ท่านกําลังเดิน ธุดงค์อยู่ดีๆ แล้วเกิดเป็นลมล้มฟุบลงไป อัฐบริขารกลิ้งหล่นกระจัดกระจาย ไปคนละทิศละทาง หลวงพ่ออุ่นท่านนอนสลบไม่ได้สติอยู่ข้างทางลูกรัง วิญญาณท่านออกจากร่างแล้วเดินตรงไปยังต้นไทรที่ใหญ่มาก ขนาดเอาคน ร้อยคนไปนั่ง ที่ก็ยังเหลือ ท่านเล่าความรู้สึกในตอนนั้นว่า มันเคว้งคว้างทํา อะไรไม่ถูก ยืนใจหายอยู่ใต้ต้นไทรนั้น ขณะที่กําลังเหลียวซ้ายแลขวาเพื่อหา ใครสักคนจะได้ถามเขาได้ว่าที่นี่คือที่ไหน ทันใดนั้นท่านหมอชีวกฯก็ได้ ปรากฏกายมาหาท่านแล้วกล่าวว่า “ นิมนต์นั่งพักตรงนี้เถิดพระคุณเจ้า ดื่ม โอสถทิพย์ถ้วยนี้ก่อน เพื่อยังอาการป่วยของท่านให้สิ้นไป หลวงพ่ออุ่น ท่านก็น้อมรับโอสถถ้วยนั้นด้วยความยินดี แล้วดื่มลงไปเกิด ความรู้สึกปีติ แผ่ซ่านไปทั่วสรรพางค์กาย เบาเนื้อเบาตัวอารมณ์ปลอดโปล่งแจ่มใส อย่างที่


~ 22 ~

ไม่เคยเป็นมาก่อน กับมีพละกําลังและความแข็งแรงของร่างกายมากขึ้น ตอนนั้นหลวงพ่ออุ่นท่านไม่รู้ว่าดาบสผู้นี้เป็นใคร จึงถามชื่อเสียงเรียงนาม และได้ถามว่าที่นี่คือที่ไหน เพราะมันดูแปลก ๆ ไม่เหมือนกับบ้านเมืองเราก็ ได้รับคําตอบว่าท่านผู้มีอายุท่านนี้คือ หมอชีวกโกมารภัจจ์และดินแดนแห่งนี้ คือ เมืองเวสาลีแคว้นวัชชีพร้อมกับแนะหนทางออกไปจากที่นี่ให้เดินวนรอบ ต้นไทร 3 รอบ แล้วหันหน้ามุ่งสู่ทิศอุดรให้เดินตรงไปอีก 3 ก้าวก็จะถึง จุดหมายตามที่จิตใจของท่านต้องการ หลวงพ่ออุ่นท่านก็ได้ทําตามนั้นจิตก็ ถูกดูดวูบกลืนเข้าไปกับชั้นบรรยากาศ ความจําได้หมายรู้หายไปหมดสิ้นมา รู้สึกตัวอีกทีก็ตอนที่ลืมตาเห็นตัวเองนอนอยู่ตรงเชิงบันไดเขา ซึ่งต่อมาก็คือ สํานักสงฆ์เขาวงกตของเรานี่เอง หลังจากวันนั้นมาท่านก็ได้สื่อญาณวิเศษ เชื่อมต่อวิชาทางการแพทย์จากท่านหมอชีวกฯ โดยตรง ได้เรียนรู้สรรพวิชา ต่างๆเพิ่มขึ้นอีกมากมายมีข้อสงสัยอันใดก็กําหนดจิตสื่อกับท่านได้ตลอดเวลา ยิ่งไปกว่านั้นท่านไม่เคยเจ็บไข้ได้ป่วยอีกเลยตั้งแต่วันที่ท่านได้ดื่มโอสถทิพย์ คราวนั้น สุขภาพร่างกายของท่านนับวันยิ่งแข็งแรงแกร่งทั้งกายและใจทําให้ ท่านสามารถปฏิบัติสมณะกิจ สร้างบุญบารมีได้อย่างเต็มที่ ด้วยเล็งเห็น พระคุณอันยิ่งใหญ่อันไม่มีประมาณประดุจพระอาจารย์ผู้ให้ชีวิตใหม่ หลวง พ่ออุ่นท่านจึงสร้างรูปหล่อจําลองของท่านหมอชีวกโกมารภัจจ์ขึ้น เพื่อให้ สาธุชนได้เคารพกราบไหว้ และเป็นเครื่องระลึกถึงพระคุณที่หลวงพ่อได้ รับมา....เรื่องราวก็เป็นมาแบบนี้พักคั่นเวลาสักเดี๋ยวก่อนก็แล้วกันนะ อุบาสก เอี่ยมช่วยรับบุญด้วยการไปปูที่หลับที่นอน ต้อนรับอาคันตุกะผู้มาเยือน เหล่านี้หน่อย” “ ได้ขอรับพระอาจารย์” ทันใดนั้นโยมเจิดก็เอ่ยอาสาว่า “งั้น


~ 23 ~

ผมขอรับบุญตรงนี้ด้วยคนนะขอรับ ท่านเอี่ยมเดี๋ยวผมช่วยท่านอีกแรง ” “เออ...โยมเจิดพูดเพาะได้แล้วนี่ เรียนรู้ได้เร็วจัง การกล่าวมธุรสวาจาให้ซึ่ง กันและกันนํามาซึ่งกําลังใจอันไม่มีประมาณ กิจการงานที่ทําก็สําเร็จโดยง่าย ไปช่วยกันหาที่หลับที่นอนกันเถอะ เดี๋ยวค่อยมาฟังธรรมกันใหม่ ” ยามนี้ ข้างนอกสว่างด้วยแสงจันทร์ข้างในสว่างด้วยแสงธรรม หลวงพี่เชียรสามเณร จ่อย,อุบาสกเอี่ยม,นายเจิด,อุบาสกผู้ใหญ่แจ้และท่านอุบาสกสุรัตน์ ยังคงนั่ง ผ่อนคลายอิริยาบถเล่นตรงลานธรรม คืนนี้มีพระจันทร์ยิ้มพริ้มพราย เห็น ทะเลดวงดาวมากมายเรียงรายเต็มฟ้า สายตาของทุกคู่จ้องมองดู จินตนาการ เปิดอารมณ์เตลิดรับรู้ สู่ความรู้สึกนึกคิด ไร้ซึ่งบรรทัดฐานของความถูกผิดที่ ปกปิดมานาน สายลมพลิ้วผ่าน...จิตใจแตกกระสานซ่านเซ็น หลวงพ่ออุ่น เดินตรงมาที่ลานธรรมแล้วกล่าวทักว่า “ไม่มีใครเป็นพระอรหันต์ได้ด้วยการ พูดคุย” แล้วก็ยื่นกระดาษแผ่นเล็กๆให้แผ่นหนึ่ง ในนั้นเขียนข้อความเอาไว้ว่า ธรรมใดก็ไร้ค่า ถ้าหากว่าได้แค่จํา เพียงเราเข้าถึงธรรม สุขเลิศล้ํากว่าสิ่งใด รู้จบครบทุกสิ่ง ไม่ต้องอิงตําราใด หรือท่านนั้นภูมิใจ ตําแหน่งใหม่ “ ใบลานเปล่า ” หลวงพี่เชียร พออ่านจบก็ยืนสงบนิ่ง อึ้งไปชั่วขณะหนึ่ง เรียกทุกคนให้กลับ เข้ากุฏิโดยด่วน ยังความแปลกใจให้เกิดขึ้นเป็นอันมาก พอถึงกุฏิก็รีบดับไฟ จากเทียนพรรษาเล่มนั้นแล้วกล่าวว่า คฤหัสถ์จงเข้านอน บรรพชิตขอตัว ก่อนจะไปทําความเพียร เสียงหัวเราะเบาๆดังฝ่าเงามืด สามเณรจ่อยเอ่ยถาม หลวงพี่เชียรถึงเหตุผลที่รีบกลับเข้ากุฏิดับไฟไม่แสดงธรรมต่อ ก็ได้คําตอบว่า


~ 24 ~

หลวงปู่ท่านทิ้งปริศนาธรรม ซึ่งทําให้เราได้คิดและคิดได้ว่า ให้พูดน้อยๆลง หน่อย แล้วหันมาสนใจการปฏิบัติธรรมให้มากๆ รู้จํา รู้จริง แต่ไม่รู้แจ้ง จะ มีประโยชน์อันใด คืนนี้น้องเณรก็นั่งทําภาวนาเสียด้วยกันเลยนะ” “ ได้ขอรับ หลวงพี่ ” “ ดีมาก ถ้าเช่นนั้นเราเริ่มปฏิบัติธรรมกันเลย ” ส่วนท่านใดจะ ปฏิบัติธรรมด้วยก็เชิญ ไปพบกันที่กุฏิหลวงพ่อนะ” ภายในกุฏิหลวงพ่อตรงหน้าโต๊ะหมู่บูชา หลวงพ่ออุ่นท่านนั่งทําภาวนารอ ท่าอยู่ก่อนแล้ว หลวงพี่เชียรเข้าไปก่อนเป็นคนแรก ตามด้วยสามเณรจ่อย และอุบาสกทั้งสามท่าน รวมนายเจิดด้วยอีกคนตามติดกันเข้ามา ทุกคนก้ม กราบพระประธาน แล้วก็สํารวมกายวาจาใจ เพื่อนั่งกัมมัฏฐาน หลวงพ่ออุ่น ท่านค่อยๆลืมตาขึ้นแล้วก็หันหน้ากลับมาทางด้านกลุ่มคณะศิษย์ มากันแล้ว หรือท่านนักปราชญ์ราชบัณฑิต สว่างข้างนอกมันจะไปได้เรื่องอะไร ต้อง สว่างที่ข้างในจึงจะใช้ได้ มาเถิดมาทําใจของเราให้สว่างกัน ” จากนั้นหลวง พ่ออุ่นก็กล่าวกับทุก ๆ คน ว่า “ เรามาฝึกปฏิบัติธรรมกันก่อนเถอะ ยังไม่ ต้องถามอะไรให้มากความหรอกว่าดีอย่างไร ฝึกแล้วจะได้อะไร ตอนนี้ทํา ตามที่หลวงพ่อบอกก็พอ เอาล่ะทุกท่านกราบพระประธานพร้อมกันแล้ว กล่าวคําสมาทานกัมมัฏฐานตามหลวงพ่อดังนี้...ยะมะหัง สัมมาสัมพุทธังฯ หลวงพ่อท่านนํากล่าวสมาทานกัมมัฏฐานจนจบ แล้วเอ่ยสําทับด้วยคํานี้ที่ว่า รอบนี้จะนั่ง 30 นาทีพยายามอดทนนั่งให้มันผ่านพ้นไปให้ได้ ถ้าหากใคร ปวดเมื่อยขึ้นมาเสียก่อน ก็ให้เปลี่ยนท่านั่งได้ แต่ห้ามลืมตาโดยเด็ดขาดนะ ” แล้วหลวงพ่ออุ่นก็แนะวิธีปฏิบัติภาวนาให้แก่ท่านทั้งหลายจนเข้าใจแจ่มแจ้ง ก่อนเอ่ยคําว่า “เมื่อเข้าใจขั้นตอนต่าง ๆ แล้วก็ตั้งใจกันให้ดีนะลูกนะ ต่างคน


~ 25 ~

ต่างทําไปเงียบ ๆ ก็แล้วกัน ” ทุกท่านน้อมรับคําสอนและได้ลงมือปฏิบัติตาม ทันที ด้วยบรรยากาศที่สงบวิเวก เหมาะแก่การบําเพ็ญเพียรภาวนา บวกกับ อํานาจแห่งบุญบารมี ตลอดจนความเชี่ยวชาญทางสมาธิจิต ที่แผ่คลุมบุญ ให้แก่ลูกศิษย์ของหลวงพ่ออุ่นในที่นี้ ก่อให้เกิดประสบการณ์ภายในในรูปแบบ ต่างๆกัน ผู้ที่โดนสอบพระกรรมฐานก่อนเป็นคนแรกคือหลวงพี่เชียร เสียง หลวงพ่อเอ่ยถามท่ามกลางความเงียบสงบว่า “ท่านเชียร...อย่าลืมแบ่งบุญ พระกรรมฐานที่นั่งได้ในรอบนี้ ให้กับเทวดา , พรหม , อรูปพรหมและ จักรพรรดิกายสิทธิ์ประจําตัวของท่านด้วยนะ ต่างพากันมาร่วมอนุโมทนากับ ท่านกันมากมายทีเดียว” “ ขอรับหลวงพ่อ ” “ท่านเชียร..ท่านเอาใจเข้ากลาง ทําใจหยุดใจนิ่งดับหยาบไปหาละเอียดซ้อนสับทับทวีนี้เข้าไปเรื่อย ๆ ทั้ง อนุโลมและปฏิโลม แล้วรายงานสิ่งที่ท่านเห็นในส่วนละเอียดเกี่ยวกับความ สะอาดของธาตุธรรมในตัวของท่านแก่หลวงพ่อด้วย โดยใช้จิตบอกผ่านมาก็ แล้วกัน ” “ทําได้ดีมากท่านเชียร ขอให้รักษาใจให้ใสสะอาดบริสุทธิ์หยุดนิ่ง ของกายธรรมในกายธรรมเอาไว้ให้ดี ท่านปฏิบัติได้ถูกต้องแล้ว” หลวงพ่ออุ่น ปลื้มปีติใจ ที่เห็นศิษย์เอกของท่านนี้ปฏิบัติธรรมได้ผลเป็นที่น่าพอใจ นี่คือ ความอัศจรรย์ที่อยู่เหนือโลก หลวงพ่ออุ่นท่านฝึกปฏิบัติให้ทุกท่านที่เข้ามา หาท่านในคืนนี้อันได้แก่ หลวงพี่เชียร,สามเณรจ่อย,อุบาสกเอี่ยม,ท่านอุบาสก สุรัตน์,ท่านอุบาสกผู้ใหญ่แจ้, และท่านเจิดนั่งปฏิบัติธรรมกันทั้งคืนจนจิตใจ สงบเข้าถึงธรรมะภายในได้ในครั้งนี้ ได้พบเห็นสิ่งที่ไม่เคยเห็น ได้สัมผัสใน สิ่งที่ไม่คิดว่าจะได้พบมาก่อน ทุก ๆ คนที่รู้ได้เห็นในคราวนี้เพราะผลแห่งการ ชี้แนะพระกรรมฐานของหลวงพ่ออุ่นนั่นเอง ซึ่งหลวงพ่อท่านจะตรวจสอบ


~ 26 ~

ญาณทัสสนะของทุก ๆ คนว่าได้รู้ได้เห็นถูกค้องตามความเป็นจริงหรือไม่ ก่อนที่ตะวันจะโผล่พ้นขอบฟ้าสื่อสัญญาของวันใหม่ หลวงพ่อบอกให้ทุกคน ตั้งใจปฏิบัติต่อไปเรื่อย ๆ อย่าหยุดอย่าขาดอย่าประมาทอย่าละความเพียร กว่าจะทําได้ก็ว่ายากแล้วนะแต่รักษาให้อยู่กับเราได้นาน ๆ โดยไม่เสื่อมยิ่งยาก กว่าหลวงพ่อท่านว่าไว้อย่างนั้น ทุกคนก้มกราบหลวงพ่อ ด้วยสํานึกถึง พระคุณอันยิ่งใหญ่ที่ท่านได้มอบให้ในครั้งนี้ ซึ่งมีคุณค่ามากมายมหาศาล สุดจะพรรณนาออกมาได้เลยจริง ๆ บางท่านถึงกับหลั่งน้ําตาออกมาด้วย ความปลื้มปีติดีใจโดยไม่คิดว่าตนเองนั้นจะมีบุญบารมีมาสัมผัสกับสิ่งเหล่านี้ ได้.....หลวงพ่ออุ่นและคณะศิษย์ของท่านยังคงนั่งหลับตาเจริญสมาธิภาวนา กันต่อ ลมหนาวจากช่องเขาพัดโชยมาอย่างแผ่วเบา ใจของทุกคนก็เบาสบาย ไม่แพ้กัน จนแสงสีทองเริ่มจับขอบฟ้าขับไล่ความมืดมิดแห่งห้วงรัตติกาลให้ พลันมลายหายไป ฟ้าสางสว่างแล้วแต่ใจคนสว่างกว่าเป็นไหน ๆ สว่างทั้ง นอกสว่างทั้งใน ใจใสสะอาดสงบพบธรรม หลวงพ่อสั่งให้ทุกท่านแยกย้าย กันไปทําภารกิจส่วนตัว แล้วมาพบกันที่หน้ากุฏิของท่านในอีกครึ่งชั่วโมง ข้างหน้า และแล้วก็ถึงช่วงเวลาออกไปบิณฑบาตโปรดสัตว์ของนักสร้าง บารมี....... หลวงพ่ออุ่น..หลวงพี่เชียรและสามเณรน้อยในชุดห่มดองซึ่งเป็น ชุดนักรบของพระพร้อมเหล่าบรรดาอุบาสกทั้งหลายได้เดินเรียงรายย่างกราย ลงจากเขา ลดเลี้ยวลัดเลาะรื่นเริงบันเทิงนิโรธ มาตามชะง่อนผามุ่งหน้าสู่ ชุมชนเบื้องล่างอย่างเบิกบานอารมณ์ เสียงวิหคนกไพรส่งสําเนียงเสียงใส ไพเราะน่าฟัง เสียงสายลําธารน้อย ๆ ที่ไหลอ่อยบรรจบกระทบโขดหินได้ยิน เบา ๆ ภายใต้ร่มเงาของทิวไม้ ตะวันนั้นทําเป็นหลบซบไหล่เข า จนถึงทาง


~ 27 ~

แยกตัดเข้าหมู่บ้าน หลวงพ่ออุ่นซึ่งเดินนําหน้าหมู่คณะในขณะนี้ ได้มาพบ กับเสือลายพาดกลอนเข้าตัวหนึ่งยืนขวางทางเดินอยู่ ต่างฝ่ายต่างจ้องมองซึ่ง กันและกัน หลวงพ่อสั่งให้ทุกคนอยู่ในอาการสงบ ท่านเดินเข้าไปหาเสือใน ระยะประชิดแล้วหลับตาบริกรรมคาถาสักประมาณนาทีหนึ่ง จากนั้นท่านก็ เอามือลูบศีรษะเสือลายพาดกลอนลงไปเบาๆ มันทรุดตัวลงหมอบกราบแทบ เท้าหลวงพ่อท่าทางดูเชื่องๆประดุจลูกแมว สร้างความอัศจรรย์ใจแก่เหล่า บรรดาลุกศิษย์ที่ติดสอยห้อยตามเป็นอย่างยิ่ง โดยเฉพาะกลุ่มอุบาสกทั้งหลาย จากนั้นหลวงพ่ออุ่นก็กล่าวกับเสือลายพาดกลอนตัวนั้นไปว่า “เจ้าจงกลับไป อยู่ในที่ที่เจ้าอยู่เถิด” เสือตัวนั้นก็พลันลุกขึ้นสายตาจับจ้องมองมาที่หลวงพ่อ แล้วก็เดินหนีเข้าป่าไป ทุกคนต่างโล่งอกโล่งใจ โดยเฉพาะเหล่านักบุญน้อง ใหม่ที่อยู่ด้านหลังหลวงพ่อ ทุกคนนั้นมีระบบการเต้นของหัวใจที่ดังไม่เป็น จังหวะ และหายใจไม่ทั่วท้องส่อถึงอาการของการหวาดกลัวต่อมรณภัยอัน เกิดจากเสือที่ปรากฏอยู่ ณ เบื้องหน้า แต่สําหรับหลวงพี่เชียรและสามรเณร จ่อยแล้ว เหตุการณ์นี้ถือว่าเป็นเรื่องเล็กน้อยธรรมดา เพราะว่าเจ้าเสือตัวนี้จะ มาดักรอพบหลวงพ่อเป็นประจําทุกวันเพียงแต่ท่านอุบาสกทั้งหลาย ไม่เคย ทราบเรื่องนี้กันมาก่อนเท่านั้นเอง หลวงพ่ออุ่นนําพาคณะศิษย์มุ่งลงสู่ชุมชน เบื้องล่างกลางหมู่บ้านดงป่าช้าแตก ซึ่งมีกลุ่มพุทธศาสนิกชนรอใส่บาตรอยู่ จํานวนหนึ่ง ณ ที่ตรงนั้นมีเหล่าบรรดาแม่บ้านและเพื่อนสนิทมิตรสหายของ อุบาสกใหม่มารอพบหน้าว่าหนึ่งคืนที่ผ่านมาเป็นอย่างไรกันบ้าง พอเห็น อุบาสกใหม่ในชุดขาวสะอาดตา ใบหน้าดูผุดผ่องใสไร้หนวดเคราและผมเผ้าที่ ยาวรุงรังดุจดั่งก่อน แถมคําพูดคําจาก็เอื้อนเอ่ยได้อย่างไพเราะเสนาะหู ยัง


~ 28 ~

ความรู้สึกแปลกใจแก่บรรดาชาวบ้านดงป่าช้าแตกเป็นยิ่งนัก ถึงขนาดผู้ช่วย ผู้ใหญ่บ้านคือนายแสงต้องอุทานออกมาด้วยคํานี้ที่ว่า “ ไปอยู่วัดแค่คืนเดียว คนเราเปลี่ยนไปได้ถึงเพียงนี้เชียวหรือนี่ ” นางมะลิภรรยาอุบาสกเอี่ยมเอ่ย ทักว่า “ นี่พี่เอี่ยมหรือจ๊ะ จากเคหาไปราตรีเดียวดูหล่อเฟี้ยวขึ้นเป็นกอง” “ เล่นแซวกันตรง ๆ อย่างนี้ ฉันก็อายแย่สิจ๊ะแม่มะลิ ใส่บาตรก่อนเถิดจ๊ะ หลวงพ่อรออยู่ ” “ จ๊ะพี่ ” เสียงแม่มะลิตอบขานออกไปด้วยน้ําเสียงที่หวาน จับใจถึงสามีของนางจากนั้นนายแสงผู้ช่วยผู้ใหญ่บ้านดงป่าช้าแตก ได้นิมนต์ หลวงพ่อเพื่อรับบาตรแก่บรรดาลูกบ้านของตน ประจวบเหมาะพอดีกับ เจ้าหน้าที่ป่าไม้ลูกน้องท่านอุบาสกสุรัตน์ ก็เข้ามาสมทบด้วยทําให้ลานชุมชน แห่งนี้ดูครึกครื้นรื่นเริงบันเทิงบุญกันทั่วหน้า ในขณะที่หลวงพ่ออุ่น ,หลวง พี่เชียร , สามเณรจ่อย รวมถึงอุบาสกอีก 4 ท่านกําลังเดินทางกลับขึ้นสู่สํานัก สงฆ์ ทันใดนั้นนั่นเอง......พรานดําได้วิ่งหน้าตั้งกระหืดกระหอบมาที่หลวง พ่ออุ่นแล้วกราบแทบเท้าพร้อมกับเอ่ยว่า “ หลวงพ่อขอรับมีหมอผีกลุ่มหนึ่ง มันมาทําพิธีอะไรไม่รู้ในป่าท้ายเขา เมื่อคืนผมออกไปหาของป่าแอบไปพบ เข้า โดนมันจับตัวพร้อมขู่กําชับมาว่าให้ชาวบ้านเลิกนับถือพระ ให้มานับถือผี และพรรคพวกของมัน หากใครดื้อดึงไม่ฟังคําที่มันใช้ให้ผมมาบอกป่าว ประกาศนี้ รับรองได้ว่าต้องเจอดีกันทุกคน มันจะใช้อํานาจไสยเวทย์มนต์ดํา ทําให้ทุกคนต้องได้รับผลแห่งความทุกข์ยากนานาประการ หากใครเข้าร่วม และฝากตัวเป็นลูกศิษย์ก็รอดตัวไป มีอะไรเดือดร้อนมันก็จะช่วยได้ทุกอย่าง ทุกเรื่อง เห็นพวกชาวบ้านดอนมะเดื่อไปหลงเชื่อกันหมดแล้วขอรับ เพราะมี ความกลัวและอยากได้ผลประโยชน์ที่มันจะหยิบยื่นให้ หมู่บ้านต่อไปก็คือ


~ 29 ~

หมู่บ้านดงป่าช้าแตกของเรานี่ละครับเป็นรายต่อไป แล้วเราจะทําอย่างไรกัน ดีล่ะขอรับหลวงพ่อ” หลวงพ่ออุ่นรับทราบปัญหาจากพรานดําแล้วท่านยืน นิ่งหลับตาสักครู่ก็ลืมตาก่อนตอบพรานดําไปว่า “ อย่าตกใจไปเลยพรานดํา อํานาจแห่งคุณพระศรีรัตนตรัยยิ่งใหญ่ไม่มีประมาณ ศักดิ์สิทธิ์ทรงฤทธิ์ อํานาจที่สามารถจะชนะอํานาจฝ่ายต่ําได้ ตราบใดที่อาตมายังอยู่ขอให้ทุกคน ได้โปรดรับรู้ไว้ด้วยเถิดว่า ชุมชนของเราและชุมชนที่อยู่อาณาบริเวณโดยรอบ จะต้องสงบร่มเย็นและอยู่อย่างเป็นสุขกันทุกผู้ทุกนาม เดี๋ยวขอเรียนเชิญ เจ้าหน้าที่ป่าไม้ทุกนาย รวมถึงผู้ช่วยผู้ใหญ่ และชาวบ้านทั้งหลายให้ไป รวมกลุ่มกันที่สํานักสงฆ์ของเราตรงลานธรรมนะ อาตมามีเรื่องที่ต้องชี้แจง และทําพิธีป้องกันคุณไสยให้พวกเราเพื่อป้องกันตัวเอาไว้ก่อน เอาล่ะตาม อาตมาไปที่สํานักสงฆ์กันเดี๋ยวนี้เลย ” หลวงพ่ออุ่นเดินนําหน้าสาธุชนทั้งหลายขึ้นสู่ภูเขาชัน ชาวบ้านดงป่าช้า แตกต่างหอบลูกจูงหลานมารวมกัน ที่ลานธรรมบนสํานักสงฆ์เขาวงกตกัน อย่างพร้อมหน้าพร้อมตา หลวงพ่ออุ่นและหลวงพี่เชียรยังอยู่ภายในกุฏิกัน เพียงสองรูปมีเหล่าบรรดาอุบาสกและเจ้าหน้าที่ป่าไม้ยืนรออยู่ข้างนอก ด้วย ความใคร่รู้ว่าท่านทําพิธีอะไรกัน 15 นาทีผ่านไป หลวงพ่ออุ่นเดินออกจาก กุฏิในมือของท่านมีด้ายสายสิญจน์ถืออยู่เป็นจํานวนมาก ติดตามมาด้วย หลวงพี่เชียรที่ตะโกนบอกให้เหล่าอุบาสก ช่วยกันยกอ่างน้ําพระพุทธมนต์ ขนาดใหญ่มาตั้งตรงลานธรรม หลวงพ่ออุ่นท่านเจริญพระคาถาหลับตา ภาวนาสักครู่ก็หยดเทียนลงไปในน้ํา เกิดสิ่งอัศจรรย์คือหยดเทียนวิ่งเข้าหา กันตรงจุดศูนย์กลาง แล้วแตกออกเป็นดอกพิกุลขนาดใหญ่ หลวงพ่ออุ่นลืม


~ 30 ~

ตาขึ้นช้า ๆ ยิ้มตรงมุมปากเล็กน้อยประหนึ่งเหมือนว่าท่านชนะแล้ว ซึ่ง อํานาจฝ่ายต่ํา ท่านประพรมน้ําพระพุทธมนต์ให้แก่บรรดาสาธุชนทั้งหลาย กันอย่างทั่วหน้า พร้อมแจกด้ายสายสิญจน์ให้ทุกคนผูกติดมือไว้หญิงติดมือ ซ้าย ชายติดมือขวา แล้วให้ท่องพระคาถานี้ในใจอยู่เสมอ ๆ ว่า “ พุทธัง สรนังคัจฉามิ ธัมมังสรนังคัจฉามิ สังฆังสรนังคัจฉามิ ” ก็จะแคล้วคลาด ปลอดภัยจากอํานาจมนต์ดําฝ่ายต่ําได้ ในส่วนละเอียดที่เกี่ยวข้องกับวิชา ของหมอผีที่ส่งมาสู้กับท่านนั้น เป็นกิจธุระที่ไม่ได้สร้างความหนักอกหนักใจ แต่ประการใดให้กับหลวงพ่อเลย เพราะท่านกล่าวมาคําหนึ่งว่า “ ไม่ต้องเป็น ห่วงนะลูกหลานทั้งหลาย ทุกอย่างจะต้องเรียบร้อย ” จากนั้นท่านก็บอกให้ ชาวบ้านกลับไปใช้ชีวิตตามปกติดั่งที่เคยเป็นมา เสมือนหนึ่งว่าไม่มีอะไร เกิดขึ้น แต่ภายในสํานักสงฆ์เขาวงกตหลวงพ่ออุ่นยังคงรียกประชุมอุบาสก ผู้ใหญ่แจ้ ผู้ช่วยผู้ใหญ่แสงท่านอุบาสกสุรัตน์ และลูกน้องที่เป็นเจ้าหน้าที่ป่า ไม้ว่าจะดําเนินการทางกฎหมายบ้านเมืองอย่างไรต่อไป กับพวกที่บุกรุกป่า และโฆษณาชวนเชื่อ พร้อมขู่บังคับหลอกลวงชาวบ้านของบรรดาหมอผีกับ พวก ซึ่งท่านอุบาสก สุรัตน์ขอรับอาสาทําหน้าที่ดําเนินการจับกุมผู้ที่กระทํา การบุกรุกป่าสงวนแห่งชาติด้วยตนเอง โดยวางแผนงานร่วมกับผู้ใหญ่และ เจ้าหน้าที่ที่เกี่ยวข้อง หลวงพ่ออุ่นได้กล่าวว่า “ การบําบัดทุกข์บํารุงสุขให้ เหล่าบรรดาชาวบ้านที่ไร้ที่พึ่ง และห่างไกลความเจริญของพวกเรานี้เป็น หน้าที่ของคนทุกคน ที่ต้องร่วมมือกันปล่อยทิ้งไว้เนิ่นนานไม่ได้ ความ เสียหายใหญ่จะบังเกิดขึ้น ขวัญและกําลังใจเป็นสิ่งสําคัญ อาตมาถึงเรียก ประชุมชาวบ้านมาทําพิธี ก็เพื่อเรียกขวัญสร้างกําลังใจในเบื้องต้นให้ก่อน


~ 31 ~

ส่วนที่เหลือก็ขอให้พวกท่านช่วยกันทําให้สําเร็จ กําจัดคนพาลอภิบาลคนดี ส่วนอาตมาจะดับวิชาทั้งหมดของเจ้าหมอผีเอง ไปทํางานกันเถิดไม่ต้องกลัว อะไรทั้งนั้น เดี๋ยวอาตมาจะถอนวิชาคุณไสยของเขาเอง ” เจ้าหน้าที่ทั้งหลาย น้อมรับคําสั่งหลวงพ่อแยกย้ายออกไปปฏิบัติการทันที นกน้อยบินกลับรัง ตะวันสั่งลาขอบฟ้า ความมืดมิดก็มา เยือนนภาเกิดราตรี กระท่อมที่ท้ายเขา แหล่งรวมเหล่าพวกหมอผี กําลังทําพิธี คุณไสยนี้เพื่อฆ่าคน กระท่อมร้างกลางป่าเวลานี้บรรยากาศดูเงียบสงัดวังเวงยิ่งนัก หมอผีผู้มี วิชาเวทย์อาคมอันแก่กล้าด้วยมหามนตราฝ่ายต่ํา และลูกศิษย์กําลังประกอบ พิธีกรรมเพื่อทําอะไรบางอย่าง ท่ามกลางชาวบ้านที่เคารพนับถือ ส่วนใหญ่ มาจากหมู่บ้านดอนมะเดื่อและละแวกถัดไป ซึ่งคือหมู่บ้านห้วยนางหลง ทุกคนนั่งอยู่ภายในอาณาบริเวณ ที่ล้อมไปด้วยด้ายสายสิญจน์ตามที่หมอผี กําหนดให้ หมอผีหลับตาร่ายเวทย์อาคมเรียกผีป่าทั้งหลายให้มาปรากฏกาย ขึ้น กลิ่นสาบสางเหม็นคละคลุ้งไปทั่วบริเวณพิธี ยามนี้ไม่มีแม้แต่เสียงของ เหล่าบรรดาสรรพสัตว์ทั้งหลายให้ได้ยินแม้แต่น้อย แต่อยู่ ๆ ก็เกิดมีเสียงของ หมาป่าหอนดังโหยหวนทําให้จิตประสาทของผู้คนที่นั่งอยู่ต่างหลอนไปตาม ๆ กัน ทันใดนั้นผีเปรตและอสูรกายมากมายหลายชนิดมายืนรอรับฟังคําสั่ง ของผู้ที่ปลุกวิญญาณมันขึ้นมา เพื่อใช้ให้ไปออกอาละวาดหลอกหลอนผู้คนที่ หมู่บ้านดงป่าช้าแตก ที่อาจหาญขัดคําสั่งในการไม่ยอมรับนับถือตนและพวก พ้องก็ต้องเจอดีอย่างนี้ แล้วออกคําสั่งว่า “ พวกเจ้าจงออกไปสร้างความตื่น


~ 32 ~

กลัวให้เกิดโกลาหลกันทั้งหมู่บ้านดงป่าช้าแตก ให้พวกมันทั้งหลายได้ขวัญ หนีดีฝ่อ จนคุมสติไม่อยู่จะได้หันมานับถือข้าและจะได้รู้ว่าหลวงพ่อที่มันนับ ถือก็ไม่อาจช่วยอะไรพวกมันได้ ส่วนพวกพระเณรแห่งเขาวงกตมันต้องเจอ ไอ้นี่ของข้า ” พูดจบหมอผีก็ได้หยิบควายธนูขึ้นมาบริกรรมคาถาร่ายเวทย์ อาคม เพื่อทําให้มันมีชีวิตก่อนปล่อยมันพุ่งกระโจนกลางอากาศหายวับไปกับ ตา รวมถึงเสกหนังควายเข้าท้องหลวงพ่ออุ่นเป็นลําดับไป ส่วนหลวงพี่ เชียรถูกหมอผีทําหุ่นฟางขึ้นมาแล้วตอกตรึงด้วยตะปูมัดติดกันกับหุ่นฟางตัว เล็กคาดว่าคือสามเณรจ่อยนั่นเอง เวลาผ่านไปครึ่งชั่วโมงเห็นจะได้เจ้าควาย ธนูหล่นลงตรงเบื้องหน้าหมอผีแบบไม่มีหัว ลําตัวถูกทุบตีจนฟกช้ําหมดฤทธิ์ เดช หมอผีเห็นแล้วใจหายอุทานออกมาด้วยน้ําเสียงระส่ําว่า “ พระองค์นี้มัน แน่กว่าที่ข้าคิด เราประมาทมันเกินไปถึงขนาดจัดการควายธนูของข้าได้ ไม่ ธรรมดา ” หมอผีพูดไม่ทันขาดคําหุ่นฟางที่เพิ่งทําเสร็จก็เกิดไฟลุกไหม้เสีย หายไปหมดรวมถึงบรรดาผีลูกสมุนที่ส่งไปก็พ่ายกลับมาในสภาพที่ย่ําแย่กัน ทุกตัวเลยทีเดียว เจ้าผีตัวหนึ่งรายงานความคืบหน้าให้ฟังว่า “ พวกข้ากําลัง จะเข้าไปในหมู่บ้านได้อยู่แล้ว อยู่ ๆ ก็มีกระแสไฟฟ้าฟาดเปรี้ยงมาใส่พวกข้า ทุกคน เจ็บแสบแทบจะทนไม่ไหวไม่รู้ว่ามันคืออะไรกันแน่ ทุกหลังคาเรือน มันเหมือนมีเกราะคุ้มกันเอาไว้แบบเดียวกันหมด คาดว่าคงเป็นเพราะเวทย์ วิทยาคมแห่งสายสิญจน์ของหลวงพ่ออุ่นที่ให้ไว้กับพวกมันเป็นแน่ พวกข้า ทําอะไรไม่ได้เลยนาย รอดมาได้ก็บุญโขแล้ว ” “ อะไรกันวะ ข้าแพ้ราบคาบ ขนาดนี้เชียวหรือ คนอย่างข้าไม่เคยแพ้ใคร เดี๋ยวเอ็งคอยดูข้าจะใช้ยาสั่งสูตร พิเศษปล่อยลมเพลมพัดซัดพวกมันให้หมอบราบคาบแก้ว พวกเอ็งอย่าเพิ่ง


~ 33 ~

ลุกหนีไปไหนนั่งดูกันให้เห็นเป็นบุญตาว่าข้าจะทําได้หรือไม่ ” หมอผีกล่าว จบก็นั่งบริกรรมคาถาเสกนู้นเป่านี่ตามพิธีกรรมของตน ซึ่งมีชาวบ้านทั้งสอง หมู่นั่งดูอย่างใจจดใจจ่อ ว่าอาจารย์ของตนจะเก่งกาจสามารถสักปานใด น้ําตาเทียนที่ปักอยู่บนหัวกะโหลกของหมอผีไหลเป็นทางยาว อยู่ ๆ ก็มีลม พัดกรรโชกใหญ่เครื่องเซ่นสังเวยทั้งหลายบนแท่นพิธีถูกพัดกระจัดกระจาย หกหล่นระเนระนาดไปทุกทิศทุกทาง และแล้วภาพที่ปรากฏอยู่ ณ เบื้องหน้า เหล่าบรรดาสานุศิษย์ของหมอผีจอมอหังการก็คือ เลือดที่ไหลทะลักออกจาก ปากจนแดงฉานของหมอผีและลิ่วล้อทั้งหลาย สร้างความสยดสยอง หวาดกลัวเป็นอย่างมาก ผู้คนก็แตกตื่นวิ่งหนีกันอย่างอลหม่านตัวใครตัวมัน. บ้านใครบ้านมัน เป็นช่วงเวลาเดียวกันกับเจ้าหน้าที่ป่าไม้เข้ามาถึงพอดีได้ทํา การบอกให้ชาวบ้านอยู่ในความสงบ แล้วก็พบภาพของหมอผีที่นอนร้อง ครวญครางโอดโอยไปมา ดูแล้วช่างน่าเวทนาเป็นยิ่งนักจึงได้ควบคุมตัว ออกไปจากพื้นที่นั้นให้หมดเพื่อดําเนินการตามกฎหมายบ้านเมืองต่อไป ส่วน ชาวบ้านก็ได้เล่าเรื่องราวทั้งหลายที่เกิดขึ้น ให้กับท่านอุบาสกสุรัตน์และ อุบาสกผู้ใหญ่แจ้ จนถึงเจ้าหน้าที่ที่เกี่ยวข้องฟังอย่างละเอียด ทั้งสองฝ่าย ต่างบอกเหตุผลของกันและกัน ทําให้กิตติศัพท์ความดีงามของพระ เกจิอาจารย์นามว่าหลวงพ่ออุ่น เป็นที่รู้จักกันอย่างกว้างขวางยิ่งขึ้นไปอีก โดยเฉพาะชาวบ้านดอนมะเดื่อที่มี 30 หลังคาเรือน และหมู่บ้านห้วยนางหลง อีก 20 หลังคาเรือน ต่างเห็นพ้องต้องกันว่าจะพากันมากราบพระเดชพระคุณ หลวงพ่อถึงสํานักสงฆ์เขาวงกตกันให้ได้เลยทีเดียว ยังความศรัทธาให้บังเกิด ขึ้นมากล้นพ้นทวีแก่อุบาสกทั้งหลายของหลวงพ่ออุ่น และเจ้าหน้าที่ป่าไม้ทุก


~ 34 ~

คน ค่ําคืนอันเลวร้ายของการพ่ายอย่างหมดรูปของเหล่หมอผีก็ได้ผ่านพ้นไป ทุกอย่างกลับคืนเข้าสู่ภาวะปกติ ณ ที่หมู่บ้านดงป่าช้าแตก หากกล่าวถึงราตรีที่ผ่านมาทุกคนต่าง นอนหลับใหลอยู่สุขสบายกันทั่วหน้า ไม่มีใครทราบเลยว่ามีสิ่งใดบังเกิดขึ้น แก่พวกเขาเหล่านั้น ยามนี้ฟ้าสางสว่างแล้ว เสียงไก่ป่ายังขันเจื้อยแจ้ว สิงสาราสัตว์ยังยืนหยัดอยู่คู่ความสงัดกลางดงพงพนา ตะวันค่อย ๆ โผล่พ้น ช่องเขาลอยเข้าสู่ม่านฟ้า เหล่าวิหคนกกาบินถลาออกจากรัง ชาวบ้านดง ป่าช้าแตกต่างนั่งรอใส่บาตรพระท่ามกลางสายลมที่ปะทะมาแผ่วเบา ผู้คน ต่างเย้าแหย่หยอกล้อเล่นกันอย่างสนุกสนานกลางลานชุมชน แต่เมื่อคืนจะมี ใครสักกี่คนบ้างจะรู้ว่าหลวงพ่ออุ่นที่เป็นที่เคารพนับถือของทุกคนนี้กําลัง ต่อสู้กับเดรัจฉานวิชาจนค่อนคืน เพื่อความสุขสงบปลอดภัยของทุกคนที่นี่ นี่คือพระผู้เป็นที่พึ่งของชาวบ้านโดยแท้ ภายในกุฏิหลวงพ่ออุ่นบนสํานักสงฆ์เขาวงกต ท่านออกจากการเดินวิชา ด้วยอารมณ์ที่เบิกบานแจ่มใสในชัยชนะอันยิ่งใหญ่ที่มีต่อคุณไสยมนต์ดําของ ค่ําคืนที่ผ่านมา แต่ยังไม่ได้ลุกจากที่ที่นั่งทําภาวนา ปล่อยให้เหล่าอุบาสก ทั้งหลายมานั่งรอท่านอกกุฏิตรงม้านั่งใกล้ลานธรรมแต่เช้ามืด ทั้งหมดได้ สนทนากันไปเพื่อคั่นเวลา ก่อนการบิณฑบาตของหลวงพ่อจะมาถึง ( นี่คือตัวอย่างเรื่องราวของธรรมนิยายใต้แสงจันทร์ บทสรุปของเรื่องราวเหล่านี้จะ เป็นอย่างไรต่อไป คุณผู้อ่านสามารถติดตามตอนต่อไปได้ โดยอ่านข้อความข้างล่าง ดังต่อไปนี้จนจบ จะพบกับขั้นตอนในการสั่งซื้อเพื่อเพิ่มเติมอรรถรสในการติดตามเนื้อหา ของธรรมนิยายได้จนจบครับ )


~ 35 ~

วาทะเด่นในธรรมนิยายใต้แสงจันทร์ “ค่ําคืนนี้พระจันทร์ทรงกลดงดงามยิ่งนัก ลมหนาวโชยพัดเข้ามาทักทาย แสงแห่งศศิธร คงจะเหนื่อยอ่อนตอนกลางวันที่ไล่แจกความเย็นเป็นของ กํานัลรางวัลจากธรรมชาติแก่ผู้คนมากจนเกินไป มีผลทําให้พลังแรงลม และปริมาณความหนาวแลดูแผ่วเบา ไม่โดดเด่นเท่าวิถีโคจรของดวงดาว ลานธรรมที่กว้างใหญ่ไร้หลังคา ท้าทายฟ้าบนผาชัน บรรยากาศนั้นเงียบสงบ จนกระทั่งว่าได้ยินเสียงร้องของหัวใจที่บอกว่ามีความสุขได้อย่างชัดเจน”

“ เวลาที่ดาวพราวระยับตา อ้อนออดฟ้ายามราตรี แสงหิ่งห้อยค่อยๆกระพริบ ถี่แอบกระซิบที่หินผาภายใต้แสงจันทราอันอบอุ่นเป็นกําลังใจหนุนส่งปัญญา บารมีที่เรานี้หยิบยื่นให้ต่อกัน” หลวงพี่เชียรมองดูหมู่มวลดารา ห้อยระย้า กลางเวหาหาว” “ผู้คนยังคงหลับใหลภายใต้มนต์สะกดของความดึกสงัดแห่งรัตติกาล แต่มี พระภิกษุหนุ่มรูปหนึ่งที่ไม่ยอมตกอยู่ในอํานาจนั้น ได้รักษาสัตย์ปฏิญาณที่ ให้ไว้กับตัวเอง นั่นคือหลวงพี่เชียรท่านลุกนั่งทําภาวนา ตั้งแต่ตีสามตาม สัญญา โดยตั้งจิตอธิษฐานไว้ว่า หากตะวันไม่ส่องหน้าหรือไก่ป่าไม่โก่งขัน ฉันก็จะไม่ลุกจากที่ แล้วก็เจริญพระกรรมฐานของท่านเรื่อยไป ท่าทางการ นั่งสมาธิที่ดูสงบนิ่งของหลวงพี่เชียร ช่างองอาจสง่างาม ประดุจนักรบกล้า


~ 36 ~

แห่งกองทัพธรรมที่ออกไปกรําศึกสู้รบกับกิเลส และฟาดฟันเหล่าพญามาร ด้วยธรรมาวุธภายในอย่างทระนง ”

“ภาพพระภิกษุ 2 รูป กับเณร 1 องค์ ออกเดินบิณฑบาตลัดเลาะไหล่เขาใน ยามเช้าที่สดใส ผ่านมวลแมกไม้พฤกษานานาพรรณที่ส่งกลิ่นหอมตลบ อบอวล คละเคล้าไปด้วยไอดินกลิ่นหญ้าภายใต้อ้อมกอดแห่งความกรุณาของ ชะง่อนผาและป่าใหญ่ เสียงวิหคนกไพรกับลําธารน้อยที่ไหลใสเย็น ช่วย แต่งแต้มสีสันให้สองข้างทาง ที่ได้เดินผ่านเบิกบานใจยิ่งขึ้น ผ้ากาสาวพัสตร์ สีเหลืองนวลผ่านดงกล้วยไม้ป่าเป็นภาพที่งดงามยิ่งนัก” “ จากเช้าเข้าสู่สาย พ้นเย็นเห็นจันทร์ลอย

เที่ยงล่วงกลายเป็นบ่ายคล้อย คู่ดาวน้อยยามราตรี ”

“ คืนนี้พระจันทร์ทรงกลดงดงามยิ่งนัก ลมหนาวพัดมาทักทายเบาๆก่อนเข้า นอน คงจะเหนื่อยอ่อนตอนกลางวันที่ไล่แจกความเย็นเป็นของกํานัลรางวัล จากธรรมชาติแก่ผู้คนมากจนเกินไป มีผลทําให้พลังแรงลมและปริมาณความ หนาวแลดูแผ่วเบา ไม่โดดเด่นเท่าวิถีโคจรของดวงดาว ลานธรรมที่กว้าง ใหญ่ไร้หลังคา ท้าทายฟ้าบนผาชัน บรรยากาศนั้นเงียบสงบ ได้ยินเสียง ร้องของหัวใจบอกว่ามีความสุข ได้อย่างชัดเจน หลวงพ่ออุ่นเดินตรงมาที่


~ 37 ~

ลานธรรมแล้วกล่าวทักว่า “ไม่มีใครเป็นพระอรหันต์ได้ด้วยการพูดคุย”แล้ว ก็ยื่นกระดาษแผ่นเล็กๆให้แผ่นหนึ่ง ในนั้นเขียนข้อความเอาไว้ว่า ธรรมใดก็ไร้ค่า ถ้าหากว่าได้แค่จํา เพียงเราเข้าถึงธรรม สุขเลิศล้ํากว่าสิ่งใด รู้จบครบทุกสิ่ง ไม่ต้องอิงตําราใด หรือท่านนั้นภูมิใจ ตําแหน่งใหม่ “ ใบลานเปล่า ” “สว่างข้างนอกมันจะไปได้เรื่องอะไร ต้องสว่างที่ใจข้างในจึงจะใช้ได้ มาเถิด มาทําใจของเราให้สว่างกัน ”

“ลมหนาวจากช่องเขาพัดโชยมาอย่างแผ่วเบา ใจของทุกคนก็เบาสบายไม่แพ้ กัน จนแสงสีทองเริ่มจับขอบฟ้าขับไล่ความมืดมิดแห่งห้วงรัตติกาลให้พลัน มลายหายไป ฟ้าสางสว่างแล้วแต่ใจคนสว่างกว่าเป็นไหน ๆ สว่างทั้งนอก สว่างทั้งใน ใจใสสะอาดสงบพบธรรม ”

“เหล่าบรรดาอุบาสกทั้งหลายได้เดินเรียงรายย่างกรายลงจากเขา ลดเลี้ยวลัด เลาะรื่นเริงบันเทิงนิโรธ มาตามชะง่อนผามุ่งหน้าสู่ชุมชนเบื้องล่างอย่างเบิก บานอารมณ์ เสียงวิหคนกไพรส่งสําเนียงเสียงใสไพเราะน่าฟัง สายลําธาร


~ 38 ~

น้อย ๆ ที่ไหลอ่อยบรรจบกระทบโขดหินได้ยินเบา ๆ ภายใต้ร่มเงาของทิวไม้ ตะวันนั้นทําเป็นหลบซบไหล่เขา จนถึงทางแยกตัดเข้าหมู่บ้าน ” “นกน้อยบินกลับรัง ตะวันสั่งลาขอบฟ้า ความมืดมิดก็มา เยือนนภาเกิดราตรี” “ยามนี้ฟ้าสางสว่างแล้ว เสียงไก่ป่ายังขันเจื้อยแจ้ว สิงสาราสัตว์ยังยืนหยัด อยู่คู่ความสงัดกลางดงพงพนา ตะวันค่อย ๆ โผล่พ้นช่องเขาลอยเข้าสู่ม่าน ฟ้า เหล่าวิหคนกกาบินถลาออกจากรัง ชาวบ้านดงป่าช้าแตกต่างนั่งรอใส่ บาตรพระท่ามกลางสายลมที่ปะทะมาแผ่วเบา”

“เมื่อความคิดเปลี่ยนจิตใจก็เปลี่ยนชีวิตเราก็เปลี่ยนไปตามความคิดและจิตใจ นั้นอยู่ที่ว่าจะเปลี่ยนเป็นลบหรือบวกขาวหรือดํามืดหรือสว่างดีหรือร้ายก็เท่า นั้นเอง” “เวลาผ่านพ้นสู่สนธยา วิหคนกกาบินถลากลับรัง ตะวันลดตัวลงต่ําหายไป ข้างหลังถ้ําลําน้ําวน ความมืดมิดแผ่คลุมทั่วทิศ เป็นเพื่อนสนิทมิตรแห่ง รัตติกาล” “ตรงลานธรรมอันโล่งกว้าง คืนนี้พระจันทร์เต็มดวงดาวติดบ่วงฟ้า เจิดจรัส จ้าท้าทายสายลม ที่พัดถล่มความรู้สึกนึกคิดของใครบางคน จนต้องแหงน


~ 39 ~

มองขึ้นไปบนฟ้า พร่ําพรรณนาสิ่งที่เห็นนั้นว่า “จิตรกรรมธรรมชาติที่วาด โดยสวรรค์” “ลานธรรมอันโล่งกว้าง ที่มีท้องฟ้าแทนหลังคาดวงจันทราแทนแสงไฟนีออน ดาวน้อยที่หยุดโคจรชั่วคราวกระพริบพร่างพราวคู่ลมหนาวในค่ําคืนนี”้ “ประตูแห่งฟ้ายามราตรีนี้จะถูกเปิดออก ให้เห็นพระจันทร์ยิ้มและทะเล ดวงดาวกับลมหนาวที่พัดผ่านในช่วงแห่งรัตติกาลอันยาวนาน” “ภาพของสาธุชน 2 ข้างทางที่นั่งคุกเข่าพนมมือยาวเป็นแถวเป็นแนวต่าง พร้อมใจกันมากราบชื่นชมบารมีของพระคุณเจ้าที่ตนเคารพนับถือ เป็นภาพ แห่งความประทับใจที่ตราตรึงไว้ในความทรงจําของพระนักเทศน์แห่งเมือง หลวงองค์นี้ไปอีกนาน” “ต้นไม้ตบะและวิริยะแห่งความเพียร ถูกพญามารตัดโค่นเผาทําลายจนโล่ง เตียนไปไม่มีเหลือ ทางแห่งมรรคผลถูกสกัดด้วยอํานาจแห่งความหวาดกลัว ความมืดสลัวแห่งปัญญา ในจิตใจของมหาเปรียญผู้ยิ่งใหญ่แห่งเมืองหลวง ส่วนสามเณรน้อยและมิ่งมงคล สองคนที่ติดร่างแหของความแพ้พ่ายไป ด้วยกัน สําหรับคืนที่จันทร์ถูกบังแสงลมกรรโชกแรงเสียงหมาป่า ที่สร้าง ความหวาดระแวงหอนโหยหวนเสียดแทงความรู้สึกได้รุนแรงดีเหลือเกิน”


~ 40 ~

“ฟืนสุมไฟขับไล่ความหนาวใต้แสงดาวที่ริบหรี่ พระจันทร์ยังอวบอั๋นกลมโต ความง่วงพากันเฮโลขับกล่อมเพลง “โอ้ละเห่”เทความหลับใหลสู่ใจคน ตราบ จนรัตติกาลได้ผ่านพ้นไปสู่เช้าวันใหม่ที่สดใสรื่นรมย์เสียงไก่ป่าโก่งคอขันใน ขณะที่เงาจันทร์ยังไม่ทันจากลา สิ้นเสียงนาฬิกาปลุกจากธรรมชาติ ทุก สรรพชีวิตก็พ้นจากอํานาจแห่งความหลับใหล ตื่นขึ้นมาต้อนรับชีวิตใหม่กับ การก้าวไปของการดํารงอยู”่ “ตะวันบอกลาฟ้าดวงจันทราเข้ามาแทนที่ ความมืดมิดปิดบังทัศนียภาพอัน สวยงามของน้ําตกสาริกาไปจนหมดสิ้น เหลือไว้แค่เพียงสียงน้ําตกที่ไหล เอี่อย ๆ และสายลมที่พัดเฉื่อยฉิวกับท้องฟ้าที่ไส้กิ่วหิวดาวหิ่งห้อยตัวน้อย ปลดปล่อยแสง แต่งแต้มสีสันอันโสภาประดับราตรี เสียงหริ่งเรไรระงมไพร พนาร้องได้เพราะพริ้งจริงๆหนาเมื่อเอียงหูฟัง ความวังเวงยังแสดงบทบาท ร่วมกับความอ้างว้างอย่างไม่เกรงใจใคร ความเงียบสงบทําให้กบภูเขาเขย่า ลูกคอร้องอ๊บ ๆ ขอความเห็นใจ เหล่าคณะศิษย์หลับสนิทด้วยความอิดโรย ละอองของน้ําตกที่หล่นจากบนผาพัดพาความชุ่มฉ่ําสร้างแรงจูงใจอันเลิศล้ํา ให้พระคุณเจ้ากระทําความเพียร” “ตะวันส่องแสงกระจ่างฟ้า ตะวันธรรมเจิดจรัสจ้ากระจ่างใจ ”


~ 41 ~

“เวลาผ่านไปเนิ่นนานพอสมควรพรานดําเห็นลําแสงแห่งตะวันเปลี่ยน ทิศทางทอดยาวไปอีกด้านหนึ่งก็รู้แจ้งแก่ใจทันทีว่า นี่ใกล้เวลาสนธยาจะมา เยือน” “ศศิธรอ่อนแสงเพราะพูดแข่งกับดาวนั่งหาวมาทั้งคืน จนตะวันนั้นตื่นหยิบ ยื่นเช้าวันใหม่ที่สดใสเริงร่า หมู่นกกาบินถลาออกจากรัง ดอกไม้บานสะพรั่ง ที่หลังเขา ทะเลหมอกบ่งบอกความงามเหนือคําบรรยาย สายลมพัดทิวไม้ให้ ได้เริงระบําสัตว์ป่าออกหากินแวะถ้ําลําธาร ทุกสรรพสิ่งล้วนสอดประสานกัน ได้อย่างลงตัว”

“ฆราวาสปลดระวางสัมภาระส่วนพระละอัฐบริขาร” “ ตะวันลาลับทิวไม้หล่นหายตกร่องไปตรงช่องเขา เงามืดยืดขยายปกคลุม ไปทั่ว ท้องฟ้ามีดาวสลัวๆอยู่ 2-3 ดวง จันทร์ครึ่งเสี้ยวลอยเกี่ยวแขนแดน สวรรค์ ท่ามกลางเสียงจักจั่นเรไรที่ร้องกล่อมไพรในยามราตรี” “ภาพและเสียงอันไม่พึงปรารถนามลายหายไปสิ้น คงเหลือไว้แค่เพียงสายลม ผสมความเงียบ กับความเรียบง่ายของธรรมชาติผืนป่าในช่วงราตรีฟ้านี้ไม่มี ดาว”


~ 42 ~

“พระคุณเจ้าทั้งสามรูปยังคงต่อวิชา”อาสวขยญาณใหญ่”ให้ซึ่งกันและกัน ต่อ รู้ต่อญาณ,สืบรู้สืบญาณไปสุดหยาบสุดละเอียด บารมีแผ่ไพศาลไปทั่วแสน โกฎิจักรวาลจรดนิพานกายธรรมและนิพานเป็น องค์จุลจักร,มหาจักร,บรม จักร,อุดมบรมจักร ครบสี,ครบสาย,ครบกาย,ครบองค์,ครบวงศ์,ครบชั้น,ครบ ตอน,ครบธาตุ,ครบธรรมแห่งธรรมภาคขาวทั้งปวง นับพระองค์ไม่ถ้วน มาร่วมอนุโมทนา”

“ ตะวันนั้นสิ้นแสง แข่งคู่หมู่ดารา

จันทร์ตะแคงแย่งขอบฟ้า ส่องแสงจ้าท้าอารมณ์”

“มหาเมฆตั้งขึ้นบดบังแสงอาทิตย์ จนเกิดเป็นร่มฉัตรเงาขนาดใหญ่ลอย หมุนเวียนเป็นทักษิณาวรรตเหนือลานผาหน้าถ้ําและมีลําแสงสีทองที่ ลอดช่องฟ้ามาปรากฏเป็นดวงสว่างส่องลงมาตรงเหล่าพระคุณเจ้าพอดี ประหนึ่งเทพเทวาเนรมิตให้ อัศจรรย์แห่งบุญญาฟ้าเปิดแล้ว....แสงแห่งตะวัน ส่องสว่างจ้า แต่ใจคนสว่างกว่าเป็นไหนๆ” “เหล่าพระคุณเจ้านั้นท่านยังคงนั่งหลับตานิ่งทําวิชชาแก้ไขวิกฤตนี้ให้เป็น โอกาสทองของทุกคนกายตั้งตรงดํารงจิตมั่นไม่หวั่นไหว ภายใต้ศศิธรที่ป้อน แสงนวลใย ให้มีพลังใจที่จะสู้กับมหันตภัยครั้งใหญ่ที่จะอุบัติขึ้นในวันพรุ่งนี้ และดูเหมือนว่าเวลานี้ทุกเข็มชองนาฬิกาเดินช้าเสียเหลือเกิน ”


~ 43 ~

“บรรยากาศธรรมชาติที่นี่ยังดูสดใสบริสุทธิ์ แมกไม้สายธาราและป่าเขายัง งดงามน่าอภิรมย์ สายลมยังเฉื่อยฉิว ทิวไผ่ยังไหวเอน วิถีกฎเกณฑ์การดํารง อยู่ของเหล่าสิงสาราสัตว์ทั้งหลาย ยังอยู่ดีมีสุขสบายย่างกรายไปตามหินผา หน้าถ้ําน้ําตก ไร้ความตื่นตระหนกกังวลว่าตนนั้นจะเป็นเช่นไร ไอดินและ กลิ่นหญ้ายังมีเสน่ห์มนต์มายาน่าใหลหลง ยามนี้ยังคงเป็นเช่นนั้น แต่ป่าดง พงพนาในอีกไม่กี่ชั่วโมงข้างหน้าที่เคยถูกสถาปนาให้เป็นเขตอภัยทาน กําลัง จะกลายเป็นแดนประหารผลาญชีวิต....ทุกชีวิต ไม่มีสิทธิ์แม้แค่คิดที่จะ อุทธรณ์ แดดอ่อน ๆ ในยามเช้าสาดส่องผ่านเขาปรากฏเงาตรงชะง่อนผา เหล่าวิหคนกไพรกู่ก้องร้องเสียงใสไร้ความหวาดผวาระแวง มรณะภัยที่กําลัง จะเกิดขึ้นเบื้องหน้ากับจิตใจที่ไร้การปรุงแต่ง ของทุกชีวิตในผืนป่าเวลานี้ ต้องจับตาดูให้ดีว่าใครจะยิ่งใหญ่กว่ากัน เพราะมันไม่อาจวัดกันได้ด้วย ความรู้สึกและสามัญสํานึกใด ๆ” “การต่อสู้กับสิ่งที่มองไม่เห็นเพราะเป็นจุดดําเล็ก ๆ ของพญามารที่ซ่อนไว้ใน เหตุลับ – เหตุหาย มันไม่ง่ายเลยกับวิชาฝ่ายต่ําที่ทําเป็นปิฏกธาตุปิฏกธรรม เคลือบไว้ด้วยคําสาปแห่งมนต์มายาอันละเอียดลึกซื้ง ซึ่งมีน้อยคนนักที่จะ สาวถึงต้นเหตุที่แท้จริงที่พญามารเขากํากับบังคับบัญชาเอาไว้ได้” “พระคุณเจ้าทั้ง 3 รูปก็ลืมตาด้วยใบหน้าที่เปื้อนรอยยิ้มที่พร่างพราย ประกาย ตาที่สดใสบ่งบอกถึงความในใจที่เปี่ยมล้นไปด้วยความสุข แสงตะวันอัน


~ 44 ~

เรืองรองสีทองอร่ามส่องมายังร่างของพระคุณเจ้าทั้ง 3 ตรงปากทางเข้าสู่ถ้ํา เพื่อต้อนรับนักรบกล้าแห่งกองทัพธรรม” “คฤหัสถ์จงเข้านอน บรรพชิตขอตัวก่อนจะไปทําความเพียร” “ หลวงพ่ออุ่นท่านเจริญพระคาถาหลับตาภาวนาสักครู่ก็หยดเทียนลงไปใน น้ํา เกิดสิ่งอัศจรรย์คือหยดเทียนวิ่งเข้าหากันตรงจุดศูนย์กลาง แล้วแตก ออกเป็นดอกพิกุลขนาดใหญ่ หลวงพ่ออุ่นลืมตาขึ้นช้า ๆ ยิ้มตรงมุมปาก เล็กน้อยประหนึ่งเหมือนว่าท่านชนะแล้ว” “การกล่าวมธุรสวาจาให้ซึ่งกันและกันนํามาซึ่งกําลังใจอันไม่มีประมาณ กิจการงานที่ทําก็สําเร็จโดยง่าย”

“ยามนี้ ข้างนอกสว่างด้วยแสงจันทร์ข้างในสว่างด้วยแสงธรรม” “หลวงพี่เชียรเพียงรูปเดียว ที่เดินตรงไปจนติดขอบที่กั้นกันคนตกจากหน้า ผาตรงลานธรรม ยืนแผ่เมตตาถึงเหล่าบรรดาสรรพสัตว์ทั้งหลายให้อยู่ดีมี สุข จากนั้นท่านก็เดินจงกลมด้วยการมีสติจําได้หมายรู้อย่างเท่าทันอารมณ์ กระทบในภาวะปัจจุบันหลวงพี่เชียรเพียงรูปเดียว ที่เดินตรงไปจนติดขอบที่ กั้นกันคนตกจากหน้าผาตรงลานธรรม ยืนแผ่เมตตาถึงเหล่าบรรดาสรรพ


~ 45 ~

สัตว์ทั้งหลาย ให้อยู่ดีมีสุข จากนั้นท่านก็เดินจงกลมด้วยการมีสติจําได้หมาย รู้อย่างเท่าทันอารมณ์กระทบในภาวะปัจจุบันอยู่ทุกขณะจิต เป็นเวลานาน เท่าใดไม่มีใครทราบได้ จนรปภ.พิเศษในเขตป่าหลายตัวรวมหัวกันโก่งคอ ขันขยันแต่เช้า แม้ไม่มีเงินเดือนเงินดาวน์เหมือนอย่างคน แต่ก็ทําหน้าที่เวร ปลุกให้คนได้ลุกขึ้น ได้อย่างดี”

“บุญสถานแห่งนี้ในยามเช้าที่อากาศเป็นใจ พัดลมตัวใหญ่คือไอเย็นจากลม ตรงช่องเขา นําพาโฮโซนบริสุทธิ์มาวิ่งเล่นเข้าๆออกๆอยู่ตลอดในปอดของทุก คน” “หลวงพี่เชียรออกมาเดินจงกลมตรงลานธรรม ผ้ากาสายะสั่นพลิ้วไหว เล็กน้อยตามแรงลม แต่จิตใจของท่านนั้นกลับสงบนิ่งมิสั่นไหวไปตามสาย ลมนั้น” “หลวงพี่เชียรพาพระมหาเจียกสหธรรมมิกจากแดนไกล ออกมากินลมชมวิว ตรงลานธรรมอันโล่งกว้างเพื่อดูซันเซ็ตหรือพระอาทิตย์ตกดิน ภาพที่ ปรากฏอยู่ ณ เบื้องหน้า เป็นภาพมหัศจรรย์ของขวัญกํานัลจากธรรมชาติอัน วิจิตร งดงามตระการตา นภาอร่ามเรืองรองเป็นสีทองปนแดง ตะวันตะ แครงจูบลาฟ้าค่อย ๆ เคลื่อนเลื่อนคล้อยย้อยตัวลงมา ซบหน้ากับภูผาหายวับ ไปกับตา ต่อหน้าพระมหาเจียก”


~ 46 ~

ม้านั่งใต้ต้นทองกวาวซึ่งมีข้อความหนึ่งเขียนติดไว้ว่า “ ไม่มีใครบรรลุเป็น พระอรหันต์ได้ด้วยการพูดคุย ”

“สภาพของชุมชนที่ถูกโอบล้อมไปด้วยขุนเขาและป่าใหญ่ ทําให้ภูมิอากาศ ของที่นี่ค่อนข้างเย็น ยิ่งดึกยิ่งหนาว มีแต่ความเงียบสงัดท่ามกลางรัตติกาล อันมืดมิดที่ร่ายมนตราประกาศิต แห่งความหลับใหลแผ่คลุมไปทั่วทุกหัว ระแหง” “ความงามที่นี่ถูกจัดสรรโดยธรรมชาติ มันช่างเหมาะสมกลมกลืนสวยงาม ไม่มีที่ติ เห็นแล้วรื่นเริงบันเทิงใจดีเหลือเกิน พวกเราดูนั่นสิดวงตะวันกําลัง โผล่ขึ้นสู่ขอบฟ้า แสงสีทองของวันใหม่กําลังจะปรากฏช่างงดงามเสียนี่ กระไร” “ หลวงพ่อและคณะศิษย์ที่ติดตามออกจากป่าท้ายหมู่บ้านเยื้องกรายผ่านลํา ธารน้อยใหญ่ ลัดเลาะสุมทุมพุ่มไม้ไหล่เขาเข้าสู่หมู่บ้านดอนมะเดื่อได้อย่าง ง่ายดาย ท่ามกลางสายลมที่พลิ้วพรมแผ่วเบาพัดพาความสบายตลอดเส้น สายของการเดินทาง”


~ 47 ~

“อ่างมโนราห์ ที่มีน้ําใสเย็นเป็นธรรมชาติจัดสรรที่แม้แต่ชาวสวรรค์ก็ต้องหัน มามอง บรรยากาศดูเงียบสงบไร้เสียงรบกวน แต่หอมตลบอบอวลด้วยมวล แมกไม้ ร่มเงาที่แผ่คลุมอ่างน้ําที่เกิดจากพนังถ้ําสร้างความสุขเลิศล้ําเหนือคํา บรรยาย” “มุ้งกลดได้แขวนไว้กับเส้นเชือกที่ผูกตรึงกับต้นไม้สั่นตามแรงลม แต่ใจของ สมณะหนุ่มรูปนี้หาได้สั่นไหวไปตามไม่นั่งนิ่งแน่น........ด้วยสภาวธรรมที่นิ่ม นวล” “ จนแสงสีทองของวันใหม่ทาบทาขอบฟ้า เหนือยอดเขาภูลาทางทิศ ตะวันออกของหมู่บ้านดอนมะเดื่อ หากมองลงมาจากยอดเขาจะเห็นทะเล หมอกที่บอกได้คําเดียวว่าสวยงามเหลือเกิน” “พระนั้นชอบสงบจึงนิยมอยู่ในที่สงัด ส่วนคฤหัสถ์บอกว่าอึดอัดไม่ค่อย สันทัดเรื่องธุดงค์” “วงสนทนาดําเนินไปท่ามกลางเรื่องราวอันหลากหลาย ที่ถูกนํามาถ่ายทอด เล่าสู่กันฟัง จนอากาศเริ่มทวีความหนาวเย็นมากขึ้นไปทุกขณะ ความง่วง ชนะสังขารร่างกายที่อ่อนล้าหนังตาเริ่มจะปิด ทุกคนจึงแยกย้ายกันข้าสู่ที่พัก เพื่อทักทายนิทราราตรีต้อนรับฝันดีที่มาเยือน”


~ 48 ~

“ไก่ป่าโก่งคอขัน ปลุกคนพ้นหลับใหล

เพี่อรับขวัญเช้าวันใหม่ พบฟ้าใสตะวันงาม ”

“พระโยคาวจรทั้งหลายผู้ได้พระนิพพานนั้นเป็นผู้ทําความเพียรเวียนหา ความพ้นทุกข์ ไม่ติดสุขอะไรทั้งนั้น”

“ ความงดงามแห่งธรรมชาติบนภูสูง ,ทะเลหมอก ที่มีอยู่ทุกชุมชนที่ผ่านมา แต่หาที่ไหนจะงดงามเท่าที่นี่ สีขาวอมเทาเงาทะเลหมอกบ่งบอกถึงอารมณ์ ความรู้สึกในส่วนลึกให้นึกถึงภาพวาดสีน้ํามันจากปลายพู่กันของจิตรกรจีน” “อาศรมของพระดาบสตั้งอยู่กลางธรรมชาติของผืนป่าที่สงบร่มรื่นด้วยเงา ไม้ใหญ่บนลานกว้างที่สะอาด มีลําธารน้ําใสไหลผ่านด้านหลังอาศรม พืชผัก ผลไม้ล้วนอุดมสมบูรณ์ แสงสูรย์บริบูรณ์ความสว่างให้มิสร่างซา หยาดพิรุณ ก็หล่นมายามเวลาที่พฤกษาปรารถนาให้มาเยือน ดวงจันทร์กลมโตสว่างจ้า ลอยอยู่เหนือหลังคาอาศรมพระดาบสให้ได้ชมใกล้ ๆ จวบจนศศิธรเริ่มอ่อน แสงคนก็อ่อนแรงร่างกายก็อ่อนล้าตาก็เริ่มปิด จิตก็ล่องลอยเข้าสู่ภวังค์ของ ความฝันบนภพภูมิอันละเอียดที่ซ้อนกันอยู่กับภพภูมิหยาบที่ไร้ขีดคั่นของ กาลเวลา”


~ 49 ~

“สภาพผืนป่ายังอุดมไปด้วยดอกไม้นานาพรรณสีสันงามตาสัตว์ป่ายังเริงร่า ออกหากินทิวทัศน์ยังคงมนต์ขลัง มีพลังที่จะดึงดูดผู้ที่มาเยือนให้หยุดอยู่กับ ที่ ทะเลหมอกประตูออกของตะวันที่ขยันโผล่ออกมาทุกเช้าก่อนลอยขึ้นสู่ ท้องฟ้ายังสะกดจิตใจของผู้ที่ได้พบเห็นได้อย่างน่าอัศจรรย์”

“เหล่าสมณะปลดระวางอัฐบริขาร แยกย้ายสู่สถานที่พักของตนบนสํานัก สงฆ์ที่ยังคงสงบร่มรื่น ,ร่มเย็น ทัศนียภาพที่เห็นยังสวยงามท่ามกลางกลิ่นไอ ธรรมชาติที่สะอาดบริสุทธิ์ ดอกไม้ป่าฉุดกระชากลากอารมณ์ให้น่าอภิรมย์ เสน่หา เสียงน้ําตกนกร้องดังลอดช่องหน้าต่างเข้ามา ในช่วงตะวันหล่นฟ้า เวลาเย็น ช่างเป็นอะไรที่ยิ่งใหญ่ในความรู้สึกของใครหลายๆคน ชาวบ้านที่ ดิ้นรนบนความเรียบง่ายตามบาทวิถีแห่งความพอเพียง จิตวิญญาณร้อย เรียงผ่านลําธาร,ขุนเขา,เงาไม้ที่ไม่ปรุงแต่ง ยามราตรีมีจันทร์ส่องแสงแข่ง หมู่ดาวตรงราวฟ้า อวดทุกคู่สายตาที่ยังไม่ปรารถนาเข้านอน สายลมเย็นพัด โชยอ่อนช่วยดับร้อนผ่อนคลายสลายความเหงา เสียงหริ่งเรไรว่ายังไงกันล่ะ เจ้า ยังคงเฝ้าร่ําร้องระงมไพรสไตล์ไทยเดิม ความมืดเข้าเสริมความอ้างว้าง โดดเดี่ยวสรรพสัตว์ยังวนเวียนท่องเที่ยวในสังสารวัฏ แบบไม่จํากัดเวลา เรื่องราวต่างๆนานาก็ยังคงอุบัติขึ้นมาไม่ขาดสาย ประดุจธรรมนิยายใต้แสง จันทร์ที่เล่าผ่านไดอารี่แห่งความทรงจํา ที่ตอกย้ําด้วยจินตนาการกับการร้อย เรียงผ่านลําธารแห่งธรรมอันอมตะของพระพุทธองค์”


~ 50 ~

“แสงจันทร์ยังเจิดจรัสจ้าท้าทายฟ้าภูผาชัน พุทธบุตรแห่งพุทธองค์ยังคง หลับตานิ่ง กายตั้งตรงดํารงสติมั่นไม่หวั่นไหวต่อสายลมที่พัดผ่านกระทบกับ อังสะจนพลิ้วไหว ลานธรรมในค่ําคืนนี้ที่เงียบสงบ การรบในส่วนละเอียดที่ ต้องใช้การหยุดนิ่งอย่างแผ่วเบาและนิ่มนวล ดูเหมือนจะไม่ใช่เรื่องง่ายนัก สําหรับผู้กระทําความเพียร แสงกระพริบของหมู่ดาวที่พร่างพราวบนฟ้า คล้าย ๆ จะบอกว่าอย่าเลิกล้มความเพียรมุ่งสู่ความสําเร็จแบบเบ็ดเสร็จในคืน นี้ แสงดาวยังคงกระพริบถี่เหมือนให้แรงใจแก่พระคุณเจ้าและสามเณร จน เวลาล่วงเลยผ่านไปนานพอสมควร หลวงพี่เชียรนําน้องเณรออกจากสมาธิ กลับเข้าสู่กุฏิท่ามกลางอารมณ์ที่เบิกบานแจ่มใสหนทางแห่งมรรคผลนิพพาน คงอีกไม่ไกลถ้าตั้งใจจะไปให้ถึงด้วยกําลังแห่งความเพียร”

“คืนนี้มีพระจันทร์ยิ้มพริ้มพราย เห็นทะเลดวงดาวมากมายเรียงรายเต็มฟ้า สายตาของทุกคู่จ้องมองดู จินตนาการเปิดอารมณ์เตลิดรับรู้ สู่ความรู้สึกนึก คิด ไร้ซึ่งบรรทัดฐานของความถูกผิดที่ปกปิดมานาน สายลมพลิ้วผ่าน จิตใจ แตกกระสานซ่านเซ็น ” “หลวงพี่เชียรพาพระมหาเจียกสหธรรมมิกจากแดนไกล ออกมากินลมชมวิว ตรงลานธรรมอันโล่งกว้างเพื่อดูพระอาทิตย์ตกดิน ภาพที่ปรากฏอยู่ ณ เบื้อง หน้า เป็นภาพมหัศจรรย์ของขวัญกํานัลจากธรรมชาติอันวิจิตร งดงาม


~ 51 ~

ตระการตา นภาอร่ามเรืองรองเป็นสีทองปนแดง ตะวันตะแครงจูบลาฟ้า ค่อย ๆ เคลื่อนเลื่อนคล้อยย้อยตัวลงมา ซบหน้ากับภูผาหายวับไปกับตา ต่อ หน้าพระมหาเจียก” “สภาพของชุมชนที่ถูกโอบล้อมไปด้วยขุนเขาและป่าใหญ่ ทําให้ภูมิอากาศ ของที่นี่ค่อนข้างเย็น ยิ่งดึกยิ่งหนาว มีแต่ความเงียบสงัดท่ามกลางรัตติกาล อันมืดมิดที่ร่ายมนตราประกาศิตแห่งความหลับใหลแผ่คลุมไปทั่วทุกหัว ระแหง ” “ทัศนียภาพที่เห็นยังสวยงามท่ามกลางกลิ่นไอธรรมชาติที่สะอาดบริสุทธิ์ ดอกไม้ป่าฉุดกระชากลากอารมณ์ให้น่าอภิรมย์เสน่หา เสียงน้ําตกนกร้องดัง ลอดช่องหน้าต่างเข้ามาในช่วงตะวันหล่นฟ้าเวลาเย็น ช่างเป็นอะไรที่ยิ่งใหญ่ ในความรู้สึกของใครหลายๆคน ชาวบ้านที่ดิ้นรนบนความเรียบง่ายตามบาท วิถีแห่งความพอเพียง จิตวิญญาณร้อยเรียงผ่านลําธาร,ขุนเขา,เงาไม้ที่ไม่ ปรุงแต่ง ยามราตรีมีจันทร์ส่องแสงแข่งหมู่ดาวตรงราวฟ้า อวดทุกคู่สายตา ที่ยังไม่ปรารถนาเข้านอน สายลมเย็นพัดโชยอ่อนช่วยดับร้อนผ่อนคลาย สลายความเหงา เสียงหริ่งเรไรว่ายังไงกันล่ะเจ้า ยังคงเฝ้าร่ําร้องระงมไพร สไตล์ไทยเดิมความมืดเข้าเสริมความอ้างว้างโดดเดี่ยว สรรพสัตว์ยังวนเวียน ท่องเที่ยวในสังสารวัฏแบบไม่จํากัดเวลา เรื่องราวต่าง ๆ นานาก็ยังคงอุบัติ ขึ้นมาไม่ขาดสาย”


~ 52 ~

สนใจลิ้งค์หนังสืออิเล็คทรอนิคเรื่อง ธรรมนิยายใต้แสงจันทร์ฉบับสมบูรณ์สามารถสั่งซื้อได้ที่ สํานักพิมพ์หลักศิลา เลขที่ 123/13 ซอยคันธมาศ 5หมู่ 5 ต.บ้านเกาะ อ.เมือง จ.อุตรดิตถ์ 53000 โทร. 084-5050607 , 087-1959317 หรือที่ E-mail: BBBLACK@windowslive.com , bunpacha11@gmail.com , Goldergirl@hotmail.com Tutitoon@gmail.com ชื่อบัญชีนายบรรพชา บุณยรัตพันธุ์ ธนาคารกรุงไทย สาขาถนนศรีอุตรา ประเภทออมทรัพย์ บัญชีเลขที่ 297-0-00803-3 หรือที่ ธนาคารกรุงเทพ สาขาอุตรดิตถ์ ประเภทสะสมทรัพย์ บัญชีเลขที่ 293-4-46663-8


~ 53 ~


~ 54 ~


Issuu converts static files into: digital portfolios, online yearbooks, online catalogs, digital photo albums and more. Sign up and create your flipbook.