MOOM Magazine Vol. 2 No.11

Page 1

นิตยสารธรรมะ : มุม : Vol.2 No.11 : ISSN 1906-2613 เดือนพฤศจิกายน - ธันวาคม 2554 : Hierarchy Issue : ส.ศิวรักษ์ VS. พระราชวิจติ รปฏิภาณ สมณศักดิย์ งั เหมาะสม กับยุคสมัยอยู่หรือ : ประภาส แสงประดับ ผู้พลิกสลัมสู่ ชุมชนต้นแบบ : Made in Chiang Mai : แจกฟรี !!


www.WANGDEX.co.th


มูลนิธิหยดธรรม เจ้าของ www.facebook.com/mymoommag พระถนอมสิงห์ สุโกสโล ประธานมูลนิธิ พระมหาไกรวรรณ ชินทตฺติโย รองประธานมูลนิธิ ประวิทย์ เยี่ยมแสนสุข ที่ปรึกษามูลนิธิ พระศรีวิสุทธิวงศ์ กรรมการ พระมหาประสิทธิ์ ญาณปฺปทีโป กรรมการ คุณวิชัย ชาติแดง กรรมการ คุณอลิชา ตรีโรจนานนท์ กรรมการ คุณศิริพร ดุรงค์พิสิษฐุ์กุล กรรมการ คุณวีรยา ทองน้อย กรรมการ คุณดนิตา ศักดาวิษรักษ์ กรรมการ พระถนอมสิงห์ สุโกสโล บรรณาธิการ อลิชา ตรีโรจนานนท์ บรรณาธิการที่ปรึกษา พระถนอมสิงห์ สุโกสโล บรรณาธิการผูพ ้ ิมพ์โฆษณา พระมหาวิเชียร วชิรเมธี กองบรรณาธิการ ตู้ป.ณ. 54 ปณ.แม่ริม เชียงใหม่ 50180 ที่อยู่มูลนิธิ โทร : 053-044-220 www.dhammadrops.org Rabbithood Studio บรรณาธิการศิลปะ พัชราภา อินทร์ช่าง ฝ่ายศิลป์ ศิริโชค เลิศยะโส / ภานุวัฒน์ จิตติวุฒิการ ช่างภาพ พรชัย บริบูรณ์ตระกูล / ชยพัทธ แก้วกมล ตะวัน พงศ์แพทย์ / วัชรพงษ์ บุญเรือง พระมหาวิเชียร วชิรเมธี พิสูจน์อักษร บริษัท เคล็ดไทย จำ�กัด 117-119 ร่วมบุญจัดส่ง ถ.เฟื่องนคร แขวงวัดราชบพิธ เขตพนะนคร กรุงเทพฯ 10200 www.kledthaishopping.com บริษัท ดอคคิวเมนนท์ พาเซล เอ็กซ์เพรส จำ�กัด (DPEX) ร่วมบุญจัดส่ง 60 ซอยอารีย์ 5 เหนือ ต่างประเทศ ถ.พหลโยธิน แขวงสามเสนใน เขตพญาไท กรุงเทพฯ 10400 (www.dpex.com) พระพรหมคุณากรณ์ ป.อ.ปยุตโต/ Special thanks พระปิยะลักษณ์ ปญฺญาวโร/ พระมาโนช ธมฺมครุโก/ สุลักษณ์ ศิวรักษ์/ สุรสีห์ โกศลนาวิน/ ถนอมวรรณ โกศลนาวิน/ อุดม แต้พานิช/ ชาลี ประจงกิจกุล รบฮ. ออกแบบปก ห้างหุ้นส่วนจำ�กัด กู๊ด-พริ้นท์ พริ้นติ้ง พิมพ์ที่ 4/6 ซอย 5 ถ. ช้างเผือก ต.ศรีภูมิ อ.เมือง เชียงใหม่ 50200 โทร : 053-412556 แฟกซ์ : 053-217264

Hierarchy Issue ช่วงนี้มีเหตุให้ต้องเดินทางบ่อ ยมาก ทั้ง ภายในและ ภายนอกประเทศ ทำ�ให้ได้พบเห็นอะไรน่า สนใจหลายอย่าง โดยเฉพาะพฤติกรรมของชาวต่างชาติที่ยังไม่แน่ว่าจะวางตัวกับ พระอย่างไรถึงจะเหมาะ เมื่อท่านเหล่านี้พบกับพระที่เป็นฝรั่งก็ ดูเหมือ นจะไม่ค่อยมีปัญหาเท่าไหร่เพราะพอเข้าใจกันได้ แต่พอ มาเจอพระไทยฝรั่งก็ไปไม่เป็นเหมือนกัน เพราะมีกิริยาหลายอย่าง ที่พระไทยไม่เคยชิน แต่อย่าว่าอย่างนั้นอย่างนี้เลยฝรั่งเขาก็ ไม่เคยชินเช่นกัน ไม่ว่าจะเป็น การประเคนของให้พระ หรือการ ทักทาย เป็นต้น ซึ่ง หากมีค นไทยเดิ น ทางไปด้วยก็ดูเหมือนว่า คนไทยเรา พยายามจะอนุรักษ์วัฒนธรรมในเรื่องนี้กันเหลือเกิน เลยนึกถึงเหตุการณ์ครั้งหนึ่งซึ่งมีโอกาสเดิน ทางโดยสายการบิน ภายในประเทศ แล้วผูค้ นต่างก็พยายามหลบทางให้พระ โดยเฉพาะ ผู้หญิงก็กลัวถูกพระอย่างกับ เปรตกลัวน้ำ�มนต์ จนแอร์โฮสเตส คนหนึ่งถึงกับสะดุดเก้าอี้เสียหลักไป ทำ�ให้เกิดความคิดในใจขึ้นมา ว่า...บารมีของพระไทยมันน่ากลัวขนาดนี้เลยหรือนี่.... พระถนอมสิงห์ สุโกสโล บรรณาธิการ

ขออภัยที่ มุม ฉบับนี้ล่าช้าจากเหตุการณ์น้ำ�ท่วมภาคกลาง ทำ�ให้ ผู้สนับสนุน หลายฝ่าย ไม่สามารถให้ก ารสนับสนุนได้ดังเดิม เราจึงไม่สามารถ ดำ�เนินขั้นตอนในการผลิตได้ตามกำ�หนด จึงต้องขออภัยมา ณ ที่นี้ด้วย ขออนุโมทนาผู้ที่ทราบข่าวและให้การสนับสนุน ทำ�ให้หนังสือ เล่มนี้ได้ดำ�เนินการต่อไป ขอเจริญพร พระถนอมสิงห์ สุโกสโล


7

4 7 8

8 16 22

16

34 36 38 39 40

Buddhist’s Mystery : ธงฉัพพรรณรังสี มีอะไรซ่อนอยู่ คน-ทำ�-มะ-ดา : ชายผู้ปลูกต้นไม้แห่ง สันติภาพกลางฐานทัพญี่ปุ่น มุมส่วนตัว : ประภาส แสงประดับ ผู้พลิกสลัมสู่ชุมชนต้นแบบ มุมพิเศษ : ยศช้างขุนนางพระ VS. : ส.ศิวรักษ์ VS. พระราชวิจติ ร ปฏิภาณ สมณศักดิ์ยังเหมาะสมกับยุคสมัยอยู่หรือ ธรรมไมล์ ผ้าเหลืองเปื้อนยิ้ม : สืบจากฉายา Hidden tips : เทคนิค ยกหัวใจ ให้พ้นน้ำ� Time for ทำ� ธรรมะ(อีก)บท : มองเห็นเป็นอ่าน

22

M Mental O Optimum O Orientation M Magazine

สารบัญ


เรื่อง : กองบรรณาธิการ

มุมใหม่

5

วัด มรดกโลกญี่ปุ่นห้าม ”แก๊งยากูซ่า” ใหญ่สุด ของ ประเทศ เข้ามาเหยียบวัดอีก วัด “เอ็น ไรยากูจิ” ซึ่งได้รับการขึ้น ทะเบียนเป็นมรดกโลก ของหน่วยงานยูเนสโก้ อายุ 1,200 ปี ตั้งอยู่ในเมืองชิกะ ของญี่ปุ่น เป็นสถานทีว่ างแผ่นจารึกศพของครอบครัวต่างๆ ของชาวญี่ปุ่น รวมทั้งกลุ่มยากูซ่า ได้ยื่นคำ�เตือนให้แก่แก๊ง “ยามากูชิ กูม”ิ ยากูซ่าแก๊งใหญ่ที่สุดของญี่ปุ่นว่า แก๊งไม่ได้ รับอนุญาตให้สมาชิกแก๊งเข้ามาในวัดอีกต่อไป เพราะใน ช่วงที่ผ่านมาได้ยกโขยงสมาชิกเกือบ 100 คน เข้ามายังวัด สร้างความตื่นตะลึงให้ชาวบ้านญี่ปุ่น และ ส่งผลให้ตำ�รวจ ต้องขอให้วัดยกเลิกกิจกรรมของ แก๊งยากูซาในวัดแห่งนี้ อย่างไร ก็ตาม การตัดสินใจดังกล่าวของวัด ยังถูกมองว่าดำ�เนินตามรอย ของ สังคมญี่ปุ่นในยุคปัจจุบันที่ต่าง ปฎิเสธและต่อต้านแก๊งยากูซา มากขึ้นด้วย www.matichon.co.th

คำ�เตือนจากองค์ดาไล ลามะ องค์ดาไลลามะ ชักชวนให้ทุกคนรับผิดชอบต่อสังคม มากขึ้น ด้วยการคิดเพื่อประโยชน์แก่โลกใบนี้ มากกว่า คิดเพื่อประโยชน์ส่วนตน ซึ่งจะเป็นทางออกของปัญหา ความวุ่นวายทั้ง หลายได้ องค์ด าไลลามะยังเปรยถึง ช่ว งเวลาที่พ ระองค์ท รงได้เข้าร่ว มการประชุมเรื่องการ เปลี่ยนแปลงของสิ่งแวดล้อมที่โคเปนเฮเกน ซึ่งทรงเห็นว่า ผู้เข้าร่ว มในหลายประเทศพูดแต่เรื่องที่ต นเองสนใจ เฉพาะที่เป็น ประโยชน์ต่อ ตนเองเท่านั้น ไม่ได้พูดถึง ประโยชน์ส่ว นรวมของโลกเลย ซึ่งอาจทำ�ให้เกิดความ เสียหายในระยะยาวได้ www.buddhistchannel.tv

องค์กัมมาปะทรงให้รื้อฟื้นภาษาสันสกฤต องค์กัมมาปะที่ 17 ประมุขแห่งนิกายกักยู ซึ่งเป็นพระภิกษุ หนึ่ง ในนิกายสายธิเ บต พยายามรื้อฟื้น ภาษาสัน สกฤต ที่เคยใช้ในคำ�ภีร์พระพุทธศาสนาก่อนที่พระพุท ธศาสนา จะกระจายสู่ธิเ บต โดยพระองค์พยายามสืบค้นหาคัมภีร์ โบราณ ชือ่ โดฮาซ ซึง่ แต่งขึน้ โดยชาวอินเดียชื่อ มหาสิทธะ ผู้เป็นอาจารย์ที่สำ�คัญของนิกายนี้ www.buddhistchannel.tv

จีนขยายพื้นที่วัดเก่าแก่ที่สุด วัดไป่หม่า (ม้า ขาว) ในนครลั่วหยาง มณฑลเหอหนาน ซึ่งเป็นวัดเก่าแก่ที่สุด ในประเทศ กำ�ลังจะมีการสร้าง วิหารเพิ่มขึ้นอีก 10 หลัง โดยมีผู้รับเป็นเจ้าภาพสร้างจาก นานาประเทศทั่ว โลก โดยวิห ารไทยและวิหารอินเดีย ได้สร้างขึ้นแล้ว ในขณะที่วิหารอื่นๆ จะเริ่มสร้างในเดือน เมษายนที่จะถึงนี้ zeenews.india.com


6

Buddhist’s Mystery

เรื่อง : กองบรรณาธิการ I ภาพประกอบ : รบฮ.

ธงฉัพพรรณรังสีมีอะไรซ่อนอยู่

ช่วงปี 2554 - 2555 เป็นช่วงที่ทั่วโลกกำ�ลังตื่นตัวเรื่อง “พุทธชยันตี” หรือเรียกง่ายๆ ว่า พระพุทธศาสนามีอายุครบ 2600 ปี ฉะนั้นเราจึงมีโอกาสจะเห็น “ธง” สีสันแปลกๆ ติดอยู่ตามบ้าน สำ�นักงาน โรงแรม ฯลฯ ของชาวพุทธทัว่ โลก โดยเฉพาะหากเดินทาง ไปยังต่างประเทศ เช่น อินเดีย ศรีลังกา เป็นต้น ธงนั้นมีชื่อเรียกว่า “ธงฉัพพรรณรังสี” คำ�ว่า ฉัพพรรณรังสี แปลว่า รัศมี 6 สี ซึ่งสีที่อยู่ บนธงก็มีความหมายในตัว ดังนี้ 1. สีเขียว หรือ น้ำ�เงิน (นีละ) หมายถึง ความเมตตากรุณา ของพระพุทธเจ้า ที่หลังจากตรัสรู้ธรรมแล้วยังได้นำ�ธรรมะนั้น มาสอนให้ผู้อื่นได้ร่วมพ้นทุกข์ด้วย ซึ่งชาวพุทธสมควรจดจำ�เป็น แบบอย่างเป็นพื้นฐานในการปฏิบัติตน 2. สีเหลือง (ปีตะ) หมายถึง ทางสายกลางที่หลีกเลี่ยงการ ใช้ชีวิตในทางสุดโต่ง โดยต้องรู้จักปรับใช้มรรคมีองค์ 8 (ความเห็น ชอบ ความคิดชอบ การสนทนาชอบ การงานชอบ อาชีพชอบ ความเพียรชอบ สติระลึกชอบ สมาธิชอบ) ให้เข้ากับวิถีชีวิตให้ได้

3. สีแดง (โลหิตะ) หมายถึง การอวยพรให้ประสบความ สำ�เร็จในการใช้ชีวิตด้วยปัญญา ด้วยคุณธรรมความดี 4. สีขาว (โอทาตะ) หมายถึง ความหมดจดของพระธรรม ที่สมบูรณ์แบบและครบถ้วนในตัว โดยสามารถนำ�มาใช้ปฏิบัติเพื่อ ให้พ้นทุกข์ได้อย่างไม่จำ�กัดกาล 5. สีแสด (มัญเชฎฐะ) หมายถึง พระปัญญาญาณของ พระพุทธเจ้าที่สามารถค้นพบสัจธรรม และมีจิตตวิทยาเข้าใจใน วิธีการสอนให้ผู้อื่นเข้าใจตาม 6. สีประภัสสร (ปภัสสระ) หมายถึง ความรู้แจ้งที่รวม เอาทั้ง 5 ข้อแรกไว้ด้วยกัน เป็นการบอกว่าถ้าหากตั้งใจปฏิบัติตาม 5 ข้อนั้นแล้ว จะทำ�ให้รู้จักมองโลกตามความเป็นจริง และชีวิตย่อม ดำ�เนินไปบนเส้นทางแห่งการพ้นทุกข์อันเป็นจุดหมายสูงสุดของ ชาวพุทธได้อย่างแน่นอน ดังนั้นเมื่อเห็นธงฉัพพรรณรังสีนี้ที่ใด ก็ของให้รู้ว่า ธงนี้มีไว้เพื่อแสดงถึงพุทธมหาบารมี และเพื่อเป็นกำ�ลังใจ นักปฏิบัติธรรมทั้งหลายนั่นเอง


พระพุทธศาสนามีอยู่มิใช่เพื่อตัวเอง แต่มีเพื่อประโยชน์สุขแก่ประชาชน หรือเพื่อมวลมนุษยชาติ เพราะฉะนั้น ประโยชน์สุขของสังคม จึงเป็นเป้าหมายสำ�คัญ พระพรหมคุณาภรณ์


8

Book Corner

เรื่อง : กองบรรณาธิการ

สุขให้ถึงแก่น ตะลุยแดนภารตะ ผู้แต่ง: กิตติเมธี สำ�นักพิมพ์: ผลิบาน หากใครเป็นแฟนของหนังสือผ้าเหลืองเปื้อนยิ้ม ควรอ่านหนังสือเล่มนี้เพราะมันคือผ้าเหลืองเปื้อน ยิ้มภาคพิสดาร ตอนคณะพระอาจารย์แก้วพาทัวร์อินเดีย ซึง่ ก็แน่นอนว่าต้องตามติดด้วยสามเณร แสนซนทั้งหลาย ที่ช่างคิดช่างสงสัยในวัฒนธรรม ประเพณี ประวัติศาสตร์ ทำ�ให้พระอาจารย์แก้ว ต้องตามอธิบาย ทำ�ให้ผู้อ่านและผู้สนใจใฝ่ธรรม มองภาพสังคมในอดีตสู่ปัจจุบัน และการเกิดขึ้น ของพระพุทธศาสนาได้ง่ายดายขึ้น

อึ เล่าประวัติศาสตร์ ผู้แต่ง / แปล: ธวัชชัย ดุลยสุจริต สำ�นักพิมพ์: มติชน หากใครเคยดูหนังฮอลลีวู้ดที่เป็นเรื่องราวย้อนยุค แสนโรแมนติกที่มี อัศวิน เจ้าหญิง เจ้าชาย ขี่ม้าขาว เป็นตัวดำ�เนินเรื่อง ทำ�ให้อ ยากไปเกิดในยุคสมัยนั้น หนังสือเล่มนี้จ ะทำ�ให้คุณต้อง คิดใหม่อีก หลายรอบ แล้วอาจจะต้องสั่นหัวบอกลายุคนั้นไปเลยก็ได้ เพราะบางทีคุณอาจจะ ลืมคิดถึงเรื่องประจำ�วันที่เราต้องทำ�ทุกวัน เช่น การขับถ่ายและเข้าห้องน้ำ� ที่สุด แสนจะอยู่ นอกจินตนาการของคนในยุคนี้กันเลยทีเดียว แล้วคุณจะรู้ว่าคุณ เหมาะกับปัจจุบันที่สุดแล้ว

Eat, Pray, Eat ผู้แต่ง : Michael Booth หนังสือเล่มนี้เล่าถึงประสบการณ์ชีวิตของตัว Michael Booth เอง ซึ่งเป็นนักเขียนเรื่อง กิน ดื่ม ท่องเที่ยว เมื่ออายุก้าวเข้า เลข 4 เขาเริ่มรู้สึกว่าทุกอย่างในชีวิตกำ�ลัง ถดถอยและเริ่มเบื่อกับ สิ่งรอบตัวมากขึ้น ภรรยาของเขาจึงขอให้ไปเที่ยวเพื่อเปิดหูเปิดตาที่ประเทศอินเดีย 3 เดือน พร้อมกับเธอและลูกทัง้ 2 คน โดยการท่องเทีย่ วของเขาในครัง้ นีม้ คี วามสนุกสนานจนทำ�ให้คนอ่าน ต้องหิว และ ในขณะเดียวกันก็ถูกเติมเต็มด้วยความงามแห่งความสงบแห่งจิตวิญญาณที่เขา ค้นพบผ่านนานาความเชื่อและความหลากหลายของอินเดียเช่นกัน


เรียบเรียง I ภาพ : กองบรรณาธิการ

คน-ทำ�-มะ-ดา

9

ชายผู้ปลูกต้นไม้แห่งสันติภาพกลางฐานทัพญี่ปุ่น

คุณลุง อะซาโอะ ทาคาเอสุ ชายผู้ได้รับที่ดินขนาด 333 ตารางเมตร บนเกาะโอกินาว่า จากกองมรดกของแม่ ซึ่งที่ดินผืนนี้ เคยถูกทหารอเมริกายึดไปใช้เป็นฐานทัพในช่วงสงครามโลก ครั้งที่ 2 และควรกลับคืนสู่เจ้าของหลังจากสิ้นสงคราม แต่ เหตุการณ์ก็ไม่ได้เป็นอย่างนั้น เมื่อรัฐบาลญี่ปุ่นใช้วิธีบังคับ ขอเช่าต่อเพื่อให้เป็นฐานทัพของกองกำ�ลังป้องกันตัวเอง (Japan Self-Defense Forces) โดยไม่สนใจว่าเจ้าของจะยินยอมหรือไม่ จวบจนเวลาล่วงเลยไปถึง 32 ปี คุณลุง อะซาโอะ ก็ได้ ที่ดินคืนมาเป็นของตัวเองอีกครั้ง แต่ก็มาพร้อมด้วยเงื่อนไขที่ ไม่ยอมให้ต่อน้ำ�-ไฟเข้าไปใช้ในพื้นที่เด็ดขาด พร้อมทั้งให้เข้าไปใช้ สถานที่ได้เพียงเดือนละครั้ง ซึ่งแต่ละครั้งก็ต้องรายงานให้เจ้าหน้าที่ ทราบด้วย (เพราะที่ดินอยู่กลางค่ายกองกำ�ลังป้องกันตัวเอง) คุณลุงจึงตัดสินใจเปิดพื้นที่นี้แก่ผู้ที่ต้องการสร้างสันติภาพในโลก ให้มารวมตัวกันร้องรำ�ทำ�เพลง ถ่ายรูป (นอกพื้นที่ห้ามถ่ายรูป เด็ดขาดเพราะเป็นฐานทัพ) ปลูกต้นไม้ ฯลฯ เพื่อสืบสานความรู้สึก ที่ต้องต่อสู้อย่างสันติเพื่อให้ได้มาซึ่งสันติภาพต่อไป โดยตั้งชื่อ

สถานที่นั้นไว้ว่า “ชูราสะ” ซึ่งแปลว่า “ความงดงาม” ในภาษา โอกินาว่า อีกสิ่งหนึ่งที่คุณลุงพยายามทำ�ก็คือ การพยายามสืบสาน เจตนารมณ์สันติภาพ ให้บังคับใช้รัฐธรรมนูญ มาตรา 9 ของญี่ปุ่น ที่ระบุไว้ว่า “ญี่ปุ่นต้องการสันติภาพบนพื้นฐานของความยุติธรรม และความเป็นระเบียบเรียบร้อย คนญี่ปุ่นขอประกาศยกเลิก ที่จะใช้สงครามและยกเลิกการถือว่าการทำ�สงครามเป็น สิทธิของ ประเทศ และยกเลิกการใช้การคุกคามหรือการใช้กำ�ลังเพื่อการ แก้ไขปัญหาความขัดแย้งระหว่างประเทศ และเพื่อการดังกล่าว จะไม่มีการธำ�รงรักษาไว้ซึ่งกองกำ�ลังทางบก กองกำ�ลังทางเรือ และกองกำ�ลังทางอากาศ รวมทั้งศักยภาพในการทำ�สงคราม ด้านอื่นๆ ในญี่ปุ่น สิทธิที่จะแสดงความกระหายสงครามของรัฐ จะไม่ได้รับการรับรอง” ให้เกิดขึ้นอย่างจริงๆ จังๆ เสียที เพราะในความจริงแล้วถึงรัฐธรรมนูญจะเขียน อย่างนั้น ญี่ปุ่นก็ยังมีทั้งทัพบก ทัพเรือ ทัพอากาศ อาวุธ สงครามต่างๆ อยู่เหมือนเดิมไม่มีผิด เพียงแค่เปลี่ยนชื่อเป็น “กองกำ�ลังป้องกันตนเอง” เท่านั้นเอง


10

มุมส่วนตัว

เรียบเรียง : กองบรรณาธิการ I ภาพ : ศิริโชค เลิศยะโส

ประภาส แสงประดับ ผู้พลิกสลัมสู่ชุมชนต้นแบบ

บ้าน...เป็นจุดเริ่มต้นที่สำ�คัญของสังคม หากบ้านไม่น่าอยู่ไม่ว่าจะด้วยเหตุผลใด ก็ตาม ก็ย่อมทำ�ให้คนที่อาศัยบ้านนั้น ไม่มีความสุขไปด้วย แต่การจะมีบ้าน ที่น่าอยู่ มีชุมชนที่อบอุ่น ก็ไม่ใช่ ทางเลือกที่คนทุกคนจะมีได้ แต่สำ�หรับ บางคนก็สามารถสร้างมันขึ้นมาเองก็ได้ มุม ฉบับนี้จึงชวนมารู้จักกับ รท. ประภาส แสงประดับชายหนุ่ม วัย 38 ปี ผู้ใช้เวลาเพียง 6 ปี พลิกชุมชน บางบัวจากสลัมไปเป็นสวรรค์ จน New York Time Magazine ถึงกับเชิญไปบรรยายที่อเมริกาเลย ทีเดียว เขามีเคล็ดลับอย่างไร ลองตามอ่านดูครับ


มุม : คุณอยู่ที่นี่มาตั้งแต่เกิดเลยหรือเปล่า จริงๆ แล้วเป็นคนชนบทไม่ได้เกิดที่นี่ แต่ว่ามาอยู่ที่นี่ก็ยี่สิบกว่าปี ครอบครัวแฟนเกิดที่นี่ แม่เขาเกิดที่นี่ อยู่ที่นี่มาหกสิบกว่าปี แฟนก็เกิดที่นี่ ผมเป็นคนอยู่จังหวัดสงขลา ก่อนนี้ก็มาร่ำ�เรียนแถวนี้

11

มุม : ตอนนั้นที่นี่เป็นยังไง เมื่อก่อนเขาจะปิดประตู แล้วก็เห็นคนที่นี่ลอดรู (กำ�แพง) เพื่อออกไปถนนใหญ่ เรียกว่า รูหมาลอด เราก็เห็นว่าตรงนี้คือแหล่งยาเสพติด เป็นสลัม ก็มองกันแบบนั้น ก็ยอมรับว่ามันก็มีส่วน ซึ่งเราก็มองว่าเขาน่าจะถูกพัฒนาได้ เราก็เข้ามาดู เข้ามาคุยกับชาวบ้าน แล้วต่อมาเราก็มามีครอบครัว ที่นี่ พอมามีครอบครัวเราก็รู้สึกว่า เดินเข้าเดินออกก็เห็นเด็กเล็กๆ ดมกาว แล้วไอ้กาวตามบ้านก็ขายดี ก็เห็นเด็กคอยขายยาให้คนที่มาอยู่ ก็เลย เกิดความคิดขึ้นมาว่า เราน่าจะทำ�อะไรดีๆ ที่นี่ได้ แต่เราทำ�คนเดียวไม่ได้ ก็เลยคิดแล้วก็มานั่งคุยกับพวกพ่อแม่ เราก็คิดว่าอนาคตลูกหลานเรา ที่จะโตขึ้น ไม่น่าจะต้องมาเกี่ยวอยู่กับสิ่งเหล่านี้ น่าจะช่วยกันพัฒนา เราน่าจะชวนคนมาทำ�งานมาร่วมกับแนวคิดแบบเราได้ ไปเห็นกลุ่มเล่นไพ่ กลุ่มดมกาว กลุ่มติดยา กลุ่มขยะ เราก็มีปัญหากับมัน มุม : ตอนนั้นมีตำ�แหน่งอะไรในหมู่บ้าน ก็เป็นชาวบ้านที่เป็นสมาชิกในชุมชน แล้วก็มีประธานชุมชนเดิม เขาก็ทำ�แบบประสาเขานั่นแหละ ก็ต่างคนก็ต่างอยู่ มุม : อะไรทำ�ให้ไปคิดว่าต้องเป็นศาสนาถึงจะช่วยได้ เมื่อก่อนชวนเรียกประชุมคุย เราก็ไม่ได้เป็นผู้นำ�ทางการไม่ได้เป็นประธานชุมชน คนเขาก็ไม่ค่อยฟัง เขาบอกก็ชาวบ้านคนหนึ่ง ยังไม่ค่อยไว้ใจกัน แต่ว่าวิธีการคือเราจะทำ�ยังไงดีให้เขาเข้ามาร่วมกับเรา เริ่มจากที่เราคิดว่าอย่างน้อยใช้เรื่องพระนี่แหละ โดยที่ดึงพระมาช่วยทางจิตใจ เพราะ เราเชื่อว่าพระก็คือคนที่นี่ หากพระพูดเขาเชื่อพระ แต่เราเอาพระมาทำ�เรื่องสิ่งแวดล้อม เพราะท่านก็มีปัญหาขยะเหมือนกัน ไม่รู้จะแก้ยังไง ขยะมันก็ลอยมาติดวัด มุม : โดยปกติเป็นคนที่เข้าวัดเข้าวาหรือใกล้ชิดศาสนาอยู่แล้วไหม เดิมก็ไปครับ แต่ก็ไม่บ่อยนัก เพราะว่าเราก็ยังอายุยังน้อยอยู่ ก็ไม่ได้มีโอกาส แต่ว่าหลังจากทำ�ทอดผ้าป่าแล้วผมก็เข้าวัดบ่อย พระมาบิณฑบาต นี่เราก็ไปกับพระ ช่วงเช้าช่วยถือช่วยทำ�กับข้าว เด็กวัดไปถือไม่ไหวเพราะว่าคนตักบาตรเยอะ ก็เลยทำ�ให้คุ้ยเคยกับวัด แล้วก็เคยบวชเณรมา สามพรรษา เราก็ได้ศกึ ษาจนจบนักธรรมชัน้ เอกด้วย ก็ผกู พันกับวัด ชีวติ ต่างจังหวัดนีพ่ อ่ แม่จนนะ แม่กข็ น้ึ ตาลแล้วก็ลกู หกคน ผมก็เป็นพีค่ นทีส่ อง เห็นน้องเราเยอะ กลัวว่าน้องไม่มโี อกาสเรียนแน่ ก็เลยคิดทีจ่ ะพึง่ ศาสนา ตอนนัน้ ผมจบ ป.6 พอดี ก็บอกพ่อว่าไปบวชเรียน เพราะว่าสงสารน้องอีก ห้าคน พ่อก็ดใี จตืน่ เต้นว่าลูกจะไปบวช ได้เรือ่ งพระ เรือ่ งอะไรตอนทีบ่ วชเณรก็เยอะ อยูก่ บั เจ้าอาวาสท่านก็รกั คือเขาสอนเปรียญ ผมก็ชงนมให้พระ ผมก็ได้เรียนด้วย เลยจบแค่เปรียญหนึง่ เปรียญสองไม่ได้เรียน พอจบนักธรรมเอกก็ได้ความรูร้ ะดับหนึง่ เราเชือ่ ว่าความดีอย่างไรมันก็ดกี บั เรา มุม : แล้วเริ่มคิดเรื่องสิ่งแวดล้อมเมื่อไหร่ เมื่อมาเจอที่นี่แหละครับ ผมก็อยู่กับสลัมอยู่กับขยะจริงๆ กิจกรรมสิ่งแวดล้อมเป็นส่วนหนึ่งที่จะเปลี่ยนบ้านด้วย ที่จะเปลี่ยนใจคน แต่ก็ไม่นึกว่า มันจะเปลี่ยนได้นะ ก็กะว่าขยะนี่แหละน่าจะเป็นตัวหนึ่งที่ทำ�ให้คนมาคุยกันก็เกิดกัน แล้วก็เอาพระมาสร้างกองทุนอะไรสักกองทุน ให้ทุกคน ได้มาทำ�บุญจากขยะที่คนเขาประณามพวกเรา มุม : เขาประณามยังไง ก็เขาบอกว่าคนที่นี่ทิ้งขยะ คือจริงๆ คนที่นี่เขาทิ้งน้อย โรงงานเขาปล่อยเป็นท่อใหญ่ๆ ไปเลยที่เราไปดู เขาก็ทิ้งกันยี่สิบสี่ชั่วโมงนะ แต่ชาวบ้านที่นี่ ถึงแม้จะซักผ้าบ้างอะไรบ้างแต่ก็น้อย เขาก็รู้จักที่จะทิ้งนะ แต่ว่าทุกคนเขามองสภาพแล้วบอกว่า อ๋อ นี่แหละ (ทำ�เสียงเหยียดหยาม) อยู่ริมคลอง นี่แหละ นี่ตัวทำ�น้ำ�เสีย แต่จริงๆ ถ้าเราไม่อยู่ป่านนี้อาจจะเป็นคลองระบายน้ำ�เสียขยะเรียบร้อยแล้ว ซึ่งเราพยายามรักษาอยู่ ก็เลยใช้วิธีการนี้เอา ให้สังคมเขารู้ว่าไอ้สิ่งที่เขาบอกว่าปัญหาเหล่านี้ที่ชุมชนทำ�ไว้ เอามาเป็นกองบุญก็คือจัดทอดผ้าป่าขยะเลย เราก็ได้เงินมาส่วนหนึ่ง


12

มุม : ตอนที่จัดทอดผ้าป่าขยะเป็นผู้นำ�ชุมชนหรือยัง ตอนนั้นผมเป็นโดยพฤตินัย ก็คือเป็นประธานเครือข่ายของทั้งหมด ตอนนี้ก็คือในสิบสองชุมชน ก็จาก idea เรา เราก็เชื่อมโยงผู้นำ�ชุมชนคนอื่นมา แต่เราก็พยายามจะให้ชุมชนเรา ให้ผู้นำ�เราเห็น พยายามสร้างเครือข่ายเป็น network เรียกว่าเครือข่ายพัฒนาสิ่งแวดล้อมคลองบางบัว ก็ตั้ง เครือข่ายขึ้นมาแล้วร่วมกับลุงแสวงซึ่งท่านเสียชีวิตไปแล้ว จัดมาด้วยกันแล้วอยากจะทำ� ลุงแสวงซึ่งเป็นคนคิดค้นถังดักไขมัน เราก็เอามาพัฒนา มาอะไรกันซึ่งท่านก็เสียชีวิตไป เราก็อยากให้เรื่องเหล่านี้มันอยู่ ตอนนั้นก็เป็นประธานเครือข่าย พาคนลงคลองชุมชนโน้นบ้างประชาสัมพันธ์ไป มุม : ช่วงแรกๆ เป็นยังไงบ้าง ช่วงแรกๆ ยาก เพราะว่าต่างคนก็ต่างอยู่ พอคุยคนก็ไม่สนใจ แล้วอีกอย่างหนึ่งเราเป็นผู้นำ�ที่เหมือนกับว่าไม่ได้เป็นผู้นำ�ทางการนะ คือไม่ได้มา จากหน่วยงานตั้งมา เราก็ promote ตัวเองขึ้นมาเองเพราะว่าเราอยากทำ� promote จากสิ่งที่เราอยากเปลี่ยนแปลง อยากจะเห็นด้วย มุม : ต้องต่อสู้กับความคิดของคนเยอะไหม เยอะครับ ตอนที่เรียกประชุมใหญ่ไม่ได้ผลเลย ยิ่งพอพูดหลังจากที่เราทอดผ้าป่าขยะแล้ว คนก็เริ่มมากลุ่มใหญ่แล้วนะ แต่ว่าช่วงนั้นคนบนบกกับ คนในคลองเขาก็ยังคิดแยกส่วน คนบนบกบอกว่าคนในคลองนี่แหละทิ้งขยะ คือพอคนข้างนอกเขาประณาม เขาก็จะโทษกันเอง คนในคลองก็ ไม่ได้ค้านอะไร เพื่อความอยู่รอด แต่สุดท้ายคือเจ็บทั้งคู่ ก็คือว่าเขาก็มองว่าทั้งหมดนั่นแหละ คนข้างนอกเขาก็พยายามที่จะเข้าไปคุยกับชาวบ้าน เข้าไปหากลุ่มต่างๆ แล้วก็ศึกษากลุ่มปัญหา เราก็น่าจะเอากลุ่มที่มีปัญหาไปนั่งคุยกับเขา ก็คุยได้ 28 กลุ่ม แต่ว่ากว่าจะเป็น 28 ก็เริ่มจาก 5 กลุ่ม 10 กลุ่ม คุยบางทีบางกลุ่มก็ไม่สำ�เร็จ มุม : เห็นว่าเคยแจ้งตำ�รวจจับกลุ่มที่เล่นไพ่ด้วย เมื่อก่อนนี่เคยแจ้งตำ�รวจจับ พอแจ้งตำ�รวจจับ ตำ�รวจก็ไปบอกวงไพ่ว่า ประภาสนี่แหละแจ้งมาว่าเล่นไพ่ เขาก็สั่งให้ไปทุบไปตีเลยอะไรอย่างนี้ (หัวเราะ) แต่ว่า เขาไม่ได้มาหรอก เขาคงอยากให้มีกระแสมาแบบนี้ มุม : ใครเป็นคนบอกให้ไปทุบ ก็ผู้นำ�เก่า มุม : ตอนนี้เขายังอยู่ไหม อยู่แต่ว่าเขามาเป็นทีมงาน มุม : มาเป็นทีมเดียวกัน ทีมเดียวกัน แต่ว่าเขาทำ�อีกแผนกหนึ่ง เขาเริ่มเข้าใจกันหมดแล้ว ก็ใช้เวลากว่าจะดึงเขามาได้ มุม : แล้วกลุ่มที่เป็นยาเสพติดก็มี เมื่อก่อนนี้เยอะครับ แล้วก็ขายกันแบบ free style ที่เจอก็อย่างเช่น ถ้าบ้านนี้ขายยาเสพติด เวลาตำ�รวจมาไม่เจอ เพราะเขาจะเอายาใส่ ดินน้ำ�มันพอก แล้วก็จะหย่อนไปใต้ถุนบ้านที่อยู่ในน้ำ� ถ้าเดิมบ้านเขาอยู่ในคลองนะ หย่อนเข้าไปเวลาตำ�รวจไป เขาก็สาวขึ้นมาแล้วแกะขายต่อ ตำ�รวจก็จับไม่ได้เขาก็ดึงเป็นเอ็นอยู่ใต้ถุน ยุคก่อนนั้นเป็นเฮโรอีน แล้วก็เป็นพวกกัญชา แต่ว่ายุคหลังนี้เป็นยาบ้า มุม : แล้วสุดท้ายการพนันเอย ค้ายาเสพติดเอย นี่จัดการได้ยังไง ก็วิธีการอย่างนี้ อย่างการพนันนี่ก็เข้าไปคุย เราต้องรู้ว่าใครเป็นหัวหน้าแก๊ง ก็พบว่าในกลุ่มคือคนนี้ แล้วเราจะทำ�ยังไงดีถึงจะดึงเขาเข้ามา เราก็ไปนัง่ ทีบ่ า้ นเขาก่อน เข้าไปถามพีเ่ ป็นยังไง ไปดึงแฟนแกมาบ้าง มานัง่ คุย ถ้าเราพัฒนาทำ�ตรงนีเ้ ป็นตัวอย่างแล้ว อย่างนีเ้ รามีกลุม่ นีจ้ ะดีนะ


เขาก็เริ่มสนใจแล้ว มาจากเดิมไปซื้อกับข้าวเขากิน ตอนหลังเขาทำ�กับข้าวให้กิน (หัวเราะ) คือเราเริ่มจริงๆ ตอนหลังก็ไปซื้ออะไรขายหมด จะมา เขาก็รำ�คาญ บอก เออ ไปซิ เขาก็รู้ว่า เรามาคิดอะไรที่มันเป็นไปไม่ได้ เขาก็ไม่เชื่อว่าจะทำ�ให้เขาเลิกได้ จะทำ�ให้กลุ่มเล่นไพ่ไปทำ�งานได้ใช่ไหม ก็อย่างมากก็คิดว่าเราคงจะจับ จะแจ้งให้คนมาจับเขา

13

มุม : เหมือนกับเป็นศัตรูกันเลย ใช่ ศัตรู แล้วเขาก็ไม่ชอบเลย เขาเกลียดเรามาก เรียกผมว่าไอ้ดำ� แต่เราเข้าไปด้วยใจ เข้าไป เขาก็มองหน้าแล้วพูดว่า ขายนะอยากขาย แต่เมื่อ ไหร่จะไปสักที เขาก็บ่นอย่างนั้น เขาขายกับข้าว แต่เขาขายให้พวกเสพม้า เสพอะไรมาซื้อร้านเขา แล้วเวลากลุ่มเล่นไพ่เล่นแพ้ เขาก็จะให้เครดิต คือเขาหัวดีตรงที่ว่า ถ้าเล่นไพ่เงินหมดเขาก็จะ เฮ้ย...เอาไปเลย ก็เป็นลูกค้าเขา เขาก็จะรู้จักคนเยอะ เลยรู้ว่าเขาหัวหน้าแก๊ง เป็นหัวหน้าแก๊งแล้ว เขาขายผักขายอะไรก็ให้เซ็นนะ พอคนที่เซ็นไปก็เล่นไพ่ถ่วงหนี้ได้ ผมก็เลยไปนั่งคุย คุยไปคุยมาก็ดึงเขามาทำ�เรื่องกิจกรรมกับสิ่งแวดล้อม เป็นกรรมการทอดผ้าป่ากันไหม แล้วตอนหลังก็มาเป็นหัวหน้ากลุ่มนะ ป้าเป็นหัวหน้ากลุ่มเลย คุยกันเลยแล้วออมทรัพย์ ออมอะไรกัน เดี๋ยวเรา มาทำ�อาชีพพี่เขาทำ�อาหารอร่อยนะ พอไปกิน ผมก็บอกอร่อยมาก แต่ผมเกลียดข้าวผัดมากนะ ไอ้ข้าวผัดมะเขือเทศนี่เขาทำ�ให้กินบ่อย เขามา รู้ตอนหลัง มาถามแฟนผมเขาบอกว่า ข้าวผัดประธานเขาไม่เคยกิน เขาเกลียดน่าดู อ้าวแล้วก็บอกอร่อยก็หลอกฉันสิ ก็พยายามที่จะเอาใจเขา สุดท้ายตอนนี้ก็คือ เขาก็มาเป็นกลุ่มแม่บ้านที่ไปรับทำ�โต๊ะจีน แล้วก็ไปทำ�อาหาร เพราะทำ�อาหารอร่อย คนมาดูงานเขา present ว่าเขาเลิกจาก ตรงนี้มา เขาก็เริ่มที่จะลดเลิกเหล่านี้ แล้วก็ทำ�ให้กลุ่มดึงกลุ่มอื่นมาอีกด้วยนะ มาช่วยมาทำ� กลายเป็นคนสอนว่าเลิกไพ่ยังไง แล้วอีกที่หนึ่งเลย ตรงนี้ไป เป็นบ่อนใหญ่กว่าของพี่เขาอีก แล้วคนเล่นมาจากข้างนอกส่วนใหญ่ เขาเรียกเตี่ย เมื่อก่อนผมมีการโทรแจ้ง (ตำ�รวจ) เขาก็มีปัญหากับ ผมตลอด ผมก็ใช้วิธีการคุยกลุ่มย่อย พอกลุ่มนี้คุยเสร็จก็พยายามดึงคนที่นี่มาคุย เขาก็เริ่มรู้ เริ่มมาพัฒนา เริ่มที่จะเห็นว่าเรื่องนี้ไม่ดี เขาก็ไม่ค่อย เข้าไป พอไม่เข้าไปมันก็กลายเป็นคนนอกที่มาเล่น พอคนนอกมาเล่นไอ้กลุ่มนี้ก็จะกดดันกลุ่มที่เล่น จนสุดท้ายของเตี่ยนี่ก็รื้อบ้านไปแล้ว โดยเรา ก็จะเจรจาพอมวลชนดีกับเราแล้ว เราค่อยเข้าไปเจรจากับเขา แบบชาวบ้านเขาบ่นมาเยอะนะ แต่ว่ากระบวนการก็คือว่าเราให้คำ�ถามสำ�หรับคน ข้างๆ เป็นคนไปถามเขา ไม่ใช่เราไปถามเขาคนเดียว เราก็ให้คนแถวบ้านไปช่วย ถ้าไม่อย่างนั้นเราไม่มีทางหรอก แต่ที่เราถามเพราะเราชวนให้ ชาวบ้านเข้าไปถาม เฉพาะคนในกลุ่มนั้นสี่สิบหลัง สี่สิบหลังไปตามถาม คุณก็อยู่ไม่ได้ จนสุดท้าย เขาก็เดินมาบอกผมว่าเดี๋ยวก็จะรื้อแล้ว เขาก็ รื้อไป ตอนนี้เตี่ยก็เลิกไปแล้ว มุม : แล้วพวกยาเสพติดล่ะ พวกยาเสพติดนี่เราก็พยายาม ก็คือรู้ปัญหาของเด็กก่อน อย่างกลุ่มเด็กเราก็จะให้เข้ากลุ่มทูบีนัมเบอร์วัน เขาก็เริ่มจากให้เด็กๆ เขาไปคุยกัน ช่วย กันสำ�รวจข้อมูลว่ามีปัญหาอะไรบ้าง เด็กอยากได้อะไร เด็กก็จะสะท้อนเรื่องยาเสพติดก็จะมีเกือบทุกกลุ่ม ตอนหลังเราก็มาเชื่อมให้เด็กเริ่มขยาย เรื่องเหล่านี้ขึ้นมา จริงๆ มันก็ขยายเรื่องบ้าน เรื่องขยะ เรื่องทูบีนัมเบอร์วัน มันก็เห็นประเด็น เพราะพอเราทำ� เราเอาคนมาสะท้อนปัญหาก็จาก ปัญหาคน เราอยากเห็นกลุ่มต่างๆ ขึ้นมา คนที่มีปัญหาขึ้นมาเป็นแกนในการนำ� อย่างกลุ่มทูบีนัมเบอร์วัน ช่วงหลังเขาก็มาปลูกผักบุ้งบ้าง หรือพี่ สอนน้องเสาร์อาทิตย์ ให้น้องเล็กๆ บ้าง หรือช่วยดูแลน้องข้างล่าง ดึงกลุ่มที่เป็นกลุ่มเสี่ยงเข้ามาแล้วมาดูแลกัน ตอนหลังเขาก็ได้รับรางวัลดีเด่น ของภาคกรุงเทพปริมณฑล แล้วก็เข้าไปแข่งระดับประเทศ สมัยที่แล้วก็เข้ารับพระราชทานจากฟ้าหญิงอุบลรัตน์ มุม : ซึ่งสองโครงการนี้ก็มาจากการจัดการขยะทั้งนั้นเลย จัดการขยะครับ จัดการขยะครั้งแรกนี่ได้อะไรเยอะ เพราะว่าหนึ่งเราคิดว่าเรามองเอาเรื่องของความดี เอาความดีมาทำ�แล้วทุกคนก็จะพูดออก มาว่าตรงนี้มันดี ไม่ดี เพราะถ้าเราไปใช้กฎหมายแล้วมันก็ไม่มีทางทำ�ได้เลย แต่พอใช้ความดีนี่ทุกคนก็ว่าอันนี้ดี อันนี้ไม่ดี แล้วทำ�ยังไงต่อ เราจะ ช่วยกันไหม คือเอาความดีมาเคลื่อนงาน จากสิ่งไม่ดีก็ทำ�ให้ดีได้ ขยะก็มีสิ่งดีๆ อยู่ในตัว มันทำ�ให้คนมารวมใจกัน ทำ�ให้คนคิดว่าอันนี้ก็เป็นเรื่อง ของบุญนะ มีค่านะ พอขายออกมาก็เป็นเงินยิ่งแล้วใหญ่เลย ก็ทำ�ให้คนไม่ทิ้งขยะ จากที่เล่าให้ฟังเมื่อก่อนทิ้งเดินไปไหน โป๊กๆ ทิ้งกัน ทีนี้จะมีจุด เขาจะเข็นไปไว้แล้ว เขาเริ่มเปลี่ยนนิสัยกันแล้ว เขาไปตามจุด ก่อนนี้ขว้างเลย คนเดินมาต้องหลบ แล้วก็เกลื่อน มาช่วงหลังจากทอดแล้ว ก็เริ่ม จากกลางวันมากลางคืนเขาก็แอบทิ้งบ้าง ตอนนี้เริ่มไม่มีให้เห็นเลย ส่วนใหญ่ถึงแม้จะอยู่ตรงนี้ แต่ผมก็เห็นเขาถือถุงไปทิ้งจุดตรงนั้น หรือเข็นไป อย่างนี้ จากทอดผ้าป่าขยะก็นำ�ไปสู่การแก้ปัญหาอื่น เอามานั่งดูว่า ปัญหาเหล่านี้ใครทำ�แล้ว มันอยู่ตรงไหน ยังไง อย่างเช่นเรื่องที่อยู่อาศัยที่มี ปัญหา อย่างน้อยต้องทำ�ยังไง ให้คนบนดินเปลี่ยนจิตใจเอื้อให้คนในคลองก่อน นั่นคือสิ่งที่เราทำ� ถ้าคนบนดินไม่เอื้อ คนในคลองก็ไม่ได้ขึ้น แล้วคนในคลองก็มีส้วม ก็อยู่ในคลองอย่างนี้ คนบนดินก็ไม่เคยเห็นคลอง ก็ต้องนั่งคุยว่าเห็นไหม ถึงแม้เราอยู่บนดิน แต่ญาติพี่น้องเราเข้ามา


สิ่งไม่ดีก็ทำ�ให้ดีได้ ขยะก็มีสิ่งดีๆ อยู่ในตัว มันทำ�ให้คนมารวมใจกัน

ก็ต้องเดินผ่านสลัม ลูกหลานเราโตขึ้นนะ เราจะให้แฟน เพื่อน หรือว่าลูกหลานมีแฟนเดินเข้ามาในนี้แล้วเห็นสิ่งแบบนี้เหรอ ถึงแม้บ้านเราดี สวยงาม แต่อยู่ในหลืบ เดินมาผ่านทางโทรมๆ ไหม หรือเราจะให้เขาเดินผ่านต้นไม้ เดินผ่านบ้านดีๆ ถนนหนทางดี แล้วก็เข้าบ้าน เรามีศักดิ์ศรี เราพยายามสื่อแบบนี้ ผมก็พยายามคิดว่าจะสื่อเรื่องอะไรดี แล้วเข้าไปคุยทีละกลุ่ม ดึงความคิดคนเข้ามา ให้เขารื้อบ้าน กลุ่มแรกผมก็เริ่มจาก กลุ่มผม เขาก็พูดเหมือนกันว่า ก็ประภาสเอาก่อนสิ ถ้าเป็นไปได้ อย่างแม่ยายเขาก็มีบ้านเช่าไปถึงนู่นนะ ตรงสวนนี่บ้านแม่เขาหมด แล้วเขาก็ ให้เช่าเดือนละพันห้า แม่ยายนี่ด่าผมทุกวันเลย มารื้อบ้านอะไรอย่างนี้ เขาก็ไม่เข้าใจ พอนั่งคุยปุ๊บเขาก็เข้าใจ พอรื้อคนก็มาดูกันเต็มเลยนะ รื้อ เสร็จชวนกลุ่ม 4-5 หลังกลุ่มย่อยตรงนี้ที่นั่งคุยกัน มาๆ เรารื้อไหม ยินดีไหม เราน่าจะเป็นตัวอย่างนะ พอทุกคนโอเค ผมก็ภูมิใจนะ อย่างน้อยเรา ชวนหกหลังได้แล้วนี่ แล้วก็พอ 6 หลังนี่จะเอายังไง เราจะจัดระเบียบอย่างนี้ เอาในคลองขึ้นมานะ เราก็ต้องรื้อให้เป็นตัวอย่าง แล้วปลูกต้นไม้ เลยไหม พอรื้อปุ๊บปลูกต้นไม้ปลูกพื้นที่สีเขียว คนมาดูกันเต็มเลย แล้วหน้าคลองก็ชวนคนแถวนี้มาทำ�ถนนชวนเด็กๆ มาทำ�กัน ระหว่างทำ�อยู่ก็มี คนมุงดูจากโน่น แล้วแห่กันมาดูเลยนะ มาดูแล้วเขาไปพูดรื้อบ้านแล้วสวยดี ไปดูสิ โอ้โห... ชุมชนมันดูกันทุกวันโดยเฉพาะคนในชุมชน แม่ก็จาก เดิมไม่เห็นด้วย กลายเป็น นี่ลูกทำ�เห็นไหม ดีไหม พาใครมาดู บ้านก็กลายเป็นถูกใจเขาแล้ว คราวนี้กลุ่มโน้นจะเอา กลุ่มนี้จะเอา แต่เราไม่ได้ไป ทำ�ให้นะ คุณต้องลุกขึ้นมา ลุกขึ้นมายังไง ออมทรัพย์ลุกขึ้นมายังไง หาผู้นำ�ในระดับกลุ่ม ห้าหลังต้องมีผู้นำ�ด้วย ลุกขึ้นมาแบ่งปันที่กัน นั่นก็คือ ต้องให้คนในคลองขึ้นให้หมด ไม่ใช่ให้คุณทำ�แต่คนในคลองยังอยู่ นี่คือกติกานะ มันเป็นเครื่องมือให้เขาเกิดความคิดด้วย เขาก็แบ่งปันกัน ถึงแม้ เขาจะถกเถียงกัน แต่ก็มีบางกลุ่มที่ไปอยู่กับใครไม่ได้ เราก็จะมีกลุ่มประเภทนี้มาอยู่ด้วยกัน มันก็จะมีข้อดีของการคิดทีละกลุ่ม และกลุ่มนี่มันจะ บีบทางสังคมไปเรื่อยๆ มุม : ทำ�ไมถึงอยู่ด้วยกันไม่ได้ คือมันมีประเภทที่แบบเลี้ยงหมาเลี้ยงแมว บางทีหมาเห่า บางทีมันขี้หน้าบ้านเขาอย่างนี้ หรือประเภทเปิดเสียงดัง เขาก็ไม่อยากอยู่ด้วย การเลี้ยง หมาเวลาเดินมามันจะมีหมาเห่าอยู่ในบ้านด้วย กลุ่มนั้นก็เลี้ยงหมา เบื้องต้นพอเขาไปอยู่ด้วยกัน เราก็ค่อยๆ สร้างกติกาให้เขาเอาหมาอยู่ใน บ้าน ก็ค่อยๆ ไปคือปุบปับไม่ได้ ไม่ได้ไปแข็งเกิน ตอนหลังเขาก็จะอายไปเอง คือหมาคนอื่นไม่ไปขี้ ถ้าคุณเดินเข้ามาเมื่อก่อนขี้เต็มเลย หมาเยอะ ปล่อยกันแบบนี้ เราก็ค่อยๆ รวมกลุ่มหมาด้วย บ้านนี้มันจะขี้แล้วเขาได้แต่โทษกัน หมาฉันขังนะ หมาหลังนี้แน่ อ้าว เลี้ยงหมาด้วยกันนี่ เขาก็จะ รู้ว่ากลุ่มนี้เลี้ยงหมา ก็ดีขึ้นนะ สะอาดสะอ้านขึ้น ทีนี้อีกกลุ่มหนึ่งประเภทที่อยู่บ้านหลังเดียว เขาก็อยู่ในคลองนี่แหละ แล้วลูกเขาเป็นผู้พิพากษา เขาบอกไม่รื้อ ไม่อะไร แต่เขาก็อยู่ในน้ำ�นะ ชาวบ้านก็ใช้วิธีการพอกลุ่มโน้นเขาทำ�แล้ว เขาก็สร้างถนนมาประกบซ้ายขวา อย่างนี้แล้วถนนซ้าย ขวานี่ก็เป็นคำ�ถามให้คนที่เดินบนถนนมาแล้วจ๊ะเอ๋บ้านเขา อ้าว เดินไปโน้น ก็ไปจ๊ะเอ๋บ้านเขา พอใครเดินเซาะบ้านไป เขาก็จะด่า คนทางโน้น เดินมา ก็จะด่าบ้านหลังนี้ว่า มาขวางอยู่ได้ ถามว่าถ้าคุณไม่หลบ คุณจะให้คนทั้งชุมชนสร้างสะพานข้ามบ้านคุณหรือไง คือกระบวนการคนเหล่า นี้ก็จะมาถามแก จนแกเครียดแล้วก็เดินมาหาผม บอกว่าบ้านนี้ไม่ไหวเลย ด่าฉันทุกวัน มีจดหมายเต็มตู้ทุกวันไม่กล้าแกะ เพราะว่าเขาเขียนด่า ทุกวัน ทำ�ให้เขาบอกว่าเขารื้อแล้ว เขาอยู่ไม่ไหว เขาบอกเขาเครียด เขาบอกว่าเข้าชุมชนต้องเข้า 3 - 4 ทุ่มคนนอนแล้ว ก็ทุกวันนี้เขาก็ ได้บ้านอยู่หลังเดียว เมื่อก่อนเขาขวางถนน พอขยับปุ๊บเราก็ทำ�ถนนให้เห็นเลย เพื่อให้คนเห็นว่าไอ้ภาพตรงนี้มันเกิดขึ้นแล้วไอ้ภาพกลุ่มต่อไปเอา


15

ยังไงต่อ ไม่ใช่เราไปสั่งให้เขารื้อ ไม่ใช่สั่งให้เขาทำ� แต่ว่าเขาจะต้องลุกขึ้นมาคิดต่อ ตอนนี้พอเราทำ�ดีแล้ว ก็มาดูว่าภาพรวมอะไรที่จะช่วยเหลือ เขาได้ อย่างเช่น เรื่องรายได้ จะเห็นพ่อแม่ที่เขายากจนหน่อย ไม่มีเงินจ้างเด็กเรียน เขาไปทำ�งานข้างนอก ก็เลยเกิดศูนย์เด็กขึ้นมา เพื่อบรรเทาให้ พ่อแม่ที่พอเราคัดเฉพาะสามสิบครอบครัวที่ยากจน แล้วก็เอาเด็กมาเลี้ยงคิดวันละสิบบาท ก็คนในนี้แหละ เอารายได้สิบบาท หาทุนที่มาจากคน ดูงานบ้าง ก็ให้ครูมาสอน ครูก็เอาในชุมชนนี่แหละมาสอนเด็ก มีอาหารเลี้ยงด้วย เมื่อเขากลับมา จากนั้นก็เสียแค่สิบบาทก็เอาลูกกลับไป เช้าก็ มาเรียน หรือเด็กที่เป็นกลุ่มเสี่ยงพ่อแม่จะปล่อย เราก็จะเห็นว่า เดี๋ยวก็ไปเล่นเกมกับเพื่อน เด็กกลุ่มประเภทนี้ที่ความเสี่ยงสูง เราก็ดึงเขาเข้ามา เรียนที่นี่ อีกส่วนหนึ่งก็จะเป็นห้องสมุดชุมชน ซึ่งก็เริ่มทำ�เสร็จแล้ว เราของบประมาณจากเขตมา แต่ส่วนที่สำ�คัญกว่านั้นคือด้านหน้าเราจะทำ� เป็นประวัติศาสตร์ชุมชน ตอนนี้กำ�ลังเขียนเรื่องเล่าของที่นี่จากคนเก่าแก่ ประวัติศาสตร์มายังไง และจะทำ�เป็นห้องสมุดชุมชนให้เป็นศูนย์เรียนรู้ แล้วใครมาก็ได้ฟังเรื่องเล่า แล้วเรื่องไฟฟ้าก็เริ่มมาแล้ว ตอนนี้ก็พัฒนาเสา แนวเสาก็เริ่มมา หลังจากนั้นเราก็ไปคุยกับมหาลัย ท้องถิ่น เขต ก็ เห็นดีด้วยว่า ถ้ามีแผนทำ�อย่างนี้ เขาก็จะทำ�ตลาดน้ำ� แล้วก็จะทำ�ท่าเรือลงให้ คนอื่นก็อยากจะมี อยากจะเป็นแบบเรา ตอนนี้ชุมชนฝั่งโน้นเริ่มไป 60 กว่าหลังแล้ว ทางฝั่งโน้นเมื่อก่อนเขาไม่เชื่อเขาก็เลยขึ้นช้า คือทีแรกเขาดูเราอยู่ ตอนแรกพอรื้อบนดินแล้วไปอยู่ในน้ำ� เขาบอกว่าบ้าแล้ว ดูแบบบ้านดีๆ รื้อทำ�ไมบนดิน แล้วไปอยู่บ้านกระต๊อบ อยู่ในน้ำ� แต่พอบ้านบนดินขึ้น เปิดกล่องเขาก็รู้มันเป็นอย่างนี้นี่เอง ชาวบ้านเราก็ภูมิใจนะ เพราะว่าเขาก็ได้อยู่กับชุมชนที่มันสวยงาม แล้วก็มีความมั่นคงมากขึ้น ตอนนี้ที่ดินเราก็ใช้เป็นที่ดินของโฉนดชุมชนไป คือขอเช่าเป็นชุมชน เป็น ภาพรวม เราจะไม่แบ่งแปลง เพราะว่าเราจะได้ควบคุมกติกาชุมชนได้ ใครทำ�ไม่ดี เราจะได้ใช้บังคับจากตรงนี้ได้ ก็กลายเป็นถูกกฎหมายหมด มีทะเบียนบ้าน มีน้ำ�ไฟถูกต้องหมด เมื่อก่อนก็เป็นทะเบียนบ้านชั่วคราว บางทีไม่มีทะเบียนบ้าน ลูกไปเรียนไหน เขาก็ว่าเด็กสลัม อยู่ในสลัม ไป เรียนไหนเขาก็ไม่ค่อยรับเด็กในสลัม แต่ว่าตอนนี้เขาเชื่อว่าเราทำ�ได้แล้ว เด็กเราเริ่ม ent ติดเกษตร เริ่มสอบที่ดีๆ ได้แล้ว แล้วก็มาสอนน้องต่อ ตรงนี้ เห็นเปลี่ยนแปลงไปเยอะนะ เราเห็นคนพูดกัน คนโน้นคนนี้รู้จักกันหมด เมื่อก่อนไม่รู้จักกันเลย ต่างคนต่างอยู่ เดี๋ยวนี้เดินไปไหนก็รู้จักกัน มันก็ดีขึ้นเยอะครับ มันทำ�ให้เราภูมิใจตื้นตันใจที่ได้ทำ�มาถึงขั้นนี้แล้ว จากเมื่อก่อนตอนที่เป็นแหล่งมั่วสุมนั่งเล่นแต่ไพ่ เดี๋ยวนี้กลายเป็นใครไป ใครมาก็เห็น เขาก็จะอายถ้าจะทำ�สิ่งไม่ดี

มุม : ทุกวันนี้ยังมีคนใหม่ๆ เข้ามาอีกไหม ตอนนี้ที่ใหม่ก็จะเป็นลูกหลาน คือมันจะกลับกัน เมื่อก่อนนี้ลูกถ้าโตหน่อยก็จะไม่มาที่นี่ เพราะว่าเขาอาย เพราะเป็นสลัม เขาก็ไม่อยากจะมา อยู่ ญาติพี่น้องมา ก็ไม่อยากให้มา นัดเจอในห้าง แต่ว่าตอนนี้มาอยู่พาเพื่อนมา ตอนนี้อย่างน้อยลูกเขาก็กลับมาอยู่บ้าน เพราะว่ามันดีขึ้น มัน สวยงามขึ้น ทำ�ให้ครอบครัวดีขึ้นด้วย สุขภาพจิตของคนในชุมชนก็เปลี่ยนไปร่วมไม้ร่วมมือกันดี เมื่อก่อนถ้าบอกไปปลูกป่า จะได้ยินว่า ไปทำ�ไม ปากท้องจะกินยังจะไม่มีอะไรอย่างนี้ เดี๋ยวนี้ไปก็ไป ไปถวายในหลวง ไปถวายพระราชินี ไปโน่นไปนี่ ทุกคนก็มองงานส่วนรวมมากขึ้นนะ ยอม สละงานมากขึ้น เพราะเขามองว่าที่เขาได้มา เพราะเขาช่วยกันไง ทีนี้จะไปไหนล่ะ อย่างวันนี้ไปกันแปดสิบคน แป๊บเดียว ที่อื่นชุมชนอื่นเขาไม่ไป หาคนสองสามคนไอ้นี่บอกแป๊บเดียว 80 รถบัสทหารมารับเลยสองคัน ทหารตกใจนะ บอกอู้หู ทำ�ไม ปุบปับ ที่อื่นไม่ไป ไปก็ต้องจ้างไปอีก แต่ ที่นี่ไม่ต้อง เราไป เขาก็มองว่าไปทำ�ความดีกลับมา เขาก็อยากให้สังคมดี ผมเห็นคนเปลี่ยนนะ คนสลัมเขาเปลี่ยนได้ ผมว่าแนวทางการพัฒนา มันต้องเปลี่ยนแนวใหม่นะ ไม่ใช่คิดแต่จะไปสร้าง มันก็ได้แค่วัตถุ คนก็ยังทะเลาะ ยังฆ่ากันอยู่ มุม : แล้วเรื่องความขัดแย้งทางการเมืองล่ะ ยุคที่แล้วเสื้อแดงเหลืองแรงใช่ไหมครับ นายกมาเดินถึง ชาวบ้านเราก็บอกว่า อภิสิทธิ์มาหรือ จะด่าให้เสียหมาเลย แต่เขาก็ย้อนกลับมา เขาบอก ชุมชนเราก็ทำ�อะไรมาเยอะนะ แดงก็ไว้ในใจ แต่ว่าเพื่อชุมชน เขาทุกคนก็จะไม่มี mob ไม่มี แม้แต่พลเอกชวลิตมาก็ไม่มี ทั้งแดงเหลืองมา ทุกคนที่นี่มาหมด ชุมชนเรามันผ่านจุดที่แบ่งแยกตรงนั้นมาแล้ว เพราะเราแก้ความขัดแย้งมาตั้งแต่ตอนที่ลงกลุ่ม มุม : ตอนที่น้ำ�ท่วม ก่อนหน้านั้นได้เตรียมตัวไหม ช่วยอพยพ ประชาสัมพันธ์บ้าง และให้เขาสำ�รวจว่าใครจะอพยพบ้าง ส่วนใหญ่คนที่นี่เขาไม่หนี ไม่หนีเลย อยู่เกือบทุกหลัง มุม : แล้วที่ว่าไปแล้ว ถูกตีกลับมาหละ ไปแล้วกลับมา จะเป็นเพราะศูนย์เขาถูกน้ำ�ท่วมอีก อย่างแถวนิยม เขาจะย้ายไปชลฯ แถวนิยมเขาตัดไฟ พอตัดไฟ เขาก็ไปต่อกันอีก ทีแรกถ้ามัน มาหนักก็จะไปสถานที่ของพระอาจารย์นี่หละ อาจารย์เตรียมรถไว้ด้วย แต่ของเรานี่เยอะนะ เพราะในคลองของเราทั้งหมดนี่ 3000 กว่า


16

หลังคาเรือน สบายใจ แต่เรามีชั้นสองก็อยู่ไป ฝังโน้นอพยพไปเยอะ ฝั่งโน้นส่วนใหญ่บ้านชั้นเดียวออกไปอยู่พระนครฯ พระนครฯ ตอนหลังก็เต็ม ก็ออกไปอยู่ต่างจังหวัดบ้าง มุม : มีวิธีปลอบคนในหมู่บ้านยังไง ของเราส่วนใหญ่มีกลุ่มย่อยอยู่แล้ว กลุ่มย่อยแต่ละกลุ่มเขาก็จะไปดูว่าใครจะอพยพ อย่างกลุ่มลูกพี่สุรางค์เขาก็บอกก่อนว่าเขาจะย้ายไปแล้ว เราก็รู้ว่าใครจะย้าย พอรู้ยอดแล้ว รวมๆ กันแล้วหลายชุมชนประมาณ 700-800 คน ไม่มีใครแตกตื่น อยู่กันปกติ แต่คืนแรกที่น้ำ�มานี่ เด็กยืนไม่ ได้เลย มันลากลงคลองหมด น้ำ�เชี่ยว ต้องกดเท้าไว้ เพราะว่ามันแรง และมันสูงด้วย อย่างบางซอยสูงกว่าเอวอีกนะ และบางซอยพี่ทีวีเข้ามา ไม่ถึง สื่อเข้ามาไม่ถึง เขาไม่กล้าเข้ามา เขาเห็นน้ำ� รถใหญ่ก็เข้ามาไม่ได้ รถถังก็เข้าไม่ได้ รถทหารก็เข้าไม่ได้ แล้วอีกอย่างส่วนใหญ่พอเขารู้ว่า คลองบางบัว เขาไม่เข้ามาหรอก เพราะรู้ว่าน้ำ�มันมาทางนี้ บอกว่าจะไปรออยู่ที่สามัคคี สามัคคีบางทีเขาก็บอกว่าเอามาให้คลองบางบัว แต่ไม่ถึง ตรงนั้นมันหัวคลองบางบัว คนที่ได้ไม่ใช่คนที่นี่ มุม : เห็นโพสต์ใน facebook ว่า “เราจะอยู่กับน้ำ�ให้ได้” ใช่ไหม ใช่ๆ ทุกคนบอกว่าจะอยู่ที่นี่หมดไม่มีใครไป ชุมชนอื่นเขาไป แต่ของเราไม่ค่อยไป เรามีการสำ�รวจ ประชาสัมพันธ์ว่าใครอยากไปก็มาลงทะเบียน ที่นี่ เราก็ไปเจรจา เราฟังข่าวตลอด น้ำ�มาถึงนี้แล้ว มาถึงสะพานใหม่ เราหมักจีเอ็มน้ำ�เอง แจกไปบ้างแล้ว บ้านละ 6-7 ขวด ผมก็เอาถังมาแล้ว หมัก ได้ไปก็ไปโยนตามแนวหน้าบ้าน ข้างบ้าน ก็ได้ผลนะ ในบ้านพอเทปุ๊ป มันเป็นก้อน เป็นขี้ตะกอนพอให้เขาตักได้ง่าย จากน้ำ�เหม็นเน่า ก็กลายเป็นน้ำ�ใสข้างบน ดีจริงๆ จีเอ็มบอลก็ดีนะ แต่บางทีถ้าน้ำ�ไหลมันก็ลากจีเอ็มบอล มันก็ลอยไปตามนั้น มุม : อย่างนี้ใช้เวลานานไหม กว่าจะทำ�ให้ชุมชนกลับสู่สภาพเดิม ตอนนี้บางจุดก็ยังไม่ลด แต่ถ้าลดหมดก็คงจะ 3-4 เดือนนะ ตอนนี้เรื่องแรกที่คิดจะทำ�ในอนาคตคือเรื่องห้องน้ำ�ชั้นบน จะพยายามปรึกษากับเขต กับสถาปนิกก่อน ว่าทำ�ไงให้แบบมันถูกต้อง เพราะไม่ใช่ว่าอยู่ๆ ให้ใครทำ�ผิดแบบ แต่จะให้เขาออกแบบ เราอยู่กับมันปีหน้าไปเลย จะได้ไม่ ต้องเดือดร้อนอีก เพราะว่าปีหน้าต้องท่วมแน่นอน หนักกว่าเดิม ที่บอกไม่มา ผมก็ค่อยไม่เชื่อ ไม่เคยท่วมแบบนี้ ไปกั้นทำ�ไม มันไม่มาถึงหรอก เสร็จแล้วเช้าขึ้นมา เข้าในบ้านเต็มหมดเลย ครกลอยน้ำ� หาอะไรไม่เจอ ลอยน้ำ�หมด แล้วที่เจอเยอะสุด เก้าอี้ โซฟาร์ ลอยกันเป็นแถวเลยๆ ดีๆ ทั้งนั้นเลยนะ คนโซนท้ายเขาเก็บทีวีลอยมาไปซ่อม เก้าอี้นี่เยอะลอยมากับน้ำ�เต็มหมดเลย คือบ้านมันเป็นคล้ายๆ สลัม มันเป็นแผ่นเรียบบางๆ น้ำ�อยู่กับแผ่นเรียบนานๆ แผ่นเรียบมันผุ พอผุปุ๊ปยุ่ย พอยุ่ยปุ๊ป บางที่ไม้ที่มันไหลมากับสายน้ำ�มันก็กระแทกกับบ้าน พอกระแทกกับบ้านปุ๊ป มันก็กระชากไปหมด เพราะฉะนั้นคนบางคนก็ร้องให้นะ บอกว่าหมดเลย ไม่เหลืออะไรเลย เครื่องกง เครื่องแกงไปหมดเลย มุม : เงินกองทุนที่สะสมไว้พอไหม ในการฟื้นฟูชุมชน ผมก็ต้องระดมอีกสักรอบ สำ�คัญที่สุดถนนมันพังหมดแล้ว สังเกตแล้วถนนกร่อนหมดแล้วนะ และพวกต้นไม้ ต้นไม้นี่ตายเยอะนะ เสียดายปลูก มาตั้งเยอะแยะ ดูว่าต้นไม้ที่ไหนตายก็เอาต้นไม้มาลง คือเช็ค ตรวจสอบกัน เพราะว่าเราคิดว่า เราไม่ได้ไปหวังแต่หน่วยงานรัฐมาช่วย ส่วนใหญ่ อย่างงี้ เราคิดกันแล้วว่าต้นไม้ เราหาทุนมาปรับปรุงกันเอง เราไม่ได้หวังที่อื่น เราจัดระบบไง แต่บางที่เขาไม่ได้เข้ามา เขาคิดแต่จะเอามาให้ ทำ�ให้ชุมชนเดือดร้อน ไม่ได้เอามาเข้าส่วนกลาง แต่พอของมาเราจะประชาสัมพันธ์และ ให้ชาวบ้านมาดูมาช่วยกัน คือมันต้องเปิดพื้นที่อย่างงี้ ให้คนเห็นว่า รถมาขนกี่คัน และให้คนเห็นร่วมกัน นี่คือระบบที่เราทำ� มุม : แล้วอยากจะแนะนำ�อะไรกับชุมชุนที่คิดจะพัฒนาตัวเองบ้างไหม เบื้องต้นผมคิดว่าผู้นำ�ต้องไม่ติดยึดกับตัวเอง คิดว่าตัวเองไปจัดการคนทุกคนได้ แต่ผู้นำ�ต้องเปิดกว้างแล้วก็เชื่อในคนข้างล่าง เชื่อในความดี แล้ว เราดึงความดีมา เราก็ให้คนข้างล่างเขามีโอกาสเข้าไปมีส่วน ไม่ใช่เราไปจัดการแทนเขา ให้คนมีส่วนร่วมในการทำ�ความดีร่วมกัน ตรงนี้ล่ะผมว่า เรื่องใหญ่ แล้วก็ให้โอกาสคนข้างล่างให้มากที่สุด แล้วผู้นำ�ก็ทำ�หน้าที่ในการประสาน รับฟังแล้วเอาไปพัฒนาหนุนเสริมชาวบ้านเขา อันนี้ก็จะเป็น เรื่องดีมาก



18

มุมพิเศษ

เรื่อง : กองบรรณาธิการ l ภาพ : รบฮ.



20

ในประเทศไทยสถาบันสงฆ์ถือเป็นสถาบันที่คนให้ความเคารพมากอาจจะมากที่สุดในช่วงเวลาแห่ง ความวุ่นวายนี้ก็ได้ เพราะถึงแม้จะมีพระที่ไม่ดีมาเป็นข่าวลงหน้า 1 ของหนังสือพิมพ์หลายฉบับอยู่บ้าง แต่ก็ยังมีพระดีที่หลายๆ คนยอมรับ และพร้อมที่จะลืมพระไม่ดีรูปนั้นไป โดยอ้างว่าพระก็คนต้องมีดีบ้าง ไม่ดีบ้างเป็นธรรมดา พระพุทธศาสนาต่างหากที่สอนให้คนหลุดพ้น

หากเราจะมองกันแบบนั้นก็ได้ แต่เราเคยสงสัยกันบ้างไหมว่าทำ�ไมปัจจุบันสังคมพระสงฆ์มันถึงได้วุ่นวายถึงขนาดนี้ ทั้งการสร้าง วัดสร้างเจดีย์ที่ไม่รู้จักจบจักสิ้น ทั้งๆ ที่มีวัดร้างอยู่ทั่วประเทศ วัดเป็นจำ�นวนมากไม่ได้สอนหลักพระพุทธศาสนาอีกแล้ว แต่เป็นสำ�นัก ใบ้หวย ดูหมอ ปลุกเสกเครื่องรางของขลังแทน พระอุปัชฌาย์ก็สักแต่ว่าบวชเณรบวชพระ แต่ก็ไม่รับภาระเลี้ยงดูอีกแล้ว ไม่ต้องพูดถึงกรณี ที่มีพระผู้ใหญ่มากมายไปทำ�นายวันโลกแตก กระโดดเตะกล่องทิชชูจากโต๊ะอาหารผ่านยูทูปแล้วถูกจับสึก พระเล่นแพลงกิ้งแล้วถูกจับสึก แต่พระอวดอุตริมนุษยธรรมทำ�ปาหี่แสดงคุณวิเศษต่างๆ กลับถูกยกย่องให้เป็นเกจิ จึงทำ�ให้เกิดคำ�ถามว่า คณะสงฆ์บ้านเรา เป็นอะไรกันไปหมดแล้ว พุทธบริษัทบ้านเรา เป็นอะไรกันไปหมดแล้ว และที่สำ�คัญคือ กัลยาณมิตรของสังคมพุทธที่จะช่วยเตือนสังฆะหายไปไหนหมดแล้ว เพราะเมื่อมีการเอ่ยถึงว่าพระรูปไหนทำ�อะไรไม่ดี ก็จะมีคำ�ตอบกลับ มาในเชิงให้ยอมรับว่า ปล่อยท่านไปเถอะเดี๋ยวกรรมก็ตามสนองเอง เป็นคำ�ตอบสุดท้าย ฟังดูคลับคล้ายจะบอกว่าช่างมันเถิด แต่หากเรา ที่สนใจธรรมะลองคิดดูดีๆ จะเห็นว่าพระพุทธเจ้าไม่เคยบอกว่าช่างมันเถิด ไม่เคยปล่อยพระที่ทำ�ผิดให้ลอยนวล ท่าต้องตัดสินโทษทุกครั้ง ถูกว่ากันไปตามถูก ผิดว่ากันไปตามผิด โดยที่คนโจทก์การกระทำ�ผิดของพระไม่เคยเป็นคนผิด นอกเสียจากว่าจะเป็นการกล่าวตู่เท่านั้น แถมพระองค์ยังตรัสบอกด้วยว่าผู้ชี้ข้อผิดพลาดของเรานั้นแหละคือผู้บอกขุมทรัพย์ แต่ปัจจุบันดูเหมือนว่าคณะสงฆ์จะมีขุมทรัพย์ที่ว่าร่อยหรอลงเต็มที เหลือแต่ทรัพย์สมบัติในธนาคารเป็นจำ�นวนมากเท่านั้น หากอยากรู้ว่าทำ�ไมถึงเป็นอย่างนั้น เราคงต้องพิจารณากันไปถึงระบบการปกครองของคณะสงฆ์ ซึ่งปัจจุบันเป็นระบบราชาธิปไตยเต็ม รูปแบบ ชนิดที่ไม่เหลือความเป็นประชาธิปไตยและธรรมาธิปไตยอยู่เลย ในขณะที่บ้านเมืองกำ�ลังเปลี่ยนแปลงไปในทางประชาธิปไตยและ ธรรมาธิปไตยมากขึ้น คณะสงฆ์กลับสร้างความสำ�คัญให้กับสมณศักดิ์มากขึ้นเรื่อยๆ จนพระแทบจะกลายเป็นเทวดาเดินดินลืมถิ่นกำ�เนิด ไปแล้ว เริ่มตั้งแต่คำ�ศัพท์ที่ใช้กับพระก็ถูกเรียกว่าราชาศัพท์ (แค่ชื่อและวิธีใช้ก็ทำ�ให้คนมึนไปเยอะแล้ว) จนไปถึงตำ�แหน่งต่างๆ เยอะแยะ มากมายที่สลับศัพท์ไปมาในชื่อเท่านั้น และไม้ตายสุดท้ายคือคำ�ว่า “บาป” และ “บุญ” เป็นต้นว่า วิจารณ์พระราชาคณะ หรือ พระดัง เป็นบาป โดยไม่คำ�นึงถึงว่า พระรูปนั้นมีความรู้จริงๆ หรือไม่ ถ้าท่านสอนผิดเป็นมิจฉาทิฏฐิใครบาปกว่ากัน เคยได้ยินคำ�ว่ายศช้างขุนนาง พระไหม ยศช้างขุนนางพระ เป็นสำ�นวนโบราณ ที่มีความหมายว่า ยศที่ไม่ได้ทำ�ให้ผู้รับมีอำ�นาจ เปรียบกับช้างที่ถูกขี่ออกศึกแล้วได้ยศ แต่ยศนั้นก็ไม่ได้ทำ�ให้ช้างมีอำ�นาจอะไร สั่งใครไม่ได้เหมือนเดิม ส่วนพระภิกษุผู้ตามรอยธรรมแห่งพระพุทธเจ้าปฏิบัติไปเพื่อความพ้นทุกข์ จะถูกแต่งตั้งให้มียศแบบขุนนางอย่างไรก็ไม่ได้หวั่นไหว เพราะมีธรรมวินัยเป็นหลักยึดอยู่ แต่สิ่งเหล่านี้อาจจะเป็นจริงได้ในอดีต ในปัจจุบัน หากผู้ใดคุ้นเคยกับวัด เมื่อยังเด็กพ่อแม่พาไปทำ�บุญตักบาตร มีลูกหลานเพื่อนฝูงเคยบวช หรืออย่างน้อยๆ หากอยู่ในประเทศไทยมานาน พอสมควร ก็ควรจะเคยได้ยินชื่อที่ใช้เรียกพระหลายแบบต่างๆ กันไป เช่น หลวงพี่ หลวงพ่อ หลวงตา หลวงปู่ พระมหา พระครู เจ้าคุณ ฯลฯ เยอะแยะไปหมด ซึ่ง 3 ตัวอย่างแรกอาจตัดสินได้จากสายตาของผู้ใช้เรียกประกอบกับวัยวุฒิของพระ แต่ 3 ตัวอย่างหลังนั้น มีใครเคยรู้ ไหมว่าชื่อเหล่านั้นมีความหมายอย่างไรบ้าง พระมหาคืออะไร พระครูคือใคร เจ้าคุณคือใคร แล้วต่างจากพระธรรมดาๆ อย่างไร พระมหาคือใคร หากใครเคยสงสัยว่าทำ�ไมพระบางรูปถึงถูกเรียกว่าพระมหา ก็จงรูไ้ ว้เถิดว่าการจะเป็นพระมหาได้นน้ั มาจากความเพียรพยายามใน การสอบทั้งสิ้น เพราะการจะใช้คำ�ว่าพระมหานำ�หน้าได้ จะต้องสอบเปรียญธรรม (การศึกษาภาษาบาลี) ให้ได้อย่างน้อย 3 ประโยค (สูงสุด 9 ประโยค) ซึง่ การเรียนเพือ่ สอบให้ได้เป็นพระมหานี้ ถือได้วา่ เป็นจุดหมายแรกๆ ของพระเณรทีบ่ วชกันในสมัยนีเ้ ลยทีเดียว เพราะเมือ่


21

เป็นพระมหานอกจากจะเป็นผูม้ คี วามรูค้ วามสามารถทางภาษาบาลีเพิม่ ขึน้ แล้ว ยังเป็นทีน่ บั น่าถือตาขึน้ มาทันที เปรียบได้กบั การมี ดร. ผศ. ศ. นำ�หน้าเลยทีเดียว นอกจากนีย้ งั สามารถนำ�มาเทียบเข้ากับการศึกษาสายสามัญได้ดว้ ย เช่น หากจบ ป.ธ.9 (เปรียญธรรม 9 ประโยค) ก็จะเทียบได้เท่ากับจบปริญญาตรี หลายคนที่ศรัทธาอยากจะให้เอาไปเทียบกับปริญญาเอกเสียด้วยซ้ำ�ไป และถ้าหากพระที่มีดีกรีตั้งแต่ ป.ธ. 6 ประโยคขึ้นไป การนั่งลำ�ดับในราชพิธีจะสูงขึ้น และโอกาสที่จะมีตำ�แหน่งปกครองในคณะสงฆ์ก็จะมากขึ้น และที่สำ�คัญคือมีโอกาส เป็นราชาคณะง่ายขึ้นนั่นเอง ดังนั้นพระแก่พระหนุ่มเณรน้อยเณรใหญ่จึงต่างมุ่งไปเพื่อความสำ�เร็จทางบาลีนี้เป็นจุดแรก

หมายเหตุ * ชื่อพระมหาในสมัยพุทธกาล ไม่ได้มีส่วนเกี่ยวข้องกับการเรียนบาลีแต่อย่างใดจ้า

พระครูคือใคร พระครูคือหนึ่งในสมณศักดิ์ที่มีมาแต่สมัยสุโขทัย หรือว่าง่ายๆ ก็คือมีมาตั้งแต่สมัยเริ่มมีสมณศักดิ์กันเลยทีเดียว โดยปัจจุบัน สามารถแบ่งได้เป็น 2 ชนิดใหญ่ คือ พระครูสญ ั ญาบัตร และ พระครูฐานานุกรม ซึง่ พระครูสญ ั ญาบัตรนัน้ เป็นตำ�แหน่งทีไ่ ด้รบั การโปรดเกล้า แต่งตั้งจากพระราชา โดยให้พระผู้ปกครองในท้องถิ่นนั้นๆ เลือกส่งชื่อกันขึ้นมาเป็นลำ�ดับ จากนั้นพระราชาก็จะทรงลงพระนามรับรอง จากนั้นสมเด็จพระสังฆราชหรือเจ้าคณะหนใหญ่ต่างๆ ก็จะเป็นผู้ไปมอบให้แทนพระองค์ ซึ่งพระครูชนิดนี้มีหลายชั้นยศ ตั้งแต่พระครูชั้นตรี โท เอก ไปจนถึงพระครูชั้นพิเศษ ที่น่าสนใจก็คือพระครูสัญญาบัตรนั้นไม่มีการจำ�กัดจำ�นวน การจะเป็นพระครูชนิดนี้ได้ ต้องได้รับการ ส่งชื่อผ่านพระสังฆาธิการที่ปกครองขึ้นไปตามลำ�ดับ โดยคัดเลือกจากผลงาน (ที่เจ้าตัวต้องส่งเข้ามาให้ด้วย) ส่วนใหญ่มักมีตำ�แหน่ง ทางการปกครองอยู่แล้ว ไม่ว่าจะเป็นเจ้าอาวาสวัดราษฎร์ เจ้าคณะตำ�บล ผู้ช่วยเจ้าอาวาสวัดหลวง ฯลฯ แต่ที่แน่ๆ ต้องไม่ได้เป็นพระ มหาเปรียญที่ประโยคสูงๆ เพราะท่านเหล่านั้นก้าวข้าม “พระครู” ไปเสียแล้ว ส่วนพระครูฐานานุกรมคือตำ�แหน่งที่มากับราชทินนามของพระราชาคณะชั้นต่างๆ เรียกง่ายๆ ว่าเป็นพระเลขาช่วยงานพระราชา คณะนั้นๆ ยิ่งถ้าหากเป็นของพระราชาคณะที่สูงขึ้นไปมากเท่าใด โอกาสที่จะเปลี่ยนไปเป็นพระครูสัญญาบัตร และเป็นพระราชาคณะก็ อยู่ใกล้เท่านั้น หมายเหตุ * วิธีแยกแยะพระครูฐานานุกรม กับ พระครูสัญญาบัตรอย่างง่ายๆ ก็คือ พระครูฐานานุกรมส่วนใหญ่จะมาพร้อมกับคำ�ว่า ปลัด วินัยธร ธรรมธร สมุห์ ใบฎีกา เป็นต้น

เจ้าคุณคือใคร หลายครั้งที่เราได้ยินคำ�ว่าท่านเจ้าคุณบ้าง เจ้าประคุณบ้าง พระเดชพระคุณบ้าง พึงรู้ว่าเขาเอาไว้เรียกพระที่เป็น พระราชาคณะ นั่นเอง ซึ่งมีตั้งแต่พระราชาคณะชั้นสามัญ ชั้นราช ชั้นเทพ ชั้นธรรม ชั้นรองสมเด็จ ชั้นสมเด็จพระราชาคณะ และ สมเด็จพระสังฆราช (หากมีเชื้อเจ้าต้องเรียกว่า สมเด็จพระสังฆราชเจ้า) ซึ่งเป็นตำ�แหน่งที่ได้รับมอบจากพระราชามาตั้งแต่เริ่มแรกจนถึงปัจจุบัน เพียงแต่ ปัจจุบันจะไม่เหมือนกับสมัยโบราณตรงที่การคัดเลือกพระราชาคณะ รายชื่อพระสงฆ์ nominees จะถูกคัดเลือกและส่งมาตามสาย พระสังฆาธิการที่ปกครองในเขตนั้นๆ เพื่อดูความเหมาะสมว่ามีศีลาจารวัตรดีหรือไม่ มีผลงานอะไรบ้าง ไม่ว่าจะเป็นผลงานด้านการ ก่อสร้างบูรณะวัด สนับสนุนการศึกษา จนไปถึงการสนองงานพระราชาคณะชั้นผู้ใหญ่บ่อยและดีแค่ไหน เป็นต้น สมณศักดิ์ทำ�ลายระบบการปกครองอย่างไร เมือ่ ทหารมียศย่อมใช้อ�ำ นาจของตัวเองในการเพิม่ ความสามารถทำ�ดีหรือชัว่ ได้มากขึน้ อย่างไร พระมีสมณศักดิก์ เ็ ฉกเช่นเดียวกัน เพราะสมณศักดิม์ กั มากับตำ�แหน่งปกครองในคณะสงฆ์เสมอ อย่างน้อยๆ ก็เป็นผูช้ ว่ ยเจ้าอาวาส เจ้าอาวาสวัด จนไปถึงเจ้าคณะจังหวัด เจ้าคณะภาค ทีเ่ ป็นกรรมการมหาเถรสมาคมด้วย โดยเฉพาะเมือ่ มหาเถรสมาคมคือองค์กรทีด่ แู ลโครงสร้างของสถาบันสงฆ์ดว้ ยแล้ว


22

ผู้ที่อยู่ในตำ�แหน่งสูงๆ ก็มีสิทธิที่จะตัดสิน บงการ จนถึงขั้นละเลย ระบบการจัดการคณะสงฆ์ให้ดำ�เนินและเป็นไปดังที่ควรจะเป็นดังเช่น ธรรมาธิปไตย แต่กลับกลายเป็นว่าเมื่อเทิดทูนระบบเจ้าขุนมูลนายแล้ว จากเด็กบ้านนอก (พระส่วนใหญ่) ก็ฝันอยากจะเป็นพระราชา กับเขาบ้าง จึงเทิดทูนระบบที่พระแต่ละรูปไม่เท่ากัน เทิดทูนพระสมณศักดิ์ที่ถูกบัญญัติขึ้นอย่างผิดเจตนารมณ์ของพระพุทธเจ้า (แม้ที่มา ของสมณศักดิ์จะพยายามมองย้อนถึงเหตุการณ์ที่พระพุทธเจ้าตั้งเอตทัคคะก็ตาม แต่การเคารพกันตามลำ�ดับสมณศักดิ์และการเข้ามา อยู่ในตำ�แหน่งก่อนหลัง อันไม่เกี่ยวกับพรรษาที่บวชนั้น ไม่ใช่คำ�สอนของพระพุทธเจ้า) ซึ่งพระมหากัสสปะผู้เป็นประธานการทำ�สังคายนา ครั้งที่ 1 ได้สรุปไว้ว่า “ถ้าความพร้อมพรั่งของสงฆ์ถึงที่แล้ว สงฆ์ไม่พึงบัญญัติสิ่งที่ (พระพุทธเจ้า) ไม่ทรงบัญญัติ ไม่พึงถอนพระบัญญัติที่ ทรงบัญญัติไว้แล้ว พึงสมาทานประพฤติในสิกขาบททั้งหลายตามที่ทรงบัญญัติแล้ว นี้เป็นญัตติ” แม้กระทั่งมีเหตุการณ์ต่างๆ เกิดขึ้นใน ประเทศไทย เราก็มักจะอ้างความเป็นเถรวาทในการไม่กล้าไม่ยอมเปลี่ยนวิถีปฏิบัติต่างๆ แต่กลับอ้าแขนรับระบบสมณศักดิ์อันเป็นไปเพื่อ การเพิ่มพูนลาภยศสรรเสริญเข้ามาอย่างไม่มีทีท่าว่าจะยกเลิกเอาเสียเลย มิหนำ�ซ้ำ�ยังตะเกียกตะกายให้เป็นพระราชาคณะในระดับที่สูงๆ ขึ้นไปอีกต่างหาก อาจเป็นเพราะเงื่อนไขหนึ่งในการเป็นเจ้าคณะผู้ปกครองตั้งแต่ระดับจังหวัดขึ้นไป จำ�เป็นต้องมีเปรียญธรรมที่สูง และ สมณศักดิ์ที่เป็นราชาคณะชั้นสูงด้วย ถึงจะมีสิทธิเป็น nominee ยิ่งถ้ามีดีกรี ดร. พ่วงเข้าด้วยก็กลายเป็นโก้ทั้งทางโลกและทางธรรม แต่ไม่เห็นจะมีอะไรที่นำ�สังคมให้หลุดออกไปจาก กิน กาม เกียรติ นี้ได้เลย กลายเป็นว่าแทนที่จะได้ปริญญา (ความรู้) เพื่อปล่อยวางทุกข์ ดังพระพุทธเจ้าทรงสอนไว้ กลับต้องมามีความรู้เพื่อเอาไว้สะสมความทุกข์ให้มากยิ่งขึ้นต่อไป จึงควรที่จะถึงเวลาเสียทีที่คณะพระสังฆาธิการและมหาเถรสมาคมต้องกลับมาพิจารณาการทำ�งานของตนเอง ด้วยการ ปรับเปลี่ยน พรบ.คณะสงฆ์ และ กฎมหาเถรสมาคม ให้ทันสมัยขึ้น พร้อมๆ กับการยกเลิกระบบสมณศักดิ์เสีย หรืออย่างน้อยๆ ไม่ควรให้ สมณศักดิ์ไปเกี่ยวข้องกับการปกครองใดๆ อันเป็นเหตุให้พระผู้อยู่ในตำ�แหน่งเกิดความโลภและความถือตัวขึ้นเลย หากพระสังฆาธิการและมหาเถรสมาคมใฝ่ใจในพระธรรมคำ�สอนอันเป็นไปเพื่อการพ้นทุกข์แล้ว คิดว่าการยกเลิกระบบสมณศักดิ์ และการปรับวิถีการปกครองน่าจะเป็นงานที่ไม่ยากนัก



VS.

พื้นที่แลกเปลี่ยนมุมมองระหว่างพระกับโยมในศตวรรษที่ 21

VS. สมณศักดิ์ยังเหมาะสม กับยุคสมัย อยู่หรือ


เรียบเรียง : กองบรรณาธิการ I ภาพ : ชยพัทธ แก้วกมล

ส.ศิวรักษ์ Vs. พระราชวิจิตรปฏิภาณ

25


26 ในปัจจุบันคณะสงฆ์ซึ่งเป็นสถาบันหลักแห่งหนึ่งของเมืองไทยกำ�ลังถูกตั้งคำ�ถาม โดยเฉพาะอย่างยิ่งเรื่องสมณศักดิ์ของ พระภิกษุ ที่มีทั้งฝ่ายสนับสนุนระบบนี้ และผู้ที่ไม่เห็นด้วยกับระบบนี้ มุม ฉบับนี้จึงได้นิมนต์ท่านเจ้าคุณพระราชวิจิตรปฏิภาณ ผู้ช่วยเจ้าอาวาสวัดสุทัศนเทพวราราม ผู้เป็นทั้งนักเทศน์ นักเขียน ที่มีชื่อเสียงในเมืองไทย มาร่วมแลกเปลี่ยนกับปัญญาชน สยาม อาจารย์สุลักษณ์ ศิวรักษ์ ผู้วิจารณ์การทำ�งานของคณะสงฆ์มาโดยตลอด ผ่านงานเขียนและการบรรยายทั้งในและต่าง ประเทศ แต่สำ�หรับการสนทนาครั้งนี้ เรื่องราวจะเป็นอย่างไร ขอเชิญพิจารณาครับ ส.ศิวรักษ์ : สมณศักดิ์นั้นเป็นของคู่กับราชาธิปไตย ซึ่งเราเอาอย่างลังกาและเมื่อเปลี่ยนแปลงการปกครอง 2475 ได้เลิกบรรดาศักดิ์ทั้งหมด แต่คณะราษฎรทำ�ความผิดพลาดไม่ได้เลิกสมณศักดิ์ทั้งหมด เพราะฉะนั้นสมณศักดิ์ค้างมาตั้งแต่ 2475 จนบัดนี้ สมณศักดิ์ก็เลยเป็น ตัวแทนของราชาธิปไตยที่เหลืออยู่ เพราะฉะนั้นพระที่ทรงสมณศักดิ์จะไม่มีจิตเอื้ออาทรทางประชาธิปไตย พระที่ทรงสมณศักดิ์ยิ่งสูงเท่าใด จะเอื้ออาทรไปทางราชาธิปไตยมากเท่านั้น พระราชวิจิตรปฎิภาณ : คืออาตมาเกิดมาก็เจอสมณศักดิ์แล้ว แล้วเราก็นับถือพระ 2 แบบ คือ หนึ่งพระศักดิ์สิทธิ์ สองพระศักดิ์ศรี พระศักดิ์สิทธิ์ก็หมายความว่า นับถือในความขลัง เพราะว่าในสมัยเดิมเป็นเด็กวัดหมามันเยอะ หมาเยอะมันก็ต้องกัดเด็กวัด เพราะเด็กวัด ก็หวงข้าว หมาก็อยากกินข้าว ก็ตีกัน หลวงปู่ที่เลี้ยงอาตมาเป็นเจ้าอาวาส ทำ�ปลัดขิกขลัง เพราะไอ้ปลัดขิกอันนั้นหมากัดไม่เข้าแต่ต้อง ภาวนา อุกขิตตะขัค ที่เป็นบทที่ 3 ของพาหุง มันก็ยิ่งมั่นใจ ต่อมาเราก็รู้เรื่องสมณศักดิ์ มาจากตอนไปเที่ยวที่อยุธยา ตอนอาตมาอยู่ อ.เสนา จ.อยุธยา พอพระสมณศักดิ์มาในสมัยนั้น สมเด็จพระพุฒาจารย์อาสภมหาเถระ (อาจ อาสภมหาเถระ) ท่านก็ใช้ระบบเจ้าแบบที่อาจารย์ สุลักษณ์ว่า การวางตัวอากัปกิริยาอาจจะเป็นเพราะว่า หนึ่งเป็นพระ สองเมื่อมีสมณศักดิ์ก็รู้สึกเหมือนว่ามักจะข่มๆ เราเป็นเณรเล็กๆ เป็นเด็กวัด ทุกวันก็จะมานั่งจัดน้ำ�ชาไว้ ถ้ามีเสียงเรือเทียบท่าเมื่อไหร่ เณรอีกองค์ต้องวิ่งไปดู แล้วตะโกนบอกว่ามีพระมาเราก็ชงน้ำ�ชา แล้วเราก็จะกราบแบบเจ้า อันนี้เราต้องวิเคราะห์ พระศักดิ์สิทธิ์ท่านจะวางตัวอย่างหลวงพ่อคูณ นั่งยองๆ บ้าง เหมือนบ้าๆ บอๆ แต่พระมี สมณศักดิ์ไม่ใช่อย่างนั้น เพราะท่านอาจจะรู้สึกว่าท่านวางตัวเป็นเจ้าให้เราขามเกรง ในความขามเกรงมันก็มีความนิยมเกิดขึ้น เขาเรียกไอ ดอล เห็นคนพินอบพิเทาพระมีสมณศักดิ์ ถ้าเราบวชมีสมณศักดิ์เราจะได้รับการพินอบพิเทา อันนี้มันเป็นสิ่งที่ซึมซับรับเอาโดยที่เราไม่รู้ตัว แต่ในทางหนึ่งพระสมณศักดิ์นี่เราก็มองได้เลยว่าเราไม่เคยเห็นอิทธิฤทธิ์พวกพระศักดิ์ศรีนี่ แต่พระศักดิ์สิทธิ์มันเห็นทุกวัน เพราะฉะนั้นจิตใจ เราก็จะเป็นอย่างงี้ เอ๊ะ! จะพระศักดิ์สิทธิ์หรือพระศักดิ์ศรี แม้จนเดี๋ยวนี้ก็ยังตัดสินใจไม่ลง แต่ที่ว่าตัดสินใจลง เพราะว่าพออายุหกสิบ จะต้องเป็นพระศักดิ์สิทธิ์ เพราะว่าเป็นพระของประชาชน พระศักดิ์ศรีนี่มันเป็นพระของประชาชนกับพระซึ่งมันอาจจะใช้กฎหมาย กฎหมาย ข้อบังคับระเบียบคณะสงฆ์เอามาเป็นเครื่องมือ แต่พระศักดิ์สิทธิ์นี่ท่านใช้ฌานสมาบัตทิ ท่ี า่ นทำ�กับประชาชน เพราะบอกตามตรงว่าตัดสินใจ ลงว่าจริงๆ แล้วศักดิ์ศรีนี่มันสู้ศักดิ์สิทธิ์ไม่ได้ อาจารย์สุลักษณ์จะสังเกตได้ว่า หลวงพ่อทวดเดี๋ยวนี้มีรูปใหญ่กว่าพระพุทธเจ้า สมเด็จพระ พุฒาจารย์ โต มีรูปปั้นใหญ่กว่าพระพุทธเจ้า สมมุติว่าพระสององค์นี้ท่านก็ห่มสติสมาธิฌานสมาบัติของพระอรหันต์มาในการที่จะเจริญ ฌานสมาบัติ ส่วนพระศักดิ์ศรีนี่ตายไปลูกศิษย์ไม่ถึงหนึ่งชั่วคนก็จบ จริงๆ เรามาดูว่าพระศักดิ์ศรีนี่มันสู้พระศักดิ์สิทธิ์ไม่ได้ ก็เลยตัดสินใจว่า ในอนาคตข้างหน้าเราคงจะต้องเป็นพระศักดิ์สิทธิ์มากกว่าพระศักดิ์ศรี ส.ศิวรักษ์ : สมณศักดิ์นั้นคือเครื่องมือของราชาธิปไตย มองในแง่ดี พระราชาแต่ก่อนนี้ก็จะแสวงหาพระซึ่งมีสีลาจารวัตร มีความรู้ความ สามารถ มีคุณงามความดี เอามาตั้งเป็นราชาคณะเพื่อเป็นศักดิ์ศรีของบ้านเมือง และเพื่อไปถวายเทศน์เป็นประจำ�เตือนสติพระราชา เพราะแต่ก่อนนี้พระราชาฟังเทศน์ทุกวัน เพิ่งมาเลิกเอารัชกาลที่ 5 นี่เอง เพราะฉะนั้นพระราชาคณะนี่สำ�คัญมาก ที่จะไปเตือนพระสติ พระเจ้าแผ่นดิน และท่านมีสีลาจารวัตรมีคุณงามความดีเป็นศักดิ์เป็นศรีแก่บ้านเมือง เพราะฉะนั้นในบ้านเมืองจะตั้งพระราชาคณะเพื่อเป็น ศักดิ์ศรีของบ้านเมือง เช่นเดียวกันที่มีพระพุทธรูปองค์สำ�คัญๆ ไว้ในบ้านเมือง อย่างพระศรีศากยมุนีนี่อัญเชิญมาจากเมืองเหนือเลย พังประตูเมืองเข้ามาเลย เปลี่ยนประตูท่าช้างเป็นประตูท่าพระเลย พระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกตามเสด็จพระศรีศากยมุนีด้วยพระบาทเปล่านะ จากท่าพระมาจนถึงวัดสุทัศน์ฯ นี่ เพราะถือว่าศักดิ์สิทธิ์เป็นศรีเป็นสง่าแก่บ้านเมือง เพราะฉะนั้นมีพระพุทธรูปเป็นประจักษ์ศรีแก่ บ้านเมืองฉันใด ก็มีพระราชาคณะเป็นตัวแทนของอริยะสงฆ์เป็นศักดิ์ศรีของบ้านเมืองฉันนั้น ในแบบโบราณถืออันนี้ และตำ�แหน่ง


พระราชาคณะทั้งหมดแปดสิบองค์เท่าอสีติมหาสาวกเลยทีเดียว เดิมมันเป็นอย่างนี้ แล้วทีนี้มันเริ่มกลายไป เริ่มเลอะเลือนไป จนกระทั่ง พูดกันอย่างไม่เกรงใจตอนนี้มันเฟ้อ ฟุ้งและการตั้งสมณศักดิ์ในเวลานี้บ้านเมืองเข้ามาเกี่ยวข้องน้อยมาก คณะสงฆ์ทำ�กันเองเลย มหาเถร สมาคมมีกรรมการ อนุกรรมการว่ากันเองเลย และพูดอย่างไม่เกรงใจตั้งลูกน้องของตัวเองทั้งนั้น ยกตัวอย่างง่ายๆ เลย นี่วัดชนะสงคราม เจ้าคณะใหญ่หนกลางเพิ่งสิ้นไป ตั้งพรรคพวกตัวเองเลย ตั้งหลานตัวเองเลย วัดพิชัยญาติ เสร็จแล้วก็ตั้งเจ้าคณะภาคแทนวัดพิชัยญาติอีก ราชาคณะสามัญวัดชนะสงคราม อะไรนี่ เล่นพวกกันชัดๆ เลยครับ วัดบวรนิเวศมีทั้งสมเด็จพระสังฆราชมีทั้งสมเด็จพระวันรัตน์เลย วัดไหน มีสมเด็จ 2 องค์นี่ไม่เคยมี อันนี้มองในแง่วงกว้างนี่มันเลอะเทอะ แล้วเวลานี้การทำ�บุญทำ�ทาน โดยเฉพาะในวงการคณะสงฆ์ นิมนต์ พระสงฆ์ทรงสมณศักดิ์ทั้งนั้น ผมบอกให้หัดนิมนต์พระสงฆ์ทรงสมณสารูป ทรงสมณสีลาจริยวัตรบ้าง อย่านิมนต์พระสงฆ์ทรงสมณศักดิ์ แล้วถวายกันเป็นหมื่นเป็นแสนครับ เมื่อเร็วๆ นี้เจ้าคุณวัดโพธิสมภรณ์อายุครบ 100 ไปสวดมนต์ 20 องค์ ถวายองค์ละหมื่นห้าครับ นี่แค่ สวดมนต์นะ เทศน์นี่ถวายทีห้าหมื่น สมเด็จไปนี่ถวายแสนอะไรกันนี่ สมณศักดิ์มันเป็นเครื่องมือของทุนนิยมบริโภคนิยมไปแล้ว มันเลอะ ถึงขนาดนี้แล้ว แล้วไม่คิดที่จะแก้ไขนี่จะดำ�รงคงอยู่ไม่ได้ ระบบสมณศักดิ์นี่จะดำ�รงคงอยู่ไม่ได้จะปลาสนาการไป พร้อมๆ ไปกับสิ้น ราชาธิปไตย ราชาธิปไตยก็จะดำ�รงคงอยู่ไม่ได้ ถ้าไม่ปรับปรุงแก้ไขเป็นราชาธิปไตยภายใต้รัฐธรรมนูญ ถ้าเป็นราชาธิปไตยเหนือ รัฐธรรมนูญเสร็จเลย เพราะธรรมต้องเป็นใหญ่ครับ พระพุทธเจ้าทุกพระองค์ในอดีต ในอนาคต ในปัจจุบัน พระพุทธเจ้าทุกพระองค์เคารพ พระธรรม ตอนนี้พระสงฆ์ทรงสมณศักดิ์จำ�นวนไม่น้อย ไม่เคารพพระธรรมวินัย อลัชชีเป็นจำ�นวนไม่น้อยครับเป็นใหญ่เป็นโตเป็นราชาคณะ ชั้นธรรม ชั้นรองสมเด็จ ไม่รู้ชั้นสมเด็จด้วยหรือเปล่า พูดกันอย่างไม่เกรงใจครับ การทรงสมณศักดิ์เวลานี้ มีการติดสินบนกันไม่ใช่น้อยครับ ติดสินบนกันได้สมณศักดิ์มา แล้วฉลองกัน โอ้โห! ด้วยความเคารพฉลองกันนี่ฉิบหายเป็นแสนๆ นะครับ พิมพ์หนังสือทำ�ของชำ�ร่วย แล้วก็นิมนต์พระมาสวด ชยันโต กัน องค์โตๆ ก็ถวายเป็นหมื่นเป็นแสน มันเลอะถึงเพียงนี้ แล้วไม่มีใครกล้าพูด แล้วคณะสงฆ์ก็เมินเฉย ไม่สนใจเลยที่จะปรับปรุงแก้ไข ต้องฝากทางท่านเจ้าคุณว่า วัดนี้สมภารก็เป็นสมเด็จพระราชาคณะเป็นกรรมการมหาเถรสมาคม พระราชวิจิตรปฎิภาณ : ที่อาจารย์สุลักษณ์ว่า มันต้องมีมุมมองว่าสมัยเดิมพระราชาเสด็จไปไหน ท่านก็ไปเจอพระทรงศักดิ์สิทธิ์กับทรงศีล ท่านก็ตรวจสอบความรูส้ กึ ของชาวบ้าน แล้วท่านก็ไปพิสจู น์ไอ้ความเป็นศีลกับศักดิส์ ทิ ธิ์ แล้วพิสจู น์ได้วา่ ชาวบ้านเขายอมรับ เพราะชาวบ้าน คือผู้ตรวจสอบ ชาวบ้านนี่มันมีทั้งโลกวัชชะ เมื่อพระไม่ดีเขาก็จะฟังเสียง เขาเรียก public hearing ถ้าพระไม่ดีคณะสงฆ์จัดการไม่ได้ พระราชาก็ต้องไปจัดการ เพราะว่าเป็นแผ่นดินของท่าน เพราะท่านถือว่าพระองค์นี้อยู่ในแผ่นดินของพระองค์ท่าน สำ�นึกถึงพระให้หง ให้หวยอะไรสมัยนั้น พันเอกปิ่นเขียนไว้ใช่ไหม ใครจัดการไม่ได้สมัยนั้น พระราชาไปจัดการ คราวนี้เมื่อไปเจอพระที่มีความศักดิ์สิทธิ์ ชาวบ้านนับถือ ก็จะแต่งตั้งสมณศักดิ์ตอนนั้นเลย เช่น หลวงพ่อแช่ม วัดถลาง ที่ภูเก็ต หลวงพ่อแช่มแข้งทอง ในประวัติจริงๆ อาตมา ไม่ทราบ แต่ว่าดูรูปที่หลวงพ่อแช่มถือพัดยศ แล้วสมัยนั้นใครมีกล้องล่ะ นอกจากรัชกาลที่ 5 ภาพนั้นมันเป็นการบ่งบอกว่าท่านพระราชทาน เดี๋ยวนั้นเลย ท่านพระราชทานแล้วท่านถ่ายรูปของท่านเองเลย ต่อมาก็มีการเปลี่ยนแปลงเนื่องจากว่าพระสงฆ์เยอะขึ้น ก็เลยมีพระราชบัญญัติซึ่งมาเปลี่ยนแปลงมาเรื่อยๆ ก็เลยให้พระสงฆ์พิจารณากันเอง ตรงนี้แหละคือจุดที่ฆราวาสเขามองแบบอาจารย์ ส.ศิวรักษ์ ไอ้ความ ต่อเนื่องของความรู้สึกว่าเรามีอำ�นาจ แล้วก็แต่งตั้งพระที่อยู่ใต้ปกครองเพื่อจะสืบทอดอำ�นาจ การสืบทอดอำ�นาจนี่มันก็มี 2 อย่างคือ หนึ่ง ด้วยความรู้สึกว่าใกล้ชิดกับเรา สองเพื่อเลี้ยงเรายามแก่เฒ่า ในฐานะที่อาตมาเป็นคนดู อาตมาทำ�งาน อาตมาก็เห็นว่าอคตินี่มันเป็นความ วิบัติ อคติมันแปลว่าลำ�เอียง เพราะเราแปลเชิงเปรียบเชิงอุปมาว่า อยุธยาสมัยนั้นมันก็ใช้เรือใช่ไหม เรือถ้ามันเอียงแล้วมันล่ม ล่มแล้ว ทรัพย์สินเงินทองเราหมด แต่ในหลวงท่านตรัสว่าครั้งหนึ่งว่า “อ” แปลว่าไม่ “คติ” แปลว่าไป อคติ แปลว่าไปไม่ได้ ไปไม่รอด ถ้าอคติอยู่ใน ใจของใคร แล้วผู้นั้นมีอำ�นาจ ถ้าเป็นเด็กๆ ก็แปลว่าขี้นินทาวิจารณ์ผู้ใหญ่ มันได้เท่านั้นเอง นินทา วิจารณ์ น้อยใจ ไม่ทำ�งาน แต่ถ้าเป็น ผู้ใหญ่นี่อาตมาคิดว่าพอฟังพระองค์ท่านวิบัติ ถ้ามันวิบัติเฉพาะตัวไม่เป็นไร ถ้ามันวิบัติในองค์กรและมันมีการสะสมแบบปอบ ปอบนี่ก่อน มันตายมันจะถุยน้ำ�ลายใส่ปากคนต่อไป มันก็จะมีการถุยน้ำ�ลายคือคำ�สอนที่พระมีสมณศักดิ์จะต้องสอนลูกน้องตัวเองเสมอ ดูแล พวกเดียวกันนะ สำ�นักนั้นไม่ใช่นะ อันนั้นมันสายนั้น อันนั้นมันสายนี้ ว่าง่ายๆ คือสมเด็จ ที่ไหนมีสมเด็จ ที่นั่นก็มีสี่สาย ถ้ามหานิกายก็สี่สาย คือมหานิกายมันสายเดียว แต่ถ้าสมเด็จมันก็มีสายของเขา ส่วนพระธรรมยุติก็มีสี่สาย รวมทั้งสมเด็จพระสังฆราชก็เป็นห้าสาย เพราะว่าเรา มี 9 ยอดใช่ไหมอาจารย์ คือเขาตั้งให้มี 9 ยอด เมื่อทุกองค์มีอคติ ถ้ามีนะ อาตมาไม่ได้ว่า ถ้ามีอคติท่านก็จะมองเห็นความเจริญของลูกน้อง และความยั่งยืนของตัวท่านเอง แต่ท่านไม่ได้มองเห็นว่าเกิดอะไรขึ้นในอนาคตข้างหน้า ตรงนี้คือสิ่งที่ควรจะพิจารณาว่าเรื่องอคติเป็นวิบัติ


28 ของคณะสงฆ์และของทุกคน เพราะฉะนั้นอาตมาจึงเขียนในหนังสือนานแล้วว่า ยศศักดิ์เป็นของหนักสำ�หรับคนไม่มีความสามารถ ยศศักดิ์ เป็นเพชฌฆาตของผู้บังคับบัญชาที่ไม่ยุติธรรม ยศศักดิ์เป็นความชอกช้ำ�ของคนที่ผิดหวัง ยศศักดิ์เป็นพลังของคนดี ยศศักดิ์เป็นศักดิ์ศรี ซึ่งมีในมวลหมู่มนุษย์ คือมันต้องมี แต่ตัวกลางสำ�คัญในทุกประการ ยศศักดิ์เป็นเพชฌฆาตของผู้บริหารที่ไม่ยุติธรรม มันไม่ใช่ฆ่าตัวเอง แต่มันฆ่าระบบทิ้ง ซึ่งในกาลต่อไปมันอาจจะไม่มีความหมายในความรู้สึกของคนเลย เพราะว่าคุณภาพ คุณประโยชน์ คุณธรรม ไอ้คุณวุฒิ ตอนนี้เขากำ�หนดประโยค 9 นี่ไม่ใช่โจมตีประโยค 9 ต้องขออภัยพระเถรานุเถระด้วยว่า เมื่อมีการแก้พระราชบัญญัติคณะสงฆ์และมีการแก้ กฎหมายพุทธสมาคมเราก็สามารถตรวจสอบได้เลย พอกฎหมายสมาคมฉบับสุดท้ายออกมานี่อาตมารู้เลย อาตมาประโยค 5 รู้เลยว่าเขา ทำ�เพื่อประโยค 9 เขาออกพระราชบัญญัติเพื่อประโยค 9 และเขากีดกันองค์ไหนไม่ได้ประโยค 9 ถ้าไม่ได้เป็นชั้นเทพเป็นรองภาคไม่ได้ หรือ ได้แต่มีกรณีพิเศษ เขาทำ�เพื่อสถานภาพของประโยค 9 อาจมีความคิดว่าเพื่อส่งเสริมให้พระเณรเป็นประโยค 9 จะได้เรียนกัน แต่ความ สูญเสียของมันถ้าวิจัยกันแล้ว แล้วคนไม่ได้ประโยค 9 ทำ�ยังไง ที่มีคุณภาพสูง มีคุณธรรมสูงก็ต้องกลายเป็นผู้ใต้ปกครองของเด็กๆ เราจึง เห็นพระครูที่ทรงศรีทรงศักดิ์มีความศักดิ์สิทธิ์ ดำ�รงในศีลธรรมและปัญญา อยู่ใต้ปกครองของเด็กๆ เด็กมันก็เหิม พอมันเหิมตอนนี้ทิ้งระยะ เวลาห่างมา 40-50 ปี มันก็จะถูกฝังรากลึกในใจว่า กูต้องได้ประโยค 9 เมื่อกูได้ประโยค 9 ถ้าอยู่ จะได้เป็นอย่างนั้นๆ จะได้ไปปกครองพระ กฎหมายมหาเถรสมาคมมันไม่ได้ให้ประโยคอื่นเลยนะ เพราะฉะนั้นประโยคอื่นก็กลายเป็นอะไรล่ะ เอ๊ะ! แล้วศีล สมาธิ ปัญญามันมี ประโยชน์อะไรในการปกครอง ซึ่งพฤติกรรมปกครองมันปกครองโดยการนับถือการกราบไหว้กัน เพราะฉะนั้นที่สุดเด็กรุ่นใหม่ อย่างอาตมา อายุ 55 ต่อไปสมมุติสมณศักดิ์กับการปกครองนะ หมดโอกาสแล้ว นี่ไม่ได้เรียกร้องนะ หมดโอกาสแล้ว เพราะเด็กรุ่นใหม่อายุ 35 นี่ประโยค 9 เป็นเจ้าคณะภาคกันแล้ว เป็นรองภาค เราไม่ได้อยากเป็น แต่ต่อไปคณะสงฆ์มันจะเป็นยังไง ในเมื่อเด็กมันรู้แล้วมันข้ามหัวเราได้ แล้ว ตอนที่เขาเป็นเด็ก เป็นประโยคเก้า เขาก็ยังกราบไหว้เราอยู่ แต่พอขึ้นระดับรองภาคไม่มีความหมายแล้ว เพราะเขารู้ว่า อนาคตเขาก็จะก้าว ไปสู่สมณศักดิ์ชั้นสูงโดยคำ�ว่าเปรียญธรรม 9 ประโยคซึ่งมันตราอยู่ ถูกบัญญัติอยู่ในกฎหมายมหาเถรสมาคม เพราะฉะนั้นตรงนี้มันก็คือ ความท้อถอยของภิกษุที่ด้อยโอกาสที่เขาทำ�งาน แล้วเขาก็จะถูกกันแค่พระครูสัญญาบัตรเท่านั้นเอง ส.ศิวรักษ์ : แต่ถ้ามีเส้นแล้วก็ไม่จำ�เป็นต้องเป็นเปรียญนะครับ พรหมมุนีวัดราชบพิตรนี่ 2 ประโยคนะครับ พรหมมุนีเจ้าคณะ รองผู้ช่วย เจ้าอาวาสวัดราชบพิธสถิตมหาสีมาราม พระอารามหลวงชั้นเอก 2 ประโยคครับ 9 ประโยคมหานิกายจำ�นวนมากนะครับ 10 ปี 20 ปียัง ไม่ได้เป็นราชาคณะเลยครับ เพราะว่าไม่ไปติดสินบนพวกเลขาฯ เจ้าคณะหนอะไรต่างๆ เหล่านี้ ผมพูดอย่างไม่เกรงใจเลย นี่แสดงว่า ธรรมยุติเขามีเส้นพิเศษครับ เขาอุดหนุนพรรคพวกกันเอง ไม่ต้องเป็นเปรียญก็ได้ พระราชวิจิตรปฏิภาณ : คือจำ�นวนมันน้อย (แทรก) ส.ศิวรักษ์ : ไอ้กฎเกณฑ์ที่วางไว้นี่ วางไว้เพื่อพวกพระส่วนใหญ่ ที่ถูกเหมาว่าเป็นมหานิกายจำ�นวนน้อย เขามีอภิสิทธิ์พิเศษร้อยแปดพัน ประการเลย นี่อยากจะเรียนด้วยความเคารพ และอภิสิทธิ์อันนี้พระก็ไม่กล้าพูดซึ่งๆ หน้า พระธรรมยุตินี่เขาไปแฝงอยู่กับพระราชาตั้งแต่ รัชกาลที่ 4 เป็นต้นมา สังฆราชไม่มีทางเป็นฝ่ายมหานิกายได้ เพิ่งมาเป็นได้เพราะเปลี่ยนแปลงการปกครอง สมเด็จวัดสุทัศน์ฯ นี่เป็น สังฆราชมหานิกายองค์แรก ตั้งแต่เกิดธรรมยุตินิกายขึ้นมา ตั้งแต่สิ้นสมเด็จพระมหาสมณเจ้าปรมานุชิตชิโนรสแล้ว ธรรมยุติทั้งนั้น เพิ่งมาวัดสุทัศน์ฯ นี่แหละครับเป็นสังฆราช เพราะเหตุว่าเป็นประชาธิปไตย พระราชวิจิตรปฏิภาณ : วัดโพธิ์ ส.ศิวรักษ์ : นั่นมันทีหลังแล้ว เริ่มจากที่นี่แหละ เพราะเหตุว่าสมเด็จวชิรญาณวงศ์ท่านไม่เปลี่ยนแปลงการปกครองท่านเป็นสังฆราช เพราะ ท่านเป็นหม่อมราชวงศ์ด้วย แล้วสมเด็จวชิรญาณวงศ์ (สมเด็จพระสังฆราชเจ้ากรมหลวงวชิรญาณวงศ์) ท่านนั่งหน้าสมเด็จพระวันรัตวัดนี้ นะครับ แต่พอเขาเปลี่ยนแปลงการปกครอง สมเด็จพระวันรัตแพ้ถึงได้ขึ้นเป็นสังฆราช นี่พูดตรงไปตรงมา อย่านึกว่าการเมืองไม่เกี่ยวข้อง เกี่ยวข้องสิครับ มหานิกายเรานี่อยู่ฝ่ายราษฎรมาโดยตลอด แต่ตอนนี้มหานิกายก็ลืมราษฎรไปหมดแล้ว ตอนนี้พูดกันมากเลย


พระราชบัญญัติปกครอง คณะสงฆ์ ร.ศ 121 รัชกาลที่ 5 ท่านเป็น สังฆราชเองนะครับ ไปอ่านดูสิครับ พระราชดำ�รัสเขียนไว้ชัดเลย


30 ปฏิรูปบ้านเมืองการเมือง แต่เราลืมไปว่าคณะสงฆ์นี่เป็นส่วนหนึ่งของบ้านเมือง เมื่อเปลี่ยนแปลงการปกครอง 2475 เกิดคณะยุวสงฆ์ขึ้น เขาเรียกคณะปฏิสังขรณ์ สมเด็จธีรญาณมุนีองค์ที่ 2 พระราชวิจิตรปฏิภาณ : วัดปทุมคงคา (พูดแทรก) ส.ศิวรักษ์ : ตอนนั้นที่อยู่วัดพระเชตุพนเป็นเปรียญ 9 ประโยคร่วมกับเขาด้วย และจากคณะปฏิสังขรณ์ถึงได้เกิดพระราชบัญญัติการ ปกครองคณะสงฆ์ 2484 เป็นประชาธิปไตย ไอ้ ร.ศ 121 เป็นราชาธิปไตยตามแบบรัชกาลที่ 5 ทีนี้ 2505 เวลานี้มันก็เป็นราชาธิปไตย แบบ สฤษดิ์ ธนะรัชต์ เราไม่ได้แก้เลย ทั้งๆ ที่เราเปลี่ยนมาหลายครั้งแล้ว ถ้าจะเป็นประชาธิปไตยในทางบ้านเมือง ทางคณะสงฆ์ก็ต้อง เป็นประชาธิปไตย ต้องเปลี่ยนพระราชบัญญัติคณะสงฆ์ก่อน ทีนี้ถ้าเปลี่ยนอันนี้แล้วก็มาดูว่า 2475 พลาดตรงไหน เลิกบรรดาศักดิ์ทั้งหมด เพราะบรรดาศักดิ์มันคงไว้ซึ่งความเป็นศักดินา เลิกหมด ขุน หลวง พระ พระยาไม่มีเลย แต่ลืมไป ไม่ได้เลิกสมณศักดิ์ แต่ไม่ได้ตั้งนะครับ 2475 มาตั้งเอาเมื่อรัชกาลที่ 8 เสด็จนิวัติพระนคร แล้วเจ้าคุณนวมวัดอนงค์ฯ ขึ้นปรู๊ดเดียวครับ แต่มหาโพธิวงศ์เป็นสมเด็จพุฒาจารย์เลย วัดสระเกศเป็นธรรมเจดีย์ค้างอยู่ตั้งนานเลยครับ ตั้งแต่รัชกาลที่ 7 ปลายรัชกาลที่ 8 ถึงขึ้นเป็นธรรมวโรดมคือไม่ได้เลิก แต่ก็ดองเอาไว้ ทีนี้ ถ้าเผื่อว่า จะเปลี่ยนพระราชบัญญัติคณะสงฆ์ใหม่ ถ้ามีความกล้าหาญที่จะทำ�พอ ก็ต้องเลิกสมณศักดิ์ไปเลยนี่สำ�คัญมาก แต่ว่าแน่นอน พูดอย่างนี้คนจะตกใจกันมาก เพราะเราคุ้นเคยกับความเป็นมาแบบเดิมๆ มองไม่เห็นข้อบกพร่องเท่าที่ควรจะมองเห็น เพราะสมณศักดิ์ เวลานี้ไปผูกอยู่กับทุนนิยม บริโภคนิยม ยิ่งสมณศักดิ์สูงเท่าไหร่เงินทองมันมามากเท่านั้น ชาวบ้านก็นิยมสมณศักดิ์ ไม่นิยมสมณสารรูป มันก็เลอะเทอะกันไปหมด เพราะฉะนั้นการเปลี่ยนแปลงนี่มันต้องมีความกล้าหาญเพียงพอ แล้วโยมต้องกล้า พระเองคงไม่กล้า เว้นแต่ จะพวกพระเสื้อแดงซึ่งแอนตี้สมณศักดิ์ แต่พระเสื้อแดงพวกนี้ก็เป็นพระซึ่งไม่มีอำ�นาจวาสนาอะไร ก็ได้แต่ไปเย้วๆ อยู่แค่นั้นเอง นี่ถ้าเราฟัง พวกเย้วๆ บ้าง เอามาตรึกตรองให้รอบคอบก็อาจจะปรับปรุงเปลี่ยนแปลงไม่ให้กระทบกระเทือนอย่างรุนแรงได้ พระราชวิจิตรปฏิภาณ : คือท่านอาจารย์สุลักษณ์ ท่านก็พูดในแบบฆราวาส แต่ในทรรศนะของอาตมา ผู้ที่เปลี่ยนแปลงคือผู้ที่ครองอำ�นาจ (เน้นเสียง) มันจะเกิดขึ้นได้ไหม เมื่อเปลี่ยนแปลงไปแล้ว การจัดระบบการปกครองโดยเขาเรียกสีลสุทธาธิคุณ เราจะทำ�อย่างไรกับมัน อาตมายังมองไม่เห็นการเปลี่ยนแปลง เพื่อเป็นการปรับตัวให้พระเป็นพระ 5 แบบ ตามสุปฏิปันโน (อาหุเนยโย ปาหุเนยโย ทักขิเนยโย อัญ ชะลีกะระณีโย อะนุตตะรัง ปุญญักเขตตัง โลกัสสะ) เพราะผู้ที่มีอำ�นาจเปลี่ยนแปลงได้ มันคือพระสงฆ์ที่ทรงสมณศักดิ์ ที่ชอบเสนอ การเปลี่ยนแปลง โอกาสเลิกมันยังเป็นไปได้ยากตอนนี้ เพราะการเลิกมันไม่ใช่พระเลิก คนเสพยามันจะเลิกยาได้ไหม ไม่มี คนเสพยา เลิกยาไม่ได้ ยกเว้นหนึ่งตำ�รวจเยอะ สองเขาจับไปบำ�บัด สามไม่มีอะไรกิน สี่โรคภัยไข้เจ็บมาเบียดเบียน มันถึงจะเลิกได้ ถ้างั้นเลิกไม่ได้ หรอก อะไรที่มันเสพติดไปแล้ว อำ�นาจ ยศศักดิ์ เป็นเรื่องของการเสพติด เพราะฉะนั้นคนไม่มาลง ส.ส. แล้วเอาลูกมันมาเล่น เอาเมียมันมา เล่นใช่ไหม เอาโคตรเหง้าเหล่ากอมาเล่น ส.ศิวรักษ์ : จากพ.ศ. 2475 เกิดพระราชบัญญัติการปกครองคณะสงฆ์ 2484 ฆราวาสเขาจัดแจง พระไม่ได้จัดแจงนะครับ สภาผู้แทน ราษฎรเขาเป็นคนจัดแจง แล้วก็มีเปรียญลาพรตเกี่ยวข้องสองคน คนสำ�คัญฝ่ายมหานิกายก็หลวงวิจิตรวาทการ คนสำ�คัญฝ่ายธรรมยุติ ก็ทองสืบ สุขมาศ สองคนเข้ามาเกี่ยวข้อง พระไม่ได้เกี่ยวข้องเลยครับ เขาจัดแจงทั้งหมดถวายพระ พูดกันตรงไปตรงมาการปกครอง คณะสงฆ์ตั้งแต่ไหนแต่ไรมา ฆราวาสปกครองทั้งนั้นครับ เจ้าพระยาหม่อมราชวงศ์คลี่ สุทัศน์ คุมกระทรวงธรรมการถองพระราชาคณะ เลยครับ นี่ฆราวาสปกครองพระมาตลอดเราลืมไป แม้กระทั่งพระราชบัญญัติปกครองคณะสงฆ์ ร.ศ 121 รัชกาลที่ 5 ท่านเป็นสังฆราช เองนะครับ ไปอ่านดูสิครับ พระราชดำ�รัสเขียนไว้ชัดเลยว่า กรรมการมหาเถรสมาคมเป็นการสงฆ์ ประชุมกันเพื่อถวายความเห็นสำ�หรับ ส่งลงพระบรมราชวินิจฉัยชัดเจนเลยสังฆราชคือรัชกาลที่ 5 จนมาถึงรัชกาลที่ 6 แล้วท่านไม่สนใจเรื่องการปกครอง ท่านถวายให้อุปัชฌาย์ ท่านสมเด็จพระมหาสมณเจ้าปกครอง ก็ปกครองแบบเจ้าปกครองไพร่ชัดเจนเลย มีมหาเถรสมาคมแต่ตัดสินชี้ขาดโดยสมเด็จพระมหาสมณเจ้า จะให้มหานิกายห่มแหวกก็ยังได้ มีขัดขืนอยู่ก็เพียงวัดสุทัศน์ฯ วัดอรุณฯ ไม่กี่วัดนี้ที่ไปขัดท่าน แล้วก็ไม่ได้เลื่อนสมณศักดิ์เลยนะ พวกวัดที่ไม่ยอมห่มแหวกไม่ได้เลื่อนสมณศักดิ์เลย พวกห่มแหวกนี่เลื่อนสมณศักดิ์เป็นแถวเลย วัดมหาธาตุ วัดเบญจมบพิตรฯ วัดอนงค์ฯ ฯ


ถามตัวเองทุกวัน ว่าไอ้ความเป็นเจ้าคุณ ราชวิจิตรปฏิภาณเป็นดารา โทรทัศน์ เป็นนักเขียน มันให้ อะไรมากกว่านิพพาน


32 นี่ห่มแหวกตามท่าน คือท่านเป็นใหญ่ขนาดนั้นท่านเอาวิธีเจ้ามาปกครอง เราลืมไป และทีนี้ไอ้ 2505 นี่จะเอาอย่างเจ้ามาปกครอง แต่พระสมัยนี้หมดความเป็นเจ้าแล้ว ถึงมาเป็นสมเด็จเจ้าก็เป็นเจ้าไม่เป็น ดัดจริตเป็นเจ้าเท่านั้นเอง อยากจะมีรถหวอนำ� อยากจะตายแล้ว ใส่กบใส่โกฏิ แต่ลึกๆ ก็ยังเป็นไพร่อยู่ครับ สมเด็จต่างๆ เหล่านี้ เพราะเป็นเจ้านี่มันมีขัตติยมานะ กล้าตัดสินใจ สมเด็จพระมหาสมณเจ้า วชิรญาณวโรรส นะครับ ราชาคณะปลัดซ้ายของท่านจุลนายกรับสินบน ท่านรับสั่งให้สึกเดี๋ยวนั้นเลย นี่เลขาฯ เลย จุลนายกสั่งให้สึก เดี๋ยวนั้นเลย รับสินบนป้านชาป้านเดียวเป็นทุติยปราชิกแล้ว สมัยนี้ไม่กล้านี่ครับ พรรคพวกกันนอนกับผู้หญิงเอย โกงเงินเอย ก็ปิดบังกัน เสร็จ อันนี้ไม่ได้รักษาสมณศักดิ์อย่างเดียว คุณไม่รักษาคณะสงฆ์เลย เพราะคณะสงฆ์นี่เป็นเนื้อนาบุญอันประเสริฐ ที่เราเคารพพระสงฆ์ กันเพราะท่านเป็นเนื้อนาบุญเป็นผู้บริสุทธิ์ แม้อาบัติประมาณน้อยท่านก็ต้องปลง เดี๋ยวนี้วัดหลายวัดไม่ปลงอาบัติ แม้กระทั่งวัดบ้านกร่าง วัดเจ้าคุณประยุทธ์ท่านเอง ก็ไม่ปลงอาบัติกันแล้ว หรือบางวัดก็ปลงก็สักแต่ว่าปลง วัดปทุมคงคาที่ท่านพุทธทาสไปอยู่สมัยที่ท่านมาเรียน กรุงเทพ วัดปทุมคงคานี่พระบวชใหม่บวชบ่ายสองโมง พระเก่าชวนไปฉันก๋วยเตี๋ยว แล้วพระใหม่ก็ อ้าว! หลวงพี่ไม่เป็นอาบัติเหรอ พระรุ่นพี่ก็เฮ้ยๆ พรุ่งนี้เราก็ปลงแล้ว เสร็จเลยครับ เมื่อพระธรรมวินัยเป็นของเล่นเสียก็เสร็จเลย พระธรรมวินัยนี่เป็นสิ่งที่ประเสริฐที่สุด สำ�หรับคณะสงฆ์ แล้วคณะสงฆ์นั้นเป็นสังคมทางเลือกประเสริฐที่สุด ซึ่งถอยไปหาพระพุทธเจ้า ถ้าเรารักษาอันนี้ไว้ไม่ได้ ก็เสร็จเลย เป็นของเล่นกัน เดี๋ยวนี้ก็กลายเป็นของเล่นทั้งนั้น พระเป็นตุ๊ดเยอะแยะไปหมด พระมีเมียเป็นผู้ชาย มีเมียเต็มไปหมด นี่มันสิ่งอันตราย ก็อย่างที่เจ้าคุณท่านพูด แต่ก่อนนี้โยมเขาดูแลพระ เขาใส่บาตรเช้า แต่ถ้าพระเป็นปราชิกชาวบ้านเขาจับสึก เดี๋ยวนี้ชาวบ้านไม่สนใจพระ แล้วครับ สนใจอย่างเดียวว่าพระมาทำ�พิธีกรรมให้เท่านั้นเอง เมื่อพระเป็นพราหมณ์เหมือนพระจีนจัดกงเต็กเท่านั้นก็เสร็จเลย พระต้องมี ความเป็นสมณะ ต้องเป็นลัชชี มีความละอายเป็นพื้นฐาน มีหิริ โอตตัปปะ ถ้าหมดอันนี้เสร็จเลย เพราะฉะนั้นเวลานี้มี อลัชชีเต็มไปหมด ถึงขั้นเป็นกรรมการมหาเถรสมาคมด้วยซ้ำ�ไปเป็นอลัชชีนี่อันตรายมาก พระราชวิจิตรปฏิภาณ : คือฆราวาสนี่ ถ้าเราศึกษาให้ดีพระเจ้าอโศกมหาราชท่านมีความรู้เรื่องสั่งสอน แต่เผอิญท่านได้พระโมคคัลลีบุตร ติสสะเถระพระอรหันต์ แล้วมีอะไรก็จะถามพระ เขาจะถามพระอริยะ พระอริยะปรารภยังไง ถ้าเกิดอลัชชีขึ้นท่านก็เอาไปตัดสินทางโลก เพราะว่าพระศาสนารุ่งเรืองลาภผลมันเยอะ คนก็ปลอมบวชกันเยอะ ท่านก็เลยตัดคอให้เป็นเยี่ยงอย่าง ทำ�ไมถึงตัดคอ อาตมาก็วิเคราะห์ ทำ�ไมเขาถึงตัดคอที่เป็นอลัชชีที่ปลอมบวช เพราะว่าเขาถือว่ามันเป็นการฉ้อฉลที่ร้ายแรงที่สุด คนฉ้อฉลนี่กฎหมายมันมีใช่ไหมอาจารย์ แต่พระฉ้อฉล พระหลอกลวงนี่มันไม่มีกฎหมาย และมันเป็นการทำ�ลาย เขาจะกรวดน้ำ�ให้ญาติเขาตอนตาย แล้วไปเจอพระไม่ดี ไอ้ที่มีทุกข์ ไม่พ้นทุกข์ ไอ้ที่อยากสุขมันไม่สุขยิ่งๆ ขึ้นไป เพราะฉะนั้นพระเจ้าอโศกมหาราชท่านจึงคิดถึงลักษณะแบบนี้ ต้องบอกว่านี่คือมหันตภัย คราวนี้เรื่องสมณศักดิ์นี่เป็นว่าให้อาจารย์ ส.ศิวรักษ์ มอง อาตมาเป็นพระมันมองยาก เวลามองแล้วมันเป็นภัยต่อวัด เนื่องจากว่ามันกระทบ ในการที่อยู่ร่วมกัน แต่อาตมาเห็นสิ่งที่เสียหายในวงการคณะสงฆ์ก็คือเวลาที่สมัยก่อนเขาบวช เขาบวชด้วยความเลื่อมใส เขาบวชเพราะ 3 อย่าง บวชเพราะแรงอธิษฐาน บวชเพราะความเป็นลูกหลานกตัญญู บวชเรียนรู้ธรรมวินัย บวชเพราะแรงอธิษฐานก็อธิษฐานแต่ภพ แต่ชาติ เหมือนพระพุทธเจ้าอธิษฐาน พระอรหันต์ทุกองค์ก็อธิษฐาน มีอปทานพระไตรปิฎกลองไปดูเหอะ มาถึงในฐานะเป็นลูกหลาน กตัญญูมันเป็นประเพณี ก็มีอีกพวกหนึ่งอยากเรียนรู้พระธรรมวินัย คราวนี้ไอ้สิ่งที่ธรรมะเราไม่ดีขึ้นนี่ ผ่านเรื่องสมณศักดิ์ไปก่อน คือเราบวช มาแล้ว หนึ่งเราไม่ได้อ่านประวัติพระพุทธเจ้าอย่างลึกซึ้ง สองเราอ่านประวัติพระอรหันต์แบบเผินๆ จนไม่สามารถเอาท่านเป็น แบบอย่าง จริงๆ พระอรหันต์แปดสิบองค์ ถ้าอ่านอปทานของท่านด้วยนะ ภิกษุณีอีกนะ ถ้าอ่านลึกซึ้งแล้ว อ่านผลดีของพระธรรมวินัย ศีลห้า ศีลแปด ศีลสิบ ถ้าอ่านอย่างลึกซึ้ง โอ้โห! คนดีเต็มประเทศ แต่เผอิญแบบเรียนของเรา มันเรียนเพื่อประทังชีวิต ยิ่งระยะหลังนี่มัน เป็นการสงเคราะห์คนจน คนจนก็อยากจะมีกิน ทำ�ยังไงจะมีกินก็ต้องมีความรู้ พอมีความรู้ก็อยากสึก อยู่ก็อยากจะมีสมณศักดิ์ คือเราไม่ได้ ล้างกิเลสก่อน กิเลสเมื่อมันมีโอกาส มันก็กำ�เริบ ไม่ว่าจะเป็นราคะ โทสะ โมหะความลุ่มหลงมันก็กำ�เริบขึ้นมา ทีนี้ในฐานะที่อาตมาแก่แล้ว แต่จะเอามรรคผลนิพพานไหม ถามตัวเองทุกวัน เพราะไอ้ความเป็นเจ้าคุณราชวิจิตรปฏิภาณเป็นดาราโทรทัศน์ เป็นนักเขียน มันให้อะไร มากกว่านิพพาน แล้วตอนนี้ก็เลยเริ่มอ่านประวัติพระอรหันต์อย่างลึกซึ้ง พออ่านอยู่ไฟนรกก็แวบ บางวันอยากจะวางหนังสือ บอกตามตรง อาจารย์ แต่มีโอกาสหนีแล้ว ถ้าเราไม่คิดมรณานุสสติเป็นอนิจจังนะ อาจจะตายวันพรุ่งนี้ อายุ 55 ยังมีโอกาสหนี ก็เตรียมตัวหนีไฟนรก ทำ�ยังไงให้คนเรียน ให้คนที่เข้ามารู้ศาสนา เรียนรู้ถึงองค์พระอรหันต์อย่างลึกซึ้งจนเป็นต้นแบบ เพราะไอ้แบบบาลงบาลีอะไรนี่ มันมีแค่ ผิวเผินเท่านั้นเอง สมัยก่อนประโยค 3 คือวินัยปิฎกจบ บวชมา 3 ปี มันต้องอ่านแต่วินัยอย่างเดียว อ่านละเอียดลึกซึ้งอรรถกถา ฎีกา


33

ต้องอ่านให้หมด พออยู่ได้อีก 3 ปีก็อ่านพระสุตตันตปิฎก พออีกสามปีก็อ่านพระอภิธรรม 9 ปีมันอ่านจบ แบบพระพม่า แต่ระบบของ การคณะสงฆ์ไม่ใช่อย่างนั้น อาตมาเรียนบาลีเป็นมหาประโยค 5 อาตมาเรียนมาถึงก็แปลเลย อาตมาไม่ได้รู้สาระเลย ไอ้หมวดแรก หมวดกรรมคืออะไร ทำ�ไมต้องจัดเป็นหมวดกรรม หมวดโน่น หมวดนี่ หมวดนั่นไม่มีใครอธิบายให้ฟัง เราเรียนเพื่อเป็นมหาเปรียญ แต่พอ เป็นมหาเปรียญเสร็จแล้ว ต่อมาเราก็ต้องมาเทศน์ แล้วก็เอามาเทศน์แค่ให้เทศน์ได้ เพื่อจะอะไรดำ�รงชีพว่างั้นเถอะ เพื่อมีชื่อเสียง เพื่อเชิดชู ตัวเอง เพื่อยกย่องตัวเอง เพื่อช่วยพ่อช่วยแม่ แต่เราไม่ได้อะไรเลยในด้านคุณธรรมตามหมวดต่างๆ ที่ท่านวางเอาไว้ หมวดกรรม หมวดจิต หมวดกิเลส หมวดมิตร หมวดอะไร ไม่ได้อะไรเลย แค่แปลได้ก็จบ แล้วอาตมาทรรศนะเรื่องสมณศักดิ์เป็นเรื่องของอาจารย์ที่เป็นฆราวาส ส่วนทรรศนะในวงการคณะสงฆ์ที่จะต้องสอนต่อไปนั้น มันต้องสอนเขาให้ลึกซึ้ง เพราะฆราวาสเขาอ่านเพื่อบรรลุมรรคผลนิพพาน ฉะนั้น อาตมาจึงจัดพระไตรปิฎกใหม่ อาตมาเป็นคนแรกที่แปลพระไตรปิฎกว่า พระไตรปิฎกคือ how to ย้ำ�หน้าที่หลัก ให้รู้จักหน้าที่การงาน ให้บริหารจิต ให้เตรียมชีวิตไว้โลกหน้า ให้ดับกิเลสตัณหาเข้าสู่พระนิพพาน แล้วหน้าที่หลักแบบฆราวาสธรรมที่อยู่ในสิงคาลกสูตรนั่นแหละ ที่พระพุทธเจ้าท่านตรัส นี่คือความเป็นคน บางคนเกิดมาเป็นคนในสิงคาลกสูตร คุณต้องมีทุกสถานะภาพอย่างนั้นเลย ในความเป็นคน แต่ละเรื่อง พระพุทธเจ้าบอกธรรม 5 อย่าง อาตมาเขียนปุ๋ยสูตร 5 ตำ�แหน่งหน้าที่การงานคุณทำ�หน้าที่อะไร คุณเอาอันนี้ไปใส่ ให้บริหารจิต แต่ให้เตรียมชีวิตไว้ล่วงหน้า เลือกสวรรค์นิพพานเอาไว้ นรกก็เลือกได้ สวรรค์จะไปชั้นไหน จะเป็นเทวดาแบบไหนเลือกได้ แต่สุดท้าย ดับกิเลสเข้าสู่นิพพาน ไอ้ทั้งหมดสี่ข้อแรกมันเป็นประโยชน์ของเรา แต่ไอ้ข้อสุดท้ายมันเป็นทั้งเป็นประโยชน์ตัวและเป็นประโยชน์แก่ชาวโลก ซึ่งทำ�ให้เรามาเป็นพระ แต่ที่พูดอย่างนี้ อาตมาว่าฆราวาสนี่น่าสรรเสริญ เพราะไปดูแล้วฆราวาสเขียนหนังสือเรื่องพระดีกว่าพระเขียนเอง เขาศึกษาเชิงบูรณาการเพื่อตัวเขาเอง เขาจะเรียนรู้อย่างศรัทธา ด้วยระบบศรัทธา ส่วนหลังๆ เรารู้ว่าการศึกษาสงเคราะห์ เพื่อให้มีฐานะ ทางสังคมหรือเพื่อสิกขาลาเพศไป ทุกๆ วันเราเห็นเณรเดินไปเรียนหนังสือ เราก็มองจะเหลือสักองค์ไหม เพราะเราไม่ได้ให้อ่านประวัติ พระอรหันต์อย่างลึกซึ้งจนเขาเป็นพระอรหันต์ เพราะฉะนั้นพระเต็มประเทศนี้ บอกตามตรงถ้าในทรรศนะของอาตมาตอนนี้นะ คนถึงอารยะ คือพุทธทาส ถ้าในชีวิตอาตมาที่อ่านหนังสือ คนถึงความเป็นอริยะคือพระพรหมโมลี คนถึงอริยะคือเจ้าคุณประยุทธ์นี่อริยะ เพราะท่านอ่าน ถึงนิพพาน คนเขียนหนังสือถึงนิพพานได้แล้วเอามาย่อสอนได้มันถึงนะ มันถึงแล้วถ้าอารยะบุคคลในฐานะเมตตาธรรม อาตมาก็ต้อง นับถืออาจารย์อลงกต วัดพระบาทน้ำ�พุ นั่นเป็นอริยะอีกแบบ อาตมาไม่ได้ว่าเป็นอรหันต์นะ ถ้าหลวงพ่อคูณเป็นอริยะก็ได้เชิงเมตตา ในเชิงฌานสมาบัติ แต่อาตมาไม่ได้พยากรณ์ หลวงตามหาบัวท่านก็เป็นอริยะ ท่านเป็นอริยะบุคคล แต่ชั้นไหนอาตมาไม่พยากรณ์ แต่ สมัยนี้มันจะมีหรืออาจารย์ เราเคยอ่านหนังสือที่เขาว่า นิพพานคำ�เดียวยังขี้เกียจจำ�เลย แต่หนังสือในพระไตรปิฎกนิพพานมีอะไร เท่าไร ให้พระอ่านให้จบสิ อ่านจบนิพพานมันอยู่กับความรู้แล้วมันเป็นสัญญา วันหนึ่งสัญญามันจะกลับมาถูกทบทวนเมื่ออายุมันเปลี่ยนไป ใช่ไหม พออายุเปลี่ยนไป เราก็จะได้พระอริยะ ความจริงอริยะบุคคล จำ�นวนพระสงฆ์มันไม่ได้น้อยลงไปหรอก เพียงแต่ว่าเราวางรากฐาน การศึกษาเท่านั้นเอง เจ้าชายสมัยก่อนบวชกันทั้งนั้นใช่ไหม นี่พระพุทธเจ้าท่านสอนลึกซึ้ง แล้วอาตมาก็ต้องชมรัชกาลที่ 4 เรื่องที่ว่า ท่าน คงมองท่านบวชมานาน ท่านคงเห็นความบกพร่องอะไรต่ออะไรเยอะแยะ ท่านจึงได้นิพนธ์ทำ�วัตรเช้า ว่าก่อนที่จะออกไปบิณฑบาต ฆ่าตัวตายถวายพระพุทธเจ้าหรือยัง ที่ว่ารูปังอนิจจัง รูปังอนัตตา ฆ่าความเป็นตัวเป็นตนตายหรือยัง ถ้าไม่อย่างนั้นก็แย่งสตางค์กันตาย อาตมาเป็นเณรตอนไปบิณฑบาต รูปังอนิจจัง ก็ไม่มีใครอธิบายให้อาตมาฟัง อาตมาก็สวดทุกวัน แต่เนื่องจากบ้านนั้นมันมีสาวๆ ใส่บาตร อาจารย์ พรุ่งนี้วันอาทิตย์วันเสาร์เณรก็จะขัดฝาบาตร เพราะว่าสายนี้บิณฑบาตมันมีเด็กมัธยมใส่บาตร ก็ขัดฝาบาตรแข่งกัน มาเริ่มเอาสีมา แต่งถาด เริ่มแต่งเรือให้สวยแข่งกัน วันๆ ก็ง่วนกันแต่งเรือ พอเย็นๆ ก็เอาสบู่วิเศษนิยมทาหน้าปุ๊บ มันเป็นสครับมานั่งขัดหน้ากัน นั่งขัดหน้า จนหน้าขาวเชียว พอเราโตขึ้นมาถึงวันนี้ โอ้โห! กูนี่ไม่ได้ต้นแบบอะไรที่ดีมาเลยนะ เพราะเราเรียนเพื่อประทังชีพ พ่อแม่จน ถ้าเป็นมหา มันมีศักดิ์ศรี เราเรียนแล้วเผื่อว่าสึก แต่พอมาถึงวันนี้ปุ๊บ เราทำ�งานเผยแพร่ ในหนึ่งเดือนมันก็ต้องมีเรื่องกรรมฐานอยู่ เพราะเราเห็นตัวเรา เน่าเฟะมาแล้ว ถ้าเราไม่เน่าเฟะ เรื่องสมณศักดิ์มันก็หลุดไป ถ้าเราไม่ตัดขาดเดี๋ยวมันชอบเรา แต่วิปัสสนาจารย์ทุกสำ�นักเวลาสอน กายานุปัสสนาถึงขั้นไม่มี เพราะส่งเสริมโยมแต่งตัวสวยมีรูปแบบ จะไปสอนก็สะเทือนใจคุณหญิงคุณนาย คุณหญิงอะไรครับพอเข้า มาปฏิบัติธรรมมานั่งกรรมฐานนี่พลอยเท่าหัวเป็ด เพชรเท่าหัวพระ น้ำ�หอมฟุ้งห้องประชุม แล้วพระก็ให้เกียรติไปจุดธูปจุดเทียน อ้าวแล้วมึง จะไปสิ้นกิเลสได้ยังไง อ้าว! มันก็รู้สิว่าพระชอบแบบนี้ แล้วอาศัยปากพระยกย่อง เมื่อเกียรติทางโลกหมดไปต้องอาศัยพระเป็นสื่อ พระจึงไม่ได้ทำ�ลายกิเลสคนเลย ให้สอนกรรมฐานพุทโธ สัมมาอะระหัง ยุบหนอ พองหนอ อธิบายกันยังไงก็ไม่รู้ มันยุบอีตอนหายใจเข้านี่ เรื่องสมณศักดิ์นี่อาตมาไม่วิจารณ์ เพราะอาตมายังมองไม่ออกว่า เลิกแล้วอะไรมันจะตามมา ฆราวาสอาจจะเก่งกว่า อาจจะสร้างระบบ


34

สมณศักดิ์เวลานี้ไปผูกอยู่กับทุนนิยม บริโภคนิยม ยิ่งสมณศักดิ์สูงเท่าไหร่ เงินทองมันมามากเท่านั้น ชาวบ้าน ก็นิยมสมณศักดิ์ไม่นิยมสมณสารรูป มันก็เลอะเทอะกันไปหมด ส.ศิวรักษ์

ได้ดีกว่า แต่อาตมามองถึงการสั่งสอนของพระกับการทำ�ลายกิเลสคน ว่าเราจะปรับเปลี่ยนกันอย่างไร แล้วจำ�นวนพระที่เราเน้นกันเรียน ปริญญาตรี ปริญญาโท เสร็จแล้วมันสึกหมด ทำ�ยังไงจะบ่มเพาะพระเณรของเรา พอเขาเลื่อมใสเสร็จ เขาไม่สึก ทุกวันนี้เราขาดดุลย์ อย่างวัดสุทัศน์ฯ เองอาตมายังมองไม่เห็นว่า อีกหน่อยจะมีพระเณรเท่าไร เพราะคนจบปริญญาโทสูง แล้วมันชวนกันไปต่างประเทศ ไป เพื่ออะไร คิดว่าฝรั่งรวย แล้วสมบัติมหาศาลทางพุทธศาสนาจะอยู่ยังไง พอคิดอย่างนั้นมันก็เกิดปรัชญาการบูรณาการธรรมะ เพราะ อีกหน่อยก็ต้องไปง้อข้าราชการ ใครเขียนหนังสือธรรมะอย่างอาจารย์ ส.ศิวรักษ์ อาจารย์บวชช่วยมาดูแลวัดหน่อย ถ้าไม่มีภาระ คนนั้นเขียน หนังสือธรรมะดีมีภาระ บวชนะ ขอนะ ต่อไปก็จะไม่ใช่วัดนักเรียน มันต้องปรับวัดทั้งหมด มีนั่งกรรมฐานสอนกันจริงจัง ซึ่งถึงเวลานั้นอาตมา จะอยู่หรือเปล่ายังไม่รู้ อาตมาก็เลยมองการณ์คณะสงฆ์ว่ามันถึงจุดเสื่อม ในเรื่องที่เราไม่ได้สอนให้คนเข้าถึงพุทธศาสนา เราไม่ได้สอนให้ พระเณรเราเรียนรู้จริงๆ กับคำ�ถามที่ว่าทันสมัยไหม ทันโลกไหม โลกไม่ต้องไปทันมัน เรามีหน้าที่ดึงโลกเอาไว้ แล้วก็อีกอย่างหนึ่งก็คือ บาลี ไม่ต้องไปเรียนแล้ว เพราะมันถูกแปลมาหมดแล้ว มันต้องเรียนภาษาอังกฤษให้เข้มข้นทำ� technical term ศัพท์พระศาสนา บวชก็ต้องเรียน ศัพท์ศาสนาภาษาอังกฤษให้เก่ง ส.ศิวรักษ์ : วันนี้ท่านเจ้าคุณเปิดเผยมากนะ เรื่องสมณศักดิ์ไม่ได้เป็นเพียงประเด็นเดียวที่เจ้าคุณท่านพูดถึงเท่านั้น การศึกษาคณะสงฆ์ ทำ�ยังไงถึงจะสืบพระศาสนาต่อไป อนาคตวัดทุกวัดจะเป็นยังไง ท่านยังเป็นห่วงพระศาสนาอยู่ แล้วถ้าเกิดพระสงฆ์รุ่นใหม่ขึ้นมันจะต่อ และพระสงฆ์รุ่นใหม่ที่ท่านมาเน้นเรื่องภาษาอังกฤษนี่ ไม่ใช่รู้ภาษาอังกฤษอย่างเดียว ต้องมีคนสมัยใหม่ ซึ่งเข้ามาหารากเดิมของเรา เห็นคุณค่าของเรา ถ้ากลับไปหาพื้นฐานเดิมของเรา คนรุ่นใหม่คนรุ่นเก่าก็กลมกลืนกัน ทางโลกกับทางธรรมก็กลมกลืนกัน เรื่องสมณศักดิ์ เป็นเรื่องรอง เรื่องหลักคือพระศาสนาต้องควบคู่ไปกับประชาชนคนส่วนใหญ่ เพื่อนำ�เขาให้ไปพ้นโลกียะสู่โลกุตระซึ่งเป็นสิ่งประเสริฐที่สุด ที่พระพุทธเจ้าให้ ปีนี้พระพุทธเจ้าตรัสรู้ครบ 2600 ปี แสงสว่างแห่งการตรัสรู้จะดำ�รงคงอยู่ตลอดไป ถ้าคนรุ่นเก่ารุ่นใหม่กลับมาเชื่อมกัน



36

ธรรมไมล์

เรื่อง I ภาพ : ภาณุวัฒน์ จิตตวุฒิการ


“ไหนใครว่าคนเกิดมาก็เป็นมนุษย์”


38

ผ้าเหลืองเปื้อนยิ้ม ภาคพิเศษ ตอนเณรน้อยนักสืบ

คดีที่ ๑๘ : “สืบจากฉายา”

เรื่อง : กิตติเมธี I ภาพประกอบ : บุคลิกลุงป้า bookalicloongpa@gmail.com


39

วันนี้เป็นวันสดใสอีกวัน และในวัดก็สงบเงียบดีตามเคย เหล่าสามเณรมานั่งฟังพระอาจารย์สอน “ทุกที่ ทุกสังคมมีภาษา เป็นของตัวเอง แม้แต่พระพอบวชก็ต้องมีภาษาพระหรือภาษาบาลีติดตัวมาเลยเป็นชื่อทางพระ ที่เรียกว่า ฉายา หรือแปลว่าเงา เป็นเสมือนตัวแทนของพระ เวลาเรียกเราจึงต้องเรียกท่านด้วยฉายา เช่น ท่านกิตติเมธี เป็นต้น พระจึงมีฉายาตามลักษณะต่างๆ กันไป บ้างก็ตั้งล้อกับชื่อหรือนามสกุล เช่น ถ้าชื่อ สิริมงคล ก็ใช้บาลีว่า สิริมงฺคโล หรือนามสกุลว่า สุมิตร ก็ใช้ว่า สุมิตฺโต บ้างก็ตั้งตามคุณวุฒิ เช่น สุเมธโส แปลว่า มีปัญญาดี บางทีก็เป็นคุณธรรมที่พระท่านนั้นรักษา เช่น สีลยุตฺโต มีศีล เป็นต้น ฉะนั้น ฉายา จึงเป็นไปในทางที่ดี หรือส่งเสริมความดีของเจ้าของชื่อ แล้วทีหลังอย่าไปตั้ง ฉายา ที่เป็นความหมายไม่ดีกลับใครอีกละ” สามเณรน้อยนึกสนุกขึ้นมาจึงหันไปหาสามเณรพายุแล้วถามขึ้น “ถ้าอย่างนั้นเณรปุ้ยก็มีฉายาแล้วละ” “ฉายาอะไรหรือ” สามเณรพายุถาม “ก็เณร อย. ไง” สามเณรน้อยตอบ “อะไรเณร อย. นะ” เณรพายุถามต่อ “อ้าวไม่เคยเห็นหรือ เวลาเรากินอาหารไม่มีใครเห็นหรอก พวกเส้นผม เปลือกไข่ หนังสติ๊ก ก้อนหิน แต่เขาเห็นหมด บางที คนอื่นกำ�ลังกินขนมกันอย่างเอร็ดอร่อย แต่พอเขาคนนี้หยิบมาดูแล้วจมูกได้กลิ่นก็บอกว่ามีเชื้อราอีก เพราะคันจมูก จนคนกินจ้องมอง ดูก็เห็นจริงๆ เวลาใครจะกินอะไรเพื่อความปลอดภัยก็ต้องให้เขาไปตรวจก่อนว่ากินได้ไหม หมดอายุหรือยัง อย่างนี้ผมเลยตั้งฉายา ให้เขาใหม่ครับ” สามเณรน้อยอธิบาย พออธิบายเสร็จ สามเณรน้อยก็หันกลับมาถามสามเณรปุ้ยที่กำ�ลังยิ้มภูมิใจในฉายาตัวเองว่า “แล้วรู้ไหมพายุมีฉายาว่าอะไร” “อะไรหรือ” สามเณรปุ้ยถาม สามเณรก็กระซิบอย่างแผ่วเบากลัวเณรพายุได้ยิน “อ้าว ก็เณรปลาทูไง” “ก็เณรไม่เคยเห็นปลาทูแม่กลองหรือครับ ตัวไหนดี แม่ค้าจะบอกลักษณะว่าหน้างอ คอหัก คนอะไร ทำ�หน้าเครียดได้ตลอดเวลา” สามเณรน้อยอธิบาย แล้วเณรปุ้ยก็หัวเราะขึ้น ก่อนจะนั่งฟังสามเณรน้อยบรรยายฉายาของสามเณร แต่ละรูปอย่างสนุกสนาน จนพระอาจารย์เรียกให้สามเณรน้อยไปช่วยล้างทำ�ความสะอาดกุฏิ พอสามเณรน้อยหายไปหลายชั่วโมงก็เดินกลับมา พร้อมใบหน้ามีหน้าปิดบากเปื้อนไปด้วยฝุ่น ทั่วตัวมีแต่หยากไย่ และสบงที่ดำ�ปี๋บ่งบอกถึงการทำ�ความสะอาดอย่างหนัก เลยเดิน มาตามคนไปช่วย แต่พอเดินมาถึง สามเณรปุ้ยก็ทักขึ้น “เณรผมรู้แล้วล่ะ เณรน้อยมีฉายาว่าอะไร” ทุกคนเหมือนนึกขึ้นได้ว่า เมื่อกี้คนที่ไม่มีฉายากับเขาคือสามเณรน้อย “แล้วฉายาว่าอะไรดีละ” สามเณรที่เหลือหันมาถาม ด้วยความสนใจ ยิ่งทำ�ให้สามเณรน้อยอยากรู้ไปด้วย “ก็วัตถุโบราณไง” “แล้วไปเอาฉายามาจากไหน” สามเณรน้อยสงสัย สามเณรปุ้ยเลยชี้ให้ดูสภาพสามเณรน้อยตอนนี้ “ก็นี่ไง สบงก็เก่า หยากไย่เต็มตัวอย่างนี้ คงอยู่มานานแล้วล่ะถึงได้เก่าขนาดนี้” แล้วสามเณรทุกรูปก็หัวเราะขึ้นพร้อมกัน “ถ้าเณรตั้งฉายาผมว่าเป็นวัตถุโบราณ แล้วพระอาจารย์ละจะฉายาว่าอะไร” สามเณรน้อยก็พาทุกคนไปช่วยพระอาจารย์ซึ่ง กำ�ลังเก็บกวาดล้างกุฏิเป็นการใหญ่ ก็เห็นพระอาจารย์ตั้งแต่ศีรษะจนถึงปลายเท้านั้นมอมแมมมากกว่าสามเณรน้อยอีก ทุกคนได้แต่ ยิ้มกับภาพพระอาจารย์ที่เห็นแล้วก็นึกถึงฉายาวัตถุโบราณเมื่อกี้ แต่ไม่มีใครกล้าพูดออกมา มีแต่สามเณรน้อยกระซิบค่อยๆ ว่า “ไม่น่าจะใช่วัตถุโบราณอย่างเดียวแล้วละ ผมว่าต้องเป็นวัตถุโตนานแล้วด้วย ดูซิเริ่มเหี่ยวแล้ว” แล้วทุกคนก็ยิ้มชอบใจ ก่อนจะช่วยกันทำ�งานต่อจนโยมทองเดินผ่านมาเห็นเข้าจึงถามขึ้น “นมัสการครับเณร วันนี้ขยันกันดีจังครับ ไม่เคยเห็นเลย ใครพาทำ�หรือครับ” ทุกคนจึงชี้ไปที่พระอาจารย์ “เณรดีนะ ที่มีพระอาจารย์ดี น่ายกย่องพระอาจารย์ท่านจริงๆ สาธุ” โยมทองยกมือขึ้นจบสาธุ แล้วเหล่าสามเณรก็มาหันหน้ามาแล้วตั้งฉายาให้กับตัวเองทันทีว่า “ตัวสำ�รอง เพราะทำ�อย่างไรก็ไม่มีวันได้เป็นพระเอกเสียที พระแย่งความดีไปหมด” ทุกคนยกมือเห็นด้วย แล้วก้มหน้าเก็บทำ�ความสะอาดต่อ


40

hidden tips

เรื่อง : พระปณต คุณวฑฺโฒ I ภาพประกอบ : เพลง

เทคนิค ยกหัวใจ ให้พ้นน้ำ�

บทเรียนจากงานอาสา ในศูนย์ฟื้นฟูผู้ประสบอุทกภัย

เรื่องน้ำ�ท่วมอาจดูล้าสมัยสำ�หรับคนเชียงใหม่ที่กำ�ลัง เริ่มหนาว แต่สำ�หรับชาวบางกอกและชายขอบเมืองเทวดา นั้น นับได้ว่าอินเทรนด์สุดๆ การเดินทางของน้องน้ำ� จากที่สูง ลงสู่ที่ต่ำ� ไม่เพียงพัดพาทรัพย์สินบ้านเรือนให้สูญเสีย แต่ยังได้ทำ�ร้ายหัวใจ ดวงน้อยๆ ของผู้คนมากมายให้หล่นหาย และห่อเหี่ยว การเยียวยามากมาย มุ่งหมายไปที่การส่งมอบอาหาร น้ำ�ดื่ม และสุขาพกพา เพื่อการประทังชีวิต ให้ดำ�รงอยู่ได้ แต่เพราะ ชีวิตมิใช่เพียงร่างกาย การเยียวยาและฟื้นฟูจิตใจจึงเป็นอีกภารกิจ หนึ่งที่เกิดขึ้น ทั้งในยามน้ำ�หลาก และต้องดำ�เนินต่อเนื่องแม้เมื่อ น้องน้ำ�จากพวกเราไป บทเรียนจากการเยียวยาจิตใจผูป้ ระสบอุทกภัย ทำ�ให้ อาสาสมัครหลายท่านได้เรียนรูร้ ว่ มกันว่า เราเองก็ตอ้ งเยียวยาจิตใจ ของตัวเราด้วยเช่นกัน เพราะบ้านของอาสาสมัคร ก็จมน�ำ้ ไม่ตา่ งกัน.. ประการหนึ่ง คือการ “ยอมรับ” ความจริงของธรรมชาติ เพื่อยุติการวิ่งหาคำ�ตอบในใจของเราว่า ทำ�ไมมันจึงต้องเกิดขึ้น กับฉัน? หรือว่า มันเป็นความผิดของใคร? เพราะในความจริงแล้ว เราก็มิได้มีสิทธิใดๆ ที่จะรับประกันว่ามนุษย์จะต้องอยู่เหนือห่วงโซ่ อาหาร และโรงงานของฉันต้องรอดพ้นผลกระทบจากความผันแปร ตามธรรมชาติทั้งปวง ทั้งนี้มิใช่ว่าเราจะทอดอาลัยปล่อยชีวิตให้อยู่ ใต้ลิขิตฟ้าอย่างบรรพชนยุคหินเก่า แต่เราก็อาจจะเผื่อใจไว้บ้างว่า

เราจักไม่อาจอยู่รอดปลอดภัยจากฟ้าผ่า ดินถล่ม น้ำ�หลาก แผ่นดินแยก ฯลฯ ไม่มีสิ่งประดิษฐ์ใดจะห่อหุ้ม คุ้มกันชีวิตของเรา ให้อยู่เหนือธรรมชาติได้เลย หากเราไม่ ยอม...รับ เราก็จะต้อง ดิ้นรน ร้อนใจ และพ่ายแพ้... อีกประการหนึ่ง คือจิตใจที่ “ไม่ยอมแพ้” ที่จะอยู่กับ ธรรมชาติตามที่เป็น แม้ไม่สุขสบายสมดังที่ใจมุ่งหมายปรารถนา เพราะเมื่อเปิดใจยอมรับว่าเราเป็นเพียงส่วนเล็กๆ ในธรรมชาติ กว้างใหญ่ เราอาจจะมีกำ�ลังในจิตใจที่จะดำ�รงตนอยู่อย่างอ่อนน้อม และพร้อมที่จะเผชิญความยากลำ�บากและเหน็ดเหนื่อย เราจึง ไม่เรียกร้องความสบาย ไม่ท้อแท้ ไม่ท้อถอย ไม่ยอมจำ�นนต่อ สิ่งยาก ความพลัดพราก ความสูญเสีย ความว้าเหว่ และอื่นๆ อีกมากมาย เราจะตระหนักในศักยภาพของตนเองที่จะสามารถ ข้ามผ่านความทุกข์ทั้งปวงได้ ถ้าเราไม่ยอมแพ้... เราจะยอมรับสิ่งที่เกิดขึ้น แต่ไม่ยอมแพ้ต่อสิ่งที่อยู่ ตรงหน้า เราจะพร้อมเผชิญกับทุกปัญหา ด้วย สติ และปัญญา ในยามเมื่อมีภัย การเยียวยาทางกาย ด้วยอาหารและ เวชภัณฑ์ ต้องมีการตระเตรียมล่วงหน้าฉันใด การเยียวยาจิตใจใน ยามยากก็ต้องพากเพียรสั่งสมไม่ต่างกัน แต่ในสถานการณ์คับขัน ที่ขาดแคลน อาหารนั้นอาจต้องรอการหยิบยื่นจากผู้อื่น แต่การรักษาจิตใจเราไว้ให้พ้นจากทุกข์ เราสามารถ ทำ�ได้ด้วยตัวของเราเอง.. และตัวเราเองผู้เดียว เท่านั้น...


12

เรื่อง : กองบรรณาธิการ

12 กุมภาพันธ์ เชิญร่วมงานทอดผ้าป่าสามัคคีของ มูลนิธิหยดธรรม ต.แม่แรม อ.แม่ริม จ.เชียงใหม่ ภายในงานช่วงเช้ามีการทำ�บุญฟังธรรม ช่วงบ่ายมีงานเสวนา เรื่อง 2600 ปี ผ่านไป อะไรคือก้าวต่อไปของพระพุทธศาสนากับชุมชน ร่วมแลกเปลีย่ นโดยนักคิดนักพัฒนา หลายคน และ ปาฐกถาโดย ประภาส แสงประดับ ในหัวข้อ จากสลัมสู่ชุมชน ต้นแบบโลก สอบถามข้อมูลเพิ่มเติมโทร. 053-044-220

10 - 16 มีนาคม มูลนิธิหยดธรรมขอเชิญร่วมจาริกสู่ประเทศพม่า โดยจัดไปเที่ยวชมบริเวณ สถานที่สำ�คัญทางศาสนา ในเขตเมือง ย่างกุ้ง หงสาวดี พระธาตุอินทร์ แคว้น มัณฑะเลย์ พุกาม และ อินเล รายได้หลังหักค่าใช้จ่ายแล้ว จะนำ� ไปใช้ในกิจ กรรมค่ายคุณ ธรรมสำ�หรับเด็กและเยาวชนในโครงการของ มูลนิธิหยดธรรม สนใจสามารถติดต่อ 086-763-6644 (หน่อย) หรือ 053-044-220 (ตู่)

23

Time for ทำ�

10

23 - 25 มีนาคม ชาวเชียงใหม่มาล้างพิษตับกันเถิด เนื่องจากตับเป็นอวัยวะที่เปรียบเสมือน ไส้กรองของร่างกาย หากเราไม่ทำ�ความสะอาดเสียเลย ก็จะทำ�ให้ของเสียที่ รับเข้าไปสะสมจนเป็นพิษ และอาจก่อให้เกิดโรคร้ายตามมาในภายหลังได้ จึงเชิญชวนผู้ที่สนใจอยากรักษาสุขภาพมาร่วมกันล้างพิษตับด้วยวิธธี รรมชาติ โดยหมอผู้เชี่ยวชาญทั้งการแพทย์แผนไทยและแผนธิเบต จากนั้น วันที่ 28 มีนาคม – 1 เมษายน ต่อเนื่องด้วยคอร์สดูแลสุขภาพเด็ก หากสนใจ ข้อมูล เพิ่มเติมสอบถามได้ที่ 085-553-5104 (บี) รับสมัครจำ�นวนจำ�กัด

3 เมษายน – ปลายพฤษภาคม ร่วมเดินจาริกจาก เชียงใหม่ - นครปฐม กับ โครงการก้าวย่างเส้นทางธรรม ปีที่ 3 ซึ่ง ใช้เวลาเดินทั้งหมดราว 50 วัน (แต่ไม่จำ�เป็นต้องเดินตลอดเส้นทาง) เป็นการเดินทาง ที่ไม่ได้กำ�หนดสถานที่พักอย่างชัดเจน ค่ำ�ไหนนอนนั่น สำ�หรับผู้ที่ต้องการเห็นโลก ในมุมที่อาจจะยังไม่เคยเห็น ผู้สนใจกรุณาติดต่อ สอบถามข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่ มูลนิธิหยดธรรม 053-044-220 รับสมัครจำ�นวนจำ�กัด ไม่มีค่าใช้จ่ายใดๆ ทั้งสิ้น

3

41


42

ธรรมะ(อีก)บท

เรื่อง : ธรรมรตา I ภาพประกอบ : Pare ID

มองเห็นเป็นอ่าน

วันนี้ผมตื่นเช้ากว่าปกติ แต่ก็ทำ�อะไรไม่ได้มากไปกว่าเดิม เท่าไหร่ สุดท้ายก็สายเหมือนเดิม ดีที่วันนี้ไม่ต้องไปทำ�งาน แต่ผม กำ�ลังจะไปงานสัปดาห์หนังสือแห่งชาติ ผมไม่ใช่นักอ่านอะไรหรอก ก็ไปตามกระแสเท่านั้นแหละ เห็นเขาไปกันก็เลยอยากจะไปดูบ้าง ระยะทางก็ไม่ไกลเดินทางสะดวกเพราะมีรถไฟใต้ดิน จากปากซอย มาถึงทางลงสถานีกำ�แพงเพชรแค่ไม่กี่นาที บันไดเลื่อนเคลื่อนตัว พาผมลงไป ขณะหนึ่งของใจก็คิดขึ้นมาได้ว่า ทางลงก็ตลาดจตุจักร และก็ตลาด อตก. ทำ�ไมไม่เรียกสถานีจตุจักร อตก. ไปเลย และผม ก็สังเกตเห็นว่า ตั้งแต่ผมลงมาเจอคนแค่สองคนคือ รปภ.หน้าประตู กับพนักงานขายตั๋ว (ซึง่ มันเป็นเหรียญดำ�ๆ ไม่รวู้ า่ เขาเรียกตัว๋ หรือเปล่า) ผมยืนรอรถไฟในบรรยากาศวังเวง แสงไฟสลัวๆ เพราะยัง สลึมสลืออยู่ แต่ไม่ได้เงียบไปเลยเพราะยังมีเสียงจากทีวี โฆษณา อะไรสักอย่างไม่ได้ตั้งใจฟัง แค่ได้ยินเฉยๆ เสียงประตูกระจกเขย่า จนผมตกใจเล็กน้อยขณะที่มีเสียงเดินลงมาจากบันได เห็นสองขา ก้าวลงมาส้นสูง ส่งเสียง ต๊อกแต๊ก ทำ�ให้เรียวขาที่ขาวยาวและ สัดส่วนซ่อนรูปในชุดดำ�น่าสนใจมากขึ้น เธอเดินลงมาจะถึงขั้น สุดท้ายรถไฟก็เทียบสถานีพอดี ประตูเปิดมีผู้โดยสารเดินออกมา ไม่กี่คน แต่ละคนต่างก็ก้มหน้าก้มตาเดินไม่สนใจใคร แม้ร่วม เส้นทางแต่กม็ าและไปกันคนละที่ ผมรอจนเธอคนนัน้ ก้าวเข้ารถไฟ ถึงได้ตามเธอไปแต่เข้ากันคนละประตู ในใจก็นกึ ให้เกียรติสภุ าพสตรี แต่คงไม่มีความหมายอะไรเท่าไหร่ เหมือนมันเป็นความดีที่ไม่ได้ทำ� สถานีต่อไปมีคนทยอยกันขึ้นมา ผมพยายามมองหาว่าจะมีใคร ที่รู้จักบ้าง แต่ก็ไร้วี่แวว ไม่ใช่แค่หาคนรู้จักไม่เจอ แต่เหมือนไม่มี ใครเขาอยากจะรู้จักผมด้วยซ้ำ� ช่างเถอะ ผมก็ไม่ได้อยากรู้จัก

พวกเขาเท่าไหร่ ตอนนี้ดูออกเลยว่าใครมาคนเดียวเพราะถ้าใครมี เพื่อนก็จะพูดคุยกันบ้าง ขณะที่บางคนนิ่งเงียบ และอยู่กับกิจกรรม ส่วนตัวเช่น คุยโทรศัพท์ เล่นเกมส์ อ่านหนังสือ ฯลฯ ไม่นานก็ถึง สถานีศูนย์ประชุมสิริกิตติ์ฯ คนเยอะมาก ตั้งแต่ในสถานีรถไฟยืนรอ ที่ช่องออกแถวยาวกว่าปกติเยอะเลย แต่พอเข้าไปในงาน ผมถึงกับอึ้ง ใครว่าคนไทยอ่านหนังสือปีละ 8 บรรทัด บรรยากาศดูคึกคักมาก เด็กๆ มากับผู้ปกครอง หนุ่มสาว มีทั้งเป็นกลุ่มและเป็นคู่ ผมเดินดูไปทีละร้าน สังเกตดูว่าคนมักจะมุง ในร้านที่ดังอยู่แล้ว ส่วนที่เล็กๆ น้อยๆ ก็หงอยเหงากันไป เห็นหน้า บูดบึ้งไม่ชวนให้เข้าร้านเลยก็มี บางร้านนั่งอยู่คนเดียวก็เล่นเกมส์ ไม่เงยหน้ามองใคร ผมเริม่ สนุกกับการดูคนมากกว่าดูหนังสือซะแล้ว มีชั้นที่เกี่ยวกับเด็กด้วยทั้งของเล่นประเทืองปัญญาและหนังสือเด็ก เยอะแยะเลย แต่เห็นผู้ปกครองบางคนจูงลูกเดินผ่านเร็วมาก เป็นผมก็คงจะอย่างนัน้ เพราะขนาดลดราคาแล้วยังรูส้ กึ ว่ามันแพงอยู่ ผมเหมือนได้อ่านงานหนังสือเกือบทั้งงาน ความหลากหลายทาง วิชาการและจินตนาการมันช่างแสดงให้เห็นระดับความแตกต่าง ของความคิดเสียเหลือเกิน ถึงกระนั้นก็เป็นสีสันที่งดงามเป็นความ อัศจรรย์ของความเป็นคน ผมรู้สึกดีมากๆ เลย ก่อนกลับผมแวะร้าน หนังสือเก่าเห็นติดป้ายราคา 50 บาททุกเล่ม หยิบมาเล่มหนึ่ง เห็น ตัวหนังสือบนหน้าปกแปลกดีอ่านดูจึงรู้ว่าเรื่อง อมฤตพจนา ของเจ้าคุณพรหมคุณาภรณ์ (ป.อ.ปยุตฺโต) เป็นหนังสือรวม พุทธศาสนสุภาษิต เปิดไปหน้าหนึ่งบทแรกเขียนว่า ปจฺเจกจิตฺตา ปุถู สพฺพสตฺตา ประดาสัตว์ ต่างคนก็แต่ละจิตแต่ละใจฯ


มูลนิธิหยดธรรม ดำ�เนินการร่วมกันระหว่างพระและฆราวาสในการสร้างสรรค์ให้สังคมเกิดความดีงามโดยการใช้ธรรมะ ในการกล่อมเกลาจิตผ่านกิจกรรม การสร้างเสริมจิตอาสา สร้างเครือข่ายอาสาสมัครชุมชนให้ตระหนักถึงการอยู่ร่วมกัน อย่างเกื้อกูลเอื้อเฟื้อเผื่อแผ่ มีจิตใจเมตตาต่อเพื่อนมนุษย์ด้วยกัน อีกทั้งการจัดค่ายคุณธรรมตามสถานศึกษาต่างๆ ทัณฑสถาน และชุมชนที่สนใจ เพื่อให้เยาวชนและชุมชนได้ถ่ายทอดต่อไปยังคนรอบข้าง ไม่เพียงเท่านั้น ทางมูลนิธิหยดธรรมยังดำ�เนินงานในเรื่องของการจัดอบรมกรรมฐานและปฏิบัติธรรม สำ�หรับผู้สนใจ เพื่อ สุขภาวะของบุคคลและองค์รวม อีกทั้งการสร้างสรรค์สื่อธรรมะในรูปแบบต่างๆ รวมทั้งนิตยสารที่ท่านถืออยู่นี้ เพื่อที่จะได้ ถ่ายทอดและเผยแผ่ธรรมะออกไปในวงกว้าง ทั้งนี้ ในทุกกิจกรรมที่ทางมูลนิธิได้ดำ�เนินการ รวมทั้งสื่อต่างๆที่ทางมูลนิธิได้จัดทำ�และเผยแพร่เป็นไปเพื่อการสาธารณะกุศล โดยไม่คิดค่าใช้จ่ายใดๆทั้งสิ้นจากผู้เข้าร่วมกิจกรรม ทางมูนิธิดำ�เนินกิจกรรมผ่านน้ำ�ใจของท่านผู้มีจิตศรัทธา ที่หวังจะให้ สังคมของเราเกิดความดีงาม ท่านผู้มีจิตศรัทธาท่านใดต้องการสนับสนุนการทำ�งานของมูลนิธิ และร่วมเครือข่ายหยดธรรม สามารถติดต่อได้ที่ prataa@dhammadrops.org กรณีประสงค์สนับสนุนทุนในการดำ�เนินกิจการของมูลนิธิ สามารถสนับสนุนได้โดยการโอนเงินมาที่ ... มูลนิธิหยดธรรม

ชื่อบัญชี มูลนิธิหยดธรรม ธนาคารไทยพาณิชย์ สาขามหาวิทยาลัยเชียงใหม่ หมายเลขบัญชี 667-2-69064-3 ธนาคารกสิกรไทย สาขาย่อยมหาวิทยาลัยเชียงใหม่ หมายเลขบัญชี 557-2-03369-6

โปรดแจ้งการสนับสนุนโดยการส่งหลักฐานการโอนเงินมาที่โทร 085-995-9951 หรือ prataa@dhammadrops.org เพื่อที่ทางมูลนิธิสามารถออกโมทนาบัตรได้ถูกต้อง



Issuu converts static files into: digital portfolios, online yearbooks, online catalogs, digital photo albums and more. Sign up and create your flipbook.