วารสารวิจัย มข. สาขามนุษยศาสตร์ฯ (ฉบับบัณฑิตศึกษา) ปีที่ 1 ฉบับที่ 2 (2556)

Page 1

EDITORIAL RESEARCH ARTICLE The Development of a Model for Problem-based Learning Cooperates with KWL Plus Technique using Scaffoldings System to Develop Critical Thinking Manutnit Jaidee, Dr.Charun Sanrach

page

1

14

Ramsar Convention and the Change of Meaning at Kut Ting, Thailand Sootharwan Intarapanich, Dr.Kaeota Janthranuson

22

Kongkhao: From Esan Cultural Value to its Commoditization Process Patchanee Muangsri, Dr.Viyouth Chamruspanth

34

The Effects of Using Problem Posing Model Supplemented with Problem Solving Process and Journal Writing on Mathematical Problem Solving and Writing Abilities of Mathayomsuksa 6 Students Parisa Wongkumpra, Dr.Somchai Vallakitkasemsakul, Srisurang Teenkul

43

The Effects of Teaching by Using the Historical Method on Learning Achievement and Development of Analytical Thinking on the Topic of ASEAN History of Mathayom Suksa 1 Students at Banprasat School in Sisaket Supattra Kamsuk, Dr.Siriwan Sripahol, Somprasong Nuambunlue

55

Assessment of Standards Performance Inspection by a Local Administrative Organization Jiraporn Santiwesrat, Dr.Supawatanakorn Wongtanawasu

63

Building Management Partnership for Thapra Subdistrict Municipality, Muang District, Khon Kaen Province Prasit Tatanit, Dr.Lampang Manmart

73

ปีที่ 1 ฉบับที่ 2 พฤษภาคม - สิงหาคม 2556 Vol.1 No.2 May - August 2013

Legal Problems in the Medical Liability Litigation Natthanan Phuntong-on, Dr.Suthee Yusathaporn, Dr.Phaichit Puengpop

วารสารวิจัย มข. ฉบับบัณฑิตศึกษา สาขามนุษยศาสตร์และสังคมศาสตร์

contents


วารสารวิจัย มข. (ฉบับบัณฑิตศึกษา) สาขามนุษยศาสตร์และสังคมศาสตร์

ISSN 2286-7910 ปีที่ 1 ฉบับที่ 2 พฤษภาคม - สิงหาคม 2556

สารบัญ บทบรรณาธิการ บทความวิจัย การสร้างรูปแบบการเรียนรู้แบบปัญหาเป็นฐานร่วมกับเทคนิค เค ดับเบิ้ลยู แอล พลัส ที่มีระบบเสริมศักยภาพเพื่อพัฒนาการคิดอย่างมีวิจารณญาณ มนัสนิต ใจดี, ดร.จรัญ แสนราช

หน้า

1

ปัญหาทางกฎหมายในกระบวนการพิจารณาคดีความรับผิดทางการแพทย์ ณัฏฐนันท์ พันทองอ่อน, ดร.สุธี อยู่สถาพร, ดร.ไพจิตร พึ่งภพ

14

อนุสัญญาแรมซาร์กับการเปลี่ยนแปลงความหมายจาก กุด สู่พื้นที่ชุ่มน�้ำที่มีความส�ำคัญ ระดับนานาชาติ กรณีศึกษา กุดทิง จ.บึงกาฬ สุทธวรรณ อินทรพาณิช, ดร.แก้วตา จันทรานุสรณ์

22

ก่องข้าว : คุณค่าในวัฒนธรรมอีสานสู่กระบวนการกลายเป็นสินค้าทางวัฒนธรรม พัชนีย์ เมืองศรี, ดร.วิยุทธ์ จ�ำรัสพันธุ์

34

ผลการใช้รูปแบบการสอนการตั้งปัญหาเสริมด้วยกระบวนการแก้ปัญหาและการเขียน บันทึกการเรียนรู้ต่อความสามารถในการแก้ปัญหาและความสามารถในการเขียน ทางคณิตศาสตร์ของนักเรียน ชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 6 ปริสา วงศ์ค�ำพระ, ดร.สมชาย วรกิจเกษมสกุล, ศรีสุรางค์ ทีนะกุล

43

ผลการสอนโดยวิธีการทางประวัติศาสตร์ที่มีต่อผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนและความสามารถ ในการคิดวิเคราะห์ เรื่อง ประวัติศาสตร์อาเซียน ส�ำหรับนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 1 โรงเรียนบ้านปราสาท จังหวัดศรีสะเกษ สุพัตรา ค�ำสุข, ดร.สิริวรรณ ศรีพหล, สมประสงค์ น่วมบุญลือ

55

การตรวจรับรองมาตรฐานการปฏิบัติราชการขององค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น จิราพร สันติเวสน์รัตน์, ดร.ศุภวัฒนากร วงศ์ธนวสุ

63

การสร้างภาคีหุ้นส่วนในการบริหารเทศบาลต�ำบลท่าพระ อ�ำเภอเมือง จังหวัดขอนแก่น ประสิทธิ์ ตาตินิจ, ดร.ล�ำปาง แม่นมาตย์

73


KKU Res J HS (GS) 1 (2) : May - August 2013

1

การสร้างรูปแบบการเรียนรู้แบบปัญหาเป็นฐานร่วมกับเทคนิค เค ดับเบิ้ลยู แอล พลัส ที่มีระบบเสริมศักยภาพ เพื่อพัฒนาการคิดอย่างมีวิจารณญาณ The Development of a Model for Problem-based Learning Cooperates with KWL Plus Technique using Scaffoldings System to Develop Critical Thinking มนัสนิต ใจดี (Manutnit Jaidee)* ดร.จรัญ แสนราช (Dr.Charun Sanrach)1**

บทคัดย่อ

งานวิจัยนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อ 1) สร้างรูปแบบการเรียนรู้ และ 2) ประเมินรูปแบบการเรียนรู้ วิธีการด�ำเนินงานวิจัย คือ1) การสร้างรูปแบบการเรียนรู้ประกอบด้วย การวิเคราะห์ การออกแบบและการพัฒนา และ 2) การประเมินรูปแบบการเรียนรู้โดยน�ำเสนอรูปแบบในการสนทนากลุ่มผู้เชี่ยวชาญด้านคอมพิวเตอร์ และด้านการศึกษา ซึ่งได้มาจากการเลือกแบบเจาะจงจ�ำนวน 12 คน เพื่อพิจารณาและประเมินรูปแบบการ เรียนรู้ จากนั้นปรับปรุงรูปแบบการเรียนรู้ตามข้อเสนอแนะของผู้เชี่ยวชาญ ผลการวิจัยได้รูปแบบการเรียนรู้ แบบปั ญ หาเป็ น ฐานร่ ว มกั บ เทคนิ ค เค ดั บ เบิ้ ล ยู แอล พลั ส ที่ มี ร ะบบเสริ ม ศั ก ยภาพเพื่ อ พั ฒ นาการคิ ด อย่างมีวิจารณญาณ มีองค์ประกอบ 2 ส่วนคือ 1) ส่วนของระบบ ประกอบด้วย 4 โมดูล ดังนี้ Critical Thinking Test Module Pre-Post Test Module Learning Module และ Act Module และ 2) ส่วนของผู้ใช้ ประกอบด้วย ผู้เรียน ผู้สอนและผู้ประเมิน ผลการประเมินรูปแบบการเรียนรู้ พบว่า ผู้เชี่ยวชาญ ทั้ง 12 คน มีฉันทามติให้การยอมรับรูปแบบการเรียนรู้ว่ามีความเหมาะสมและสอดคล้อง สามารถน�ำไปใช้ ในการเรียน การสอน เพื่อพัฒนาให้ผู้เรียนมีการคิดอย่างมีวิจารณญาณ

ABSTRACT

The objectives of this research were: 1) to create a learning model, and 2) to evaluate the learning model. The research processes were 1) the creating of the learning model consisted of the analysis, the design, and the development, and 2) the evaluation of the learning model was done by using focus group technique of 12 experts in computer and education fields who were selected by purposive sampling, and then the learning model was revised followed the comments of the experts. The results found that the learning model was Correspondent author: charan.sanrach@gmail.com * นักศึกษา หลักสูตรปรัชญาดุษฎีบัณฑิต สาขาวิชาคอมพิวเตอร์ศึกษา คณะครุศาสตร์อุตสาหกรรม มหาวิทยาลัยเทคโนโลยี พระจอมเกล้าพระนครเหนือ ** ผูช้ ว่ ยศาสตราจารย์ สาขาวิชาคอมพิวเตอร์ศกึ ษา คณะครุศาสตร์อตุ สาหกรรม มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีพระจอมเกล้าพระนครเหนือ 1


14

วารสารวิจัย มข. มส. (บศ.) 1 (2) : พ.ค. - ส.ค. 2556

ปัญหาทางกฎหมายในกระบวนการพิจารณาคดีความ รับผิดทางการแพทย์ Legal Problems in the Medical Liability Litigation ณัฏฐนันท์ พันทองอ่อน (Natthanan Phuntong-on)* ดร.สุธี อยู่สถาพร (Dr.Suthee Yusathaporn)1 ** ดร.ไพจิตร พึ่งภพ (Dr.Phaichit Puengpop)***

บทคัดย่อ

การวิจัยเชิงคุณภาพนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษาปัญหาทางกฎหมายในกระบวนการพิจารณาคดีความ รับผิดทางการแพทย์ โดยเก็บรวบรวมข้อมูลจากการสัมภาษณ์เชิงลึกและการศึกษาเอกสาร กลุ่มตัวอย่าง ได้แก่ แพทย์ ผู้ป่วยหรือญาติผู้ป่วย ผู้พิพากษา นักกฎหมาย และวิเคราะห์ข้อมูลโดยใช้การวิเคราะห์เชิงเนื้อหา โดยจ�ำกัดการศึกษาเฉพาะคดีแพ่ง ผลการวิจัยพบว่า คดีความรับผิดทางการแพทย์เป็นความรับผิดตาม ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 420 คือ กรณีแพทย์กระท�ำเวชปฏิบัติโดยจงใจหรือประมาทเลินเล่อ ส่งผลให้ผู้ป่วยสิ้นเปลืองค่าใช้จ่าย ไม่หายจากโรค ทุพพลภาพหรือเสียชีวิต และพบว่ากระบวนการพิจารณาคดี ความรับผิดทางการแพทย์ยังมีปัญหาและอุปสรรค ดังนี้ ปัญหาพยานผู้เชี่ยวชาญ ความรู้ความเข้าใจด้านการ วินิจฉัยและรักษาทางการแพทย์ของศาล คุณสมบัติผู้พิพากษา ปัญหาภาระการพิสูจน์ ปัญหาฟ้องเคลือบคลุม ปัญหาค่าสินไหมทดแทน และปัญหาตามพระราชบัญญัติวิธีพิจารณาคดีผู้บริโภค พ.ศ. 2551 การวิจัยนี้จึงได้ เสนอแนวทางพัฒนาในการพิจารณาคดีความรับผิดทางการแพทย์ เช่น การก�ำหนดคุณสมบัติของพยาน ผู้เชี่ยวชาญให้ชัดเจน และการใช้หลักภาระการพิสูจน์ตามหลัก Res ipsa loquitur เป็นต้น

ABSTRACT

This qualitative research aimed to study legal problems in medical liability litigation procedures. Data were collected by in-depth interview and documentary research. Subjects were doctors, patients or caregivers, judges and lawyers. Data were analyzed by using content analysis. The scope of this study was limited to civil cases. This study found that the civil medical liability lawsuits in Thailand are covered by section 420 of the Civil and Commercial Code if the doctor intentional or negligent practice caused patients unnecessary charges, immedicable from disease, disability or death. This study also found that the medical liability litigation has the following problems: expert witness, the understanding of diagnosis and medical treatment of the court, qualifications of the judges, burden of proof, disjunctive Correspondent author: suthee_3711@gmail.com * นักศึกษา หลักสูตรนิติศาสตรดุษฎีบัณฑิต สาขาวิชากฎหมาย บัณฑิตวิทยาลัย มหาวิทยาลัยปทุมธานี ** อาจารย์ คณะสาธารณสุขศาสตร์ มหาวิทยาลัยมหิดล *** อาจารย์ คณะนิติศาสตร์ มหาวิทยาลัยปทุมธานี 1


22

วารสารวิจัย มข. มส. (บศ.) 1 (2) : พ.ค. - ส.ค. 2556

อนุสัญญาแรมซาร์กับการเปลี่ยนแปลงความหมายจาก กุด สู่พื้นที่ ชุ่มน�้ำที่มีความส�ำคัญระดับนานาชาติ กรณีศึกษา กุดทิง จ.บึงกาฬ* Ramsar Convention and the Change of Meaning at Kut Ting, Thailand สุทธวรรณ อินทรพาณิช (Sootharwan Intarapanich)** ดร.แก้วตา จันทรานุสรณ์ (Dr.Kaeota Janthranuson)1***

บทคัดย่อ

บทความนี้ได้ศึกษาการเปลี่ยนแปลงความหมายพื้นที่จาก “กุด” เป็น “พื้นที่ชุ่มน�้ำที่มีความส�ำคัญ ระดับนานาชาติ” ของกุดทิง จ.บึงกาฬ ผ่านแนวคิด “พื้นที่” หรือ “thirdspace” ของ Henri Lefebvre ร่วมกับมโนทัศน์เกี่ยวกับพื้นที่ของ Michel Foucault โดยระเบียบวิธีวิจัยเชิงคุณภาพ ผลการศึกษาพบว่า ข้อตกลงว่าด้วยการจัดการพื้นที่ตามอนุสัญญาแรมซาร์ ได้เปลี่ยนแปลงความหมายของพื้นที่ “หาอยู่หากิน” กุดทิง ให้เป็น “พื้นที่ชุ่มน�้ำที่มีความส�ำคัญระดับนานาชาติ” ส่งผลให้เกิดการจัดการพื้นที่ในทางกายภาพ ตามเงื่อนไขที่ได้ระบุไว้ในอนุสัญญาแรมซาร์ ซึ่งท�ำให้คนในชุมชนรอบกุดทิงถูกจ�ำกัดสิทธิ์ในการเข้าถึงพื้นที่

ABSTRACT

This article is a part of a thesis named “Contested Space: Kut Ting Ramsar Site in Beung Khan Province, Thailand”. The qualitative research employed the “thirdspace” concept of Henri Lefebvre and Michel Foucault’s vision for contested space. This article discusses the agreement between Thailand and the Ramsar Convention that changed the management for the physical space according to the terms of the Ramsar Convention, resulting in the people who live around Kut Ting Ramsar Site losing their right to use the land, and thus generated new meaning from “living” to “preservation.” ค�ำส�ำคัญ: กุดทิง พื้นที่ชุ่มน�้ำที่มีความส�ำคัญระดับนานาชาติ พื้นที่ Key Words: Kut Ting, Ramsar site, Thirdspace Correspondent author: kjanthra@gmail.com * ทุนอุดหนุนการท�ำวิทยานิพนธ์จากศูนย์วิจัยพหุลักษณ์สังคมลุ่มน�้ำโขง และ บัณฑิตวิทยาลัย มหาวิทยาลัยขอนแก่น ** นักศึกษา หลักสูตรศิลปศาสตรมหาบัณฑิต สาขาวิชาลุ่มน�้ำโขงศึกษา คณะมนุษยศาสตร์และสังคมศาสตร์ มหาวิทยาลัยขอนแก่น *** อาจารย์ ประจ�ำหลักสูตรศิลปศาสตรมหาบัณฑิต สาขาวิชาลุ่มน�้ำโขงศึกษา คณะมนุษยศาสตร์และสังคมศาสตร์ มหาวิทยาลัย ขอนแก่น 1


34

วารสารวิจัย มข. มส. (บศ.) 1 (2) : พ.ค. - ส.ค. 2556

ก่องข้าว : คุณค่าในวัฒนธรรมอีสานสู่กระบวนการ กลายเป็นสินค้าทางวัฒนธรรม Kongkhao: From Esan Cultural Value to its Commoditization Process พัชนีย์ เมืองศรี (Patchanee Muangsri)* ดร.วิยุทธ์ จ�ำรัสพันธุ์ (Dr.Viyouth Chamruspanth)1**

บทคัดย่อ

การวิจัยครั้งนี้เพื่อศึกษาถึง คุณค่าของก่องข้าวในวัฒนธรรมอีสาน และกระบวนการกลายเป็นสินค้า ทางวัฒนธรรมของก่องข้าว โดยใช้แนวคิดการท�ำวัฒนธรรมให้เป็นสินค้า เก็บรวบรวมข้อมูลโดยการใช้ แนวทางการสัมภาษณ์ แนวทางการสังเกตแบบมีส่วนร่วมและการสังเกตแบบไม่มีส่วนร่วม ผู้ให้ข้อมูลประกอบ ด้วย ผู้อาวุโส ผู้น�ำที่เป็นทางการและไม่เป็นทางการ สมาชิกกลุ่มจักสานก่องข้าว ชาวบ้านทั่วไป และเจ้าหน้าที่ ภาครัฐที่เกี่ยวข้อง ผลการวิจัยพบว่า คุณค่าของก่องข้าวในวัฒนธรรมอีสาน เป็นคุณค่าด้านภูมิปัญญาท้อง ถิ่นและด้านการสานสัมพันธ์ของคนในชุมชน ส�ำหรับกระบวนการกลายเป็นสินค้าทางวัฒนธรรมของก่องข้าว ซึ่งมีกระบวนการผลิตภายใต้มาตรฐานเดียวกัน การแบ่งหน้าที่ตามความช� ำนาญ การก�ำหนดราคาและการ สร้างช่องทางการจ�ำหน่าย การให้คุณค่าและความหมาย การสนับสนุนจากภาครัฐ และการเปลี่ยนแปลง ด้านรูปลักษณ์และหน้าที่ของก่องข้าว

ABSTRACT

This research investigated value of Kongkhao in Esan culture, and process of cultural commoditization based on the concept of cultural commoditization. Interview guideline, participatory and non-participatory observation guidelines used in data collection. Key informants consisted of aging people, formal and informal leaders, member from Kongkhao handicraft association, villager, and related officer. Research result found that Kongkhao in Esan culture had highly value in term of local intelligence and people’s relationship. The cultural commoditization of Kongkhao process, found that, the process consisted of the standardization, duty division within the group, product pricing and distribution, meaning creation, government supports, and also the change of its appearance and function. ค�ำส�ำคัญ : คุณค่า กระบวนการกลายเป็นสินค้าทางวัฒนธรรม Key Words : Value, Cultural commoditization Correspondent author: viycha@kku.ac.th * นักศึกษา หลักสูตรศิลปศาสตรมหาบัณฑิต สาขาวิชาสังคมวิทยาการพัฒนา คณะมนุษยศาสตร์และสังคมศาสตร์ มหาวิทยาลัยขอนแก่น ** ผู้ช่วยศาสตราจารย์ ประจ�ำสาขาวิชาสังคมวิทยาและมานุษยวิทยา คณะมนุษยศาสตร์และสังคมศาสตร์ มหาวิทยาลัยขอนแก่น 1


KKU Res J HS (GS) 1 (2) : May - August 2013

43

ผลการใช้รูปแบบการสอนการตั้งปัญหาเสริมด้วยกระบวนการแก้ปัญหา และการเขียนบันทึกการเรียนรู้ต่อความสามารถในการแก้ปัญหา และความสามารถในการเขียนทางคณิตศาสตร์ของนักเรียน ชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 6 The Effects of Using Problem Posing Model Supplemented with Problem Solving Process and Journal Writing on Mathematical Problem Solving and Writing Abilities of Mathayomsuksa 6 Students ปริสา วงศ์ค�ำพระ (Parisa Wongkumpra)* ดร.สมชาย วรกิจเกษมสกุล (Dr.Somchai Vallakitkasemsakul)1** ศรีสุรางค์ ทีนะกุล (Srisurang Teenkul)***

บทคัดย่อ

การวิ จั ย ครั้ ง นี้ มี วั ต ถุ ป ระสงค์ เ พื่ อ เปรี ย บเที ย บความสามารถในการแก้ ป ั ญ หาและความสามารถ ในการเขียนทางคณิตศาสตร์ของนักเรียนที่ได้รับการสอนโดยใช้รูปแบบการตั้งปัญหาเสริมด้วยกระบวนการ แก้ปัญหาและการเขียนบันทึกการเรียนรู้ระหว่างก่อนเรียนและหลังเรียน ด�ำเนินการวิจัยโดยใช้แบบแผน การวิจัยแบบกลุ่มเดียว ทดสอบก่อนเรียนและ หลังเรียน เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัยประกอบด้วย แผนการ จัดการเรียนรู้ แบบวัดความสามารถในการแก้ปัญหาทางคณิตศาสตร์ และแบบวัดความสามารถในการเขียน ทางคณิตศาสตร์ ผลการวิจัยพบว่า ความสามารถในการแก้ปัญหาทางคณิตศาสตร์ของนักเรียนก่อนเรียน มีค่าเฉลี่ย เท่ากับ 11.40 คิดเป็นร้อยละ 35.61 และหลังเรียนมีค่าเฉลี่ยเท่ากับ 24.69 คิดเป็นร้อยละ 77.15 ความสามารถในการเขียนทางคณิตศาสตร์ของนักเรียนก่อนเรียนมีค่าเฉลี่ยเท่ากับ 8.19 คิดเป็นร้อยละ 30.32 และหลังเรียนมีค่าเฉลี่ยเท่ากับ 18.91 คิดเป็นร้อยละ 70.02 เมื่อเปรียบเทียบความสามารถในการแก้ปัญหา และความสามารถในการเขียนทางคณิตศาสตร์ของนักเรียนพบว่าหลังเรียนสูงกว่าก่อนเรียน

ABSTRACT

The purposes of this research were to study and compare mathematical problem solving abilities and writing abilities of students before and after learning using problem Correspondent author: dsomchai@udru.ac.th * นักศึกษา หลักสูตรครุศาสตรมหาบัณฑิต สาขาวิชาหลักสูตรและการสอน คณะครุศาสตร์ มหาวิทยาลัยราชภัฏอุดรธานี ** ผู้ช่วยศาสตราจารย์ สาขาวิชาคณิตศาสตร์ คณะครุศาสตร์ มหาวิทยาลัยราชภัฏอุดรธานี *** รองศาสตราจารย์ สาขาวิชาคณิตศาสตร์ คณะวิทยาศาสตร์ มหาวิทยาลัยราชภัฏอุดรธานี 1


KKU Res J HS (GS) 1 (2) : May - August 2013

55

ผลการสอนโดยวิธีการทางประวัติศาสตร์ที่มีต่อผลสัมฤทธิ์ ทางการเรียนและความสามารถในการคิดวิเคราะห์ เรื่อง ประวัติศาสตร์อาเซียน ส�ำหรับนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 1 โรงเรียนบ้านปราสาท จังหวัดศรีสะเกษ The Effects of Teaching by Using the Historical Method on Learning Achievement and Development of Analytical Thinking on the Topic of ASEAN History of Mathayom Suksa 1 Students at Banprasat School in Sisaket สุพัตรา ค�ำสุข (Supattra Kamsuk)* ดร.สิริวรรณ ศรีพหล (Dr.Siriwan Sripahol)1** สมประสงค์ น่วมบุญลือ (Somprasong Nuambunlue)***

บทคัดย่อ

การวิจัยครั้งนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อ (1) เปรียบเทียบผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนก่อนเรียนและหลังเรียนของ นักเรียนที่สอนด้วยวิธีการทางประวัติศาสตร์ และ (2) เปรียบเทียบพัฒนาการด้านการคิดวิเคราะห์ก่อนเรียน และหลังเรียนของนักเรียนที่สอนด้วยวิธีการทางประวัติศาสตร์ กลุ่มตัวอย่างเป็นนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 1 โรงเรียนบ้านปราสาท อ�ำเภอห้วยทับทัน จังหวัดศรีสะเกษ ปีการศึกษา 2555 จ�ำนวน 45 คน ที่ได้โดยการสุ่ม อย่างง่าย เครือ่ งมือทีใ่ ช้ในการวิจยั ได้แก่ แผนการจัดการเรียนรูท้ สี่ อนด้วยวิธกี ารทางประวัตศิ าสตร์ แบบทดสอบ ผลสัมฤทธิ์ และแบบทดสอบความคิดวิเคราะห์ วิเคราะห์ข้อมูลโดยการใช้การทดสอบค่าที ผลการวิจัยพบว่า (1) ผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนของนักเรียนที่เรียนด้วยวิธีการทางประวัติศาสตร์หลังเรียนสูงกว่าก่อนเรียน อย่าง มีนัยส�ำคัญทางสถิติที่ระดับ .05 และ (2) นักเรียนที่เรียนด้วยวิธีการทางประวัติศาสตร์มีพัฒนาการด้านการคิด วิเคราะห์หลังเรียนสูงกว่าก่อนเรียน อย่างมีนัยส�ำคัญทางสถิติที่ระดับ .05

ABSTRACT

The purposes of this research were (1) to compare the pre-learning and postlearning achievements of students taught with the historical method; and (2) to compare the development effects on analytical thinking ability of students taught with the historical method. Correspondent author: su.patt@hotmail.com * นิสิต หลักสูตรศึกษาศาสตรมหาบัณฑิต สาขาวิชาศึกษาศาสตร์ แขนงวิชาหลักสูตรและการสอน (สังคมศึกษา) คณะศึกษาศาสตร์ มหาวิทยาลัยสุโขทัยธรรมาธิราช ** ศาสตราจารย์ สาขาวิชาศึกษาศาสตร์ คณะศึกษาศาสตร์ มหาวิทยาลัยสุโขทัยธรรมาธิราช *** รองศาสตราจารย์ ภาควิชาหลักสูตรและวิธีสอน คณะศึกษาศาสตร์ มหาวิทยาลัยศิลปากร 1


KKU Res J HS (GS) 1 (2) : May - August 2013

63

การตรวจรับรองมาตรฐานการปฏิบัติราชการ ขององค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น Assessment of Standards Performance Inspection by a Local Administrative Organization จิราพร สันติเวสน์รัตน์ (Jiraporn Santiwesrat)* ดร.ศุภวัฒนากร วงศ์ธนวสุ (Dr.Supawatanakorn Wongtanawasu)1**

บทคัดย่อ

การศึกษาครั้งนี้ น�ำเสนอกระบวนการตรวจรับรองมาตรฐานการปฏิบัติราชการ โดยการสังเกตและ วิเคราะห์เปรียบเทียบกับหลักเกณฑ์การตรวจประเมินคุณภาพตามมาตรฐาน ผลการศึกษา พบว่า มีการปฏิบัติ แตกต่างจากแนวทางและหลักเกณฑ์โดยทั่วไป กล่าวคือผู้ตรวจประเมินไม่มีการประสานงานอย่างต่อเนื่อง เพื่อศึกษาเอกสารข้อมูลล่วงหน้าหรือสร้างความเข้าใจร่วมกับผู้รับการประเมิน ในระหว่างประเมินขาดวิธีการ เก็บรวบรวมข้อมูลที่รอบคอบ ไม่ตรวจสอบที่มาของข้อมูล ไม่ตรวจสอบข้อมูลเพิ่มเติมจากบุคคลหรือสถานที่ ที่เกี่ยวข้อง หลังการประเมินไม่ชี้แจงสรุปผลให้เห็นข้อบกพร่อง จุดอ่อนที่ควรปรับปรุง นอกจากนี้ยังพบว่า มีส่วนเกี่ยวข้องกับค่าใช้จ่ายเพื่อการประเมินอีกด้วย ด้านผู้รับการประเมินไม่น�ำมาตรฐานมาเป็นแนวทาง ในการปฏิบัติงาน ขาดความรู้ความเข้าใจในการประเมิน ขาดทักษะการน�ำเสนอข้อมูล ใช้ผลการประเมิน เพื่อ เงินรางวัล มากกว่าการพัฒนางาน แนวทางการปรับ ปรุงที่ ส� ำ คัญคื อ ควรให้ภ าคประชาชนมี ส่วนร่วม ในการประเมินพร้อมรายงานการด�ำเนินงานทุกขั้นตอน ควรจัดท�ำคู่มือแนวทางการตรวจรับรองมาตรฐาน ส�ำหรับผู้ตรวจและผู้รับการตรวจประเมิน

ABSTRACT

This research had the objective to assess standards performance inspections by a local administrative organization. Data were collected by observation and comparative analysis of the standards criteria as applied through an inspection of quality of performance of personnel. This study found that there was deviation from the standards in performance. There is no coordination among inspectors on a regular basis, or an attempt to review documents in advance, or creating understanding among the persons being evaluated. The inspection did not conduct comprehensive data collection, did not inspect the sources of data, and did not inspect additional data from the related personnel or work site. After the Correspondent author: supawata@kku.ac.th * นักศึกษา หลักสูตรรัฐประศาสนศาสตรมหาบัณฑิต สาขาวิชาการปกครองท้องถิน่ วิทยาลัยการปกครองท้องถิน่ มหาวิทยาลัยขอนแก่น ** รองศาสตราจารย์ คณะพยาบาลศาสตร์ มหาวิทยาลัยขอนแก่น คณบดีวิทยาลัยการปกครองท้องถิ่น มหาวิทยาลัยขอนแก่น 1


KKU Res J HS (GS) 1 (2) : May - August 2013

73

การสร้างภาคีหุ้นส่วนในการบริหารเทศบาลต�ำบลท่าพระ อ�ำเภอเมือง จังหวัดขอนแก่น Building Management Partnership for Thapra Subdistrict Municipality, Muang District, Khon Kaen Province ประสิทธิ์ ตาตินิจ (Prasit Tatanit)* ดร.ล�ำปาง แม่นมาตย์ (Dr.Lampang Manmart)1**

บทคัดย่อ

การศึ ก ษาครั้ ง นี้ มี วั ต ถุ ป ระสงค์ เ พื่ อ ศึ ก ษาบริ บ ทของหน่ ว ยงานในพื้ น ที่ และศึ ก ษาความคิ ด เห็ น ของผู้บริหารหน่วยงานภาครัฐและเอกชนต่อการบริหารงานเทศบาลแบบภาคีหุ้นส่วนและหาแนวทางในการ สร้างภาคีหุ้นส่วนของผู้บริหารหน่วยงานภาครัฐ ภาคเอกชน ในเทศบาลต�ำบลท่าพระ จากการสัมภาษณ์ผู้วิจัย ใช้วิธีการสัมภาษณ์เชิงลึก (In-depth Interview) ผู้บริหารหน่วยงานทั้งภาครัฐและเอกชน 13 แห่ง จ� ำ นวน 17 คน ที่ ตั้ ง อยู ่ ใ นเขตความรั บ ผิ ด ชอบของเทศบาลท่ า พระ ข้ อ มู ล ที่ ไ ด้ จ ากการสั ม ภาษณ์ น� ำ มา วิเคราะห์ สังเคราะห์ จัดกลุ่มสรุปมาเป็นผลวิจัย ผลการศึกษาพบว่า ปัจจุบันหน่วยงานภาครัฐ และหน่วยงานภาคเอกชน มีบทบาทในการพัฒนา พื้นที่เทศบาลตามภารกิจประจ�ำที่หน่วยงานได้ด�ำเนินการอยู่แล้ว ดังนั้นรูปแบบของภาคีหุ้นส่วนในการบริหาร เทศบาลต�ำบลท่าพระจึงเป็นในรูปแบบการบริหารไม่เต็มรูปแบบ (Half) มีกระบวนการท�ำงานเพียงบางกิจกรรม ที่ เ ป็ น กิ จ กรรมร่ ว มกั น ในพื้ น ที่ การริ เ ริ่ ม แนวคิ ด เพื่ อ สร้ า งรู ป แบบภาคี หุ ้ น ส่ ว นในการบริ ห ารเทศบาล ทุกหน่วยงานเห็นว่าควรให้เทศบาลต�ำบลท่าพระเป็นหน่วยงานกลาง เพื่อเป็นผู้ประสานและริเริ่มกระบวนการ สร้างภาคีหุ้นส่วน ซึ่งสมาชิกภาคีหุ้นส่วนต้องมีส่วนร่วมในการผลักดัน กระตุ้น ส่งเสริม ช่วยเหลือ สนับสนุน งบประมาณ และก�ำลังคน ในการปฏิบัติหน้าที่ รวมทั้งวางแผน ติดตามตรวจสอบและประชุมร่วมกัน โดยมี เป้ า หมายร่ ว มกั น คื อ พั ฒ นาพื้ น ที่ เ ทศบาลต� ำ บลท่ า พระและคุ ณ ภาพชี วิ ต ของประชาชน 6 ด้ า น ดั ง นี้ 1) ด้านสนับสนุนและส่งเสริมอาชีพ ภาคีหุ้นส่วนคือ บริษัท ซีพีค้าปลีกและการตลาด บริษัท โออิชิฟู๊ด จ�ำกัด และศู น ย์ วิ จั ย และบ� ำ รุ ง พั น ธุ ์ สั ต ว์ 2) ด้ า นสุ ข ภาพ ภาคี หุ ้ น ส่ ว นคื อ โรงพยาบาลส่ ง เสริ ม สุ ข ภาพต� ำ บล 3) ด้ า นความปลอดภั ย ในชี วิ ต และทรั พ ย์ สิ น ภาคี หุ ้ น ส่ ว นคื อ สถานี ต� ำ รวจภู ธ รเมื อ ง สาขาย่ อ ยท่ า พระ 4) ด้านการศึกษาอาชีพ ภาคีหุ้นส่วนคือ วิทยาลัยสารพัดช่างขอนแก่น 5) ด้านอนุรักษ์ทรัพยากรธรรมชาติ และสิ่งแวดล้อม ภาคีหุ้นส่วนคือ ส�ำนักงานพลังงานจังหวัดขอนแก่น ร่วมกับบริษัทไทยน�้ำทิพย์ จ�ำกัด และ 6) ด้านการสนับสนุนการกีฬา ภาคีหุ้นส่วนคือ บริษัทขอนแก่น บริวเวอรี่ จ�ำกัด เพื่อให้ประชาชนในพื้นที่ เทศบาลต�ำบลท่าพระ มีอาชีพ มีรายได้ มีสุขภาพที่ดี มีความปลอดภัยในชีวิตและทรัพย์สิน และร่วมอนุรักษ์ ทรัพยากรธรรมชาติในพื้นที่ Correspondent author: lamman@kku.ac.th * นักศึกษา หลักสูตรรัฐประศาสนศาสตรมหาบัณฑิต สาขาวิชาการปกครองท้องถิน่ วิทยาลัยการปกครองท้องถิน่ มหาวิทยาลัยขอนแก่น ** รองศาสตราจารย์ กลุม่ สาขาวิชาการจัดการสารสนเทศและการสือ่ สาร คณะมนุษยศาสตร์และสังคมศาสตร์ มหาวิทยาลัยขอนแก่น 1


Issuu converts static files into: digital portfolios, online yearbooks, online catalogs, digital photo albums and more. Sign up and create your flipbook.