คู่มือการสาธิตการทำอาหาร 4 เมนูโดย เชฟจำนงค์ นิรังสรรค์ และคณะ

Page 1

คู่มือ การสาธิตการทาอาหาร 4 เมนู โดย เชฟจานงค์ นิรงั สรรค์ และคณะ จากโครงการ “แม็กกี้ เตรียมความพร้อมสู่ความสาเร็จ” @ มหาวิทยาลัยศรีนครินทรวิโรฒ วันอังคารที่ 12 กรกฏาคม 2554 เวลา 13.30-16.30 น. ผู้จัดทา 1. อ.ดร.สิริมนต์ ชายเกตุ 2. อ.วีณา ทองรอด 3. นายธีระวัฒน์ กันธิวา

4. นางบุญเรือง แตงไทย 5. นางสาวภทรพรรณ พืชเงิน 6. นายพงศ์พล สถิตย์พัฒนพงศา 7. นายวรรณวิชช์ ดิษยบุตร ภาควิชาคหกรรมศาสตร์ คณะวิทยาศาสตร์ มหาวิทยาลัยศรีนครินทรวิโรฒ



คานา ภาควิชาคหกรรมศาสตร์ คณะวิทยาศาสตร์ มหาวิทยาลัยศรีนครินทรวิโรฒ ได้จัดทําคู่มือการทําอาหาร 4 เมนู โดยเชฟจํานงค์ นิรังสรรค์และคณะ ภายใต้ โครงการ “แม็กกี้เตรียมความพร้อมสู่ความสําเร็จ” โดย Nestle Professional เมื่อวันที่ 12 กรกฏาคม 2554 ณ ห้อง 19-1401 ภาควิชาคหกรรมศาสตร์ คณะวิทยาศาสตร์ คู่มือเล่มนี้จะรวบรวมข้อมูลสูตรการทําเมนูที่น่าสนใจ จํานวน 4 เมนูและได้รวบรวมข้อมูลเพิ่มเติมด้านประวัติและความสําคัญ คุณค่าทางโภชนาการของวัตถุดิบ ที่เป็นส่วนประกอบในแต่ละเมนู หวังเป็นอย่างยิ่งว่า คู่มือเล่มนี้จะให้ข้อมูลที่เป็นประโยชน์ เพิ่มเติมกับ ผู้สนใจต่อไป

ผู้จัดทํา กันยายน 2554



สารบัญ หน้า อกไก่ย่างใส่เห็ดป่า โพรวองซ์ แซลมอนคอนฟิต เนื้อสันในย่าง ปลากระพงนึ่งไส้มูสปลาหมึกและแปะก๊วย ภาคผนวก

1 6 13 18 26


ซอสสไตล์ยุโรป /MCCS/ สาหรับ 5 ที่ ครีมซอสไก่ อกไก่ย่างใส่เห็ดป่า วัตถุดิบ

จํานวน

แม็กกี้น้ําสต็อกเข้มข้นรสไก่

1.5

กระดูกไก่ และเนื้อไก่ที่เหลือ จากการตัดแต่ง น้ํามันมะกอก

400

น้ําเปล่า

500

แครอท

25

หอมใหญ่

25

ต้นกระเทียม

25

เซอเลอรี่

25

วิปปิ้งครีม

6

ช้อนโต๊ะ 1. ตั้งกระทะใส่น้ํามัน นํากระดูกไก่และเนื้อไก่ลง ผัดจนมีสีน้ําตาลทอง กร้ม 2. ใส่แครอท ต้นกระเทียม เซอเลอรี่ และไทม์สด ช้อนโต๊ะ ผัดจนหอม และผักสลด 3. เติมน้ําเปล่า ต้มประมาณ 1 ชั่วโมง มิลลิลิตร 4. ระหว่างต้ม หมั่นช้อนฟองและไขมันออกจาก กรัม ซุปด้านบน กรัม 5. กรองน้ําสต็อกที่ได้ใส่ลงในกระทะซอส หรือ หม้อ กรัม 6. เติมวิปปิ้งครีม ปรุงรสด้วย แม็กกี้น้ําสต็อก กรัม เข้มข้นรสไก่ เกลือ และพริกไทย ช้อนโต๊ะ

ไทม์สด

1

ช้อนชา

อกไก่ 180 กรัม/ชิ้น

5

ชิ้น

น้ํามันมะกอก

2

ช้อนโต๊ะ

3

หน่วย

วิธีทํา

เกลือ พริกไทย

เกลือ พริกไทย

1. ปรุงรสอกไก่ด้วยเกลือและพริกไทย 2. ตัดครึ่งชิ้นอกไก่ตามแนวนอนโดยแผ่เป็น แผ่นกว้าง 3. ทาส่วนผสมของเห็ดและถั่วพิสตาชิโอบนอก ไก่ 4. พับปิดโดยพับทั้ง 2 ด้านเข้าหากัน 5. นําไปทอดจนกระทั่งสุกและมีสเี หลืองทอง


หอมแดงสับ เห็ดป่าอบแห้ง พาร์สลีย์สับ ถั่วพิสตาชิโอ มันฝรั่งบด

50 150 5 100 30

กรัม กรัม ช้อนชา กรัม กรัม

1. นําเห็ดป่าอบแห้งแช่น้ําประมาณ 5 นาทีจน เห็ดนิ่ม 2. สับเห็ดที่นิ่มแล้วให้ละเอียด นําไปผัดใส่ หอมแดง 3. นําเห็ดที่ผัดแล้วผสมรวมกับถั่วพิสตาชิโอ มัน ฝรั่งบด และพาร์สลีย์สับ

ข้อมูลด้านโภชนาการของส่วนประกอบในเมนู “อกไก่ย่างใส่เห็ดป่า” ถั่วพิสตาชิโอ มีผลวิจัยว่าหากรับประทาน 3 มื้อต่อวัน จะช่วยลดความดันโลหิตและความตึง เครียดทั้งทางร่างกายและจิตใจ ทั้งยังอุดมไปด้วยสารลูทีนและเบตาแคโรทีนที่เป็นหนึ่ง ในสารแอนตี้ออกซิแดนต์ ที่ช่วยลดคอเลสเตอรอล แค่เพียง 1 ออนซ์ หรือ 45 เมล็ด เป็นถั่วสัญชาติฝรั่ง หาได้ในไอศกรีมและเบเกอรี่ มีวิตามินเอ ไฟเบอร์สูง มีแร่ธาตุ ทองแดง แมกนีเซียม ฟอสฟอรัส และวิตามินบี ทํางานร่วมกันช่วยเสริมระบบ ภูมิคุ้มกันในร่างกาย และมีไขมันไม่อิ่มตัวเชิงเดี่ยว ป้องกันโรคหัวใจ ที่มาของข้อมูล : http://www.vcharkarn.com/vblog/48282/3 สืบค้นเมื่อวันอังคารที่ 16 สิงหาคม 2554 เวลา 14.30 น. ที่มาของรูปภาพ : http://forum.wanwatcafe.com/lofiversion/index.php/t826.html สืบค้นเมื่อวันอังคารที่ 16 สิงหาคม 2554 เวลา 14.34 น. ถั่ว

ปริมาณ เม็ด ต่อ 28 กรัม

พลังงาน (แคลอรี)

โปรตีน (กรัม)

ไขมัน ทั้งหมด (กรัม)

ไขมัน อิ่มตัว (กรัม)

พิสตาชิโอ

45-47

160

6

13

1.5

ไขมันไม่ อิ่มตัว เชิงเดี่ยว (กรัม) 7

ไขมันไม่ อิ่มตัว เชิงซ้อน (กรัม) 4

ที่มาของตาราง : http://www.healthtoday.net/thailand/dietary/dietary_97.html สืบค้นเมื่อวันอังคารที่ 16 สิงหาคม 2554 เวลา 14.43 น.


มันฝรั่ง มันฝรั่งเป็นพืชที่สามารถให้ผลเร็ว ถึงแม้จะปลูกในพื้นที่ขนาดเล็กๆ มันก็ให้ผลผลิตเท่ากับข้าวที่ขึ้นในพื้นที่ที่มากกว่าถึง 2 เท่า มันทนสภาพดินฟ้า อากาศได้ทั้งร้อนและหนาว จึงทําให้สามารถขึ้นได้ดีบนพื้นที่ในบริเวณ เทือกเขาแอนดิส ที่สูง 12,000 ฟุต และสถานที่ที่อยู่ต่ํากว่าระดับน้ําทะเล เช่น ใน ประเทศเนเธอร์แลนด์ได้ นักโภชนาการรู้ว่า โปรตีนที่ได้จากมันฝรั่งมีคุณภาพ ดีกว่าโปรตีนที่ได้จากพืชอื่นๆ เช่น ถั่วลิสง มันฝรั่ง 100 กรัม ให้พลังงาน 85 แคลอรี่ และ 99.9% ของผลผลิตไม่มีไขมัน นอกจากนี้มันฝรั่งยังมีธาตุแคลเซียม โปแตสเซียม ฟอสฟอรัส เหล็ก ไอโอดีน แมกนีเซียม กรดโฟลิก และวิตามิน ซี, บี-1 และบี-2 อีกทั้งยังพบว่าการที่ กัปตันเรือในสมัยก่อนนิยมขนมันฝรั่งไปด้วยในการเดินทางไกล สาเหตุส่วนหนึ่งก็เพื่อป้องกันกัปตันและลูกเรือมิ ให้เป็นโรคเลือดออกตามไรฟันนั่นเอง การที่มันฝรั่งมีคุณค่าทางโภชนาการสูงเช่นนี้ นักโภชนาการจึงมีความเชื่อว่า หากใครต้องตกอยู่บนเกาะร้าง และเขามีมันฝรั่งจะปลูก เขาจะไม่มีวันอดอาหารตาย ที่มาของข้อมูล : http://th.wikipedia.org/wiki/%E0%B8%A1%E0%B8%B1%E0%B8%99%E0%B8%9D%E0% B8%A3%E0%B8%B1%E0%B9%88%E0%B8%87 สืบค้นเมื่อวันอังคารที่ 16 สิงหาคม 2554 เวลา 15.16 น. ที่มาของรูปภาพ : http://news.nipa.co.th/news.action?newsid=192426 สืบค้นเมื่อวันอังคารที่ 16สิงหาคม 2554 เวลา 15.22 น.

กระดูกไก่ โครงไก่บ้านเรามีเนื้อไก่ติดมาไม่น้อย ลองไปต้มเคี่ยวในน้ําร้อน สักพัก น้ําซุปที่ได้จะมีรสชาติเลิศกว่าต้มเนื้อไก่เป็นไหนๆ ที่รสชาติมันดี ออกอย่างนี้ คนญี่ปุ่นเขาบอกว่ามันมี รสอูมามิ (umami) ปนอยู่ด้วย รสอูมามิเป็นรสชาติอีกรสหนึ่งที่ต่างไปจาก 4 รสมาตรฐานที่พวกเราเคย รู้จักกันนั่นคือ รสหวาน รสเปรี้ยว รสเค็มและรสขม รสอูมามิเป็นรสชาติของกรดอะมิโนที่ละลายลงไปในน้ํา เป็นรสเปรี้ยวน้อยๆ ผสมกับรสเฝื่อน กรดอะมิ โนเป็นองค์ประกอบของโปรตีน เมื่อโปรตีนย่อยสลาย ได้กรดอะมิโนละลายตัวออกมา กรดอะมิโนกลุ่มกลูตาเมต (glutamate) จะเป็นตัวนําที่ทําให้เกิดรสอูมานิที่ว่านั้นขึ้น ต่อมาในภายหลังคนญี่ปุ่น เขาผลิตผงชูรสซึง่ เป็นอนุพันธ์ หนึ่งของกลูตาเมตคือ โมโนโซเดียมกลูตาเมต (monosodium glutamate) ก็โดยเลียนแบบรสอูมามินี่เอง


น้ําซุปไก่นอกจากจะมีรสชาติดีจากรสอูมามิที่ว่านี้แล้ว กระดูกไก่และเลือดทีต่ ิดมากับกระดูกยังสลาย ให้สารคาร์บอนบางตัว ที่ระเหยได้ง่าย เร่งอาการอยากอาหารให้เพิ่มขึ้น ใครได้กลิ่นซุปโครงไก่แล้ว ก็อดน้ําลาย หกไม่ได้ ซุปโครงไก่ให้สารอาหารที่เป็นประโยชน์หลายชนิด นั่นคือ โปรตีน ในรูปของกรดอะมิโนที่ร่างกาย ต้องการอย่างครบถ้วน ทั้งยังย่อยง่าย กรดอะมิโนที่มีมากที่สุดคือ กลูตาเมตที่กล่าวถึงนั่นแหละ นอกจากนี้ ยังมี กรดอะมิโน ไลซีน (lysine) ลิวซีน (leucine) แอสพาร์เทต (aspartate) และแวลีน (valine) ในปริมาณค่อนข้างสูง ซุปไก่มีไขมันบ้างเล็กน้อย นอกจากนี้ยงั ให้ธาตุแคลเซียมและฟอสฟอรัส จากกระดูกอ่อนได้อีก หาก ใครซดน้ําซุปไปด้วย แทะกระดูกอ่อนไปพลาง ก็ย่อมได้สองธาตุสําคัญที่ว่าช่วยเสริมกระดูกและฟันของเราให้ แข็งแรงขึ้น ซุปไก่ให้ธาตุเหล็กได้ไม่น้อยเป็นเพราะโครงกระดูก เป็นแหล่งสร้างเม็ดเลือดจึงย่อมมีเลือดไก่ติดมาบ้าง และ เลือดเล็กๆ น้อยๆ นี้เองที่เป็นแหล่งของธาตุเหล็กช่วยป้องกันโรคโลหิตจาง แต่ไม่อยากจะแนะนําให้รับประทาน เลือดไก่โดยตรง เพราะเลือด เป็นทางเดินของของเสียทั้งหลาย เราอาจพบปัญหาของเสียที่มากับเลือดไก่ได้ ประโยชน์ของซุปโครงไก่อีกอย่างหนึ่งก็คือ ซุปไก่ใช้เป็นอาหาร ป้องกันหวัดกันมานานแล้วใช้กัน มาตั้งแต่ยุคออตโตมาน หรือก่อนยุคสุโขทัยของเรา ที่ซุปไก่หรือซุปโครงไก่ร้อนๆ ป้องกันหวัดได้ ก็เพราะมันมี กรดอะมิโน ซิสทีน (cystine) หรือซิสเทอีน (cysteine) อยู่ กรดอะมิโนที่มีธาตุกํามะถันเป็นองค์ประกอบกลุ่มนี้ สามารถยับยั้ง การเจริญเติบโตของเชื้อแบคทีเรียแถวทางเดินหายใจตอนบนได้ ซดซุปไก่โฮกๆ คล่องคอทําให้ โล่งจมูก แถมยังป้องกันหวัดได้อีกด้วย ที่มาของข้อมูล : http://www.elib-online.com/doctors/food_chicken.html สืบค้นเมื่อวันอังคารที่ 16 สิงหาคม 2554 เวลา 15.28 น. ที่มาของรูปภาพ : http://t3.gstatic.com/images?q=tbn:ANd9GcRhabmLacCHZwOdvb8srwRU7czOOCjB x37fwqCEAugL28CYWeaa สืบค้นเมื่อวันอังคารที่ 16สิงหาคม 2554 เวลา 15.30 น.

ต้นกระเทียม กระเทียมมีคุณค่าทางโภชนาการคือ มีคารโบไฮเดรต แคลเซียม ฟอสฟอรัส เหล็ก วิตามินซี วิตามินบี 1 วิตามินบี 2 มีน้ํามันหอมระเหย มี สารประกอบมากกว่า 200 ชนิด ประกอบด้วยอินทรีย์กํามะถันหลายชนิด เช่น อัลลิซิน อัลลิอิน ไดอัลลิลไดซัลไฟด์ ฯลฯ มีเอ็นไซม์หลายชนิด เช่น เอ็นไซม์อัลลิเนส เปอรอกซิเดส อินเวอร์เทส ไทโรซิเดส นอกจากนั้นยังมี กระเทียมอีกชนิดหนึ่ง ซึ่งมีต้นใหญ่ สามารถกินได้ทั้งต้นและใบ ซึ่งจะเป็น


กระเทียมชนิดที่ปลูกแล้วถอนมาใช้ตงั้ แต่ยังไม่เป็นหัว จะมีโฟเลท 30 เปอร์เซ็นต์ มีเหล็กและวิตามินซี อย่างละ 20 เปอร์เซ็นต์ สรรพคุณและวิธีใช้ กระเทียมมีสรรพคุณใช้เป็นยาบําบัดอาการไอ แก้ไข้หวัด แก้หลอดลม อักเสบเรื้อรัง ช่วยย่อย แก้ความดันโลหิตสูง เส้นเลือดเปราะ ท้องเสีย ช่วยขับลมและขับเหงื่อ จากการ สํารวจรายงานการศึกษาวิจัยเกี่ยวกับฤทธิ์ของกระเทียมในด้านการรักษา พบว่า กระเทียมมีผลต่อการ ช่วย ลดปริมาณคอเลสเตอรอลในเลือด ช่วยป้องกันโรคหลอดเลือดอุดตันและกล้ามเนื้อหัวใจหยุดทํางาน เฉียบพลัน ช่วยลดความดันโลหิต ช่วยเพิ่ม HDL หรือคอเลสเตอรอลชนิดดีในเลือด ช่วยลดปริมาณน้ําตาล ในเลือด ลดไตรกลีเซอไรด์ เพิ่มการไหลเวียนของเลือด นอกจากนั้นยังพบว่า กระเทียมสามารถช่วยยับยั้ง การเจริญเติบโตของเชื้อแบคทีเรียที่เป็นสาเหตุของโรควัณโรค คอตีบ ปอดบวม ไทฟอยด์ และคออักเสบ ได้อีกด้วย มีสารต้านมะเร็ง เช่น สาร เอส อัลลิเมอร์แคบโตไซทีน (S-allylmercaptocysteine) ลดการเกิด มะเร็งในต่อมลูกหมาก ช่วยเพิ่มความจํา และช่วยรักษาโรคผิวหนังกลากเกลื้อน และมีสารอัลลิล ซัลไฟด์ ช่วยลดการผลิตเอ็นไซม์เฟส 1 ซึ่งเป็นอันตรายต่อเซลล์และนําไปสู่การเกิดเซลล์มะเร็ง ด้วยเหตุนี้จงึ ป้องกันการเกิดเซลล์มะเร็งได้ดีเยี่ยม ที่มาของข้อมูล : http://natres.psu.ac.th/radio/radio_article/radio45-46/45-460004.htm สืบค้นเมื่อวัน อังคารที่ 16 สิงหาคม 2554 เวลา 15.40 น. ที่มาของรูปภาพ : http://www.svcfarm.com/catalog.php?idp=38 สืบค้นเมื่อวันอังคารที่ 16สิงหาคม 2554 เวลา 15.43 น.


ซอสสไตล์ยุโรป /แม็กกี้เชฟซีเคร็ท/ สาหรับ 5 ที่ หอยแมลงภู่และวอดก้าครีมซอส โพรวองซ์ แซลมอนคอนฟิต วัตถุดิบ

จํานวน

หน่วย

วิธีทํา

5

ชิ้น

น้ํามันมะกอก

900

มิลลิลิตร

1. ใส่น้ํามันมะกอกในภาชนะ นําเข้าเตาอบ หรือตั้ง ไฟจนน้ํามันมีอุณหภูมิประมาณ 90 องศาเซลเซียส 2. ใส่ชิ้นปลาแซลมอน ทิ้งไว้ประมาณ 10 นาทีจน ปลาสุก

เกล็ดขนมปัง

60

กรัม

กระเทียม

6

ช้อนชา

พาร์เมซานชีส

6

ช้อนโต๊ะ

พาร์สลีย์สับ

4

ช้อนโต๊ะ

เนยจืด

4

ช้อนโต๊ะ

แม็กกี้เชฟซีเคร็ท

1

ช้อนโต๊ะ

แม็กกี้น้ําสต็อกเข้มข้นรสไก่

1

ช้อนชา

หอยแมลงภู่นิวซีแลนด์

200

กรัม

หอมใหญ่

15

กรัม

ต้นกระเทียม

15

กรัม

เซอเลอรี่

15

กรัม

วิปปิ้งครีม

100

มิลลิลิตร

น้ําเปล่า ทาร์รากอนสด กระเทียม วอดก้า น้ํามันมะกอก ไวน์ขาว เนยจืด

300 1 5 2 3 4 1

มิลลิลิตร ช้อนชา ช้อนโต๊ะ ช้อนโต๊ะ ช้อนโต๊ะ ช้อนโต๊ะ ช้อนโต๊ะ

เนื้อปลาแซลมอน/150กรัม

1. นําส่วนผสมทุกอย่างใส่รวมกันในภาชนะ 2. ตักส่วนผสมวางบนชิ้นปลาที่ต้องการเสิร์ฟ

1. ผ้ดหอยแมลงภู่ ต้นกระเทียม หอมใหญ่ กระเทียม เซอเลอรี่ จนหอม จากนั้นเติมไวน์ขาว 2. เติมน้ําเปล่า ต้มประมาณ 10 นาที จากนั้นเติม แม็กกี้น้ําสต็อกเข้มข้นรสไก่ และวิปปิ้งครีม 3. กรองใส่ภาชนะ หรือหม้อต้ม 4. เติมวอดก้า ปรุงรสด้วย แม็กกี้เชฟซีเคร็ท 5. เติมเนยจืด ใช้ตระกร้อมือตีให้เข้ากันจนซอส เนียน


ข้อมูลด้านโภชนาการของส่วนประกอบในเมนู “โพรวองซ์ แซลมอนคอนฟิต” เนื้อปลาแซลมอน ปลาทะเลเขตหนาวของมหาสมุทรแอตแลนติก (หรืออลาสก้า ของประเทศสหรัฐอเมริกา) จะมีโอเมกา-3 มากกว่าในเขตร้อน โดยเฉพาะปลาแซลมอนจัดว่าเป็นปลาที่มีโอเมกา-3 สูงกว่าปลาทะเล ชนิดอื่นๆ ซึ่งกรดไขมันโอเมกา-3 นีจ้ ะประกอบไปด้วยกรด EPA และ DHA คุณประโยชน์ของโอเมก้า-3 ที่ได้จากปลาแซลมอน - สามารถลดคอเรสเตอรอลและไขมันที่ชอบสะสมตามผนังหลอดเลือด ซึง่ เป็นสาเหตุของ โรคหัวใจและหลอด เลือด - ชะลอการปวดบวมของโรคกล้ามเนื้ออักเสบและโรครูมาตอยด์ ซึ่งเป็นโรคเรื้อรังและทําให้ข้อ พิการ - ลดการเสี่ยงของการเป็นโรคมะเร็งบางชนิด เช่น มะเร็งเต้านม มะเร็งสําไส้ใหญ่ เป็นต้น - ช่วยลดความดันโลหิต เมื่อรับประทานเป็นประจํา กรด DHA จะช่วยพัฒนาสมอง สายตา ความจําและการเรียนรู้ - ช่วยระงับอารมณ์ ยับยั้งอาการป่วยและความห่อเหี่ยวทางจิตใจ ซึ่งมีผลมาจากสมอง - ลดอาการเย็นของมือและเท้าในผู้ป่วยโรคเรย์นอค การ รับประทานปลาแซลมอนจึงมีคุณค่าทางโปรตีนสูง ส่วนไขมันและคอเรสเตอรอลนั้นต่ํามาก และยังสามารถทดแทนสารอาหารที่ได้จากเนื้อวัว เนื้อหมู และสัตว์อื่นๆ นอกจากนี้นักวิจัยชาว ออสเตรเลียยืนยันมาว่าหากรับประทานบ่อยครั้ง จะช่วยลดน้ําหนักได้อีกด้วย ที่มาของข้อมูล : http://onknow.blogspot.com/2004/10/blog-post_9934.html สืบค้นเมื่อวันอังคารที่ 23 สิงหาคม 2554 เวลา 13.18 น. ที่มาของรูปภาพ : http://www.hi-happy.com/lifestyle_detail.php%3Fid%3D4901%26catid%3D24% 26types%3D7%26table%3Dfashion&docid=OdAjJwTBcoJttM&w=450&h=600&ei=f1RgTvqaG o2zrAen7Nn7Dw&zoom=1&chk=sbg&biw=922&bih=520 สืบค้นเมื่อวันอังคารที่ 23 สิงหาคม 2554 เวลา 13.23 น.


น้ามันมะกอก สารหลักในน้ํามันมะกอก คือ กรดโอเลอิก (Oleic acid) ซึ่งมีคุณสมบัติเด่น คือ เป็นไขมันไม่อิ่มตัว ก่อให้เกิดปฏิกิริยาเคมีที่ทําให้สารได้รับธาตุออกซิเจนมา รวมตัวด้วยน้อย ซึ่งคุณสมบัติต่อต้านอนุมูลอิสระนี้เอง ที่ช่วย ทําหน้าที่เป็นภูมิต้านทานโรคต่าง ๆ ในชีวิตประจําวัน นอกจากนี้ยงั พบสารโอเมก้า9 วิตามินอี สารพีนอล รสชาติ ของน้ํามันมะกอกมีกลิ่นหอมแบบสมุนไพรธรรมชาติหรือ อ่อนละมุนคล้ายกลิ่นเมล็ดอัลมอนด์ ในด้านโภชนาการก็มีประโยชน์มากจากการศึกษาวิจัย พบว่า หาก รับประทานน้ํามันมะกอก 1 ช้อนโต๊ะทุก ๆ เช้า จะช่วยทําความสะอาดร่างกายจากภายใน ทําให้ท้องไม่ผูก เราอาจใช้ขนมปังจิ้มทานแทนเนยหรือใช้ทานกับผักแทนน้ําสลัด เมื่อใช้น้ํามันมะกอกทอดอาหารจะดูดซับ น้ํามันไว้เพียงเล็กน้อยทําให้คงรักษารสชาติและไม่สูญเสียคุณค่าทางโภชนาการ ราคาของน้ํามันมะกอกจะขึ้นอยู่กับคุณภาพหรือประเภทของน้ํามันมะกอก โดยทั่วไปแบ่งออกเป็น 4 ระดับ ได้แก่ น้ํามันมะกอกบริสุทธิ์พิเศษ (Extra virgin) ซึ่งหมายถึง น้ํามันทีไ่ ด้รับจากผลของมะกอกแต่ เพียงอย่างเดียว โดยอาจจะใช้เครื่องจักรหรือใช้กรรมวิธีทางธรรมชาติ บด- คั้นด้วยเครื่องโม่หินจะได้น้ํามัน มะกอกสีเขียวอ่อนที่มีรสดี และมีคุณภาพสูงที่เป็นมาตรฐานพิเศษ ซึ่งมีอนุมูลอิสระในรูปของกรดโอเลอิก ไม่เกิน 1 กรัมต่อ 100 กรัม ระดับรองลงมา คือ น้ํามันมะกอกบริสุทธิ์ (Virgin) จะมีอนุมูลอิสระในรูปของ กรดโอเลอิก ไม่เกิน 2 กรัมต่อ 100 กรัม และถ้านําน้ํามันมะกอกบริสุทธิ์ไปกลั่นซ้ําหรือผสมจะได้น้ํามัน คุณภาพอยู่ในระดับ 3 สําหรับขั้นสุดท้ายจะนําเอากากผลมะกอกที่ผ่านการคั้นแล้วมาเข้ากระบวนการแยก น้ํามันโดยใช้สารละลายเป็นตัวช่วย ซึ่งจะได้น้ํามันที่มีคุณภาพด้อยลงและราคาจะถูกสุด ที่มาของข้อมูล : http://onknow.blogspot.com/2004/10/blog-post_9934.html สืบค้นเมื่อวันอังคารที่ 23 สิงหาคม 2554 เวลา 14.42 น. ที่มาของรูปภาพ : http://googigg.exteen.com/20080918/olive-oil-2 สืบค้นเมือ่ วันอังคารที่ 23 สิงหาคม 2554 เวลา 14..50 น.


กระเทียม กระเทียมมีต้นกําเนิดบริเวณทะเลทราย กลางทวีปเอเชีย ปัจจุบัน สามารถพบกระเทียมได้ทั่วไป โดยเฉพาะอย่างยิ่งบริเวณที่มีอากาศอบอุ่น และแห้ง จากหลักฐานการใช้กระเทียมมีปรากฏในสมัยโบราณราว 2000 ปี ก่อนคริสตกาล ชาวจีนนิยมใช้กระเทียมในการปรุงอาหารและยา โดยนํา กระเทียมมาจากชนเผ่าเร่ร่อนจากอียิปต์ ซึ่งยกย่องพืชหัวชนิดนี้ว่ามีคุณค่า มหาศาลถึงขนาดใช้แลกทาสได้ โดยใช้กระเทียมแค่ 6 กิโลกรัมและ แม้กระทั่งหลุมศพของฟาโรห์ตุตันคาเมน นักโบราณคดียังพบกระเทียม 6 หัว ถูกฝังรวมอยู่ด้วย ส่วนชาวกรีกโบราณเชื่อว่ากระเทียมเป็นทั้งยาชูกําลัง และยาอายุวัฒนะ เหล่าทหารกรีกจึงนิยม โด๊ป กระเทียมก่อนออกศึก เช่นเดียวกับนักกีฬาก็ต้องกระตุ้นด้วยกระเทียมก่อนลงแข่งขันกีฬาเสมอ ชาวยุโรป เชื่อในอํานาจศักดิ์สิทธิ์ของกระเทีนมทีช่ ่วยป้องกันปีศาจและสิง่ ชั่วร้าย โดยนํากระเทียมมาทาที่ปากของเด็ก ทารกและวางไว้ ข้าง ๆเปลเพื่อขับไล่ผีร้าย คล้ายกับในโรมาเนีย จะใช้กระเทียมแขวนไว้รอบๆบ้านเพื่อ ป้องกันสิ่งชั่วร้าย ใครมีเพื่อนเป็นฝรั่งอาจแนะนําเขาให้ปลูกต้นกระเทียมไว้รอบ ๆบ้าน โดยจะใช้หัวกระเทียมแห้ง จากในครัวมาปลูกก็ได้ โดยกระเทียม 1 กลีบจะงอกได้ 1 ต้นฝังลงในดินที่เตรียมไว้โดยเว้นระยะห่างประมาณ 5 เซนติเมตร โดยสามารถปลูกได้ทุกฤดูกาล โดยใช้เวลาปลูกประมาณ 45 วันจะได้ใบกระเทียมสีเขียวเข้ม ใช้ กินเป็นผักแกล้มกับ อาหารอื่น ๆส่วนใครจะปลูกกระเทียมไว้เพื่อกินหัวแนะนําให้ซื้อกินจะทันใจกว่า โดย แหล่งปลูกกระเทียมคุณภาพดีจะอยู่ที่ จังหวัดศรีสะเกษ การเลือกซื้อนะให้ซื้อกลีบเล็กจะมีกลิ่นที่หอมกว่า กลีบใหญ่ กระเทียมมีบทบาทอย่างมากกับชีวิตคนตั้งแต่อดีตมาจนถึงปัจจุบันจะเห็นได้จากมีการศึกษา ค้นหาความลับของกระเทียมอย่างมากมาย โดยเฉพาะบทบากของกระเทียมในการลดระดับไขมันในเลือด การรักษาโรคความดันโลหิตสูง และโรคหัวใจ ความรู้จากนักวิจัยจีนและอินเดีย พบว่ากระเทียมมีฤทธิ์ช่วยไม่ให้เลือดจับตัวเป็นลิ่มช่วย ไม่ให้หลอดเลือดอุดตันได้ง่าย จึงมีผลช่วยในการควบคุมความดันโลหิต และป้องการเกิดโรคหัวใจขาดเลือด ความรู้จากนักวิจัยในทวีปยุโรป อเมริกา และไทย พบว่าสารอัลลิซิน ในกระเทียมมีแนว โน้นทําให้ระดับคอเลสเทอรอลในเลือดลดลง โดยเฉพาะผู้ที่มีไขมันในเลือดสูง แต่ในการสกัดสารอัลลิซึน นั้นต้องใช้กระเทยเป็นจํานวนมาก และให้ฤทธิ์ที่ค่อนข้างอ่อน และใช้เวลานาน สารอัลลิซึนมีในกระเทียมสด การเก็บกระเทียมไว้นาน ๆสารอัลลิซึนจะสลายไป ขณะที่ กระเทียมดองสามารถรักษาสารอัลลิซึนไว้ดีกว่า หรือหากถูกความร้อนสารดังกล่าวนั้น อาจจะสลายไปบ้าง ส่วนในใบกระเทียม จะมีวิตามินเกลือแร่ต่างๆ เช่น วิตามินบี วิตามินซี แคลเซียม ฟอสฟอรัส และเบต้าแคโร ทีน


กระเทียมจะอยู่ในอาหารสารพัดชนิดทั้งของคาวและของว่าง ซึง่ ขนมปังกระเทียมเป็น อาหารว่างอย่างหนึ่งซึ่งมีกระเทียมเป็นส่วนประกอบพอหลักพอ ๆกับขนมปัง โดยวิธิทํานั้นสามารถทําได้ง่าย โดยนําขนมปัง ทากับเนยที่ผสมกระเทียมสับละเอียด แล้วนําเข้าเตาอบโดยใช้ไฟปานกลางให้ขนมปังเหลือง กรอบ และหอมกระเทียม แต่ถ้าต้องการกินเพื่อลดระดับคอเรสเทอรอล นั้นต้องรับประทานกระเทียม 10-15 กลีบต่อ วันซึ่งจะเห็นผลในเวลา 2-4 เดือน กระเทียมประมาณ 10-15 กลีบต่อวัน หลาย ๆคนคงคิดหนัก แต่หากคุณ รักษาน้ําหนักตัวไม่ให้อ้วนจนเกินไป ไม่กินอาหารมัน กินผักผลไม้ทุกวัน ออกกําลังกายอย่างสม่ําเสมอหรือ ยิ้มแทนที่จะหน้านิ่วคิ้วขมวด นี่คือหลักง่าย ๆที่จะทําให้คุณมีสุขภาพดี ดีกว่าจะตั้งหน้าตั้งตากินกระเทียม ตามที่ได้กล่าวไว้ ชื่อผัก : กระเทียมหัว ชื่อวิทยาศาสตร์ : Allium sativum Linn. วงศ์ : Alliaceae ตารางแสดงคุณค่าอาหารส่วนที่กินได้ 100 กรัม พลัง งาน

kcal 140

โปร ตีน

ไข มัน

5.6

กรัม 0.1

คาร์ โบ ไฮ เดรต 29.1

แคล เซียม

5

ฟอส ฟอรัส

140

เหล็ก

วิตา มินบี 1

วิตา มินบี 2

มิลลิกรัม 5.4 0.17 0.02

ไน อา ซิน

4.0

วิตามิ นซี

11.0*

เบต้า แคโร ทีน

ใย อาหาร

RE -

กรัม 4.7*

กองโภชนาการ กรมอนามัย กระทรวงสาธารณสุข. ตารางแสดงคุณค่าทางโภชนาการของอาหารไทย. 2535. * วิเคราะห์โดยสถาบันวิจัยโภชนาการ มหาลัยมหิดล RE ไมโครกรัมเทียบหน่วยเรตินัล Tr. มีปริมาณเล็กน้อย ไม่มีการวิเคราะห์ ที่มาของข้อมูล : ทีม่ าของข้อมูล : คณะทํางานรวบรวมความรู้เกี่ยวกับผักในโครงการหนูรักผักสีเขียว สถาบันวิจัยโภชนาการ มหาวิทยาลัยมหิดลและมูลนิธิโตโยต้าประเทศไทย. มหัศจรรย์ผัก108. พิมพ์ครั้งที่8 พ.ย.45. โครงการจัดพิมพ์คบไฟ. กรุงเทพ. ที่มาของรูปภาพ : http://www.zazana.com/babnee/id6713.aspx สืบค้นเมื่อวันอังคารที่ 23 สิงหาคม 2554 เวลา 14..59 น.


พาร์เมซานชีส "ชีส" (cheese) หรือเนยแข็งนั้น เป็นหนึ่งผลิตภัณฑ์จาก น้ํานมที่คนนิยมกินกันมาก โดยชีสนัน้ เกิดจากการตกตะกอนของ โปรตีนในนม โดยอาศัยจุลินทรีย์ชนิดหนึ่งแล้วจึงนํามาอัดเป็น ก้อน ต่างกับเนยที่ได้มาจากไขมันในน้ํานม พาร์เมซานชีสเป็นชิสชนิด Hard ซึ่ง เป็นชีสเนื้อ ค่อนข้างแข็ง นิยมนําไปบดหรือป่นแล้วก็โรยหน้าอาหารเพราะมี กลิ่นหอม ขั้นตอนการทําชีสชนิดแข็ง จะผ่านการบ่ม จึงทําให้มี กลิ่นแตกต่างกันไป ชีสนั้นถือเป็นอาหารอุดมคุณค่าที่มีมานานนับพันปีแล้ว ว่ากันว่า ชาวเบดูอินเร่ร่อน ในทะเลทรายเป็นผู้ผลิตชีสด้วยความบังเอิญเป็นคนแรก เมื่อเขานําน้ํานมใส่ไว้ในกระเพาะแพะเพื่อ เตรียมเป็นเสบียงไว้ยามเดินทาง แต่อากาศร้อนจากทะเลทรายและการถูกเขย่ามาตลอดทาง ก็ทําให้นม เปลี่ยนสภาพกลายเป็นก้อนนมแทน ซึ่งต่อมาก็กลายเป็นที่มาของการผลิตชีสในปัจจุบัน ชีสเกิดขึ้นมาได้จากน้ํานม แต่กลับมีคณ ุ ค่ามากกว่านมเสียด้วยซ้ํา เพราะเมื่อเทียบสัดส่วน ระหว่างกับนมกับชีสในปริมาณ 100 กรัม เชดด้าชีสมีโปรตีน 25 กรัม และมอสซาเรลล่าชีสมีโปรตีนถึง 28 กรัม ขณะที่นมมีโปรตีนเพียง 3.3 กรัม และพาร์เมซานชีสมีแคลเซียมสูงถึง 1,200 มิลลิกรัม ส่วนนม นั้นมีเพียง 114 มิลลิกรัมเท่านั้น นอกจากนั้นแล้ว ชีสยังมีแร่ธาตุอย่างฟอสฟอรัส และสังกะสี รวมไปถึง วิตามินบี 12 อีกทั้งยังมีน้ําตาลแลคโตสต่ํากว่านม ดังนั้นผู้ที่ดื่มนมแล้วเกิดอาการท้องอืดท้องเสีย ก็ สามารถกินชีสแทนการดื่มนมได้ ชีสจึงถือเป็นอาหารอีกอย่างหนึ่งที่ให้คณ ุ ค่าทางอาหารสูง แม้จะให้ไขมันและแคลอรี่สูงด้วย เช่นกัน แต่เราก็สามารถเลือกซื้อชีสที่ให้ไขมันต่ํามาปรุงเป็นอาหารแทนได้ ที่มาของข้อมูล : http://www.manager.co.th/Travel/ViewNews.aspx?NewsID=9520000012553 สืบค้น เมื่อวันอังคารที่ 23 สิงหาคม 2554 เวลา 15.01 น. ที่มาของรูปภาพ : http://oranjisama.exteen.com/20081004/enjoy-risotto สืบค้นเมื่อวันอังคารที่ 23 สิงหาคม 2554 เวลา 15.04 น.


หอยแมลงภู่ นิวซีแลนด์ หอยแมลงภู่เปลือกเขียวเข้มที่เรียกกันว่า นิวซีแลนด์ กรีน ลิฟท์ มัสเซิล (Perna canaliculus, New Zealand Green Lipped Mussel) หอยชนิดนี้มีอยู่เฉพาะในประเทศนิวซีแลนด์ เท่านั้น แต่มีการส่งออกไปทั่วโลก เพื่อใช้เป็นวัตถุดิบในการผลิต ผลิตภัณฑ์เสริมอาหารยี่ห้อต่าง ๆ หอยชนิดนี้เป็นแหล่งของสารอาหารชั้นเลิศที่เป็น ประโยชน์ต่อร่างกาย สิ่งที่สารสกัดจากหอยแมลงภู่ชนิดนี้ สามารถช่วยบรรเทารักษา และเยียวยาได้ ได้แก่ · - อาการปวดจากข้อต่ออักเสบในระดับไม่รุนแรง · - อาการปวดและเจ็บข้อเรื้อรัง · - การเคลื่อนไหวของข้อต่อต่างๆ เป็นไปอย่างยากลําบาก · - อาการอักเสบหรือบวมที่ข้อต่อ · - ยับยั้งการพัฒนาของโรคที่เกี่ยวกับเนื้อเยื่อเกี่ยวพัน (เนื้อเยื่อเกี่ยวพัน เป็นหนึ่งในสี่เนื้อเยื่อหลักของ สิ่งมีชีวิต ได้แก่ เนื้อเยื่อบุผิว, เนื้อเยื่อเกี่ยวพัน, เนื้อเยื่อกล้ามเนื้อ, และ เนื้อเยื่อประสาท · - ช่วยรักษาอาการอันเนื่องมาจากโรคข้ออักเสบหรือมีอาการปวดและเจ็บตามข้อ · - ลดการอักเสบที่ข้อต่อ และทําให้ข้อเคลื่อนไหวได้คล่องขึ้น ที่มาของข้อมูล : http://www.sabuyjaishop.com/shop/itigress/default.aspx? page=pdtdetail&url=itigress&pdtid=000196&lang=TH สืบค้นเมื่อวันอังคารที่ 23 สิงหาคม 2554 เวลา 16.02 น. ที่มาของรูปภาพ : http://news.clipmass.com/story/%E0%B8%AB%E0%B8%AD%E0%B8%A2%E0% B9%81%E0%B8%A1%E0%B8%A5%E0%B8%87%E0%B8%A0%E0%B8%B9%E0%B9%88%E0% B8%99%E0%B8%B4%E0%B8%A7%E0%B8%8B%E0%B8%B5%E0%B9%81%E0%B8%A5%E0% B8%99%E0%B8%94%E0%B9%8C---31617 สืบค้นเมื่อวันอังคารที่ 23 สิงหาคม 2554 เวลา 16.10 น.


ซอสสไตล์ยุโรป /ซอสปรุงรสแม็กกี้/ สาหรับ 5 ที่ น้าซอสเนื้อ เนื้อสันในย่าง วัตถุดิบ ซอสปรุงรสแม็กกี้ เนื้อสันใน 100 g / ชิ้น

จานวน 1 5

หน่วย ช้อนโต๊ะ ชิ้น

3

ช้อนโต้ะ

เศษเนื้อ น้ํามันมะกอก

300 2

กรัม ช้อนโต๊ะ

น้ําเปล่า

500

มิลลิลิตร

แครอท

25

กรัม

หอมหัวใหญ่ ต้นกระเทียม

25 25

กรัม กรัม

เซอเลอรี่

25

กรัม

แม็กกี้น้ําสต๊อกไก่เข้มข้น

1

ช้อนชา

น้ํามันมะกอก พริกไทย

วิธีทา 1. ปรุง รสเนื้อ สันในด้วยซอสปรุง รสแม็ก กี้ และพริกไทย 2. นํ า กระทะตั้ ง ไฟ ใส่ น้ํ า มั น มะกอก รอ กระทะร้อนจากนั้นนําเนื้อลงย่างให้ สุก ปาน กลาง และพักเนื้อไว้ 5 นาที ก่อนหั่น

1.นํากระทะตั้ง ไฟ ใส่ น้ํามันมะกอก น้ําเศษ เนื้อลงผัดจนมี สีน้ําตาลเกรียม 2.ใส่ แ ครอท ต้ น กระเที ย ม เซอเลอรี่ และ หอมหัวใหญ่ ผัดให้เข้ากัน 3.เติมน้ําเปล่า เคี่ยวประมาณ 1 ชั่วโมง 4.ใส่แม็กกี้น้ําสต๊อกไก่เข้มข้น 5.กรองใส่กระทะซอส หรือหม้อต้ม 6.เสริฟพร้อมเนื้อสันในย่าง


ข้อมูลด้านโภชนาการของส่วนประกอบในเมนู “อกไก่ย่างใส่เห็ดป่า” เนื้อสันใน Tenderloin เทนเดอร์ลอยน์ หรือสันใน เนื้อส่วนที่ละเอียด นุ่มมากที่สุด ไม่มีไขมัน จัดเป็นประเภทเนื้อส่วนที่นุ่ม ที่สุด เป็นเนื้อส่วนที่ตัดจากกลางลําตัว เป็นส่วนที่อยู่ ทั้งสองข้างของแนวกระดูกสันหลัง เนื้อเทนเดอร์ ลอยด์หรือเนื้อสันในเป็นส่วนหนึ่งของ short loin (ประกอบไปด้วยส่วน tenderloin และ top loin) อาหารที่ใช้เนื้อส่วนนี้ทํา ที่เรารู้จักกันดีเช่น tenderloin roasts (อาหารจานฝรั่งเศส ที่เรียกว่า chateaubriands เนื้อที่นํามาย่างแล้วราดด้วย BÉARNAISE SAUCE และ château potatoes มันฝรั่งตัดเป็นลักษณะลูกมะกอกแล้วผัดกับเนย) , tournedos (อาหารที่ใช้เนื้อส่วน tenderloin หั่นให้หนาประมาณราว 3/4 ถึง 1 นิ้ว และ กว้างยาว ประมาณ 2 ถึง 2 เศษหนึ่งส่วนสองนิ้ว ส่วนใหญ่ นิยมทานแบบไม่มีไขมัน แต่บางครั้งก็สามารถเพิ่มไขมันโดยใช้ เบคอนนามาห่อเนื้อเอาไว้ แล้วนําไป grill หรือ broiling โดยปรกติจะเสริฟด้วย fried bread rounds และราดด้วยซอส เช่น ซอสเห็ด (mushroom sauce) ,FILET MIGNON steaks เนื้อส่วน fillet mignon เป็นเนื้อวัวส่วนสันในที่มีขนาดชิ้นเล็กที่สุด ทําสเต็ก โดยหั่นหนา 1 ถึง 2 นิ้ว ชิ้นเนื้อให้มเี ส้นผ่านศูนย์กลางราว 1/2 ถึง 3 นิ้ว นํามา broiling (เผา,ย่าง ปรุงโดย สัมผัสหรือวางเหนือ แหล่งความร้อนโดยตรง เช่น บาร์บีคิว ,grilling (ย่าง) หรือ sautéing (ผัด) สูตรอาหาร ที่ใ ช้เนื้อสันใน เช่น เสต็คเนื้อสันในราดซอสเห็ ด ,เสต็คเนื้อสันในซอสพริก ไทย ดํ า ,เนื้ อ สั น ในย่ า งสไตล์ อิ ต าเลี่ ย น,ยํ า เทนเดอร์ ล อยน์ ,เสต็ ค ฟิ เ ลมิ ย อง,บาร์ บี คิ ว เนื้ อ ,เทปปั น ยากิ ,ยากิ นิ คุ,ก๋วยเตี๋ยวเรือเนื้อเทนเดอร์ลอยด์ ที่มาของข้อมูล : http://www.foodietaste.com/FoodPedia_detail.asp?id=7 สืบค้นเมื่อวันพฤหัสที่ 18 สิงหาคม 2554 เวลา 09.42 น. ที่มาของรูปภาพ : http://www.hhdelivery.com/index.php?main_page=product_info&cPath=5_10 &products_id=86 สืบค้นเมื่อวันพฤหัสที่ 18 สิงหาคม 2554 เวลา 09..52 น.


หอมใหญ่ กรณีของหอมหัวใหญ่นั้น ตําราฝรั่งแนะนํามาว่าการ กินหัวดิบเพียงวันละครึ่งหัวทุกวันอย่างต่อเนื่องสัก 2 เดือน ก็ ช่วยลดอาการของโรคหัวใจและหลอดเลือดลงได้แล้ว ไม่ว่าจะชอบอาหารไทยหรือฝรั่ง การกินหอมหัวใหญ่วันละ ครึ่งหัวไม่ใช่เรื่องเหลือบ่ากว่าแรงเลยแม้แต่น้อย ในมื้ออาหาร วันหนึ่งๆ แค่สั่งยํารสแซ่บๆมาสักจาน ข้าวผัด สลัด หรือ ไข่ เจียวหอมหัวใหญ่มาสักจานก็เข้าเป้า ที่สําคัญราคาหอมหัวใหญ่ก็แสนจะถูก แม้จะมีช่วงขึ้นๆลงๆอยู่บ้าง แต่เทียบกับไวน์แล้ว ก็ ย่อมเยากว่าเป็นร้อยเป็นพันเท่าอยู่ดีละน่า คนที่ชอบกินหอมหัวใหญ่รู้กันดีว่า พืชหัวชนิดนี้แปรเปลี่ยนรสชาติไปได้ตามสภาวะการปรุง จากที่กรอบเผ็ดร้อนนิดหน่อย ในยามกินสดๆจะเปลี่ยนรสเป็นออกหวานเมื่อทําให้สุกด้วยความร้อน เหตุผลเป็นเพราะสารตัวหนึ่งในหอมหัวใหญ่ที่มีชื่อยืดยาวว่า “อัลลิลโปรบิลไดซัลไฟต์” จะระเหยไปใน ระหว่างปรุงและทําให้เกิดสารชนิดใหม่ซึ่งมีรสหวานเข้ามาแทนที่ อย่างไรก็ดี ความร้อนไม่อาจเข้ามาเปลี่ยนแปลงกลิ่นอันเป็นเอกลักษณ์ของหอมหัวใหญ่ได้ เพราะเหตุนี้เองจึงมีการสกัดเอากลิ่นจากหอมหัวใหญ่ไปใช้แต่งกลิ่นเครื่องดื่มสารพัดชนิด รวมทั้งขนม บางอย่าง เช่น เยลลี่ และขนมผิงด้วย และจากกลิ่นของหอมหัวใหญ่ ทําให้เราเดาญาติๆร่วมวงศ์ตระกูลของพืชชนิดนี้ได้ไม่ยาก ตัวอย่างเด่นๆก็เช่น กระเทียม และกุยช่าย นั่นไง หอมหัวใหญ่ถูกซอยใส่คลุกเคล้ามาในจานอาหารไทยเรานานเสียจนคนแทบจะลืมกันไป หมดสิ้นแล้วว่า พืชชนิดนี้มีรกรากอยู่ต่างถิ่น ในแถบเอเชียตะวันตก ส่วนที่นํามากินกันนี้คือหัวที่เติบโต อยู่ในดิน ซึ่งมีลกั ษณะเป็นหัวเดี่ยว อายุไม่ยืนยาว เพียง 2 ปีก็มอดม้วย ถึงแม้ฝรั่งมังค่าจะใช้หอมหัวใหญ่กระทบกระเทียบเปรียบเปรย แทนสิ่งที่มีแต่กระพี้ ไร้แก่น แกน เพราะปอกไปๆ ก็เจอแต่เปลือกทีห่ ่อหุ้มกันไว้เป็นชั้นๆ ปราศจากเนื้อหนังแท้จริงภายใน อีกทั้ง บทบาทของหอมหัวใหญ่ในจานอาหารก็มักถูกจํากัดแค่เพียง “ตัวประกอบ” ช่วยชูรสเสียมาก แต่อย่าได้ ประมาทคุณค่าที่ซ่อนเร้นอยู่ในเนื้อขาวๆใสๆ กรุบกรอบ หอมหวานนี้เชียว เพราะมีคุณออกฤทธิ์ปกป้องหัวใจได้มากเสียกว่าอะไรที่อยู่ในเหล้าไวน์ขวดแพงระยับ ที่วาง โดดเด่นเป็นสง่าร่วมกันอยู่บนโต๊ะอาหารนั่นเสียอีก


ตารางแสดงคุณค่าอาหารส่วนที่กินได้ 100 กรัม พลัง งาน

kcal 29

โปร ตีน

ไข มัน

1.4

กรัม 0.1

คาร์ โบ ไฮ เดรต 5.6

แคล เซียม

24.0*

ฟอส ฟอรัส

27

เหล็ก

วิตา มินบี 1

วิตา มินบี 2

มิลลิกรัม 0.41 0.02 0.02

ไน อา ซิน

0.4

วิตามิ นซี

22.0*

เบต้า แคโร ทีน

ใย อาหาร

RE 0.00*

กรัม 1.60*

กองโภชนาการ กรมอานามัย กระทรวงสาธารณสุข. ตารางแสดงคุณค่าทางโภชนาการของอาหาร ไทย.2535. * วิเคราะห์โดยสถาบันวิจัยโภชนาการ มหาวิทยาลัยมหิดล RE ไมโครกรัมเทียบหน่วยเรตินัล ที่มาของข้อมูล : คณะทํางานรวบรวมความรู้เกี่ยวกับผักในโครงการหนูรักผักสีเขียว สถาบันวิจัยโภชนาการ มหาวิทยาลัยมหิดลและมูลนิธิโตโยต้าประเทศไทย. มหัศจรรย์ผัก108. พิมพ์ครั้งที่8 พ.ย.45. โครงการจัดพิมพ์คบไฟ. กรุงเทพ. หน้าที่ 215 - 6. ที่มาของรูปภาพ : https://tipdd.wordpress.com/2010/11/02/%E0%B9%80%E0%B8%84%E0%B8% A5%E0%B9%87%E0%B8%94%E0%B9%84%E0%B8%A1%E0%B9%88%E0%B8%A5%E0%B8% B1%E0%B8%9A-%E0%B9%80%E0%B8%81%E0%B8%B5%E0%B9%88%E0%B8%A2%E0%B8% A7%E0%B8%81%E0%B8%B1%E0%B8%9A%E0%B8%AB/ สืบค้นเมื่อวันพฤหัสที่ 18 สิงหาคม 2554 เวลา 10.12 น.


เซเลอรี่ เซเลอรี่ จัดเป็นพืชวงศ์ Apiaceae (Umbelliferae) มีชื่อวิทยาศาสตร์ว่า Apium graveolens var. secalium และเป็นพืชตระกูลเดียว กับพลาส์เล่ย์ มีถิ่นกําเนิด ในแถบประเทศสวีเดน ถึงอียีปต์ และอบิสซิเนีย ลักษ ระลําต้นสั้น อยู่ระหว่างราก และก้านใบ ก้านใบอวบหนา ใบเป็นแบบ pinnate มีจํ า นวน 5-7 ใบ ต่ อก้ า นใบ ก้า นที่ อ ยู่ ด้ านในมี ข นาดเล็ ก กรอบเรี ย ก “the heat” ก้านใบ เป็นสันชัดเจน โคนก้านใบกว้าง มีแป้ง และสารอาหารประเภท แป้งสูง ใบเรียกต่างๆ กัน เช่น riba, shanks, หรือ ก้านใบ เรียก bunches, head หรือ stalks ก้านใบ จะหนา และกรอบ ใบประกอบด้วยสาร Apiin (apigenin 7apiosylglucoside) ที่ทําให้เกิดกลิ่น และรสชาติ ในใบเซเลอรี่ การใช้ประโยชน์และคุณค่าทางอาหาร เซเลอรี่ สามารถนําไปประกอบอาหารได้หลายชนิด อาทิ ทําซุป ผัดกับปลา หรือ รับประทานสด ในสลัด มีสรรพคุณช่วยลด ความดันโลหิต คนเป็นโรคไตทาน ได้ เพราะมีโซเดียมต่ํา ที่มาของข้อมูล : http://www.vegetweb.com/%E0%B9%80%E0%B8%8B%E0%B9%80%E0%B8%A5%E0% B8%AD%E0%B8%A3%E0%B8%B5%E0%B9%88-celery/ สืบค้นเมื่อวันพฤหัสที่ 18 สิงหาคม 2554 เวลา 10.13 น. ที่มาของรูปภาพ : http://www.vegetweb.com/%E0%B9%80%E0%B8%8B%E0%B9%80%E0%B8%A5% E0%B8%AD%E0%B8%A3%E0%B8%B5%E0%B9%88-celery/ สืบค้นเมื่อวันพฤหัสที่ 18 สิงหาคม 2554 เวลา 10.20 น.


ฟิวชั่น/(ไทย/จีน/ยุโรป)/แม็กกี้เชฟซีเคร็ท/แม็กกี้น้าสต็อกเข้มข้นรสไก่/สาหรับ 5 ที่ ปลากระพงนึ่งไส้มูสปลาหมึกและแปะก๊วย ผักกาดแก้วม้วน ซอสน้ามันงาและเหล้าจีน วัตถุดิบ

จานว น

หน่วย

วิธีทา

แม็กกี้เชฟซีเคร็ท

2

ช้อนโต๊ะ

มูสปลาหมึก

5

กรัม

200 30

ชิ้น กรัม

1.ทามูสปลาหมึกและแปะก๊วยสับบนเนื้อปลา กระพง ปรุงรส ด้วยแม็กกี้เชฟซีเคร็ท 2.นําไปนึ่งประมาณ 7 นาที จนสุก

160

กรัม

8 6

ช้อนโต๊ะ ช้อนโต๊ะ

100 6 4

กรัม ช้อนโต๊ะ ช้อนโต๊ะ

ซอสหอยนางรม

4

ช้อนชา

กระเทียมสับ

1

ช้อนชา

น้ํามันพืช

4

ช้อนโต๊ะ

เนื้อปลากระพง 100 กรัม /ชิ้น แปะก๊วยสับ เกลือ พริกไทย ผักกาดแก้ว แครอท (หั่นเป็นเส้น) พริกชี้ฟ้าแดง (หั่นเป็นเส้น) เส้นบะหมี่ เห็ดหอม (หั่นเป็นเส้น) ต้นหอม (หั่นเป็นเส้น)

1.ลากผักกาดแก้วให้สุก ตักใส่น้ําเย็น 2.ต้มเส้นบะหมี่ให้สุกแล้วพักไว้ 3.ผัดแครอท พริกชี้ฟ้าแดง เห็ดหอม ต้นหอม เส้นบะหมี่ และกระเทียมสับปรุงรสด้วยซอส หอยนางรม 4.นําส่วนผสมที่ผัดแล้ววางบนผักกาดลวกที่ สุก จากนั้นม้นให้เป็นรูปทรงกลม


แม็กกี้เชฟซีเคร็ท แม็กกี้น้ําสต๊อกไก่เข้มข้น

2 1

ช้อนชา ช้อนชา

หอมแดง

1

ช้อนโต๊ะ

กระเทียม

1

ช้อนโต๊ะ

ขิง เหล้าจีน

1 2

ช้อนโต๊ะ ช้อนโต๊ะ

ซีอิ๊วขาว น้ําเปล่า

4 6

ช้อนโต๊ะ ช้อนโต๊ะ

เก๋ากี๊

2

ช้อนโต๊ะ

1.ตั้งน้ําให้เดือด ใส่แม็กกี้น้ําสต๊อก ไก่เข้มข้น หอมแดง กระเทียม และ เก๋ากี้ 2.ปรุ ง รสด้ ว ยเหล้ า จี น ซี อื๊ ว ขาว น้ํามันงา และแม็กกี้เชฟซีเคร็ท 3.เสริฟพร้อมปลากระพงนึ่งไส้มูส ปลาหมึกและแปะก๊วย ผักกาดแก้ว ม้วน

ข้อมูลด้านโภชนาการของส่วนประกอบในเมนู “เนื้อสันในย่าง” เนื้อปลากระพงขาว โดยทั่วไปในเนื้อปลามีโปรตีนประมาณร้อยละ 17-23 ซึ่งเป็น โปรตีนที่ย่อยง่ายกว่าเนื้อสัตว์ช นิดอื่นๆ ทําให้ ระบบการย่อยอาหาร ของเราไม่ต้องทํางานหนัก อีกทั้งโปรตีนยังมีประโยชน์ ช่วย ซ่อมแซม เนื้อเยื่อหรือส่วนต่างๆ ที่สึกหรอ และเสริมสร้างร่างกายให้เจริญเติบโต ตามวัยอันควร นอกจากนี้ปลายังมีกรดอะมิโนที่จําเป็นต่อร่างกายหลาย ชนิด โดยเฉพาะไลซีนและทรีโอนิน ซึ่งมีผลต่อพัฒนาการสมอง และ การเจริ ญ เติ บ โตในวั ย เด็ ก ทั้ ง ยั ง เป็ น ส่ ว นประกอบของสารสร้ า ง ภูมิคุ้มกันโรค ทําให้นอนหลับสนิท สมองทํางานได้ดี ไม่แก่เกินวัย และลดความหิวชนิดรับประทานไม่หยุด ได้ โดยถ้าคิดเป็นหน่วยร้อยละ จะมีสูงถึงร้อยละ 92 เมื่อเทียบกับ น้ํานมวัวซึ่งมีร้อยละ 91 เนื้อวัวมีร้อยละ 80 และถั่วเหลืองมีร้อยละ 63 ไขมันต่ําและเป็นไขมันที่จําเป็นต่อร่างกาย ปลายังมีไขมันต่ํา มีกรดไขมันไม่อิ่มตัวหรือที่เรียกว่า โอเมก้า3 ซึ่งเป็นไขมันที่จําเป็นต่อร่างกาย แต่เราไม่สามารถสร้างเองได้ นอกจากกรดไขมันโอเมก้า 3 ที่มีอยู่ใน ปลาช่วยป้องกันการสะสมตัวของไขมันอิ่มตัว หรือคลอเลสเตอรอล อันเป็นสาเหตุ ให้เส้นเลือดอุดตัน ซึ่ง นําไปสู่โรคหัวใจ และเส้นเลือดในสมองแตกได้ กรดไขมันโอเมก้า 3 ยังมีประโยชน์ในด้านอื่นๆ อีกมากมาย เช่น


ช่วยในการลดน้ําหนัก ในปี 1999 นักวิจัยออสเตรเลียพบว่า การบริโภคปลาที่มีโอเมก้า 3 สูง เช่น ปลาทูน่า ปลาแซลมอล จะช่วยให้การลดน้ําหนักได้ผลดียิ่งขึ้น บํารุงสมอง ผลวิจัยจากสหรัฐอเมริกาพบว่า กรดไขมันดีเอชเอ (DHA) ในโอเมก้า3 มีส่วนสําคัญ ในการพัฒนาสมอง โดยเฉพาะในส่วนของความจําและการเรียนรู้ ช่วยลดความเครียด Archives of General Psychiatry ได้รายงานการวิจัย เกี่ยวกับน้ํามันปลา ว่า สามารถลดความเครียดในผู้ป่วยโรคประสาท ที่มักจะอาละวาด ทําให้มีอารมณ์ที่เยือกเย็นลงได้ บรรเทาอาการซึมเศร้า การศึกษาของมหาวิทยาลัยออกซ์ฟอร์ดพบว่า การขาดโอเมก้า 3 ซึ่งเป็น กรดไขมันที่จําเป็นต่อสมอง อาจเป็นสาเหตุทําให้คนมีอาการซึมเศร้า สมาธิสั้น และขาดความสามารถใน การอ่านหนังสือได้ บรรเทาอาการของโรคไขข้ออักเสบ จากการวิจัยในช่วง 10 ปีที่ผ่านมา พบว่า น้ํามันปลาช่วย บรรเทาอาการ ของผู้ป่วยโรคไขข้ออักเสบ จนสามารถลดการใช้ยาบางส่วนลงได้ ลดการอักเสบของโรคผิวหนัง การศึกษาวิจัยระบุว่า การกินปลาที่มีไขมันมาก จะช่วยบรรเทา อาการของโรคผิวหนัง อย่างสะเก็ดเงิน (เรื้อนกวาง) เพราะปลามีวิตามินดีจากกรดไขมันโอเมก้า 3 ใน ปริมาณที่มากนั่นเอง ลดความเสี่ยงของโรคหัวใจ จากการวิจัยในปี 1998 พบว่า การบริโภคปลาอย่างน้อย สัปดาห์ละ 12 ครั้ง จะช่วยลดความดันโลหิต ซึ่งเป็นปัจจัยเสี่ยงให้เกิดโรคหัวใจลงได้ นอกจากนั้น จากการวิจัยของ มหาวิทยาลัยโอเรกอนยังระบุว่า ในไขมันปลามีกรดไขมันอีพีเอ (EPA) ซึ่งเป็นกรดไขมันในกลุ่มโอเมก้า3 ยังช่วยลดปริมาณคอเลสเตอรอลในเลือด และลดระดับไตรกลีเซอไรด์ลงได้ ซึ่งเป็นสาเหตุสําคัญ ของโรค หลอดเลือดหัวใจด้วยเช่นกัน ถึงแม้ปลาทุกชนิด จะจัดว่ามีค่าไขมัน และพลังงานต่ํากว่าเนื้อสัตว์ชนิดอื่นแล้ว อย่างไรก็ตาม ชนิดของปลายังมีผลต่อปริมาณไขมันของปลาที่มีอยู่ในเนื้อปลาสด ซึ่งผู้บริโภคควรเลือกทานตามความ เหมาะสม เราสามารถจัดแบ่งชนิดของเนื้อปลาสด ออกเป็น 4 กลุ่ม ได้แก่ ปลาที่มีไขมันต่ามาก (น้อยกว่าหรือเท่ากับ 2 กรัมต่อ 100 กรัม) ได้แก่ ปลาไหล ปลากราย ปลานิล ปลากะพงแดง และปลาเก๋า ปลาที่มีไขมันต่า (มากกว่า 2-4 กรัมต่อ 100 กรัม) ได้แก่ ปลาทูนึ่ง ปลากะพงขาว ปลาจะละเม็ดดํา และปลาอินทรี ปลาที่มีไขมันปานกลาง (มากกว่า 4-8 กรัมต่อ 100 กรัม) ได้แก่ ปลาสลิด ปลาตะเพียน และปลา จะระเม็ดขาว ปลาที่มีไขมันสูง (มากกว่า 8-20กรัมต่อ 100 กรัม) ส่วนมากมีเ นื้อสีเหลือง ชมพูห รือเทาอ่อน ได้แก่ ปลาช่อน ปลาสวาย ปลาดุก และปลาสําลี


นอกจากนี้ การรับประทานปลายังได้วิตามินที่หลากหลาย ทั้งวิตามินเอและวิตามินดี (ซึ่งมีมาก ในน้ํามันตับปลา) รวมทั้งวิตามินบี 1 วิตามินบี 2 และไนอาซีน ถึงแม้จะมีในปริมาณเล็กน้อย แต่วิตามิน เหล่านี้ ล้วนมีความจําเป็นต่อร่างกาย โดยเฉพาะสมองของเรา ซึ่งเป็นส่วนสําคัญในการควบคุม การทํางาน ของอวัยวะทุก ส่วนในร่างกาย ให้ มีประสิทธิภาพอย่างเต็มที่ ถึง แม้ปลาจะมีคุ ณค่ าและสารอาหารดีๆ มากมาย แต่สําหรับชาวชีวจิต ก็เลือกรับประทานปลาในปริมาณที่พอเหมาะ เพียงสัปดาห์ละ 1-2 ครั้ง หรือ ประมาณ 200 กรัมเท่านั้น เพื่อให้ร่างกายของเราได้รับสารอาหารที่ครบถ้วน . ที่มาของข้อมูล : http://www.yourhealthyguide.com/article/an-fish-worth-2.html สืบค้นเมื่อวันพฤหัส ที่ 18 สิงหาคม 2554 เวลา 10.21 น. ที่มาของรูปภาพ : http://www.bloggang.com/data/toytokyo/picture/1234926536.jpg สืบค้นเมื่อวัน พฤหัสที่ 18 สิงหาคม 2554 เวลา 10.25 น.

แปะก๊วย ผลแปะก๊ ว ย ทํ า เป็ น ของหวานแล้ ว ก็ ยั ง นํ า ไปใช้ เ ป็ น ส่วนประกอบในอาหารจีนหลากหลายชนิด (เช่น ขนมบะจ่าง) ความมหัศจรรย์ของพืชชนิดนี้นั้น ชาวจีนเชื่อว่าเป็นยาอายุวัฒนะ เนื่องจากสามารถบําบัดโรคต่างๆได้ มีสรรพคุณช่วยบารุงสมอง ทาให้มีสมาธิและความจาที่ดี แถมยังช่วยให้เลือดลมหมุนเวียนได้ สะดวก แปะก๊วย (Ginkgo Biloba) ที่เราพบเห็นส่วนใหญ่จะเป็นในลักษณะอบแห้ง มีเปลือกหุ้ม ก่อน จะนํามาประกอบอาหารจะต้องแกะเปลือกออกก่อน เนื้อในแปะก๊วยจะเป็นสีเหลืองจะมีเยื้อเปลือกห่อหุ้ม อีกทีเป็นสีส้มน้ําตาล แม้ความจริงแล้ว แหล่งใหญ่ของสารที่มีคุณต่อสุขภาพนั้น กลับพบมากในส่วนของ ใบมากกว่าผลเสียอีก ใบแปะก๊วย มีลักษณะแยกเป็น 2 กลีบ คล้ายกังหันลม เมื่อนํามาสกัดด้วยตัวทําละลาย จะพบว่ามี สารสกัดสําคัญ 3 กลุ่ม คือ กลุ่มฟลาโวน (Flavonoids) มีฤทธิ์ต้านการเกิดอนุมูลอิสระ (Free Radical) ใน ร่างกายที่ทําให้เ กิดโรคมะเร็ง ส่วนที่เหลืออีกสองกลุ่มเป็นน้ํามันจากใบแปะก๊วย คื อ Bilobalides และ Ginkgolides สารทั้งสองตัวนี้มีบทบาทช่วยป้องกันโรคความจําเสื่อม (โรคสมองฝ่อ) โดยเป็นตัวเสริมสร้าง การส่ ง สั ญ ญาณในระบบสมอง ช่ วยระบบหมุน เวี ย นเลื อดให้ ดี ขึ้ น ช่ ว ยป้ อ งกั นการเกิ ด แผลเรื้ อ งรั ง โดยเฉพาะในกลุ่ม ของคนที่เ ป็ นโรคเบาหวาน และช่ว ยบรรเทาอาการชาตามปลายนิ้วมื อและเท้าได้ นอกจากนี้ยังสามารถออกฤทธิ์ต้านอนุมูลอิสระในบริเวณตา ป้องกันการเกิดโรคเบาหวานขึ้นตาได้ ใน ปัจจุบัน เราจึงพบเห็นใบแปะก๊วยนํามาสกัดเป็นอาหารเสริม วางขายตามท้องตลาดเป็นจํานวนมาก


ที่มาของข้อมูล : http://women.mthai.com/health/19708.html สืบค้นเมื่อวันพฤหัสที่ 18 สิงหาคม 2554 เวลา 10.50 น. ที่มาของรูปภาพ : http://www.vijai.rmutl.ac.th/kaewpanya/index.php?option=com_content&view=arti cle&id=2820:2010-11-11-09-26-06&catid=209:07- สืบค้นเมื่อวันพฤหัสที่ 18 สิงหาคม 2554 เวลา 10.55 น.

แครอท แครอทมีถิ่นกําเนิดแถบเอเชียตะวันออก และเอเชียกลาง เป็น พืชในสกุล Umbelliferae แครอทเป็นผักที่รู้จักกันดีของชาว กรีกและโรมันมาก่อน 2,000 ปี ซึ่งชาวกรีกและโรมันนี้ได้นํา เจ้าแครอทมาเผยแพร่ที่ทวีปยุโรป และพระราชินี อลิซาเบ ธแห่งอังกฤษทรงโปรดปรานเป็นอย่างมาก ส่วนมากแครอทจะปลูกได้ดีในช่วงฤดูหนาวหรือในที่ที่มี อุณหภูมิไม่เกิน 15 องศาเซลเซียสจะได้แครอทที่มีคุณภาพดี การปลูกแครอทจะต้องเตรียมดินให้หนาประมาณ 8-9 นิ้ว เพื่อให้รากสามารถแทงลงไปได้ และหว่านเมล็ดให้เป็นแนวลึกประมาณ ¼ ถึง ½ นิ้ว ระยะเวลาที่ใช้ใน การปลูกประมาณ 66-75 วัน ถ้าไม่อยากปลูก สามารถเลือกซื้อแครอทได้ตามตลาดหรือซุปเปอร์มาร์เกตทั่วไป ได้ง่าย เพราะแครอทเติบโตได้ดีทางภาคเหนือของประเทศไทย การเลือกซื้อแครอทให้ดูลักษณะของแครอทที่มีสีสด ขั้วใหม่ ไม่เหี่ยว มีขนาดไม่ใหญ่หรือเล็ก เกินไป แครอทเป็นแหล่งของเบต้า-แคโรทีนที่ดีซึ่งสามารถเปลี่ยนเป็นวิตามินเอได้โดยเอนไซม์ในลําไส้ และเจ้าเบต้าแคโรทีนนี้ยังเป็นสารแอนติออกซิแดนท์ ( Antioxidant ) อีกด้วย ที่กล่าวว่าแครอทมีสารเบต้า-แคโรทีนที่สามารถเปลี่ยนเป็นวิตามินเอได้ ซึ่งวิตามินเอมีความสําคัญ กับร่างกายของคนเรา คือ ทําให้เราสามารถมองเห็นได้ในที่มืด ทั้งยังช่วยระบบภูมิคุ้มกันของร่างกายให้ทํางาน ได้ดี และยังเกี่ยวข้องกับการเจริญเติบโต แหล่งของวิตามินเอจะได้ทั้งจากสัตว์ เช่น ตับสัตว์ ไข่แดง และจากพืช จะได้ในรูปของเบต้า-แคโรทีน เบต้า-แคโรทีนนอกจากเปลี่ยนเป็นวิตามินเอได้ แล้วยังสามารถทําหน้าที่เป็นสารแอนติออกซิแดนท์ คือ เป็นพระเอกที่คอยกําจัดผู้ร้าย คือ อนุมูลอิสระจากควันบุหรี่ และแสงแดดจัด ก่อนที่มันจะไปทําปฏิกิริยา ทําลายส่วนต่างๆของเซล ทําให้เซลนั้นมีการเจริญเติบโตที่ผิดปกติเป็นต้นเหตุของโรคมะเร็งบางชนิด เบต้า-แคโรทีนสามารถป้องกันมะเร็งได้ทุกชนิดหรือไม่ ตอบว่าสามารถป้องกันมะเร็งได้บางชนิด เช่น มะเร็งปอด ( Lung Cancer) ซึ่งผลการศึกษาทางระบาดวิทยาที่ผ่านมายืนยันว่า การบริโภคอาหารที่มีเบต้า-


แคโรทีนสูงและระดับเบต้า-แคโรทีนในเลือดสูง มีความสัมพันธ์กับการลดความเสี่ยงของมะเร็งปอด มากกว่าผู้ที่มีระดับเบต้า-แคโรทีนในเลือดต่ําได้ถึง 2-4 เท่า ถ้าเป็นมะเร็งปอด แล้วกินเบต้า-โรทีนมากๆจะทาให้หายจากมะเร็งปอดได้หรือไม่ มีการศึกษาของ ประเทศฟินแลนด์ในประชากรที่สูบบุหรี่จัดเฉลี่ย 20 มวนต่อวัน และมีประวัติสูบบุหรี่นานถึง 36 ปี โดยให้ การเสริมเบต้า-แคโรทีนและวิตามินอี พบว่าไม่มีผลลดการเกิดมะเร็งปอด แสดงให้เห็นว่าสารแอนติออกซิ แดนท์มีผลช่วยป้องกันการเกิดมากกว่าการแก้ไข ทางที่ดีเราไม่ควรสูบบุหรี่เป็นดีที่สุด กล่าวกันว่า บุหรี่ คือแท่งยาวๆ มีปลายข้างหนึ่งสําหรับพ่นควัน และปลายอีกข้างหนึ่งอยู่ในปาก ของคนโง่ ในเมื่อเบต้า-แคโรทีนมีประโยชน์มากมาย เราก็กินเบต้า-แคโรทีนในรูปยาเม็ดหรือในรูปที่สกัด เข้มข้นดีกว่าไหม เราควรกินหรือได้รับเบต้า-แคโรทีนจากพืชที่ใช้ประกอบเป็นอาหารจะดีกว่า เพราะเบต้าแคโรทีนไม่สามารถออกฤทธิ์ตัวเดียวโดดๆได้ ต้องอาศัยสารอีกหลายชนิดที่ช่วยกันทําหน้าที่ซึ่งธรรมชาติ มอบคุณสมบัติที่สมดุลเหล่านี้ไว้ในผักแล้ว สําหรับพืชผักในบ้านเราก็มีมากมายที่มีเบต้า-แคโรทีนสูง และราคาไม่แพง เช่น ใบกระเทียม ใบ กระเพรา ตําลึง สะเดา สะระแหน่ คะน้า ผักกว่างตุ้ง สําหรับแครอทควรกินสุก จะให้เบต้า-แคโรทีนมากกว่า ในรูปผักดิบถึง 5 เท่า ในวันหนึ่งควรกินเบต้า-แคโรทีนเท่าไรดี สําหรับประเทศไทยโดยสํานักงานคณะกรรมการอาหาร และยากระทรวงสาธารณะสุขแนะนําให้บริโภคเบต้า-แคโรทีน 4.8 มิลลิกรัมต่อวันหรือ 2.664 IU ต่อวัน ซึ่ง ถ้าเรากินเบต้า-แคโรทีนในประมาณมากเท่าไรก็ไม่เป็นอันตราย เพียงแต่จะทําให้ผิวหนังมีสีเหลือง และจะ จางลงเป็นปกติเมื่อหยุดกิน ดังนั้นในวันหนึ่งๆ จึงควรกินอาหารที่มีเบต้า-แคโรทีนหรือผัก ผลไม้เป็นประจํา เพราะนอกจาก จะให้ประโยชน์กับร่างกายในหลายๆ ด้านแล้ว ยังมีราคาถูก และมีให้เลือกมากมายทุกฤดูกาล


ตารางแสดงคุณค่าอาหารส่วนที่กินได้ 100 กรัม พลัง งาน

kcal 37

โปร ตีน

ไข มัน

1.6

กรัม 0.4

คาร์ โบ ไฮ เดรต 6.8

แคล เซียม

1

ฟอส ฟอรัส

68

เหล็ก

วิตา มินบี 1

วิตา มินบี 2

มิลลิกรัม 1.2 0.04 0.05

ไน อา ซิน

0.8

วิตามิ นซี

41

เบต้า แคโร ทีน

ใย อาหาร

RE 1,166

กรัม _

กองโภชนาการ กรมอนามัย กระทรวงสาธารณสุข ตารางแสดงคุณค่าทางโภชนาการของอาหารไทย 2535 RE ไมโครกรัมเทียบหน่วยเรตินัล _ ไม่มีการวิเคราะห์ ที่มาของข้อมูล : คณะทํางานรวบรวมความรู้เกี่ยวกับผักในโครงการหนูรักผักสีเขียว สถาบันวิจัยโภชนาการ มหาวิทยาลัยมหิดล และมูลนิธิโตโยต้าประเทศไทย. มหัศจรรย์ผัก108. พิมพ์ครั้งที่8 พ.ย.45. โครงการจัดพิมพ์คบไฟ. กรุงเทพ. หน้าที่ 149 -151. ที่มาของรูปภาพ : http://www.globalfashionreport.com/a357077-%E0%B8%9C-%E0%B8%A7%E0%B8 %AA%E0%B8%A7%E0%B8%A2%E0%B8%94-%E0%B8%A7%E0%B8%A2%E0%B9%81%E0%B8 %84%E0%B8%A3%E0%B8%AD%E0%B8%97 สืบค้นเมื่อวันพฤหัสที่ 18 สิงหาคม 2554 เวลา 11.22 น.

เห็ดหอม สรรพคุณของเห็ดหอม คนจีนใช้เห็ดหอมเป็นอายุวัฒนะรักษาหวัดทําให้เลือดลมดี แก้โรคหัวใจ ป้องกันการเติบโตของเนื้อร้าย ต้านพิษงู ป้องกันโรค เลือด โรคหลอดเลือดหัวใจตีบ โรคมะเร็ง โรคร้ายจากเชื้อไวรัส เห็ดหอมมีกรดอะมิโนชื่อ eritadenine ช่วยให้ไตย่อยโคเลสเตอรอล ได้ดี มีสารเลนติแนน (Lentinan) ช่วยกระตุ้นการทํางานของเซลล์ ในระบบภูมิคุ้มกันให้มีประสิทธิภาพในการต่อสู้กับเซลล์เนื้องอก


ประโยชน์ของเห็ดหอม บํารุงสมอง เพิ่มความสดชื่น คึกคัก ลดคอเลสเตอรอล ช่วยในระบบย่อยอาหาร ป้องกันหลอดเลือดแดง แข็งตัว ต้านมะเร็ง รักษาหอบหืด ลดความเครียด ต้านไวรัส บํารุงระบบประสาท ช่วยให้หลับง่าย บํารุงปอด บํารุงหลอดลม ชะลอความชรา ฯลฯ ควรบํารุงสุขภาพด้วยการนําเห็ดหอมมาปรุงอาหารทุก ๆ สัปดาห์เป็น ประจํา โดยนํามาปรุงเป็นอาหารจานผัด ๆ ต้ม ๆ แต่ไม่ควรรับประทานในปริมาณมากจนเกินไป - เห็ดหอมสด 100 กรัม ให้พลังงาน 387 กิโลแคลอรี ประกอบด้วย คาร์โบไฮเดรต 67.5 กรัม โปรตีน 17.5 กรัม ไขมัน 8.0 กรัม เส้นใย 8.0 กรัม วิตามินบี1 1.8 มิลลิกรัม วิตามินบี2 4.9 มิลลิกรัม ไนอะซิน 4.9 มิลลิกรัม แคลเซียม 98 มิลลิกรัม ฟอสฟอรัส 476 มิลลิกรัม เหล็ก 8.5 มิลลิกรัม - เห็ดหอมแห้ง 100 กรัม ให้พลังงาน 375 กิโลแคลอรี ประกอบด้วย คาร์โบไฮเดรต 82.3 กรัม โปรตีน 10.3 กรัม ไขมัน 1.9 กรัม เส้นใย 6.5 กรัม วิตามินบี1 0.4 มิลลิกรัม วิตามินบี2 0.9 มิลลิกรัม ไนอะซิน 11.9 มิลลิกรัม แคลเซียม 12 มิลลิกรัม ฟอสฟอรัส 171 มิลลิกรัม เหล็ก 4.0มิลลิกรัม ที่มาของข้อมูล : http://www.n3k.in.th/%E0%B8%AA%E0%B8%A1%E0%B8%B8%E0%B8%99%E0% B9%84%E0%B8%9E%E0%B8%A3/%E0%B8%9B%E0%B8%A3%E0%B8%B0%E0%B9%82%E0%B8% A2%E0%B8%8A%E0%B8%99%E0%B9%8C%E0%B8%82%E0%B8%AD%E0%B8%87%E0%B9%80% E0%B8%AB%E0%B9%87%E0%B8%94%E0%B8%AB%E0%B8%AD%E0%B8%A1 สืบค้นเมื่อวันพฤหัส ที่ 18 สิงหาคม 2554 เวลา 11.32 น. ที่มาของรูปภาพ : http://scratchpad.wikia.com/wiki/%E0%B9%80%E0%B8%AB%E0%B9%87%E0%B8% 94%E0%B8%AB%E0%B8%AD%E0%B8%A1 สืบค้นเมื่อวันพฤหัสที่ 18 สิงหาคม 2554 เวลา 11.45 น.


ภาคผนวก



แม็กกี้ เตรียมความพร้อมสู่ความสาเร็จ @

Tuesday 12 th July 2011 (13.30 - 16.30) By

& Chef Jamnong Nirangsan With 2 National Team Student Chef Experience - How to Become a Professional Chef Organize By

บริษัทบิซพอร์ทัล จํากัด 1717 ถนนลาดพร้าว แขวงสามเสนนอก เขตห้วยขวาง กรุงเทพฯ 10310 Tel: 02-939-9115


กาหนดการ Maggi Cooking Camp 2011 @ SWU วันอังคารที่ 12 กรกฏาคม 2554 เวลา 12.40 - 16.30 ......................................... 12.40 – 13.17 น. 13.17 - 13.20 น. 13.20 - 13.45 น.

13.45 - 13.50 น. 13.50 - 14.10 น. 14.10 - 14.30 น. 14.30 - 15.40 น. 15.40 - 16.15 น. 16.15 - 16.25 น. 16.25 - 16.30 น. 16.30 น.

ลงทะเบียน พิธีกรเรียนเชิญคณบดีคณะวิทยาศาสตร์กล่าวเปิดงาน คณบดีคณะวิทยาศาสตร์กล่าวต้อนรับและเปิดงาน และมอบของที่ ระลึกให้กับ ผูบ้ ริหารของบริษัทเนสเล่ห์ และเชฟจํานงค์ นิรงั สรรค์ และคณะ พิธีกรเชิญผู้บริหารบริษัทเนสท์เล่ขึ้นกล่าวต้อนรับและกล่าวขอบคุณ คณบดี Present ผลิตภัณฑ์ Maggi Chef Share experience เชพจํานงค์และทีมงานสาธิตการทําอาหาร 3 sauce เชฟสาธิตการทําอาหาร Fusion 1 ชนิด ตอบซักถามข้อสงสัย ผู้บริหารเนสท์เล่ กล่าวขอบคุณ ปิดงาน


Thailand Culinary Academy Organizing Committee 2009-2010

Mr. Jamnong Nirangsan Culinary Competition Consultant

Consultant Team Supporter,Consultant Competitor National Team Member Competitor Judging Judge Judge Judge

WA OCEANAFEST 2011 Pacific Rims Culinary Competition (Thai National Team) at Perth Exhibition & Convention Centre, Perth, Australia (WACS Endorse) Thai Chef in Bocuse d’or Asia Competition 2010, Shanghai, China (WACS Competition) Thailand National Junior Team in Imirates Salon Culinary (Gourmet Team Challenge) Dubai, UAE (WACS Challenge) Participated at Olympia of Cooks 1996, Berlin, Germany Thailand National Team, Participated at Salmon Culinaire in Food Exhibition 1996, Singapore Participated at Olympia of Cooks 1988, Frankfurt, Germany 13th Battle of the Chefs 2011, Penang, Malaysia (WACS Challenge) Food Stylist Contest 2011, Bangkok, Thailand Pattaya City Culinary Cup 2010 in Conjunction with Pattaya Food & Hoteliers Expo’10, Chonburi, Thailand


International Culinary Experience 2004 –Present 2010

International Fairs Attended 1982 – 1999 1975 – 1985

President of Thai Chef Association Executive Sous Chef, Swissotel Nai Lert Park, Bangkok, Thailand Executive Chef, The Monarch Lee Garden Hotel / Sofitel Silom Bangkok, Thailand Executive Chef, Delta Grand Pacific Hotel Bangkok, Thailand Executive Sous Chef, Delta Grand Pacific Hotel BangKok, Thailand Sous Chef, Hilton International Hotel, Bangkok, Thailand Chef Grade Manager, Massarah International Hotel, Taif, Saudi-Arabia Commis de Cuisine, Siam Intercontimental Hotel, Bangkok, Thailand Participated every Year at Food Culinary Exhibitions, Bangkok, Thailand Organized, Co-Ordinate and Prepared Thai Food Promotions for Hotels in Various Countries such as Bhutan, Japan, Germany, United State of America and Egypt


กาหนดส่ง ชื่อ-สกุล ผู้ยืม

สถานะ

ว./ด./ป. ที่ยืม

ว./ด./ป. ที่คืน


กาหนดส่ง ชื่อ-สกุล ผู้ยืม

สถานะ

ว./ด./ป. ที่ยืม

ว./ด./ป. ที่คืน


กาหนดส่ง ชื่อ-สกุล ผู้ยืม

สถานะ

ว./ด./ป. ที่ยืม

ว./ด./ป. ที่คืน



Issuu converts static files into: digital portfolios, online yearbooks, online catalogs, digital photo albums and more. Sign up and create your flipbook.