UNDO Magazine issue 19 - Do you believe in dreams?

Page 1

emagazine for inspiration

you believe in ... dreams?

p frank ARTIST & repertoire

issue

Do

19


|| ธาตุแท้ || {สะท้อนตัวตน แสดงผลทดลองทางความคิด} -------------------------------------------------นิทรรศการแสดงผลงานโครงการออกแบบสื่อสารนิพนธ์ ปีการศึกษา 2555 นิสิตชั้นปี 4 เอกออกแบบสื่อสาร คณะศิลปกรรมศาสตร์ มหาวิทยาลัยศรีนครินทรวิโรฒ -------------------------------------------------26-28 กุมภาพันธ์ 2556 เปิดงาน 26 กุมภาพันธ์ 2556 เวลา 18.00 น. ลาน EDEN ZONE ชั้น 2 ศูนย์การค้า CENTRAL WORLD

downlaod all issuesFB--> www.undomag.com : ธาตุแท้


web www.undomag.com

facebook Fb : undomagazine

twitter undomagazine

issuu issuu.com/undomagazine

tumblr undomagazine.tumblr.com

behance behance.net/undomagazine

เริ่มต้นปี 2556 กับการก้าว ต่อไปในปีที่ 3 ของ UNDO Magazine เวลาแต่ละปีผ่านไปอย่างรวดเร็วจนพี่คิดถึง เมื่อครั้งพี่เริ่มต้นออก UNDO Magazine ฉบับแรกเดือนมกราคม 2554 ที่ เริ่มเสาะหาคนผู้เป็นแรงบันดาลใจให้น้องๆ ได้อ่านกัน จากเริ่มหัดคลานจนโตขึ้นมา เดินได้ เอาคำ�ที่รุ่นพี่หลายๆ คน พูดเสมอ ว่า การเริ่มต้นเป็นสิ่งที่ท้าทายสำ�หรับคน ที่ต้องการประสบความสำ�เร็จ แต่พี่คิดว่า นอกจากการเริ่มต้นที่ดีแล้ว การคงอยู่ใน อุดมการณ์ที่ไม่เปลี่ยนแปลง เป็นสิ่งที่สำ�คัญ เช่นกัน เหมือน UNDO Magazine ที่ ยังคงสรรหาแรงบันดาลใจให้แก่น้องๆ ไว้ใช้ เป็นแนวทางในการดำ�เนินชีวิต UNDO Magazine ฉบับต้นปี 2556 พี่มีโอกาสได้ไปสัมภาษณ์พี่แฟรงค์ นัฐพงษ์ สุทธิวิรีสรรค์ A&R Executive ของค่ายเพลง Believe Records พี่ใจดี ที่ให้แนวคิดแก่น้องๆ ที่อยากเข้ามาสู่วงการ เพลง พวกเราจะได้เรียนรู้ถึงความพยายาม ความตั้งใจ ความอุสาหะกว่าจะได้ก้าวมา เป็นศิลปินรวมไปถึงอาชีพ A&R ที่พี่แฟงค์ ทำ�งานอยู่ เป็นอาชีพที่น่าสนไม่น้อย เริ่มต้นปีนี้ขอให้ทุกคนมีความสุข ทำ�ดี เจอแต่สิ่งดีๆ ให้ชีวิตนะครับ

editor's talk

Sakchai Piyaboon Editor-In-Chief FB: chai.sakchai

ติดต่อโฆษณา / advertising

UNDOMAGAZINE@ GMAIL.com

cover : นัฐพงษ์ สุทธิวิรีสรรค์ font : coolvetica, circular, kullastri, code, supermarket, superstore


contents

14 interview with P Frank Believe Records

22 BOOK : มะม่วงจัง 24 เรื่องสั้น : THE LAST SECRET 28 GAME : RAGNAROK 34 STUDENT LIFE 38 เรื่องสั้น : LIVE LIKE A CAT

Tools & Technology

12

d.i.y. whimsical lady

40

cooking

33

6

yellowstone natural park : part 2 Consults

Sombat Piyaboon Surapong Thammabuht

Deputy Editor

Photographer

Interviewer

Graphic Designer

Apinantn S.Pruek Valentino Townhouse

Iggy da guy

Sakchai Piyaboon

Editor in Chief

Sakchai Piyaboon

All rights reserved. No part of this publication may be reproduced in whole or in part without permission from publisher. The views expressed in UNDO Magazine are those of the respective contributors and are not necessarily shared by the publisher.


contributors Kik สาวโฆษณา ด้วยไลฟ์สไตล์ชอบ Hang Out กับกลุ่มเพื่อน ใจรักการทำ�อาหาร หลาก หลายเมนูที่เคยผ่านสายตา จึงไม่พลาดที่จะชวน มาถ่ายทอดสูตรอาหารดีๆ

DayWalker ชายหนุ่มผู้ให้ความสำ�คัญกับชีวิต เปิด กว้างกับศิลปะทุกรูปแบบ รักเด็กและสุนัข ตัวเล็ก ๆ

Pissacha Hemvachiravarakorn

Jaja Waranyah เมื่อเรายังเด็ก ทุกคนมีฝัน เก็บ ดูแลฝันนั้นไว้ สักวันหนึ่งฝันจะดูแลเราเอง

Rawin Cheasagul

ภู หนุ่มน้อยที่ไปศึกษาปริญญาโทต่อที่ อเมริกา จะมาเล่าเรื่องราวตั้งแต่การใช้ ชีวิตของนักศึกษา และการท่องเที่ยวใน แง่มุมต่างๆ ปัจจุบันอยู่ที่ Columbia, Missouri

Pitchanut Nueangjamnong

Piraya Nuchumpunth พิรญาณ์ นุชอำ�พันธุ์​์ หญิงสาวผู้หลงใหลในศิลปะและบทกวี มีความสุขกับการก้าวตามความฝันให้ เป็นจริง ในปัจจุบันเขากำ�ลังวนเวียน อยู่กับการอ่าน การวาด และการเขียน อยู่ ณ ที่ใดที่หนึ่งบนโลกใบนี้

Suwanit Downing สาวสวยผู้ยอมเสียสละเวลาอันมีค่า ให้ เกียรติมาเขียนเรื่องราวการท่องเที่ยวและ ใช้ชีวิตที่ Australia ปัจจุบันเธออยู่ท่ี Melbourne รับงานอิสระกับ บริษัทโฆษณา ชื่อดัง ใน Melbourne และ Sydney

พิชญ์ณัฐ เนื่องจำ�นงค์

นักฝันมืออาชีพ ผู้หลงรักการเดินทาง บันทึก ภาพ และถ่ายทอดประสบการณ์ผ่านตัวหนังสือ

Noontide Puttaraporn


story and illustration by Rawin Cheasagul

yellowstone natural park : part 2

สวัสดีปีงู ชาว UNDO Magazine ทุกท่านครับ ปีใหม่นี้ขอให้ทุกท่าน คิดสิ่งใดได้สมปราถนา อยากได้ม้าได้ม้า อยากได้ช้างได้ช้าง มีสุขภาพแข็งแรง ไม่มี โรคภัยถามหา ปีนี้อากาศแปรปรวนมาก ครับ ไปในทางที่แย่ซะด้วย ได้ข่าวมาว่าที่ เมืองไทย บางที่ที่ปกติไม่เย็นมาก ก็ดัน เย็น แต่บางที่ที่ปกติอากาศสบายๆ กลับ ร้อนซะอย่างงั้น ราคาพืชผลการเกษตร ก็ตกต่ำ� เศรษฐกิจแย่ กิจการก็ปิดไปซะ เยอะ เพราะสู้ค่าแรงไม่ไหว… คนเดือดร้อน ไปทั่ว ยังไงก็ขอเอาใจช่วยทุกคนให้ผ่าน พ้นวิกฤตครั้งนี้ไปให้ได้นะครับ :)


ต่อจากเล่มที่แล้ว หลังจากเดินลงจากจุดที่ ดู Grand Prismatic Spring ลงมาข้างล่าง ก็ยืน รอเพื่อนอีกคน ที่เดินแยกไปดูน้ำ�ตก รอแล้วรออีก ก็ ยังไม่ออกมาซะที เลยคิดกันว่าทางคงจะไกล เลยไป หาร่มเงานั่งรอ หลังจากรอไปได้แป๊บเดียวเท่านั้นละ ครับ งานเข้า เพื่อนอีกคนที่รออยู่ด้วยกันปวดท้อง ถ่ายหนักเหมือนท้องจะเสีย อยากจะเข้าห้องน้ำ�มาก แถวๆ นั้นไม่มีซะด้วย เลยคุยกันว่า สงสัยกว่าอีกคน จะออกมาคงอีกนาน ขับรถไปอีกจุดนึงก็ได้ ใกล้ๆ ไม่ น่าจะนานมาก แต่ก็แอบคิดอยู่ว่า ถ้าออกมาต้องตกใจ แน่ๆ เพราะรถกับเพ่ือนหายไป ติดต่อกันก็ไม่ได้เพราะ ว่าในนั้นไม่มีสัญญาณโทรศัพท์มือถือ ตอนแรกคิด ว่าจะเขียนไว้บนทรายข้างๆ ที่จอดรถเป็นภาษาไทย ว่า “ไปห้องน้ำ� เดี๋ยวมา” ก็ดูจะฮาไปหน่อย สุดท้าย เพื่อนจะไม่ไหวแล้วเลยเสี่ยงขับรถออกไป เพราะที่รอ อยู่สามคน มีผมคนเดียวที่มีใบขับขี่ เลยสรุปว่าไปกัน ทั้งหมดเลย

หลังจากเพื่อนทำ�ธุระเรียบร้อย นานกว่าที่ คิดหน่อย เพราะมีรถทัวร์มาจอดตรงห้องน้ำ� อาม่า อากงลงมาเข้าห้องน้ำ�เพียบ - -“ ก็ขับรถกลับมาที่จุด ที่จอดเดิม แต่ยังไม่ทันถึงเลยครับ เจอเพื่อนที่เข้าไป ที่น้ำ�ตกออกมารอยู่ที่ปากทาง หน้าตาเกือบจะร้องไห้ อยู่แล้ว TT^TT ต้องปลอบขวัญกันใหญ่เลย ผู้หญิง ด้วย แต่เป็นผม ก็คงตกใจเหมือนกัน เพราะไม่รู้ว่า มีอะไรฉุกเฉินรึเปล่า ทำ�ไมถึงออกไปไม่รอ ไม่บอกไม่ กล่าวเลย กว่าจะขับรถวนออกมาก็เย็นละครับ แว๊บก ลับไปดู Old Faithful Geyser แป๊บนึงเพราะเห็น ว่ามันตรงกับเวลาตอนที่ผ่านไปพอดีแล้วก็ตรงกลับ โรงแรม ระหว่างทางรถติดมากครับ ติดนานจนงง มากว่าติดอะไร สุดท้ายเดินลงไปดู กลายเป็นฝูง Bison ฝูงใหญ่มากกกกค่อยๆ เดินข้ามถนนกัน แบบไม่กลัวใคร สุดท้ายกว่าจะถึงร้านอาหารใกล้ๆ โรงแรมนี่มืดแล้วเลยทีเดียว (พระอาทิตย์ตกสามทุ่ม) และวันนี้ก็เป็นครั้งแรกในชีวิต ท่ีได้ลองชิมเนื้อไบซัน! พูดซะตื่นเต้น แต่จริงๆ รสชาติก็คล้ายๆ เนื้อวัวแหละ ครับ แค่เหนียวๆ กว่า กลิ่นแรงกว่านิดหน่อย ^^


อ้อ ผมลืมเล่าไปอย่างนึง ตอนแวะไปทานข้าว เที่ยงที่ร้านของอุทยาน มันมีร้านขายของที่ระลึกอยู่ แล้วก็มีช่างภาพคนนึงตั้งโต๊ะเซ็นต์หนังสือ ผมเลยเดิน เข้าไปคุยแล้วก็ถามเค้า ว่าถ้ามีเวลาอีกแค่วันเดียว ใน Yellowstone แล้วอยากจะถ่ายพระอาทิตย์ขึ้นตอนเช้า ที่ไหนที่เค้าเห็นว่าสวยที่สุด เลยได้ความว่า ต้องไปตรง Artist Point ซึ่งเป็นจุดชมวิวของ Grand Canyon of the Yellowstone เช้าวันรุ่งขึ้น ผมเลยออกไป กับเพื่อนแต่เช้า เพื่อไปรอดูพระอาทิตย์ขึ้นกัน (ออกไป แค่สองคน อีกสองคนนอนอยู่ที่โรงแรม ไม่ตื่น > <”) ตอนแรกเมฆเยอะมากครับ เยอะจนแทบถอดใจ ขนาด ตอนนั้นผมก็ยังไม่ได้ถ่ายภาพวิวจริงจัง ยังรู้สึกว่าไม่ สวยเลย แถมหมอกยังเยอะอีกต่างหาก แต่พอหลัง จากพระอาทิตย์ขึ้นเท่านั้นหละครับ แสงมันส่องผ่าน ช่องเขามาเป็นลำ� สวยมาก และสุดท้ายก็ไปตกที่ตรง น้ำ�ตก Lower Falls ที่จุดชมวิวมองไปเห็นพอดิบพอดี บรรยากาศตอนนั้นมันสวยจริงๆ ครับ สวยจนไม่รู้ว่า จะบรรยายออกมาเป็นคำ�พูดยังไงดี หลังจากถ่ายรูปได้ ซักระยะ เมฆก็บังพระอาทิตย์มิด เลยกลับโรงแรมไป นอนต่อ แล้วก็พาเพื่อนอีกสองคนมาดูตอนสายๆ หลัง

จากนั้นก็ขับรถไปวนดู Upper Falls น้ำ�ตกที่นี่ใหญ่ มากจริงๆ ครับ ใหญ่จนพอเทียบกับคนแล้วรู้สึกว่า ตัว เราช่างกระจ้อยร่อยมากๆ ขับรถวนเก็บจุดที่ยังไม่ได้ไป ในอุทยาน อยู่ได้สักพัก ก็เจอ Highlight ของวันอีก หนึ่งอันเข้าจนได้ นั่นก็คือ Grizzly Bear ครับ เจออยู่ ข้างๆ ถนนเลย รถติดยาวเหยียด เพราะว่าต่างคนต่าง ก็อยากดู อยากจะถ่ายรูป เจ้าหน้าที่อุทยานต้องมาคอย ไล่รถที่ขับผ่านไม่ให้จอดแช่ และคอยกันคน ไม่ให้ลงจาก รถ ข้อดีของที่อเมริกาคือ เจ้าหน้าที่มาเร็วมากกก อย่าง กับว่าเค้าคอยเฝ้าเอาไว้อยู่แล้วเลยทีเดียว ผมยังแซวอยู่ กับเพื่อนเลยครับ ว่าสงสัยสัตว์ที่เราเห็นๆ ต้องเป็นเจ้า หน้าที่อุทยานแน่ๆ คอยดูนะ พอไม่มีคน เค้าจะถอดหัว เอามาผึ่งลม (ฮาาาาา)


ถัดจากที่ได้ตื่นเต้นเพราะเจอหมี Grizzly แล้ว ก็ขับรถวนต่อ รถค่อยข้างติดครับ เพราะช่วงหน้าร้อนเป็นช่วงเวลาที่นักท่องเที่ยวไป เที่ยว Yellowstone กันหนาแน่นมากที่สุด และยังเป็นช่วงเดียว ที่ถนน ในอุทยานเปิดครบด้วย กว่าจะถึงจุดถัดไป นั่นก็คือ Mammoth Hot Springs ก็ใช้เวลานานพอตัวเลยทีเดียว จุดนี้เป็นอีกหนึ่งที่ ที่คนที่มา เที่ยวที่นี่ต้องแวะ อาจจะเพราะว่าเป็นอีกจุดที่อยู่ใกล้โรงแรมของอุทยาน ด้วยก็เป็นไปได้ อากาศตอนกลางวันเริ่มร้อนขึ้นเรื่อยๆ ครับ จากใส่ เสื้อผ้าหนานี่ต้องถอดออกทีละชั้น จนเหลือแค่เสื้อยืด แถมไม่มีร่มเงาให้ หลบ ต้องเดินกลางแดดอยู่ตลอดเวลาอีก Mammoth Hot Springs เป็นภูเขาหินปูนขนาดใหญ่ที่เกิด จากการสะสมตัวของหินปูนที่ ปะปนมากับน้ำ�พุร้อนเป็นเวลาๆ พันๆ ปี ใหญ่มากๆ ครับ ยิ่งไปยืนใกล้ๆ แล้ว ผมคิดไปว่าเหมือนไม่ได้อยู่บนโลก เลยจริงๆ ด้วยสภาพแวดล้อมที่มีแต่กลิ่นกำ�มะถันแสบจมูก ซากต้นไม้ตาย แล้วก็หินปูที่สะสมเป็นชั้นๆ รูปร่างประหลาดๆ กับบ่อน้ำ�พุร้อน ที่มีไอน้ำ� ลอยขึ้นมาอยู่ตลอดเวลา นี่มันดาวพฤหัสชัดๆ ! น่าเสียดายที่ ก่อนหน้านี้ มันมีแผ่นดินไหว ทำ�ให้ท่อน้ำ� แล้วก็ไอน้ำ�ใต้ดินเปลี่ยนไป หลายๆ จุดเลย กลายเป็นหินปูนแท่งๆ แห้งๆ ไม่สวยเหมือนในรูปที่ดูไว้ก่อนมาเที่ยว …T T กว่าจะออกจาก Mammoth Hot Springs ก็บ่ายแก่ละครับ มุ่งหน้าไปสู่ Grand Teton National Park จุดมุ่งหมายต่อไป


Grand Teton National Park มีอาณาเขตเกือบจะต่อกับ Yellowstone National Park เลยครับทางทิศใต้ห่างกันแค่ 10 ไมล์ ตอนแรกที่ผมวางแผน กะว่า Grand Teton จะเอาไว้พักผ่อนชิวๆ ไม่น่าจะมีอะไรมาก แต่ที่ไหนได้ พอไปถึงแล้วมัน สวยมากครับ โดยเฉพาะแนวเขา Teton ซึ่งขนานไปกับอุทยาน สำ�หรับชื่ออุทยาน ได้มา จากชื่อภูเขาที่สูงที่สุดในเทือกเขา มีชื่อว่า Grand Teton ซึ่งคำ�ว่า Teton นี้ แผลงมา ภาษาฝรั่งเศส คำ�ว่า “les trois tetons” แปลเป็นภาษาอังกฤษว่า the three teats ตามรูปร่างของยอดเขา ส่วนความหมายภาษาไทย ลองไปเปิด Dictionary กันดูนะ ครับ


Grand Teton National Park เหมาะกับ คนที่อยากเที่ยวแบบลงจากรถแล้วเห็นวิวเลยมากๆ ครับ เพราะว่าวิวสวยๆ ส่วนใหญ่แทบไม่ต้องเดินเลย โดยเฉพาะ Snake River Overlook ซึ่งถึอเป็นจุดที่เรียกได้ว่า ถ้า ไม่ได้ถ่ายรูปมุมนี้ ถือว่ามาไม่ถึง Grand Teton เลยที เดียว ผมได้ถ่ายจุดนี้ทั้งพระอาทิตย์ขึ้น และพระอาทิตย์ ตกเลยครับ สวยมาก เหมือนไม่ได้อยู่บนโลกใบนี้ (อีก แล้ว…) มันเหมือนภาพวาดเลยครับ ทุกอย่างดูมันจะพอดี ไปซะหมด ไม่ว่าจะเป็น Snake River ที่โค้งเป็นตัว S อยู่ด้านหน้า และแนวเขา Teton ที่อยู่ด้านหลัง รวม ไปถึง Grand Teton ที่อยู่ตรงกลาง มันสวยเกินคำ� บรรยายจริงๆ ผมเสียดายมาก ที่วันแรกไม่ได้ตื่นมาถ่าย พระอาทิตย์ขึ้น เพราะไม่ได้วางแผนมาก่อนบวกกับความ ขี้เกียจ เลยไม่รู้ว่ามุมส่วนใหญ่ของที่นี่ ต้องถ่ายแสงเช้า แสงเย็น จะกลายเป็นย้อนแสง พระอาทิตย์ตกหลังเทือก เขา T^T วันแรกตื่นเต้นมากครับ เพราะตอนขับเข้าโรงแรม เจอ Moose ตัวใหญ่มาก อยู่ในบึงข้างๆ ถนน (ไม่ได้ เห็นตอนแรก แต่เห็นว่ารถจอดกันเพียบ) คนถ่ายรูปมัน เยอะมากครับ และดูเหมือนว่ามันจะชินกับคนมาก เพราะ ว่าไม่มีทีท่าตื่นกลัวแต่อย่างใด ยืนเอาปากจุ่มลงไปในน้ำ� แล้วก็กินๆๆๆ ท่าเดียว ขอย้ำ�ว่าระยะห่างนี่ใกล้มากครับ ไม่เกิน 10 เมตร กับ Moose ที่ยืนแล้วสูงพอๆ กับเรา

(ผมสูง 180 cm > <”) สองวันที่อยู่ในอุทยานก็เที่ยวไป รอบๆ ครับ พักผ่อน หลังจากเหน่ือยมาตลอดทริป เข้าไป เที่ยวเมืองใกล้ๆ แล้วก็ได้ลองเบอร์เกอร์เนื้อ Bison กับ เนื้อกวาง Elk… เนื้อ Bison รสชาติใช้ได้ แต่เนื้อ Elk นี่ กลิ่นประหลาดครับ ไม่อร่อยเลย หลังจากเที่ยว Grand Teton National Park เสร็จแล้วก็ไม่มีอะไรมากละครับ มุ่งหน้ากลับไป Salt Lake City เพื่อเตรียมตัวกลับ โดยวางแผนกันแล้วว่าจะไปดูพลุวันชาติอเมริกา (4th of July) แต่ดันไม่ได้เช็คล่วงหน้าว่าต้องไปดูที่ไหน ในวันที่ไป ถึงเลยผิดพลาดทางเทคนิคเล็กน้อยครับ เพราะไม่คิดว่า จุดที่ไปรอดู (เดาสุ่ม) พลุจะยิงขึ้นมาบนหัวพอดี ถ่ายรูป ยากมาก ขนาดจะดูยังต้องนอนดูเลยครับ ไม่งั้นเมื่อยคอ มาก วันรุ่งขึ้นตอนเช้าก็แวะไปเที่ยวในเมืองนิดหน่อย แล้ว ก็เดินทางไปสนามบิน แยกย้ายกันกลับบ้าน เพราะแต่ละ คนที่ไป อยู่ต่างรัฐกันหมด จบไปอีกหนึ่งทริปนะครับ หลาย ๆ คนคงจะงง ว่า ไอ้นี่มันมาเรียนหรือมาเที่ยวกันแน่ แต่ช่วง Summer ปี 2010 เป็นช่วงที่ผมไปเที่ยวหลายที่ที่สุดละครับ เล่ม หน้าจะเป็นการออกงานทางวิชาการงานแรกของผม ซึ่ง เป็นงานระดับโลกจัดที่ Chicago ส่วนงานจะเป็นยังไง สนุกแค่ไหน โปรดติดตามตอนต่อไปครับ :)


story and illustration by Suwanit Downing

Tools & Technology

Like most teenagers I liked to hang out with my friends. During school holidays we often stayed at one of my friends’ houses, spending the day and sometimes the night as a group at the house. I had many smart friends, and I enjoyed being with them. They were not only good at mathematics, history, languages, sciences, but were also clever in way they would think. They all had ability to understand and apply logic to systems, were good at solving problems and generally making sense out of things. They were an incredibly smart group of friends. (Although, we sometimes did stupid things too.


Tools & Technology So, in the past I had many smart friends, but today I have more – I have a smart phone and many of my friends today have smart cars, smart fridges and so on. One girl I know is obsessed with smart gadgets, I think she would (literally) got lost without these things. She is never sure where anything is until her phone confirms so. She always has her phone by her side. When we catch up, and are talking no matter what the topic we’re discussing, she can’t help but to look it up – google it, try to find out the so called ‘fact’, and then she ends the discussion. For me what she is missing out on is the joy of conversation and debate. Her knowledge is so instant but she is missing out on the moment of doubt, but I’m sure she is not alone, many people are like that. It’s never a good thing to blindly believe what is shown in the media. It’s a tragedy of modern life – no more fun of the ‘curiosity cat’.

Idealistically, the Internet is a great invention. It’s a sea of information from around the world directed to you within seconds, an ‘all you can take’ service if you like. If only it was information alone that made people smart – it isn’t, thinking does. To be able to think, to process and analyze actions and consequences, and to connect it to reality. These are the ingredients that make people smart. Being smart is not about being programmed to do many things at once. It takes a lot more than that. With all this machine intelligence in our lives, we have access to more information than we need to. But we should know, not all of this information is reliable, there are as many rubbish as good sources of information online. So don’t be blinded by the awesomeness of these programs and apps. It’s important that we know these smart gadgets are only tools, they can’t do the thinking for us, we should use them to help us think. So when using the tools remember to use them wisely.

If you would like to comment or leave me note you can at twitter.com/suwanitdowning


interview with p frank ARTIST & repertoire

อีกหนึ่งค่ำ�คืนที่เราได้สัมภาษณ์ชาย หนุ่มคนหนึ่งที่มีแนวคิดการทำ�งานที่น่า สนใจ เต็มไปด้วยความท้าทาย A&R หรือ ผ่ายคัดสรรและพัฒนาศิลปิน เป็น อาชีพของคนเบื้องหลังความสำ�เร็จของ ศิลปินมากมาย UNDO Magazine ชวนพวกเรามารู้จักกับ พี่แฟรงค์ นัฐ พงษ์ สุทธิวิรีสรรค์ A&R Executive ของค่ายเพลง Believe Records Interview by Valentino Photo by iggy de Guy

Townhouse


A&R ( Artist & Repertoire ) หรือฝ่ายคัดสรรและ พัฒนาศิลปิน คืออะไร ทำ�หน้าที่อะไรบ้าง ตำ�แหน่งจริงๆ มันแบ่งเป็น AR และ A&R เริ่มต้นในการ ทำ�งานจริงๆ ตำ�แหน่งของพี่ คือ AR เป็นคนดูแลศิลปิน เวลาออกงาน Event และงาน Concert ต่างๆ แต่ทุก วันนี้ตำ�แหน่งที่ทำ�อยู่ คือ A&R มีหน้าที่ในการคัดสรร และพัฒนาศิลปิน จะเริ่มตั้งแต่ศิลปินยังไม่มีอะไรเลย เริ่ม เข้าห้องอัด ทยอยส่งเพลง ทำ�เกี่ยวกับ Production ทั้งหมดในการทำ�เพลง เราจะเป็นคนคอยดูแลและจัดการให้ ตั้งแต่ต้นจนจบ ในค่าย Believe Records จะมีอยู่สอง คน คือ พี่บอล วง Scrubb (A&R Director) และพี่ เองเป็น A&R Excecutive คอยช่วยพี่บอลอีกที เวลา เด็กส่ง Demo เพลงหรือเวลาที่เราไปเห็น เจองานเพลง ตามงานประกวดต่างๆ ก็จะเอาเพลงมาฟังกัน พอดูแล้ววง นี้น่าสนใจ พี่จะเรียกเข้ามาพูดคุยถึงแนวทางการทำ�เพลง และแนวทางของค่าย ถ้าโอเค พี่ก็จะมีทำ�หน้าที่จัดคิวเข้า ห้องอัด ส่งเพลงวันไหน เนื้อร้อง ทำ�นองโอเคไหม จนถึง ขั้นตอนเข้าห้องอัดทำ�เพลง Music Production เป็นคน จัดการทุกอย่างของวงนั้นๆ เรียกว่า เป็นคนวาง Timeline อัลบั้มของศิลปินทั้งปี ตั้งแต่ช่วงเข้าห้องอัดจนถึงวัน วางอัลบั้ม เหมือนเป็นด่านแรกเวลาศิลปินเข้ามาในสังกัด Believe Records และจะเป็นคนคอยรับงาน ดูคิวงาน ของศิลปินทั้งหมดในค่าย

จุดเริ่มต้นที่ทำ�ให้มาเป็น A&R จุดเริ่มมาจากพี่เป็นคนชอบฟังเพลง ประกอบกับความโชคดี อย่างหนึ่งที่ได้รับโอกาสฝึกงานที่ค่าย Black Sheep เป็น ค่ายเพลงอิสระในสังกัดของ Sony Music ส่วนตัวพี่ชอบวิธี นำ�เสนอเพลงของศิลปินค่ายนี้ มันดูใหม่ในยุคนั้นมากๆ และพี่ วางแผนชีวิตไว้แล้วว่า อยากทำ�งานเกี่ยวกับเสียงเพลง โชค ดีที่มีรุ่นพี่ในคณะคนหนึ่งฝึกงานและได้ทำ�งานที่นี่ ช่วงนั้น ประมาณ ปี 3 เทอม 2 เลยขอพี่เค้าไปฝึกงานโดยที่ไม่มีความ รู้ทางด้านสายงานเพลงเลยซักนิด คิดแค่ว่า เป็นคนชอบฟัง เพลง อยากหาประสบการณ์ชีวิต ด้วยระยะเวลาฝึกงานแค่ 1 เดือน โชคดีอีกอย่างของพี่ คือ เป็นเด็กฝึกงานเพียงคนเดียว ในตอนนั้น พี่ๆ เลยให้ความรู้เต็มที่ พวกพี่ๆ เค้าคงเห็นแวว และความตั้งใจ ถามอะไรเกี่ยวกับเพลง พี่ตอบได้หมดเพราะเรา ฟังเพลงเยอะ พอฝึกงานเสร็จหลังจากนั้นอีก 2-3 เดือน พี่ เค้าต้องการพนักงานคนใหม่ที่เข้ามาช่วยงานด้านดูแลศิลปิน เลยติดต่อมา ดีใจสุดๆ คิดในใจเค้าให้เกียรติเราขนาดนี้เลยเห รอ เป็นงานแรกในชีวิตที่ทำ�ให้พี่ได้ตังค์ทั้งที่ยังเรียนไม่จบแต่มี งานทำ�แล้ว พี่ทำ�อยู่ค่าย Black Sheep ตั้งแต่ยุคต้นๆ ตอน นั้นก็มีวง Scrubb,The Peach Band,The Wanderer, Thaitanium, Monotone หลายๆวงอินดี้ในตอนนั้น เรียน จบปุ๊บ พี่เค้าเรียกเข้าไปทำ�งานประจำ� เลยเป็นจุดเริ่มต้นในการ เริ่มเข้ามาทำ�งานในวงการเพลงจนทุกวันนี้ พี่ทำ�งานสายงาน เพลงมาเกือบ 10 ปีได้


ศิลปินกลุ่มแรก/คนแรกที่มาอยู่ภายใต้การดูแลของพี่คือใคร และตอนนั้นพี่รู้สึกยังไงบ้าง ได้เริ่มออกงานจริงๆ ครั้งแรก คือ งานแถลงข่าวเปิดอัลบั้ม ของพี่ปราโมทย์ วิเลปะนะ แต่ที่ได้ร่วมงานจริงๆ จังๆ น่าจะเป็น วง Scrubb และก็มีวง Street Funk Rollers เป็นวงอินดี้ใน ตำ�นานอีกวงหนึ่ง เป็นการทัวร์ Concert ตามมหาวิทยาลัย ช่วง นั้นค่ายเพลงเล็กๆ จะออกทัวร์ตามมหาวิทยาลัยเป็นหลักมากกว่า และอีกวงที่เราได้ร่วมงานแล้วดีใจมาก คือ วง Thaitanium ดนตรีแนวไหนที่พี่แฟรงค์ชอบมากที่สุด และมีดนตรีแนวไหนที่พี่ยัง ไม่เคยทำ� และอยากจะลองทำ� ถ้าแนวเพลงที่ชอบที่สุด คงเป็นแนว Pop Rock จริงๆ เป็นคน ฟังเพลงได้ทุกแนว แต่ถ้าแนวเพลงที่อยากจะลองทำ�งานด้วยคงเป็น แนวเพื่อชีวิต อยากดูแลวงคาราบาวมาก วงคาราบาวเป็นอีกหนึ่ง ในความฝันถ้ามีโอกาสซักครั้งอยากที่จะได้ลองทำ� อยากรู้ว่า ถ้าเรา ต้องเป็นคนดูแลศิลปินอย่าง วงคาราบาว มันจะเป็นยังไง ระบบการ ทำ�งานจะเหมือนศิลปินวัยรุ่นรึเปล่า

คิดยังไงกับคำ�ว่า พี่เป็น A&R ที่เท่มาก ขอบคุณและขอบใจที่หลายๆ คนให้เกียรติ กับเรา คือ ปกติเราก็เป็นคนง่ายๆ สบายๆ แล้วด้วยความที่เราเป็นคนชอบแต่งตัวมั้ง เป็นคน ชอบจับโน่นจับนี่มาผสมกัน Mix & Match ภาพ ลักษณ์เลยอาจจะออกมาอย่างที่เห็นกัน แต่จริงๆ แล้วเราถนัดกับการเป็นคนเบื้องหลังมากกว่า ช่วงที่พักจากงานดนตรี พี่แฟรงค์มีกิจกรรมอะไร บ้างครับ เป็นคนชอบดูฟุตบอล ชอบสโมสรแมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด เชียร์มาตั้งแต่เด็กๆ ถ้าเป็นสโมสรใน เมืองไทยเป็น บุรีรัมย์ ยูไนเต็ด ผูกพันกับฟุตบอล มาแต่เด็กๆ เป็นคนชอบอ่านหนังสือทุกอย่าง อัตชีวประวัติ หนังสือแต่งบ้าน การท่องเที่ยว และ ตอนนี้ที่กำ�ลังชอบ คือ การปั่นจักรยาน ปั่น จักรยานทำ�ให้เราได้อยู่กับตัวเอง มีสมาธิมากขึ้น ได้ ปั่นไปเจอสิ่งต่างๆ สองข้างทาง ซึ่งปกติถ้าเรานั่งรถ มันไม่สามารถสัมผัสความรู้สึกแบบนั้นได้ พอเราปั่น จักรยาน มันได้มิตรภาพ มันเหมือนเป็นสังคมที่คน ไม่รู้จักกัน มาทักทายกัน ชอบความรู้สึกเวลาปั่น ผ่านกันหรือจอดรถติดไฟแดง เราส่งยิ้มและทักทาย กันโดยที่เราก็ไม่เคยรู้จักกันมาก่อน ทำ�ให้เราอิ่มใจ มาก สุขใจเล็กๆ ถ้าเรานั่งอยู่บนรถส่วนตัว คงไม่ได้ ทักทายกัน คงมีแต่บีบแตรใส่กันด้วยความเร่งรีบ ผมเคยได้ยินคำ�กล่าวของอาจารย์ศิลป์ พีระศรี ที่ ท่านบอกไว้ประมาณว่า ดนตรี คือ ศิลปะที่มี อิทธิพลต่อผู้คนมากที่สุด พี่แฟรงค์คิดยังไงกับคำ�นี้ ดนตรีเป็นสิ่งหนึ่งที่ทำ�ให้คนสามารถเปลี่ยนแปลง อะไรได้หลายๆ อย่าง เพลงบางเพลงสามารถ เปลี่ยนชีวิตคนบางคนได้ เนื้อหาบางเพลง เรา สามารถเอามาปรับใช้ในชีวิตประจำ�วันได้ มันทำ�ให้ เรามีพลังสู้และลุกขึ้นต่อ ถ้าวันใดที่คุณฟังเพลง แล้ว เพลงนั้นมันมีอิทธิพล มีความหมายกับคุณ มาก นั่นแหละมันกำ�ลังเปลี่ยนชีวิตคนๆ หนึ่ง พี่มี ความสุขที่ดนตรีสามารถเปลี่ยนเราได้ มีอิทธิพล ต่อคนหลายๆ คนบนโลกนี้ ดนตรีเป็นภาษาสากล ที่ใช้สื่อสารกับคนทั่วโลกได้ แม้ว่าแต่ละคนจะพูดกัน คนละภาษาและด้วยเสียงเพลงทำ�ให้ทุกคนพูดภาษา เดียวกัน ได้มาเจอกัน ทุกวันนี้ที่พี่รู้จักคนหลายคน ก็ต้องขอบคุณเสียงเพลงที่ทำ�ให้เราพบกัน ได้รู้จัก ทีมงาน มีรายการมาสัมภาษณ์


กว่าจะปั้นศิลปิน อย่างแรกเลย คือ ต้องเปิดใจให้กันและกัน เพราะแต่ละคน เกิดมาไม่เหมือนกัน สุดท้ายมันจะอยู่ที่การยอมรับในสิ่ง ที่เค้าเป็นและสิ่งที่เราเป็น ปรับทัศนคติเข้าหากัน วิธีการ ทำ�งานของค่ายเป็นแบบนี้ ศิลปินพร้อมที่จะเดินไปด้วยกัน รึเปล่า ถ้าตรงกัน เราก็จะก้าวไปด้วยกัน ทำ�อะไรก็ง่ายไป ซะทุกอย่าง มีคำ�ๆ หนึ่งที่ผู้ใหญ่ท่านหนึ่งสอนพี่ไว้ เป็นคำ� ที่จำ�ฝังหัวเลยเวลาที่พี่จะคุยกับศิลปินใหม่ “ทำ�อะไรก็ได้แต่ อย่าโกหกศิลปิน ไม่ว่าจะเป็นเรื่องดีหรือแย่” ถ้าเค้าทำ�ดี เราต้องยกย่อง สรรเสริญแต่อย่ายกตนจนเกินเหตุ แต่ถ้า เค้าทำ�ผิด เราก็ต้องติเพื่อก่อ แรงบันดาลใจที่เป็นจริงของพี่แฟรงค์เกิดขึ้นตอนมัธยม 3 พี่เป็นคนที่มีความฝันเยอะมาก ความฝันหนึ่งที่ตัวเอง คิดว่า เราต้องทำ�ให้ได้ คือ ทำ�งานในค่ายเพลง ตอนจบ มัธยมศึกษาปีที่ 3 มันมีทางแยก เราจะเลือกเรียนสาย วิทย์-คณิต หรือ ศิลป์-คำ�นวณ ดีแต่เราตั้งใจไว้แล้วว่า อยากเรียนนิเทศศาสตร์ เราเลยเลือกเรียนศิลป์-คำ�นวณ ซึ่งในการตัดสินใจตอนนั้น พ่อแม่เราก็เห็นแย้งเพราะคิดว่า เหมือนอาชีพเต้นกินรำ�กิน ดูไม่มีอนาคต อยากให้เป็นหมอ เป็นวิศวกร แต่เรารู้หัวใจตัวเองแล้วว่า หัวเราไม่ไปทาง นั้น มันไม่ใช่ตัวของเราเลย ถ้าเราทำ�ตามความฝันของพ่อ แม่ แต่สุดท้ายมันไม่ตอบโจทย์ความต้องการของหัวใจ ก็ ตัดสินใจเลยว่า ซักวันหนึ่งเราจะทำ�ให้เค้าเห็นว่า อาชีพ นี้สามารถเลี้ยงตัวเราเองได้ ทุกวันนี้เราดีใจที่ได้ก้าวข้าม ผ่านอุปสรรคตรงนั้นมาได้ แต่กว่าจะมาถึงจุดนี้ได้ ต้อง ผ่านอะไรมามากมาย ซึ่งตอนนี้ก็ยังไม่ถึงที่สุด ไม่เคยคิด ว่า ตัวเองเก่ง มีความสามารถ เพราะเราเห็นรุ่นพี่ทุกคน

ที่เค้าผ่านมาในวงการเพลงหลายๆ คน มีประสบการณ์ ที่เยอะกว่าเราอีกตั้งมากมาย แต่การเดินทางของพี่มัน เหมือนยังมาแค่ครึ่งทาง ซึ่งในวงการนี้มีอะไรให้เราได้เรียน รู้อีกเยอะ มีทั้งล้มและลุก ท้อได้แต่อย่าถอย จะบอกตัว เองอย่างนี้มาตลอด ตอนนี้ประสบการณ์พี่ยังน้อยมากถ้า เทียบกับอีกหลายคนแต่เราพร้อมที่จะเรียนรู้ตลอดเวลา


ถ้าวันใดที่คุณฟังเพลงแล้ว เพลงนั้นมันมีอิทธิพล มีความหมายกับคุณมาก นั่นแหละ มันกำ�ลังเปลี่ยนชีวิตคนๆ หนึ่ง


เหตุการณ์ประทับใจที่เกิดขึ้นในระหว่างการเป็น A&R ได้ทำ�งานกับศิลปินที่เราไม่คาดคิดว่าจะได้มาดูแล วันหนึ่งเรา แค่เป็นคนธรรมดา เด็กบ้านนอกที่อยู่ต่างจังหวัด วันหนึ่งเรา ยังมองศิลปินวงนี้เป็นไอดอลอยู่เลย อยู่ๆ เราก็ได้ทำ�งานกับ เค้า คือ มันมีความสุขมาก มีอยู่วงหนึ่งที่พี่รู้สึกภูมิใจมาก ที่ได้ร่วมงาน คือ วง Moderndog พี่คิดว่าวงของพวก พี่เค้าเป็นวงดนตรีที่เป็นไอดอลของเด็กไทยหลายๆ คน อีก วง คือ วง Scrubb เพราะเราชอบผลงานเพลงของวงนี้อยู่ แล้ว เป็นไอดอลยุคใหม่สำ�หรับเด็กยุคนั้น เคยฝันว่า อยาก ร่วมงานกันกับศิลปินวงนี้และฝันก็เป็นจริง จะมีซักกี่คนที่ได้ ทำ�งานที่ตัวเองรักกับศิลปินวงโปรดที่เราชื่นชอบ เลยทำ�ให้ รู้สึกดีเมื่อนึกถึงมัน อยากให้มีอะไรใหม่ๆ ในวงการเพลง อยากให้มีพื้นที่มากพอกับวงดนตรีวงเล็กๆ ทุกวันนี้ค่าย เพลงมีเด็กเก่งๆ ฝีมือดีๆ ขึ้นมาเยอะมาก การแข่งขันสูงมาก ศักยภาพของแต่ละค่ายสามารถรับศิลปินได้จำ�นวนจำ�กัด ต้องยอมรับว่า ทุกวันนี้กว่าที่ศิลปินวงหนึ่งจะมีชื่อเสียงได้ มันต้องมีหลายอย่างมาคอยสนับสนุน ทั้งสื่อ แฟนเพลง แต่ วงเล็กๆ ไม่สามารถทำ�อย่างนั้นได้ เป็นเรื่องยากมากสำ�หรับ วงดนตรีวงเล็ก เค้าจะโตแต่โตไม่สุด ในอนาคตอยากให้เมือง ไทยมีพวกสื่อต่างๆ ที่ยอมรับศิลปินรุ่นใหม่ พี่เชื่อว่า ในเมือง ไทยมีศิลปินดีๆ เยอะมาก แต่มันไม่มีพื้นที่ที่มากพอ อยากให้ มีพื้นที่เพื่อให้น้องๆ นักดนตรีต่อยอดงานสายดนตรี ไม่เฉพาะ นักดนตรีเท่านั้น อาจจะรวมถึง Producer นักแต่งเพลง อยากให้วงการนี้มี Community แบบนี้เกิดขึ้น อยากเห็น วันหนึ่งที่พวกเค้าประสบผลสำ�เร็จโดยเริ่มจากจุดเล็กๆ ที่เค้า เริ่มสร้างมา เป็นความฝันที่คิดอยู่เพราะว่า ทุกวันนี้น้องๆ นักดนตรีที่ส่ง Demo มาเยอะมากแต่เราไม่สามารถประคองและสร้างความ ฝันให้กับทุกคนได้หมด คือ เมื่อเราเห็นความตั้งใจของน้องๆ เราก็รู้สึกเสียดายในฝีมือและควรจะมีโอกาสที่มากกว่านี้


ธุรกิจวงการเพลงในปัจจุบัน รายได้หลักของศิลปินตอนนี้มาจากการแสดงสด CD เพลงตอนนี้เหมือนกับของ Premium เป็นของสะสมของ คนรักในตัวศิลปินมากกว่า เพลงไหนดังก็จะมียอด Digital Download สูงๆ สามารถทำ�เงินให้ศิลปินได้ แต่ถามว่า เพลงทุกเพลงจะดังได้หมดไหม คำ�ตอบ คือ ไม่ใช่ เพลงดี ย่อมเป็นส่วนสำ�คัญในวงการเพลง แต่ถ้าเพลงดีและไม่มี การสนับสนุน ไม่มีการกระจายตามสื่อต่างๆ แฟนเพลงไม่ ได้ตามไปดูโชว์ ก็เกิดยาก ถ้าเพลงไหนติดชาร์ต ศิลปินก็ จะมีงานเข้ามาเรื่อย Concert งาน Event ต่างๆ เข้า มา คือ มันสามารถทำ�ให้ศิลปินวงหนึ่งที่ไม่มีอะไรเลย ก้าว ขึ้นมาและต่อยอดได้ ทุกวันนี้ค่ายเพลงเยอะมากแต่ศิลปินที่ จะดังและสามารถต่ออายุ ยืนได้นานๆ ต้องใช้เวลาพิสูจน์ ค่อนข้างนาน A&R มีส่วนผลักดันผลงานเพลงของศิลปิน มีครับ เช่น ศิลปินวงนี้สามารถต่อยอดงานเพลงได้ไหม เป็นพรีเซ็นเตอร์ แต่งเพลงโฆษณา ประกอบหนัง ประกอบ ละคร เพลงของเราถูกกับ Product ตัวไหนแล้วภาพ ลักษณ์ของศิลปินไม่เสีย ทาง A&R จะเป็นคนดูภาพรวม ให้เหมือนกัน และก็มีทางทีมฝ่าย Marketing ที่ช่วยกัน ดู เพลงทุกเพลงทำ�มา เราก็อยากให้มีคนฟังให้มากที่สุด ไม่ อยากให้เพลงของเราจำ�กัดแค่คนกลุ่มเล็กๆ

อะไรคือสิ่งที่ดีที่สุดในการเป็น A&R ครับ การที่เราได้อยู่กับเสียงเพลงที่เราชื่นชอบและศิลปินที่เรา ชื่นชม เป็นความรู้สึกที่น้อยคนจะได้รับโอกาสแบบนั้น แต่ เราได้มีโอกาสมายืนตรงจุดนี้ เราได้มีส่วนร่วมในการ กำ�หนดทางเดินของน้องๆ นักดนตรีตั้งแต่วันแรกที่เค้า ไม่มีอะไรเลยจนกระทั่งวันหนึ่งที่เค้าประสบความสำ�เร็จ มัน เปรียบเสมือนเป็นอาชีพครู แต่ถ้าเพลงวงหนึ่งจะดีได้ มัน ขึ้นอยู่กับการสนับสนุนหลายๆ อย่าง ทั้งศิลปิน ทั้งค่าย เพลง อีกอย่างหนึ่งที่รู้สึกโชคดี คือ ได้เจอแฟนเพลงที่น่า รักหลายคน คนที่พร้อมจะฟังเพลง และพร้อมจะไปดูโชว์ ของพวกเรา



d book

ฉบับนี้ เป็นฉบับเดือนแห่งความรัก ก็อยากจะขอ แนะนำ�หนังสือหน้าปกสีเหลืองสดใส ที่ไม่ว่าคุณจะอินเลิฟ อกหัก รักคุด ตุ๊ดเมินหรืออะไร ก็ตาม แต่ถ้าคุณได้ลองเปิดอ่านหนังสือ มะม่วงจัง ของพี่ตั้ม วิศุทธิ์ พรนิมิตร สำ�นักพิมพ์ a book แล้วละก็ รับรองค่ะว่า ใบหน้าของคุณ จะเต็มไปด้วยรอยยิ้มตั้งแต่หน้าแรกจนหน้าสุดท้าย แน่นอน หนังสือมะม่วงจังนี้ เป็นหนังสือรวมเล่มภาพการ์ตูน 4 ช่อง ที่มีคาแรกเตอร์มะม่วงที่น่ารัก ชวนให้คุณ หลงรัก ซึ่งพี่ตั้มวาดมาตั้งแต่สมัยปี 2003 ตอนที่ ยังอยู่ที่ญี่ปุ่น ซึ่งเนื้อหานั้นสั้น เรียบ อ่านง่าย แต่ แฝงไปด้วยข้อคิดมากมายเลยค่ะ

คุณพร้อมที่จะ หลงรักมะม่วงจัง หรือยังคะ ?

review by พิรญาณ์

นุชอำ�พันธุ์


d


story and photo by Kat


On one fine day with the very nice weather along the Ping river of Chiangmai I sat back and delicately nibbled the homemade New York Cheesecake along with Assam tea. The morning sunlight shined thru the clear glass making the golden tea gleam. The glittering moved my eyes to take a closer glance; the curvy glass turned itself into a magnifier. Through that the tea bag looks bigger and its tag gently uncovered itself to say “Yorkshire gold”. My doubts rose. New York cheesecake and York tea! Wow, it’s kinda nice I’ve got Double York here as my company but why, why York?


0


0 free on your style

UNDO MAGAZINE เปิดพื้นที่ปล่อยของสำ�หรับน้องๆ ที่ต้องการ ส่งผลงาน บทความ เรื่องสั้น ศิลปะ งานภาพ ประกอบ หนังสั้น Motion Graphics ฯลฯ undomagazine@gmail.com


game

Story & Photo by daywalker

สวัสดีครับเพื่อนๆ ชาว UNDO Magazine ทุกท่าน มาพบกันอีกแล้ว หลังจากปีใหม่จีน ขอให้เพื่อนๆ คนไทยเชื้อสายจีนทุกท่านมีความสุขและ เฮง เฮง ตลอดปีใหม่นี้เลยครับ ฉบับนี้ผมก็มีเกม PS Vita มานำ�เสนอ กับเพื่อนๆ เหมือนเคยครับ อาจจะออกมาได้ซํกระยะเวลาหนึ่งแล้ว แต่ ผมเพิ่งจะปลีกเวลามาเล่นเกมนี้เอง เพราะติดหนึบหนับกับ Persona ที่แนะนำ�ไปในฉบับก่อนมากมาย เกมที่จะนำ�เสนอในครั้งนี้ก็คือ Ragnarok Odyssey ครับ ชื่อเกมน่า จะคุ้นๆ หูเพื่อนที่เล่นเกมออนไลน์ในยุคก่อนๆ พอสมควรเลยใช่มั๊ยครับ อิ อิ ลองมารำ�ลึกบรรยากาศเก่าๆ ด้วย opening movie ของเกม นี้ก่อนเลยครับ

อลังการตื่นตาตื่นใจกับ vdo กันไปแล้ว ทีนี้มาตื่นตาตื่นใจกับ ระบบการเล่นที่แสนคุ้นเคยกับภาพที่สวยงามสมกับเป็นเกมยุคนี้กันเลยครับ


ขอบคุณภาพจาก www.dektidgame.com ครับ

Ragnarok Odessey เป็นเกมแนว Action-RPG ที่เราต้องสมบทบาทเป็นตัว ละครอาชีพต่างๆ ออกล่ามอนสเตอร์ ตะลุยไปในแผนที่ต่างๆ หาไอเท็มมาอัพความสามารถ รวมถึงอาวุธและชุดแต่งกายของเรา เพียงอ่านถึงแค่นี้ เชื่อว่าเพื​ือนๆ หลายท่านคงจะนึกถึง เกมซีรีย์ดังขึ้นมา ใช่เลยครับ ระบบและแนวทางการเล่นเรียกได้ว่าเป็นแนวมอนฮันแบบที่ หลายๆ คนให้คำ�นิยาม เกมที่สามารถรวมปาร์ตี้ได้ 4 คน ออกตามล่ามอนสเตอร์ หาของ มาตีเกราะตีอาวุธอัพเกรดความสามารถ ไม่ว่าจะออกมาเป็นเกมอะไร ก็ไม่แคล้วถูกนำ�ไป เปรียบเทียบว่าเป็นเกมแนวมอนฮันทุกที ^^


เริ่มต้นเกมมา เราก็สามารถสร้างตัวละครของเราได้ โดยมีฟังก์ชั่นปรับแต่งหน้าตา สีผิว ทรงผมกันได้ละเอียดพอสมควร แต่ผมลองสร้างตัวละครต่างๆ อาชีพกัน 3-4 ตัว พบว่า มันยังไม่ค่อยสร้างความแตกต่างของคาแร๊คเตอร์ได้มากซักเท่าไหร่นัก เพราะค่าตั้งต้น ที่ให้มามีที่สวยงามน่าหยิบมาลองใช้ยังไม่หลากหลายโดนใจเท่าไหร่ แต่โดยรวมก็ถือว่า ใช้ได้ ครับ ออกแนว J-Rock ตามสูตร อาชีพต่างๆ ที่สร้างได้ 6 อาชีพนะครับ แต่ละอาชีพก็จะมีจุดเด่นจุดด้อยที่แตกต่าง กันไปตามสไตล์ของเกมสร้างปาร์ตี้แบบนี้ - Sword Warrior นักรบ ใช้ดาบใหญ่ 2 มือ - Assassin นักฆ่า ใช้อาวุธทั้ง 2 มือ - Hunter นักล่า ใช้ธนูเป็นอาวุธ - Mage นักเวทย์ ใช้ไม้เท้าเป็นอาวุธ - Hammersmith ช่างตีเหล็ก ใช้ค้อนยักษ์เป็นอาวุธ - Cleric นักบวช ใช้โล่และคธาเป็นอาวุธ หลังจากสร้างตัวละครที่เราชื่นชอบเสร็จแล้ว ก็เริ่มต้นเกมในเมือง โดยเราสามารถ บังคับตัวละครให้เข้าไปคุยกับคนอื่นๆ ได้ ในห้องรับเควสก็จะมีผู้ที่คอยให้การช่วยเหลือเราอ ยุ่ตรงเคาท์เตอร์ 3 สาว มีทั้ง การ์ดความสามารถ ไอเท็มช่วยเหลือ และรับเควสต่างๆ ซึ่ง ผมเชื่อว่าลูปการเล่นของเพื่อนๆ ก็คงไม่แคล้วรับเควสแล้วก็ออกประตูข้างๆ ไปทำ�เควส กลับ มาอัพเกรดความสามารถของเรา รับเควสแล้วออกไปทำ�เควสให้ตามสูตร 555

ขอบคุณภาพจาก www.flashfly.net


จุดที่น่าจะเป็นไฮไลท์ของเกมนี้ก็คงเป็นการปราบ บอสที่ยิ่งใหญ่อลังการสมกับที่เป็น Ragnarok แน่นอน ระบบ online จะช่วยให้เราสามารถรวมปาร์ตี้ที่เหมาะ สม ช่วยกันต่อสู้ ช่วยเหลือกันให้ฝ่าฟันกับบอสแต่ละตัว ไปได้ ซึ่งตอนนี้ผมยังเล่นอยุ่แค่ offline mode รู้สึก เหมือนกันครับว่าบอสนั้นปราบยากน่าดูชมเลย ระบบ ของเกมนี้อนุญาตให้เราพกไอเท็มช่วยเหลือไปได้แค่ 3 ชนิดเท่านั้น และแต่ละชนิดจะสามารถพกพาได้จำ�นวนไม่ เท่ากัน เรียกได้ว่าวางแผนมาไม่ดีมีสิทธิม่องได้ง่ายๆ เลย

ขอบคุณภาพจาก www.flashfly.net

การอัพเกรดความสามารถของตัวละครนั้นต้องใช้การ อัพเกรดอาวุธของเรา ซื้อจากร้านค้าหรือของดร๊อปจากมอนสเตอร์ ใช้การสวมใส่การ์ดเข้าไปในชุดของเราเพื่อเพิ่มค่าสเตตัสต่างๆ รวม ถึงทำ�ไอเท็มสวมใส่จากวัตถุดิบที่มอนส์เตอร์แต่ละตัวดร๊อปไว้ ไม่แตก ต่างไปจากระบบมอนฮันที่คุ้นเคยเลย


เรียกได้ว่าน่าสนใจมากๆ เลยครับสำ�หรับคนที่ยังไม่เคยเล่นเกมแนวมอนฮันแบบนี้ เพราะระบบเข้าใจง่าย ปุ่มบังคับฝึกความคุ้นเคยซะหน่อยเท่านั้น การต่อท่าคอมโบใช้เพียงแค่ 2 ปุ่ม สามเหลี่ยมกับวงกลมเท่านั้น ซึ่งอาชีพแต่ละอาชีพก็จะมีคอมโบที่แตกต่างกัน กดได้ไม่ ยากเท่าไหร่นัก กราฟิคที่สวยงามสมราคา การโหลดเกมที่รวดเร็ว เสียอย่างเดียวที่บอสค่อน ข้างยากไปหน่อยถ้าจะเล่นคนเดียว พาลจะถอดใจซะก่อน ส่วนคนที่คุ้นเคยกับระบบมอนฮันอยุ่แล้ว อาจจะรู้สึกว่า Ragnarok นั้นดูค่อนข้าง จืดจางไปเทียบกับมอนฮันแบบดั้งเดิมที่เข้มข้นมากกว่า มีมิติความลึกมากกว่า อันนี้ก็เป็น ข้อมูลไว้อีกมุมมองหนึ่งละกันครับ

ขอบคุณ www.senpaigamer.com

โดยส่วนตัวคิดว่าเป็นเกมที่น่าสนใจมากๆครับ ยิ่งเอาไว้ติดเครื่องเก็บเลเวลไป เรื่อยๆ ถ้ามีกลุ่มเพื่อนๆ ที่เล่น RO ด้วยกันก็สบายเลย จอยกันช่วยกันปราบบอสได้ สบายขึ้นเยอะ เดี๋ยวต้องขอตัวไปฝ่าฟันบอสก่อนครับ ลุยเดี่ยวไม่รอดซักที สงสัยจะได้ใช้บริการ ออนไลน์กับเค้าบ้างแล้ว ฉบับหน้ามีเกมอะไรน่าสนใจ จะหยิบมาแนะนำ�กันใหม่ครับ


cooking

ข้าวผัดมันกุ้งกากหมู

1 นำ�มันหมูที่หั่นเป็นชิ้นเล็กๆ ใส่ลงในกระทะ เติมน้ำ� เปล่าเล็กน้อยพอท่วม

2 เปิดไฟกลาง และตั้งทิ้งไว้ไปเรื่อยๆ �

4

Story & Photo by Kik

จนน้ำ�เริ่มหมดและน้ำ�มันจากมันหมูจะออกมาเอง โดยให้หมั่นคนเพื่อไม่ให้เพื่อไม่ให้กากหมูติดก้นกระทะ

3 จนกระทั่งกากหมูเป็นสีเหลืองทอง ก็ตักขึ้นและพักไว้ให้สะเด็ดน้ำ�มัน

นำ�ข้าวสวยใส่ลงในกระทะ ตามด้วยมันกุ้ง ปรุงรสด้วยน้ำ�มันหอย พริกไทย น้ำ�ปลาเล็ก น้อย

5 ใส่ผักคะน้าหั่นฝอย เฉพาะส่วนใบ ลงไปผัด กับข้าวให้พอสุก

6

นำ�กากหมูที่พักไว้ ทานคู่กับข้าวผัดมันกุ้ง และเพิ่มเครื่องเคียงด้วย พริกขี้หนูซอย มะนาว และ หอมเจียว


student life

สวัสดีค่ะ...สำ�หรับแขกรับเชิญคนที่สามนั้น เป็นนักศึกษาจากรั้วธรรมศาสตร์ ดูจากรูป เธอแล้วเชื่อว่าหลายๆ คนต้องตีความใบหน้า เธอเป็นนักวิชาการตัวยงแน่ๆ แต่เชื่อไหมคะ ว่า เธอคนนี้แหละ นักกิจกรรมดีเด่นแห่งสุร นารีวิทยาเลยทีเดียว แม้วันนี้เธอจะจบจาก โรงเรียนมัธยมปลายก้าวเข้าสู่รั้วเหลืองแดง ไปแล้ว แต่นุ่นก็ยังไม่วายทำ�สิ่งที่คาไว้ในใจมา ตลอด คือการได้พูดคุยแบบจริงๆ จังๆ หลัง จากได้ร่วมงานพิธีกรกันครั้งหนึ่งกับผู้หญิง คนนี้...มิว ชนมน ทองพิลา นักศึกษาชั้น ปีที่1 คณะพาณิชยศาสตร์และการบัญชี มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ค่ะ ก่อนที่จะเริ่มอ่านความคิดในใจของสาวน้อย ผู้หลงใหลในตัวเลข ก่อนจะมองว่าเธอเป็น อย่างไรในสายตา นุ่นต้องบอกคำ�นี้ก่อนนะคะ ว่า “กรุณาฟังให้จบ แล้วจะบวกจะลบก็ตาม ใจ” ...

story and photo by Noontide Puttaraporn

การค้นพบเส้นทางของตัวเอง มิวเป็นคนชอบอยู่กับตัวเลข แล้วก็ลองหาข้อมูลดูว่า วิชาไหนจะเข้ากับตัวเองที่สุด ก็เลยมาจบที่ บัญชี ด้วยหางานง่ายด้วยส่วนหนึ่ง ที่ต้องเป็นธรรมศาสตร์ก็เพราะว่า บัญชีที่ธรรมศาสตร์เป็นสี่ คณะแรกที่ก่อตั้ง มีชื่อเสียง คนส่วนใหญ่ที่จบมาจากธรรมศาสตร์ก็จะมีงานดีๆ ทำ�ในอนาคตรู้ตัว เองก็เพิ่งรู้ตอน ม.6 นี่แหละ จริงๆ ตอนแรกว่าจะไปทางสายแพทย์ จากประสบการณ์ที่ผ่านมา พวกทำ�แล็ป ลองผ่าตัด ผ่ากบ ผ่าปลา มีครั้งนึงกลัวมาก...เป็นลม เลยไม่เอาแล้วทางนั้น หันมา เอาทางนี้ พวกบัญชีแทน นอกจากนี้ยังสนใจอะไรอีกบ้าง? สนใจพวกคอม อิเลกทรอนิค เหมือนขาดไม่ได้ ต้องติดตามข่าวสาร ต้องเข้าเด็กดี (www.dekd.com) ดูข่าว ชอบด้าน IT ถึงสอบวิทยาการคอมไง ตอนนั้นก็อ่านหนังสือเกี่ยวกับคอม แต่ก็ ไม่ได้ขนาดซ่อมคอมได้ ก็แค่ Photoshop พิมพ์งาน ที่ทำ�ได้ คือชอบด้านไอที แต่ถนัดและตั้งใจเข้าศึกษาด้านบัญชีมากกว่า ใช่ THE IDOL…คนบันดาลใจ เจ้าสัว C.P. ธนินทร์ เจียรวนนท์ ที่ชอบเขาก็เพราะว่า เขาเป็นคนจีน คนจีนส่วนใหญ่จะมีกลยุทธกลเม็ดในการบริหารคน ทำ�ให้ธุรกิจประสบความสำ�เร็จ โดยใช้หลักการบริหารคนเป็นหลักในการบริหารงานทั้งหมด ก็เลยชอบ


เป็นลูกแม่โดมด้วย...โครงการจิตอาสาและประชาธิปไตย อันดับแรกส่ง Portfolio ไป แล้วก็คัดเลือกจาก 70 คนเหลือ ประมาณ10 คนไปเข้าค่าย เขาก็ดูหลักกระบวนการคิดในค่าย ให้หัวข้อมาเป็นปัญหาเกี่ยวกับประเทศไทย ให้เราแก้ปัญหากันใน กลุ่มแล้วก็ให้คะแนน พอประกาศออกมาก็ได้

หน่อยตอนก่อนนอนท่องสูตรตรีโกณ สามทุ่มถึงสี่ทุ่ม ท่องสูตร ตรีโกณ ทวนเลขไป ได้แค่ไหนแค่นั้น ไม่ได้กดดันตัวเอง ค่อยๆ อ่านไปทีละวิชา ถ้าวันนึงอ่านสังคม วันรุ่งขึ้นอ่านภาษาไทย จะ ลืมสังคม เลยอ่านสังคมไป 3-4 วันติดกัน แล้วค่อนมาอ่าน ภาษาไทยสองวัน มันน่าจะโอ.เค.กว่า

ความจำ�เป็นที่ต้องมีผลงานระดับ TOP หรือเปล่า สาวมิวเล่า ว่า... มีคนปานกลางนะ คือ พูดไม่ค่อยเก่งมากแต่ทำ�ผลงานมาเยอะ คนที่เป็นแค่คณะกรรมการหรือแค่ช่วยงานนิดหน่อย แต่ว่าผล งานเขาโอ.เค. ก็ได้รับคัดเลือกมาเหมือนกัน แต่ส่วนใหญ่จะเป็น ประธานซะมากกว่า

เวลาของชีวิต จริงๆ มิวไม่ได้แบ่งเวลาแบบตายตัว มิวคิดว่าถ้าแบ่งเวลาปั๊บ แบ่งไปเรียน แบ่งให้ครอบครัว แบ่งให้ตัวเอง สุดท้ายของตัวเอง มันจะเหลือนิดเดียว มิวคิดว่าตอนที่เราอยู่กับครอบครัวก็ถือว่า เป็นเวลาของเราด้วย ใช้เวลาทำ�กิจกรรมของเราด้วยพร้อมกับ ครอบครัว

ถนนสายสอบ (ตรง) สอบเยอะมาก สอบทั้งรับตรง มศว (วิทยาการคอมพิวเตอร์) สอบมหิดล (ICT) IT ของ มทส. นิติ มข. แล้วก็อันนี้แหละ บัญชี ธรรมศาสตร์ สอบเกือบทุกอย่างก่อนที่จะแอดมิชชั่น (ติดอะไรบ้าง) ก็ติดหมดนะ (โหหหห>> เสียงความอึ้งจากคน สัมภาษณ์ ฮ่าๆๆ) แต่ว่าไม่ใช่ทางที่ชอบ ตอนสอบ มศว เป็น สนามแรก ยังไม่ทันได้อ่านหนังสือ สงสัยมิวเลือกคณะที่คนไม่ ค่อยสอบด้วยแหละ เลือกวิทยาการคอม ก็เลยฟลุ้กติดด้วย ต่อ มาก็เริ่มอ่านเยอะ จะเน้นไปที่เลขกับอังกฤษมากกว่า เทคนิค อ่านตอนแรกมิวจะอ่านก่อนรอบนึง สมมติว่า มี 40 บท ก็ จะอ่านบทที่ 1จบก่อนรอบหนึ่ง แล้วก็เอามาสรุปอีกทีเท่าที่ได้ สรุป short note ไว้แล้วมาอ่านบทที่ 2 เสร็จปั๊บก็ short note ไว้เหมือนกัน นึกทวนบทที่ 1ดูซิว่า มันเชื่อมโยงกับบท ที่2ยังไง

การเรียนไม่ตกทั้งๆ ที่ทำ�กิจกรรม มิวว่าขึ้นอยู่กับเพื่อนด้วย เพื่อนช่วยตามงาน เวลาไม่เข้าใจก็ ถามเพื่อน ช่วงที่ทำ�งาน (กิจกรรม) ตอน ม.5 ก็เน้นเพื่อนเป็น หลัก

เวลาการอ่านหนังสือ...ที่แต่ละคนมีไม่เหมือนกัน ไม่ได้คำ�นึงถึงว่ามันคุ้มที่สุด ถ้าอ่านแล้วเหนื่อยก็คือพัก มันจะ ทำ�ให้อ่านได้เรื่อยๆ มากกว่า ถ้าอ่านแล้วล้า ก็หยิบการ์ตูนบ้าง ๆ ไปเล่นกับหมาบ้าง มันน่าจะ โอ.เค.กว่า ส่วนใหญ่มิวจะชอบ อ่านตอนเช้า ก็คือช่วงประมาณแปดโมงถึงสี่โมงเย็น ถ้าให้อ่าน ตอนกลางคืน ที่เพื่อนอ่านตั้งแต่เที่ยงคืนถึงตีห้าอย่างเนี้ยไม่ไหว ไม่ได้ อ่านได้แต่ตอนเช้า แม้กิจกรรมจะแน่นขนัด แต่ด้วยความเป็นนักจัดการตัวยง เธอ ก็ยังแบ่งเวลามาอ่านหนังสือได้ไม่มีข้ออ้าง ด้วยการทยอยอ่าน หรือใช้วิธีอื่นอย่างไร ต้องติดตามค่ะ ก็ทยอย แต่น้อยมาก ส่วนใหญ่จะทำ�กิจกรรมเยอะ อาจารย์จะ เห็นใจช่วงประมาณ3เดือนก่อนสอบ GAT-PAT อาจารย์ก็ จะเพลาๆ ลง ช่วยน้องก็หยุดช่วยก่อนก็ได้ไปอ่านหนังสือ แล้ว ก็มีช่วงนึงที่หยุดโรงเรียนบ่อยๆ ก็จะอ่านช่วงนั้นแหละ มิวจะ อ่านช่วงแปดโมงถึงเที่ยง พักกินข้าว แล้วก็อ่านบ่ายโมงถึงบ่าย สามกว่า แล้วก็เลิกอ่านเลยไปอ่านอีกทีวันรุ่งขึ้น มีอ่านทวนนิด

ถามความเห็นเธอว่า การประสบความสำ�เร็จ มีเรื่องความ พร้อมเข้ามาเอี่ยวด้วยหรือเปล่า เธอแสดงความคิดชัดเจนว่า... มันก็เกี่ยวนะ เวลาคนเราจะประสบความสำ�เร็จได้ มันต้องมา จากหลายส่วน ทั้งครอบครัว ทั้งเพื่อน ทั้งพื้นฐานจิตใจของ ตัวเอง ว่าเราพร้อมที่จะทำ�กิจกรรมเพื่อคนอื่นหรือเปล่า หรือ พร้อมที่จะเรียนหรือเปล่า มิวยอมรับนะว่ามันเกี่ยวกับสภาพ แวดล้อมด้วย ถ้ามีความพร้อมถึงจะทำ�ได้ หมายถึงความ พร้อมทั่วๆ ไปนะไม่ใช่ด้านการเงิน การบ้าน...เรื่องสำ�คัญที่ทิ้งไม่ได้ จะมีเวลาที่จะได้เข้าห้องเรียนบ้างนิดหน่อย ส่วนใหญ่จะทำ�งาน เสร็จในคาบเลย ยกเว้นงานกลุ่มก็จะนัดวันเสาร์-วันอาทิตย์ สองชั่วโมง สามชั่วโมง นัดกับเพื่อนมาทำ�ที่บ้าน ส่วนใหญ่ก็ จะทำ�ที่บ้านมิวนี่แหละเพราะว่า อุปกรณ์พวกเครื่องปริ้นท์จะมี พร้อม ก็จะทำ�ที่เดียว มีสถานที่ถ่าย มีกล้องวีดีโอ งานกลุ่มก็ เลยจะเสร็จเร็ว ส่วนงานเดี่ยวก็จะทำ�ในคาบ หรือไม่ก็หาเวลา ว่างจากตอนที่ทำ�กิจกรรมนี่แหละ จะมีช่วงพักนิดนึงก็เอาขึ้น มาทำ� ผลักดันในวัยเยาว์...ที่มีผลยาวมาจนวัยรุ่น มันขึ้นอยู่กับครูด้วยนะ ถ้าตอนอยู่อนุบาลถ้าครูไม่สนับสนุนหรือ ไม่เห็นแวว ก็จะเป็นเด็กธรรมดา ส่วนใหญ่ของมิวจะเป็นเขียน เรียงความส่งประกวดในโรงเรียนนี่แหละ เขียนเรียงความบ้าง ผลการเรียนดีอะไรอย่างนี้ประกวดกันในสายชั้นซะมากกว่า ไม่ ได้ไปเพชรยอดมงกุฎ ไม่ขนาดนั้น ไม่ได้เด่นด้านในด้านหนึ่ง เป็น ภาพรวมไม่ได้เจาะจงเฉพาะ


แน่นอนว่ามาถึงจุดนี้ หลายคนต้องมองว่ามิวเป็นตัวอย่างที่ดีอยู่ แล้ว มิวคิดว่าด้านใดของตัวเองที่น่านำ�มาปรับใช้เป็นแบบอย่าง มากที่สุด? น่าจะเป็นด้านกิจกรรมนี่แหละ เห็นจากน้องๆ พวกคณะ กรรมการ จะเรียนมากไปนิดนึง อย่างตอนเรียนพิเศษ มัน ก็ต้องเสียสละเวลานิดนึงมาทำ�เพื่อส่วนรวม อยากให้น้องเอา แบบอย่างของมิวในด้านที่ไม่ได้ห่วงหรือพะวงกับการเรียนมาก ไป มันอาจจะตกหล่นบ้างนิดหน่อย สังคม ภาษาไทย ตกไป จุดห้า(ทศนิยม) มันก็ไม่ได้มีผลอะไรกับชีวิตเรามาก อย่าไปติด กับเกรดมาก เพราะว่าจริงๆแล้วอันที่มันสำ�คัญจริงๆ ก็คือ ประสบการณ์ที่เราได้ในวัยเรียนมากกว่า

m

ของสาวมิวกันค่ะ อังกฤษมิวอ่านเอง เอาความรู้จากตอนที่เรียนอาร์เทค (โรงเรียน กวดวิชายอดนิยมของนักเรียนโคราช) มิวเรียนถึงแค่ ม.5 เรียนกับอาจารย์น้อย อาจารย์จะสอนแกรมม่า มีได้พูดบ้างนิด หน่อย ส่วนใหญ่จะเน้นแกรมม่าเพราะว่าเน้นด้านสอบ ก็เลย เอาความรู้เนี่ยอ่านทวนไปเรื่อยๆ ดูข้อสอบ ซื้อหนังสือมาอ่าน หนังสือ O-NET หนังสือ GAT ซื้อมาทำ�ข้อสอบเอง ที่มิวได้ ดีมาทุกวันนี้ (วิชาภาษาอังกฤษ) คิดว่าเป็นเพราะอาจารย์น้อย อาจารย์จะปูพื้นฐานตั้งแต่พื้นมากๆ มิวก็จะอ่านแกรมม่าแล้วทำ� ข้อสอบเลย อ่านปั๊บทำ� ถ้าไม่เข้าใจข้อไหน ก็ไปเจาะเฉพาะเรื่อง ที่ไม่เข้าใจ แล้วก็ท่องบ่อยๆ เพราะอังกฤษจะต้องเน้นศัพท์ ท่อง ศัพท์อันนี้อาจารย์น้อยก็บังคับ อาจารย์น้อยจะมีสมุดศัพท์อยู่ ทำ�งานต้องทำ�ให้เสร็จ ไม่คาราคาซัง นี่หรือเปล่านิสัยสาวมิว? เล่มนึง มีคำ�ศัพท์ไว้แล้วเว้นคำ�แปล บางอันก็เว้นคำ�ศัพท์ แต่ ใช่ๆ อย่างนั้นแหละ (หัวเราะเล็กๆ) มีคำ�แปลให้ ก็ลองฝึกทำ� หรือเราอยากทำ�เองก็ได้คืออาจจะให้ เพื่อนช่วยกัน เอาคำ�ศัพท์มาหนึ่งคำ� เว้นคำ�แปลไว้ แล้วก็ให้ คุยถึงการกวดวิชา...เรื่องยอดฮิตติดเทรนด์ตลอดกาลของ เพื่อนที่เป็นคู่กันน่ะเปลี่ยนกันทำ� เป็นการเล่นเกมส์มากกว่า ไม่ นักเรียนไทยกันบ้าง คิดเห็นอย่างไรกัน ได้ท่องแบบวันนี้ห้าคำ� พรุ่งนี้ห้าคำ� มิวว่ามันกดดันตัวเอง เพื่อ ถ้าเราเลือกเรียนกับที่สอบมันก็ โอ.เค. ถ้าเรียนเยอะเกินไป จะ นมิวมีคนเอาพจนานุกรมมาทายกันเลย คำ�นี้แปลว่าอะไร แก กลายเป็นว่ามันมายุ่งกับชีวิตเรามาก จนไม่มีเวลาไปทำ�อย่างอื่น อ่านสิบนาทีหน้านี้นะแล้วลองทายกันดู เอาให้มันสนุกๆ เลย เพราะฉะนั้นมิวว่าเลือกดูเนื้อหาที่มันจำ�เป็นในการเอ็นท์ก็พอ เลขนี่ตอนเรียนก็ผ่านๆไปไม่ได้ทวนอะไรมาก แต่พอถึงเวลาที่ต้อง ไม่ต้องไปลงหว่านไว้หมด เอ๊ย...เราจะเอาสายวิทย์นี่หว่าแล้วไปลง สอบจริงๆ ประมาณสามเดือนก่อนจะสอบ GAT-PAT ก็เอา ของสายศิลป์ทำ�ไม ไปลงจีนทำ�ไมในเมื่อจะสอบแพทย์ เดี๋ยวค่อย มานั่งสรุปตั้งแต่แรกจนจบ พร้อมทำ�โจทย์ เหมือนเอามาทวนอีก มาเรียนเสริมทีหลังก็ได้ภาษาจีน รอบหนึ่ง ไม่ได้มีเทคนิคอะไร คนที่ทิ้งเลขก็คือคิดว่า โอ๊ย...ตอน เรียนยังไม่ได้เลยแล้วจะให้มาอ่านทวนยังไง ส่วนใหญ่คนคิดแบบ การลงเรียนติวเข้มของเธอในช่วง ม.6...โค้งสุดท้าย นาทีชีวิต นี้ก็เลยทิ้ง มันก็มียากน่ะแหละ แต่ว่าก็ฝึกทำ� ทำ�ตั้งแต่หน้าแรก มิวเรียนเอ็นท์เลขของเดอะเบรน แล้วก็ลงดาวองก์ เพื่อที่จะเอา มันมีทั้งหมด5เล่ม (หนังสือเลขของเดอะเบรน) อ่านเล่มแรก ภาษาไทยสังคม ลงแค่สองอย่างนี่แหละ ตอนเรียนพิเศษ ส่วน ตั้งแต่หน้าแรกจนหน้าสุดท้ายพร้อมทำ�โจทย์ เอาเศษกระดาษ ใหญ่คนที่เรียนพิเศษส่วนใหญ่จะไปคุยกัน เข้าห้องเรียนช้า มัว อันนึงมานั่งทดว่าเราคิดอะไรไป ปิดคำ�เฉลยไว้ แล้วก็นั่งทำ� อัน แต่กินข้าวกินขนม เราก็อย่าไปเอาตรงนั้น รีบขึ้นเรียนถึงแม้ว่า ไหนไม่ได้ก็เปิดดูบ้าง ย้อนกลับไปดูเนื้อหาบ้างว่ามันคืออะไร ส่วน จะไม่มีเวลาคุยกับเพื่อนมาก ตอนเรียนก็อย่าออกไปเข้าห้องน้ำ� ใหญ่เลขคนที่ไม่ได้เพราะว่าหลักการไม่ได้ อย่างตรีโกณคนท่อง บ่อย อย่าออกไปกินขนมบ่อย ก็นั่งเรียน มิวว่าถ้าตั้งใจฟังมัน ไม่ได้ คนส่วนใหญ่จำ�ไม่ได้ เพราะฉะนั้นเราก็ต้องจำ�ให้ได้มันถึงจะ ก็ได้แล้วแหละ ทำ�ได้ ถามถึงเคล็ดลับเพิ่มเติม การเรียนพิเศษ การไปนั่งฟังเฉยๆ นั้น ไม่ได้ซะแล้ว ต้องกลับมาทบทวนที่บ้านด้วยจะเห็นผลที่สุด มิวกลับมาอ่านที่บ้านอีกรอบนะ แต่มิวจะกลับมาอ่านเมื่อมันจบ คอร์สแล้ว แล้วก็ตอนทำ�แบบฝึกหัด มิวเคยเรียนอาจารย์อุ๊ มี ให้ทำ�ข้อสอบ ก็กลับมาทำ�ที่บ้าน บางคนอาจารย์สั่งวันละ10ข้อ แต่ว่าไม่กลับมาทำ� ค่อยมาทำ�ร้อยข้อเลยทีเดียวมันเยอะไป ก็เลย ไม่ได้ทำ�ซักที มิวว่าถ้าอาจารย์ที่เรียนพิเศษให้การบ้านมาก็ควร ทำ�วันต่อวันเลย แล้วก็ไปนั่งฟังเฉลยจากอาจารย์ มิวว่าได้จาก ข้อสอบมันจะดีกว่านั่งฟังแต่เนื้อหาอย่างเดียว เธอเล่าก่อนหน้านั้นว่าเน้นอ่านคณิตศาสตร์กับภาษาอังกฤษ มา เรียนรู้ความพยายามพร้อมเทคนิคดีๆ ในการทุ่มเททั้งสองวิชานี้

คนทั่วไปมักมองว่าสาวมิวเป็นเด็กเทพ เกรดเฉลี่ยสวยๆหรือการ สอบเข้ามหาวิทยาลัยได้สำ�เร็จนั้นดูจะง่ายดายเหลือเกิน แต่เมื่อ เธอได้เปิดใจเล่าแล้ว ถึงกับเข้าใจเลยค่ะว่า ต่อให้เก่งแค่ไหน ก็ ไม่มีเสียล่ะ ที่ไม่เคยพลาด ไม่เคยล้ม หรือไม่เคยเสียใจ ที่ที่เราอยากได้เราก็พยายามมาก มิวร้องไห้มาหลายทีแล้วกับ คณะบัญชีเนี่ย ตั้งแต่คะแนน Smart one คะแนนมิวมันไม่ถึง เกณฑ์ที่จะสอบเข้าได้ มิวถึงไปยื่นโครงการจิตอาสา มิวร้องไห้ มาหลายรอบมาก อันนี้อยากได้มันได้ยาก แต่อันที่ไม่อยากได้ มันกลับได้มาง่ายๆ คะแนน Smart one เหลืออีกประมาณ 3 คะแนน คือสอบเท่าไหร่ก็จะขาดอีก 3 คะแนน ขาดอีก 2 คะแนน ขาดอีก 4 คะแนนบ้าง 10 คะแนนบ้าง สอบเกือบทุก ครั้งที่มีการจัดสอบ ปีหนึ่งมีทุกเดือน สอบมาประมาณ 7-8 ที


m ag ครั้งสุดท้ายหวังว่ามันจะได้เยอะ ก็ไม่ได้ คงไม่ติดแล้วแหละ ก็ เลยร้อง จัดหนักเลย มันมีหนังสือสมาร์ทวันทั้งหมด5เล่ม มิว ว่ามิวอ่านเกิน 20 รอบ มิวแทบจะจำ�โจทย์ได้ พอไปทำ�จริงๆ ด้วยเวลามันกดดัน พอทำ�พาร์ทหนึ่งเสร็จห้ามย้อนกลับมาทำ� อีก หมดเวลาชั่วโมงหนึ่งปั๊บพาร์ทหนึ่งได้แค่ไหนแค่นั้นห้ามย้อน กลับมาทำ�อีก มันก็กดดัน คนสอบก็เหมือนเต็ม MCC HALL เดอะมอลล์

นอกจากเรื่องหนักๆแบบนี้แล้ว ยังมีปัญหาอื่นอีกไหมที่กวนใจ การเรียนของเธอ? มิวว่ามิวเป็นคนที่ชอบมีปฏิสัมพันธ์กับอาจารย์ แล้วมันจะทำ�ให้ อะไรหลายๆ อย่างในวิชานั้นไหลลื่น แต่ช่วงม.ปลาย จะไม่ค่อย ได้คุยกับอาจารย์ประจำ�วิชา ทำ�ให้รายละเอียดบางอย่างมันหาย ไป คิดว่าการที่ไม่ได้พูดคุยกับอาจารย์ในห้องเรียน หรือข้าง นอกก็ตาม คือไม่สนิทกับอาจารย์ เป็นอุปสรรคสำ�หรับมิว ที่ ผ่านๆมาก็สนิทกับอาจารย์ เวลามีอะไรอาจารย์ก็จะถาม จะ แซว พอช่วง ม.ปลายไม่ค่อยสนิทกับอาจารย์เท่าไหร่ เลยทำ�ให้ เหมือนเป็นปัญหา

ธรรมศาสตร์มาแต่สุดท้ายมิวก็ต้องไปเป็นลูกจ้างเค้าแทนที่จะมี บริษัทดีๆ คนที่แอดไม่ติดปีนี้หรืออีกห้าปีติดอาจได้เป็นเจ้าของ บริษัทก็มีเยอะแยะ จริงๆ มิวก็อยากให้คนที่ไม่ติดแอดมิชชั่นหา ที่เรียนไปก่อน อย่าเพิ่งไปรีบทำ�งานเลย ไปหาความรู้ให้ตัวเอง ก่อน เรียนสถาบันไหนก็ได้ มันมีครูดีๆ หมดทั้งนั้นแหละ

แรงใจจากพี่...สู่น้องในปีหน้า น้องๆที่จะแอดมิชชั่นก็อยากให้ตั้งใจอ่านหนังสือ แต่ว่าก็ไม่ต้อง มุ่งมั่นมากเกินไป เพราะผลสุดท้ายมันอาจไม่ได้เป็นอย่างที่เรา หวังก็ได้ อย่างพี่นี่ก็ผิดหวังมาแล้วหลายที สุดท้ายก็สมหวัง ฉะนั้นน้องๆ ก็ไม่ต้องเครียดมาก ตอนพี่สอบพี่ก็ไม่ได้เครียดมาก สนุกไปกับเพื่อน สนุกไปกับวัย ม.6 เพราะมันเป็นวัยที่น่าจดจำ� ที่สุดแล้ว อย่าไปเครียดมากแต่ว่าตั้งใจอ่านหนังสือด้วย

เรื่องสุดท้ายในชีวิต...รักที่ไม่จัดหนัก จึงขอ LUCKY IN GAME จะดีกว่า จริงๆ ความรักเป็นสิ่งที่เป็นปมมิวเหมือนกัน ก็เคยมีความ รัก แต่สุดท้ายมันก็ไม่ใช่ มิวคิดว่า อย่าไปรีบ สนุกไปกับเพื่อน สนุกกับการทำ�กิจกรรม สนุกกับมหาลัย สนุกกับทุกอย่าง ไม่ ต้องไปยึดติดกับใครคนใดคนหนึ่ง ก็มีแค่นี้นะ ไม่ได้ช่ำ�ชองอะไร ด้านนี้ (หัวเราะ) ถามว่ามีมั้ย..มี มีความรัก แต่ไม่ได้เป็นแฟน แอบชอบ มีเยอะแยะ เรื่อยๆ ถ้าใช่ก็คือใช่ เจอก็คือเจอ อย่าไป เครียดมากว่าฉันต้องมีนะคนไหนก็ได้ เป็นผู้ชายได้หมด ไม่ดี...ก็ เรื่อยๆ เดี๋ยวเค้าก็มาเอง

ตาข่ายรองรับใจ...หากไม่ได้ประสบความสำ�เร็จในการสอบอย่าง ที่หวังไว้ ใจมิวน่ะมิวอยากไปเรียนต่างประเทศนะแต่ว่าด้วยเงิน พอไป จริงๆ มันต้องเป็นเงินก้อนใหญ่เป็นล้านซึ่งมันก็มีไม่ถึง ถ้าเป็น แผนสำ�รองก็คงเรียนนานาชาติอย่างเอแบค เพราะเอแบคพวก บริหารกับบัญชีก็มีชื่อเสียงเหมือนกัน มิวไม่อยากซิ่ว มิวรู้สึก ว่ามันเสียเวลา ทั้งที่ที่อื่นจริงๆ อาจจะดีกว่าที่ที่เราอยากเข้าก็ได้ เป็นอย่างไรกันบ้างคะกับความคิดความอ่านของว่าที่นักบัญชี คนนี้? คนทั่วไปมักมองว่ามิวเรียบร้อย ดูเป็นนักกิจกรรมและนัก นุ่นเองก็เคยมองเธอคนนี้ว่าเป็น “เด็กเทพ” อย่างที่เราชอบ วิชาการที่น่าเชื่อถือ เลยขอถามคำ�ถามคาใจยิงตรงไปเลยว่า เรียกกัน...แต่คนเรานั้นตัดสินกันเพียงชั่วครู่ไม่ได้จริงๆ ค่ะ เธอเคยกระโดดออกนอกกรอบบ้างหรือเปล่า กว่าเธอจะเป็นคนที่ทั้งกิจกรรมดี การเรียนโดดเด่น สอบเข้า ฉีกแบบนอกกรอบเลยจริงๆ น่ะ ไม่เคยทำ�เลยนะ เวลาทำ�อะไร มหาวิทยาลัยได้ดังใจหมายนั้น ต้องผ่านการจัดการตัวเองที่ ที่มันผิดแล้วรู้สึกไม่ดี อย่างในโรงเรียนไม่เคยทำ�ผิด ถึงทำ�ผิด ดี ผ่านการพยายามทำ�การบ้าน อ่านหนังสืออย่างมุ่งมั่น เอา ก็เล็กน้อยมากแล้วก็โดนตักเตือนไปแล้ว ไม่ได้ทำ�อะไรโลดโผน เป็นว่า กว่าเธอจะก้าวเข้าสู่การเป็นเพชรเม็ดงาม ย่อมผ่านการ อยากทำ�เหมือนกัน แต่ไม่รู้ว่าจะกล้าทำ�มั้ย มิวไม่ได้อยาก เจียระไนมาแล้วนับครั้งไม่ถ้วน เรียบร้อยนะ แต่ด้วยสถานการณ์ พอถึงเวลาจริงๆ มันก็ไม่ แม้ความคิดและนิสัยของเธอจะไม่ได้นอกกรอบ แหวกแนวชวน กล้าทำ�อะไรที่มันนอกกรอบ แต่มันก็ไม่ดีนะ จริงๆ น่าจะนอก ทึ่งให้เราได้อึ้งกันมากนัก เพราะ ทุกคนมีตัวตนและหนทางที่ กรอบบ้าง แต่เหมือนมันอยู่ในสายตาคน มันก็เลยไม่ทำ�ละ... แตกต่างกัน ไม่จำ�เป็นต้องเหมือนใคร แต่นุ่นเชื่อว่า นุ่นได้อะไร ไหนๆก็ทำ�ดีมาตลอดแล้ว ถ้าผิดนิดเดียวกลายเป็นทุกอย่างที่ทำ� ดีๆจากการพูดคุยกับผู้หญิงคนนี้มากพอสมควรเชียวค่ะ มาจะเสียหมดเลย หวังว่าคุณผู้อ่านก็เช่นเดียวกันนะคะ... ประกาศผลแอดมิชชั่นออกมาแล้ว แน่นอนว่า คนส่วนใหญ่ไม่ สมหวัง สาวมิวจึงใช้พื้นที่เล็กๆ นี้ให้กำ�ลังใจเด็กแอด ว่า อย่า ไปเครียด อาจจะมีที่ที่เหมาะสมกับเรา เป็นสถาบันที่มันดีกว่านี้ ก็ได้ ทำ�งานไปก่อนเก็บตังค์ไปก่อนก็ได้ ไม่จำ�เป็นต้องติดปีนี้นะ พร้อมกับเพื่อนเราถึงจะได้ดิบได้ดี ไม่จำ�เป็น มิวอาจจะเรียนจบ


story & illustration by Pissacha Hemvachiravarakorn

S

o. Iíve read many self-help articles on how to lead a successful life or how to be successful in your careers, bla bla bla. And the more I read them, the more stressful I get because I obviously havenít mastered most things on the list. Which makes me question: is leading a successful life really as complicated as people make it to be? There should be a simpler path. I then look down at my cat, whoís happily napping after a fulfilling mealtime in the park across our home where generous human beings give out free cat food, and think, hey, that ainít a bad situation sheís got going on.

We should all live like cats. You see, there are some things that come so naturally for cats than they do for us people folk. But if we could emulate their way of living, we would be much happier and more successful. So hereís my advice: Live like a cat.

9 Tricks on How to be a Cat: Get lots of sleep. Sleep whenever itís possible. Notice how cats take small naps roughly ten times a day. Iím not saying we should all sleep during our lunch breaks, but do spare some time. Many of us have such hectic careers and are just trying to juggle everythingóworking, spending time with our peeps, running errands, and doing the things we love that we forget to recharge our batteries. Overworking and constant strategizing do not help your brain activity. Sleep does. So take care of your brain by not using it.

You need intelligence to get ahead in life. And fish is brain-food. That Omega 3-fatty acid thing actually helps your cognitive development and IQ, so yeah, eat some fish.

Have you ever seen a cat following someone around like a puppy dog? If you have, then itís probably a dog. Because cats are fiercely independent beings that do whatever the hell they want. You should, too. Trust your own instincts and donít let popular opinion or certain people influence your decisions. We all know what we want out of life, deep down. But often times we let other people and society norms cloud our judgments. Break free. Hell, if a cat can do it, so can you.


Cats can fall from a two-story building and not get hurt. They can sleep in any place ñ a velvet Louis Vuitton cat cushion, an old bathroom sink, or somewhere under a bridge. This, my friend, is what we call flexibility (and not just muscle-wise). Life is full of changes and (letís face it) crap. We have to be flexible and adapt to survive. If thereís something in your life that needs changing, change it. Donít be so attached to things.

I often see my own fat cat lazing around the house, rolling sluggishly on the floor, but when thereís the possibility of food or a potential prey, she gets there as though by teleportation. And thatís how you get things done. When you set your mind on something, act quickly. Donít let an opportunity pass you by, otherwise some other kitty will grab it. React fast.

Cats love to chase yarn. And they wonít quit until their masters stop dangling that string. This is diligence (in the world of cats). Now imagine if you will, that this yarn is something that you really want. The yarn is your dream. Never give up on it. Chase it like a cat.

Not literally, of course. That would be disgusting. No, cats actually lick themselves to clean their bodies or heal their wounds. Itís a self-healing process. We all go through bad times in life, and itís not every time that weíll be lucky enough to have someone lift us up from the depths of our despair. So love yourselfÖ by licking yourself.

Curiosity did not kill the cat. Schrˆdinger (the guy who invented this theory) did. In fact, curiosity is a key trait of successful people. And cats really are curious creatures. They watch with their bright, round, marble-like eyes and are fascinated by the world around them. We humans sometimes think we know everything... so we donít observe. Donít question. Donít wonder. Thereís so much more to explore if we just take the time out of our busy schedules to be a little bit curious and interested in things.

Why do you think they call the fashion runway the ëcatwalkí? It is because cats are sexy. They have that easy-smooth-grace-with-a-slightly-aloof-nonchalant-air walk down to a science. Nail this walk and you will own any room you walk into. And donít even try to argue that cats arenít sexy ñ remember Cat Woman from The Dark Knight Rises. Need I say more? So, there you go. Only nine simple acts and you, too, can be a cat. Just remember not to chase your own tail! Oh, wait. Only dogs do that.


D.I.Y. - Whimsical Lady สวัสดีค่ะ วันนี้จ๊ะจ๋าขอมาทำ�หน้าที่อาสา DIY สไตล์ Whimsical Lady นะคะ เนื่องจาก ต้องไปปาร์ตี้ สละโสดซึ่งงานได้จัดขึ้นแบบ Whimsical Party ซึ่งถ้าถามว่า Whimsical นี้คือ ลักษณะประมาณไหนนะคะ จ๊ะ จ๋าให้ขอบเขตคำ�นี้ ประมาณ ลึกลับ แปลก ประหลาด และดูชวนฝัน จ๊ะจ๋าเลย ตั้งใจแต่ง ตัวให้น้อย และให้เครื่องประดับเป็นจุดเด่นค่ะ เลยจะชวนเพื่อนๆ มาประดิษฐ์ ต่างหูแบบชาว อินเดียแดงฮีวาโร (JIVARO) กันค่ะ

เตรียมอุปกรณ์ ขั้นแรกก็มาดูว่าเรามีอะไรบ้าง เป็นวิธีที่ดีเลย ค่ะ ถ้าเราจะเอาตะขอต่างหูเก่าๆ มาทำ�ใหม่ ต่อไป หาตุ๊กตา ตัวเล็กๆ ที่สามารถแยก ส่วนได้ แล้วก็กรรไกรค่ะ

วิธีทำ� แยกชิ้นส่วนออกค่ะ สลับคู่กันระหว่างพวงกุญแจ และต่างหู เราก็จะได้ทั้ง ต่างหูคู่ใหม่และพวงกุญแจอันใหม่ค่ะ


เอาหมุดสำ�หรับปักพลาสติก ปักลงไปบริเวณตรง กลางหัวของตุ๊กตาค่ะ เพื่อที่เวลาเราใส่แล้วจะอยู่ ในตำ�แหน่งที่พอดี ขั้นตอนนี้อาจจะต้องทำ�หลาย รอบหน่อยนะคะ เพราะมันจะโย้เย้ไปมาค่ะ

เมื่อปักได้แล้วนะคะ ก็ทำ�การมัดผมให้ขึ้น ไปปิดบริเวณที่หมุดปักอยู่ค่ะ เพื่อปกปิด บริเวณนั้น หรือว่าใครอยากทำ�แบบอื่น ก็สามารถดัดแปลงได้ค่ะ เมื่อทำ�ได้ทั้งสองข้างแล้วนะ คะ ก็เอากรรไกรมาตัดแต่งปม แล้วใช้หวียีส่วนที่เป็นผมให้ฟูๆ ไปเลยค่ะ

เกร็ดความรู้ เผ่าอินเดียแดงที่เป็นนักย่อหัวมนุษย์เก่งกาจ ฉกาจเลยที่เดียว นิสัยป่าเถื่อน และไม่ได้ย่อ หัวมนุษย์เฉพาะการค้า เพียงแต่จะทำ�เมื่อเกิด เภทภัยเท่านั้น เช่น ระเบิดภูเขาไฟ หรือไร่นา เสียหาย แสดงว่าเทพเจ้าลงโทษ และหมอผี ประจำ�หมูบ้านจะออกคำ�สั่งให้ออกล่าหัวมนุษย์ ย่อส่วน หรือในกรณีพระจันทร์เต็มดวงหมอผี ประจำ�เผ่าจะไล่ล่าหัวมนุษย์ได้เช่นกันค่ะ

Story and photo by Jaja Waranyah

ขั้นตอนสุดท้ายก็ ลองใส่ แล้ว จัดตำ�แหน่งให้เข้าที่เข้าทางค่ะ ก็ ถือเป็นการ DIY แบบสนุกๆ นะ คะ สำ�หรับปาร์ตี้ขอแนะนำ�เลยว่า ใส่ในโอกาสพิเศษก็พอค่ะ อย่าง ปาร์ตี้ดาร์กๆ หรือ ปาร์ตี้ฮัลโล วีน เพราะถ้าใส่ไปปาร์ตี้อื่นๆ มี หวังต้องโดนสายตาตำ�หนิแน่ๆ เลย ว่าแล้วก็ออกไปปาร์ตี้แล้ว นะคะ

send mail to เพื่อนๆ คนไหนมี idea เจ๋งๆ อยากแบ่งปันส่ง ผ่าน idea นั้นมาที่ undomagazine@gmail.com ได้นะค่ะ เราพร้อมน้อมรับ idea จากทุก ๆ คนเสมอค่ะ


un do magazine

downlaod all issues --> www.undomag.com


no


Issuu converts static files into: digital portfolios, online yearbooks, online catalogs, digital photo albums and more. Sign up and create your flipbook.