ดวงฤทัยรัตติกาล - ทดลองอ่าน

Page 1


ดวงฤทัยรัตติกาล 1


ดวงฤทัยรัตติกาล พราวพุธ : เขียน ISBN : ๙๗๘-๖๑๖-๗๗๓๕-๗๐-๒ พิมพ์ครั้งที่ ๑ : สำนักพิมพ์ กรู๊ฟ พับลิชชิ่ง ตุลาคม พ.ศ.๒๕๕๙ สงวนลิขสิทธิ์ตามพระราชบัญญัติลิขสิทธิ์ (ฉบับเพิ่มเติม) พ.ศ.๒๕๕๘ หมวดนวนิยาย ลำดับที่ ๖๘

จัดพิมพ์โดย สำนักพิมพ์ กรู๊ฟ พับลิชชิ่ง ในเครือ บริษัท กรู๊ฟ พับลิชชิ่ง จำกัด เลขที่ ๒๙/๑๐๖ วิสต้า อเวนิว วัชรพล แขวงคลองถนน เขตสายไหม กรุงเทพฯ ๑๐๒๒๐ โทรศัพท์ : ๐๘๕-๖๖๕-๕๔๒๒ โทรสาร : ๐-๒๑๕๓-๐๕๐๐ อีเมล : groove_publishing@hotmail.com เว็บไซต์ : www.groovebooks.com, http://www.facebook.com/groovepublishing บรรณาธิการที่ปรึกษา : นายแพทย์พงศกร จินดาวัฒนะ บรรณาธิการสำนักพิมพ์ : อรรถรัตน์ จันทรวรินทร์ ประสานงานการผลิต : สุลวัณ จันทรวรินทร์ พิสูจน์อักษร : กฤษดา ศิริกิจพาณิชย์กูล และ เนตรนภา ณ ถลาง ออกแบบปก : พินิจ สังสกฤษ ประสานงานการออกแบบปก : จารุนันทน์ ศรีรัตนตรัย รูปเล่ม : Aim Graphic House ดำเนินการผลิตโดย เอมกราฟฟิกเฮ้าส์ โทรศัพท์ ๐๘๑-๖๒๖-๙๑๒๓ โทรสาร ๐-๒๘๘๓-๖๑๒๑ พิมพ์ที่ บริษัท เอ.พี. กราฟิคดีไซน์และการพิมพ์ จำกัด ๑/๘ หมู่ที่ ๔ ต.บางขนุน อ.บางกรวย จ.นนทบุรี ๑๑๑๓๐ โทรศัพท์ ๐-๒๔๙๗-๖๘๔๐-๓ โทรสาร ๐-๒๔๙๗-๖๘๔๔ จัดจำหน่ายโดย บริษัท อมรินทร์ บุ๊ค เซ็นเตอร์ จำกัด ๑๐๘ หมู่ที่ ๒ ถ.บางกรวย - จงถนอม ต.มหาสวัสดิ์ อ.บางกรวย จ.นนทบุรี ๑๑๑๓๐ โทรศัพท์ ๐-๒๔๒๓-๙๙๙๙ โทรสาร ๐-๒๔๔๙-๙๒๒๒, ๐-๒๔๔๙-๙๕๐๐-๖ Homepage : http://www.naiin.com

ราคา ๒๕๐ บาท

2 พราวพุธ


ดวงฤทัยรัตติกาล 3


คำนำสำนักพิมพ์ ดวงฤทัยรัตติกาล คือผลงานเขียนเรื่องที่สามของ ‘พราวพุธ’ ที่เรา ภูมิใจนำเสนอ หากท่านเคยติดตามผลงานสองเล่มแรกของเธอ จะเห็นได้ชัดถึง จินตนาการอันล้ำเลิศ ที่พราวพุธนำมาสร้างเป็นนวนิยายสนุกๆ ให้เรา ได้อ่านกัน เมื่อมาถึงดวงฤทัยรัตติกาลเล่มนี้ ความสามารถของพราวพุธ ได้พัฒนาไปอีกหนึ่งขั้น คราวนี้เธอหยิบยกเอาเรื่องราวของพิภพอสูร มนุษย์ เทพ เทวดา และเรื่องราวต่างๆ ในไตรภูมิมาเล่าใหม่ในแบบฉบับ อันเป็นเอกลักษณ์เฉพาะตัว ท่านผู้อ่านจะได้เพลิดเพลินไปกับเนื้อเรื่องที่สนุกสนาน ผมเชื่อว่า ท่านจะอ่านจบลงภายในเวลาอันรวดเร็ว พร้อมกันนั้นก็เสียดายและ คิดถึงตัวละครอีกหลายตัวที่ปรากฏในดวงฤทัยรัตติกาล หากเป็นเช่นนั้น ขอกระซิบดังๆ ตรงนี้เอาไว้เลยว่าพราวพุธมีโครงการจะเขียนนวนิยาย อีกสองเรื่อง สืบเนื่องจากนวนิยายเรื่องนี้ รับรองว่าจะสนุกและตื่นเต้น ไม่แพ้กันแน่นอน แล้วพบกันครับ แด่ดวงฤทัยที่เป็นนิรันดร์ นพ.พงศกร จินดาวัฒนะ บรรณาธิการที่ปรึกษา สำนักพิมพ์ กรู๊ฟ พับลิชชิ่ง ในเครือบริษัท กรู๊ฟ พับลิชชิ่ง จำกัด

4 พราวพุธ


คำนำนักเขียน แรงบันดาลใจในการเขียนนวนิยายเรื่อง ‘ดวงฤทัยรัตติกาล’ นี้ เกิดขึ้นหลังจากที่ดิฉันได้ดูคลิปวิดีโอคลิปหนึ่งค่ะ ความยาวทั้งหมดของ คลิปวิดีโอนี้นานกี่นาทีดิฉันจำไม่ได้ แต่แค่เพียงห้าวินาทีแรกที่คลิปวิดีโอ นี้ดำเนินไป ภาพต่างๆ ก็พุ่งเข้ามาในหัวของดิฉัน เป็นภาพที่เป็นเรื่องเป็น ราวตั้งแต่ต้นจนจบ มันชัดเจนจนทำให้ดิฉันน้ำตาไหลโดยไม่รู้ตัว คลิป วิดีโอที่ว่านี้เป็นเรื่องราวของเจ้าหน้าที่กู้ภัยจากทั่วทุกมุมโลกค่ะ ในคลิป นั้นตัดต่อมาจากหลายสถานการณ์ หลายสถานที่ และหลายภัยพิบัติที่ มนุษย์ต้องเผชิญ ในวินาทีแห่งความเป็นความตาย คงไม่มีอะไรที่จะมีค่า ไปกว่าการได้มีชีวิตและลมหายใจอีกแล้ว และมนุษย์เราอาจจะไม่เหลือ รอดอยู่บนโลกใบนี้ก็ได้หากไม่ได้รับการปกป้องคุ้มภัยจากมนุษย์ด้วยกัน เอง ดิฉันภูมิใจที่ได้เกิดเป็นมนุษย์และจะใช้ความเป็นมนุษย์เพื่อปกป้อง มนุษย์ด้วยกันให้มีลมหายใจที่ยืนยาวต่อไปค่ะ ดิฉันขอขอบพระคุณคุณหมอพงศกร คุณกรู๊ฟ อรรถรัตน์ คุณกุ๊ สุลวัณ ที่ให้โอกาสดิฉันได้นำเสนอผลงานเป็นเรื่องที่สามแล้วภายใต้ การดูแลที่อบอุ่น คำแนะนำดีๆ ที่มีให้ดิฉันเสมอมา ขอบคุณทีมพิสูจน์ อักษรที่ช่วยให้นวนิยายเล่มนี้สมบูรณ์ขึ้น และที่สำคัญ ขอบคุณนักอ่าน ทุกท่านที่ติดตามผลงานค่ะ

พราวพุธ

ดวงฤทัยรัตติกาล 5


6 พราวพุธ


ภพอสูร

โลกมนุษย์ นรก สวรรค์ ภพภูมิที่แยกจากกันโดยสิ้นเชิง แต่ จะแยกจากกั น อย่ า งไรนั้ น ก็ สุ ด รู้ อะไรหนอเป็ น สิ่ ง กางกั้ น ทั้ ง สามภพ เอาไว้ ‘ตายแล้วไปไหน’ คำถามนี้หลายๆ คนพยายามจะหาคำตอบ ทว่า ไม่มีใครตอบคำถามนี้ได้นอกจากคนที่ตายไปแล้วเท่านั้น คนดีได้ขึ้น สวรรค์ คนเลวตกนรก เวรกรรมทำให้คนกลับมาเวียนว่ายตายเกิดอีกครั้ง นั่นเป็นคำบอกเล่าที่คนเราบอกต่อกันจากรุ่นสู่รุ่น โดยที่ไม่มีใครพิสูจน์ได้ ว่าเป็นเรื่องจริงหรือเป็นเพียงจินตนาการ ภพอสู ร ภพภู มิ ที่ ไ ม่ ค่ อ ยมี ใ ครกล่ า วถึ ง ภพภู มิ ที่ แ ม้ แ ต่ ผูด้ แู ลโลกทัง้ สามก็ไม่ได้ระแคะระคายถึงความเคลือ่ นไหวเพราะต่างฝ่าย ต่างก็ต้องทำหน้าที่ของตน อสูรไม่จู่โจมใคร ไม่กระโตกกระตาก พวกเขา เพียงแต่เฝ้ารอเวลา เวลาที่จะขัดขวางการลำเลียงดวงจิตแห่งวิญญาณ ไม่ให้เป็นไปตามวัฏสงสารอย่างที่ควรจะเป็น เฝ้ารอเวลาที่จะทำให้โลก ทั้งสามขาดความสมดุล และวันนั้น พวกเขาจะเป็นใหญ่ในทั้งสามโลก

ดวงฤทัยรัตติกาล 7


ณ ป่าแห่งภพอสูรนั้นมีต้นไม้ใหญ่อันเป็นต้นไม้ที่เกิดมาจาก หยาดเหงื่อของจอมอสูรผู้ซึ่งมีนามว่าอสงไขย เขาปล่อยให้หยาดเหงื่อ ไหลหยดลงสู่พื้นดินโดยตั้งใจ เพื่อก่อกำเนิดต้นไม้แห่งอสูรที่ยืนต้นสูง ตระหง่ า นคอยลำเลี ย งอสู ร ธาตุ จ ากดิ น ที่ ต้ น ไม้ นั้ น หยั่ ง รากลึ ก ขึ้ น มา หล่อเลีย้ งผลอ่อนทีก่ ำลังเติบใหญ่จนกิง่ ทีต่ ดิ ผลนัน้ โน้มต่ำลงทุกที ลำแสง แห่งอสูรธาตุเปล่งประกายเป็นทางตามท่อลำเลียงที่โปร่งแสงจากรากสู่ ลำต้น จากลำต้นสู่กิ่งก้านสาขา พุ่งตรงมายังขั้วที่ติดแน่นอยู่กับผลแห่ง ต้นอสูรที่เรียกว่า อสูรทายาท ลักษณะของผลนั้นมีรูปร่างคล้ายมนุษย์ ศีรษะที่ผมยาวสลวยสีดำขลับ หน้าอกอวบอิ่ม อีกทั้งสะโพกผายกลมกลึง นั้นแสดงให้เห็นว่าอสูรทายาทตนนี้เป็นเพศหญิง อสูรทายาทเพศหญิง อันเกิดจากต้นไม้แห่งอสูรนี้แตกต่างจากมักกะลีผลในป่าหิมพานต์โดย สิ้นเชิง เนื่องด้วยอสูรทายาทถูกสร้างขึ้นมาให้มีความแข็งแกร่งเพื่อทำ ภารกิจให้แก่จอมอสูรโดยเฉพาะ หลายปีแล้วที่ต้นไม้แห่งอสูรฟูมฟักอสูร ทายาทตนนี้ให้เติบใหญ่ จนในที่สุด แสงเรืองรองก็ทอประกายออกมา จากตัวของอสูรทายาทสาว พาให้บริเวณโดยรอบนั้นสว่างไสว กิ่งไม้ที่มี ขั้วผลของอสูรทายาทติดอยู่ค่อยๆ โน้มลงต่ำจนเท้าของเธอแตะพื้นโดย สมบูรณ์ ดวงตาคมกริบกะพริบตื่น อวดให้เห็นดวงตาสีเหลืองอำพันที่มี เปลวไฟสีแดงส้มลุกโชนอยู่ในนั้น เพียงก้าวแรกที่อสูรทายาทย่างเท้าออกเดิน ขั้วผลที่ติดอยู่กับ ศีรษะของอสูรสาวก็ขาดสะบั้นจากส่วนศีรษะของเธอ ร่างกายที่เปล่า เปลือยนั้นปรากฏเส้นใยสีขาวราวปุยฝ้ายขึ้นมาถักทอห่อหุ้มเป็นเสื้อผ้า ในบัดดลราวเนรมิต อสูรสาวมิได้เดินไปไหนไกล เธอย่อตัวคุกเข่าลงที่ ใต้ตน้ ไม้นนั้ แล้วค้อมตัวลงจนหน้าผากแตะกับพืน้ ดินเพือ่ ทำความเคารพ บุรุษผู้ซึ่งปรากฏกายอยู่ตรงหน้า “ท่านอสงไขย” อสูรทายาทสาวเอ่ยนามเจ้าแห่งอสูรด้วยความ 8 พราวพุธ


นอบน้อม “ในที่สุด เจ้าก็เติบใหญ่พอที่จะไปทำภารกิจแล้ว รัตติกาล เจ้าคือ อสูรที่ข้าตั้งใจสร้างมากที่สุด เจ้าแข็งแกร่งกว่าอสูรตนอื่นๆ ที่ข้าเคยสร้าง เจ้างดงามกว่าอสูรตนอื่นๆ ที่ข้าฟูมฟัก เจ้ามีความเฉลียวฉลาดเกินใคร เจ้าคือความหวังหนึ่งเดียวของข้า อย่าทำให้ข้าผิดหวัง” น้ำเสียงทุ้มต่ำ อันทรงพลังอำนาจนั้นตอบกลับมาด้วยความยินดียิ่ง เจ้าแห่งอสูรผู้ซึ่งซ่อนกายอยู่ภายใต้เสื้อคลุมยาวสีดำสนิท ทอด สายตาสีแดงเพลิงวาววับออกมาจากผ้าคลุมศีรษะ อสูรอสงไขยเนรมิต ป่าแห่งอสูรนี้ขึ้นมาพร้อมทั้งสร้างต้นไม้แห่งอสูรด้วยหยาดเหงื่อของเขา เอาไว้เพื่อผลิตเหล่าอสูรทายาทและสะสมพลังอำนาจที่จะใช้จู่โจมโลก ทั้งสาม เขาผู้นี้สร้างอสูรทายาทมาแล้วหลายต่อหลายรุ่นเพื่อส่งไปทำ ภารกิจ หากแต่ยังไม่มีอสูรตนใดปฏิบัติได้สำเร็จ จนกระทั่งเขาได้สร้าง รัตติกาลขึ้นมา รัตติกาล ผู้ซึ่งมีความคล้ายคลึงมนุษย์มากที่สุด เธอมีรูปกาย งดงามอีกทั้งมีกลิ่นกายหอมประหลาดยั่วยวนใจ ซึ่งมีส่วนสำคัญที่จะทำ ให้ภารกิจนั้นสำเร็จไปได้โดยง่ายอีกทั้งอสงไขยยังสร้างให้รัตติกาลมี ประสาทสัมผัสทั้งห้าที่ดีเยี่ยม ทว่า ไร้ซึ่งความรู้สึกทางด้านจิตใจ “ข้าจะทำให้สุดความสามารถของข้า ท่านอสงไขย” จนกระทั่ง ตอนนี้ รัตติกาลก็ยังไม่เงยหน้าขึ้นมาจากพื้นดิน อสูรอสงไขยจึงย่อตัวลง ประคองให้เธอลุกขึ้นยืน “รัตติกาล จงฟังข้า ภารกิจของเจ้าคือการเดินทางไปยังโลกมนุษย์ และขโมยเอาดวงจิตสุดท้ายในทันทีทมี่ นุษย์ผนู้ นั้ สิน้ ลมหายใจมากลืนกิน ลงท้องเสีย อย่าปล่อยให้ดวงจิตของมนุษย์เหล่านั้นล่องลอยไปยังภพภูมิ อื่นไม่ว่าจะเป็นนรกภูมิหรือสวรรคภูมิ เศษสวะอย่างพวกมนุษย์ไม่ควร จะได้อยู่สุขสบายบนสรวงสวรรค์ และไม่ควรจะได้ชดใช้กรรมในนรกภูมิ ดวงฤทัยรัตติกาล 9


เพือ่ ทีจ่ ะมีโอกาสสำนึกผิด และไม่ควรได้กลับมาเวียนว่ายตายเกิดอีกครัง้ ดวงวิญญาณของพวกมันต้องถูกเปลี่ยนเป็นกองทัพอสูรและต่อไปจะ ต้องมีเพียงเผ่าพันธุ์ของอสูรเท่านั้น พวกเราจะต้องเป็นใหญ่ในทั้งสาม โลก ฮ่า...ฮ่า...ฮ่า...” เสียงหัวเราะนั้นก้องกังวานจนสั่นสะเทือนไปทั้งภพภูมิแห่งอสูร ต้นไม้ใหญ่อันเป็นต้นกำเนิดแห่งอสูรทายาทสั่นไหวโอนเอนราวกับรับรู้ ได้ถึงพลังอำนาจแห่งผู้เป็นนาย หากรัตติกาลทำภารกิจสำเร็จ เจ้าต้นไม้ ต้นนี้ต้องผลิดอกออกผลอสูรทายาทออกมาอย่างไม่จำกัดจำนวน เหล่า อสูรจะยึดครองโลกทั้งสาม ถึงวันนั้น เหล่านางฟ้าก็ต้องกลายมาเป็น นางรับใช้เหล่าอสูร เหล่าเทวดาก็ต้องมารดน้ำพรวนดินต้นไม้ในป่าแห่ง อสูรทุกต้น และเหล่าคนธรรพ์ก็ต้องบรรเลงเพลงอันไพเราะเพื่อให้ชาว อสูรได้เพลิดเพลินเท่านั้น “ไว้ใจข้าเถิดท่านอสงไขย ข้าจะทำภารกิจให้สำเร็จลุล่วงโดยเร็ว ที่สุด” รัตติกาลยืนยันด้วยแววตามุ่งมั่น “มั น ไม่ ง่ า ยอย่ า งนั้ น หรอกรั ต ติ ก าล มนุ ษ ย์ โ ลกอ่ อ นแอก็ จ ริ ง แต่กลับดำรงเผ่าพันธุ์มายาวนานหลายชั่วอายุคน อีกทั้งยังมีพลังวิเศษ ที่สามารถมอมเมาอสูรอย่างเจ้าได้อย่างไม่ยาก ดูอย่างอสูรรุ่นก่อนๆ ที่ข้าส่งไปสิ แต่ละตนนั้นล้วนถูกมนุษย์มอมเมาจนหมดสิ้นความเป็นอสูร เจ้าจงระวังตัวเอาไว้ให้ดีเถิด” อสงไขยเตือนอสูรสาวเนื่องด้วยไม่อยาก ให้เธอนั้นประมาทกับโลกมนุษย์มากจนเกินไป “พลังแห่งการมอมเมาอย่างนั้นรึ ข้าไม่กลัวหรอก ด้วยรูปกายอัน งดงามของข้าต่างหากที่จะเป็นฝ่ายมอมเมาพวกมนุษย์ให้ยอมจำนนแก่ ข้า” รัตติกาลพูดพลางยิ้มอย่างดูหมิ่นมนุษย์โลกที่เธอกำลังพูดถึง “เจ้ามั่นใจอย่างนั้นก็ดีแล้ว รัตติกาล เจ้าจงจำเอาไว้ว่าจงเลือก กลืนกินดวงจิตที่หลุดออกจากร่างใหม่ๆ เท่านั้น จงขโมยมาให้ได้ก่อนที่ 10 พราวพุธ


ยมทูตจะรู้ตัว เข้าใจหรือไม่” อสูรอสงไขยกำชับอสูรลูกสมุนในเรื่องที่ สำคัญที่สุดอีกครั้ง “ข้าเข้าใจแล้วท่านอสงไขย ข้าจะกลืนกินดวงจิตให้ได้มากที่สุด เท่าที่จะทำได้ กลืนกินจนกว่าประชากรมนุษย์โลกจะเริ่มร่อยหรอ เมื่อ ไม่มีดวงจิตดวงใหม่ไปเกิด มนุษย์ก็จะค่อยๆ ลดจำนวนลงเรื่อยๆ สวรรค์ ก็จะกลายเป็นสวรรค์ร้าง เพราะคนดีๆ ที่จะขึ้นสวรรค์นั้นน้อยลงทุกที ส่วนในนรกภูมิก็คงจะเงียบเหงาลงไปมากเพราะดวงจิตของคนชั่วที่จะ ถูกส่งลงไปยังนรกนั้นค่อยๆ ลดลง และกว่าทั้งสามโลกจะรู้ตัว ตอนนั้น พวกเราก็ยึดครองเอาไว้แล้วทุกพื้นที่” รัตติกาลเอ่ยด้วยสายตาแข็งกร้าว ไม่แพ้ดวงตาสีแดงที่สว่างวาบออกมาภายใต้เงามืดของผ้าคลุมศีรษะ ของคู่สนทนา “จงไปเถิ ด รั ต ติ ก าล จงไปทำหน้ า ที่ เ พื่ อ เผ่ า พั น ธุ์ อ สู ร ของเรา” อสงไขยพูดพลางวนฝ่ามือไปกลางอากาศจนปรากฏเป็นอุโมงค์ที่มีแสง สีทองสว่างเรืองรองอยู่ปลายอุโมงค์ลิบๆ รัตติกาลก้าวขาเข้าไปในอุโมงค์ เธอก้าวเดินไปข้างหน้าช้าๆ และเมื่ออสูรสาวเดินลึกเข้าไปในอุโมงค์ เรื่ อ ยๆ ปากอุ โ มงค์ ฝั่ ง ภพภู มิ อ สู ร ที่ เ ธอเดิ น เข้ า มานั้ น ก็ ปิ ด ลง เธอไม่ สามารถเดินย้อนกลับไปยังภพอสูรได้อีกแล้ว “ภารกิจเริ่มต้นแล้วสินะ” รัตติกาลพูดกับตัวเอง เธอนึกย้อนไป ตั้งแต่เมื่อครั้งที่ตัวเธอเริ่มผลิดอกออกมาจากกิ่งของต้นไม้อสูรใหม่ๆ กระแสเสียงแห่งอสงไขยก็เริ่มพร่ำสอนเธอถึงวิธีการขโมยเอาดวงจิตของ มนุษย์มาเป็นของตนโดยละเอียดยิบทุกขั้นตอนว่า ‘จงทำตัวให้กลมกลืนกับมนุษย์ ในขณะเดียวกันให้จ้องมองไปที่ ตาที่สามของพวกมัน ตาที่อยู่ตรงหว่างคิ้วนั่นแหละ เมื่อใดที่ตาที่สาม มีแสงสีทองสว่างวาบ นั่นคือดวงจิตแห่งมนุษย์กำลังจะออกจากร่าง จงจับจ้องเอาไว้ให้ดี ทันทีที่แสงสีทองนั้นหลุดออกมาจากตาที่สามของ ดวงฤทัยรัตติกาล 11


พวกมัน จงหยิบฉวยมากลืนกินลงท้องเสีย’ นั่นคือสิ่งที่อสงไขยพร่ำสอน อสูรสาว ซึ่งรัตติกาลเองก็จำได้จนขึ้นใจ ทว่า มีสิ่งหนึ่งที่ยังคงคั่งค้างอยู่ในความคิดของเธอมานานแสน นานก็คอื อสูรทายาททีถ่ กู ส่งมายังโลกมนุษย์กอ่ นหน้าเธอนัน้ หายไปไหน เท่าที่เธอรู้มา อสงไขยนั้นส่งอสูรไปขโมยดวงจิตของมนุษย์มาแล้วมาก มายหลายรุ่น หากแต่ไม่มีใครเคยทำภารกิจสำเร็จเลยสักครั้งเดียว โลก มนุษย์นั้นน่ากริ่งเกรงสักเพียงใดกันหนอ เหตุใดอสูรผู้ซึ่งมีพลังอำนาจ เหนือกว่าในทุกๆ ด้านนั้นต้องยอมจำนนไปเสียทุกครั้ง อำนาจแห่งการ มอมเมาอย่ า งนั้ น หรื อ คื อ อำนาจที่ ท รงอานุ ภ าพที่ สุ ด ที่ ม นุ ษ ย์ โ ลกมี มนุษย์โลกนั้นแม้จะเป็นพวกอ่อนแอแต่ก็เต็มไปด้วยพิษสง เธอคงต้อง ระวังตัวเอาไว้ให้มากๆ รัตติกาลระลึกอยู่ในห้วงคำนึงในทุกๆ ก้าวที่ เหยียบย่างเดินในอุโมงค์ที่เชื่อมต่อระหว่างภพภูมิแห่งอสูรกับโลกมนุษย์ ร่างกายของรัตติกาลที่ก่อกำเนิดเป็นอสูร แม้มีลักษณะภายนอก เหมื อ นกั บ มนุ ษ ย์โ ลกทุ กอย่ าง หากแต่ ภายในกลั บ ไม่ มี ก้อ นเนื้ อ ที่ ใ ช้ สูบฉีดโลหิตอย่างมนุษย์ที่เรียกว่าหัวใจ สิ่งเดียวที่หล่อเลี้ยงให้เธอมีชีวิต ได้คือภารกิจแห่งเผ่าพันธุ์อสูรที่หล่อหลอมให้เธอมีตัวตน ความมุ่งมั่น ของเธอนั้นยิ่งกระตุ้นให้อสูรสาวก้าวเท้าให้เร็วขึ้น เร็วขึ้น ก้าวไปข้างหน้า จนแสงสว่างจ้าที่ปลายอุโมงค์นั้นใกล้เข้ามาทุกที ทุกที... ทันทีที่รัตติกาลก้าวออกมาจากอุโมงค์เข้าสู่โลกมนุษย์เต็มตัว แล้วนัน้ อุโมงค์ทสี่ ง่ เธอมาทีน่ กี่ ห็ ายวับไปกับตา ในเวลานีเ้ ป็นเวลาดึกสงัด บรรยากาศรอบกายนั้นเย็นสบายเนื่องด้วยมีสายลมเย็นพัดผ่านมาต้อง ผิวกายที่มีเยื่อใยดั่งปุยฝ้ายถักทอปกคลุมทำให้อสูรสาวที่ได้สัมผัสกับ สายลมแห่งโลกมนุษย์เป็นครั้งแรกนั้นรู้สึกตื่นเต้นไม่น้อย นี่ยังไม่เท่ากับ ที่เธอได้เห็นแสงจากโคมที่ตั้งเรียงรายอยู่รอบลานกว้าง อสูรสาวตื่นตา 12 พราวพุธ


ตื่นใจกับโคมไฟจนต้องเข้าไปมองใกล้ๆ แล้วเปล่งประกายเพลิงสีส้มใน ดวงตาแข่งกับแสงไฟที่ส่องออกมานั้น “ช่างมหัศจรรย์จริงๆ” อสูรสาวพึมพำกับสิ่งที่ตนไม่เคยรู้จักด้วย ความตื่นตาตื่นใจพร้อมกับทอดสายตามองไปรอบกาย เธอมองตามดวง ไฟทีก่ ระจายอยูท่ วั่ บริเวณไม่เว้นแม้แต่บนต้นไม้ บางดวงก็ทอแสงสว่างจ้า อยู่ตลอดเวลา บางดวงก็กะพริบเป็นจังหวะซึ่งนั่นทำให้รัตติกาลกะพริบ แสงในดวงตาของตัวเองแข่งกับดวงไฟดวงเล็กๆ พลางหัวเราะคิกคัก ออกมาด้วยความสนุกสนาน อสูรสาวเดินเรื่อยเปื่อยตามทิวต้นไม้ไป เรือ่ ยๆ จนกระทัง่ มาหยุดยืนนิง่ ตืน่ ตะลึงในความอลังการของสิง่ ปลูกสร้าง ที่อยู่ตรงหน้า “โอ้โห!” อสูรสาวเบิกตากว้างพร้อมทัง้ เปล่งเสียงแห่งความตืน่ เต้น ออกมา แสงไฟที่ตกกระทบสิ่งปลูกสร้างใหญ่โตที่อยู่ตรงหน้าเธอนั้น เรืองรองออกมาเป็นประกายสีทองอร่าม แม้จะมีกำแพงกั้น แต่ความ งดงามที่แลเห็นได้เพียงส่วนที่เป็นหลังคา หน้าจั่วและยอดพระปรางค์นั้น ก็ทำให้รัตติกาลอดที่จะหยุดยืนมองด้วยความชื่นชมไม่ได้ “นี่มันใช่โลกมนุษย์จริงๆ หรือ วิมานนี้ช่างงดงามราววิมานของ เหล่าเทพเทวา ท่านอสงไขยส่งเรามาผิดภพภูมิหรือเปล่านะ ที่นี่สวยงาม ราวสรวงสวรรค์ ต้องเป็นสรวงสวรรค์แน่ๆ” รัตติกาลเคยเห็นสรวงสวรรค์ จากภาพนิมิตที่อสงไขยแสดงให้เธอเห็นเมื่อครั้งที่เธอยังเป็นผลอ่อนติด อยู่บนต้นไม้แห่งอสูร ทว่า อสงไขยกลับไม่เคยบอกเธอเลยว่าโลกมนุษย์ เองก็มีวิมานที่งดงามเช่นนี้ รัตติกาลชื่นชมความงามที่ได้เห็นตรงหน้า อย่างมิอาจจะละสายตาไปไหนได้ เธอค่อยๆ ก้าวเดินตรงไปข้างหน้า ช้าๆ จากสนามหญ้ากว้างมาจนถึงทิวต้นมะขามที่ปลูกเรียงรายล้อมรอบ สนามหญ้านั้น จนถึงตอนนี้อสูรสาวก็ยังไม่อาจกะพริบตาได้ เธอเดินตรง ไปข้างหน้าเพื่อเข้าใกล้สิ่งปลูกสร้างอันวิจิตรงดงามนั้นเรื่อยๆ จนกระทั่ง ดวงฤทัยรัตติกาล 13


ปี๊น! “เฮ้ย! เดินแบบนี้ไม่กลัวตายรึไง นี่มันถนนนะ อยากจะเดินแบบ ไปเดินที่อื่นไป๊” มนุษย์คนแรกที่รัตติกาลได้พบตะโกนโหวกเหวกต่อว่า รัตติกาลยกใหญ่ คนผู้นี้เป็นชาย และกำลังนั่งอยู่บนยานพาหนะรูปร่าง แปลกตาซึ่งรัตติกาลไม่รู้ว่านี่คือรถสามล้อที่วิ่งให้บริการผู้โดยสารอยู่รอบ สนามหลวง เขาไม่เพียงแค่ต่อว่าเท่านั้น ยังบิดคันเร่งเสียงดังใส่รัตติกาล ให้สาแก่ใจกับความโมโหที่ถูกเธอเดินตัดหน้าจนทำให้เขาต้องหยุดรถ อย่างกะทันหันจนเป็นสาเหตุให้เขาต้องติดไฟแดง “ฮึ่ย! ไอ้มนุษย์ชั้นต่ำสามหาว แกต้องได้รับบทเรียน” รัตติกาล กำหมัดแน่นจนมือสั่นอย่างเก็บอาการเอาไว้ไม่อยู่ คำเตือนของอสงไขย เรื่องห้ามแสดงอิทธิฤทธิ์ให้มนุษย์โลกเห็นนั้นหายไปจากความคิดจน หมดสิ้น เล็บมือที่งอกยาวและแหลมคมเงาวับนั้นพร้อมจะพุ่งเข้าไป ทำร้ายคนขับสามล้อที่ตอนนี้จอดติดไฟแดงได้ทุกขณะ ดวงตาสีเหลือง อำพันนั้นโชนแสงสีเพลิงของความอาฆาตแค้น เธอเดินเข้าไปหาชายขับ สามล้อคนนั้นด้วยความเร็วที่ผิดมนุษย์มนา เสียงฝีเท้าก็เบายิ่งกว่าเสียง ลมพัด จนกระทั่งเข้ามาถึงตัวของชายขับสามล้อคนนั้น “ตายเสียเถอะ ไอ้มนุษย์สามหาว” อสูรสาวหยุดอยู่ด้านหลังคน ขับสามล้อที่ตอนนี้กำลังบิดคันเร่ง เตรียมพร้อมที่จะพุ่งตัวไปข้างหน้า เขาไม่รู้ตัวสักนิดเลยว่าภัยกำลังจะมาถึงตัว ด้วยระยะห่างเพียงแค่เอื้อม มือเท่านั้นอสูรสาวก็จะสามารถปลิดชีพมนุษย์ผู้นี้ให้หายแค้นได้ ฝ่ามือที่ เคยเรียวบางบัดนี้แปรสภาพเป็นมือที่มีหนามแหลมคมโผล่ออกมาจาก ปลายนิ้วทั้งห้าแทนเล็บ เธอง้างมือขึ้นในท่าเตรียมพร้อม สายตาจับจ้อง ไปยังเหยื่อผู้เคราะห์ร้ายตรงหน้าเขม็ง จู่ๆ ก็มีแสงสีเขียวสว่างขึ้นมา... ไฟเขียว! บรื๊ น ...คนขับรถสามล้อออกรถด้วยความเร็วทำให้กรงเล็บอัน 14 พราวพุธ


แหลมคมของรัตติกาลตวัดได้เพียงอากาศธาตุเท่านั้น ชายผู้นั้นไม่ได้รับ อันตรายแม้แต่ปลายเส้นขน ตอนนี้อสูรสาวได้แต่นิ่งอึ้งอยู่อย่างนั้น เธอ ทำอะไรไม่ถกู จึงได้แต่ยนื มองคนขับรถสามล้อขับเคลือ่ นยานพาหนะของ เขาออกไปด้วยท่าทางฉวัดเฉวียน ยิ่งได้ขับรถบนถนนอันว่างเปล่าใน เวลาดึกสงัดแบบนี้ ชายคนขับสามล้อจึงยิ่งขับรถด้วยความคึกคะนอง แต่แล้ว เหตุการณ์ที่ไม่คาดคิดก็เกิดขึ้น โครม! เสียงโลหะกับโลหะกระทบกันดังสนั่นหวั่นไหว ในขณะที่ฝ่ายหนึ่ง ออกรถอย่างรวดเร็วทันทีที่สัญญาณไฟเขียวสว่างขึ้น รถยนต์ที่อยู่อีกทาง หนึง่ ก็ขบั มาด้วยความเร็วสูงและไม่ยอมหยุดแม้สญ ั ญาณไฟจราจรสีแดง ที่ช่องทางจราจรของตัวเองสว่างขึ้น ผลสุดท้าย ก็เกิดอุบัติเหตุรถชนกัน ทีก่ ลางแยกไฟแดงนัน้ รถยนต์นนั้ เปรียบเสมือนเหล็กหุม้ หนัง ส่วนสามล้อ นั้นไม่ต่างจากหนังหุ้มเหล็ก สภาพความเสียหายของรถทั้งสองคันจึง แตกต่างกันโดยสิน้ เชิง รถเก๋งสัญชาติญปี่ นุ่ นัน้ ฝากระโปรงด้านหน้ายุบตัว เข้ามาแต่ยังไม่ถึงห้องโดยสาร มีของเหลวไหลออกมานองอยู่บนพื้นตรง บริเวณที่รถคันนั้นจอดสนิท ในขณะที่รถสามล้อนั้นพังยับเยิน ล้อทั้งสาม กระเด็นกระดอนกันไปคนละทิศละทาง โครงหลังคาที่เคยเป็นที่คุ้มแดด คุ้มฝนสำหรับทั้งคนขับและผู้โดยสารนั้นพับย่นจนมองไม่เป็นรูปร่าง นอกจากสภาพรถที่แตกต่างกันโดยสิ้นเชิงแล้ว คนขับรถแต่ละคัน ก็มีสภาพที่ต่างกันโดยสิ้นเชิงเช่นกัน ชายวัยรุ่นที่ตะเกียกตะกายออกมา จากรถเก๋งนั้นมีเพียงแค่อาการบวมแดงที่หน้าผากเท่านั้น แรงกระแทก คงทำให้หน้าผากของเขาโขกกับพวงมาลัยขับรถ ผิดกับชายคนขับสามล้อ ที่ตอนนี้กระเด็นออกจากรถของตัวเองลงมานอนแน่นิ่งคว่ำหน้าอยู่กับ พื้นถนน “เฮ้ย! นอนนิง่ ขนาดนัน้ ตายรึเปล่าก็ไม่ร”ู้ วัยรุน่ คูก่ รณีมองดูคนเจ็บ ดวงฤทัยรัตติกาล 15


ที่เขาเป็นผู้กระทำด้วยอาการสั่นเทาไปทั้งร่าง อาการมึนเมาหลังจากดื่ม เหล้ามาอย่างหนักสร่างลงเล็กน้อยเมือ่ ต้องเผชิญกับเหตุการณ์ไม่คาดฝัน เขาทำอะไรไม่ถูกนอกจากหันซ้ายหันขวา มองดูว่ามีใครอยู่แถวนี้บ้าง “ดึกขนาดนี้ ไม่มีใครรู้ ไม่มีใครเห็น ไปดีกว่า” วัยรุ่นคนเดิมเห็นว่า ไม่มีใครเห็นเหตุการณ์ จึงคิดที่จะหลบหนีไป เขาไม่คิดแม้แต่จะเข้าไปดู อาการของผู้บาดเจ็บใกล้ๆ ไม่คิดแม้แต่จะติดต่อขอความช่วยเหลือแม้ เขาจะทำได้ ทิ้งให้ผู้บาดเจ็บนอนแน่นิ่งอยู่อย่างนั้นโดยไม่เหลียวแล เหตุการณ์ทั้งหมดนั้นถูกจ้องมองโดยหญิงสาวผู้มาจากภพอสูรซึ่ง แอบแฝงอยู่ในเงามืด รอยยิ้มจากริมฝีปากบางนั้นคลี่ออกมาด้วยความ สมเพชในจิตใจอันดำมืดของมนุษย์โลก เธอนึกย้อนไปถึงเรื่องราวอันน่า น้ อ ยเนื้ อ ต่ ำ ใจในชาติ พั น ธุ์ อ สู ร ที่ ว่ า อสู ร นั้ น เป็ น เผ่ า พั น ธุ์ ที่ จ ะสู ง กว่ า เดรัจฉานก็ไม่ใช่ จะต่ำกว่ามนุษย์ก็ไม่เชิง ทั้งที่แท้จริงแล้วอสูรก็สูงศักดิ์ ไม่ต่างจากเทพเทวดา ทว่า ในบางครั้งเหล่ามนุษย์นั้นกลับเข้าใจไปเอง ว่าพวกตนอยู่เหนืออสูร อีกทั้งยังรังเกียจอสูรราวกับเป็นอสุรกาย แล้วดู มนุษย์ผู้นี้กระทำตนเข้าสิ อย่างนี้จะว่าอสูรต่ำช้ากว่ามนุษย์ได้อย่างไรกัน รัตติกาลรอจนกระทั่งวัยรุ่นผู้นั้นหนีไปไกล เธอจึงตรงไปยังคนขับ รถสามล้อผู้โชคร้ายคนนั้น เขายังคงแน่นิ่งและนอนคว่ำหน้าลงกับพื้น ถนน รัตติกาลจัดการพลิกตัวของเขาให้นอนหงายขึ้น จึงได้รู้ว่าสัญญาณ ชีพของเขายังมีอยู่ ทว่าอ่อนมากเสียจนแลเห็นจุดสีทองที่ดวงตาที่สาม ตรงหว่างคิ้วค่อยๆ เปล่งประกายแสงสว่างไสวขึ้นเรื่อยๆ “ออกมาสิ ออกมา ดวงจิ ต เอ๋ ย ออกมาให้ ข้ า กลื น กิ น เสี ย ดี ๆ ” รัตติกาลจับจ้องดวงจิตนั้นที่สว่างโชติช่วงขึ้นเรื่อยๆ อย่างใจจดใจจ่อ ยิ่ ง เลื อ ดที่ ไ หลออกจากบาดแผลฉกรรจ์ ต รงต้ น แขนไหลออกมามาก เท่าไหร่ ลำแสงสีทองที่ตาที่สามก็สว่างไสวมากขึ้นเท่านั้น ใกล้เวลาเต็มที แล้วที่เธอจะได้ลิ้มรสดวงจิตที่ออกจากร่างใหม่ๆ เป็นครั้งแรก 16 พราวพุธ


อสูรสาวไม่อยากจะเชือ่ เลยว่าภารกิจของเธอจะง่ายดายถึงเพียงนี้ แค่อยู่เฉยๆ ก็มีมนุษย์ใกล้ตายมาอยู่ตรงหน้า แล้วอย่างนี้ภารกิจของ เธอจะไม่สำเร็จลุล่วงได้อย่างไร รัตติกาลไม่ลืมที่จะกวาดสายตามองไป ทั่ ว บริ เ วณเป็ นระยะๆ เพื่อให้แน่ใจว่าไม่มียมทูตตนไหนมาคอยแย่ง ดวงจิ ต กั บ เธอ ทุ ก อย่ า งต้ อ งกระทำการด้ ว ยความรวดเร็ ว ไม่ ต่ า งกั บ หัวขโมย เธอจะให้ยมทูตรู้ไม่ได้เด็ดขาดว่ามีอสูรอย่างเธอแอบแฝงกาย อยู่บนโลกมนุษย์ ไม่อย่างนั้นแล้วการวางกองกำลังพิทักษ์ดวงจิตจะ แน่นหนาเสียจนเธออาจจะเข้าใกล้ดวงวิญญาณพวกนี้ได้ยากขึ้น หรือถ้า โชคร้ายกว่านั้นเธออาจจะถูกจับไปจองจำยังนรกขุมใดขุมหนึ่งก็เป็นได้ เพราะฉะนั้น หากเพียงแค่ได้กลิ่นของยมทูต เธอก็จำเป็นจะต้องถอยห่าง จากมนุษย์โลกผู้ที่ดวงจิตกำลังจะหลุดลอยเสีย แล้วทำตัวให้กลมกลืน กับพวกมนุษย์ให้มากที่สุด เพียงเท่านี้ บรรดายมทูตก็แยกไม่ออกแล้ว ว่าเธอคืออสูรหรือเด็กสาวธรรมดาคนหนึ่งกันแน่เพราะท่านอสงไขยได้ มอบกลิ่นกายอันหอมกรุ่นเพื่ออำพรางกลิ่นสาบอสูรจากกายเธอเสียจน หมดสิ้นแล้ว ชายขั บ สามล้ อ เริ่ ม มี อ าการกระตุ ก ที่ ก ล้ า มเนื้ อ แสงสี ท องนั้ น สุกปลั่งเต็มที่และพร้อมที่จะหลุดออกมาจากตาที่สามได้ทุกเมื่อ อสูรสาว ไม่รอช้า เธอโน้มหน้าเข้าไปใกล้ๆ ชายคนนั้น แล้วอ้าปากค้างเอาไว้ใกล้ๆ ตรงหว่างคิ้วของเขา หากดวงจิตออกจากร่างเมื่อไหร่ มันจะต้องลอยมา เข้าปากของเธอได้อย่างพอดิบพอดี “ลอยขึ้นมาสิ ลอยขึ้นมาเข้าปากข้า” อสูรสาวยื่นหน้าอ้าปากค้าง อยู่อย่างนั้น ดวงจิตของชายขับรถสามล้ออันสุกสว่างที่ทำท่าจะหลุด ออกมาแล้วก็ผลุบกลับเข้าไปใหม่อยู่สองสามครั้ง นั่นคงเป็นการแข็งใจ เฮื อ กสุ ด ท้ า ยของเขา รั ต ติ ก าลหุ บ ปากลงพร้ อ มทั้ ง กวาดสายตามอง ร่างกายของชายคนนั้น จึงพบว่าที่คอของเขามีสายสร้อยคล้องล็อกเกต ดวงฤทัยรัตติกาล 17


รูปถ่ายบานเล็กๆ ของหญิงชราห้อยคอเอาไว้ ที่ด้านหลังของรูปมีผ้าชิ้น เล็กๆ ซึ่งรัตติกาลไม่รู้ว่ามีความสำคัญกับชายผู้นี้อย่างไร เธอไม่รู้เลยว่า แท้ จ ริ ง แล้ ว ผ้ า ชิ้ น เล็ ก นั้ น เป็ น ชิ้ น ส่ ว นของชายผ้ า นุ่ ง ที่ แ ม่ ข องชายขั บ สามล้ อ สวมในวั น ที่ ใ ห้ ก ำเนิ ด เขา เมื่ อ คนขั บ สามล้ อ ผู้ นี้ จ ากบ้ า นเกิ ด เมืองนอนมาทำมาหากินในกรุงเทพฯ แม่ของเขาก็ได้มอบผ้าจากชาย ผ้านุ่งผืนนั้นไว้เป็นเครื่องรางของขลังเพื่อให้เขาแคล้วคลาดปลอดภัย จากอั น ตราย สิ่ ง นี้ ก ระมั ง ที่ ท ำให้ จิ ต ใต้ ส ำนึ ก ที่ ก ำลั ง จะปลิ ด ปลิ ว นั้ น นึกถึงแต่คนที่อยู่ในภาพถ่าย ดวงจิตจึงยังคงถูกตรึงอยู่อย่างนั้น ไม่ยอม หลุดลอยไปไหนเสียที “ปั ด โธ่ ! ไอ้ ม นุ ษ ย์ ห น้ า โง่ เหตุ ใ ดจึ ง ยอมทรมานอยู่ อ ย่ า งนี้ เ ล่ า ตายๆ ไปซะ ตายไปเสียทีสิ” อสูรสาวตวาดผู้บาดเจ็บสาหัสด้วยอารมณ์ ที่ขุ่นมัว แม้เธอจะเป็นอสูรผู้ซึ่งต้องการดวงจิตของผู้ตายมากสักเท่าไร แต่เธอก็ต้องรอให้คนผู้นั้นตายเองโดยที่ไม่สามารถฆ่าใครได้ เพราะหาก เธอทำ ทัง้ สวรรคภูมแิ ละนรกภูมกิ จ็ ะรูท้ นั ทีวา่ มีอสูรแฝงกายเข้ามายังโลก มนุษย์และตัดกรรมของมนุษย์โลกไปก่อนเวลาที่สมควรจะตาย เธอจะ จัดการกับดวงวิญญาณได้ก็ต่อเมื่อหมดบุญแล้วจริงๆ เท่านั้น รัตติกาล จำเป็นต้องรอต่อไป รอว่าเมื่อไหร่เลือดที่ไหลออกมาจากบาดแผลของ ผู้บาดเจ็บผู้นี้จะเหือดแห้งจนหมดกาย เขาก็คงจะสิ้นใจไปเอง การรอคอยของรัตติกาลนั้นกำลังจะสิ้นสุดลงเมื่อดวงจิตของคน ขับสามล้อกลับมาสุกสกาวเต็มที่อีกครั้ง รัตติกาลยื่นหน้าเข้าไปใกล้แล้ว อ้าปากรอกลืนกินดวงจิตของมนุษย์ดวงแรกอย่างไม่ยอมย่อท้อ...

18 พราวพุธ


ภาพตะวัน

“ญาติ หลบไปก่อนนะครับ ขอทางให้เจ้าหน้าที่ได้ทำงาน ได้อย่างสะดวกหน่อย” เสียงทุ้มของชายหนุ่มดังมาจากด้านหลังของ อสูรสาว ดวงจิตที่กำลังจะล่องลอยออกจากตาที่สามนั้น กำลังนูนขึ้นมา เป็นรูปครึ่งวงกลมแล้วแท้ๆ แต่แล้วมือหนาก็มาจับที่หัวไหล่ทั้งสองของ เธอแล้วออกแรงประคองให้หลีกไปอีกทางเพื่อให้เขาวางเปลกู้ชีพ และ อุปกรณ์ปฐมพยาบาลได้สะดวกขึ้น ชายหนุ่มในเครื่องแบบเสื้อชอป สี น้ ำ ตาลปั ก ตราสั ญ ลั ก ษณ์ เ ต็ ม แขนนั้ น ไม่ ไ ด้ ส นใจดวงตาที่ โ ชนแสง สี เ หลื อ งอำพั นของอสูรสาวแม้แต่น้อย เพราะเขาเอาแต่จับจ้องและ ประเมินอาการบาดเจ็บของผู้บาดเจ็บตรงหน้า “ผมภาพตะวัน กู้ภัยจากมูลนิธิเพื่อนมนุษย์ แจ้งเหตุพบผู้บาดเจ็บ แถวๆ แยกไฟแดงข้างวัดพระแก้วครับ ผู้บาดเจ็บเสียเลือดมาก ผม ปฐมพยาบาลเบื้องต้นด้วยการห้ามเลือดแล้ว ผมอยู่คนเดียวกับญาติ ผู้บาดเจ็บอีกหนึ่งคนซึ่งเป็นผู้หญิง ขอกำลังเสริมในการเคลื่อนย้ายผู้ป่วย หน่อยครับ” รัตติกาลจับจ้องชายผู้มาใหม่ทุกอากัปกิริยา เขาผู้นี้พูดคุยกับวัตถุ ทรงสี่เหลี่ยมที่เวลาพูดต้องกดปุ่มที่อยู่ด้านข้าง ไม่นานก็มีเสียงตอบรับ ดวงฤทัยรัตติกาล 19


ออกจากวัตถุทรงสี่เหลี่ยมนั้น “รับทราบ จะรีบส่งรถพยาบาลไปให้ถึงที่หมายโดยเร็วที่สุด” รัตติกาลมองชายผู้นั้นสลับกับดวงจิตที่ขณะนี้จวนเจียนจะหลุด ออกมาจากตาที่สามเข้าไปทุกที ชายหนุ่มกดผ้าสะอาดที่เตรียมมาตรง บริเวณปากแผลเพือ่ ห้ามเลือดและพยายามไม่เคลือ่ นย้ายผูไ้ ด้รบั บาดเจ็บ เพราะไม่แน่ใจว่าจะมีกระดูกส่วนไหนหักบ้าง เมื่อเลือดที่ไหลออกจาก บาดแผลน้อยลง ดวงจิตทีป่ ดู ออกมาเป็นรูปทรงก็ผลุบกลับเข้าไปจนเหลือ เพียงแสงสีทองสว่างจ้าที่ดวงตาที่สามดังเดิม “นั่นเจ้าจะทำอะไร หยุดเดี๋ยวนี้นะ” อสูรสาวตรงเข้าไปรั้งมือของ ชายหนุ่มที่เปลี่ยนผ้าก๊อซห้ามเลือดผืนเดิมที่เปียกเลือดชุ่มเป็นผืนใหม่ ให้คนเจ็บ และทันทีที่เขาถูกหญิงสาวเข้ามาดึงรั้งแขน เขาก็หันมาพูดกับ เธออย่างใจเย็นว่า... “ใจเย็นๆ นะครับน้อง ตอนนีพ้ กี่ ำลังปฐมพยาบาลให้ญาติของน้อง อยู่ พี่แค่ห้ามเลือด ไม่ทำให้เขาเจ็บหรอกครับ” ภาพตะวันเห็นหญิงสาว มีใบหน้าที่ยังอ่อนเยาว์จึงคิดว่าเธอน่าจะอายุน้อยกว่าเขา เลยเรียกแทน รัตติกาลว่าน้อง แล้วเรียกแทนตัวเองว่าพี่ จากประสบการณ์ในการเป็น อาสาสมั ค รกู้ ภั ย ของเขานั้ น หล่ อ หลอมเขาให้ รั บ มื อ กั บ สถานการณ์ ตึงเครียดขณะกู้ชีพผู้บาดเจ็บ อีกทั้งยังต้องคอยรับมือกับสภาพจิตใจ ของญาติทหี่ ว่ งใยในอาการบาดเจ็บของคนทีต่ วั เองรัก เขาจึงต้องทำใจให้ เย็นให้มากเท่าที่จะมากได้ ทว่า คำพูดที่ทั้งอ่อนโยนและสุภาพ อีกทั้ง ดวงตาสุกใสที่พยายามแสดงออกถึงความจริงใจของกู้ภัยหนุ่มนั้นไม่ได้ ทำให้รัตติกาลมีสีหน้าและท่าทางที่ดีขึ้นเลย “แต่มนุษย์ผู้นี้กำลังจะตายอยู่แล้วนะ” อสูรสาวพูดด้วยอารมณ์ ขุ่นมัว เธอเฝ้ารอให้ดวงจิตดวงนี้ออกจากร่างมาครู่ใหญ่ จนเกือบจะจับ ดวงจิตดวงนี้กลืนกินได้อยู่แล้วเชียว แต่ชายผู้นี้กลับโผล่มาขัดขวาง 20 พราวพุธ


เสียนี่ “พี่ รู้ แ ล้ วครับ พี่จะพยายามช่วยชีวิตเขาให้เต็มความสามารถ ไม่ปล่อยให้เขาตายหรอกครับ น้องไม่ต้องห่วง หน้าที่ของพี่คือกู้ชีพ ทำ อย่างไรก็ได้เพื่อรักษาชีวิตของเขาให้กลับไปหาคนที่เขารักโดยปลอดภัย ที่สุด” ภาพตะวันตอบหญิงสาว แม้จะรู้สึกแปลกใจกับคำพูดคำจาที่ฟัง ดูแปลกประหลาดของเธอ แต่เขาก็มิอาจจะละความสนใจจากผู้บาดเจ็บ ไปได้ อสูรสาวจ้องมองชายหนุ่มอย่างไม่วางตา เขาผู้นี้มีผิวกายขาว อมเหลือง แม้ไม่ได้มีผิวสีแดงฉานเหมือนดั่งผู้ที่เธอต้องคอยระวัง ทว่า รูปร่างของเขาผู้นี้ก็ดูสูงใหญ่ดูน่าเกรงขาม พาให้เกิดความหวาดระแวง ขึ้นมามากมายเสียจนเธอมิอาจจะนิ่งเฉยได้ “หรือว่า...” รัตติกาลไม่รอช้า เธอยื่นหน้าเข้าไปใกล้ชายหนุ่มที่ ตอนนี้กำลังปฐมพยาบาลผู้บาดเจ็บอย่างตั้งอกตั้งใจ เธอเริ่มต้นทำจมูก ฟุดฟิดเพื่อสูดดมกลิ่นของชายหนุ่มใกล้ๆ เพื่อพิสูจน์ว่าเขาคือยมทูต หรือไม่ “เฮ้อ! ไม่มีกลิ่นยมทูต แสดงว่ามนุษย์ผู้นี้เป็นมนุษย์ธรรมดา” อสูร สาวพึมพำออกมาพลางถอนหายใจด้วยความโล่งอก ชายหนุ่มเห็นอย่าง นั้นแล้วก็อดที่จะหัวเราะออกมาไม่ได้ “หัวเราะอะไร!” น้ำเสียงตวาดนัน้ ทำให้ภาพตะวันต้องหยุดหัวเราะ ในทั น ที ทั น ใด ในสถานการณ์อย่างนี้ แม้ญาติของคนเจ็บจะดูเพี้ยน ขนาดไหนเขาก็ไม่ควรจะหัวเราะออกมา “เอ่อ...พี่ขอโทษครับ” หนุ่มกู้ภัยเอ่ยคำขอโทษด้วยความรู้สึกผิด จากใจจริงแล้วหันไปปฐมพยาบาลคนเจ็บต่อ ตอนนี้เลือดที่ออกจาก บาดแผลไหลช้าลงแล้ว กู้ภัยหนุ่มจึงหันไปคลายเข็มขัดที่รัดแน่นอยู่ตรง เอวให้กับคนเจ็บเพื่อให้เขาได้หายใจสะดวกขึ้น ดวงฤทัยรัตติกาล 21


หลังจากนั้นอีกไม่นาน รถพยาบาลของโรงพยาบาลที่ใกล้ที่สุดก็ มาถึง ภายในรถมีอุปกรณ์กู้ชีพครบครัน แต่สิ่งแรกที่พยาบาลประจำรถ ฉุกเฉินนำมาใช้กับผู้บาดเจ็บคือหน้ากากช่วยหายใจ บุรุษพยาบาลที่ติด รถมาด้วยนั้นช่วยภาพตะวันเคลื่อนย้ายผู้ป่วยขึ้นรถฉุกเฉินด้วยความ ระมัดระวัง พวกเขาทำกันอย่างเป็นขั้นเป็นตอนเพราะถูกฝึกอบรมมา เป็นอย่างดี ภาพตะวันรอจนกระทั่งรถพยาบาลขับออกไปจากจุดเกิดเหตุ รอจนตำรวจมาเคลียร์พื้นที่และเก็บซากรถออกจากท้องถนนแล้วจึงเดิน กลับไปที่รถของตัวเองที่จอดอยู่ไม่ไกลนัก และทันทีที่จะเปิดประตูรถ ชายหนุ่มก็ตกใจจนสะดุ้งเมื่อเห็นเงาสะท้อนของคนที่เดินตามหลังมา “อ้าวน้อง! พี่คิดว่าน้องตามญาติไปกับรถพยาบาลแล้วเสียอีก” ภาพตะวันหันมาพูดกับคนที่เขาคิดว่าเป็นญาติผู้บาดเจ็บที่ตอนนี้มีท่าที เงอะๆ งะๆ เหลือเกิน “เอ่อ...ข้า...ข้าไม่รู้...ไม่รู้อะไรทั้งนั้น” รัตติกาลพยายามพูดว่าเธอ ไม่รู้แม้กระทั่งว่ารถคืออะไรและเธอสามารถติดตามชายใกล้ตายผู้นั้น ไปได้ ถ้ารู้เธอคงจะตามชายคนนั้นไปแล้ว เพราะแสงสีทองตรงตาที่สาม ยังคงสว่างวาบอยู่ ซึ่งนั่นหมายถึงดวงจิตที่พร้อมจะหลุดออกจากร่าง ได้ทุกเมื่อ ภาพตะวันมองหญิงสาวที่อยู่ตรงหน้าด้วยความเวทนา เธอคง ตื่ น ตระหนกจนทำอะไรไม่ ถู ก เพราะเห็ น ญาติ ป ระสบอุ บั ติ เ หตุ ห นั ก ชายหนุ่ ม เห็ น อย่ า งนั้ น แล้ ว จึ ง คิ ด อยากจะช่ ว ยเหลื อ เธอให้ ถึ ง ที่ สุ ด จึ ง ออกปากแสดงความช่วยเหลือกับเธอว่า “เป็นห่วงญาติใช่ไหมครับ ถ้าอย่างนั้นไปรถพี่ เดี๋ยวพี่พาไปส่ง ที่ โ รงพยาบาลให้ ก็ ไ ด้ ” ภาพตะวั น พู ด จบก็ เ ปิ ด ประตู ร ถให้ ห ญิ ง สาว รัตติกาลเกิดอาการลังเล เธอไม่รู้ว่าสิ่งที่ชายหนุ่มเรียกว่ารถนั้นมีไว้ทำ อะไร จนกระทั่งภาพตะวันบอกให้เธอเข้าไปนั่ง รัตติกาลจึงมุดเข้าไปนั่ง 22 พราวพุธ


อยู่บนเบาะรถยนต์ในท่าขัดสมาธิ “นั่งท่านั้นเลยเหรอ” เจ้าของรถพึมพำก่อนที่จะเดินอ้อมไปนั่ง ประจำที่นั่งคนขับ รัตติกาลเมื่อเข้ามาอยู่ในสิ่งที่ชายหนุ่มเรียกว่ารถแล้ว ก็ทำอะไรไม่ถูก เธอเอาแต่นั่งนิ่งๆ ไม่ยอมขยับตัวจนชายหนุ่มต้องหันไป พูดกับเธอ “น้องคาดเข็มขัดนิรภัยด้วยสิครับ ในรถเจ้าหน้าที่กู้ภัย ทุกอย่าง ต้องปลอดภัยไว้ก่อน” ชายหนุ่มพูดติดตลก แต่ดูเหมือนหญิงสาวจะไม่ ตลกด้วยเพราะรัตติกาลเอาแต่นิ่งเฉย ดวงตาคู่สวยมองตรงไปเบื้องหน้า อย่างใจจดใจจ่อที่จะตามไปกลืนกินดวงจิตดวงนั้นให้สำเร็จให้ได้ “เอ่อ...ขอโทษนะครับ น้องช่วยคาดเข็มขัดนิรภัยเหมือนอย่างที่พี่ คาดได้ไหมครับ” ภาพตะวันสะกิดเรียกหญิงสาวให้หนั มาพลางปลดเข็มขัด นิรภัยของตัวเองออกแล้วทำท่าสาธิตการคาดให้หญิงสาวดู แต่รัตติกาล ก็ยังไม่รู้ว่าจะจัดการกับสายระโยงระยางข้างตัวนั้นอย่างไร เจ้าของรถ หนุ่มจึงต้องเอื้อมมือไปดึงสายเข็มขัดนิรภัยของคนที่นั่งเบาะข้างๆ มา กดสลักล็อกสายเข็มขัดพร้อมทั้งดึงปรับไม่ให้สายเข็มขัดตึงหรือหย่อน จนเกินไป ช่วงจังหวะที่ชายหนุ่มเอื้อมมือเพื่อจัดการกับเข็มขัดนิรภัยให้ หญิงสาวนั้น เขาก็ได้กลิ่นหอมประหลาดราวกับกลิ่นไม้หอมออกมาจาก คนที่นั่งขัดสมาธิอยู่ข้างๆ ตอนนี้ ‘น้องใช้น้ำหอมอะไร ทำไมกลิ่นโบราณจัง แต่...ก็หอมดี’ ชายหนุ่ม คิดในใจพร้อมทั้งมองหญิงสาวที่เขาชวนขึ้นรถอย่างเต็มตาเป็นครั้งแรก เธอผู้นี้มีผิวขาวผุดผ่อง ดวงหน้าแม้จะมองจากด้านข้างแต่ก็งดงามชวน มองจนชายหนุ่มเผลอจับจ้องมองค้าง ดวงตาที่ประดับด้วยแพขนตา งอนงามที่เอาแต่เพ่งมองไปข้างหน้าบัดนี้หันกลับมาจ้องหน้าชายหนุ่ม ภาพตะวันเห็นอย่างนั้นจึงรู้สึกตัวว่าจ้องมองหญิงสาวนานเกินไปจนเสีย มารยาท เขาทำอะไรไม่ถูกนอกจากทำทีเป็นกระแอมไอก่อนที่จะเคลื่อน ดวงฤทัยรัตติกาล 23


รถออกจากที่เกิดเหตุเพื่อมุ่งหน้าไปยังโรงพยาบาล รถกระบะสี่ประตูที่มีสัญลักษณ์ของมูลนิธิที่ภาพตะวันเป็น อาสาสมัครกู้ภัยแล่นมาถึงที่โรงพยาบาล กว่าพวกเขาจะมาถึง ชายขับ สามล้อผู้ซึ่งได้รับบาดเจ็บก็ถูกนำตัวเข้าไปในห้องฉุกเฉินได้สักระยะแล้ว ภาพตะวันเดินตรงเข้าไปติดต่อกับเจ้าหน้าทีเ่ พือ่ แสดงตัวว่าเขาเป็นอาสา สมัครกู้ภัยที่พบเห็นและให้การช่วยเหลือชายขับสามล้อผู้นี้เป็นคนแรก พร้อมทั้งถามไถ่อาการของผู้บาดเจ็บของเขา “ตอนนี้คนเจ็บเป็นยังไงบ้างครับ” “ไม่รู้สึกตัวมาตลอดทางครับ ไม่รู้ว่าจะรอดหรือเปล่า คุณเป็น ญาติของเขาหรือเปล่าครับ” เจ้าหน้าที่ผู้นั้นถามชายหนุ่มกลับ “ผมไม่ได้เป็นญาติของเขาหรอกครับ ผมเป็นเจ้าหน้าที่กู้ภัยที่ บังเอิญผ่านมาเห็นว่าเขากำลังได้รับบาดเจ็บพอดีน่ะครับ” “อ่ อ แล้ ว คุ ณ โทรแจ้ ง ญาติ ข องผู้ บ าดเจ็ บ หรื อ ยั ง ” เจ้ า หน้ า ที่ คนเดิมถาม “เอ่อ...ผมไม่ได้โทรแจ้งหรอกครับ ก็เพราะว่าญาติของเขาอยูต่ รง... อ้าว!” ภาพตะวันหันมาอีกที หญิงสาวที่เขาพามาด้วยนั้นก็ไม่รู้ว่าเดิน หายไปไหน เขากวาดสายตามองไปรอบๆ จึงเห็นหญิงสาวผู้นั้นเดินเข้า ไปทางห้องผู้ป่วยวิกฤติ ภาพตะวันจึงต้องรีบเดินตามเธอไป “น้องครับน้อง เดีย๋ วก่อนอย่าไปทางนัน้ น้องต้องมาให้ขอ้ มูลผูป้ ว่ ย ตรงนี้ก่อนครับน้อง!” รัตติกาลแทบจะไม่อยากจะเชื่อเลยว่าสถานที่แห่งนี้จะเป็น สถานที่รวบรวมผู้คนที่มีแสงสว่างสีทองที่ตาที่สามได้มากมายถึงเพียงนี้ บางคนสว่างมาก บางคนสว่างน้อย คนที่มีอะไรบางอย่างครอบไว้ที่ปาก 24 พราวพุธ


นัน้ ดูเหมือนจะมีแสงทีต่ าทีส่ ามสุกสกาวมากทีส่ ดุ เห็นอย่างนีแ้ ล้ว รัตติกาล ก็ได้แต่เลียริมฝีปากแผล็บๆ ด้วยความดีอกดีใจ “ภารกิจขโมยดวงจิตนั้นง่ายแสนง่าย เพียงแค่ข้ามาที่นี่ ข้าก็จะได้ กลืนกินดวงจิตได้อย่างไม่จำกัดแล้ว” อสูรสาวกวาดสายตามองดวงจิต ของมนุษย์ใกล้ตายไปรอบๆ ห้องแล้วก็ได้แต่แปลกใจว่าอสูรทายาท ตนอื่นที่เคยถูกส่งมาทำหน้าที่ก่อนหน้าเธอ เหตุใดจึงทำภารกิจไม่สำเร็จ ทั้งๆ ที่มีดวงจิตมากมายที่พร้อมที่จะหลุดลอยให้ได้จับกลืนกินรออยู่ที่นี่ อสูรสาวไม่รอให้เวลานั้นสูญเปล่า เธอเดินตรงไปยังเตียงของผู้ป่วยชาย ผู้หนึ่งที่มีอุปกรณ์ครอบที่ปาก อีกทั้งยังมีวัตถุรูปร่างประหลาดที่มีเสียง ร้องดังปี๊บๆ เป็นจังหวะตั้งอยู่ข้างเตียงที่เขานอน เสียงสัญญาณจาก เครื่องมือประหลาดนั้นดังด้วยจังหวะที่ช้าลงเรื่อยๆ “ญาติต้องทำใจนะครับ ความดันของผู้ป่วยลดลงเรื่อยๆ จนน่า เป็นห่วง” ชายผู้ซึ่งสวมเสื้อคลุมตัวยาวสีขาวพูดด้วยน้ำเสียงเรียบกับ กลุ่มคนสามสี่คนที่ยืนรายล้อมเตียงของชายคนนั้น หนึ่งในคนที่ยืนอยู่ ตรงนั้นร้องไห้โฮ ซึ่งรัตติกาลหาได้สนใจไม่ เธอเอาแต่จับจ้องดวงจิตที่ กำลังจะหลุดลอยนั้นอย่างใจจดใจจ่อ ดวงจิตของคนที่ใกล้ตายเท่านั้น ที่เธอสนใจ “เอ๊ะ! กลิ่นนี้นี่มัน…” รัตติกาลยังไม่ทันได้เข้าใกล้เตียงผู้ป่วย รายนั้นด้วยซ้ำ เธอก็ได้กลิ่นที่เธอต้องพึงระวังโชยมาเตะจมูกของเธอเข้า จนได้ “ตายละ ยมทูต...ยมทูตเต็มไปหมดเลย” หญิงสาวพึมพำออกมา ด้วยความตื่นตระหนกเมื่อแลเห็นยมทูตที่มีร่างกายเป็นสีแดงฉาน ยืน ประจำการรอท่าผู้ป่วยที่นอนอยู่บนเตียงคนไข้ที่มีอาการหนักผู้นั้น และ ไม่ใช่ยมทูตแค่ตนเดียวเสียด้วย ทีน่ มี่ ดี วงจิตมากมายทีพ่ ร้อมจะหลุดลอย ก็จริง แต่ยมทูตเองก็คงจะรู้ข้อมูลนี้ จึงได้มีการส่งกำลังพลมาประจำการ ดวงฤทัยรัตติกาล 25


เต็มไปหมดราวกับเป็นฐานบังคับการเช่นนี้ “ไม่ได้การละ ถอยก่อนดีกว่า” รัตติกาลตัดสินใจรีบออกจากห้อง ซึ่งเป็นเวลาเดียวกันกับที่ภาพตะวันตามมาพบเธอพอดี “อ้อ...อยู่ที่นี่เอง ไปครับ ไปให้ข้อมูลเรื่องญาติของน้องที่ประสบ อุบัติเหตุกับเจ้าหน้าที่หน่อย” ชายหนุ่มไม่พูดเปล่า เขายังคว้าข้อมือ เรียวเล็กของหญิงสาวมาจับเอาไว้ แล้วจูงให้เดินไปพร้อมกันๆ เพราะไม่ เช่นนั้นแล้วหญิงสาวผู้นี้ก็อาจจะเดินหายไปอีกครั้งก็ได้ “เอ่อ...ข้า...ไม่รู้อะไรเกี่ยวกับชายคนนั้นเลย” รัตติกาลตัดสินใจ บอกกับชายหนุ่มไปตามตรง “อ้าว! น้องไม่ใช่ญาติของเขาเหรอครับ แล้วทำไมไม่บอกพี่ตั้งแต่ แรก” “มะ...ไม่รู้จะพูดยังไง” หญิงสาวพูดเสียงตะกุกตะกักเพราะไม่รู้ จะตอบยังไง แม้ชายผู้นี้จะไม่ใช่ยมทูต แต่เธอก็จะให้เขารู้ไม่ได้ว่าเธอคือ อสูร บอกไม่ได้ว่าที่เธอยอมให้เขาพามาสถานที่ที่เธอได้ยินชายหนุ่มผู้นี้ เรียกว่าโรงพยาบาลก็เพราะว่าอยากจะตามมากลืนกินดวงจิตของมนุษย์ ผู้นั้น ภาพตะวันเองก็ได้แต่พิศวงงงงวยกับหญิงสาวที่ยืนอยู่ตรงหน้า เธอพูดน้อย พูดแปลก และที่สำคัญ พูดไม่รู้เรื่อง เขาไม่แปลกใจเลยที่ ผู้หญิงคนนี้ไม่อยู่รอฟังอาการของผู้บาดเจ็บที่หน้าห้องฉุกเฉิน แต่กลับ เดินเพ่นพ่านมาจนถึงห้องผู้ป่วยหนักแบบนี้ ที่แท้ก็เพราะว่าเธอไม่ใช่ ญาติของเขานั่นเอง “ถ้าอย่างนั้นก็กลับบ้านไปเถอะครับ พี่ขอโทษด้วยที่ลากน้องมา ที่นี่โดยที่ไม่ได้ถามไถ่ให้รู้เรื่องก่อน” ชายหนุ่มพูดกับหญิงสาว อันที่จริง เรื่องนี้เขาผิดเต็มๆ เพราะคิดเองเออเองตั้งแต่แรก “บ้านเหรอ ไม่มี...ข้าไม่มีบ้าน” รัตติกาลตอบไปตามความจริง เธอไม่มีบ้านที่โลกมนุษย์ เพราะบ้านของเธออยู่ที่ภพอสูรต่างหาก 26 พราวพุธ


“เอาแล้วไง จำบ้านตัวเองไม่ได้อีกต่างหาก” ภาพตะวันเริ่มคิดว่า ผู้หญิงคนนี้คงจะหลงทางมาประกอบกับมีปัญหาความจำเสื่อมจนจำ ทางกลับบ้านไม่ได้ ชายหนุ่มกวาดสายตามองชุดที่เธอสวมซึ่งเป็นชุดที่ ถักทอด้วยเส้นใยคล้ายผ้าฝ้ายสีขาว เป็นชุดที่ดูแปลกตามากในความคิด ของภาพตะวันเนื่องด้วยชุดทั้งชุดนั้นไม่มีรอยต่อ ไม่มีตะเข็บ ไม่มีซิปจน ชายหนุ่มได้แต่สงสัยว่าผู้หญิงคนนี้สวมชุดนี้ด้วยวิธีใด ชุดทั้งชุดราวกับ เกิดมาจากเส้นใยเพียงเส้นเดียวถักทอเกีย่ วพันจนเกิดเป็นชุดกางเกงขาสัน้ แค่เข่าติดกับตัวเสือ้ แขนกุดเผยให้เห็นผิวขาวนวลผุดผ่อง เส้นใยทีว่ า่ เมือ่ มองใกล้ๆ แล้วคล้ายกับการเรียงตัวของเส้นรังไหม ปกคลุมร่างอรชรแบบ เข้ารูปเน้นสัดส่วนอีกทั้งรูปร่างหน้าตาของเธอนั้นก็จัดได้ว่าสวยสะดุดตา หากปล่อยให้เธอตะลอนๆ ไปกลางดึกแบบนี้ คงไม่ปลอดภัยแน่ “แล้วคืนนี้ น้องจะไปนอนที่ไหนล่ะครับ บอกพี่ได้นะ เดี๋ยวพี่ไปส่ง” ภาพตะวันถามเผื่อว่าหญิงสาวจะพอมีสถานที่ที่อาจจะไม่ใช่บ้าน แต่ก็ สามารถไปพักอาศัยได้ “บนต้นไม้” รัตติกาลตอบไปตามที่คิด เธอเกิดจากต้นไม้ จะให้ไป นอนที่ไหนได้อีกนอกจากบนต้นไม้ “บนต้นไม้เนี่ยนะ!” ภาพตะวันทวนคำด้วยน้ำเสียงประหลาดใจ ผู้หญิงคนนี้พูดจาแปลกประหลาดอย่างน่าเหลือเชื่อ เธอคงไม่ใช่แค่ ความจำเสื่อมแต่คงจะมีปัญหาสมองเลอะเลือนด้วย “เอาอย่างนี้ได้ไหม คืนนี้ไปพักที่บ้านของพี่ก่อน” ภาพตะวันพูด เพียงเท่านี้ รัตติกาลก็คอ่ ยๆ หันมามองหน้าชายหนุม่ และจับจ้องทีใ่ บหน้า ของเขาอย่างใช้ความคิด ภาพตะวันเห็นอย่างนั้นแล้วจึงต้องรีบออกตัว “อย่าเพิ่งเข้าใจผิดนะครับ คือว่าพี่ต้องการจะช่วยเหลือน้องด้วย ความบริสุทธิ์ใจ พี่สาบานได้ ที่บ้านพี่มีคนอื่นอยู่ด้วยน้องไม่ต้องเป็น ห่วง พรุ่งนี้เช้าพี่จะพาน้องไปสถานีตำรวจให้เขาช่วยตามหาญาติให้” ดวงฤทัยรัตติกาล 27


ภาพตะวันอธิบาย เขาคงไม่รวู้ า่ ทีร่ ตั ติกาลจ้องหน้าเขานิง่ นัน้ เป็นเพราะว่า เธอกำลังคิดว่าเหตุใดมนุษย์ผู้นี้ถึงได้คอยติดตามถามไถ่แต่เรื่องของเธอ เหตุใดไม่ไปเสียให้พ้นๆ เพราะเธอกับเขาไม่ได้มีส่วนเกี่ยวข้องกันเลย “ญาติเหรอ ไม่มี...ข้าไม่มีญาติ” รัตติกาลยังคงพูดแบบเดิม “เวรกรรม!” ชายหนุ่มสบถออกมาตามความเคยชิน “รูจ้ กั ข้ารูจ้ กั เวรกรรม” รัตติกาลพูดขึน้ เพราะเธอเคยได้ยนิ อสงไขย พูดถึงเรือ่ งเวรกรรมทีท่ ำให้มนุษย์กลับมาเวียนว่ายตายเกิดอยูเ่ ป็นประจำ ด้วยเหตุแห่งเวรกรรมนี้เองจึงทำให้เธอถูกส่งมาดักจับดวงจิตมนุษย์ใน เวลานี้ “โธ่เอ๊ย! ไอ้เรื่องเวรกรรมมันไม่ได้ช่วยให้พี่ตามหาญาติของน้อง ได้เลยนะ ว่าแต่ น้องชื่ออะไรล่ะ” “ข้าชื่อ...รัตติกาล” อสูรสาวตอบชายหนุ่มเสียงฉะฉาน “เอาละ อย่างน้อยก็จำชื่อตัวเองได้” ภาพตะวันพูดออกมาอย่าง ไม่ค่อยจะโล่งใจนัก เพราะแค่ชื่อเพียงอย่างเดียวเขาจะตามหาญาติของ ผู้หญิงคนนี้เจอได้อย่างไร “พี่ชื่อภาพตะวันนะ เรียกว่าพี่ตะวัน เฉยๆ ก็ได้” ชายหนุ่มแนะนำ ชื่อของตัวเอง “ภาพตะวันนะ...เรียกตะวันเฉยๆ ก็ได้” อสูรสาวพูดตามทีช่ ายหนุม่ พูด “ไม่ใช่ พีห่ มายถึง ให้นอ้ งเรียกว่าพีต่ ะวัน เพราะมันสัน้ กว่า เหมือน กับพี่ ที่ต่อจากนี้จะเรียกน้องว่ารัต โอเคไหม” “รัต” รัตติกาลทวนชื่อของตัวเองที่ฟังดูสั้นกะทัดรัดดีเหลือเกิน ริมฝีปากที่คลี่ยิ้มออกมานั้นทำให้ชายหนุ่มคาดเดาเอาเองว่าเธอตอบ ตกลงเขาทัง้ เรื่องที่จะไปพักที่บ้านของเขาคืนนี้และเรื่องชื่อเล่นที่เขาตั้งให้ ภาพตะวันเดินนำหญิงสาวมายังรถที่จอดอยู่ที่ลานจอด เขาเปิดประตูให้ 28 พราวพุธ


กับหญิงสาว รอจนเธอเข้าไปนั่งในท่าขัดสมาธิเหมือนเดิมแล้วจึงปิด ประตูให้ “ทำอย่างกับเทกแคร์แฟน” ชายหนุ่มพึมพำพลางหัวเราะตัวเอง เบาๆ เพราะไม่เคยมีผหู้ ญิงคนไหนทีเ่ ขาให้ความดูแลมากขนาดนีม้ าก่อน แม้ว่าภาพตะวันนั้นจะเป็นชายหนุ่มที่รูปร่างหน้าตาดี แต่ด้วยรถที่เขาขับ นั้นเป็นรถคันเดียวกันกับที่ใช้ในงานกู้ภัย จึงไม่มีสาวคนไหนกล้ามานั่ง เคียงข้างเขา จะมีกแ็ ต่ผหู้ ญิงสุดเพีย้ นในชุดแต่งกายแปลกประหลาดคนนี้ เป็นคนแรก “จะพาข้าไปไหน” หญิงสาวถามน้ำเสียงห้วน “ก็ไปบ้านพี่ไงครับ บ้านพี่อยู่แถวๆ พุทธมณฑลน่ะ ไม่ต้องกลัวนะ พี่ไม่ทำอะไรรัตหรอก” “มีมนุษย์ใกล้ตายไหม” อสูรสาวถาม “โธ่ ที่แท้ก็กลัวผี ไม่ต้องกลัวหรอกครับ รถคันนี้ถึงแม้จะขนศพมา นักต่อนักแล้วก็จริง แต่ไม่มผี หี รือดวงวิญญาณตามมาหลอกมาหลอนแน่ พีร่ บั รองได้” ชายหนุม่ ตอบด้วยความมัน่ ใจเพราะเขาไม่เคยเห็นหรือสัมผัส ว่ามีดวงวิญญาณติดตามเขามาก่อน “ทำไมรถคันนี้ขนศพ” คราวนี้รัตติกาลหันมาคุยกับชายหนุ่มด้วย ความสนอกสนใจเป็นพิเศษ “อ้าว ก็พี่เป็นอาสาสมัครกู้ภัยนี่ครับ แต่ละที่ที่พี่ไปก็จะไปเจอ ผูป้ ระสบเหตุทงั้ นัน้ ช่วยทันก็ดไี ป ถ้าช่วยไม่ทนั ก็สนิ้ ใจอยูใ่ นรถพีน่ แี่ หละ” กู้ภัยหนุ่มอธิบายให้หญิงสาวที่ชวนเขาคุยเรื่องศพได้ออกรสออกชาติขึ้น เรื่อยๆ เพราะเห็นได้ชัดว่าเธอไม่ได้กลัวผี “สิ้นใจในรถรึ” รัตติกาลทวนคำด้วยแววตาเป็นประกาย “ใช่ สิ้นใจในรถ หรือบางทีไปถึงก็สิ้นใจพอดียังไม่ทันได้ช่วยอะไร หรือบางทีกต็ ายมานานแล้วก็รอให้ตำรวจชันสูตรศพเสร็จโน่นแหละถึงจะ ดวงฤทัยรัตติกาล 29


ได้เคลื่อนย้ายศพ” ชายหนุ่มอธิบายไปเรื่อยๆ “ขอข้าไปด้วยทุกที่ได้ไหม” อสูรสาวเอ่ยปากบอกชายหนุ่ม หล่อน คิดขึน้ มาได้วา่ การทีต่ ดิ ตามชายคนนีไ้ ปจะทำให้มโี อกาสได้พบกับดวงจิต ที่กำลังออกจากร่างโดยที่ไม่ต้องเดินเร่ร่อนตามหา “หาญาติของตัวเองให้เจอ แล้วกลับบ้านไปก่อนจะดีกว่าไหม” ภาพตะวันปฏิเสธคำขอเพราะเขาเห็นว่ารัตติกาลนั้นไม่พร้อมทั้งในด้าน ร่างกายและด้านสมองที่ดูไม่ค่อยปกติสักเท่าไหร่ “ไม่ไป ข้าจะไม่ไปไหนทัง้ นัน้ ข้าจะไปอยูก่ บั เจ้า จะตามเจ้าไปทุกที”่ หญิ ง สาวยื น ยั น ด้ ว ยน้ ำ เสี ย งหนั ก แน่ น ทำเอาภาพตะวั น ถึ ง กั บ ต้ อ ง กุมขมับ “อยู่บ้านพี่ชั่วคราวน่ะอยู่ได้ แต่พอพี่ช่วยรัตตามหาญาติจนเจอ แล้วรัตก็ต้องกลับบ้าน ป่านนี้ญาติของรัตคงจะเป็นห่วงจนตามหากันให้ วุ่นแล้วละมั้ง” กู้ภัยหนุ่มพูดกับหญิงสาวอย่างใจเย็น ด้วยรูปร่างหน้าตา รวมทั้งผิวพรรณที่ขาวผุดผาดของรัตติกาลแล้ว ดูยังไงเธอก็ไม่ใช่คน เร่ร่อน “ก็บอกแล้วว่าข้าไม่มีญาติ ไม่มีบ้าน ทำไมไม่จำ” รัตติกาลโพล่ง ออกมาด้วยน้ำเสียงหงุดหงิด ดวงตาคูส่ วยตวัดมองชายหนุม่ อย่างไม่คอ่ ย พอใจที่ชายหนุ่มทำราวกับว่าไม่เต็มใจให้เธอไปอยู่อาศัยด้วย ภาพตะวัน เห็นอย่างนั้นแล้วก็ได้แต่ถอนหายใจออกมาด้วยความหนักใจ “นอกจากจะพูดไม่รเู้ รือ่ งแล้วก็ยงั จะดือ้ อีกต่างหาก เดีย๋ วก่อนเถอะ เดี๋ยวจะเจอของจริงแล้วจะหนาว” ชายหนุ่มพูดขู่แต่ยังไม่ยอมบอกว่า ของจริงที่ว่านั้นคืออะไร “ข้าไม่หนาวหรอก ข้าถูกฝึกฝนมามากนัก ถึงอย่างไรข้าก็ทนได้” รัตติกาลตอบกลับทันควัน เมื่อครั้งที่เธอเป็นผลอ่อนอยู่บนต้นไม้แห่ง อสูรเธอต้องผ่านการฝึกฝนให้ทนทานต่อสภาวะอากาศที่ร้อนยิ่งกว่าร้อน 30 พราวพุธ


หนาวยิ่ ง กว่ า หนาวมานั บ ครั้ ง ไม่ ถ้ ว นเพื่ อ พิ สู จ น์ ว่ า เธอแข็ ง แกร่ ง และ เหมาะสมพอที่จะเป็นอสูรทายาทหรือไม่ “พูดจาแบบนี้ หลงมาจากยุคไหนเนี่ย” ภาพตะวันพูดไปขำไป นึก สนุกกับการต่อปากต่อคำกับหญิงสาวแปลกประหลาดผู้นี้เสียแล้ว “ข้าไม่ได้หลงทาง ข้าตั้งใจจะมาที่นี่และเจ้าต้องพาข้าไปอยู่ด้วย” รัตติกาลตอบไปตามความจริง เธอตัง้ ใจจะมาทีโ่ ลกมนุษย์แห่งนีเ้ พือ่ ขโมย ดวงจิตของมนุษย์ แล้วตอนนี้เธอก็ตัดสินใจที่จะอยู่กับชายผู้นี้ ผู้ซึ่งจะพา เธอไปพบกับดวงจิตที่ตายใหม่ๆ ในทุกหนทุกแห่ง “มัวรออะไรอยู่ล่ะ รีบพาข้ากลับไปที่บ้านของเจ้าสิ” รัตติกาล ออกคำสั่ง ท่าทางของหญิงสาวนั้นทำให้ภาพตะวันถึงกับส่ายหน้า “ไม่อยากจะคิดเลยว่าถ้ากลับไปถึงบ้านแล้วจะเกิดอะไรขึ้นบ้าง” ชายหนุ่มพึมพำกับตัวเองพลางหันไปมองรัตติกาลอย่างใคร่ครวญอีก ครั้ง ผู้หญิงคนนี้แม้จะดูก้าวร้าวแต่ก็ซื่อเสียจนน่าเป็นห่วง ขนาดเขา ชวนให้ขึ้นรถแค่คำเดียวเธอก็ตามติดแจ หากคืนนี้คนที่มาพบเธอไม่ใช่ เขา แต่เป็นผู้ไม่ประสงค์ดีคงหลอกเธอไปทำมิดีมิร้ายก็เป็นได้ แม้จะ หนักใจอยูบ่ า้ งทีช่ ายหนุม่ อย่างเขาจะต้องพาหญิงสาวกลับไปบ้านกลางดึก สงัดเช่นนี้ แต่ภาพตะวันก็คิดว่าทั้งหมดที่เขาทำนั้น มันเกิดจากความ บริสุทธิ์ใจที่อยากจะช่วยผู้หญิงคนนี้โดยแท้จริงเท่านั้น

ดวงฤทัยรัตติกาล 31


คุณยายนวลจันทร์

รถกระบะสีป่ ระตูทตี่ ดิ สติกเกอร์สญ ั ลักษณ์มลู นิธเิ พือ่ นมนุษย์ ถูกขับเข้ามาจอดที่หน้าบ้านไม้ชั้นเดียวหลังเล็กๆ หลังหนึ่งที่อยู่ย่าน ชานเมือง ภาพตะวันแบ่งพื้นที่ที่เป็นลานหน้าบ้านสร้างเพิงหมาแหงน มุ ง ด้ ว ยสั ง กะสี เ ปิ ด เป็ น อู่ ซ่ อ มรถยนต์ แม้ จ ะมี พื้ น ที่ เ พี ย งน้ อ ยนิ ด แต่ ชายหนุ่มก็พยายามที่จะเพิ่มพื้นที่สีเขียวให้กับบริเวณบ้าน ด้วยการหา ไม้พุ่มจำพวกพุดซ้อน โกศล และมะม่วงหาวมะนาวโห่มาปลูกเพื่อเพิ่ม ความสดชื่นให้กับผู้อยู่อาศัย แม้แต่ริมกำแพงบ้าน ภาพตะวันยังเลี้ยง ต้นตีนตุ๊กแกเสียจนงามเขียวครึ้มดุจมีใครเอาพรมผืนงามมาขึงเอาไว้ที่ ข้างกำแพงตลอดทั้งแนว ชายหนุ่มดับเครื่องยนต์ หลังจากนั้นก็ลงจากรถแล้วอ้อมไปเปิด ประตูให้กับหญิงสาวที่เอาแต่นั่งขัดสมาธินิ่งราวกับหุ่นปั้นที่ไม่ยอมเปิด ประตูลงจากรถด้วยตัวเอง “ลงมาได้แล้ว รัต แล้วก็อย่าเพิง่ เข้าบ้านจนกว่าพีจ่ ะเรียกให้เข้าไป เข้าใจไหม” ชายหนุ่มกำชับกับหญิงสาว รัตติกาลพยักหน้าช้าๆ แล้วยืน นิ่งอยู่ข้างรถกระบะอยู่อย่างนั้น ปล่อยให้ชายหนุ่มเดินตรงไปยังประตู บ้านเพียงลำพัง 32 พราวพุธ


ภาพตะวันทำใจอยู่นานก่อนที่จะยื่นมือไปบิดลูกบิดประตูซึ่งเปิด ออกอย่างง่ายดาย ชายหนุ่มพอจะเดาออกเพราะว่าแสงไฟที่ส่องสว่าง ลอดกระจกบานเกล็ดออกมานั้น มีคนที่เฝ้ารอการกลับมาบ้านของเขา นั่งอยู่ที่ห้องโถงของบ้านดังเช่นทุกๆ คืน บ้านหลังน้อยของภาพตะวันนั้นแม้เล็กกระจ้อยร่อย แต่เป็นบ้าน ที่แสนอบอุ่นซึ่งเขาใช้ชีวิตมาตั้งแต่เล็กจนเติบใหญ่ ห้องโถงของบ้าน ที่มีขนาดจำกัดนั้นได้แบ่งสรรพื้นที่ไว้สำหรับตั้งโซฟาไม้ตัวยาว ชั้นวาง โทรทั ศ น์ แ ละโต๊ ะ สำหรั บ ตั้ ง คอมพิ ว เตอร์ เ อาไว้ ไ ด้ อ ย่ า งเหมาะเจาะ ภาพตะวันเดินเข้าไปที่ห้องโถงของบ้าน ถอดเสื้อของมูลนิธิแขวนเอาไว้ ตรงที่ประจำซึ่งก็คือหัวตะปูที่ตอกเอาไว้กับฝาผนัง หลังจากนั้นก็ตรงเข้า ไปกอดหญิงชราที่นอนเหยียดกายอยู่บนโซฟาไม้ตัวยาวกลางห้องโถง ด้วยกิริยาออดอ้อน “ดึกป่านนี้แล้วยังไม่นอนอีกเหรอครับ ยาย” ท่าทางขี้เล่นของ หลานชายพาให้นวลจันทร์ที่ดวงตาสะลึมสะลือเต็มทีนั้นหัวเราะออกมา อย่างชอบใจ “ก็ตะวันยังไม่กลับ แล้วยายจะนอนหลับได้ยังไง” นวลจันทร์พูด ออกมาด้วยความเอ็นดูหลานชาย เธอเลี้ยงหลานชายคนเดียวของเธอ มาตั้งแต่เขายังเด็ก ทำหน้าที่แทนทั้งพ่อและแม่ของชายหนุ่มที่มาด่วน จากไปพร้อมกันเพราะอุบัติเหตุทางรถยนต์เมื่อหลายปีก่อน เธอรักและ ห่วงใยภาพตะวันมาก เพราะเขาคือแก้วตาดวงใจดวงเดียวที่เหลืออยู่ใน ชีวิตของเธอ ในวันทีพ่ อ่ และแม่ของภาพตะวันจากไป วันนัน้ ภาพดาวและสุรยิ ะ พาภาพตะวัน ลูกชายคนเดียวของพวกเขาไปเที่ยวต่างจังหวัดด้วยกัน ระหว่างทางกลับบ้านเกิดฝนตกหนักจนมองทางแทบไม่เห็น สุริยะนั้นขับ รถด้วยความยากลำบากก็จริงหากเขาก็ยงั คงระมัดระวังอย่างเต็มทีเ่ พราะ ดวงฤทัยรัตติกาล 33


มีบคุ คลอันเป็นทีร่ กั อยูใ่ นรถคันนีถ้ งึ สองคน ในวันเกิดเหตุภาพตะวันกำลัง นอนหลับอยูบ่ นเบาะด้านหลังคนขับโดยมีตกั ของผูเ้ ป็นแม่หนุนศีรษะแทน หมอน แล้วเหตุการณ์ไม่คาดคิดก็เกิดขึ้น เมื่อรถของสุริยะถูกรถอีกคันที่ เสียหลักมาจากช่องทางจราจรฝั่งตรงข้ามพุ่งเข้าชนอย่างแรง ภาพตะวัน ได้ยินเสียงรถเบรกดังสนั่นหวั่นไหว เด็กชายผวาตื่น ความรู้สึกเดียวที่ ภาพตะวันจำได้ตอนนัน้ ก็คอื ผูเ้ ป็นแม่กอดเขาเอาไว้แน่นมาก แน่นเสียจน เขาไม่รู้สึกถึงแรงอันมหาศาลที่จะทำให้เขาเดียวดายไปตลอดชีวิต เมื่อทุกอย่างสงบนิ่ง เขาก็เห็นเจ้าหน้าที่กู้ภัยพยายามพาเขาและ พ่ อ กั บ แม่ อ อกมาจากซากรถ ภาพตะวั น ได้ รั บ การช่ ว ยเหลื อ ออกมา คนแรก แม้จะไม่ได้รับบาดเจ็บแต่ก็มีรอยแผลที่เกิดจากการบาดของ กระจก เด็กชายพยายามบอกเจ้าหน้าที่กู้ภัยให้ช่วยพ่อกับแม่ หากสุริยะ นั้นสิ้นใจเพราะทนพิษบาดแผลไม่ไหวไปเสียแล้ว ภาพตะวันในเวลานั้น รู้สึกเคว้งคว้างเหลือเกิน เขายังเด็กเกินไปที่จะรู้จักกับความตายเสียด้วย ซ้ำไป เด็กน้อยได้เพียงแต่ยืนมองพ่อของเขานอนแน่นิ่งจมกองเลือดด้วย ความรูส้ กึ หวาดกลัว ส่วนแม่ซงึ่ ยังติดอยูใ่ นซากรถได้แต่รอ้ งเรียกขอความ ช่วยเหลือ ให้คนแถวนั้นช่วยเหลือลูกชายของเธอก่อน ‘คุณคะ ช่วยลูกของฉันด้วย ลูกชายของฉันเป็นยังไงบ้าง เขา ปลอดภั ย ใช่ ไ หม’ ภาพดาวบอกกั บ หน่ ว ยกู้ ภั ย แม้ ตั ว เธอเองจะยั ง ไม่ สามารถขยับเขยื้อนได้เพราะติดอยู่ในซากรถ ‘ลูกชายของคุณปลอดภัยดีครับ เขาได้รับบาดเจ็บจากการถูก กระจกบาดนิดหน่อย แต่ไม่เป็นอันตรายครับ คงเป็นเพราะคุณกอดเขา เอาไว้จนแน่น’ เจ้าหน้าที่กู้ภัยคนนั้นพูดกับภาพดาวเพื่อให้เธอคลาย ความกังวล ‘ใจเย็นๆ นะครับ อดทนอีกนิด พวกผมจะพยายามเอาคุณออกมา จากรถ แล้วจะพาคุณไปโรงพยาบาลนะครับ แข็งใจเอาไว้กอ่ น’ เจ้าหน้าที่ 34 พราวพุธ


กู้ภัยคนเดิมพยายามพูดคุยเพื่อเรียกสติของภาพดาว ตอนนี้เธอบาดเจ็บ มากเสียจนพร้อมที่จะจากไปได้ทุกเมื่อ ‘ถ้ า ฉั น เป็ น อะไรไป คุ ณ ช่ ว ยพาลู ก ชายของฉั น กลั บ บ้ า นไปหา คุณยายของแกด้วยนะคะ พาไปให้ถึงบ้านนะคะ สัญญากับฉันได้ไหม’ ภาพดาวขอร้องเจ้าหน้าที่กู้ภัยคนนั้นทั้งน้ำตา ‘ผมสัญญาครับ ไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้น ผมสัญญาว่าจะพาพวกคุณ ทั้งสามกลับบ้านพร้อมกัน ไม่ต้องเป็นห่วงนะครับ’ เจ้าหน้าที่กู้ภัยยืนยัน ด้วยน้ำเสียงหนักแน่น ‘ขอบคุ ณ ค่ ะ ขอบคุ ณ ...จริ ง ๆ’ น้ ำ เสี ย งนั้ น เป็ น น้ ำ เสี ย งแห่ ง ลมหายใจเฮือกสุดท้าย เพราะหลังจากนั้น ภาพดาวก็สิ้นลมไปอีกคน... เหตุการณ์ทุกอย่างที่เจ้าหน้าที่กู้ภัยคนนั้นเล่ายังคงสะเทือนใจ นวลจันทร์มาจนถึงทุกวันนี้ ดังนั้น ในทุกๆ ครั้งที่ภาพตะวันออกจากบ้าน เธอจะตัง้ หน้าตัง้ ตารอเขากลับมา ไม่วา่ จะดึกสักแค่ไหนก็จะรอ รอจนกว่า จะได้เห็นหลานชายกลับบ้านอย่างปลอดภัย เธอถึงจะหลับตานอนลงได้ “โฮ่ง...โฮ่ง...โฮ่ง...” เสียงเห่ากระโชกของสุนขั ทีภ่ าพตะวันเลีย้ งเอาไว้ทหี่ น้าบ้าน ทำให้ นวลจันทร์จับจ้องใบหน้าคมสันของหลานชายแน่วนิ่งก่อนเอ่ยปากถาม “ไปเอาตัวอะไรมาเลี้ยงอีกล่ะ” นวลจันทร์รู้ดีว่าหลานชายผู้นี้เป็น คนขี้สงสาร ตั้งแต่เล็กจนโต เขามักจะเก็บสัตว์บาดเจ็บมาปฐมพยาบาล อยู่เป็นประจำ แม้แต่จิ้งจกที่หางขาดเขาก็ยังจับมาดูแลและทายาให้ พวกมันจนผู้เป็นยายต้องบอกว่าเดี๋ยวหางของมันก็งอกออกมาเองได้ เขาจึงยอมปล่อยจิ้งจกเหล่านั้นไป แม้แต่เจ้าหมาที่เห่าอย่างอวดเก่งอยู่ ที่หน้าบ้านอยู่ตอนนี้ก็เช่นกัน มันถูกรถชนจนขาพิการเดินโขยกเขยกมา จนถึงทุกวันนี้ ดวงฤทัยรัตติกาล 35


“ทำไมปากแกไม่พิการแทนขานะไอ้มูมู่ เห่าอยู่นั่นแหละ หนวกหู ชะมัดเลย” ภาพตะวันหันไปดุสนุ ขั ขาพิการอีกทัง้ ร่างกายแคระแกร็นทีม่ กั จะเห่าทุกครั้งที่เขาเก็บสัตว์ตัวใหม่ๆ มาเลี้ยงราวกับกำลังป่าวประกาศ ว่า ‘ข้าใหญ่สุดที่นี่นะโว้ย พวกมาใหม่อย่าแหย็ม’ ซึ่งพฤติกรรมอย่างนี้ ทำให้ผู้เป็นยายจับได้ทุกครั้งว่าเขามีสมาชิกใหม่เข้ามาในบ้าน “ว่ า ไง คราวนี้ ตั ว อะไร กิ้ ง ก่ า ตั ว เงิ น ตั ว ทอง หรื อ งู ” คุ ณ ยาย นวลจันทร์คาดคั้นหลานชายเพราะเห็นว่ายังไม่ได้คำตอบ ยิ่งคราวนี้ เจ้ามูมู่เห่าเสียงแปลกกว่าทุกวันยิ่งทำให้นวลจันทร์คาดเดาว่าคงจะเป็น ตัวอะไรที่ประหลาดไม่น้อย “เอ่อ...คือว่า...คราวนี้ผมพา...เอ่อ...พา...” ผู้เป็นหลานชายพูด ด้วยน้ำเสียงอึกอัก กลัวว่าถ้าหากคุณยายเห็นสมาชิกใหม่ คุณยายจะว่า อย่างไรบ้างหนอ... ในขณะที่ ช ายหนุ่ ม กำลั ง หาคำพู ด มาค่ อ ยๆ ตะล่ อ มคุ ณ ยาย นวลจันทร์อยู่นั้น เจ้ามูมู่ก็ครางหงิงๆ พยายามตะเกียกตะกายพาร่าง โขยกเขยกที่ตอนนี้ทั้งหางตกทั้งหูตูบเข้ามาในบ้านด้วยท่าทางราวกับ หวาดกลัวอะไรสักอย่าง “เป็นอะไรไปเจ้ามูมู่ ที่หน้าบ้านมีอะไรเหรอถึงได้หางจุกตูดมา แบบนี”้ คุณยายนวลจันทร์ถามด้วยความสงสัยระคนสงสารเพราะเจ้าหมา พิการไม่เคยมีอาการแบบนี้มาก่อน “ตะวัน พายายไปดูที่หน้าบ้านหน่อยซิ” ร่างท้วมนั้นทำท่าจะลุก พรวดพราดขึ้นจากโซฟาทำให้ผู้เป็นหลานต้องรีบตรงเข้าไปประคอง “เอ่อ...ที่หน้าบ้านมีสมาชิกใหม่ที่ผมพามาด้วยน่ะครับ แต่ยาย ต้องทำใจดีๆ ก่อนที่จะออกไปดูนะครับ ผมกลัวยายเป็นลม” ภาพตะวัน บอกให้ผู้เป็นยายทำใจเพราะท่านอาจจะลมจับอย่างที่เขาว่าจริงๆ “อะไรกันตะวัน ทำอย่างกับพาเสือพาตะเข้เข้าบ้าน” คุณยาย 36 พราวพุธ


นวลจันทร์พูดไปหัวเราะหลานชายไป “เอ่อ...ประมาณนั้นครับยาย หรือว่าอาจจะยิ่งกว่า” ผู้เป็นหลาน บอกใบ้กลายๆ สองยายหลานประคองกันออกมาที่หน้าบ้าน เจ้ามูมู่เองก็ เดินหลบอยู่ข้างหลังเจ้านายทั้งสองของมันโดยที่ไม่กล้าจะเห่าออกมา สักแอะ หากมันพูดได้ มันคงจะบอกกับภาพตะวันและคุณนายนวลจันทร์ ไปแล้วว่าผู้หญิงคนที่ยืนอยู่หน้าบ้านคนนี้มีดวงตาที่โชนแสงได้ “ผู้หญิง!” คุณยายอุทานออกมาด้วยความตื่นตระหนกตามคาด หากไม่ได้เป็นลมเป็นแล้งตามที่ภาพตะวันเป็นห่วง “ครับ ผู้หญิงครับยาย คือว่า...” “ไปทำอีท่าไหนเข้าล่ะ ยายไม่คิดเลยว่าตะวันจะเป็นคนแบบนี้” คุณยายนวลจันทร์หันไปจ้องหน้าหลานชายเขม็ง ในใจคิดไปไกลแล้วว่า หลานชายที่ทำตัวดีมาโดยตลอดคงจะเริ่มเหลวไหลเสียแล้ว “เอ่อ...มันไม่ใช่อย่างทีย่ ายคิดนะครับ ผมกับรัตไม่ได้มอี ะไรกัน ผม เห็นว่ารัตเขาหลงทางแถมยังทำท่าอย่างกับคนความจำเสื่อม ผมก็เลย พามาที่บ้านของเราดีกว่าปล่อยให้เดินเร่ร่อนไปเรื่อยๆ จนถูกจับไปทำ มิดีมิร้าย” ภาพตะวันรีบอธิบาย ซึ่งเหตุผลของเขาก็ฟังดูมีน้ำหนักพอที่จะ ทำให้คุณยายนวลจันทร์นั้นเริ่มมีน้ำเสียงที่อ่อนลง “อย่างนัน้ รึ” หญิงชราเอ่ยน้ำเสียงเรียบพลางจับจ้องหญิงสาวทีอ่ ยู่ ในชุดที่ถักทอด้วยเส้นใยคล้ายผ้าฝ้ายที่โอบกระชับเข้ารูปอวดทรวดทรง องค์เอวตรงหน้า เธอผู้นี้มีใบหน้าที่งดงามเหลือเกิน คิ้วเข้มโก่งรับกับ ดวงตากลมโต อี ก ทั้ ง จมู ก ที่ โ ด่ ง จนรั้ ง ให้ ป ลายเชิ ด ขึ้ น ดู รั บ กั บ ปากรู ป กระจับสีชมพูระเรือ่ รูปร่างก็ออ้ นแอ้นอรชร หากปล่อยให้เดินทะเล่อทะล่า กลางดึกกลางดื่นก็คงจะอันตรายอย่างที่ภาพตะวันพูดจริงๆ ดวงฤทัยรัตติกาล 37


“มองอะไร!” ผู้มาใหม่พูดด้วยน้ำเสียงห้วน จนผู้สูงวัยกว่าถึงกับ ขมวดคิ้วแล้วจับจ้องเธอกลับไปด้วยดวงตาที่วาวโรจน์ “เธอพูดว่าอะไรนะ!” นวลจันทร์ถามกลับด้วยน้ำเสียงเข้ม “ข้าถามว่ามองข้าทำไม” คราวนี้รัตติกาลตอบด้วยน้ำเสียงและ กิริยาที่หยาบกระด้าง “เอาแล้วไง” ภาพตะวันขนลุกซู่กับภาพที่ได้เห็นตรงหน้า “ไม่มมี ารยาท ทีบ่ า้ นไม่สอนหรือไงว่าต้องพูดจาอย่างไรกับผูใ้ หญ่” น้ำเสียงที่แหบพร่าไปตามวัยของคุณยายนวลจันทร์นั้นแม้จะสั่นเล็กน้อย หากยังคงความเข้มงวดเอาไว้อย่างน่ากริ่งเกรง “ไม่รู้ ไม่มีใครสั่งสอนข้า และข้าก็ไม่ต้องการให้ใครมาสั่งสอน” รัตติกาลตอบไปตามที่คิด คุณยายนวลจันทร์ที่คิดว่าหญิงสาวเถียงคำ ไม่ตกฟากจึงยิ่งโกรธหนักเข้าไปใหญ่ “ดี ! ตั้ ง แต่ นี้ เ ป็ น ต้ น ไปฉั น จะสอนเธอเอง นั ง หนู ! ” แม้ จ ะเดิ น เชื่องช้าด้วยวัยชรา แต่เวลานี้คุณยายนวลจันทร์ดูจะมีเรี่ยวแรงมากกว่า ทุกวันเพราะกำลังโมโหผู้มาใหม่ที่ทำตัวก้าวร้าวใส่ หญิงชราเดินตรงไป ยังต้นมะยมหน้าบ้าน จัดการเด็ดก้านมะยมที่ทั้งยาวทั้งอวบมารูดใบออก แล้วตรงเข้าไปฟาดใส่รัตติกาลไม่ยั้ง “นี่แน่ะ อย่างนี้มันต้องฟาด ฟาดให้ตัวหยาบกระด้างกระเด็นไป ไกลๆ นี่แน่ะๆ” คุณยายนวลจันทร์หวดก้านมะยมไปที่น่องซึ่งโผล่พ้นชุด ที่ถักทอด้วยเส้นใยคล้ายผ้าฝ้ายที่เธอสวม ฟาดไปที่แขน และที่ก้นของ รั ต ติ ก าลสลั บ กั น จนคนถู ก ฟาดสะดุ้ ง โหยง โดยสั ญ ชาตญาณแล้ ว อสูรอย่างเธอจะตอบโต้ในทันทีทันใดเมื่อถูกอีกฝ่ายทำร้าย แต่เวลานี้ อสูรสาวต้องอดทน เพราะเธอจำเป็นจะต้องอาศัยอยู่ที่นี่ อาศัยอยู่กับ ชายหนุ่มและหญิงชราผู้ซึ่งมีอาวุธร้ายกาจผู้นี้เพื่อให้ตัวเองมีโอกาสเข้า ใกล้ดวงจิตของมนุษย์ที่ตายใหม่ๆ ให้มากที่สุด 38 พราวพุธ


“โอ๊ย! เจ็บนะ หยุดเดี๋ยวนี้” รัตติกาลทั้งเจ็บทั้งแสบจนถึงกับเต้น ผางๆ เมื่อถูกก้านมะยมฟาด อสูรสาวตระหนักแล้วว่ามนุษย์นั้นมีพิษสง ไม่น้อย อาวุธของพวกเขาก็แสนร้ายกาจจนมิอาจจะรับมือได้ “เจ็บก็ต้องเชื่อฟังยาย พูดจาดีๆ พูดให้มีหางเสียงด้วย เข้าใจไหม” คุณยายนวลจันทร์พูดไปหายใจหอบไป อายุของหญิงชราไม่ใช่น้อยๆ แล้ว แต่ต้องมาฟาดหญิงสาวคราวหลานแบบไม่ยั้งแบบนี้ ทำให้เธอนั้น เหนื่อยไม่น้อยเช่นกัน “มีหาง เหมือนไอ้สุนัขตัวนั้นน่ะรึ” “หางเสียง ไม่ใช่หางหมา!” คุณยายเอ็ดหญิงสาวพลางส่ายหน้า ให้กับความหัวดื้อของเธอ “แล้วเธอชื่ออะไร” “รัตติกาล” เพียะ! “โอ๊ย!” ก้านมะยมฟาดเข้าที่ท่อนแขนของหญิงสาวทันทีที่เธอพูดจบ “รั ต ติ ก าลค่ ะ ไหนลองพู ด ซิ ” คุ ณ ยายนวลจั น ทร์ เ ริ่ ม สั่ ง สอน หญิงสาว “รัตติกาล...ค่ะ” อสูรสาวยอมทำตามด้วยกริ่งเกรงในอำนาจแห่ง ก้านมะยมที่เตรียมง้างหากเธอไม่ทำตามคำสั่ง “ดีมาก ต่อไปนี้เธอต้องเรียกแทนตัวเองว่า รัต อย่างที่พี่ตะวันเขา เรียก แล้วต้องเรียกฉันว่าคุณยาย เข้าใจไหม” คุณยายนวลจันทร์ทั้ง แนะนำตัวทั้งสั่งสอนหญิงสาวไปพร้อมๆ กัน “รัต คุณยาย ตะวัน” รัตติกาลทวนคำพลางชี้นิ้วไปยังเจ้าของชื่อ ทีละคน เพียะ! ดวงฤทัยรัตติกาล 39


“โอ๊ย!” คราวนี้ผู้ถูกตีไม่รู้ตัวด้วยซ้ำว่าทำอะไรผิด “พี่ตะวัน ไม่ใช่ตะวันเฉยๆ เขาอายุมากกว่าตัวต้องเรียกเขาว่าพี่ เข้าใจไหม” คุณยายไม่ยอมให้ผ่านไปง่ายๆ เธอมองดูแล้วผู้หญิงคนนี้ก็ ค่อนข้างหัวอ่อน หากฝึกฝนแบบเข้มงวดเสียตั้งแต่แรก เธอจะเป็นผู้หญิง ที่มีมารยาทงดงามได้ในอนาคต “เข้าใจ” รัตติกาลตอบเสียงห้วน เพียะ! “โอ๊ย!” แล้วก้านมะยมก็ฟาดเข้าที่น่องของเธอเข้าอีกจนได้ “ค่ะ เข้าใจค่ะ หางเสียงหายไปไหน” คุณยายเอ็ดเสียงเข้ม “ก็ข้า...เอ่อ...รัตพูดว่าค่ะไปแล้วเมื่อครู่นี้” หญิงสาวพยายามหา เหตุผลมาอ้างว่าเธอไม่ผิด “ไม่ได้ เธอต้องพูดมีหางเสียงทุกครั้ง ทุกประโยคที่พูด เข้าใจไหม” คุณยายทั้งพูดทั้งจ้องหน้าหญิงสาวเพื่อดูกิริยาว่าเธอเข้าใจจริงๆ หรือไม่ “ค่ะ เข้าใจค่ะ” รัตติกาลตอบพลางลูบแขนลูบขาตัวเองป้อยๆ “ดีมาก เอาละ เข้าบ้านได้แล้ว ไปอาบน้ำอาบท่าเสีย ทั้งตะวัน ทั้งรัตนั่นแหละ” คุณยายพูดจบก็พยักหน้าเพื่อส่งสัญญาณให้หลานชาย มาประคองให้พาเข้าบ้านพร้อมกับรับรัตติกาลมาเป็นสมาชิกใหม่นับ ตั้งแต่คืนนี้เป็นต้นไป

40 พราวพุธ


Issuu converts static files into: digital portfolios, online yearbooks, online catalogs, digital photo albums and more. Sign up and create your flipbook.