ไบเบิลไดอารี่ เดือนเมษายน 2020

Page 1


บทอ่านที่ 1 ดนล 3:14-20,24-25,28 กษัตริยเ์ นบูคดั เนสซาร์ตรัสถามเขาว่า “ชัดรัค เมชาค และอาเบดเนโก เป็นความ จริงหรือไม่ ที่ท่านไม่ยอมรับใช้เทพเจ้าของเรา และไม่ยอมนมัสการรูปปั้นทองคำ�ที่เรา ตัง้ ไว้... ถ้าท่านไม่ยอมทำ�เช่นนี้ ท่านจะต้องถูกโยนทันทีเข้าไปในเตาทีม่ ไี ฟลุกโพลง แล้ว พระเจ้าใดจะช่วยท่านให้พ้นจากมือของเราได้” ชัดรัค เมชาค และอาเบดเนโกกราบทูลกษัตริย์เนบูคัดเนสซาร์ว่า “ข้าพเจ้า สัปดาห์ที่ 5 ทั้งหลายไม่จำ�เป็นจะต้องทูลตอบพระองค์ในเรื่องนี้ ขอทรงทราบเถิดว่า พระเจ้าที่ เทศกาลมหาพรต ข้าพเจ้าทัง้ หลายรับใช้จะทรงช่วยข้าพเจ้าทัง้ หลายให้พน้ จากเตาทีม่ ไี ฟลุกโพลง และให้ ดนล 3:53-56 พ้นพระหัตถ์พระองค์ได้...” กษัตริย์เนบูคัดเนสซาร์กริ้วมาก พระพักตร์ของพระองค์ ทำ�วัตรสัปดาห์ที่ 1 เปลีย่ นเป็นดุดนั ต่อชัดรัค เมชาค และอาเบดเนโก รับสัง่ ให้เพิม่ ไฟในเตาให้รอ้ นจัดกว่า เดิมอีกเจ็ดเท่า และรับสั่งให้ทหารบางคนที่แข็งแรงที่สุดในกองทัพมามัดชัดรัค เมชาค และอาเบดเนโก โยน เข้าไปในเตาที่มีไฟลุกโพลง เขาทั้งสามคนเดินไปมากลางเปลวไฟ สรรเสริญพระเจ้า... พระวรสาร ยน 8:31-42 เวลานั้น พระเยซูเจ้าตรัสกับชาวยิวที่เชื่อในพระองค์ว่า “ถ้าท่านทั้งหลายยึดมั่นในวาจาของเรา ท่านก็ เป็นศิษย์ของเราอย่างแท้จริง ท่านจะรู้ความจริง และความจริงจะทำ�ให้ท่านเป็นอิสระ” คนเหล่านัน้ จึงตอบว่า “พวกเราเป็นเชือ้ สายของอับราฮัม และไม่เคยเป็นทาสของใคร ท่านพูดได้อย่างไร ว่า ‘ท่านทั้งหลายจะเป็นอิสระ’” พระเยซูเจ้าตรัสตอบเขาว่า “เราบอกความจริงแก่ท่านทั้งหลายว่า ทุกคนที่ทำ�บาปก็เป็นทาสของบาป ทาสย่อมไม่พ�ำ นักอยูใ่ นบ้านตลอดไป แต่บตุ รพำ�นักอยูต่ ลอดไป ดังนัน้ ถ้าพระบุตรทำ�ให้ทา่ นเป็นอิสระ ท่าน ก็จะเป็นอิสระอย่างแท้จริง เรารู้ว่าท่านทั้งหลายเป็นเชื้อสายของอับราฮัม แต่ท่านพยายามจะฆ่าเรา เพราะ วาจาของเราไม่ซมึ ซาบเข้าไปในท่าน เราบอกสิง่ ทีเ่ ราได้เห็นเมือ่ เราอยูเ่ ฉพาะพระพักตร์พระบิดา ท่านทัง้ หลาย ก็ทำ�ตามที่ท่านได้ยินจากบิดาของท่านด้วย” คนเหล่านั้นตอบพระองค์ว่า “บิดาของพวกเราคืออับราฮัม” พระเยซูเจ้าตรัสกับเขาว่า “ถ้าท่านเป็นบุตรของอับราฮัม ท่านจงทำ�กิจการของอับราฮัมเถิด แต่บดั นี้ ท่านกำ�ลังพยายามจะฆ่าเรา ซึง่ เป็นคนบอกความจริงทีเ่ ราได้ยนิ มาจากพระเจ้าให้ทา่ นฟัง อับราฮัมไม่เคยทำ�เช่น นี้เลย ท่านไม่ทำ�กิจการของอับราฮัม แต่ทำ�กิจการของบิดาของท่าน” คนเหล่านั้นเถียงว่า “เราไม่ใช่ลูกไม่มีพ่อ บิดาเดียวที่เรามีคือพระเจ้า” พระเยซูเจ้าตรัสกับเขาว่า “ถ้าพระเจ้าทรงเป็นบิดาของท่านจริง ท่านคงจะรักเรา เพราะเรามาจากพระเจ้า เราไม่ได้มาตามใจตนเอง แต่พระองค์ทรงส่งเรามา” ชาวยิวที่สนทนากับพระเยซูเจ้าในตอนนี้ เป็นชาวยิวที่เชื่อในพระองค์ โดยพวกเขาสามารถ อ้างได้ว่า พวกเขามีศักดิ์ศรีเป็นเชื้อสายของอับราฮัม และในขณะเดียวกันพวกเขาก็ “รู้” พระวาจาของ พระเยซูเจ้าในฐานะผู้ที่เชื่อในพระองค์ด้วย แต่มีบางอย่างที่ขัดขวางมิให้ “พระวาจา” ซึมซาบในชีวิตของ พวกเขา... สำ�หรับเราในขณะนี้ ขอเชิญชวนเราให้วอนขอต่อพระเจ้า เพื่อให้เราซึ่งกล่าวได้อย่างเต็มปากว่า เป็นลูกของพระศาสนจักร และเราพอ “รู้” พระวาจาของพระเยซูเจ้า จะได้มีชีวิตและจิตใจที่ซึมซาบใน พระวาจาและความรักของพระ ขอให้เราจะได้พ้นจากความมั่นใจอย่างหลงผิดบางประเภท ที่ปิดบังใจของ เราไม่ให้ซึมซาบใน “พระวาจา”


บทอ่านที่ 1 ปฐก 17:3-9 ในครั้งนั้น อับรามจึงกราบลงกับพื้นดิน พระเจ้าตรัสกับเขาว่า “นี่คือพันธสัญญา ที่เราให้ไว้กับท่าน ท่านจะเป็นบิดาของชนชาติจำ�นวนมาก ท่านจะไม่ชื่อว่าอับรามอีก แล้ว ท่านจะมีชอื่ ใหม่วา่ อับราฮัม เพราะเราจะทำ�ให้ทา่ นเป็นบิดาของชนชาติจ�ำ นวนมาก เราจะทำ�ให้ทา่ นมีลกู หลานจำ�นวนมากยิง่ ๆ ขึน้ จะให้ทา่ นเป็นชนหลายชาติ และกษัตริย์ หลายพระองค์จะเกิดจากท่าน เราจะรักษาพันธสัญญาของเราไว้กับท่าน และกับลูก หลานของท่านที่จะตามมารุ่นแล้วรุ่นเล่า เป็นพันธสัญญาที่คงอยู่ตลอดไป เราจะเป็น พระเจ้าของท่าน และเป็นพระเจ้าของลูกหลานของท่านที่จะตามมา เราจะให้แผ่นดินที่ ท่านอาศัยอยู่อย่างคนแปลกหน้า ถิ่นนี้คือแผ่นดินคานาอันทั้งหมดแก่ท่านและแก่ลูก หลานที่จะตามมาภายหลังท่านเป็นกรรมสิทธิ์ตลอดไป และเราจะเป็นพระเจ้าของเขา ทั้งหลาย” พระเจ้าตรัสกับอับราฮัมว่า “ท่านและลูกหลานของท่านที่จะตามมาทุกรุ่นจะต้อง รักษาพันธสัญญาของเราไว้”

น.ฟรังซิส เดอ เปาลา ฤาษี สดด 105:4-5,6, 7-10

ทำ�วัตรสัปดาห์ที่ 1

พระวรสาร ยน 8:51-59 เวลานัน้ พระเยซูเจ้าตรัสกับชาวยิวทีเ่ ชือ่ ในพระองค์วา่ “เราบอกความจริงแก่ทา่ น ทั้งหลายว่า ผู้ใดปฏิบัติตามวาจาของเรา ผู้นั้นจะไม่พบความตายเลย” ชาวยิวพูดกับพระองค์วา่ “บัดนี้ เรารูแ้ ล้วว่า ท่านถูกปีศาจสิง อับราฮัมตายไปแล้ว บรรดาประกาศกก็ตายไปแล้วเช่นเดียวกัน แต่ท่านพูดว่า ‘ถ้าผู้ใดปฏิบัติตามวาจาของ เรา ผู้นั้นจะไม่ต้องลิ้มรสความตายเลย’ ท่านยิ่งใหญ่กว่าอับราฮัมบิดาของเรา ซึ่งตาย ไปแล้วหรือ บรรดาประกาศกก็ตายไปแล้วด้วย ท่านอวดอ้างว่าท่านเป็นใครกัน” พระเยซูเจ้าตรัสตอบว่า “ถ้าเราให้เกียรติตนเอง เกียรติของเราก็ไม่มีค่าอะไร ผู้ที่ ให้เกียรติเราคือพระบิดาของเรา ผู้ที่ท่านพูดว่า ‘เป็นบิดาของพวกเรา’ แต่ท่านไม่รู้จัก พระองค์ เรารู้จักพระองค์ ถ้าเราจะพูดว่า ‘เราไม่รู้จักพระองค์’ เราก็เป็นคนพูดเท็จ เหมือนกับท่าน แต่เรารู้จักพระองค์ และปฏิบัติตามพระวาจาของพระองค์ อับราฮัม บิดาของท่านได้ยินดีที่จะเห็นวันของเรา เขาได้เห็น และได้ยินดีแล้ว” ชาวยิวจึงค้านว่า “ท่านอายุยังไม่ถึงห้าสิบปี ได้เห็นอับราฮัมแล้วหรือ” พระเยซู เจ้าตรัสตอบว่า “เราบอกความจริงแก่ท่านทั้งหลายว่า ก่อนอับราฮัมจะเกิด เราเป็น” คนเหล่านั้นจึงหยิบก้อนหินขึ้นจะขว้างพระองค์ แต่พระเยซูเจ้าเสด็จเลี่ยงออกไป จากพระวิหาร เราในปัจจุบัน อาจจะได้ยิน ได้ฟัง และได้อ่าน “พระวาจา” เหมือนชาวยิวสมัยโน้น แต่ พระเยซูเจ้าทรงเชื้อเชิญเราให้ก้าวเดินต่อไป ไม่ใช่เพียงได้ฟัง ได้อ่าน “พระวาจา” แต่ให้เราแต่ละคนได้ก้าว ไปสู่การ “ได้มีประสบการณ์” กับพระองค์อย่างตัวต่อตัว เป็นประสบการณ์ที่เอาชีวิตของเราชนิดเต็มร้อย เปอร์เซนต์ไปผูกพันไว้กับชีวิตของพระเยซูเจ้า เป็นความจริงที่ว่า การก้าวสู่ชีวิตเช่นนี้ เป็นก้าวที่ไม่ง่ายนัก... ข้าแต่พระเยซูเจ้า ลูกปรารถนาเป็นหนึ่งเดียวกับพระองค์ โปรดช่วยลูกด้วยเถิด


สัปดาห์ที่ 5 เทศกาลมหาพรต สดด 18:1-2กข, 2ค-3,4-5,6

ทำ�วัตรสัปดาห์ที่ 1 วันศุกร์ต้นเดือน

บทอ่านที่ 1 ยรม 20:10-13 ข้าพเจ้าได้ยินเสียงหลายคนซุบซิบว่า “ความหวาดกลัวอยู่โดยรอบมาแล้ว จง กล่าวหาเขา พวกเราจงกล่าวหาเขาเถิด” มิตรสหายทุกคนของข้าพเจ้า คอยเฝ้าดูความ ล่มจมของข้าพเจ้า พูดว่า “เขาคงจะยอมถูกหลอกลวง แล้วเราจะเอาชนะเขาได้ และ จะแก้แค้นเขา” แต่องค์พระผู้เป็นเจ้าทรงอยู่ข้างข้าพเจ้าเหมือนนักรบทรงพลัง ดังนั้น ผู้ข่มเหงข้าพเจ้าจะสะดุดล้ม จะเอาชนะข้าพเจ้าไม่ได้ เขาจะต้องอับอายมาก เพราะไม่ ประสบความสำ�เร็จ ความอัปยศอดสูของเขาจะคงอยู่ตลอดไป ไม่มีวันถูกลืม ข้าแต่องค์พระผูเ้ ป็นเจ้าจอมจักรวาล พระองค์ทรงทดสอบผูช้ อบธรรม ทรงสำ�รวจ ใจและจิต ขอโปรดให้ข้าพเจ้าเห็นว่าพระองค์ทรงลงโทษเขา เพราะข้าพเจ้าได้ทูลเสนอ คดีของข้าพเจ้าให้ทรงทราบแล้ว จงร้องเพลงถวายองค์พระผู้เป็นเจ้า จงสรรเสริญองค์ พระผูเ้ ป็นเจ้า เพราะพระองค์ทรงช่วยชีวติ ของผูข้ ดั สน ให้พน้ มือของผูท้ �ำ ความชัว่ ร้าย พระวรสาร ยน 10:31-42 เวลานั้น ชาวยิวหยิบก้อนหินขึ้นจะขว้างพระองค์อีก พระเยซูเจ้าจึงตรัสกับเขาว่า “เราได้แสดงกิจการทีด่ หี ลายอย่างจากพระบิดา แล้วท่านจะเอาก้อนหินขว้างเราเพราะ กิจการใด” ชาวยิวตอบว่า “พวกเราจะเอาหินขว้างท่าน ไม่ใช่เพราะกิจการทีด่ ี แต่เพราะ ท่านพูดดูหมิ่นพระเจ้า ท่านเป็นเพียงมนุษย์ แต่ตั้งตนเป็นพระเจ้า” พระเยซูเจ้าตรัสว่า “มีเขียนไว้ในธรรมบัญญัตขิ องท่านทัง้ หลายว่า ‘เราได้กล่าวว่า ท่านทั้งหลายเป็นพระเจ้า’ พระคัมภีร์เรียกผู้รับพระวาจาของพระเจ้าว่า ‘เป็นพระเจ้า’ และพระคัมภีร์จะลบล้างไม่ได้ พระบิดาทรงบันดาลให้เราศักดิ์สิทธิ์ และทรงส่งเรามา ในโลก แล้วทำ�ไมท่านทั้งหลายจึงกล่าวหาว่าเราพูดดูหมิ่นพระเจ้า เมื่อเราพูดว่า ‘เรา เป็นบุตรของพระเจ้า’ ถ้าเราไม่ท�ำ กิจการของพระบิดาของเรา ท่านก็อย่าเชือ่ เราเลย แต่ ถ้าเราทำ� แม้วา่ ท่านทัง้ หลายไม่เชือ่ เรา อย่างน้อยก็จงเชือ่ ในกิจการทีเ่ ราทำ�นัน้ เถิด แล้ว ท่านจะรู้และเข้าใจว่า พระบิดาสถิตในเรา และเราอยู่ในพระบิดา” คนทั้งหลายพยายามจะจับกุมพระองค์อีก แต่พระองค์ทรงเลี่ยงพ้นจากมือของ พวกเขาไปได้ พระองค์เสด็จข้ามแม่นํ้าจอร์แดนอีกครั้งหนึ่ง กลับไปยังสถานที่ซึ่งแต่ก่อนนั้น ยอห์นได้ท�ำ พิธลี า้ ง พระองค์ทรงพำ�นักอยูท่ นี่ นั่ ประชาชนมาเฝ้าพระองค์ พูดว่า “ยอห์น ไม่ได้ทำ�เครื่องหมายอัศจรรย์อะไรเลย แต่ทุกสิ่งที่ยอห์นกล่าวถึงชายคนนี้ก็เป็นความ จริง” และที่นั่นหลายคนเชื่อในพระองค์

ภาพที่ขัดแย้งระหว่างชาวยิวกับพระเยซูเจ้าคือ พระเยซูเจ้าทรงยืนยันว่า พระเป็นเจ้าทรงรัก และรับมนุษย์เป็นบุตรของพระองค์ เป็นลูกในครอบครัว ในบ้านของพระองค์ แต่ชาวยิวรับไม่ได้ และประกาศ ว่าการที่พระองค์สอนเช่นนี้นั้น เป็นการ “ตั้งตนเป็นพระเจ้า” แต่พระเยซูเจ้าก็ทรงยืนยันในความรักของ พระเป็นเจ้าที่ทรงมีต่อมนุษย์ แม้การยืนยันเช่นนี้จะนำ�ความตายมาสู่พระเยซูเจ้า พระองค์ก็ไม่ถอนคำ�พูด... จากใจของเรา เราอยากจะพูดกับพระว่า “ลูกขอบคุณพระองค์ พระองค์ทรงรักลูกจริงๆ”


บทอ่านที่ 1 อสค 37:21-28 พระเจ้าตรัสดังนี้ว่า “จงบอกเขาว่า ‘องค์พระผู้เป็นเจ้าพระเจ้าตรัสดังนี้ ดูซิ เราจะ นำ�ชาวอิสราเอลมาจากนานาชาติซึ่งเขาไปอาศัยอยู่ด้วย เราจะรวบรวมเขามาจากทุก แห่ง และจะนำ�เขามายังแผ่นดินของเขา เราจะทำ�ให้เขาเป็นชนชาติเดียวในแผ่นดิน บน ภูเขาทัง้ หลายแห่งอิสราเอล... เราจะชำ�ระเขา แล้วเขาจะเป็นประชากรของเรา และเรา จะเป็นพระเจ้าของเขา ดาวิดผู้รับใช้ของเราจะเป็นกษัตริย์ปกครองเขา จะเป็นผู้เลี้ยง น.อิสิโดโร เพียงผู้เดียวของเขาทุกคน เขาจะปฏิบัติตามกฎเกณฑ์ของเรา จะรักษาข้อกำ�หนดของ พระสังฆราช เราและปฏิบัติตาม เขาทั้งหลายจะอาศัยอยู่ในแผ่นดินที่เราให้แก่ยาโคบผู้รับใช้ของเรา และนักปราชญ์ ยรม 31:10, เป็นแผ่นดินที่บรรพบุรุษของเขาเคยอาศัยอยู่... เราจะทำ�พันธสัญญาสันติภาพซึ่งจะ 11-12กข,13 เป็นพันธสัญญานิรันดรกับเขา เราจะให้เขาตั้งหลักแหล่งและทวีจำ�นวนขึ้น เราจะตั้ง ทำ�วัตรสัปดาห์ที่ 1 สักการสถานของเราไว้ในหมู่เขาตลอดไป ที่พำ�นักของเราจะอยู่ในหมู่เขา เราจะเป็น พระเจ้าของเขา และเขาจะเป็นประชากรของเรา แล้วนานาชาติจะรู้ว่าเราเป็นองค์ พระผู้เป็นเจ้า เราทำ�ให้อิสราเอลศักดิ์สิทธิ์เมื่อสักการสถานของเราจะอยู่ในหมู่เขาตลอดไป’” พระวรสาร ยน 11:45-57 เวลานั้น ชาวยิวหลายคนที่มาเยี่ยมมารีย์ และเห็นสิ่งที่พระเยซูเจ้าทรงกระทำ� ก็เชื่อในพระองค์ แต่ บางคนไปพบชาวฟาริสี เล่าเรื่องที่พระเยซูเจ้าทรงกระทำ�ให้ฟัง บรรดาหัวหน้าสมณะและชาวฟาริสีจึงเรียก ประชุมสภา ปรึกษากันว่า “พวกเราจะทำ�อย่างไรดี เพราะคนคนนี้ได้ทำ�เครื่องหมายอัศจรรย์หลายอย่าง ถ้า เราปล่อยเขาไว้อย่างนี้ ทุกคนจะเชื่อเขา แล้วชาวโรมันก็จะมาทำ�ลายทั้งพระวิหารและชนชาติของเรา” คน หนึ่งในที่ประชุมชื่อคายาฟาส เป็นมหาสมณะในปีนั้นกล่าวว่า “ท่านทั้งหลายไม่เข้าใจอะไรเลย ท่านไม่คิด หรือว่า ถ้าคนคนเดียวจะตายเพื่อประชาชน จะเป็นประโยชน์มากกว่าที่ชนทั้งชาติจะต้องพินาศไป” เขาไม่ ได้พูดเช่นนี้ตามใจตนเอง แต่ในฐานะที่เป็นมหาสมณะในปีนั้น เขาประกาศพระวาจาว่า พระเยซูเจ้าจะต้อง สิ้นพระชนม์เพื่อชนทั้งชาติ และไม่ใช่เพื่อชนทั้งชาติเท่านั้น แต่เพื่อจะรวบรวมบรรดาบุตรของพระเจ้าที่ กระจัดกระจายอยู่ให้กลับเป็นหนึ่งเดียวกัน ตั้งแต่วันนั้น ที่ประชุมได้ตกลงกันที่จะประหารชีวิตพระองค์ ดังนั้น พระเยซูเจ้าจึงไม่เสด็จไปที่ใดอย่างเปิดเผยในหมู่ชาวยิวอีกต่อไป แต่เสด็จไปที่เมืองชื่อเอฟราอิม ใน เขตแดนใกล้ถิ่นทุรกันดาร และทรงพำ�นักอยู่ที่นั่นกับบรรดาศิษย์ วันปัสกาของชาวยิวใกล้จะมาถึง ประชาชนจำ�นวนมากเดินทางจากชนบทขึน้ ไปกรุงเยรูซาเล็ม เพือ่ ชำ�ระ ตนก่อนวันฉลอง เขาเหล่านั้นเสาะหาพระเยซูเจ้า และขณะที่ยืนอยู่ในพระวิหารก็ถามกันว่า “ท่านทั้งหลาย คิดอย่างไร เขาจะมาในวันฉลองหรือไม่” บรรดาหัวหน้าสมณะและชาวฟาริสีได้ออกคำ�สั่งว่า ถ้าใครรู้ว่า พระองค์อยู่ที่ไหน ก็ให้มารายงาน เพื่อจะได้จับกุมพระองค์ การที่พระเป็นเจ้าทรงรักและรับเรามนุษย์เป็นบุตรของพระองค์ เป็นบุคคลในครอบครัวของ พระองค์ ซึ่งพระเยซูเจ้าทรงให้การยืนยันนั้น ได้ค่อยๆ นำ�พระองค์ไปสู่แดนประหาร พระเยซูเจ้าทรงสัมผัส ได้ถึงบรรยากาศที่อึมครึมที่เกิดขึ้นในหมู่ประชาชนในยุคนั้น เหมือนดังที่ชาวยิวในสมัยนั้นก็รับรู้ จนพูดกัน ว่า “ท่านทั้งหลายคิดอย่างไร เขาจะมาในวันฉลองหรือไม่”... ในปัจจุบัน ณ ขณะนี้ ในสถานการณ์ชีวิตของ เราแต่ละคน คำ�ถามที่ว่า “พระเยซูเจ้าจะมาหรือไม่” คำ�ตอบของพระองค์ยังคงเดิม “พระองค์มาแน่นอน” มาสำ�หรับเราเฉพาะแต่ละคน


อาทิตย์พระทรมาน แห่ใบลาน

ทำ�วัตรสัปดาห์ที่ 2

บทอ่านจากหนังสือประกาศกอิสยาห์ อสย 50:4-7 องค์พระผูเ้ ป็นเจ้าประทานให้ขา้ พเจ้ามีลนิ้ เหมือนลิน้ ของศิษย์ทพี่ ระองค์ทรงสอน เพื่อข้าพเจ้าจะได้รู้จักพูดจาให้กำ�ลังใจแก่ผู้เหน็ดเหนื่อย ทุกๆ เช้า พระองค์ทรงปลุก ข้าพเจ้า ทรงปลุกหูขา้ พเจ้าให้ฟงั เหมือนศิษย์ทพี่ ระองค์ทรงสอน องค์พระผูเ้ ป็นเจ้าทรง เปิดหูให้ข้าพเจ้า และข้าพเจ้าก็ไม่ต่อต้าน ไม่หันหลังหนีไป ข้าพเจ้าหันหลังให้แก่ผู้โบย ตีข้าพเจ้า และหันแก้มให้แก่ผู้ท่ีดึงเคราข้าพเจ้า ข้าพเจ้าไม่ซ่อนหน้าแก่ผู้สบประมาท และถ่มนํ้าลายรด องค์พระผู้เป็นเจ้าทรงช่วยข้าพเจ้า ดังนั้น ข้าพเจ้าจึงไม่ต้องละอาย ข้าพเจ้าทำ�หน้าของข้าพเจ้าให้ด้านเหมือนหิน ข้าพเจ้ารู้ว่าข้าพเจ้าจะไม่อับอาย เพลงสดุดี สดด 22:7-8,16-17ก,18-19,22-23 ก) ผู้ใดเห็นข้าพเจ้าก็เยาะเย้ย เขายิ้มหยันและสั่นศีรษะ พลางพูดว่า “เขาวางใจในองค์พระผู้เป็นเจ้า ก็ให้พระองค์ทรงช่วยซิ ถ้าพระองค์ทรงรักเขา ก็ให้พระองค์ทรงปลดปล่อยเขา” บทอ่านจากจดหมายนักบุญเปาโลอัครสาวกถึงชาวฟีลิปปี ฟป 2:6-11 แม้ว่าพระองค์ทรงมีธรรมชาติพระเจ้า พระองค์ก็มิได้ทรงถือว่าศักดิ์ศรีเสมอ พระเจ้านัน้ เป็นสมบัตทิ จี่ ะต้องหวงแหน แต่ทรงสละพระองค์จนหมดสิน้ ทรงรับสภาพ ดุจทาส เป็นมนุษย์ดจุ เรา ทรงแสดงพระองค์ในธรรมชาติมนุษย์ ทรงถ่อมพระองค์จนถึง กับทรงยอมรับแม้ความตาย เป็นความตายบนไม้กางเขน เพราะเหตุนี้ พระเจ้าจึงทรง เทิดทูนพระองค์ขนึ้ สูงส่ง และประทานพระนามให้แก่พระองค์ พระนามนีป้ ระเสริฐกว่า นามอื่นใดทั้งสิ้น เพื่อทุกคนในสวรรค์และบนแผ่นดิน รวมทั้งใต้พื้นพิภพ จะย่อเข่าลง นมัสการพระนาม “เยซู” นี้ และเพื่อชนทุกภาษาจะได้ร้องประกาศว่า พระเยซูคริสต์ ทรงเป็นองค์พระผู้เป็นเจ้า เพื่อพระสิริรุ่งโรจน์ของพระเจ้า พระบิดา บทอ่านจากพระวรสารนักบุญมัทธิว มธ 27:11-54 ขณะนั้น พระเยซูเจ้าทรงยืนอยู่ต่อหน้าผู้ว่าราชการ ผู้ว่าราชการถามพระองค์ว่า “ท่านเป็นกษัตริย์ของชาวยิวหรือ” พระเยซูเจ้าทรงตอบว่า “ท่านพูดเองนะ” แต่เมื่อ บรรดาหัวหน้าสมณะและผู้อาวุโสกล่าวหาพระองค์ พระองค์มิได้ทรงตอบ ปีลาตจึงถามพระองค์วา่ “ท่านไม่ได้ยนิ หรือว่าเขากล่าวหาท่านหลายประการ” แต่ พระองค์มิได้ตรัสตอบประการใด ทำ�ให้ผู้ว่าราชการประหลาดใจมาก มีประเพณีทผี่ วู้ า่ ราชการต้องปล่อยนักโทษคนหนึง่ ตามคำ�ขอร้องของประชาชนใน วันฉลอง เวลานั้น มีนักโทษอุกฉกรรจ์คนหนึ่งชื่อบารับบัส ดังนั้น เมื่อประชาชนมา ชุมนุมกัน ปีลาตจึงถามว่า “ท่านทั้งหลายต้องการให้ข้าพเจ้าปล่อยผู้ใด ปล่อย บารับบัส หรือเยซู ที่เรียกว่าพระคริสต์” ปีลาตรู้อยู่แล้วว่า เขาจับพระองค์มามอบให้ เพราะความอิจฉา


ขณะที่ปีลาตนั่งอยู่บนบัลลังก์ศาลนั้น ภรรยาของเขาส่งคนมาบอกว่า “อย่าไปยุ่งเกี่ยวกับผู้ชอบธรรม คนนี้เลย เพราะวันนี้ ฉันฝันถึงเรื่องของคนคนนี้ จึงไม่สบายใจมาก” แต่บรรดาหัวหน้าสมณะและผู้อาวุโสเสี้ยมสอนยุยงประชาชนเพื่อขอให้ปล่อยบารับบัส และประหาร พระเยซูเจ้า ผู้ว่าราชการจึงถามว่า “ในสองคนนี้ ท่านอยากให้ข้าพเจ้าปล่อยคนไหน” พวกเขาตอบว่า “บารับบัส” ปีลาตจึงถามว่า “ถ้าเช่นนั้น จะให้ข้าพเจ้าทำ�อะไรกับเยซู ซึ่งมีชื่อว่า พระคริสต์” ทุกคนตอบว่า “ให้เขาถูกตรึงกางเขน” ปีลาตถามอีกว่า “เขาทำ�ผิดอะไร” แต่ประชาชนร้องตะโกนดังยิ่งขึ้นว่า “ให้เขาถูก ตรึงกางเขน” เมื่อปีลาตเห็นว่าไม่มีประโยชน์อะไร มีแต่จะวุ่นวายยิ่งขึ้น จึงนำ�นํ้ามาล้างมือต่อหน้าประชาชน กล่าว ว่า “ข้าพเจ้าไม่ขอเกีย่ วข้องกับโลหิตของผูน้ ี้ เรือ่ งนีเ้ ป็นธุระของท่าน” ประชาชนทุกคนตอบว่า “ขอให้เลือด ของเขาตกเหนือเราและเหนือลูกหลานของเราเถิด” แล้วปีลาตสัง่ ให้ปล่อยบารับบัส สัง่ ให้โบยตีพระเยซูเจ้า แล้วมอบพระองค์ให้เขานำ�ไปตรึงบนไม้กางเขน บรรดาทหารของผู้ว่าราชการนำ�พระเยซูเจ้าเข้าไปในจวนและเรียกทหารทั้งกองมาพร้อมกัน เขาเปลื้อง ฉลองพระองค์ออก นำ�เสื้อคลุมสีม่วงแดงมาคลุมให้ นำ�หนามมาสานเป็นมงกุฎสวมพระเศียร ให้พระองค์ ถือไม้ออ้ ในพระหัตถ์ขวา แล้วคุกเข่าลงเฉพาะพระพักตร์ เยาะเย้ยพระองค์วา่ “ข้าแต่กษัตริยข์ องชาวยิว ขอ ทรงพระเจริญเทอญ” เขาถ่มนํ้าลายรดพระองค์ ฉวยไม้อ้อฟาดพระเศียร เมื่อเยาะเย้ยพระองค์แล้ว เขาก็ ถอดเสื้อคลุมของพระองค์ออก นำ�ฉลองพระองค์สวมให้ดังเดิม แล้วจึงนำ�พระองค์ไปตรึงบนไม้กางเขน ขณะที่บรรดาทหารนำ�พระองค์ออกไปนั้น เขาพบชายชาวไซรีนคนหนึ่งชื่อซีโมน จึงเกณฑ์ให้แบกไม้ กางเขนของพระองค์ เมื่อมาถึงสถานที่แห่งหนึ่งซึ่งเรียกว่า กลโกธา แปลว่า เนินหัวกะโหลก ทหารนำ�เหล้า องุ่นผสมดีมาให้พระองค์ดื่ม พระองค์ทรงชิมแล้ว ไม่ยอมดื่ม เมื่อตรึงพระองค์บนไม้กางเขนแล้ว เขานำ� ฉลองพระองค์มาแบ่งกันโดยจับฉลาก และนั่งเฝ้าดูพระองค์อยู่ที่นั่น เขาติดป้ายเหนือพระเศียรของพระองค์ เขียนข้อกล่าวหาพระองค์ไว้ว่า ‘นี่คือเยซูกษัตริย์ของชาวยิว’ เขายังตรึงโจรสองคนพร้อมกับพระองค์ด้วย คนหนึ่งอยู่ข้างขวา อีกคนหนึ่งอยู่ข้างซ้าย... ตั้งแต่เวลาเที่ยง ทั่วแผ่นดินก็มืดจนถึงเวลาบ่ายสามโมง ครั้นถึงเวลาบ่ายสามโมง พระเยซูเจ้าทรงร้อง เสียงดังว่า “เอลี เอลี ลามาสะบัคทานี” ซึ่งแปลว่า “ข้าแต่พระเจ้าของข้าพเจ้า ข้าแต่พระเจ้าของข้าพเจ้า ทำ�ไมพระองค์จึงทรงทอดทิ้งข้าพเจ้าเล่า” บางคนที่อยู่ที่นั่นได้ยินจึงพูดว่า “เขากำ�ลังร้องเรียกเอลียาห์” ทันใดนัน้ ชายคนหนึง่ วิง่ ไปนำ�ฟองนํา้ จุม่ เหล้าองุน่ เปรีย้ วเสียบปลายไม้ออ้ ส่งให้พระองค์เสวย แต่คนอืน่ พูดว่า “อย่าเพิ่ง คอยดูซิว่า เอลียาห์จะมาช่วยเขาไหม” แต่พระเยซูเจ้าทรงเปล่งเสียงดังอีกครั้งหนึ่ง แล้ว สิ้นพระชนม์... เมื่อมองและรับรู้ชีวิตของพระเยซูเจ้าในแบบที่พระองค์ทรงเป็นมนุษย์ พระเยซูเจ้าย่อมจะ รูส้ กึ ถึงความเจ็บปวดในใจไม่นอ้ ย ที่ “เขาเหล่านีท้ เี่ ป็นชนชาติของพระองค์ กล่าวหาพระองค์” และพระองค์ คงจะเศร้าหนักยิ่งขึ้น เมื่อเขาเหล่านั้นลงประชามติเลือกนักโทษผู้ทำ�ผิดอุกฉกรรจ์ แต่กลับไม่แยแส ไม่ให้ ราคาแก่พระองค์เลย เขาเหล่านี้ปฏิเสธพระองค์ และส่งพระองค์ให้ไปถูกตรึงแขวนอยู่บนไม้กางเขน แม้ พระเยซูเจ้าจะต้องเดินสูค่ วามทุกข์กายและความเศร้าในจิตใจอย่างมหันต์จนขาดใจ แต่พระองค์กไ็ ม่ทอ้ และ ไม่ถอยในการรักเรามนุษย์...ลูกขอบคุณพระองค์ ลูกขอบคุณพระองค์


วันจันทร์ สัปดาห์ศักดิ์สิทธิ์ สดด 27:1,7-8ก, 8ข-9กข,13-14

ทำ�วัตรสัปดาห์ที่ 2

บทอ่านที่ 1 อสย 42:1-7 องค์พระผูเ้ ป็นเจ้าตรัสว่า “นีค่ อื ผูร้ บั ใช้ของเรา ซึง่ เราเชิดชู เราเลือกเขาเพราะเรา พอใจเขา เราให้จิตของเราแก่เขา เขาจะนำ�ความยุติธรรมไปให้แก่นานาชาติ เขาจะไม่ ร้องตะโกนหรือเปล่งเสียงดัง จะไม่ทำ�ให้ใครได้ยินเสียงของเขาตามถนน ไม้อ้อที่ชํ้า แล้ว เขาจะไม่หกั และไส้ตะเกียงทีร่ บิ หรีอ่ ยู่ เขาจะไม่ดบั เขาจะประกาศความยุตธิ รรม ด้วยความสัตย์จริง เขาจะไม่หมดหวังหรือท้อใจ จนกว่าจะได้สถาปนาความยุติธรรมไว้ บนแผ่นดิน ดินแดนชายทะเลจะรอคอยคำ�สอนของเขา” องค์พระผู้เป็นเจ้าพระเจ้าผู้ทรงสร้างท้องฟ้ากว้างใหญ่ ทรงคลี่แผ่นดินและทุกสิ่ง ที่เกิดจากที่นั่น ประทานชีวิตแก่ประชากรบนแผ่นดิน และประทานลมหายใจแก่ผู้ท่ี ดำ�เนินอยู่ที่นั่น ตรัสว่า “เราคือองค์พระผู้เป็นเจ้า เราเรียกท่านมาด้วยความชอบธรรม เราจับมือของท่านและรักษาท่านไว้ เราให้ท่านเป็นพันธสัญญาของประชากร และเป็น แสงสว่างส่องนานาชาติ เพื่อเปิดตาคนตาบอด ปลดปล่อยผู้ถูกจองจำ�จากคุก ปลด ปล่อยผู้ที่อยู่ในความมืดจากที่คุมขัง”

พระวรสาร ยน 12:1-11 หกวันก่อนฉลองปัสกา พระเยซูเจ้าเสด็จไปที่หมู่บ้านเบธานี ตำ�บลที่อยู่ของ ลาซารัสที่พระองค์ทรงทำ�ให้กลับคืนชีพจากบรรดาผู้ตาย ผู้คนที่นั่นจัดงานเลี้ยงเป็น เกียรติแด่พระองค์ มารธาคอยรับใช้ ขณะที่ลาซารัสเป็นคนหนึ่งที่ร่วมโต๊ะกับพระองค์ ด้วย มารีย์ใช้นํ้ามันหอมสมุนไพรบริสุทธิ์ราคาแพงหนักประมาณครึ่งชั่งชโลมพระบาท พระเยซูเจ้า และใช้ผมเช็ดพระบาท กลิน่ นํา้ มันหอมอบอวลไปทัว่ บ้าน ยูดาสอิสคาริโอท ศิษย์คนหนึ่งที่จะทรยศต่อพระองค์พูดว่า “ทำ�ไมไม่เอานํ้ามันหอมนี้ไปขายราคาสาม ร้อยเหรียญ แล้วนำ�เงินไปแจกให้คนยากจน” ที่เขาพูดเช่นนี้มิใช่เพราะเขาห่วงใยคน ยากจน แต่เพราะเขาเป็นขโมย เขาเป็นผู้ถือถุงเงินและยักยอกเงินในถุงนั้น พระเยซู เจ้าจึงตรัสว่า “ช่างเถิด ปล่อยให้นางเก็บนํ้ามันหอมนี้ไว้สำ�หรับวันฝังศพของเรา คน ยากจนนั้นอยู่กับท่านทั้งหลายเสมอ แต่เราจะไม่อยู่กับท่านตลอดไป” ชาวยิวจำ�นวนมากรู้ว่าพระองค์ประทับอยู่ที่นั่น จึงมา มิใช่เพียงเพื่อเฝ้าพระเยซูเจ้า แต่เพื่อมาดู ลาซารัส ซึ่งพระองค์ได้ทรงทำ�ให้กลับคืนชีพจากบรรดาผู้ตาย บรรดาหัวหน้าสมณะจึงตกลงกันจะฆ่า ลาซารัสด้วย เพราะลาซารัสทำ�ให้ชาวยิวจำ�นวนมากไปเฝ้าพระเยซูเจ้าและเชื่อในพระองค์ เราใช้เกณฑ์ของหัวใจหรือของหัวคิด ในการเดินหน้าสู่ความสัมพันธ์กับพระเยซูเจ้า หากใช้ เกณฑ์ของหัวคิด เราจะมีเหตุผลที่จะอุทิศเวลาในชีวิต เพื่องานร้อยแปด ทั้งงานบริหาร เพราะเป็นหน้าที่ ความรับผิดชอบของเรา ทั้งงานอภิบาลและแพร่​่ธรรม เพราะเป็นพันธกิจที่เราได้รับมาตั้งแต่ได้รับศีลล้าง บาป....หรือว่า เราจะใช้เกณฑ์ของหัวใจ โดยจะวางเรื่องอื่นไว้ให้มีความสำ�คัญลำ�ดับที่สอง แต่ลำ�ดับแรกคือ การอยูก่ บั พระ แม้อาจจะถูกตำ�หนิวา่ “ทำ�ไมไม่เอาเวลาไปดูแลคนยากจน” ดังทีย่ ดู าสได้พดู ตำ�หนิวา่ “ทำ�ไม ไม่เอานํา้ มันหอมนีไ้ ปขาย แล้วนำ�เงินไปแจกให้คนจน”... มารียใ์ ห้แบบอย่างของหัวใจทีส่ มั พันธ์กบั พระเยซูเจ้า


บทอ่านที่ 1 อสย 49:1-6 ดินแดนชายทะเลและเกาะทัง้ หลายเอ๋ย จงฟังข้าพเจ้าเถิด ประชาชนทีอ่ ยูส่ ดุ แดน ไกล จงตั้งใจฟังเถิด องค์พระผู้เป็นเจ้าทรงเรียกข้าพเจ้าก่อนที่ข้าพเจ้าเกิด ทรงขานชื่อ ข้าพเจ้าตัง้ แต่อยูใ่ นครรภ์มารดา พระองค์ทรงทำ�ให้ปากข้าพเจ้าเป็นเสมือนดาบคม ทรง ซ่อนข้าพเจ้าไว้ในร่มเงาพระหัตถ์พระองค์ ทรงทำ�ให้ขา้ พเจ้าเป็นเสมือนลูกศรแหลมคม และทรงซ่อนข้าพเจ้าไว้ในแล่งเก็บลูกศรของพระองค์ พระองค์ตรัสกับข้าพเจ้าว่า “อิสราเอลเอ๋ย ท่านเป็นผู้รับใช้ของเรา เราจะแสดงสิริรุ่งโรจน์ของเราโดยทางท่าน” แต่ข้าพเจ้ากลับคิดว่า “ข้าพเจ้าได้ทำ�งานเหนื่อยเปล่า ข้าพเจ้าเสียแรงไปเปล่าๆ ไร้ประโยชน์”... พระองค์ตรัสว่า “เป็นการน้อยไปที่ท่านจะเป็นผู้รับใช้ของเรา เพื่อ สถาปนาเผ่าพันธุ์ยาโคบขึ้นใหม่... เราจะให้ท่านเป็นแสงสว่างส่องนานาชาติ เพื่อความ รอดพ้นที่เรานำ�มาให้จะได้แผ่ไปจนสุดปลายแผ่นดิน”

วันอังคาร สัปดาห์ศักดิ์สิทธิ์ สดด 71:1-3ก,3ข-5, 6,16-18ก

ทำ�วัตรสัปดาห์ที่ 2

พระวรสาร ยน 13:21-33,36-38 เมื่อตรัสดังนี้แล้ว พระเยซูเจ้าทรงรู้สึกหวั่นไหวพระทัย จึงตรัสยืนยันว่า “เราบอกความจริงแก่ท่าน ทั้งหลายว่า ท่านคนหนึ่งจะทรยศเรา” บรรดาศิษย์ต่างมองหน้ากัน ไม่รู้ว่าพระองค์ทรงหมายถึงใคร ศิษย์คน หนึ่งที่พระเยซูเจ้าทรงรักนั่งโต๊ะติดกับพระองค์ ซีโมนเปโตรจึงทำ�สัญญาณให้เขาทูลถามว่า “ผู้ที่พระองค์ กำ�ลังตรัสถึงนี้เป็นใคร” เขาจึงเอนกายชิดพระอุระของพระเยซูเจ้า ทูลถามว่า “พระเจ้าข้า เป็นใครหรือ” พระเยซูเจ้าทรงตอบว่า “เป็นผู้ที่เราจะจุ่มขนมปังส่งให้” แล้วทรงจุ่มขนมปังชิ้นหนึ่งส่งให้ยูดาสบุตร ของซีโมนอิสคาริโอท แต่เมือ่ ยูดาสได้รบั ขนมปังชิน้ นีแ้ ล้ว ซาตานก็เข้าสิงในตัวเขา พระเยซูเจ้าจึงตรัสแก่เขา ว่า “ท่านจะทำ�อะไร ก็จงทำ�โดยเร็วเถิด” ผู้ร่วมโต๊ะด้วยกันไม่มีใครเข้าใจว่าเหตุใดพระองค์จึงตรัสเช่นนี้ บาง คนคิดว่าเนื่องจากยูดาสเป็นผู้ถือถุงเงิน พระเยซูเจ้าทรงบอกเขาว่า “จงไปซื้อของที่จำ�เป็นสำ�หรับวันฉลอง” หรือบอกว่า “จงไปแจกทานแก่คนยากจน” ดังนั้น เมื่อยูดาสรับชิ้นขนมปังแล้ว ก็ออกไปทันที ขณะนั้นเป็น เวลากลางคืน เมื่อยูดาสออกไปแล้ว พระเยซูเจ้าตรัสว่า “บัดนี้ บุตรแห่งมนุษย์ได้รับพระสิริรุ่งโรจน์ และ พระเจ้าทรงได้รบั พระสิรริ งุ่ โรจน์ในบุตรแห่งมนุษย์ดว้ ย ถ้าพระเจ้าทรงได้รบั พระสิรริ งุ่ โรจน์ในบุตรแห่งมนุษย์ พระเจ้าจะทรงให้บตุ รแห่งมนุษย์ได้รบั พระสิรริ งุ่ โรจน์ในพระองค์ดว้ ย และจะทรงให้บตุ รแห่งมนุษย์ได้รบั พระ สิรริ งุ่ โรจน์ทนั ที ลูกทัง้ หลายเอ๋ย เราจะอยูก่ บั ท่านอีกไม่นาน ท่านจะแสวงหาเรา แต่เราบอกท่านบัดนีเ้ หมือน กับที่เราเคยบอกชาวยิวว่า ที่ที่เราไปนั้น ท่านไปไม่ได้” ซีโมนเปโตรทูลว่า “พระเจ้าข้า พระองค์กำ�ลังจะไปไหน” พระเยซูเจ้าทรงตอบว่า “ที่ที่เราไปนั้น ท่าน ยังตามไปเวลานี้ไม่ได้ แต่จะตามไปได้ในภายหลัง” เปโตรทูลพระองค์ว่า “พระเจ้าข้า ทำ�ไมข้าพเจ้าจึงตาม พระองค์ไปเวลานี้ไม่ได้ ข้าพเจ้าจะสละชีวิตเพื่อพระองค์” พระเยซูเจ้าทรงตอบว่า “ท่านจะสละชีวิตเพื่อเรา หรือ เราบอกความจริงกับท่านว่า ก่อนไก่ขัน ท่านจะบอกถึงสามครั้งว่าไม่รู้จักเรา” แม้บางครั้ง เราอาจะทำ�เหมือนปฏิเสธพระเยซูเจ้า โดยปล่อยให้พระองค์เป็นตัวสำ�รอง แล้ว เราเลือกเอานํ้าใจและแนวทางของเราเป็น “ตัวจริง” ในพระวรสารเมื่อวันก่อน ยูดาสได้เลือกวิธีที่ดูดี มีเหตุ มีผลโดยให้คนยากจนต้องสำ�คัญกว่าการชโลมเท้าด้วยนํ้ามันหอม ....บางทีเราอาจให้พระเยซูเจ้าเป็นตัว สำ�รองโดยเราไม่รู้ตัว แล้วให้นํ้าใจและวิถีของเราในเรื่องต่างๆ เป็น “ตัวจริง” ในการตัดสินใจในชีวิต ....แต่ พระองค์ก็ไม่เคยท้อถอยในการรักเรา แม้เพื่อจะรักและห่วงใยเรา พระองค์จะต้องเดินสู่ความตายบน ไม้กางเขนก็ตาม


วันพุธ สัปดาห์ศักดิ์สิทธิ์ สดด 69:7-9,20-21, 30,32-33

ทำ�วัตรสัปดาห์ที่ 2

บทอ่านที่ 1 อสย 50:4-9 องค์พระผู้เป็นเจ้าพระเจ้าประทานให้ข้าพเจ้ามีลิ้น เหมือนลิ้นของศิษย์ที่พระองค์ ทรงสอน เพื่อข้าพเจ้าจะได้รู้จักพูดจาให้กำ�ลังใจแก่ผู้เหน็ดเหนื่อย ทุกๆ เช้า พระองค์ ทรงปลุกข้าพเจ้า ทรงปลุกหูข้าพเจ้าให้ฟังเหมือนศิษย์ที่พระองค์ทรงสอน องค์พระผู้ เป็นเจ้าพระเจ้าทรงเปิดหูให้ข้าพเจ้า และข้าพเจ้าก็ไม่ต่อต้าน ไม่หันหลังหนีไป ข้าพเจ้า หันหลังให้แก่ผโู้ บยตีขา้ พเจ้า และหันแก้มให้แก่ผทู้ ดี่ งึ เคราข้าพเจ้า ข้าพเจ้าไม่ซอ่ นหน้า แก่ผู้สบประมาทและถ่มนํ้าลายรด องค์พระผู้เป็นเจ้าพระเจ้าทรงช่วยข้าพเจ้า ดังนั้น ข้าพเจ้าจึงไม่ต้องละอาย ข้าพเจ้าทำ�หน้าของข้าพเจ้าให้ด้านเหมือนหิน ข้าพเจ้ารู้ว่า ข้าพเจ้าจะไม่อับอาย พระองค์ผู้ประทานความยุติธรรมแก่ข้าพเจ้าทรงอยู่ใกล้ข้าพเจ้า ใครจะสู้คดีกับข้าพเจ้า เราจงยืนขึ้นเผชิญหน้ากันเถิด ใครจะกล่าวหาข้าพเจ้า ก็จงเข้า มาใกล้ข้าพเจ้าเถิด ดูซิ องค์พระผู้เป็นเจ้าพระเจ้าทรงช่วยข้าพเจ้า ใครจะกล่าวโทษ ข้าพเจ้า ดูซิ เขาทุกคนจะผุพังเหมือนเสื้อผ้า แมลงกินผ้าจะกัดกินเขาเหล่านั้น

พระวรสาร มธ 26:14-25 เวลานั้น คนหนึ่งในบรรดาอัครสาวกสิบสองคน ชื่อ ยูดาสอิสคาริโอท ไปพบ บรรดาหัวหน้าสมณะ ถามว่า “ถ้าข้าพเจ้ามอบเขาให้ท่าน ท่านจะให้อะไรแก่ข้าพเจ้า” บรรดาหัวหน้าสมณะจ่ายเงินสามสิบเหรียญให้แก่ยดู าส ตัง้ แต่นนั้ มา ยูดาสก็หาโอกาส ที่จะมอบพระองค์ วันแรกของเทศกาลกินขนมปังไร้เชือ้ บรรดาศิษย์เข้ามาทูลถามพระเยซูเจ้าว่า “พระองค์มพี ระประสงค์ ให้เราจัดเตรียมการเลีย้ งปัสกาทีไ่ หน” พระองค์ตรัสว่า “จงเข้าไปในกรุง ไปพบชายคนหนึง่ บอกเขาว่า ‘พระ อาจารย์บอกว่าเวลากำ�หนดของเราใกล้เข้ามาแล้ว เราจะกินปัสกากับศิษย์ของเราที่บ้านของท่าน’” บรรดา ศิษย์ก็ทำ�ตามที่พระเยซูเจ้าทรงบัญชา และจัดเตรียมปัสกา ครั้นถึงเวลาคํ่าพระองค์ประทับร่วมโต๊ะกับศิษย์ทั้งสิบสองคน ขณะที่ทุกคนกำ�ลังกินอาหารพร้อมกับ พระเยซูเจ้าอยู่นั้น พระองค์ตรัสว่า “เราบอกความจริงแก่ท่านทั้งหลายว่า คนหนึ่งในพวกท่านจะทรยศต่อ เรา” บรรดาอัครสาวกรู้สึกสลดใจและทูลถามพระองค์ทีละคนว่า “เป็นข้าพเจ้าหรือ พระเจ้าข้า” พระองค์ ตรัสตอบว่า “คนที่จิ้มอาหารในชามเดียวกันกับเรานี่แหละจะทรยศต่อเรา บุตรแห่งมนุษย์จะจากไปตามที่มี เขียนเกี่ยวกับพระองค์ในพระคัมภีร์ วิบัติจงเกิดแก่คนที่ทรยศต่อบุตรแห่งมนุษย์ ถ้าเขาไม่ได้เกิดมาก็จะดี กว่า” ยูดาสผู้ทรยศต่อพระองค์ทูลถามว่า “เป็นข้าพเจ้าหรือ พระอาจารย์” พระองค์ตรัสตอบว่า “ใช่แล้ว” ในระหว่างอาหารคํา่ ครัง้ สุดท้ายกับศิษย์ 12 คน หากเรามองว่าพระเยซูเจ้าเป็นพระ เราก็อาจ จะได้ข้อสรุปว่า ใจของพระองค์ยังคงต้องเข้มแข็ง ไม่หวั่นไหว แต่หากเรามองพระองค์เป็นมนุษย์แบบเราๆ ใจของพระองค์คงเศร้าและหวัน่ ไหว ดังปรากฏในพระวรสารของเมือ่ วานทีว่ า่ “พระเยซูเจ้าทรงรูส้ กึ หวัน่ ไหว พระทัย” เราอาจจะไม่กล้าสรุปว่า ใจของพระเยซูเจ้าเป็นแบบไหน แต่ทเี่ ราไม่สงสัยเลยก็คอื พระองค์รกั เรา แม้เรามีความอ่อนแอ แม้เรามีบาป ...ที่พระองค์มาในโลกนี้ มิใช่เพราะเราเป็นนักบุญ แต่เพราะเราเป็น คนบาป...พระรักเรา


บทอ่านที่ 1 อพย 12:1-8,11-14 องค์พระผู้เป็นเจ้าตรัสกับโมเสสและอาโรนในแผ่นดินอียิปต์ว่า “เดือนนี้จะเป็น เดือนแรกสำ�หรับท่านทั้งหลาย เป็นเดือนเริ่มต้นปี ท่านทั้งสองคนจงบอกชุมชนชาว อิสราเอลทั้งหมดว่า วันที่สิบเดือนนี้ แต่ละคนต้องเลือกลูกแกะหรือลูกแพะตัวหนึ่ง สำ�หรับครอบครัวของตน หนึ่งตัวต่อหนึ่งครอบครัว... แล้วให้ชุมชนของชาวอิสราเอล ทัง้ หมดฆ่าลูกแกะนัน้ ในตอนเย็น เอาเลือดทากรอบด้านข้างและด้านบนของประตูบา้ น ทีจ่ ะกินลูกแกะนัน้ ... เลือดทีก่ รอบประตูจะเป็นเครือ่ งหมายว่าเป็นบ้านทีท่ า่ นทัง้ หลาย อาศัยอยู่ เมื่อเราเห็นเลือด เราจะผ่านเลยไป ท่านจะพ้นจากภัยพิบัติที่ทำ�ลาย...”

วันพฤหัสบดี ศักดิ์สิทธิ์

สดด 116:12-13, 15-16ขค,17-18

บทอ่านที่ 2 1 คร 11:23-26 เช้า : พิธีเสกนํ้ามัน พี่น้อง... ในคืนที่ทรงถูกทรยศนั้นเอง พระเยซูองค์พระผู้เป็นเจ้าทรงหยิบปัง ศักดิ์สิทธิ์ ขอบพระคุณ แล้วทรงบิออก ตรัสว่า “นี่คือกายของเราเพื่อท่านทั้งหลาย จงทำ�การนี้ คํ่ำ� : ระลึกถึงพระเยซูเจ้า เพื่อระลึกถึงเราเถิด” เช่นเดียวกัน หลังอาหารคํ่า ก็ทรงหยิบถ้วย ตรัสว่า “ถ้วยนี้คือ ทรงตัง้ ศีลมหาสนิท พันธสัญญาใหม่ในโลหิตของเรา ทุกครั้งที่ท่านจะดื่ม จงทำ�การนี้เพื่อระลึกถึงเราเถิด” ทุกครัง้ ทีท่ า่ นกินปังนี้ และดืม่ จากถ้วยนี้ ท่านก็ประกาศการสิน้ พระชนม์ขององค์พระผู้ เป็นเจ้าจนกว่าพระองค์จะเสด็จมา พระวรสาร ยน 13:1-15 ก่อนวันฉลองปัสกา... ระหว่างการเลี้ยงอาหารคํ่า ปีศาจดลใจยูดาสอิสคาริโอทบุตรของซีโมนให้ทรยศ ต่อพระองค์... พระเยซูเจ้าจึงทรงลุกขึ้นจากโต๊ะ ทรงถอดเสื้อคลุมออกวางไว้ ทรงใช้ผ้าเช็ดตัวคาดสะเอว แล้วทรงเทนํ้าลงในอ่าง ทรงเริ่มล้างเท้าบรรดาศิษย์ และทรงใช้ผ้าที่คาดสะเอวเช็ดให้ เมื่อเสด็จมาถึงซีโมนเปโตร เขาทูลพระองค์ว่า “พระเจ้าข้า พระองค์จะทรงล้างเท้าของข้าพเจ้าหรือ” พระเยซูเจ้าตรัสตอบเขาว่า “สิ่งที่เราทำ�อยู่ขณะนี้ ท่านยังไม่เข้าใจ แต่จะเข้าใจในภายหลัง” เปโตรทูลว่า “ข้าพเจ้าไม่ยอมให้พระองค์ล้างเท้าข้าพเจ้า” พระเยซูเจ้าตรัสตอบว่า “ถ้าท่านไม่ให้เราล้าง ท่านจะไม่มีส่วน เกีย่ วข้องกับเรา” ซีโมนเปโตรทูลว่า “พระเจ้าข้า อย่าทรงล้างเฉพาะเท้าเท่านัน้ แต่ลา้ งทัง้ มือและศีรษะด้วย” พระเยซูเจ้าตรัสว่า “ผู้ที่อาบนํ้าแล้วก็ไม่จำ�เป็นต้องล้างอะไรอีกนอกจากเท้า เขาสะอาดทั้งตัวแล้ว ท่าน ทั้งหลายก็สะอาดอยู่แล้ว แต่ไม่ทุกคน”... เมือ่ ทรงล้างเท้าของบรรดาศิษย์เสร็จแล้ว พระเยซูเจ้าทรงสวมเสือ้ คลุมอีกครัง้ หนึง่ เสด็จกลับไปทีโ่ ต๊ะ ตรัสว่า “ท่านเข้าใจไหมว่าเราทำ�อะไรให้ท่าน ท่านทั้งหลายเรียกเราว่าอาจารย์และองค์พระผู้เป็นเจ้า ก็ถูก แล้ว เพราะเราเป็นอย่างนั้นจริงๆ ในเมื่อเราซึ่งเป็นทั้งองค์พระผู้เป็นเจ้าและอาจารย์ยังล้างเท้าให้ท่าน ท่าน ก็ต้องล้างเท้าให้กันและกันด้วย เราวางแบบอย่างไว้ให้แล้ว ท่านจะได้ทำ�เหมือนกับที่เราทำ�กับท่าน” “พระองค์ทรงรักเราจนถึงที่สุด” จนถึงที่สุดแห่งชีวิตของพระองค์ พระองค์ทรงรักเราอย่างที่ เราคาดไม่ถึง นึกไม่ออก เพราะต่อให้พระองค์ต้องพบกับการทรยศหักหลัง ต่อให้ต้องก้มลงล้างเท้า หรือต่อ ให้พระองค์ต้องไม่เหลือชีวิตอยู่บนโลกนี้แบบมนุษย์ พระองค์ก็ยังทรงรักเราจนถึงที่สุด ยิ่งกว่านั้น พระองค์ ยังหาวิธีที่จะอยู่และรักเราต่อไปไม่สิ้นสุด โดย “ศีลมหาสนิท” พระเยซูเจ้าทรงรัก ทรงอยู่ และทรงรอคอย เราตลอดเวลา ...แล้วฉันล่ะ จะหันหน้าหรือหันหลังให้พระองค์?


วันศุกร์ศักดิ์สิทธิ์ สดด 31:1,5,11-13, 14-15,16,24

พระเยซูเจ้าทรงรับ ทรมานและสิ้นพระชนม์ บนไม้กางเขน (ถือศีลอดอาหาร และอดเนื้อ)

บทอ่านที่ 1 อสย 52:13-53:12 องค์พระผู้เป็นเจ้าตรัสว่า “ผู้รับใช้ของเราจะเจริญรุ่งเรือง เขาจะได้รับการยกย่อง เทิดทูนให้สูงยิ่ง คนจำ�นวนมากจะตกตะลึงเมื่อเห็นเขา หน้าตาของเขาเสียโฉมจนไม่ เหมือนหน้าตามนุษย์ รูปร่างของเขาก็ผิดไปจากรูปร่างของผู้คน ดังนั้น ชนหลายชาติ จะตกตะลึงเมื่อเห็นเขา”... องค์พระผู้เป็นเจ้าทรงประกาศว่า “...เราจะมอบคนจำ�นวนมากให้เป็นส่วนมรดก ของเขา เขาจะได้แบ่งของเชลยกับบรรดาผู้ทรงอำ�นาจ เพราะเขายอมตาย ยอมให้ทุก คนคิดว่าเป็นผูล้ ว่ งละเมิด แต่ทจี่ ริง เขาแบกบาปของคนทัง้ ปวง และวอนขอแทนบรรดา ผู้ล่วงละเมิด” บทอ่านที่ 2 ฮบ 4:14-16,5:7-9 พี่น้อง ในเมื่อเรามีมหาสมณะยิ่งใหญ่ผู้ซึ่งผ่านเข้าสู่สวรรค์แล้ว คือพระเยซูเจ้า พระบุตรของพระเจ้า เราจงยึดมั่นอยู่ในการแสดงความเชื่อของเราเถิด เพราะเหตุว่า เราไม่มีมหาสมณะที่ร่วมทุกข์กับเราผู้อ่อนแอไม่ได้ แต่เรามีมหาสมณะผู้ทรงผ่านการ ผจญทุกอย่างเหมือนกับเรา ยกเว้นบาป...

พระวรสาร ยน 18:1-19:42 เมื่อพระเยซูเจ้าตรัสดังนี้แล้ว ก็เสด็จไปพร้อมกับบรรดาศิษย์ ข้ามห้วยขิดโรน ที่นั่นมีสวนแห่งหนึ่ง พระองค์เสด็จเข้าไปพร้อมกับบรรดาศิษย์ ยูดาสผู้ทรยศรู้จักสถานที่นั้นด้วย เพราะพระองค์เคยทรงพบกับ บรรดาศิษย์ที่นั่นบ่อยๆ ยูดาสนำ�กองทหารและยามรักษาพระวิหารที่บรรดาหัวหน้าสมณะ และชาวฟาริสี จัดหาให้มาที่นั่น ถือตะเกียง ไต้ และอาวุธมาด้วย พระเยซูเจ้าทรงทราบทุกสิ่งที่จะเกิดขึ้นกับพระองค์ จึง เสด็จออกไปตรัสถามเขาเหล่านั้น... เขาเหล่านั้นนำ�พระเยซูเจ้าจากบ้านของคายาฟาสไปยังจวนผู้ว่าราชการ ขณะนั้นเป็นเวลาเช้าตรู่ คน เหล่านั้นไม่เข้าไปในจวน เพื่อมิให้เป็นมลทินแก่ตน จะได้กินปัสกาได้ ปีลาตจึงออกมาพบเขาข้างนอก ถาม ว่า “ท่านทั้งหลายมีข้อกล่าวหาอะไรมาฟ้องชายคนนี้” เขาตอบว่า “ถ้าคนนี้ไม่ใช่ผู้ร้าย เราคงไม่นำ�มามอบ ให้ท่าน” ปีลาตจึงพูดกับเขาว่า “ท่านทั้งหลายจงนำ�เขาไปพิพากษากันเองตามกฎหมายของท่านเถิด”... บรรดาทหารนำ�พระเยซูเจ้าไปประหารชีวิต พระองค์ทรงแบกไม้กางเขน เสด็จออกไปยังสถานที่ที่เรียก ว่า “เนินหัวกะโหลก” ภาษาฮีบรูว่า “กลโกธา” เขาตรึงพระองค์บนไม้กางเขนที่นั่นพร้อมกับนักโทษอีกสอง คน... หลังจากนั้น พระเยซูเจ้าทรงทราบว่าทุกสิ่งสำ�เร็จแล้ว จึงตรัสว่า “เรากระหาย” พระคัมภีร์ตอนนี้จึง เป็นจริงด้วย ทีน่ นั่ มีภาชนะใบหนึง่ บรรจุนาํ้ องุน่ เปรีย้ วจนเต็มวางอยู่ ทหารจึงใช้ฟองนํา้ ชุบนํา้ องุน่ เปรีย้ วเสียบ ปลายกิ่งหุสบ ยื่นถึงพระโอษฐ์ พระเยซูเจ้าทรงจิบนํ้าองุ่นเปรี้ยวแล้วตรัสว่า “สำ�เร็จบริบูรณ์แล้ว” พระองค์ ทรงเอนพระเศียร สิ้นพระชนม์... สิง่ ทีโ่ ลกได้มอบให้กบั พระเยซูเจ้า คือ การทรยศหักหลังโดยศิษย์ผถู้ อื ถุงเงิน การปฏิเสธไม่ขอ เลือกพระองค์โดยประชาชน และการยืนยันถึงสามครัง้ ว่าไม่เป็นศิษย์ของพระองค์โดยหัวหน้าอัครสาวก และ ที่สุดโลกได้มอบความตายบนไม้กางเขนให้กับพระองค์ ...สิ่งที่พระเยซูเจ้าได้มอบให้กับโลก คือ เลือด เนื้อ ชีวติ และลมหายใจสุดท้ายของพระองค์ และยังมอบแม่ของพระองค์ให้เรา และได้ขอให้แม่พระดูแลเราผูเ้ ป็น ลูกทรยศ...อะไรกันนี่ พระรักเราขนาดนี้เชียวหรือ


บทอ่านที่ 1 รม 6:3-11 พี่น้อง ท่านทั้งหลายไม่รู้หรือว่า เราทุกคนที่ได้รับศีลล้างบาปเดชะพระคริสตเยซู ก็ได้รับศีลล้างบาปเข้าร่วมกับการสิ้นพระชนม์ของพระองค์ด้วย ดังนั้น เราถูกฝังไว้ใน ความตายพร้อมกับพระองค์อาศัยศีลล้างบาป เพื่อว่าพระคริสตเจ้าทรงกลับคืนพระ ชนมชีพจากบรรดาผู้ตายเดชะพระสิริรุ่งโรจน์ของพระบิดาฉันใด เราก็จะดำ�เนินชีวิต แบบใหม่ด้วยฉันนั้น ถ้าเรารวมเป็นหนึ่งเดียวกับพระองค์ในการสิ้นพระชนม์ เราก็จะ รวมเป็นหนึ่งเดียวกับพระองค์ในการกลับคืนพระชนมชีพด้วยเช่นเดียวกัน เรารู้ว่า สภาพเดิมของความเป็นมนุษย์ของเราถูกตรึงกางเขนไว้กบั พระองค์แล้ว เพือ่ ว่าร่างกาย ที่ใช้ทำ�บาปของเราจะถูกทำ�ลาย และเราจะไม่เป็นทาสของบาปอีกต่อไป เพราะคนที่ ตายแล้ว ก็ย่อมพ้นจากบาป แต่เราเชื่อว่า ถ้าเราตายพร้อมกับพระคริสตเจ้าแล้ว เราก็จะมีชีวิตพร้อมกับ พระองค์ด้วย เรารู้ว่าพระคริสตเจ้าผู้ทรงกลับคืนพระชนมชีพจากบรรดาผู้ตายแล้วจะ ไม่สนิ้ พระชนม์อกี ความตายไม่มอี �ำ นาจเหนือพระองค์อกี ต่อไป เพราะเมือ่ สิน้ พระชนม์ พระองค์ก็ทรงตายครั้งเดียวจากบาปตลอดไป เมื่อมีพระชนมชีพก็มีพระชนมชีพเพื่อ พระเจ้า ดังนี้ ท่านทั้งหลายก็เช่นเดียวกัน ต้องถือว่าท่านตายจากบาปแล้ว แต่มีชีวิต อยู่เพื่อพระเจ้าในพระคริสตเยซู

วันเสาร์ศักดิ์สิทธิ์ สดด 118:1-2, 16-17,22-23

คืนตื่นเฝ้าปัสกา (เสกไฟ แห่เทียนปัสกา เสกนํ้า)

พระวรสาร มธ 28:1-10 หลังจากวันสับบาโต เช้าตรูข่ องวันต้นสัปดาห์ มารียช์ าวมักดาลาและมารียอ์ กี ผูห้ นึง่ ไปดูพระคูหา ทันใด นั้นได้เกิดแผ่นดินไหวอย่างรุนแรง ทูตสวรรค์ขององค์พระผู้เป็นเจ้าลงจากสวรรค์เข้าไปกลิ้งหินออกและนั่ง บนหินนั้น ใบหน้าของทูตสวรรค์แจ่มจ้าเหมือนสายฟ้า อาภรณ์ขาวราวหิมะ ทหารยามตกใจกลัวทูตสวรรค์ จนตัวสั่นหน้าซีดเหมือนคนตาย ทูตสวรรค์กล่าวแก่สตรีทั้งสองคนว่า “อย่ากลัวเลย ข้าพเจ้ารู้ว่าท่านกำ�ลังมองหาพระเยซู ผู้ถูกตรึงบน ไม้กางเขน พระองค์มไิ ด้ประทับอยูท่ นี่ ี่ เพราะทรงกลับคืนพระชนมชีพแล้วตามทีต่ รัสไว้ มาซิ มาดูทที่ เี่ ขาวาง พระองค์ไว้ แล้วจงรีบไปบอกบรรดาศิษย์วา่ ‘พระองค์ทรงกลับคืนพระชนมชีพจากบรรดาผูต้ ายแล้ว พระองค์ เสด็จล่วงหน้าท่านไปในแคว้นกาลิลี ท่านจะพบพระองค์ที่นั่น’ นี่คือข่าวดีที่ข้าพเจ้าแจ้งแก่ท่าน” สตรีทั้งสองคนมีทั้งความกลัวและความยินดีอย่างยิ่ง รีบออกจากพระคูหาวิ่งไปแจ้งข่าวแก่บรรดาศิษย์ ของพระองค์ ทันใดนั้น พระเยซูเจ้าเสด็จมาพบสตรีทั้งสองคน ตรัสว่า “จงยินดีเถิด” ทั้งสองคนจึงเข้าไปใกล้ กอด พระบาทนมัสการพระองค์ พระเยซูเจ้าตรัสว่า “อย่ากลัวเลย จงไปแจ้งข่าวแก่พี่น้องของเราให้ไปยังแคว้น กาลิลี เขาจะพบเราที่นั่น” “มาซิ มาดู” มามีประสบการณ์ที่ใจสัมผัสเรื่องราวที่เกิดขึ้น จนเราสามารถเป็นพยานได้ว่า พระทรงรักเรา ...ความรักของพระองค์มชี ยั ชนะ มิใช่ดว้ ยการ “มี” ความยิง่ ใหญ่ ทีแ่ สดงอำ�นาจบังคับบัญชา ผู้อื่น แต่ความรักของพระองค์ มีชัยชนะด้วยการ “หมด” ทุกสิ่งทุกอย่าง แต่พระองค์ไม่หมดรักเรา ...ความ ยินดี การมีชวี ติ ชีวา และความหวังอย่างสุภาพ เกิดในเรามนุษย์ ก็มใิ ช่เพราะเรามนุษย์เก่ง แต่เป็นเพราะพระ รักเรา และทรงรักเราจนถึงที่สุด พร้อมกับทรงให้คำ�ปลอบใจเรา ด้วยคำ�สั้นๆ ที่แฝงด้วยรักและห่วงใยว่า “จงยินดีเถิด” และ “อย่ากลัวเลย”


สมโภชปัสกา พระเยซูเจ้า ทรงกลับคืน พระชนมชีพ

บทอ่านจากหนังสือกิจการอัครสาวก กจ 10:34ก,37-43 เวลานั้น เปโตรเริ่มพูดว่า “ท่านทั้งหลายรู้เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นทั่วแคว้นยูเดีย เริ่ม ต้นที่แคว้นกาลิลี หลังจากที่ยอห์นได้เทศน์สอนและทำ�พิธีล้าง พระเจ้าทรงเจิม พระเยซูเจ้าชาวนาซาเร็ธด้วยพระอานุภาพเดชะพระจิตเจ้า พระเยซูเจ้าเสด็จผ่านไปที่ ใด ทรงกระทำ�ความดีและทรงรักษาทุกคนทีอ่ ยูใ่ ต้อ�ำ นาจของปีศาจ เพราะพระเจ้าสถิต กับพระองค์ เราทั้งหลายเป็นพยานยืนยันถึงกิจการทั้งปวงที่พระองค์ทรงกระทำ�ใน เขตแดนของชาวยิวและทีก่ รุงเยรูซาเล็ม เขาประหารชีวติ พระองค์โดยตรึงบนไม้กางเขน แต่พระเจ้าทรงบันดาลให้พระเยซูเจ้ากลับคืนพระชนมชีพในวันที่สามและโปรดให้ พระองค์แสดงพระองค์ มิใช่แก่ประชาชนทัง้ ปวง แต่ทรงแสดงพระองค์แก่บรรดาพยาน ที่พระเจ้าทรงเลือกสรรไว้ล่วงหน้าแล้ว คือเราทั้งหลายที่ได้กินและได้ดื่มร่วมกับ พระองค์ หลังจากที่ทรงกลับคืนพระชนมชีพจากบรรดาผู้ตาย พระเยซูเจ้าทรงบัญชา ให้เราประกาศสอนประชาชน และเป็นพยานยืนยันว่าพระเจ้าทรงแต่งตั้งพระองค์ให้ เป็นผู้พิพากษามนุษย์ทุกคน ทั้งผู้เป็นและผู้ตาย บรรดาประกาศกทั้งปวงเป็นพยาน ยืนยันถึงพระองค์วา่ ‘ทุกคนทีม่ คี วามเชือ่ ในพระองค์จะได้รบั การอภัยบาปเดชะพระนาม ของพระองค์’” เพลงสดุดี สดด 118:1-2,16-17,22-23 ก) จงขอบพระคุณองค์พระผู้เป็นเจ้า เพราะพระองค์พระทัยดี ความรักมั่นคงของพระองค์ดำ�รงอยู่เป็นนิตย์ เผ่าพันธุ์อิสราเอลจงกล่าวว่า “ความรักมั่นคงของพระองค์ดำ�รงอยู่เป็นนิตย์” ข) พระหัตถ์ขวาขององค์พระผู้เป็นเจ้าชูขึ้น พระหัตถ์ขวาขององค์พระผู้เป็นเจ้ามีชัยชนะ” ข้าพเจ้าจะไม่ตาย ข้าพเจ้าจะมีชีวิตอยู่ และจะประกาศพระราชกิจยิ่งใหญ่ขององค์พระผู้เป็นเจ้า ค) ศิลาซึ่งช่างก่อสร้างทิ้งไป กลายเป็นศิลาหัวมุม องค์พระผู้เป็นเจ้าทรงกระทำ�การนี้ เป็นสิ่งมหัศจรรย์แก่ตาของเรา บทอ่านจากจดหมายนักบุญเปาโลอัครสาวกถึงชาวโคโลสี คส 3:1-4 พี่น้อง ถ้าท่านทั้งหลายกลับคืนชีพพร้อมกับพระคริสตเจ้าแล้ว ก็จงใฝ่หาแต่สิ่งที่ อยู่เบื้องบนเถิด ณ ที่นั้นพระคริสตเจ้าประทับเบื้องขวาของพระเจ้า จงคิดถึงแต่สิ่งที่ อยูเ่ บือ้ งบน อย่าพะวงถึงสิง่ ของบนแผ่นดินนี้ เพราะท่านทัง้ หลายตายไปแล้วและชีวติ ของท่านก็ซ่อนอยู่กับพระคริสตเจ้าในพระเจ้า เมื่อพระคริสตเจ้าองค์ชีวิตของท่านจะ


ทรงสำ�แดงพระองค์ เมือ่ นัน้ ท่านจะปรากฏพร้อมกับพระองค์ ในพระสิริรุ่งโรจน์ด้วย

บทอ่านจากพระวรสารนักบุญยอห์น ยน 20:1-9 เช้าตรูว่ นั ต้นสัปดาห์ ขณะทีย่ งั มืด มารียช์ าวมักดาลาออก ไปที่พระคูหา ก็เห็นหินถูกเคลื่อนออกไปจากพระคูหาแล้ว นางจึงวิ่งไปหาซีโมนเปโตรกับศิษย์อีกคนหนึ่งที่พระเยซูเจ้า ทรงรักบอกว่า “เขานำ�องค์พระผูเ้ ป็นเจ้าไปจากพระคูหาแล้ว พวกเราไม่รู้ว่าเขานำ�พระองค์ไปไว้ที่ไหน” เปโตรกับศิษย์คนนั้นจึงออกไป มุ่งไปยังพระคูหา ทั้ง สองคนวิ่งไปด้วยกัน แต่ศิษย์คนนั้นวิ่งเร็วกว่าเปโตร จึงมา ถึงพระคูหาก่อน เขาก้มลงมองเห็นผ้าพันพระศพวางอยู่บน พื้น แต่ไม่ได้เข้าไปข้างใน ซีโมนเปโตรซึ่งตามไปติดๆ ก็มาถึง เข้าไปในพระคูหาและเห็นผ้าพันพระศพวาง อยู่ที่พื้น รวมทั้งผ้าพันพระเศียรซึ่งไม่ได้วางอยู่กับผ้าพันพระศพ แต่พับแยกวางไว้อีกที่หนึ่ง ศิษย์คนที่มาถึง พระคูหาก่อนก็เข้าไปข้างในด้วย เขาเห็นและมีความเชื่อ เขาทั้งสองคนยังไม่เข้าใจพระคัมภีร์ที่ว่า พระองค์ ต้องทรงกลับคืนพระชนมชีพจากบรรดาผู้ตาย พระเยซูเจ้าทรงกลับเป็นขึน้ มาแล้ว ใจของเราคงจะไม่แข็งกระด้างและโหดร้าย จนส่งพระองค์ ไปตายอีกครั้ง พร้อมกับการทรยศหักหลัง หรือปฏิเสธพระองค์ หรือตะโกนส่งพระองค์ให้ไปถูกตรึงกางเขน ใหม่อีก...พระเยซูเจ้าทรงกลับเป็นขึ้นมาแล้ว และแม้พระคูหาจะกลายเป็นที่ศักดิ์สิทธิ์ แต่พระองค์คงมิได้ คอยให้เรามาพบพระองค์ในพระคูหาแห่งความเคยชินเดิมๆ ของเรา พระคูหานั้นว่างเปล่าไปแล้ว...ใจของ เราอยู่ที่ใดมากกว่ากัน ระหว่างอยู่กับพระคูหา หรืออยู่กับพระเยซูเจ้า


บทอ่านที่ 1 กจ 2:14,22-32 เปโตรยืนขึน้ พร้อมกับบรรดาอัครสาวกสิบเอ็ดคนและพูดกับประชาชนด้วยเสียง ดังว่า “ท่านทั้งหลาย ชาวยูเดีย และท่านที่อาศัยอยู่ในกรุงเยรูซาเล็ม จงตั้งใจฟังวาจา ของข้าพเจ้าเถิด แล้วท่านจะรู้ว่าเกิดอะไรขึ้น ชาวอิสราเอลทั้งหลาย จงฟังวาจาเหล่านี้เถิด พระเยซูชาวนาซาเร็ธ เป็นบุรุษที่ พระเจ้าทรงส่งมาหาท่าน พระเจ้าทรงรับรองพระองค์โดยประทานอำ�นาจทำ�อัศจรรย์ อัฐมวารปัสกา ปาฏิหาริยแ์ ละเครือ่ งหมายต่างๆ เดชะพระเยซูเจ้า พระเจ้าทรงกระทำ�การเหล่านีใ้ นหมู่ สดด 16:1-2,7-8, ท่านทั้งหลายดังที่ท่านรู้อยู่แล้ว พระเยซูเจ้าทรงถูกมอบในมือของท่านตามที่พระเจ้ามี 9-10,11 พระประสงค์และทรงทราบล่วงหน้า ท่านใช้มือของบรรดาคนอธรรมประหารชีวิต วันสงกรานต์ พระองค์โดยตรึงบนไม้กางเขน แต่พระเจ้าทรงบันดาลให้พระองค์กลับคืนพระชนมชีพ พ้นจากอำ�นาจแห่งความตาย เพราะความตายยึดพระองค์ไว้ใต้อ�ำ นาจอีกต่อไปไม่ได้ ดัง ที่กษัตริย์ดาวิดตรัสถึงพระองค์ว่า ‘ข้าพเจ้าเห็นองค์พระผูเ้ ป็นเจ้าอยูต่ อ่ หน้าข้าพเจ้าเสมอ พระองค์ประทับอยูเ่ บือ้ งขวา ข้าพเจ้าจะไม่หวัน่ ไหว ดังนัน้ จิตใจของข้าพเจ้าจึงยินดี ปากของข้าพเจ้ากล่าวถ้อยคำ�แสดงความเกษมเปรมปรีดิ์ ร่างกายทีต่ าย ได้ของข้าพเจ้าพำ�นักอยู่ในความหวัง เพราะพระองค์จะไม่ทรงละทิ้งข้าพเจ้าไว้ในแดนผู้ตาย และจะไม่ทรง ปล่อยผู้ศักดิ์สิทธิ์ของพระองค์ให้เน่าเปื่อย พระองค์ทรงสอนข้าพเจ้าให้รู้จักทางแห่งชีวิต พระองค์จะทรง ทำ�ให้ข้าพเจ้าเปี่ยมด้วยความยินดีเฉพาะพระพักตร์พระองค์’” พี่น้องทั้งหลาย ข้าพเจ้าขอบอกท่านตรงๆ ว่า กษัตริย์ดาวิดบรรพบุรุษของเราสิ้นพระชนม์และถูกฝังไว้ ที่ฝังพระศพของพระองค์ยังคงอยู่ในหมู่เราจนถึงทุกวันนี้... พระวรสาร มธ 28:8-15 เวลานั้น สตรีทั้งสองคนมีทั้งความกลัวและความยินดีอย่างยิ่ง รีบออกจากพระคูหาวิ่งไปแจ้งข่าวแก่ บรรดาศิษย์ของพระองค์ ทันใดนั้น พระเยซูเจ้าเสด็จมาพบสตรีทั้งสองคน ตรัสว่า “จงยินดีเถิด” ทั้งสอง คนจึงเข้าไปใกล้ กอดพระบาทนมัสการพระองค์ พระเยซูเจ้าตรัสว่า “อย่ากลัวเลย จงไปแจ้งข่าวแก่พี่น้อง ของเราให้ไปยังแคว้นกาลิลี เขาจะพบเราที่นั่น” เมือ่ สตรีทงั้ สองคนเดินทางไป ทหารยามบางคนเข้าไปในเมือง แจ้งเหตุการณ์ทงั้ หมดทีเ่ กิดขึน้ แก่บรรดา หัวหน้าสมณะ บุคคลเหล่านี้จึงประชุมปรึกษากันกับบรรดาผู้อาวุโสแล้วตกลงจ่ายเงินก้อนใหญ่ให้ทหาร สั่ง ว่า “ท่านทั้งหลายจงพูดว่า ‘บรรดาศิษย์ของเขามาขโมยศพไปในเวลากลางคืน ขณะที่เรากำ�ลังหลับอยู่’ ถ้า เรื่องมาถึงหูของผู้ว่าราชการ เราจะชี้แจงแก่เขาทำ�ให้ท่านพ้นโทษ” ทหารได้รับเงินและทำ�ตามคำ�แนะนำ� เรื่องนี้จึงเล่าลือกันในหมู่ชาวยิวจนกระทั่งทุกวันนี้ สตรีสองคนเป็นผูท้ มี่ หี วั ใจแห่งความผูกพันเป็นเอก จึงได้เป็นบุคคลทีม่ หี วั ใจพร้อมเป็นชุดแรก ที่มีประสบการณ์พบ “พระเยซูเจ้า” ส่วนอัครสาวกที่ยังมีตำ�แหน่งฐานะแห่งความเป็นอัครสาวก เป็นผู้รู้ คำ�สอนของพระเยซูเจ้าเป็นเอก ได้เป็นบุคคลชุดต่อๆ มา ที่จะมีประสบการณ์พบ “พระเยซูเจ้า” ...พระเยซู เจ้าผูก้ ลับเป็นขึน้ มา มาพบเราใน “หัวใจ” ของเรา มิใช่เพราะเรามีอ�ำ นาจ มีความเก่ง หรือมีความเข้าใจ หรือ เพราะเรามีฐานะในสังคมพระศาสนจักร แต่เพราะเรามี “หัวใจ” แห่งความผูกพันกับพระองค์ ดังทีส่ ตรีสอง คนเป็นแบบอย่าง


บทอ่านที่ 1 กจ 2:36-41 เปโตรยืนขึน้ พร้อมกับบรรดาอัครสาวกสิบเอ็ดคน และพูดกับประชาชนด้วยเสียง ดังว่า “ดังนั้น ขอให้เผ่าพันธุ์อิสราเอลทั้งมวลรู้แน่เถิดว่า พระเจ้าทรงแต่งตั้งพระเยซู ผู้นี้ที่ท่านทั้งหลายนำ�ไปตรึงบนไม้กางเขนให้เป็นองค์พระผู้เป็นเจ้าและพระคริสตเจ้า” ถ้อยคำ�เหล่านีเ้ สียดแทงใจของทุกคน เขาเหล่านัน้ จึงถามเปโตรและอัครสาวกอืน่ ๆ ว่า “พี่น้อง พวกเราจะต้องทำ�อย่างไร” เปโตรตอบว่า “ท่านทั้งหลายจงกลับใจเถิด แต่ละคนจงรับศีลล้างบาปเดชะพระนามพระเยซูคริสตเจ้า เพื่อจะได้รับการอภัยบาป แล้วท่านจะได้รับพระพรของพระจิตเจ้า พระสัญญานี้มีไว้สำ�หรับท่านทั้งหลาย สำ�หรับ บุตรหลานของท่านและสำ�หรับทุกคนทีอ่ ยูห่ า่ งไกล ซึง่ องค์พระผูเ้ ป็นเจ้าพระเจ้าของเรา จะทรงเรียก” เปโตรกล่าวถ้อยคำ�อีกมาก อ้อนวอนและตักเตือนเขาว่า “ท่านทั้งหลาย จงช่วยตนให้รอดพ้นจากคนชั่วร้ายในยุคนี้เถิด” คนเหล่านั้นรับถ้อยคำ�ของเปโตรและ ได้รับศีลล้างบาป วันนั้นผู้มีความเชื่อมีจำ�นวนเพิ่มขึ้นอีกประมาณสามพันคน

อัฐมวารปัสกา สดด 33:4-5, 18-19,20-22

พระวรสาร ยน 20:11-18 เวลานั้น มารีย์ยังคงยืนร้องไห้อยู่นอกพระคูหา ขณะที่ร้องไห้นั้น นางก้มลงมอง ในพระคูหา ก็เห็นทูตสวรรค์สององค์สวมเสื้อขาวนั่งอยู่ตรงที่ที่เขาวางพระศพของ พระเยซูเจ้าไว้ องค์หนึ่งนั่งอยู่ทางเบื้องพระเศียร อีกองค์หนึ่งนั่งอยู่ทางเบื้องพระบาท ทูตสวรรค์ทั้งสององค์ถามนางว่า “นางเอ๋ย ร้องไห้ทำ�ไม” นางตอบว่า “เขานำ�องค์พระ ผูเ้ ป็นเจ้าของดิฉนั ไปแล้ว ดิฉนั ไม่รวู้ า่ เขานำ�พระองค์ไปไว้ทใี่ ด” เมือ่ ตอบดังนีแ้ ล้ว นาง ก็หันกลับมา และเห็นพระเยซูเจ้าทรงยืนอยู่ที่นั่น แต่ไม่รู้ว่าเป็นพระเยซูเจ้า พระองค์ ตรัสถามนางว่า “นางเอ๋ย ร้องไห้ทำ�ไม กำ�ลังเสาะหาผู้ใด” นางคิดว่าพระองค์เป็น คนสวน จึงตอบว่า “นายเจ้าขา ถ้าท่านนำ�พระองค์ไป ช่วยบอกดิฉันว่าท่านนำ�พระองค์ ไปไว้ทไี่ หน ดิฉนั จะได้ไปนำ�พระองค์กลับมา” พระเยซูเจ้าตรัสเรียกนางว่า “มารีย”์ นาง จึงหันไป ทูลพระองค์เป็นภาษาฮีบรูว่า “รับโบนี” ซึ่งแปลว่า พระอาจารย์ พระเยซูเจ้า ตรัสกับนางว่า “อย่าหน่วงเหนี่ยวเราไว้เลย เพราะเรายังไม่ได้ขึ้นไปเฝ้าพระบิดา แต่จง ไปหาพี่น้องของเรา และบอกเขาว่า เรากำ�ลังขึ้นไปเฝ้าพระบิดาของเรา และพระบิดา ของท่านทั้งหลาย ไปเฝ้าพระเจ้าของเรา และพระเจ้าของท่านทั้งหลาย” มารีย์ชาว มักดาลาจึงไปแจ้งข่าวกับบรรดาศิษย์ว่า “ดิฉันได้เห็นองค์พระผู้เป็นเจ้าแล้ว” และเล่า เรื่องที่พระองค์ตรัสกับนาง บทสนทนาของมารียก์ บั พระเยซูเจ้า มิใช่บทสนทนาของผูค้ งแก่เรียน มิได้ถกกันด้วยเรือ่ งของ ความสมเหตุสมผล หรือสนทนาแสวงหาแผนงานโครงการที่ยิ่งใหญ่ แต่เป็นเรื่องของคนธรรมดาๆ ที่เรียบๆ ง่ายๆ ...เมื่อเราภาวนา หรือเจริญชีวิตต่อหน้าพระ เราทำ�ด้วยใจซื่อๆ ดังลูกเล็กๆ ที่รักและผูกพันกับพ่อแม่ เช่นเมือ่ ลูกสงสัย...ลูกก็ถาม เมือ่ ลูกรูส้ กึ สมหวังหรือผิดหวัง รูส้ กึ ชอบหรือไม่ชอบ รูส้ กึ สุขหรือทุกข์...ลูกก็บอก ก็พดู กับพ่อแม่ ทีจ่ ริงพระเยซูเจ้ามิได้ถามเราด้วยคำ�ถามแห่งความรู้ แต่ทรงถามด้วยคำ�ถามแห่งหัวใจว่า “ลูก เอ๋ย ใจลูกกำ�ลังแสวงหาผู้ใด”


อัฐมวารปัสกา สดด 105:1-3, 4-6,7-10

บทอ่านที่ 1 กจ 3:1-10 วันหนึ่ง เวลาบ่ายสามโมง เปโตรและยอห์นกำ�ลังขึ้นไปที่พระวิหารเพื่ออธิษฐาน ภาวนา ที่ประตูพระวิหารซึ่งเรียกกันว่า “ประตูงาม” มีชายคนหนึ่งเป็นง่อยแต่กำ�เนิด มีผู้หามคนง่อยผู้นี้มาไว้ที่นั่นทุกวันเพื่อขอทานจากคนที่เข้าไปในพระวิหาร เมื่อเห็น เปโตรและยอห์นกำ�ลังเดินเข้าพระวิหาร คนง่อยจึงขอทานจากเขาทั้งสองคน เปโตร และยอห์นจ้องมองเขา... เปโตรกล่าวว่า “ข้าพเจ้าไม่มีเงินไม่มีทอง แต่ข้าพเจ้ามีอะไร จะให้ท่าน เดชะพระนามพระเยซูคริสตเจ้าชาวนาซาเร็ธ จงเดินไปเถิด” แล้วเปโตรจับ มือขวาของเขาช่วยพยุงให้ลุกขึ้น ทันใดนั้น เท้าและข้อเท้าของเขากลับมีกำ�ลัง เขา กระโดดขึ้นยืนและเริ่มเดิน แล้วจึงเข้าไปในพระวิหารพร้อมกับเปโตรและยอห์น เดิน บ้าง กระโดดบ้าง พลางสรรเสริญพระเจ้า ประชาชนทัง้ หลายเห็นเขาเดินและสรรเสริญ พระเจ้า...

พระวรสาร ลก 24:13-35 วันนั้น ศิษย์สองคนกำ�ลังเดินทางไปยังหมู่บ้านเอมมาอูส ซึ่งอยู่ห่างจากกรุงเยรูซาเล็มประมาณสิบเอ็ด กิโลเมตร ทั้งสองคนสนทนากันถึงเหตุการณ์ทั้งหมดที่เกิดขึ้น ขณะที่ก�ำ ลังสนทนาและถกเถียงกันอยู่น้ัน พระเยซูเจ้าเสด็จเข้ามาร่วมเดินทางด้วย แต่เขาจำ�พระองค์ไม่ได้ เหมือนดวงตาถูกปิดบัง พระองค์ตรัสถาม ว่า “ท่านเดินสนทนากันเรื่องอะไร” ทั้งสองคนก็หยุดเดิน ใบหน้าเศร้าหมอง ศิษย์ทชี่ อื่ เคลโอปัสถามว่า “ท่านเป็นเพียงคนเดียวทีแ่ วะมาในกรุงเยรูซาเล็มหรือ ซึง่ ไม่รเู้ รือ่ งราวทีเ่ กิด ขึ้นที่นั่นเมื่อสองสามวันมานี้” พระองค์ตรัสถามว่า “เรื่องอะไรกัน” เขาตอบว่า “ก็เรื่องพระเยซู ชาว นาซาเร็ธ ประกาศกทรงอำ�นาจในกิจการและคำ�พูดเฉพาะพระพักตร์พระเจ้าและต่อหน้าประชาชนทั้งปวง บรรดาหัวหน้าสมณะและผู้นำ�ของเรามอบพระองค์ให้ต้องโทษประหารชีวิต และตรึงพระองค์บนไม้กางเขน เราเคยหวังไว้ว่าพระองค์จะทรงปลดปล่อยอิสราเอลให้เป็นอิสระ แต่นี่เป็นวันที่สามแล้วตั้งแต่เหตุการณ์นี้ เกิดขึน้ สตรีบางคนในกลุม่ ของเราทำ�ให้เราประหลาดใจอย่างยิง่ เขาไปทีพ่ ระคูหาตัง้ แต่เช้าตรู่ เมือ่ ไม่พบพระ ศพ เขากลับมาเล่าว่าได้เห็นนิมติ ของทูตสวรรค์ซงึ่ พูดว่า พระองค์ยงั ทรงพระชนม์อยู่ บางคนในกลุม่ ของเรา ไปที่พระคูหา และพบทุกอย่างดังที่บรรดาสตรีเล่าให้ฟัง แต่ไม่เห็นพระองค์” พระองค์จึงตรัสกับเขาว่า “เจ้าคนเขลาเอ๋ย ใจของเจ้าช่างเชื่องช้าที่จะเชื่อข้อความที่บรรดาประกาศก กล่าวไว้ พระคริสตเจ้าจำ�เป็นต้องทนทรมานเช่นนี้เพื่อจะเข้าไปรับพระสิริรุ่งโรจน์ของพระองค์มิใช่หรือ”... เมื่อพระองค์ทรงพระดำ�เนินพร้อมกับศิษย์ทั้งสองคนใกล้จะถึงหมู่บ้านที่เขาตั้งใจจะไป พระองค์ทรง ทำ�ท่าว่าจะทรงพระดำ�เนินเลยไป แต่เขาทั้งสองคนรบเร้าพระองค์ว่า “จงพักอยู่กับพวกเราเถิด เพราะใกล้ คํ่าและวันก็ล่วงไปมากแล้ว” พระองค์จึงเสด็จเข้าไปพักกับเขา ขณะประทับที่โต๊ะกับเขา พระองค์ทรงหยิบ ขนมปัง ทรงถวายพระพร ทรงบิขนมปังและทรงยื่นให้เขา เขาก็ตาสว่างและจำ�พระองค์ได้ แต่พระองค์หาย ไปจากสายตาของเขา... ขณะที่ศิษย์สองคนกำ�ลังถกเถียงเกี่ยวกับเรื่องของพระเยซูเจ้า เขาพูดเรื่องพระเยซูเจ้า แต่ไม่ พบพระองค์ แม้พระเยซูเจ้าเองมาอยู่และมาถกเถียงกับพวกเขา พวกเขาก็ยังไม่พบพระองค์ ต่อมาเมื่อพวก เขาหยุดใช้หวั คิดถกเถียงเรือ่ งราวทีผ่ า่ นมา แล้วเปลีย่ นเป็นเชิญชวนพระเยซูเจ้าด้วยหัวใจทีร่ สู้ กึ ถึงความเป็น เพือ่ นทีม่ ไี มตรีตอ่ กัน เมือ่ พวกเขาเริม่ ใช้หวั ใจ หัวใจของพวกเขาก็คอ่ ยๆ เปิด และเมือ่ อนุญาตให้หวั ใจทำ�งาน พวกเขาก็ค่อยๆ จำ�พระองค์ได้ และส่งผลกลายเป็นความร้อนรนที่จะประกาศข่าวดีแก่ผู้อื่น ข่าวดีแห่ง ประสบการณ์ของพวกเขาที่ได้พบพระเยซูเจ้า


บทอ่านที่ 1 กจ 3:11-26 ขณะทีค่ นซึง่ เคยเป็นง่อยคนนัน้ หน่วงเหนีย่ วเปโตรและยอห์นไว้ ประชาชนทุกคน ประหลาดใจอย่างยิง่ ต่างวิง่ ไปหาเขาทัง้ สองคนทีเ่ ฉลียงซึง่ เรียกว่า “เฉลียงซาโลมอน” เมื่อเปโตรเห็นดังนั้นจึงกล่าวปราศรัยกับประชาชนว่า “ชาวอิสราเอลทั้งหลาย ทำ�ไมท่านจึงประหลาดใจในเรื่องนี้ ทำ�ไมท่านจึงจ้องมองเราเหมือนกับว่าเราทำ�ให้ชายผู้ นีเ้ ดินได้ดว้ ยอำ�นาจหรือความเลือ่ มใสของเราต่อพระเจ้า พระเจ้าของอับราฮัม อิสอัค อัฐมวารปัสกา และยาโคบ พระเจ้าแห่งบรรพบุรุษของเราได้ทรงสำ�แดงอำ�นาจรุ่งเรืองของพระเยซูเจ้า สดด 8:1,4-8 ผู้รับใช้ของพระองค์ ท่านทั้งหลายได้มอบพระเยซูเจ้านี้ให้แก่บรรดาผู้ปกครองและได้ ปฏิเสธพระองค์ต่อหน้าปีลาต ทั้งๆ ที่ปีลาตตัดสินใจจะปล่อยพระองค์อยู่แล้ว ท่าน ปฏิเสธพระองค์ผู้ศักดิ์สิทธิ์และชอบธรรม แต่กลับขอให้ปล่อยฆาตกร ท่านประหารเจ้าชีวิต แต่พระเจ้าทรง บันดาลให้พระองค์ทรงกลับคืนพระชนมชีพจากบรรดาผู้ตาย เราเป็นพยานได้ในเรื่องนี้ ด้วยความเชื่อใน พระนามพระองค์ ชายผูน้ ซี้ งึ่ ท่านทัง้ หลายเห็นและเคยรูจ้ กั จึงกลับมีก�ำ ลังขึน้ อีก ความเชือ่ ในพระองค์นแี้ หละ รักษาชายง่อยคนนี้ให้เป็นปกติต่อหน้าท่านทั้งหลาย พีน่ อ้ งทัง้ หลาย ข้าพเจ้ารูว้ า่ ท่านทำ�ไปเพราะไม่รเู้ ช่นเดียวกับบรรดาหัวหน้าของท่าน แต่พระเจ้าทรงใช้วธิ นี ้ี เพือ่ ทำ�ให้ถอ้ ยคำ�ทีพ่ ระองค์ตรัสไว้ลว่ งหน้าโดยทางบรรดาประกาศกว่าพระคริสตเจ้าของพระองค์จะต้องทรงรับ ทรมานนัน้ เป็นจริง เพราะฉะนัน้ ท่านจงเป็นทุกข์กลับใจและหันมาหาพระเจ้าเถิด เพือ่ บาปของท่านจะได้รบั การ อภัย...” พระวรสาร ลก 24:35-48 เวลานั้น ศิษย์ทั้งสองคนจึงเล่าเรื่องที่เกิดขึ้นตามทางและเล่าว่าตนจำ�พระองค์ได้เมื่อทรงบิขนมปัง ขณะที่บรรดาศิษย์กำ�ลังสนทนากันอยู่นั้น พระเยซูเจ้าทรงยืนอยู่ในหมู่เขา ตรัสว่า “สันติสุขจงดำ�รงอยู่ กับท่านทั้งหลายเถิด” เขาต่างตกใจกลัว คิดว่าได้เห็นผี แต่พระองค์ตรัสว่า “ท่านวุ่นวายใจทำ�ไม เพราะเหตุ ใดท่านจึงมีความสงสัยในใจ จงดูมือและเท้าของเราซิ เป็นเราเองจริงๆ จงคลำ�ตัวเราดูเถิด ผีไม่มีเนื้อ ไม่มี กระดูกอย่างที่ท่านเห็นว่าเรามี” ตรัสดังนี้แล้ว พระองค์ทรงให้เขาดูพระหัตถ์และพระบาท เขายินดีและ แปลกใจจนไม่อยากเชือ่ พระองค์จงึ ตรัสกับเขาว่า “ท่านมีอะไรกินบ้าง” เขาถวายปลาย่างชิน้ หนึง่ แด่พระองค์ พระองค์ทรงรับมาเสวยต่อหน้าเขา หลังจากนัน้ พระองค์ตรัสกับเขาว่า “นีค่ อื ความหมายของถ้อยคำ�ทีเ่ รากล่าวไว้ขณะทีย่ งั อยูก่ บั ท่าน ทุก สิ่งที่เขียนไว้เกี่ยวกับเราในธรรมบัญญัติของโมเสส บรรดาประกาศกและเพลงสดุดีจะต้องเป็นความจริง” แล้วพระองค์ทรงทำ�ให้เขาเกิดปัญญาเข้าใจพระคัมภีร์ ตรัสว่า “มีเขียนไว้ดังนี้ว่า พระคริสตเจ้าจะต้องทน ทุกข์ทรมานและจะกลับคืนพระชนมชีพจากบรรดาผูต้ ายในวันทีส่ าม จะต้องประกาศในพระนามพระองค์ให้ นานาชาติกลับใจเพื่อรับอภัยบาปโดยเริ่มจากกรุงเยรูซาเล็ม ท่านทั้งหลายเป็นพยานถึงเรื่องทั้งหมดนี้” ในเมื่อพระเยซูเจ้าทรงกลับคืนชีพจริง มีเนื้อหนัง มีกระดูก ก็แปลว่าพระองค์ทรงพิชิตความ ตายและบาปได้แล้ว เพราะฉะนั้น เราจะมัวจมอยู่กับความโศกเศร้าอันเนื่องมาจากการสิ้นพระชนม์ของ พระองค์ไม่ได้ จำ�เป็น “จะต้องประกาศในพระนามของพระองค์ ให้นานาชาติกลับใจเพื่อรับอภัยบาป” บัดนี้ เป็นหน้าที่ของเราทุกคนที่จะนำ� “การกลับใจ” และการ “อภัยบาป” ไปสู่มนุษย์ทุกคน เช่นเดียว กับเปโตรและยอห์นทีไ่ ด้กระทำ�แก่ชาวยิวเมือ่ สองพันปีกอ่ น และเช่นเดียวกับบรรดาผูแ้ พร่ธรรมทีไ่ ด้กระทำ� แก่ชาวไทยเมื่อ 350 ปีก่อน


บทอ่านที่ 1 กจ 4:1-12 ขณะทีเ่ ปโตรและยอห์นกำ�ลังปราศรัยกับประชาชนอยูน่ นั้ บรรดาสมณะพร้อมกับ นายทหารรักษาพระวิหารและบรรดาชาวสะดูสีได้เข้ามาพบ เขาไม่พอใจมากที่ทั้งสอง คนสั่งสอนประชาชนและประกาศว่าบรรดาผู้ตายจะกลับคืนชีพเพราะพระเยซูเจ้าทรง กลับคืนพระชนมชีพ เขาจับกุมเปโตรและยอห์นจองจำ�ไว้จนถึงวันรุง่ ขึน้ เพราะเป็นเวลา เย็นแล้ว... อัฐมวารปัสกา วันรุง่ ขึน้ ... เขานำ�เปโตรและยอห์นมาอยูก่ ลางทีป่ ระชุม แล้วเริม่ ซักถามว่า “ท่าน สดด 118:1-2 และ 4, ทั้งสองคนทำ�การโดยอำ�นาจหรือในนามของผู้ใด” เปโตรเปี่ยมด้วยพระจิตเจ้ากล่าวกับ 22-24,25-27ก เขาว่า “ท่านผู้ปกครองประชาชน และผู้อาวุโสทั้งหลาย วันนี้เราทำ�ความดีรักษาผู้ป่วย คนหนึ่ง เราจึงถูกสอบสวนว่าคนนี้หายจากโรคได้อย่างไร ท่านทั้งหลายและประชาชน อิสราเอลทุกคนจงรู้เถิดว่า ชายคนนี้หายจากโรคมายืนอยู่ต่อหน้าท่านทั้งหลาย ก็เพราะพระนามพระเยซู คริสตเจ้าชาวนาซาเร็ธ ซึ่งท่านนำ�ไปตรึงกางเขน แต่พระเจ้าทรงบันดาลให้กลับคืนพระชนมชีพจากบรรดาผู้ ตาย พระเยซูเจ้าองค์นี้ทรงเป็นศิลาซึ่งท่านทั้งหลายผู้เป็นช่างก่อสร้างขว้างทิ้ง แต่ได้กลายเป็นศิลาหัวมุม ไม่มีผู้ใดช่วยให้เรารอดพ้น เพราะใต้ฟ้านี้พระเจ้ามิได้ประทานนามอื่นแก่มนุษย์นอกจากนามนี้ที่ช่วยเราให้ รอดพ้นได้” พระวรสาร ยน 21:1-14 หลังจากนั้น พระเยซูเจ้าทรงสำ�แดงพระองค์แก่บรรดาศิษย์อีกครั้งหนึ่งที่ฝั่งทะเลสาบทีเบเรียส เรือ่ งราวเป็นดังนี้ ศิษย์บางคนอยูพ่ ร้อมกันทีน่ น่ั คือซีโมนเปโตร กับโทมัสทีเ่ รียกกันว่า “ฝาแฝด” นาธานาเอล ซึง่ มาจากหมูบ่ า้ นคานาในแคว้นกาลิลี บุตรทัง้ สองคนของเศเบดีและศิษย์อกี สองคน ซีโมนเปโตรบอกคนอืน่ ว่า “ข้าพเจ้าจะไปจับปลา” ศิษย์คนอื่นตอบว่า “พวกเราจะไปกับท่านด้วย” เขาทั้งหลายออกไปลงเรือ แต่ คืนนั้นทั้งคืนเขาจับปลาไม่ได้เลย พอรุ่งสาง พระเยซูเจ้าทรงยืนอยู่บนฝั่ง แต่บรรดาศิษย์ไม่รู้ว่าเป็นพระเยซูเจ้า พระเยซูเจ้าทรงร้องถาม ว่า “ลูกเอ๋ย มีอะไรกินบ้างไหม” เขาตอบว่า “ไม่มี” พระองค์จึงตรัสว่า “จงเหวี่ยงแหไปทางกราบเรือด้าน ขวาซิ แล้วจะได้ปลา” บรรดาศิษย์จึงเหวี่ยงแหออกไป แต่ดึงขึ้นไม่ไหว เพราะได้ปลาเป็นจำ�นวนมาก... เมื่อบรรดาศิษย์ขึ้นมาบนฝั่ง ก็เห็นถ่านติดไฟลุกอยู่ มีปลาและขนมปังวางอยู่บนไฟ พระเยซูเจ้าตรัส กับเขาว่า “จงเอาปลาที่เพิ่งจับได้มาบ้างซิ” ซีโมนเปโตรจึงลงไปในเรือ แล้วลากแหขึ้นฝั่ง มีปลาตัวใหญ่ติด อยู่เต็ม นับได้หนึ่งร้อยห้าสิบสามตัว แต่ทั้งๆ ที่ติดปลามากเช่นนั้น แหก็ไม่ขาด พระเยซูเจ้าตรัสกับเขาว่า “มากินอาหารกันเถิด” ไม่มีศิษย์คนใดกล้าถามว่า “ท่านเป็นใคร” เพราะรู้ว่าเป็นองค์พระผู้เป็นเจ้า... หนึ่งในคำ�สอนผิดๆ ตั้งแต่ยุคเริ่มแรกก็คือ คำ�สอนเรื่องการแสดงพระองค์แก่บรรดาศิษย์ภาย หลังพระเยซูเจ้าทรงกลับคืนพระชนมชีพเป็นเพียงภาพลวงตาหรือวิญญาณของผู้ตายปรากฏมาเท่านั้น แต่ยอห์นยืนยันว่าพระองค์ทรงกลับคืนพระชนมชีพจริงทั้งกายและวิญญาณ เพราะภาพลวงตาคงไม่ สามารถสัง่ เปโตรให้เหวีย่ งแหไปทางกราบเรือด้านขวา หรือก่อไฟจนถ่านลุกแดงทีช่ ายฝัง่ ทะเล หรือย่างปลา และปิ้งขนมปังพร้อมทั้งหยิบแจกให้แก่บรรดาศิษย์ได้ ในเมื่อพระองค์ทรงพิชิตความตายจริง พระองค์จึงกลายเป็นศิลาหัวมุม และเป็นเพียงผู้เดียวที่ช่วยเรา ให้รอดพ้นได้ “เพราะใต้ฟ้านี้พระเจ้ามิได้ประทานนามอื่นแก่มนุษย์นอกจากนามนี้ที่ช่วยเราให้รอดพ้นได้”


บทอ่านที่ 1 กจ 4:13-21 เมื่อเขาเหล่านั้นเห็นว่าเปโตรและยอห์นพูดอย่างกล้าหาญ ทั้งรู้ว่าทั้งสองคนไม่ เคยได้รบั การศึกษา และไม่มคี วามรูพ้ เิ ศษใดๆ ก็ประหลาดใจและระลึกได้วา่ ทัง้ สองคน เคยอยู่กับพระเยซูเจ้า เมื่อเห็นคนที่หายจากโรคยืนอยู่กับเปโตรและยอห์น เขาก็ไม่รู้ ว่าจะพูดอย่างไร จึงสัง่ ให้ทงั้ สองคนออกไปนอกห้องประชุม แล้วเริม่ ปรึกษากันว่า “เรา จะทำ�อย่างไรกับทั้งสองคนนี้ดี” เพราะเขาทำ�การอัศจรรย์เด่นชัด ทุกคนที่อยู่ในกรุง เยรูซาเล็มรู้ว่าเขาทำ�เครื่องหมายอัศจรรย์นี้อย่างเปิดเผย เราไม่อาจปฏิเสธได้ แต่เรา ต้องขู่เขา อย่าให้กล่าวถึงนามนั้นแก่ผู้ใด เพื่อเรื่องนี้จะได้ไม่เล่าลือแพร่หลายไปในหมู่ ประชาชนมากยิ่งขึ้น” เขาจึงเรียกเปโตรและยอห์นเข้ามา สั่งอย่างเด็ดขาดมิให้พูดหรือสอนในพระนาม พระเยซูเจ้าอีก เปโตรและยอห์นย้อนถามว่า “ท่านทัง้ หลายจงตัดสินเถิดว่าอะไรเป็นการ ถูกต้องเฉพาะพระพักตร์ของพระเจ้า จะฟังท่านหรือจะฟังพระเจ้า เราจำ�เป็นต้องพูดถึง สิ่งที่เราได้เห็นและได้ยินมา” ที่ประชุมขู่สำ�ทับทั้งสองคนอีกครั้งหนึ่งแล้วปล่อยไป เพราะไม่พบสาเหตุทจี่ ะลงโทษและเพราะกลัวประชาชน ทุกคนต่างถวายพระเกียรติแด่ พระเจ้าเพราะเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น

อัฐมวารปัสกา สดด 118:1 และ 14-15, 16-18,19-21 วันคุ้มครองโลก

พระวรสาร มก 16:9-15 หลังจากทีท่ รงกลับคืนพระชนมชีพตอนเช้าตรูว่ นั ต้นสัปดาห์แล้ว พระเยซูเจ้าทรง สำ�แดงพระองค์แก่มารีย์ชาวมักดาลาเป็นคนแรก นางคือผู้ที่พระองค์เคยทรงไล่ปีศาจ เจ็ดตนออกไป นางจึงไปบอกผู้ที่กำ�ลังร้องไห้เป็นทุกข์ซึ่งเคยอยู่กับพระองค์ เมื่อเขา เหล่านัน้ ได้ยนิ นางพูดว่าพระองค์ยงั ทรงพระชนม์อยูแ่ ละนางเห็นพระองค์แล้ว เขาก็ไม่ เชื่อ หลังจากนัน้ พระองค์ทรงสำ�แดงพระองค์ในรูปแตกต่างไปกับศิษย์สองคนซึง่ กำ�ลัง เดินทางไปชนบท เขาทั้งสองคนกลับมาเล่าให้คนอื่นฟัง แต่คนเหล่านั้นก็ไม่เชื่อเช่น เดียวกัน ในที่สุด พระองค์ทรงสำ�แดงพระองค์แก่อัครสาวกสิบเอ็ดคนขณะที่เขากำ�ลังร่วม โต๊ะกินอาหารอยู่ ทรงตำ�หนิพวกเขาที่ไม่ยอมเชื่อและมีใจแข็งกระด้าง เพราะไม่ยอม เชื่อผู้ที่เห็นพระองค์เมื่อทรงกลับคืนพระชนมชีพแล้ว พระองค์ตรัสกับเขาว่า “ท่าน ทั้งหลายจงออกไปทั่วโลก ประกาศข่าวดีให้มนุษย์ทั้งปวง” น่าเสียดายสำ�หรับผู้ที่มีใจแข็งกระด้าง ไม่ยอมเชื่อคำ�ยืนยันว่าพระเยซูเจ้าทรงกลับคืน พระชนมชีพแล้ว และยิ่งน่าเสียดายกว่าอีกสำ�หรับผู้ที่ทำ�ตัวขัดขวางมิให้ข่าวดีนี้แพร่หลายออกไป ก่อนเสด็จสู่สวรรค์ พระเยซูเจ้าตรัสสั่งว่า “ท่านทั้งหลายจงออกไปทั่วโลก ประกาศข่าวดีให้มนุษย์ ทัง้ ปวง” เปโตรและยอห์น ตลอดจนบรรดาผูแ้ พร่ธรรมทุกท่าน ฟังคำ�สัง่ ของพระเยซูเจ้า แล้วเราจะเลือกฟัง ใคร?


สัปดาห์ที่ 2 เทศกาลปัสกา ฉลองพระเมตตา ทำ�วัตรสัปดาห์ที่ 2

บทอ่านจากหนังสือกิจการอัครสาวก กจ 2:42-47 คนเหล่านั้นประชุมกันอย่างสมํ่าเสมอเพื่อฟังคำ�สั่งสอนของบรรดาอัครสาวก ดำ�เนินชีวิตร่วมกันฉันพี่น้อง ร่วม “พิธีบิขนมปัง” และอธิษฐานภาวนา พระเจ้า ทรงบันดาลให้บรรดาอัครสาวกทำ�ปาฏิหาริย์และเครื่องหมายอัศจรรย์เป็นจำ�นวนมาก ทุกคนจึงมีความยำ�เกรง ผูม้ คี วามเชือ่ ทุกคนดำ�เนินชีวติ ร่วมกันและมีทกุ สิง่ เป็นของส่วนรวม เขาขายทีด่ นิ และทรัพย์สินอื่นๆ แบ่งเงินให้ทุกคนตามความต้องการ ทุกๆ วัน เขาพร้อมใจกันไปที่พระวิหารและไปตามบ้านเพื่อทำ�พิธีบิขนมปัง ร่วม กินอาหารด้วยความยินดีและเข้าใจกัน เขาทั้งหลายสรรเสริญพระเจ้า และได้รับความ นิยมจากประชาชนทุกคน องค์พระผู้เป็นเจ้าทรงทำ�ให้จำ�นวนผู้ที่ได้รับความรอดพ้น เพิ่มขึ้นทุกวัน เพลงสดุดี สดด 118:2-4,13-15,22-24 ก) เผ่าพันธุ์อิสราเอลจงกล่าวว่า “ความรักมั่นคงของพระองค์ดำ�รงอยู่เป็นนิตย์” เผ่าพันธุ์ของอาโรนจงกล่าวว่า “ความรักมั่นคงของพระองค์ดำ�รงอยู่เป็นนิตย์” ผู้ยำ�เกรงองค์พระผู้เป็นเจ้าจงกล่าวว่า “ความรักมั่นคงของพระองค์ดำ�รงอยู่เป็นนิตย์” ข) ข้าพเจ้าถูกผลักอย่างรุนแรงให้ล้มลง แต่องค์พระผู้เป็นเจ้าเสด็จมาช่วยข้าพเจ้า องค์พระผู้เป็นเจ้าทรงเป็นพละกำ�ลังและทรงเป็นบทเพลงของข้าพเจ้า พระองค์ทรงเป็นผู้ช่วยข้าพเจ้าให้รอดพ้น เสียงโห่ร้องแสดงความยินดีและเสียงไชโย ดังก้องในกระโจมของผู้ชอบธรรมว่า “พระหัตถ์ขวาขององค์พระผู้เป็นเจ้ามีชัยชนะ บทอ่านจากจดหมายนักบุญเปโตรอัครสาวก ฉบับที่หนึ่ง 1 ปต 1:3-9 ขอถวายพระพรแด่พระเจ้า พระบิดาของพระเยซูคริสต์องค์พระผู้เป็นเจ้าของเรา พระองค์ทรงพระกรุณาอย่างยิง่ ใหญ่ พระองค์ทรงบันดาลให้เราบังเกิดใหม่และมีความ หวังที่จะมีชีวิต อาศัยการกลับคืนพระชนมชีพของพระเยซูคริสตเจ้าจากบรรดาผู้ตาย เพือ่ รับมรดกทีไ่ ม่เสือ่ มสลายไร้มลทิน ไม่มวี นั ร่วงโรยซึง่ เก็บรักษาไว้ในสวรรค์เพือ่ ท่าน พระเจ้าทรงปกป้องท่านไว้ด้วยพระอานุภาพให้มีความเชื่อ จนกว่าจะประทานความ รอดพ้นซึ่งกำ�ลังจะได้รับการเปิดเผยในวาระสุดท้าย


ดังนั้น ท่านจงชื่นชม แม้ว่าในเวลานี้ท่านยังต้องทนทุกข์จากการถูกทดสอบต่างๆ ชั่วขณะหนึ่ง เพื่อ คุณค่าที่แท้จริงแห่งความเชื่อของท่านจะได้รับการสรรเสริญ รับสิริรุ่งโรจน์และรับเกียรติเมื่อพระเยซู คริสตเจ้าจะทรงแสดงพระองค์ ความเชื่อนี้ประเสริฐยิ่งกว่าทองคำ�ที่เสื่อมสลายได้ แต่ก็ยังถูกทดสอบด้วย ไฟ ท่านมีความรักต่อพระเยซูคริสตเจ้าทัง้ ๆ ทีย่ งั มิได้เห็นพระองค์ แม้วา่ ขณะนีท้ า่ นยังมิได้เห็นพระองค์ ท่าน ก็ยังเชื่อในพระองค์ ท่านจึงชื่นชมยินดีสุดที่จะพรรณนา เพราะท่านกำ�ลังจะได้รับจุดมุ่งหมายของความเชื่อ คือความรอดพ้นของวิญญาณอยู่แล้ว

บทอ่านจากพระวรสารนักบุญยอห์น ยน 20:19-31 คํ่าวันนั้นซึ่งเป็นวันต้นสัปดาห์ ประตูห้องที่บรรดาศิษย์กำ�ลังชุมนุมกันปิดอยู่ เพราะกลัวชาวยิว พระเยซูเจ้าเสด็จเข้ามาประทับยืนอยูต่ รงกลาง ตรัสกับเขาทัง้ หลายว่า “สันติสขุ จงสถิตกับท่านทัง้ หลายเถิด” ตรัสดังนี้แล้ว พระองค์ทรงให้บรรดาศิษย์ดูพระหัตถ์และด้านข้างพระวรกาย เมื่อเขาเหล่านั้นเห็นองค์ พระผู้เป็นเจ้า ก็มีความยินดี พระองค์ตรัสกับเขาอีกว่า “สันติสุขจงสถิตกับท่านทั้งหลายเถิด พระบิดาทรงส่งเรามาฉันใด เราก็ส่ง ท่านทั้งหลายไปฉันนั้น” ตรัสดังนี้แล้ว พระองค์ทรงเป่าลมเหนือเขาทั้งหลาย ตรัสว่า “จงรับพระจิตเจ้าเถิด ท่านทั้งหลายอภัยบาปของผู้ใด บาปของผู้นั้นก็ได้รับการอภัย ท่านทั้งหลายไม่อภัยบาปของผู้ใด บาปของ ผู้นั้นก็ไม่ได้รับการอภัยด้วย” โทมัส ซึ่งเรียกกันว่า “ฝาแฝด” เป็นคนหนึ่งในบรรดาอัครสาวกสิบสองคน ไม่ได้อยู่กับอัครสาวกคน อื่นๆ เมื่อพระเยซูเจ้าเสด็จมา ศิษย์คนอื่นบอกเขาว่า “พวกเราเห็นองค์พระผู้เป็นเจ้าแล้ว” แต่เขาตอบว่า “ถ้าข้าพเจ้าไม่ได้เห็นรอยตะปูที่พระหัตถ์ และไม่ได้เอานิ้วแยงเข้าไปที่รอยตะปู และไม่ได้เอามือคลำ�ที่ด้าน ข้างพระวรกาย ข้าพเจ้าจะไม่เชื่อเป็นอันขาด” แปดวันต่อมา บรรดาศิษย์อยู่ด้วยกันในบ้านนั้นอีก โทมัสก็ อยู่กับเขาด้วย พระเยซูเจ้าเสด็จเข้ามาประทับยืนอยู่ตรงกลางทั้งๆ ที่ประตูปิดอยู่ ตรัสกับเขาทั้งหลายว่า “สันติสุขจงสถิตกับท่านทั้งหลายเถิด” แล้วตรัสกับโทมัสว่า “จงเอานิ้วมาที่นี่ และดูมือของเราเถิด จงเอา มือมาที่นี่ คลำ�ที่สีข้างของเรา อย่าสงสัยอีกต่อไป แต่จงเชื่อเถิด” โทมัสทูลพระองค์ว่า “องค์พระผู้เป็น เจ้าของข้าพเจ้า และพระเจ้าของข้าพเจ้า” พระเยซูเจ้าตรัสกับเขาว่า “ท่านเชื่อเพราะได้เห็นเรา ผู้ที่เชื่อ แม้ ไม่ได้เห็น ก็เป็นสุข” พระเยซูเจ้ายังทรงกระทำ�เครื่องหมายอัศจรรย์อื่นอีกหลายประการให้บรรดาศิษย์เห็น แต่ไม่ได้บันทึก ไว้ในหนังสือเล่มนี้ เรื่องราวเหล่านี้ถูกบันทึกไว้เพื่อท่านทั้งหลายจะได้เชื่อว่า พระเยซูเจ้าเป็นพระคริสตเจ้า พระบุตรของพระเจ้า และเมื่อมีความเชื่อนี้แล้ว ท่านทั้งหลายก็จะมีชีวิตเดชะพระนามของพระองค์ โทมัสหายหน้าไปจากบรรดาศิษย์ที่ร่วมชุมนุมกัน จึงพลาดโอกาสพบกับพระเยซูเจ้าคราวที่ พระองค์เสด็จมาหาครั้งแรก ปัญหาของโทมัสยังคงเป็นปัญหาของเราคริสตชนทุกวันนี้ นั่นคือหลายคนชอบหลบหน้าไปจากวัดซึ่ง เป็นสถานที่ชุมนุมกันของบรรดาสัตบุรุษ จึงพลาดโอกาสที่จะได้พบกับพระเยซูเจ้า กลับมาร่วมชุมนุมกัน แบบโทมัสเถิด มาให้พระเยซูเจ้าผู้ทรงกลับคืนพระชนมชีพและประทับอยู่ท่ามกลางเราในพระวาจาและ ศีลมหาสนิท ให้พระองค์พดู กับเรา สัมผัสหัวใจของเรา เพือ่ เราจะได้ไม่สงสัยอีกต่อไป แต่เชือ่ เช่นเดียวกับโทมัส


บทอ่านที่ 1 กจ 4:23-31 เมือ่ เปโตรและยอห์นได้รบั การปลดปล่อยแล้ว ก็ไปพบบรรดาศิษย์ เล่าทุกเรือ่ งที่ บรรดาหัวหน้าสมณะและผู้อาวุโสกล่าวกับตน เมื่อบรรดาศิษย์ฟังจบแล้ว จึงพร้อมใจ กันเปล่งเสียงทูลพระเจ้าว่า “ข้าแต่องค์พระผู้เป็นเจ้า พระองค์ทรงสร้างฟ้า แผ่นดิน ทะเล และสิ่งสารพัดที่มีอยู่ในนั้น เดชะพระจิตเจ้า พระองค์ทรงดลใจให้กษัตริย์ดาวิด ผู้รับใช้ของพระองค์และผู้เป็นบรรพบุรุษของข้าพเจ้าทั้งหลายตรัสว่า สัปดาห์ที่ 2 ‘ทำ�ไมชนชาติทั้งหลายจึงบันดาลโทสะ และบรรดาประชาชาติจึงวางแผนไร้สาระ เทศกาลปัสกา บรรดากษัตริย์ของแผ่นดินต่างต่อต้าน บรรดาผู้ปกครองมาร่วมกันต่อสู้กับองค์พระผู้ สดด 2:1-3,4-6,7-9 เป็นเจ้า และผู้รับเจิมของพระองค์’ ทำ�วัตรสัปดาห์ที่ 2 ความจริงแล้ว ในเมืองนีก้ ษัตริยเ์ ฮโรดและปอนทิอสั ปีลาตร่วมกับคนต่างชาติและ ประชากรอิสราเอลต่อสู้กับพระเยซูเจ้าผู้รับใช้ศักดิ์สิทธิ์ของพระองค์ซึ่งพระองค์ทรง เจิมไว้ เพื่อทำ�ให้พระประสงค์ที่ทรงกำ�หนดไว้ด้วยพระอานุภาพสำ�เร็จไป บัดนี้ ข้าแต่องค์พระผู้เป็นเจ้า โปรด ทอดพระเนตรคำ�ข่มขู่ของเขาทั้งหลายและประทานให้ข้ารับใช้ของพระองค์ประกาศพระวาจาของพระองค์ ด้วยความกล้าหาญอย่างยิ่งเถิด โปรดแสดงพระอานุภาพในการรักษาโรค ให้เครื่องหมายอัศจรรย์และ ปาฏิหาริยเ์ กิดขึน้ เดชะพระนามพระเยซูเจ้าผูร้ บั ใช้ศกั ดิส์ ทิ ธิข์ องพระองค์เถิด” เมือ่ บรรดาศิษย์อธิษฐานภาวนา จบแล้ว สถานที่ที่เขามาชุมนุมกันนั้นก็สั่นสะเทือน ทุกคนได้รับพระจิตเจ้าเต็มเปี่ยมและเริ่มประกาศพระ วาจาของพระเจ้าอย่างกล้าหาญ” พระวรสาร ยน 3:1-8 ชายคนหนึง่ จากกลุม่ ชาวฟาริสชี อื่ นิโคเดมัส เป็นหัวหน้าคนหนึง่ ของชาวยิว เขามาเฝ้าพระเยซูเจ้าตอน กลางคืน ทูลว่า “รับบี พวกเรารู้ว่า ท่านเป็นอาจารย์ที่มาจากพระเจ้า เพราะไม่มีใครทำ�เครื่องหมายอัศจรรย์ อย่างทีท่ า่ นทำ�ได้ นอกจากพระเจ้าจะสถิตกับเขา” พระเยซูเจ้าตรัสตอบว่า “เราบอกความจริงแก่ทา่ นว่าไม่มี ใครเห็นพระอาณาจักรของพระเจ้า ถ้าเขาไม่ได้เกิดใหม่” นิโคเดมัสทูลถามว่า “คนชราแล้วจะเกิดใหม่ได้ อย่างไรกัน เขาจะเข้าไปในครรภ์มารดาอีกครั้งหนึ่ง แล้วเกิดใหม่ได้หรือ” พระเยซูเจ้าทรงตอบว่า “เราบอกความจริงแก่ท่านว่า ไม่มีใครเข้าสู่พระอาณาจักรของพระเจ้าถ้าเขาไม่ เกิดจากนํ้าและพระจิตเจ้า สิ่งใดที่เกิดจากเนื้อหนังย่อมเป็นเนื้อหนัง สิ่งใดที่เกิดจากพระจิตเจ้า ย่อมเป็นจิต อย่าประหลาดใจถ้าเราบอกท่านว่า ท่านทั้งหลายจำ�เป็นต้องเกิดใหม่จากเบื้องบน ลมย่อมพัดไปในที่ที่ลม ต้องการ ท่านได้ยินเสียงลมพัด แต่ไม่รู้ว่าลมพัดมาจากไหน และจะพัดไปไหน ทุกคนที่เกิดจากพระจิตเจ้าก็ เป็นเช่นนี้” นิโคเดมัสประทับใจกับเครือ่ งหมายอัศจรรย์ทพี่ ระเยซูเจ้าทรงกระทำ�จนเชือ่ ว่าพระองค์มาจาก พระเจ้า แต่พระองค์สามารถทำ�ได้มากกว่านั้นอีก นั่นคือทำ�ให้เรา “เกิดใหม่ด้วยนํ้าและพระจิตเจ้า” “นํ้า” เป็นเครื่องหมายของการชำ�ระล้าง ส่วน “พระจิตเจ้า” เป็นเครื่องหมายของพละกำ�ลัง เมือ่ ใดก็ตามทีเ่ รายอมให้พระเยซูเจ้าเข้ามาเป็นนายเหนือชีวติ ของเรา พระองค์จะทรงชำ�ระและลบล้าง อดีตอันขมขืน่ ของเรา พร้อมกับประทานพละกำ�ลังแก่เราเพือ่ ชัยชนะในอนาคต นัน่ คือ การเป็นพลเมืองของ อาณาจักรสวรรค์ เป็นบุตรของพระเจ้า และมีชีวิตนิรันดรเหมือนพระองค์


บทอ่านที่ 1 กจ 4:32-37 เวลานั้น กลุ่มผู้มีความเชื่อดำ�เนินชีวิตเป็นนํ้าหนึ่งใจเดียวกัน ไม่คิดว่าสิ่งที่ตนมี เป็นกรรมสิทธิ์ของตน แต่ทุกสิ่งเป็นของส่วนรวม บรรดาอัครสาวกยังคงเป็นพยานยืนยันถึงการกลับคืนพระชนมชีพของพระเยซู องค์พระผูเ้ ป็นเจ้าด้วยเครือ่ งหมายอัศจรรย์ยงิ่ ใหญ่ และทุกคนได้รบั ความเคารพนับถือ อย่างสูง ในกลุม่ ของเขาไม่มใี ครขัดสน ผูใ้ ดมีทดี่ นิ หรือบ้านก็ขายและมอบเงินทีไ่ ด้ให้บรรดา อัครสาวก เพื่อแจกจ่ายให้ผู้มีความเชื่อแต่ละคนตามความต้องการ ชายคนหนึ่งชื่อโยเซฟ บรรดาอัครสาวกเรียกเขาว่า บารนาบัส ซึ่งแปลว่า บุตร แห่งการให้กำ�ลังใจ เขาเป็นคนเผ่าเลวีชาวเกาะไซปรัส เขามีที่ดินแปลงหนึ่งซึ่งเขาขาย นำ�เงินมามอบให้บรรดาอัครสาวกด้วย พระวรสาร ยน 3:7-15 เวลานัน้ พระเยซูเจ้าตรัสกับนิโคเดมัสว่า “อย่าประหลาดใจถ้าเราบอกท่านว่า ท่าน ทั้งหลายจำ�เป็นต้องเกิดใหม่จากเบื้องบน ลมย่อมพัดไปในที่ที่ลมต้องการ ท่านได้ยิน เสียงลมพัด แต่ไม่รู้ว่าลมพัดมาจากไหน และจะพัดไปไหน ทุกคนที่เกิดจากพระจิตเจ้า ก็เป็นเช่นนี้” นิโคเดมัสทูลถามพระองค์ว่า “เหตุการณ์เช่นนี้จะเป็นไปได้อย่างไร” พระเยซูเจ้าตรัสตอบว่า “ท่านเป็นอาจารย์ของชาวอิสราเอล ท่านไม่รู้เรื่องเหล่านี้หรือ เราบอกความจริงแก่ท่านว่า เรากำ�ลังพูดถึงเรื่องที่เรารู้และเป็นพยานถึงเรื่องที่เราเห็น แต่ทา่ นทัง้ หลายไม่ยอมรับคำ�ยืนยันของเรา ถ้าท่านทัง้ หลายไม่เชือ่ เมือ่ เราพูดถึงเรือ่ งที่ เกี่ยวกับโลกนี้ ท่านจะเชื่อได้อย่างไรเมื่อเราจะพูดถึงเรื่องที่เกี่ยวกับสวรรค์ ไม่มีใครเคยขึ้นไปบนสวรรค์ นอกจากผู้ที่ลงมาจากสวรรค์ คือบุตรแห่งมนุษย์ เท่านัน้ โมเสสยกรูปงูขนึ้ ในถิน่ ทุรกันดารฉันใด บุตรแห่งมนุษย์กจ็ ะต้องถูกยกขึน้ ฉันนัน้ เพื่อทุกคนที่มีความเชื่อในพระองค์จะมีชีวิตนิรันดร” นิโคเดมัสสงสัยว่า “การเกิดใหม่จากเบื้องบน” จะเป็นไปได้อย่างไร? คำ�ตอบของพระเยซูเจ้าคือ ให้รู้จักผลของมันก็พอแล้ว เราอาจไม่รู้ว่าลมเกิดขึ้น ได้อย่างไรและจะพัดไปไหน แต่เรารู้ว่ามันเกิดขึ้นจริงจากเสียงลมพัด เราอาจไม่รู้ว่า เครื่องยนต์ทำ�งานได้อย่างไร แต่เราก็ได้ประโยชน์จากมันเวลานั่งรถยนต์ ดังนี้เป็นต้น เช่นเดียวกัน เราอาจไม่รวู้ า่ พลังอำ�นาจของพระเยซูเจ้าทำ�ให้เราเกิดใหม่ได้อย่างไร แต่คริสตชนยุคเริม่ แรกทีด่ �ำ เนินชีวติ เป็นนาํ้ หนึง่ ใจเดียวกัน แบ่งปันทรัพย์สนิ ซึง่ กันและ กัน คือเครื่องพิสูจน์ว่าพวกเขาเกิดใหม่จากเบื้องบนแล้ว

น.อันเซลม์ พระสังฆราช และนักปราชญ์ แห่งพระศาสนจักร สดด 93:1-2กข, 2ค-4,5

ทำ�วัตรสัปดาห์ที่ 2


สัปดาห์ที่ 2 เทศกาลปัสกา สดด 34:1-2,3-4, 5-6,7-8

ทำ�วัตรสัปดาห์ที่ 2 วันคุ้มครองโลก

บทอ่านที่ 1 กจ 5:17-26 ในครัง้ นัน้ มหาสมณะและทุกคนทีอ่ ยูก่ บั เขาคือกลุม่ ชาวสะดูสี มีความอิจฉาอย่าง ยิ่ง จึงจับกุมบรรดาอัครสาวกและจองจำ�ไว้ในคุกสาธารณะ เวลากลางคืน ทูตสวรรค์องค์หนึ่งขององค์พระผู้เป็นเจ้าเปิดประตูคุก นำ�บรรดา อัครสาวกออกไป สั่งว่า “ท่านทั้งหลายจงไปที่พระวิหาร ประกาศพระวาจาเกี่ยวกับวิถี ชีวิตใหม่นี้ให้ประชาชนฟังเถิด” เมื่อบรรดาอัครสาวกได้ฟังดังนั้น ก็เข้าไปในพระวิหาร ตั้งแต่เช้าตรู่และเริ่มสั่งสอนที่นั่น เมื่อมหาสมณะและทุกคนที่อยู่กับเขามาถึง ก็เรียกประชุมสภาซันเฮดรินและ บรรดาผูอ้ าวุโสทุกคนของอิสราเอล แล้วให้พนักงานไปทีค่ กุ นำ�ตัวบรรดาอัครสาวกออก มา แต่เมื่อพนักงานไปถึง ก็ไม่พบบรรดาอัครสาวกอยู่ในคุกแล้ว จึงกลับมารายงานว่า “พวกเราพบคุกปิดไว้อย่างแน่นหนาและคนเฝ้าก็ยืนรักษาการณ์อยู่ที่ประตู แต่เมื่อเรา เปิดประตูเข้าไปก็ไม่พบผู้ใดเลยสักคน” เมื่อนายทหารรักษาพระวิหารและบรรดา หัวหน้าสมณะได้ยินถ้อยคำ�เหล่านี้ ต่างรู้สึกสับสนไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้น ขณะนั้นเอง มี คนหนึ่งมาบอกว่า “ดูซิ คนเหล่านั้นที่ท่านทั้งหลายจองจำ�ไว้ในคุก กำ�ลังยืนสั่งสอน ประชาชนอยู่ในพระวิหาร” นายทหารรักษาพระวิหารพร้อมกับนายทหารยามจึงไปนำ� บรรดาอัครสาวกมาโดยไม่ใช้กำ�ลัง เพราะเกรงประชาชนจะขว้างด้วยก้อนหิน

พระวรสาร ยน 3:16-21 เวลานัน้ พระเยซูเจ้าตรัสกับนิโคเดมัสว่า “พระเจ้าทรงรักโลกอย่างมากจึงประทาน พระบุตรเพียงพระองค์เดียวของพระองค์ เพื่อทุกคนที่มีความเชื่อในพระบุตรจะไม่ พินาศ แต่จะมีชีวิตนิรันดร เพราะพระเจ้าทรงส่งพระบุตรมาในโลกนี้มิใช่เพื่อตัดสิน ลงโทษโลก แต่เพื่อโลกจะได้รับความรอดพ้นเดชะพระบุตรนั้น ผู้ที่มีความเชื่อใน พระบุตรจะไม่ถูกตัดสินลงโทษ แต่ผู้ที่ไม่มีความเชื่อก็ถูกตัดสินลงโทษอยู่แล้ว เพราะ เขามิได้มีความเชื่อในพระนามของพระบุตรเพียงพระองค์เดียวของพระเจ้า ประเด็น ของการตัดสินลงโทษก็คอื ความสว่างเข้ามาในโลกนีแ้ ล้ว แต่มนุษย์รกั ความมืดมากกว่ารักความสว่าง เพราะ การกระทำ�ของเขานัน้ ชัว่ ร้าย ทุกคนทีท่ �ำ ความชัว่ ย่อมเกลียดความสว่างและไม่เข้าใกล้ความสว่าง เกรงว่าการ กระทำ�ของตนจะปรากฏชัดแจ้ง แต่ผู้ที่ปฏิบัติตามความจริง ย่อมเข้าใกล้ความสว่าง เพื่อให้เห็นชัดว่าสิ่งที่ เขาทำ�นั้นได้ทำ�โดยพึ่งพระเจ้า” สาระสำ�คัญของพระวรสารที่พระเยซูเจ้าทรงเปิดเผยแก่เราก็คือ พระบิดามิใช่พระเจ้าที่คอย เฝ้าจับผิดและลงโทษมนุษย์ แต่ธาตุแท้ของพระองค์คือ “ความรัก” พระองค์เป็นผู้ริเริ่มแผนการแห่งความ รอดพ้น โดยทรง “ประทานพระบุตรเพียงพระองค์เดียวของพระองค์ เพือ่ ทุกคนทีม่ คี วามเชือ่ ในพระบุตรจะ ไม่พินาศ แต่จะมีชีวิตนิรันดร” และสิ่งที่พระองค์ทรงรักคือ “โลก” นั่นคือทุกคน ไม่เว้นใครเลย แม้ผู้นั้นจะโดดเดี่ยวไร้คนเหลียวแล เพียงใดก็ตาม ล้วนรวมอยู่ในความรักอันกว้างใหญ่ไพศาลของพระองค์ทั้งสิ้น


บทอ่านที่ 1 กจ 5:27-33 ในครั้งนั้น เขานำ�บรรดาอัครสาวกมายังสภาซันเฮดริน มหาสมณะจึงกล่าวหาว่า “เรากำ�ชับท่านทั้งหลายอย่างแข็งขันแล้ว ไม่ให้สอนโดยออกนามนี้ แต่ท่านยังขืนนำ� คำ�สอนของตนมาแพร่ไปทัว่ กรุงเยรูซาเล็ม และต้องการให้โลหิตของคนคนนีต้ กอยูก่ บั เรา” เปโตรและบรรดาอัครสาวกตอบว่า “เราต้องเชื่อฟังพระเจ้ายิ่งกว่าเชื่อฟังมนุษย์ พระเจ้าแห่งบรรพบุรษุ ของเราทรงบันดาลให้พระเยซูเจ้าทีท่ า่ นทัง้ หลายประหารชีวติ โดย ตรึงบนไม้กางเขนนัน้ กลับคืนพระชนมชีพ พระเจ้าทรงยกพระองค์ทา่ นขึน้ ประทับเบือ้ ง ขวาในฐานะเป็นหัวหน้าและผู้กอบกู้ เพื่อให้อิสราเอลกลับใจและรับการอภัยบาป เรา ทั้งหลายเป็นพยานในเรื่องนี้ และพระจิตเจ้าซึ่งพระเจ้าประทานแก่ผู้ที่เชื่อฟังพระองค์ ก็ทรงเป็นพยานด้วย” เมื่อได้ฟังดังนี้ทุกคนในสภาซันเฮดรินรู้สึกโกรธเคืองอย่างมาก อยากจะฆ่าบรรดาอัครสาวก พระวรสาร ยน 3:31-36 เวลานั้น พระเยซูเจ้าตรัสกับนิโคเดมัสว่า “ผู้ที่มาจากเบื้องบนย่อมอยู่เหนือทุกคน ผู้ที่มาจากแผ่นดินนี้ ย่อมเป็นของ แผ่นดินนี้ และพูดอย่างคนของแผ่นดินนี้ ผู้ที่มาจากสวรรค์ย่อมอยู่เหนือทุกคน เขา เป็นพยานถึงสิง่ ทีไ่ ด้เห็นและได้ยนิ แต่ไม่มใี ครยอมรับคำ�พยานยืนยันของเขา ผูท้ รี่ บั คำ� พยานยืนยันของเขา ก็รบั รองว่าพระเจ้าทรงสัตย์จริง ผูท้ พี่ ระเจ้าทรงส่งมานัน้ ย่อมกล่าว พระวาจาของพระเจ้า เพราะพระเจ้าประทานพระจิตเจ้าให้เขาอย่างไม่จำ�กัด พระบิดา ทรงรักพระบุตร และทรงมอบทุกสิ่งไว้ในพระหัตถ์ของพระบุตร ผู้ใดมีความเชื่อใน พระบุตรย่อมมีชีวิตนิรันดร ผู้ที่ไม่ยอมเชื่อฟังพระบุตร จะไม่พบชีวิตนั้น การลงโทษ ของพระเจ้ากำ�ลังอยู่เหนือเขาแล้ว” หากเราต้องการรูข้ อ้ มูลเกีย่ วกับเมืองใด เราควรต้องไปหาข้อมูลจากชาว เมืองนั้นฉันใด หากเราต้องการรู้ข้อมูลเกี่ยวกับพระเจ้า เราก็ควรต้องไปหาข้อมูลจาก ผู้ที่พระเจ้าทรงส่งมาฉันนั้น ในอดีต พระเจ้าประทานพระจิตให้แก่บรรดาประกาศกเพียงบางส่วน แต่ทรง ประทานให้แก่ผู้ที่พระองค์ทรงส่งมาอย่างไม่จำ�กัด บทบาทของพระจิตคือเปิดเผยความจริงของพระเจ้า และทำ�ให้เราเข้าใจความจริง นั้น พระเยซูเจ้าผู้เปี่ยมด้วยพระจิตเจ้าอย่างไม่จำ�กัดจึงรู้และเข้าใจความจริงเกี่ยวกับ พระเจ้าอย่างสมบูรณ์ จนว่าผู้ใดยอมรับและเชื่อพระองค์ก็ยอมรับว่าเป็นวาจาของ พระเจ้าจริง และจะพบกับชีวิตนิรันดร

น.ยอร์จ มรณสักขี สดด 34:1,8, 16-18,19-20

ทำ�วัตรสัปดาห์ที่ 2


น.ฟีเดลิส แห่งซิกมาริงเก็น พระสงฆ์ และมรณสักขี สดด 27:1,4,13-14

ทำ�วัตรสัปดาห์ที่ 2

บทอ่านที่ 1 กจ 5:34-42 ขณะนัน้ อาจารย์กฎหมายชาวฟาริสคี นหนึง่ ชือ่ กามาลิเอล เป็นทีเ่ คารพนับถือของ ประชาชน ยืนขึน้ ในสภาซันเฮดรินและขอให้น�ำ บรรดาอัครสาวกออกไปข้างนอกสักครู่ หนึ่ง แล้วจึงกล่าวแก่บรรดาสมาชิกสภาว่า “ชาวอิสราเอลทั้งหลาย ท่านจะทำ�อะไรกับ คนเหล่านี้ ก็จงคิดให้ดเี สียก่อน เมือ่ ไม่นานมานี้ คนคนหนึง่ ชือ่ เทวดัสตัง้ ตนเป็นผูว้ เิ ศษ คนประมาณสีร่ อ้ ยคนติดตามเขา แต่เมือ่ เขาถูกฆ่า ทุกคนทีต่ ดิ ตามเขาก็กระจัดกระจาย ไปจนหมดสิ้น หลังจากนั้นในสมัยสำ�รวจจำ�นวนประชาชน ก็มียูดาสชาวกาลิลี ชักจูงประชาชน ให้มาติดตามตน แต่เขาก็ถกู ฆ่าด้วย ทุกคนทีต่ ดิ ตามเขาก็กระจัดกระจายไป บัดนีข้ า้ พเจ้า ขอบอกท่านทัง้ หลายว่า จงเลิกสนใจคนเหล่านีแ้ ละปล่อยเขาไปเถิด เพราะถ้าแผนการ และกิจการของเขามาจากมนุษย์ แผนการและกิจการนัน้ ก็จะสลายไปเอง แต่ถา้ มาจาก พระเจ้า ท่านทั้งหลายจะทำ�ลายเขาไม่ได้ ยิ่งกว่านั้น ท่านจะกลับเป็นผู้ต่อสู้กับพระเจ้า เสียเอง”...

พระวรสาร ยน 6:1-15 หลังจากนั้น พระเยซูเจ้าเสด็จข้ามทะเลสาบกาลิลีหรือทีเบเรียส ประชาชนจำ�นวนมากตามพระองค์ไป เพราะเห็นเครื่องหมายอัศจรรย์ที่ทรงกระทำ�แก่ผู้เจ็บป่วย พระองค์เสด็จขึ้นไปบนภูเขา ประทับที่นั่นพร้อม กับบรรดาศิษย์ ขณะนั้นใกล้จะถึงวันฉลองปัสกาของชาวยิว พระเยซูเจ้าทรงเงยพระพักตร์ ทอดพระเนตรเห็นประชาชนจำ�นวนมากทีม่ าเฝ้า จึงตรัสกับฟีลปิ ว่า “พวก เราจะซื้อขนมปังที่ไหนให้คนเหล่านี้กิน” พระองค์ตรัสดังนี้เพื่อทดลองใจเขา แต่พระองค์ทรงทราบแล้วว่า จะทรงทำ�ประการใด ฟีลปิ ทูลตอบว่า “ขนมปังราคาสองร้อยเหรียญแจกให้คนละนิดก็ยงั ไม่พอ” ศิษย์อกี คน หนึง่ คือ อันดรูวน์ อ้ งของซีโมนเปโตรทูลว่า “เด็กคนหนึง่ ทีน่ มี่ ขี นมปังบาร์เลย์หา้ ก้อนกับปลาสองตัว ขนมปัง และปลาเพียงเท่านี้จะพออะไรสำ�หรับคนจำ�นวนมากเช่นนี้” พระเยซูเจ้าตรัสว่า “จงบอกประชาชนให้นั่งลง เถิด” ที่นั่นมีหญ้าขึ้นอยู่ทั่วไป เขาจึงนั่งลง นับจำ�นวนผู้ชายได้ถึงห้าพันคน พระเยซูเจ้าทรงหยิบขนมปังขึ้น ทรงขอบพระคุณพระเจ้า แล้วทรงแจกจ่ายให้แก่ผทู้ นี่ งั่ อยูต่ ามทีเ่ ขาต้องการ พระองค์ทรงกระทำ�เช่นเดียวกัน กับปลา เมื่อคนทั้งหลายอิ่มแล้ว พระองค์ตรัสแก่บรรดาศิษย์ว่า “จงเก็บเศษขนมปังที่เหลือ อย่าให้สิ่งใด สูญไปเปล่าๆ” บรรดาศิษย์จึงเก็บเศษขนมปังบาร์เลย์ห้าก้อนที่เหลือนั้นได้สิบสองกระบุง เมื่อคนทั้งหลาย เห็นเครื่องหมายอัศจรรย์ที่ทรงกระทำ�ก็พูดว่า “ท่านผู้นี้เป็นประกาศกแท้ซึ่งจะต้องมาในโลก” พระเยซูเจ้า ทรงทราบว่าคนเหล่านั้นจะใช้กำ�ลังบังคับพระองค์ให้เป็นกษัตริย์ จึงเสด็จไปบนภูเขาตามลำ�พังอีกครั้งหนึ่ง อันดรูว์ต่างจากฟีลิปโดยสิ้นเชิง ฟีลิปคือคนประเภทที่ชอบพูดว่า “หมดหวัง ไม่มีทางทำ�ได้” ส่วนอันดรูว์คือคนที่พาเด็กมาหาพระเยซูเจ้าและทำ�ให้อัศจรรย์ครั้งนี้เป็นไปได้ เมื่อเรานำ�คนคนหนึ่งมาหาพระเยซูเจ้า เราไม่มีทางรู้เลยว่าเราได้เพิ่ม “ความเป็นไปได้” ที่พระองค์จะ กระทำ�กิจการยิง่ ใหญ่อกี มากน้อยเพียงใด! อนึง่ ขนมปังและปลาทีเ่ ด็กคนนีน้ �ำ มามอบแด่พระองค์มไิ ด้มรี าคา ค่างวดมากมายแต่ประการใด แต่หากเขาปฏิเสธที่จะให้สิ่งที่เขามี เราคงต้องลดจำ�นวนอัศจรรย์อันยิ่งใหญ่ ลงไปอีกหนึ่งครั้ง ทุกวันนี้ โลกไม่คอ่ ยมีโอกาสได้เห็นอัศจรรย์และเหตุการณ์ยงิ่ ใหญ่บอ่ ยครัง้ นัก นัน่ เป็นเพราะเราไม่ยอม นำ� “สิ่งที่เรามี” และ “สิ่งที่เราเป็น” มามอบถวายแด่พระองค์!


บทอ่านที่ 1 1 ปต 5:5ข-14 ท่านที่รักยิ่งทั้งหลาย จงมีความถ่อมตนต่อกันเถิดเพราะพระเจ้าทรงต่อต้านคน เย่อหยิ่งจองหอง แต่ประทานพระหรรษทานแก่ผู้ถ่อมตน ดังนั้น จงถ่อมตนอยู่ใต้ พระหัตถ์ทรงฤทธิ์ของพระเจ้า เพื่อพระองค์จะได้ทรงยกย่องท่านเมื่อถึงเวลาอันควร จงละความกระวนกระวายทั้งมวลของท่านไว้กับพระองค์ เพราะพระองค์ทรงห่วงใย ท่าน จงมีสติสัมปชัญญะและตื่นตัวอยู่เสมอ เพราะศัตรูของท่านคือมารกำ�ลังดัก วนเวียนอยู่รอบๆ ดุจสิงโตคำ�ราม เสาะหาคนที่มันจะกัดกินได้ จงต่อสู้กับมันด้วยใจ มั่นคงในความเชื่อ จงรู้ว่าบรรดาพี่น้องผู้มีความเชื่อทั่วโลกก็ประสบความทุกข์ลำ�บาก เช่นเดียวกัน และเมื่อท่านได้ทนทุกข์อยู่ชั่วขณะหนึ่งแล้ว พระเจ้าผู้ประทานพระ หรรษทานทุกประการ ผู้ทรงเรียกท่านให้มารับพระสิริรุ่งโรจน์นิรันดรในพระคริสตเจ้า จะทรงฟื้นฟูท่านให้มั่นคง มีกำ�ลังเข้มแข็ง และจะทรงพยุงท่านไว้ ขอพระอานุภาพจงมี แด่พระองค์ตลอดนิรันดร อาเมน ข้าพเจ้าเขียนจดหมายสั้นๆ ฉบับนี้ ด้วยความช่วยเหลือของสิลวานัสซึ่งข้าพเจ้า นับถือว่าเป็นพี่น้องที่ซื่อสัตย์ ข้าพเจ้าเตือนสติท่านและยืนยันว่านี่เป็นพระหรรษทาน แท้จริงของพระเจ้า จงยืนหยัดมั่นคงในพระหรรษทานนี้เถิด พระศาสนจักรที่กรุง บาบิโลนซึ่งพระเจ้าทรงเลือกสรรไว้เช่นเดียวกับที่ได้ทรงเลือกสรรท่าน ขอฝากความ คิดถึงท่าน มาระโกบุตรของข้าพเจ้าก็ฝากความคิดถึงท่านด้วย จงทักทายกันด้วยการจุมพิตแสดงความรัก ขอสันติสุขจงอยู่กับท่านทั้งหลายซึ่ง ดำ�รงอยู่ในพระคริสตเจ้าเทอญ

ฉลอง น.มาระโก ผู้นิพนธ์พระวรสาร สดด 89:1-2,5-7, 15-16

พระวรสาร มก 16:15-20 เวลานั้น พระเยซูเจ้าทรงสำ�แดงองค์แก่อัครสาวกทั้งสิบเอ็ดคน ตรัสกับเขาว่า “ท่านทั้งหลายจงออกไปทั่วโลก ประกาศข่าวดีให้มนุษย์ทั้งปวง ผู้ที่เชื่อและรับศีลล้าง บาปก็จะรอดพ้น ผู้ที่ไม่เชื่อจะถูกตัดสินลงโทษ ผู้ที่เชื่อจะทำ�อัศจรรย์เหล่านี้ได้ คือจะ ขับไล่ปีศาจในนามของเรา จะพูดภาษาใหม่ๆ ได้ จะจับงูได้ และถ้าดื่มยาพิษก็จะไม่ได้ รับอันตราย เขาจะปกมือเหนือคนเจ็บ คนเจ็บเหล่านั้นก็จะหายจากโรคภัย” เมื่อพระเยซูองค์พระผู้เป็นเจ้าตรัสดังนี้แล้ว พระเจ้าทรงรับพระองค์ขึ้นสู่สวรรค์ ให้ประทับ ณ เบื้อง ขวา บรรดาศิษย์ก็แยกย้ายกันออกไปเทศนาสั่งสอนทั่วทุกแห่งหน องค์พระผู้เป็นเจ้าทรงทำ�งานร่วมกับเขา และทรงรับรองคำ�สั่งสอนโดยอัศจรรย์ที่ติดตามมา แม้พระเยซูเจ้าจะเสด็จสู่สวรรค์แล้ว แต่ภารกิจในการประกาศข่าวดีและรักษาคนเจ็บป่วยที่ พระองค์ทรงกระทำ�ในดินแดนของชาวยิวเมือ่ สองพันปีกอ่ น ยังคงได้รบั การสืบสานต่อมาจวบจนถึงทุกวันนี้ และยังจะดำ�เนินต่อไปพร้อมกับแผ่ขยายไปสู่ชนทุกชาติจนสุดปลายพิภพอีกด้วย ทั้งนี้โดยอาศัยพระ ศาสนจักร บรรดาผู้แพร่ธรรม และเราคริสตชนทุกคน! อนึ่ง วิธีประกาศข่าวดีที่ได้ผลที่สุดก็คือ การดำ�เนินชีวิตคริสตชนอย่างบังเกิดผลจนแลเห็นได้ เพื่อว่าผู้ ที่มองเห็นผลดีของการเป็นคริสตชนจะปรารถนาเป็นคริสตชนเช่นเดียวกับเรา


สัปดาห์ที่ 3 เทศกาลปัสกา ทำ�วัตรสัปดาห์ที่ 3

บทอ่านจากหนังสือกิจการอัครสาวก กจ 2:14,22-28 เปโตรยืนขึน้ พร้อมกับบรรดาอัครสาวกสิบเอ็ดคน และพูดกับประชาชนด้วยเสียง ดังว่า “ท่านทั้งหลาย ชาวยูเดีย และท่านที่อาศัยอยู่ในกรุงเยรูซาเล็ม จงตั้งใจฟังวาจา ของข้าพเจ้าเถิด แล้วท่านจะรู้ว่าเกิดอะไรขึ้น ชาวอิสราเอลทั้งหลาย จงฟังวาจาเหล่านี้เถิด พระเยซูชาวนาซาเร็ธ เป็นบุรุษที่ พระเจ้าทรงส่งมาหาท่าน พระเจ้าทรงรับรองพระองค์โดยประทานอำ�นาจทำ�อัศจรรย์ ปาฏิหาริยแ์ ละเครือ่ งหมายต่างๆ เดชะพระเยซูเจ้า พระเจ้าทรงกระทำ�การเหล่านีใ้ นหมู่ ท่านทั้งหลายดังที่ท่านรู้อยู่แล้ว พระเยซูเจ้าทรงถูกมอบในเงื้อมมือของท่านตามที่ พระเจ้ามีพระประสงค์และทรงทราบล่วงหน้า ท่านใช้มือของบรรดาคนอธรรมประหาร พระองค์โดยตรึงบนไม้กางเขน แต่พระเจ้าทรงบันดาลให้พระองค์กลับคืนพระชนมชีพ พ้นจากอำ�นาจแห่งความตาย เพราะความตายยึดพระองค์ไว้ใต้อ�ำ นาจอีกต่อไปไม่ได้ ดัง ที่กษัตริย์ดาวิดตรัสถึงพระองค์ว่า ‘ข้าพเจ้าเห็นองค์พระผู้เป็นเจ้าอยู่ต่อหน้าข้าพเจ้าเสมอ พระองค์ประทับอยู่เบื้อง ขวา ข้าพเจ้าจะไม่หวั่นไหว ดังนั้น จิตใจของข้าพเจ้าจึงยินดี ปากของข้าพเจ้ากล่าว ถ้อยคำ�แสดงความเกษมเปรมปรีดิ์ ร่างกายที่ตายได้ของข้าพเจ้าพำ�นักอยู่ในความหวัง เพราะพระองค์จะไม่ทรงละทิง้ ข้าพเจ้าไว้ในแดนผูต้ าย และจะไม่ทรงปล่อยผูศ้ กั ดิส์ ทิ ธิ์ ของพระองค์ให้เน่าเปือ่ ย พระองค์ทรงสอนข้าพเจ้าให้รจู้ กั ทางแห่งชีวติ พระองค์จะทรง ทำ�ให้ข้าพเจ้าเปี่ยมด้วยความยินดีเฉพาะพระพักตร์ของพระองค์’” เพลงสดุดี สดด 16:1-2 และ 5, 7-8,9-10,11 ก) ข้าแต่พระเจ้า โปรดทรงคุ้มครองข้าพเจ้า ข้าพเจ้าลี้ภัยมาพึ่งพระองค์ ข้าพเจ้าทูลองค์พระผู้เป็นเจ้าว่า “พระองค์ทรงเป็นองค์พระผู้เป็นเจ้าของข้าพเจ้า พระองค์ทรงเป็นความดีที่สุดของข้าพเจ้า” บทอ่านจากจดหมายนักบุญเปโตรอัครสาวก ฉบับที่หนึ่ง 1 ปต 1:17-21 ลูกที่รักยิ่ง ถ้าท่านเรียกพระองค์ผู้ทรงพิพากษาตามการกระทำ�ของแต่ละคนโดย ไม่ลำ�เอียงว่า “พระบิดา” ก็จงดำ�เนินชีวิตขณะที่อยู่ต่างแดนนี้ด้วยความเคารพยำ�เกรง พระองค์ เพราะท่านรู้ว่า ท่านได้รับการไถ่กู้หลุดพ้นจากวิถีชีวิตไร้ค่าที่สืบมาจาก บรรพบุรุษ มิใช่ด้วยสิ่งที่เสื่อมสลายได้เช่นเงินหรือทอง แต่ด้วยพระโลหิตประเสริฐ ของพระคริสตเจ้า ดังเลือดของลูกแกะไร้มลทินหรือจุดด่างพร้อย พระองค์ทรงกำ�หนด ไว้ล่วงหน้าแล้วตั้งแต่ก่อนสร้างโลก และทรงเปิดเผยพระคริสตเจ้าเพื่อท่านทั้งหลาย ในวาระสุดท้าย เดชะพระคริสตเจ้านี้ ท่านมีความเชือ่ ในพระเจ้าผูท้ รงบันดาลให้พระองค์ กลับคืนพระชนมชีพจากบรรดาผูต้ าย และประทานพระสิรริ งุ่ โรจน์เพือ่ ให้ความเชือ่ และ ความหวังของท่านดำ�รงอยู่ในพระเจ้า


บทอ่านจากพระวรสารนักบุญลูกา ลก 24:13-35 วันนั้น ศิษย์สองคนกำ�ลังเดินทางไปยังหมู่บ้านเอมมาอูส ซึ่งอยู่ห่างจากกรุงเยรูซาเล็มประมาณสิบเอ็ด กิโลเมตร ทั้งสองคนสนทนากันถึงเหตุการณ์ทั้งหมดที่เกิดขึ้น ขณะที่ก�ำ ลังสนทนาและถกเถียงกันอยู่น้ัน พระเยซูเจ้าเสด็จเข้ามาร่วมเดินทางด้วย แต่เขาจำ�พระองค์ไม่ได้ เหมือนดวงตาถูกปิดบัง พระองค์ตรัสถาม ว่า “ท่านเดินสนทนากันเรื่องอะไร” ทั้งสองคนก็หยุดเดิน ใบหน้าเศร้าหมอง ศิษย์ที่ชื่อเคลโอปัสถามว่า “ท่านเป็นเพียงคนเดียวในกรุงเยรูซาเล็มหรือที่ไม่รู้เรื่องราวที่เกิดขึ้นที่นั่น เมื่อสองสามวันมานี้” พระองค์ตรัสถามว่า “เรื่องอะไรกัน” เขาตอบว่า “ก็เรื่องพระเยซูชาวนาซาเร็ธ ประกาศกทรงอำ�นาจในกิจการและคำ�พูดเฉพาะพระพักตร์ของพระเจ้าและต่อหน้าประชาชนทั้งปวง บรรดา หัวหน้าสมณะและผูน้ �ำ ของเรามอบพระองค์ให้ตอ้ งโทษประหารชีวติ และตรึงพระองค์บนไม้กางเขน เราเคย หวังไว้ว่าพระองค์จะทรงปลดปล่อยอิสราเอลให้เป็นอิสระ แต่น่ีเป็นวันที่สามแล้วตั้งแต่เหตุการณ์นี้เกิดขึ้น สตรีบางคนในกลุม่ ของเราทำ�ให้เราประหลาดใจอย่างยิง่ เขาไปทีพ่ ระคูหาตัง้ แต่เช้าตรู่ เมือ่ ไม่พบพระศพ เขา กลับมาเล่าว่าได้เห็นนิมิตของทูตสวรรค์ซึ่งพูดว่า พระองค์ยังทรงพระชนม์อยู่ บางคนในกลุ่มของเราไปที่ พระคูหา และพบทุกอย่างดังที่บรรดาสตรีเล่าให้ฟัง แต่ไม่เห็นพระองค์” พระองค์จึงตรัสกับเขาว่า “เจ้าคนเขลาเอ๋ย ใจของเจ้าช่างเชื่องช้าที่จะเชื่อข้อความที่บรรดาประกาศก กล่าวไว้ พระคริสตเจ้าจำ�เป็นต้องทนทรมานเช่นนีเ้ พือ่ จะเข้าไปรับพระสิรริ งุ่ โรจน์ของพระองค์มใิ ช่หรือ” แล้ว พระองค์ทรงอธิบายพระคัมภีรท์ กุ ข้อทีก่ ล่าวถึงพระองค์ให้เขาฟังโดยเริม่ ตัง้ แต่โมเสสจนถึงบรรดาประกาศก เมื่อพระองค์ทรงพระดำ�เนินพร้อมกับศิษย์ทั้งสองคนใกล้จะถึงหมู่บ้านที่เขาตั้งใจจะไป พระองค์ทรง แสร้งทำ�ว่าจะทรงพระดำ�เนินเลยไป แต่เขาทัง้ สองรบเร้าพระองค์วา่ “จงพักอยูก่ บั พวกเราเถิด เพราะใกล้คาํ่ และวันก็ล่วงไปมากแล้ว” พระองค์จึงเสด็จเข้าไปพักกับเขา ขณะประทับที่โต๊ะกับเขา พระองค์ทรงหยิบ ขนมปัง ทรงถวายพระพร ทรงบิขนมปังและทรงยื่นให้เขา เขาก็ตาสว่างและจำ�พระองค์ได้ แต่พระองค์หาย ไปจากสายตาของเขา ศิษย์ทั้งสองจึงพูดกันว่า “ใจของเราไม่ได้เร่าร้อนเป็นไฟอยู่ภายในหรือเมื่อพระองค์ ตรัสกับเราขณะเดินทาง และทรงอธิบายพระคัมภีร์ให้เราฟัง” เขาทั้งสองคนจึงรีบออกเดินทางกลับไปกรุงเยรูซาเล็มในเวลานั้น พบบรรดาอัครสาวกสิบเอ็ดคนกำ�ลัง ชุมนุมกันอยูก่ บั ศิษย์อนื่ ๆ เขาเหล่านีบ้ อกว่า “องค์พระผูเ้ ป็นเจ้าทรงกลับคืนพระชนมชีพแล้วจริงๆ และทรง สำ�แดงพระองค์แก่ซโี มน” ศิษย์ทงั้ สองคนจึงเล่าเรือ่ งทีเ่ กิดขึน้ ตามทางและเล่าว่าตนจำ�พระองค์ได้เมือ่ ทรงบิ ขนมปัง เมื่อศิษย์ท้ังสองคนที่กำ�ลังเดินทางไปหมู่บ้านเอมมาอูสจำ�พระเยซูเจ้าได้ ด้วยความตื่นเต้น ยินดี เขาทั้งสองคนรีบออกเดินทางกลับไปกรุงเยรูซาเล็ม การเดินทาง 11 กิโลเมตรกลับไปกรุงเยรูซาเล็มในยามคาํ่ คืนไม่ใช่เรือ่ งง่าย แต่พวกเขาไม่อาจทนรอเก็บ ข่าวดีเรื่องพระเยซูเจ้าทรงกลับคืนพระชนมชีพไว้กับตัวจนถึงรุ่งเช้าได้ พวกเขาตระหนักดีว่าความยินดีของพวกเขาจะยังไม่เต็มเปี่ยมจนกว่าจะได้แบ่งปันข่าวดีแก่ผู้อื่น เช่นเดียวกัน เราคริสตชนจะถือว่าได้รบั ข่าวดีอย่างเต็มเปีย่ ม ก็ตอ่ เมือ่ เราได้แบ่งปันข่าวดีนกี้ บั ผูอ้ นื่ แล้ว เท่านั้น!


สัปดาห์ที่ 3 เทศกาลปัสกา สดด 119:23-24, 26-27,29-30

ทำ�วัตรสัปดาห์ที่ 3

บทอ่านที่ 1 กจ 6:8-15 ในครั้งนั้น สเทเฟนเปี่ยมด้วยพระหรรษทานและพระอานุภาพ ทำ�ปาฏิหาริย์และ เครื่องหมายอัศจรรย์ยิ่งใหญ่ในหมู่ประชาชน บางคนจากศาลาธรรมที่เรียกกันว่า ศาลาธรรมของเสรีชนที่เคยเป็นทาส คือชาวยิวจากเมืองไซรีน เมืองอเล็กซานเดรีย แคว้นซีลีเซียและอาเซีย เริ่มโต้เถียงกับสเทเฟน แต่เขาเหล่านั้นเอาชนะสเทเฟนไม่ได้ เพราะสเทเฟนพูดด้วยปรีชาญาณซึ่งมาจากพระจิตเจ้า คนเหล่านั้นจึงเสี้ยมสอน ประชาชนบางคนให้ใส่ความว่า “พวกเราได้ยินเขาพูดดูหมิ่นโมเสสและพระเจ้า” เขา เหล่านั้นยุยงประชาชน บรรดาผู้อาวุโสและธรรมาจารย์ให้ปั่นป่วนวุ่นวาย แล้วจึงเข้า จู่โจมจับกุมสเทเฟนนำ�ไปยังสภาซันเฮดริน ตั้งพยานเท็จปรักปรำ�ว่า “ชายคนนี้พูด ดูหมิ่นสถานที่ศักดิ์สิทธิ์และธรรมบัญญัติอยู่เสมอ พวกเราได้ยินเขาพูดว่า เยซู ชาว นาซาเร็ธผูน้ จี้ ะทำ�ลายสถานทีน่ แี้ ละจะเปลีย่ นแปลงขนบประเพณีทโี่ มเสสมอบให้เรา” ทุกคนที่นั่งอยู่ในสภาซันเฮดรินต่างเพ่งมองสเทเฟน เห็นใบหน้าของเขาสว่างรุ่งเรือง เหมือนกับใบหน้าของทูตสวรรค์ พระวรสาร ยน 6:22-29 วันรุ่งขึ้น ประชาชนที่ยังอยู่บนฝั่งตรงข้าม สังเกตเห็นว่า มีเรืออยู่ที่นั่นเพียง ลำ�เดียว และจำ�ได้ว่าพระเยซูเจ้ามิได้เสด็จลงเรือไปกับบรรดาศิษย์ บรรดาศิษย์ไปกัน ตามลำ�พังเท่านั้น แต่เรือลำ�อื่นจากเมืองทีเบเรียสมายังสถานที่ที่พวกเขาได้กินขนมปัง เมื่อประชาชนเห็นว่าทัง้ พระเยซูเจ้า และบรรดาศิษย์ไม่อยูท่ น่ี น่ั แล้ว ก็ลงเรือ มุง่ ไปที่ เมืองคาเปอรนาอุมเพื่อตามหาพระเยซูเจ้า เมื่อพบพระองค์ที่ฝั่งตรงข้าม จึงทูลถามว่า “พระอาจารย์ ท่านมาที่นี่เมื่อไร” พระเยซูเจ้าตรัสตอบว่า “เราบอกความจริงแก่ทา่ นทัง้ หลายว่า ท่านแสวงหาเรา มิใช่เพราะได้เห็นเครือ่ งหมาย อัศจรรย์ แต่เพราะได้กนิ ขนมปังจนอิม่ อย่าขวนขวายหาอาหารทีก่ นิ แล้วเสือ่ มสลายไป แต่จงหาอาหารที่คงอยู่และนำ�ชีวิตนิรันดรมาให้ อาหารนี้บุตรแห่งมนุษย์จะประทานให้ ท่าน เพราะพระเจ้าพระบิดาทรงประทับตรารับรองบุตรแห่งมนุษย์ไว้แล้ว” เขาเหล่านั้นจึงทูลว่า “พวกเราจะต้องทำ�อะไรเพื่อให้กิจการของพระเจ้าสำ�เร็จ” พระเยซูเจ้าตรัสตอบว่า “กิจการของพระเจ้าก็คือให้ท่านทั้งหลายเชื่อในผู้ที่พระองค์ ทรงส่งมา”

ชาวยิวได้เห็นอัศจรรย์ทพี่ ระเจ้าทรงทวีขนมปังเลีย้ งฝูงชนจำ�นวนมาก แต่แทนทีค่ วามคิดของ พวกเขาจะหันไปหาพระเจ้าผูท้ รงทำ�อัศจรรย์ พวกเขากลับคิดถึงแต่ขนมปัง พวกเขาสนใจเรือ่ งปากเรือ่ งท้อง แต่ไม่สนใจอาหารที่คงอยู่และนำ�ชีวิตนิรันดรมาให้! หากเราหิวกระหายความจริง พระเยซูเจ้าเป็นความจริง หากเราหิวกระหายชีวติ พระองค์เป็นชีวติ หาก เราหิวกระหายความรัก พระองค์รักและยอมตายเพื่อเราทั้งๆ ที่เรายังเป็นคนบาป พระองค์คือผู้เดียวที่สามารถดับความหิวกระหายในจิตใจและวิญญาณของเรามนุษย์ได้อย่างสมบูรณ์ และเราแน่ใจในเรื่องนี้ได้เพราะพระเจ้าทรงลงนามประทับตรารับรองพระองค์ไว้แล้ว


บทอ่านที่ 1 กจ 7:51-59,8:1ก ในครั้งนั้น สเทเฟนกล่าวกับประชาชน ผู้อาวุโส และธรรมาจารย์ว่า “ท่านผู้ดื้อรั้น ใจกระด้างและหูตึงทั้งหลายเอ๋ย ท่านต่อต้านพระจิตเจ้าอยู่เสมอ บรรพบุรษุ ของท่านเคยทำ�เช่นไร ท่านก็ท�ำ เช่นนัน้ มีประกาศกคนใดบ้างทีบ่ รรพบุรษุ ของ ท่านมิได้เบียดเบียน เขาฆ่าผู้ที่ประกาศล่วงหน้าถึงการเสด็จมาของพระเยซูเจ้าผู้ทรง น.เปโตร ชาเนล ชอบธรรม และบัดนีท้ า่ นทัง้ หลายก็ทรยศและฆ่าพระองค์ดว้ ย ท่านทัง้ หลายได้รบั ธรรม พระสงฆ์ บัญญัติผ่านทางทูตสวรรค์ แต่ก็หาได้ปฏิบัติตามธรรมบัญญัตินั้นไม่” และมรณสักขี เมื่อได้ฟังดังนั้น ทุกคนรู้สึกขุ่นเคืองเจ็บใจ ขบฟันคำ�รามเข้าใส่สเทเฟน สเทเฟนเปีย่ มด้วยพระจิตเจ้า เพ่งมองท้องฟ้า มองเห็นพระสิรริ งุ่ โรจน์ของพระเจ้า น.หลุยส์ มารี กรีญอง เดอ มงฟอร์ต และเห็นพระเยซูเจ้าทรงยืนอยูเ่ บือ้ งขวาของพระเจ้า จึงพูดว่า “ดูซิ ข้าพเจ้าเห็นท้องฟ้า พระสงฆ์ เปิดออก และเห็นบุตรแห่งมนุษย์ทรงยืนอยู่เบื้องขวาของพระเจ้า” ทุกคนจึงร้องเสียง สดด 31:2-3,5-7, ดัง เอามืออุดหู วิ่งกรูกันเข้าใส่สเทเฟน ฉุดลากเขาออกไปนอกเมืองแล้วเริ่มเอา 16,20 หินขว้างเขา บรรดาพยานนำ�เสื้อคลุมของตนมาวางไว้ที่เท้าของชายหนุ่มคนหนึ่งชื่อ ทำ�วัตรสัปดาห์ท่ี 3 “เซาโล” ขณะที่คนทั้งหลายกำ�ลังเอาหินขว้างสเทเฟน สเทเฟนอธิษฐานภาวนาว่า “ข้าแต่พระเยซูองค์พระผู้เป็นเจ้า โปรดรับวิญญาณของข้าพเจ้าด้วย” เซาโลเป็นคน หนึ่งที่เห็นชอบกับการที่สเทเฟนถูกฆ่า พระวรสาร ยน 6:30-35 เวลานั้น ประชาชนจึงทูลถามว่า “ท่านทำ�เครื่องหมายอัศจรรย์ใดเพื่อพวกเราจะได้เห็น และจะได้เชื่อ ในท่าน ท่านทำ�อะไร บรรพบุรุษของเราได้กินมานนาในถิ่นทุรกันดาร ดังที่มีเขียนไว้ในพระคัมภีร์ว่า พระองค์ ประทานขนมปังจากสวรรค์ให้เขากิน” พระเยซูเจ้าตรัสตอบว่า “เราบอกความจริงแก่ท่านทั้งหลายว่า มิใช่โมเสสที่ให้ขนมปังจากสวรรค์แก่ ท่าน แต่เป็นพระบิดาของเราที่ประทานขนมปังแท้จากสวรรค์ให้ท่าน เพราะขนมปังของพระเจ้า คือขนมปัง ซึ่งลงมาจากสวรรค์ และประทานชีวิตให้แก่โลก” ประชาชนจึงทูลว่า “นายขอรับ โปรดให้ขนมปังนี้แก่พวกเราเสมอเถิด” พระเยซูเจ้าตรัสแก่เขาว่า “เราเป็นปังแห่งชีวิต ผู้ที่มาหาเราจะไม่หิว และผู้ที่เชื่อในเราจะไม่กระหาย อีกเลย ชาวยิวขออัศจรรย์จากพระเยซูเจ้าเพือ่ พิสจู น์วา่ พระองค์คอื พระเมสสิยาห์ทพี่ ระเจ้าทรงส่งมา พวกเขาเชื่อว่าเมื่อพระเมสสิยาห์เสด็จมา พระองค์จะต้องทำ�ได้เหนือกว่าโมเสสที่ให้มานนาแก่บรรพบุรุษ ของพวกเขา พวกเขาไม่ถอื ว่าขนมปังทีเ่ ลีย้ งคนห้าพันคนเป็นขนมปังของพระเจ้า แต่เป็นของเด็กเล็กๆ คนหนึง่ พระเยซูเจ้าทรงตอบโต้พวกเขาว่า มิใช่โมเสสที่ให้มานนา แต่เป็นพระเจ้าที่ทรงประทานมานนาแก่ บรรพบุรุษ อีกทั้งตัวมานนาเองก็เป็นเพียงสัญลักษณ์ถึงปังจากสวรรค์ มีแต่พระองค์เท่านั้นที่เป็น “ปังของ พระเจ้าซึ่งลงมาจากสวรรค์ และประทานชีวิตให้แก่โลก” พระองค์ไม่เพียงสามารถดับความหิวกระหายฝ่ายกายของเราเท่านั้น แต่ทรงสามารถดับความหิว กระหายทุกชนิดและทำ�ให้ชีวิตของเราพบกับความพึงพอใจอย่างแท้จริง!


บทอ่านที่ 1 กจ 8:1ข-8 วันนั้น เกิดการเบียดเบียนพระศาสนจักรอย่างรุนแรงในกรุงเยรูซาเล็ม ทุกคน นอกจากบรรดาอัครสาวกกระจัดกระจายไปตามชนบทในแคว้นยูเดียและสะมาเรีย ผูม้ ใี จศรัทธาบางคนนำ�ศพสเทเฟนไปฝังและรํา่ ไห้ครํา่ ครวญถึงเขาอย่างมาก ส่วน เซาโลออกรังควานพระศาสนจักร เข้าไปตามบ้าน ฉุดลากทั้งชายและหญิงไปจองจำ�ไว้ ระลึกถึง ในคุก น.กาธารีนา แห่งซีเอนา บรรดาผู้ที่กระจัดกระจายไปเหล่านี้ออกไปยังที่ต่างๆ ประกาศพระวาจาเป็นข่าวดี พรหมจารี ฟีลปิ ไปเมืองหนึง่ ในแคว้นสะมาเรีย และประกาศเรือ่ งพระคริสตเจ้าให้ชาวเมืองนัน้ ฟัง และนักปราชญ์ ประชาชนทีไ่ ด้ฟงั ถ้อยคำ�ของฟีลปิ และเห็นเครือ่ งหมายอัศจรรย์ทเี่ ขาทำ� ก็พร้อมใจกัน แห่งพระศาสนจักร ฟังคำ�สัง่ สอนของเขา คนหลายคนทีถ่ กู ปีศาจสิงอยูร่ อ้ งเสียงดังแล้วปีศาจก็ออกไป คน สดด 66:1-3, อัมพาตและคนง่อยจำ�นวนมากหายจากโรค ประชาชนในเมืองนั้นจึงชื่นชมอย่างมาก 4-5,6ก-7

ทำ�วัตรสัปดาห์ที่ 3

พระวรสาร ยน 6:35-40 เวลานั้น พระเยซูเจ้าตรัสกับประชาชนว่า “เราเป็นปังแห่งชีวติ ผูท้ มี่ าหาเราจะไม่หวิ และผูท้ เี่ ชือ่ ในเราจะไม่กระหายอีกเลย เราบอกท่านทั้งหลายแล้วว่า ท่านเห็นเราแล้ว แต่ไม่เชื่อ ทุกคนที่พระบิดาทรงมอบให้ เรา จะมาหาเรา และผู้ที่มาหาเรา เราจะไม่ผลักไสไปเลย เพราะเราลงมาจากสวรรค์ มิใช่เพือ่ ทำ�ตามใจของเรา แต่เพือ่ ทำ�ตามพระประสงค์ของผูท้ รงส่งเรามา พระประสงค์ ของผู้ทรงส่งเรามาก็คือ เราจะไม่สูญเสียผู้ใดที่พระองค์ทรงมอบให้แก่เรา แต่จะให้ผู้ นั้นกลับคืนชีพในวันสุดท้าย พระประสงค์ของพระบิดาของเราก็คือ ทุกคนที่เห็นพระ บุตร แล้วเชื่อในพระบุตร จะมีชีวิตนิรันดร และเราจะให้เขากลับคืนชีพในวันสุดท้าย” พระเยซูเจ้าทรงเป็น “ปังแห่งชีวิต” ด้วยเหตุผลที่ว่า ขนมปังหล่อเลี้ยง ชีวิต ปราศจากขนมปัง ชีวิตก็มิอาจดำ�เนินต่อไปได้ แต่ชีวิตมิได้หมายถึงชีวิตทางกายภาพเท่านั้น ยังหมายถึงชีวิตฝ่ายวิญญาณ อัน เกิดจากความสัมพันธ์ใหม่กับพระเจ้า ที่ทำ�ให้ชีวิตของเราเต็มเปี่ยมไปด้วยความวางใจ ความรัก และความนอบน้อมเชื่อฟังอีกด้วย ปราศจากพระเยซูเจ้าย่อมไม่มีผู้ใดเข้าถึงความสัมพันธ์ใหม่นี้ได้ ผู้นั้นอาจมีลม หายใจก็จริงแต่ไม่อาจมีชีวิตที่แท้จริง พระองค์จึงเป็นแก่นสำ�คัญของชีวิตที่ขาดไม่ได้ จนกล่าวได้ว่าทรงเป็น “ปังแห่งชีวิต” หากเราเชื่อและเข้ามาหาพระองค์ ความหิวกระหายและการดิ้นรนจะหมดสิ้นไป สิ่งที่คงอยู่คือความสุขสันติในจิตใจ ทั้งในโลกนี้และในโลกหน้า


บทอ่านที่ 1 กจ 8:26-40 ในครั้งนั้น ทูตสวรรค์ขององค์พระผู้เป็นเจ้าสั่งฟีลิปว่า “จงลุกขึ้น และเดินไปทาง ทิศใต้ ตามทางที่ลงมาจากกรุงเยรูซาเล็มไปยังเมืองกาซา ทางนั้นเป็นทางเปลี่ยว” ฟีลิปจึงลุกขึ้นออกเดินทาง ระหว่างทางเขาพบชาวเอธิโอเปียคนหนึ่ง เป็นขันที... ขณะ เดินทางกลับ เขานั่งในรถม้าและอ่านหนังสือของประกาศกอิสยาห์ พระจิตเจ้าตรัสสั่ง ฟีลิปว่า “จงตามรถคันนั้นไปให้ทัน” ฟีลิปวิ่งตามไป ได้ยินเขากำ�ลังอ่านหนังสือของ น.ปีโอ ที่ 5 ประกาศกอิสยาห์ จึงถามว่า “ท่านเข้าใจข้อความที่กำ�ลังอ่านหรือ” ขันทีตอบว่า พระสันตะปาปา “ข้าพเจ้าจะเข้าใจได้อย่างไร ถ้าไม่มีใครอธิบาย” แล้วเขาก็เชิญฟีลิปขึ้นไปนั่งด้วย สดด 66:8,16-17, ข้อความของพระคัมภีร์ที่เขากำ�ลังอ่านอยู่นั้น มีดังนี้ 19-20 “เขาถูกนำ�ไปฆ่าเหมือนแกะตัวหนึง่ ลูกแกะไม่ออกเสียงเมือ่ อยูต่ อ่ หน้าคนตัดขน แกะฉันใด เขาก็ไม่อ้าปากฉันนั้น เมื่อเขาถูกเหยียดหยาม เขาไม่ได้รับความยุติธรรม ทำ�วัตรสัปดาห์ที่ 3 เลย ใครจะเล่าเรื่องเชื้อสายของเขาได้ เพราะชีวิตของเขาถูกยกไปจากแผ่นดินนี้แล้ว” ขันทีจึงถามฟีลิปว่า “โปรดบอกข้าพเจ้าเถิดว่า ประกาศกกล่าวเช่นนี้หมายถึงใคร หมายถึงตนเองหรือ หมายถึงผู้อื่น” ฟีลิปจึงเริ่มประกาศข่าวดีเรื่องพระเยซูเจ้าให้เขาฟัง โดยอธิบายพระคัมภีร์เริ่มตั้งแต่ตอนนี้ ขณะเดินทางอยู่นั้น ทั้งสองคนมาถึงแหล่งนํ้าแห่งหนึ่ง ขันทีกล่าวว่า “ดูซิ ที่นี่มีนํ้า มีอะไรขัดขวางมิให้ ข้าพเจ้ารับศีลล้างบาป” เขาสั่งให้หยุดรถ ทั้งฟีลิปและขันทีลงไปในนํ้า ฟีลิปล้างบาปให้ขันที เมื่อทั้งสองคน ขึน้ จากนาํ้ แล้ว พระจิตขององค์พระผูเ้ ป็นเจ้าทรงนำ�ฟีลปิ ไปทีอ่ นื่ ขันทีไม่เห็นฟีลปิ อีก เดินทางต่อไปด้วยความ ยินดี... พระวรสาร ยน 6:44-51 เวลานั้น พระเยซูเจ้าตรัสกับประชาชนว่า “ไม่มีใครมาหาเราได้ นอกจากพระบิดาผู้ทรงส่งเรามาจะทรงชักนำ�เขา และเราจะทำ�ให้เขากลับคืนชีพ ในวันสุดท้าย มีเขียนไว้ในหนังสือของบรรดาประกาศกว่า ทุกคนจะได้รับคำ�สอนจากพระเจ้า ทุกคนที่ได้ฟัง พระบิดา และเรียนรู้จากพระองค์ ก็มาหาเรา ไม่มีใครได้เห็นพระบิดา นอกจากผู้ที่มาจากพระเจ้า เราบอก ความจริงแก่ท่านทั้งหลายว่า ผู้ที่เชื่อในเรา ก็มีชีวิตนิรันดร เราเป็นปังแห่งชีวิต บรรพบุรุษของท่านทั้งหลาย ได้กินมานนาในถิ่นทุรกันดารแล้วยังตาย แต่ปังที่ลงมาจากสวรรค์เป็นอย่างนี้ คือผู้ที่กินปังนี้แล้วจะไม่ตาย เราเป็นปังทรงชีวิตที่ลงมาจากสวรรค์ ใครที่กินปังนี้จะมีชีวิตอยู่ตลอดไป และปังที่เราจะให้นี้ คือเนื้อของเรา เพื่อให้โลกมีชีวิต” พระเยซูเจ้าตรัสว่า “ไม่มีใครมาหาเราได้ นอกจากพระบิดาผู้ทรงส่งเรามาจะทรงชักนำ�เขา” คำ�ว่า “ชัก” นั้นบ่งบอกว่ามีแรงเสียดทานหรือแรงต้านอยู่ในตัว เช่น การชักดาบออกจากฝัก เราจึงต้อง ระมัดระวังเสมอที่จะไม่ต่อต้านและเอาชนะการชักนำ�ของพระเจ้า พระองค์ยังตรัสอีกว่า “ทุกคนที่ได้ฟัง พระบิดา และเรียนรู้จากพระองค์ ก็มาหาเรา” การฟังนั้นมีหลายประเภท เช่น ฟังแล้ววิพากษ์วิจารณ์ ฟัง แล้วเฉยๆ แต่การฟังที่มีคุณค่าคือการฟังแล้ว “เรียนรู้” จากสิ่งที่ได้รับฟังมา และนี่เป็นหนทางเดียวที่จะ ทำ�ให้เราเข้ามาหาพระองค์ พระองค์ทรงเป็น “ปังทรงชีวิตที่ลงมาจากสวรรค์ ใครที่กินปังนี้จะมีชีวิตอยู่ตลอดไป” หากเราต่อต้าน และไม่ฟงั พระองค์ เราก็พลาดชีวติ ทัง้ ในโลกนีแ้ ละในโลกหน้า ตรงกันข้าม หากเราเข้ามาหาและเชือ่ พระองค์ เราก็พบ “ชีวิตแท้จริง” ทั้งในโลกนี้และในโลกหน้า



Issuu converts static files into: digital portfolios, online yearbooks, online catalogs, digital photo albums and more. Sign up and create your flipbook.