Thesis Graphic Design "CI Hey! Stifler band"

1

โครงงานออกแบบกราฟิกและอัตลักษณ์ วง เฮ้! สตีฟเล่อร์

โดย นาย พุฒิวัฒน์ เฉลยกิจ

โครงงานออกแบบกราฟิกนี้เป็นส่วนหนึ่งของการศึกษาตามหลักสูตรศิลปกรรมศาสตร์บัณฑิต สาขาการออกแบบกราฟิก คณะดิจิทัลมีเดีย มหาวิทยาลัยศรีปทุม ปีการศึกษา 2560

2

BAND CORPORATE IDENTITY DESIGN HEY! STIFLER (BAND) By Mr. Puttiwat Chaloeykij

A GRAPHIC DESIGN PROJECT SUBMITED IN PARTIAL FULFILLMENT OF THE REQUIREMENT OF THE DEGREE OF BACHELOR OF FINE AND APPLIED ARTS PROGRAM DEPARTMENT OF GRAPHIC DESIGN SCHOOL OF DIGITAL MEDIA, SRIPATUM UNIVERSITY 2017

3

คณะดิจิทัลมีเดีย มหาวิทยาลัยศรีปทุม อนุมัติให้โครงงานออกแบบกราฟิกนี้ เป็นส่วนหนึ่งของการศึกษาตาม หลักสูตรศิลปกรรมศาสตร์บัณฑิต

……………………………………………………. (ผศ.ดร.กมล จิราพงษ์) คณบดีคณะดิจิทัลมีเดีย

……………………………………………………. (อาจารย์วีรภัทร สุธีรางกูร) หัวหน้าสาขาวิชาการออกแบบ กราฟิก

……………………………………………………. (อาจารย์อาคม จงไพศาล) อาจารย์ประจาสาขาการออกแบบ กราฟิก

……………………………………………………. (อาจารย์สุนทรี เฉลียวพงษ์) อาจารย์ประจาสาขาการออกแบบ กราฟิก

……………………………………………………. …………………………………………………… (อาจารย์ณัฐพล พิชัยรัตน์) อาจารย์ประจาสาขาการออกแบบกราฟิก กราฟิก

(อาจารย์อภิสิทธิ์ ปุรสาชิต) อาจารย์ประจาสาขาการออกแบบ

4

คณะกรรมการตรวจและตัดสินโครงงานออกแบบกราฟิกประจาภาคการศึกษาต้น/ปลาย ปีการศึกษา 2560 1. ผศ.ดร.กมล จิราพงษ์ 2. อาจารย์เกรียงไกร กงกะนันทน์ 3. อาจารย์นภนต์ คุณะนิติสาร 4. อาจารย์วีรภัทร สุธีรางกูร 5. อาจารย์อาคม จงไพศาล 6. อาจารย์สุนทรี เฉลียวพงษ์ 7. อาจารย์ณัฐพล พิชัยรัตน์ 8. อาจารย์อภิสิทธิ์ ปุรสาชิต 9. อาจารย์วุฒิกุล โอเจริญ 10. อาจารย์มัทนิน วรมาลา 11. อาจารย์พรเทพ ลัคนาวัฒน์ 12. อาจารย์สถาพร คงคติธรรม 13. อาจารย์สุหฤท วินิจฉัยกุล 14. อาจารย์กิตติยา ภู่รอด

ประธานกรรมการ รองประธานกรรมการ รองประธานกรรมการ กรรมการ กรรมการ กรรมการ กรรมการ กรรมการ กรรมการ กรรมการ กรรมการ กรรมการ กรรมการ กรรมการ

5

บทคัดย่อ ชื่อโครงงานออกแบบกราฟิก วง เฮ้! สตีฟเล่อร์ (ภาษาไทย)

ออกแบบกราฟิ กและอัตลักษณ์ วง เฮ้! สตีฟเล่อร์

GRAPHIC DESIGN PROJECT HEY! STIEFLER BAND (ภาษาอังกฤษ)

BAND CORPORATE IDENTITY DESIGN HEY! STIFLER

อาจารย์ที่ปรึกษา ชื่อนักศึกษา หลักสูตร

อาจารย์ วุฒิกุล โอเจริญ นาย พุฒิวัฒน์ เฉลยกิจ ศิลปกรรมศาสตร์บัณฑิต

ปีการศึกษา

2560

การวิจัยครั้งนี้ มีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษาออกแบบกราฟิกให้แก่วง HEY! STIFLER ซึ่งเป็นวงดนตรีแนว เมทัล/ร็อค นอกกระแสที่ยังไม่ค่อยได้รับความนิยมและยังไม่เป็นที่รู้จัก ไม่มีการออกแบบสื่อประชาสัมพันธ์ใดๆ ไม่มีค่าย ไม่มีเงินทุนสนับสนุน รวมถึงมีช่องทางในการออกสื่อโปรโมทโทรทัศน์น้อยมาก เมื่อเทียบกับวงดนตรี ตามตลาดในปัจจุบัน จึงนาวง HEY! STIFLER มาออกแบบกราฟิกใหม่ โดยการดาเนินงานจะแบ่งตาม 3 ขั้นตอน คือ Pre Production / Production / Post Production ศึกษาหาข้อมูลให้มากขึ้นเกี่ยวกับกลุ่ม เป้าหมายในปัจจุบันและลงพื้นที่สัมภาษณ์จากนักดนตรี โดยเพิ่มในส่วนของสินค้าสะสม และสื่อโปรโมทต่างๆ ให้ส่งเสริมอัลบั้มชุดใหม่ที่กาลังจะออกมา โดยใช้ Concept ของ ความหวัง (HOPE) ในการสร้างกราฟิก เพื่อให้มีความน่าสนใจและดึงดูดกลุ่มเป้าหมายมากขึ้น ผลการวิจัยพบว่า การออกแบบกราฟิกให้กับวง HEY! STIFLER ออกมาเป็นผลที่น่าพอใจสามารถนาไปใช้งานได้จริงและเป็นประโยชน์ต่อวงอย่างมาก

6

กิตติกรรมประกาศ การออกแบบโครงงานกราฟิกให้กับวง HEY! STIFLER นี้สาเร็จลุล่วงไปได้ด้วยดีเพราะด้วยความกรุณา จากอาจารย์ที่ปรึกษาทุกๆท่าน ซึ่งกรุณาได้ให้คาปรึกษาและแนะนาพิจารณาข้อบกพร่องต่างๆและชี้แนะแก้ไข ด้วยความเอาใจใส่ พร้อมยังเป็นแรงกระตุ้นทาให้การออกแบบโครงงานกราฟิกนั้นประสบความสาเร็จไปอย่าง ราบรื่นต่อเนื่องและสาเร็จลงได้ ขอขอบพระคุณคณาจารย์ผู้ทรงคุณวุฒิทุกๆท่านและคณะผู้บริหารในหลักสูตร ทีถ่ ่ายทอดวิชาความรู้ความสามารถและประสบการณ์โดยเฉพาะอาจารย์วุฒิ ขอบคุณมากๆจริงๆครับ ขอขอบพระคุณค่าย BANANA RECORDS ขอบคุณพี่เอส พี่นุ่น สาหรับคาปรึกษาต่างๆ ไม่ว่าจะเป็นเรื่องการ ทางานเพลงและโครงแทนของผมชิ้นนี้ และ คอยให้กาลังใจผมตลอดเวลา อีกทั้งทีมงานทุกคนในค่าย ขอบคุณ พี่แน๊คที่คอยให้คาปรึกษาเรื่องการทางาน ขอบคุณพี่บิ้กผมยาว (LONGHAIR SHUTTER) ที่เสียสละเวลามา ช่วยถ่ายรูปให้กับวงเรา ขอบคุณสมาชิกในวงทุกๆคนที่ให้ความร่วมมือในโครงงานชิ้นนี้ พี่ทีม พี่ซีเนียร์ โฟล์ค เต้ และ คุณพ่อ คุณแม่ของพี่ทีมที่เอื่อเฟื้อสถานที่ให้เราได้ทาเพลงและทาโครงงานกันอย่างราบรื่น และที่ สาคัญที่สุดผมขอขอบคุณคุณแม่ของผมที่คอยSupport ในเรื่องการดาเนินงานต่างๆ ทั้งเรื่องเงินทุนในการ ทางานและการเดินทางไปรับไปส่ง และคอยอยู่เคียงข้างผมตลอดเวลาในเวลาที่ผมท้อ ขอขอบพระคุณทุกๆ ท่านเป็นอย่างสูงครับที่มีส่วนร่วมช่วยเหลือให้ผลงานชิ้นนี้สาเร็จลุล่วงไปได้ด้วยดี ด้วยจิตคารวะ

นาย พุฒิวัฒน์ เฉลยกิจ ผูว้ จิ ัย

7

สารบัญ หน้า บทคัดย่อ กิตติกรรมประกาศ สารบัญ สารบัญภาพประกอบ บทที่ 1 บทนา ที่มาและความสาคัญของโครงการ วัตถุประสงค์ของการศึกษา 1.3 ขอบเขตของการศึกษา 1.4 วิธีการศึกษาและขั้นตอนการดาเนินงาน 1.5 ผลที่คาดว่าจะได้รับ

5 6 7 9 12

1.1 1.2

13 14

บทที่ 2 เอกสารข้อมูลที่เกี่ยวข้อง 2.1 ข้อมูลที่เกี่ยวข้องกับโครงการ 2.2 หลักการและทฤษฎีที่สนับสนุน 2.3 แบบสรุปย่อแนวความคิด บทที่ 3 การดาเนินงาน 3.1 ภาพผลงานออกแบบร่างครั้งที่ 1 3.2 ภาพผลงานออกแบบร่างครั้งที่ 2 3.3 ภาพผลงานออกแบบร่างครั้งที่ 3

15

บทที่ 4 ผลงานภาคออกแบบ 4.1 ผลงานออกแบบ Logo 4.2 ผลงานออกแบบ T-shirt 4.3 ผลงานออกแบบ CD Album 4.4 ผลงานออกแบบ Box Set 4.5 ผลงานออกแบบ กรอบรูป 4.6 ผลงานออกแบบ แฟลชไดร์ฟรูปค้อน 4.7 ผลงานออกแบบ สมุด 4.8 ผลงานออกแบบ poster 4.9 ภาพรวมงานทั้งหมด

63 63 63 64 67 67 67 68 68 69

บทที่ 5 บทสรุปและข้อเสนอแนะ บรรณานุกรม ภาคผนวก ประวัติผู้เขียน

70 71 72 74

22 45 46 46 54 58

8

สารบัญภาพประกอบ ภาพที่ 1 รวมวง HEY! STIFLER ภาพที่ 2 สมาชิกวง HEY! STIFLER ภาพที่ 3 ผลงานที่ผ่านมาของวง HEY! STIFLER ภาพที่ 4 รวมภาพถ่ายวง HEY! STIFLER ภาพที่ 5 รวมภาพถ่ายวง HEY! STIFLER 2 ภาพที่ 6 ตัวอย่างงานออกแบบ CI 1 ภาพที่ 7 ตัวอย่างงานออกแบบ CI 2 ภาพที่ 8 ตัวอย่างงานออกแบบ CI 3 ภาพที่ 9 ตัวอย่างงานออกแบบ CI 4 ภาพที่ 10 ตัวอย่างงานออกแบบ CI 5 ภาพที่ 11 ทฤษฎีสี ภาพที่ 12 ทฤษฎีสี2 ภาพที่ 13 ทฤษฎีสี3 ภาพที่ 14 สีที่เกิดจากแสง ภาพที่ 15 สีที่เกิดหมึกสีในการพิมพ์ ภาพที่ 16 สีที่เกิดจากธรรมชาติ ภาพที่ 17 สีกับความรู้สึก ภาพที่ 18 ทฤษฎีสีองค์ประกอบงานกราฟิก ภาพที่ 19 เส้น ภาพที่ 20 รูปร่าง, รูปทรง ,น้าหนัก ภาพที่ 21 พื้นผิว ภาพที่ 22 ที่ว่าง ภาพที่ 23 สี ภาพที่ 24 ตัวอักษร ภาพที่ 25 ผังความคิด ภาพที่ 26 ผังความคิด 2 ภาพที่ 27 ผังความคิดสรุปเป็นคา ภาพที่ 28 mind mapping ภาพที่ 29 พลังดนตรี ภาพที่ 30 แบบร่าง (Logo) 1 ภาพที่ 31 แบบร่าง (Logo) 2 ภาพที่ 32 แบบร่าง (Logo) 3 ภาพที่ 33 แบบโลโก้ 1 ภาพที่ 34 Moodtone ภาพที่ 35 แบบโลโก้ 2 ภาพที่ 36 แบบโลโก้สาหรับวางบนพื้นดา

หน้า 15 17 18 21 22 25 25 26 26 26 32 33 34 35 35 36 37 38 39 39 40 41 41 42 42 48 49 50 51 51 52 52 53 53 54 54

9

ภาพที่ 37 แบบโลโก้สาหรับวางบนพื้นขาว ภาพที่ 38 โครงสร้างสัญลักษณ์ ภาพที่ 39 แบบร่าง Boxset ภาพที่ 40 แบบร่างสมุด ภาพที่ 41 แบบร่างแฟลชไดร์ฟรูปค้อน ภาพที่ 42 แบบร่างเสื้อสกรีน ภาพที่ 43 แบบร่างกรอบรูป ภาพที่ 44 แบบร่างกล่องCD ภาพที่ 45 แบบร่าง Poster ภาพที่ 46 แบบร่างในคอม Boxset ภายนอก ภาพที่ 47 แบบร่างในคอม Boxset ภายใน ภาพที่ 48 แบบร่างปกสมุดในคอม ภาพที่ 49 แบบร่างประดิษฐ์แฟลชไดร์ฟรูปค้อน ภาพที่ 50 แบบร่างลายเสื้อสกรีนในคอม ภาพที่ 51 แบบร่างกรอบรูปประดิษฐ์ ภาพที่ 52 แบบร่าง CD Packaging ในคอม ภาพที่ 53 แบบร่างPoster ในคอม ภาพที่ 54 Logo ที่สมบูรณ์ ภาพที่ 55 เสื้อสกรีนที่สมบูรณ์ ภาพที่ 56 เสื้อสกรีนที่สมบูรณ์ (งานจริง) ภาพที่ 57 CD ALBUM ที่สมบูรณ์ (งานจริง) ภาพที่ 58 Boxset ที่สมบูรณ์ ภาพที่ 59 Boxset ที่สมบูรณ์ (งานจริง) ภาพที่ 60 ขั้นตอนการทาBoxset (งานจริง) ภาพที่ 61 กรอบรูปที่สมบูรณ์ (งานจริง) ภาพที่ 62 แฟลชไดร์ฟรูปค้อนทีส่ มบูรณ์ (งานจริง) ภาพที่ 63 สมุดที่สมบูรณ์ (งานจริง) ภาพที่ 64 POSTER ที่สมบูรณ์ (งานจริง) ภาพที่ 65 ภาพรวมงานทั้งหมด ภาพที่ 66 ภาพจาลองการจัดนิทรรศการ (Display)

54 55 56 57 57 58 58 59 59 60 61 61 62 62 63 63 64 65 65 66 66 67 67 68 69 69 70 70 71 72

10

โครงงานออกแบบกราฟิกและอัตลักษณ์ วง เฮ้! สตีฟเล่อร์ บทที1่ บทนา 1.1 ที่มาเเละความสาคัญของโครงการ โครงงานการออกแบบกราฟิกและอัตลักษณ์วง Hey! Stifler วงดนตรีอิสระหรือวงดนตรีอันเดอร์กราว คือ วงดนตรีที่ไม่มีค่ายไม่มีสังกัด เป็นที่รู้จักเฉพาะสังคม จากัดเท่านั้น ซึ่งสมาชิกได้เจอกันที่โรงเรียนมัธยมและ ก่อตั้งวงขึ้นมา ทาเพลงกันเองหาประสบการณ์ โดยเข้าประกวดตามเวทีต่างๆหรือที่ๆเปิดโอกาสแสดง ความสามารถ โดยเนื้อหาแนวดนตรีจะมีความเป็น ตัวของตัวเองสูง แตกต่างจากดนตรีตามท้องตลาดทั่วไป ทา ให้ไม่ได้รับการสนับสนุนจากสังคมส่วนรวมมากนัก ขาดช่องทางในการโฆษณาประชาสัมพันธ์ เงินทุนในการ ขับเคลื่อนวง รวมถึงผู้ดูแลในด้านต่างๆของวง ซึ่งทาให้สมาชิกในวงต้องมีอุดมการณ์เดียวกัน ทาตามความฝัน ในสิ่งที่ตนเองรัก วงถึงจะสามารถขับเคลื่อนต่อไปได้ สาหรับวงที่เลือกมาทาโครงงานนี้คือวง Hey! Stifler เริ่มก่อตั้งเมื่อปี พ.ศ. 2560 เป็นวงดนตรี แนว Metalcore/Rock สมาชิกประกอบด้วย ภีม-ร้องนา โฟล์ค-ร้องนา ทีม-กีต้าร์ เนียร์-เบส เต้-กลอง โดยวงมี จุดเด่นที่มีนักร้อง2คน คือ ร้องคลีนเเละสครีม (ว้าก) ที่มีพลังเสียงที่หนักหน่วงทรง พลังประกอบกับการแสดง สดที่มันส์ดเุ ดือดทุกครั้งแต่ยังแฝงด้วยเมโลดี้ที่เป็นเอกลักษณ์ และมีแผนที่จะทาเดโม่ออกไปส่งค่ายเพลงต่างๆ เหตุผลที่เลือกทาโครงงานนี้เพราะวง Hey! Stifler มีความเป็นตัวของตัวเองที่ชัดเจน แต่ขาดในเรื่อง การออกแบบกราฟิกวง ถ้าได้รับการพัฒนาดูแลในเรื่องการออกแบบกราฟิกต่างๆ เช่น โลโก้ โปสเตอร์ ปก ซีดี เสื้อรวมถึงของสะสมต่างๆ และ Teaser โปรโมทอัลบั้ม เพื่อเป็นช่องทางในการโปรโมท ประชาสัมพันธ์วงให้ เป็นที่รู้จักยิ่งขึ้น จะทาให้วงประสบความสาเร็จในระดับหนึ่งอย่างแน่นอน 1.2 วัตถุประสงค์ของการศึกษา 1.2.1 เพื่อศึกษาแนวทางการออกแบบกราฟิกสาหรับวง 1.2.2 เพื่อสร้างภาพลักษณ์ของวง โดยการออกแบบกราฟิก และสินค้าให้ดึงดูดกลุ่มเป้าหมาย 1.2.3 เพื่อสื่อสารประชาสัมพันธ์วง ให้เป็นที่รู้จักอย่างแพร่หลายยิ่งขึ้น

11

1.3 ขอบเขตการศึกษา 1.3.1 ขอบเขตทางข้อมูล 1. ศึกษาข้อมูลและประวัติของวง Hey! Stifler 2. ศึกษาข้อมูลวงดนตรีในประเทศและต่างประเทศเพื่อวิเคราะห์ข้อมูลในการออกแบบ 3. ศึกษาตราอัตลักษณ์วงดนตรี ร็อค เมทัล ทั้งไทยและต่างประเทศ 4. ศึกษาสื่อประชาสัมพันธ์ของวงดนตรีอื่นๆทั้งไทยและต่างประเทศ 1.3.2 ขอบเขตทางการออกแบบ 1. สื่อโฆษณาด้านข้อมูลวงดนตรี - ตราสัญลักษณ์(LOGO) - ซีดีอัลบั้ม (Got a problem) ,เเฟลชไดร์ฟรูปค้อน (เพลง wall) ,เสื้อยืดสีดา 1 ลาย (เพลง Hope) , สมุดโน้ตบุ้ค (เพลง The prison) , กรอบรูป,กล่องใส่CD (เพลง Home) (ACCESSORIES) 2. สื่อโฆษณาประเภทสิ่งพิมพ์ - BOX SET - CD Package - CAPS lock - STICKER - POSTER 3. สื่ออินเตอร์เน็ต -Teaser Video โปรโมทอัลบั้ม โดยใช้โปรแกรม Adobe Illustrator ,Adobe Photoshop และ Adobe After Effects

12

1.4 วิธีการศึกษาและขั้นตอนการดาเนินงาน แบ่งขั้นตอนการทางานออกเป็น 3 ส่วน ดังต่อไปนี้ 1.4.1 Pre-Production - เลือกวงดนตรีที่น่าสนใจตรงตามความต้องการ - ศึกษาประวัติผลงานเพลงเอกลักษณ์ของวง - คิด Concept / Theme ในการทางาน - ศึกษาเกี่ยวกับ Logo / Corporate / Advertising ที่เกี่ยวข้องและที่จะนามาประยุกต์ใช้กับงาน - ออกแบบกราฟิกโดยเริ่มจากการออกแบบ Logo 1.4.2 Production - สรุปงาน /Sketch design -ออกแบบ Logo / Corporate / Advertisingและส่วนประกอบอื่นๆ - ดูภาพรวมของงาน / ปรับปรุงแก้ไข 1.4.3 Post-Production - ปรับปรุงแก้ไข Logo / Corporate / Advertisingและส่วนประกอบอื่นๆ ที่บกพร่อง - ดูภาพรวมของงานทั้งหมด / ปรับปรุงแก้ไขครั้งสุดท้าย -จัดทา Packaging Design , Accessories ,Poster , Videoของงานชิ้นสมบูรณ์ - โปรโมทชิ้นงานทางเว็บไซด์ /Facebook Fan Page - นาเสนอในชั้นเรียน -จัดงานแสดง Thesis Exhibition 1.5 ผลที่คาดว่าจะได้รับ 1.5.1 เพื่อให้วงมีมีตราสัญลักษณ์เป็นที่จดจาและคุณภาพทัดเทียมสากล เป็นที่รู้จักอย่างแพร่หลาย 1.5.2 มีชุดการออกแบบกราฟิกที่เป็นอันหนึ่งอันเดียวกัน ตรงกับกลุ่มเป้าหมายได้รับผลตอบรับที่ดี 1.5.3 มีกลุ่มคนฟังหันมาสนับสนุนซื้อสินค้า ติดตามผลงานและไปชมการแสดงสด

13

บทที่ 2 เอกสารและข้อมูลที่เกี่ยวข้อง โครงการออกแบบกราฟิก และ อัตลักษณ์วง Hey! Stifler ในบทนี้จะเป็นการนาเสนอข้อมลูที่เกี่ยวข้องของวง Hey! Stifler เพื่อส่งเสริมการสร้างสรรค์ผลงานให้มีประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้นโดยแบ่ง ส่วนต่างๆดังนี้ 2.1 ข้อมูลเกี่ยวกับวง Hey! Stifler ประวัติวง ,สมาชิกในวง ,ข้อมูลเกี่ยวกับสื่อประชาสัมพันธ์ต่างๆ ของวง Hey! Stifler 2.2 หลักการและทฤษฏีที่สนับสนุนการสร้างผลงานด้านการออกแบบของในโครงงาน 2.3 ข้อสรุปแนวความคิดที่ได้จากการศึกษาข้อมูล (Design Brief)

2.1 ข้อมูลที่เกี่ยวข้องกับโครงงาน

ภาพที่ 1 รวมวง Hey! Stifler

14

ประวัติ วงเริ่มก่อตั้งขึ้นเมื่อต้นปี2560 โดยการกลับมาเจอกันที่โรงเรียนมัธยมโดยบังเอิญของรุ่นพี่รุ่นน้อง โรงเรียน นวมินทราชินูทิศ สตรีวิทยา2 โดยคนที่เริ่มก่อตั้งวงเเละเริ่มชวนคนอื่นๆคือ ทีม มือกีต้าร์และเต้ มือ กลอง เริ่มมาชวน ภีม นักร้องนา ตามด้วยการเข้ามาของ ซีเนียร์ มือเบส เเละคนสุดท้ายคือโฟล์ค นักร้องอีก คนที่ถูกชักชวนมาโดยภีม ซึ่งทุกๆคนในวงมีความสนใจเเละมีอุดมการณ์ทางด้านดนตรีเเนวเพลงที่ตรงกันคือ อยากทาเพลงเเนวเพลง Metalcore จึงทาให้เราได้มารวมตัวกันเเละเริ่มทาเพลงเเต่งเพลงของตัวเอง จนถึงช่วยกลางปีวงได้เริ่มทาเพลงCover เพลงตอบ (Cover Sweet mullet) สไตล์ (Metalcore) ใน Site project ของนิตยาร Blast Magazine นิตยสารดนตรีชื่อดังของวงการเพลงอันเดอร์กราวน์จนทาให้วง เริ่มเป็นที่รู้จักของผู้คนมากขึ้นเเละเริ่มเป็นที่พูดถึงของคนในวงการเพลงอันเดอร์กราวน์ ปัจจุบันทางวงกาลังอยู่ในช่วงทาเพลงของตัวเองเเละคาดว่าจะเริ่มปล่อยเพลงในเร็วๆนี้กับอัลบั้มที่มี ชื่อว่า "GOT A PROBLEM" ซึ่งมีเนื้อหาเกี่ยวกับ"ความหวัง" การดาเนินชีวิต ซึ่งมาจากเเนวความคิดที่ว่า ไม่ว่า คนเราจะเจ็บจะหกล้มหรือชีวิตจะโหดร้ายสาหัสเเค่ไหน สุดท้ายเเล้วเรายังมีความหวังเสมอในทุกๆเรื่อง โดย เพลงในอัลบั้มจะเป็นเพลงภาษาไทยทั้งหมด เเละผลงานจะเริ่มปล่อยออกมาให้ฟังในเร็วๆนี้ ติดตามผลงานของ พวกเรา Hey! Stifler ได้ผ่านทางเพจวง https://www.facebook.com/weareheystifler/ วัตถุประสงค์ของการก่อตั้งวง Hey! Stifler 1. เพื่อสร้างความฝันร่วมกันตามอุดมคติ 2. เพื่อสร้างความบันเทิงให้ผู้คนรอบข้าง 3. สร้างความเป็นตัวของตัวเองและเอกลักษณ์เฉพาะตัวที่ไม่ซ้าใคร 4. สร้างความสามัคคี มิตรภาพ พี่น้องครอบครัว 5. เพื่อส่งเสริมให้วัยรุ่นใช้เวลาว่างให้มีประโยชน์ ห่างไกลยาเสพติด

15

สมาชิก

พุฒิวัฒน์ เฉลยกิจ (ภีม) ชุติพันธุ์ ตุ้มทอง (โฟล์ค) ชนกันต์ ดวงพัตรา (ทีม) (Scream vocal)

(Clean Vocal)

(Guitarist)

กันตวัฒน์ จิตร์บารุง ซีเนียร์

นันทพงศ์ หล่าศรี เต้

(Bassist)

(Drum) ภาพที่ 2 สมาชิกวง Hey! Stifler

16

2.2.1 ผลงานที่ผ่านมา

ภาพที่ 3 ผลงานที่ผ่านมาของวง Hey! Stifler ผลงาน cover เพลงตอบ กับ โปรเจค Thai Goes pop

17

2.1.2 รายละเอียดและการดาเนินการ แนวเพลง: Metalcore / Post-Hardcore / Rock เนื้อหาของเพลงโดยรวม: โดยรวมเป็นด้านบวกพูดถึงเรื่องเกี่ยวกับ"ความหวัง" การดาเนินชีวิต ซึ่งมาจากเเนวความคิดที่ว่า ไม่ว่าคนเรา จะเจ็บจะหกล้มหรือชีวิตจะโหดร้ายสาหัสเเค่ไหน สุดท้ายเเล้วเรายังมีความหวังเสมอในทุกๆเรื่อง เราจะต้อง ก้าวข้ามปัญหาทุกๆเรื่องไปได้ เพียงเรามี "ความหวัง" เสื้อผ้าการแต่งตัว: เสื้อใส่เสื้อยืดคอกลมสีดาหรือขาวแบรนด์ร็อคเมทัลชั้นนาของไทยเช่น A.M.P. ,Blackmoret ,Sixxen , The Ending of rockstar , Gunsdown ,I-Scream ,Death ends หรือเสื้อทัวร์วงไทยและนอก เป็นต้น กางเกง ยืนสีนาเงินเข้มไปจนดา ขนาดพอดีขาไม่ต้องขาด รองเท้าใส่MACBETh Vans และอื่นๆ เน้นสีดาลายขาวหรือ ขอบแดง เหลือง น้าเงิน เล็กๆ คุมโทน ไม่ใส่สีฉูดฉาด

18

2.1.3 กลุ่มเป้าหมาย ลักษณะทางกายภาพ ลักษณะทางกายภาพ - วัยรุ่นนักเรียนนักศึกษา ทั่วประเทศไทย อายุ 20 - 30 ปี ช/ญ - ระดับรายได้เฉลี่ยคนละ 6,000 บาทขึ้นไปต่อเดือน - อาศัยอยู่ในเมือง ใช้เทคโนโลยีสมัยใหม่ อย่างสม่าเสมอ - เป็นนักสะสม -เล่นดนตรีหรือทาวงดนตรีของตัวเองอยู่ ลักษณะทางจิตภาพ - ชื่นชอบแนวเพลง METAL / ชอบผลงานที่ถ่ายทอดผ่านศิลปะ - สะสมศิลปะเกี่ยวกับดนตรี - มีแนวคิดเป็นของตัวเอง แตกต่าง ไม่ตามใคร นอกกระแส - รักอิสระ เสรีภาพ รักเพื่อน มีพลัง ต้องการสร้างมิตรภาพที่งดงาม - ชอบเข้าสังคม ชื่นชอบและสนใจในดนตรีและเสียงเพลง

WHO วัยรุ่นชายและหญิงอายุระหว่าง 20 - 30 ปี ชอบวงดนตรี ชอบสะสมของเกี่ยวกับดนตรี รักในเสียงดนตรี WHAT มีแนวทางเป็นของตนเอง รักอิสระ มีความฝัน ไม่ตามใคร นอกกระแส WHY เพื่อให้วัยรุ่นใช้เวลาว่างให้เป็นประโยชน์ ห่างไกลยาเสพติด WHOM ติดตามผลงานจากอินเตอร์เน็ตและการแสดงสด การแนะนาจากเพื่อนมีส่วนเสริม ให้ตัดสินใจเป็นแฟนเพลง และสนับสนุนสินค้าของวง WHERE ติดตามผลงานจากอินเตอร์เน็ตและมาชมการแสดงสดทาให้เกิดความชื่นชอบในตัววง จนสนับสนุนสินค้าของ วง WHEN เมื่อร่วมมัน ร้อง สนุกไปด้วยกัน จึงอุดหนุนสินค้าของวงเพราะความชื่อชอบในผลงานเพลง HOW เน้นในเรื่องการประชาสัมพันธ์ให้รู้จักและติดตามผลงานตลอดจนภาพลักษณ์ของวงใหม่เพื่อสร้างฐานแฟน เพลงอย่างรวดเร็วและกว้างขวาง

19

2.1.4 ภาพถ่าย

ภาพที่ 4 รวมภาพถ่ายวง Hey! Stifler

20

ภาพที่ 5 รวมภาพถ่ายวง Hey! Stifler 2

2.2 หลักการและทฤษฎีที่สนับสนุนการออกแบบ หลักการที่ใช้ คือ หลักการออกแบบโลโก้ ซึ่งมีคาจากัดความไว้ว่า “โลโก้ต้องสื่อตัวตนได้ โลโก้ต้องเป็นที่จดจา โลโก้ต้องสื่อได้แม้ไม่ได้ใช้สีสัน โลโก้ต้องสื่อได้แม้มีขนาดเล็กๆ”

การออกแบบตราสัญลักษณ์ (Logo) การที่จะเริ่มทาธุรกิจฯการที่จะเปิดทาการ ดาเนินกิจการ อะไรๆก็ตาม ไม่ว่าจะเป็นเพื่อการค้า เพื่อ หน่วยงานราชการ เอกชน กระทรวงทบวง กรม กอง องค์กรส่วนรวมทั้งภาครัฐ ภาคเอกชน บริษัท ห้างร้าน ฯลฯ ไม่ว่าจะเล็กหรือใหญ่ล้วนแล้วแต่มีความจาเป็นที่จะต้องมีตราสัญลักษณ์หรือ Logo ประจาตัว เพื่อเป็น การสื่อ เตือนความทรงจา และทาให้เกิดผลด้านการสื่อความหมายต่อสาธารณชนได้ง่ายขึ้น

21

ความหมายตราสัญลักษณ์ (Logo) มาจากคาเต็ม Logotype หมายถึง ตราสัญลักษณ์ เครื่องหมาย ตัวแทน หรือสื่ออย่างใดอย่างหนึ่งที่ บ่งบอก ประเภท รูปแบบหรือรูปพรรณสัณฐานของสิ่งที่เป็นเจ้าของ ตราสัญลักษณ์ หรือ Logo นั้นๆ ดุจดั่งเงา จริงๆ แล้วแทบจะไม่ต้องแปลความหมายหรืออธิบายด้วยซ้า กับคาคานี้เพราะว่า ถ้าได้ยินคาว่า Logoผู้ที่ฟังก็ จะเข้าใจได้เลย ไม่ต้องตีความ หรืออธิบาย จะเข้าใจได้ดีตีความหมายขยายความได้มากกว่าและกว้างมากกว่า คาที่ได้อธิบายไว้แต่ต้น เหมือนที่ทุกคนเข้าใจและลึกซึ้งกับคาว่า “เงิน” พอเอ่ยคาคานี้ทุกคนจะเข้าใจได้ดี ลึกซึ้งและรู้ความหมายกับคาว่าเงินคือ อะไร แต่จะให้แปล และตีความนั้นค่อนข้างจะลาบาก เป็นต้น ทาไมจะต้องมีตราสัญลักษณ์ (Logo) เปรียบเหมือนหน้าตาของเจ้าของกิจการ และเจ้าของสินค้าดุจดั่งเงา เช่น นายขาวเป็นคนดา หน้าตา ขี้เหร่พูดจาเสียงดังไม่เข้าหูใคร ชอบช่วยเหลือเพื่อน กินเก่ง นอนกรนอ้าปากฯลฯ ถ้าจะถามว่า นายขาวมีอะไร ในตัวที่ทาให้เพื่อนๆ จาได้บางคนก็จะจาเอาความขี้เหร่ของนายขาวบางคนก็จะจาได้ในน้าเสียงของเขาที่เป็น คนมีเสียงดังฟังชัดบางคนก็จะประทับใจการมีน้าใจชอบช่วยเหลือผู้อื่นและบางคนก็จะจาเสียงกรนของเขา สิ่ง เหล่านั้น คือ Logo ของนายดาที่มีต่อบุคคลต่างๆ เป็น Logo ที่เกิดขึ้นโดยไม่ได้ตั้งใจเป็นสิ่งที่เกิดขึ้นมาโดย ธรรมชาติของนายขาวหรือพ่อแม่ให้มาตามบุญตามกรรมซึ่งถือว่าเป็น Logo โดยกาเนิดสาหรับตราสัญลักษณ์ หรือ Logo มาจากความตั้งใจและได้ผ่านขบวนการทางด้านศิลปะต่างๆ โดยเริ่มตั้งแต่การวางรูปแบบ ความหมาย หน้าตา รูปลักษณ์ มีที่มา ที่ไป และอื่นๆ นั้น เช่น Logoของสายการบินไทย ธนาคารกรุงเทพฯ ธนาคารกสิกรธนาคารทหารไทย ฯลฯ ซึ่งจะอธิบายรายละเอียดความเป็นมาในภายหลังสาเหตุของความ จาเป็นที่จะต้องมี สัญลักษณ์ หรือ Logo เป็นการเน้นดึงเอาจุดเด่นของสิ่งนั้นๆ ออกมานาเสนอ อธิบาย ความหมายใคร (Who) อะไร (What) อย่างไร (How) และลึกลงไปถึงเมื่อไหร่(When)สู่สาธารณชนให้รับรู้ได้ ง่ายยิ่งขึ้น หลักการออกแบบ หลักการออกแบบตราสัญลักษณ์ หรือ Logo นั้น เน้นความหมายของงานที่จะทา แล้วหาสื่อมาเป็นตัวแทน อย่างเช่น ตัวอย่างของสายการบินไทย เป็นงานด้านการบริการนาพาผู้คน ในเรื่องของการคมนาคม และ บริการด้านการขนส่ง เป็นหลักการวางรูปแบบที่จะสื่อออกมา และทาเป็นตราสัญลักษณ์ หรือ Logo นั้น ได้ นาเอาความเป็นไทยมาเป็นโจทย์ก่อน “ทาไมเป็นรูปเจ้าหัวจาปี”นั่นนะสิ ทาไมไม่เป็นช้าง วัด โบสถ์ คนยกมือ ไหว้ มังคุด มะม่วง บ้านทรงไทย แม่น้าเจ้าพระยา มะละกอ ฯลฯ เป็นต้น สรุปแล้ว สิ่งต่างๆเหล่านั้น ทาง ผู้ออกแบบเขาคิดไว้หมด แต่สุดท้ายมาสรุปเป็น“เจ้าหัวจาปี” และได้เปลี่ยนแปลงรูปแบบมาถึง 3 ครั้งโดย นาเอารูปแบบความเป็นไทยมาจาก ศิลปะไทยแต่โบราณ คือหัวชฎา เหมือนดั่งที่เห็นในรูป โดยได้นาเอาหัว ชฎาหรือหัวโขนนามาดัดแปลง แล้วจับเป็นรูปนอน(ถ้าจับหัวชฎาเป็นรูปตั้งก็จะยิ่งดูแปลกประหลาด หากมอง ไปในรูปแบบ late เมื่อไหร่ก็จะเห็นอะไรดูแปลกๆ วิ่งบนท้องฟ้าเต็มไปหมด นางฟ้าเทวดา คงหน้าแดงอายและ หวาดเสียวกันเป็นแถว)สาหรับธนาคารกรุงเทพฯ รูปแบบ(Concept) มาจากใบโพธิ์ ซึ่งเป็นเรื่องของการลงทุน ด้านการเงินการลงทุนก็เหมือนการปลูกต้นไม้ โดยเฉพาะต้นโพธิ์ต้นไทรพอเติบใหญ่ก็จะเป็นร่มโพธิ์ ร่มไทร สร้างความร่มเย็นแล้วผู้ออกแบบก็นาเอาใบโพธิ์มาปรับปรุงเป็น Logo เหมือนที่เห็นในรูปและตัวอย่างสุดท้าย คือธนาคารกสิกรไทย เป็นการเน้นว่า ธนาคารฯให้บริการกลุ่มเป้าหมายคือ ชาวนา ชาวไร่มาก่อนและมุ่งไปทาง ภาคการเกษตร จึงนาเอารวงข้าวออกมาเป็นสื่อแล้วปรับปรุงเป็น Logoการวางรูปแบบ (Concept) หรือวาง

22

สื่อ จะนาเอาธรรมชาติ สิ่งมีชีวิตสัตว์ สิ่งของ หรือแม้แต่ตัวอักษรก็สามารถนามาประยุกต์ ปรับใช้ได้แล้วนาเอา ทฤษฎี และหลักการทางด้านศิลปะเข้าไปประกอบสาหรับ ผู้ที่กาลังจะออกแบบตราสัญลักษณ์ หรือ Logo ร้านอาหารของตัวเอง

ข้อมูลจากเว็บไซต์ : ทฤษฎีที่สนับสนุนการออกแบบผลงาน,เข้าถึงเมื่อวันที่ 29 เม.ย. 2559เข้าถึงได้ จาก http://www2.thaitownusa.com Corporate Identity Design (CI Design) หรือ อัตลักษณ์ คือการออกแบบอัตลักษณ์ขององค์กรหรือแบรนด์สินค้าที่ไม่ได้หมายถึงการสร้างแบรนด์โดยตรงแต่เป็น หน้าต่างสาคัญที่จะกาหนดหน้าตาและทิศทางของแบรนด์นั้นๆการออกแบบอัตลักษณ์นี้จึงไม่ใช่เรื่องง่าย เพราะไม่ใช่แค่การออกแบบ“โลโก้” แล้วนาไปประยุกต์ใช้กับเครื่องมือสื่อสารทั้งหมดของแบรนด์ CI Design คือ การออกแบบ “ภาพลักษณ์ทั้งหมดของแบรนด์”ที่จะทาให้คนภายนอกสัมผัสได้เฉกเช่นเดียวกับที่องค์กร ต้องการสื่อออกไปเป็นความเข้าใจโดยทั่วไปว่า Corporate Identity หรืออัตลักษณ์องค์กรเปรียบเสมือน บุคลิกหรือ ลักษณะเฉพาะซึ่งถูกออกแบบให้สอดคล้องกับพันธกิจวิสัยทัศน์และเป้าหมายขององค์กร เพื่อให้คน ทั่วไปพบเห็น หรือรับรู้ถึงCorporate Identity ผ่านตราสินค้าและเครื่องหมายการค้าในทางทฤษฎี องค์กร ส่วนใหญ่สร้างขึ้นโดยมีองค์ประกอบCorporate Identity ผ่าน 3 องค์ประกอบ คือ 1. Design - การออกแบบ เช่น โลโก้ สี เครื่องแบบพนักงาน ฯลฯ 2. Communications - การสื่อสาร ซึ่งในที่นี้รวมถึงการโฆษณาประชาสัมพันธ์ทั้งภายในและภายนอก 3. behaviour – พฤติกรรม โดยพื้นฐาน Corporate Identity มีความสาคัญอย่างยิ่งความสาคัญภายใน เกี่ยวเนื่องกับการมีอัตลักษณ์ที่ ชัดเจนทาให้เกิดความรู้สึกร่วมของสมาชิกทุกคนในองค์กรสะท้อนบุคลิกโดยรวมที่ต้องการสื่อถึงคนภายนอก ความรู้สึกร่วมที่มีต่อเป้าหมาย ทิศทางขององค์กรนั้นๆความสาคัญภายนอก ทาให้ผู้ติดต่อสื่อสาร หรือผู้มี ปฏิสัมพันธ์ด้วยรู้สึกได้ถึงบุคลิกขององค์กร ความแตกต่างกับองค์กรอื่น เช่น ปรัชญาหรือค่านิยมที่ฝังลึกอยู่ใน วัฒนธรรมขององค์กรนั้นๆ อย่างไรก็ตามการสร้าง Corporate Identity ที่แข็งแกร่งจะเกิดขึ้นได้จากการใช้ชื่อ ตัวอักษร โลโก้ สี รวมถึงการสื่อสารถึงกลยุทธ์ ความสาเร็จกิจกรรมต่างๆขององค์กรอย่างชัดเจนต่อเนื่อง ยิ่งกว่านั้นยังมี ความสัมพันธ์แนบแน่นการสร้างแบรนด์ การทาให้คนภายนอกได้รับประสบการณ์ที่ดีจาก แบรนด์ ซึ่งถือเป็นองค์ประกอบหลักอย่างหนึ่งในการสร้าง Corporate Identity ข้อมูลจากเว็บไซต์ : สรุปความหมายอัตลักษณ์เข้าถึงเมื่อวันที่ 29เม.ย. 2559 เข้าถึงได้จาก http://chotika51-thesis.blogspot.com ตัวอย่างงานออกแบบ CI ที่ดี

23

ภาพที่ 6 ตัวอย่างงานออกแบบ Ci 1

ภาพที่ 7 ตัวอย่างงานออกแบบ Ci 2

24

ภาพที่ 8 ตัวอย่างงานออกแบบ Ci 3

ภาพที่ 9 ตัวอย่างงานออกแบบ Ci 4

ภาพที่ 10 ตัวอย่างงานออกแบบ Ci 5

25

เทคนิคที่น่าสนใจในด้านองค์ประกอบการออกแบบ 1. เลือกองค์ประกอบมาผสมและสร้างเอกลักษณ์ขึ้นมา 2. จัดองประกอบตามความเหมาะสมและลงตัว 3. สร้างงานที่มีเอกลักษณ์เฉพาะตัว เป็นมืออาชีพ และน่าเชื่อถือ 4. จัดวางองค์ประกอบให้มีจุดเด่น ดึงดูดความสนใจ 5. องค์ประกอบของภาพดูมีความเคลื่อนไหว ความมันส์ มีจังหวะ เทคนิคที่สนใจด้านสี 1. สีขาวเป็นหลัก แสดงให้เห็นถึงพลังความหวัง 2. มีการใช้สีสว่างตัดกับสีดา และรอยยับ 3. ใช้สีคุมโทน ในทิศทางเดียวกัน เทคนิคที่สนใจด้านภาพประกอบ 1. ใช้ Typo / Typeface เส้นคม ดูแข็งแรง หนักแน่น และเคลื่อนไหว 2. เลือกใช้ภาพประกอบแบบถ่ายจริงผสมกับกราฟิก AI 3. ใช้ภาพสื่อสารดึงดูดความสนใจ ลดทอนส่วนตกแต่งที่ไม่จาเป็น สื่อประชาสัมพันธ์ที่มีความเกี่ยวข้องกับ Corporate Identity Design สิ่งพิมพ์มีการนาเสนอรูปแบบที่แตกต่างกันเป็น 2 ประเภท คือ สิ่งพิมพ์โดยตรง และสิ่งพิมพ์โดยอ้อม (โกสุม สายใจ. 2537: 25-42) 1. สิ่งพิมพ์โดยตรง เป็นสิ่งพิมพ์ที่จัดทาขึ้นเพื่อการอ่าน โดยผู้บริโภคจะได้ประโยชน์จากเนื้อหา อย่างต่อเนื่อง แสดงความเป็นสิ่งพิมพ์ด้วยตัวเอง เช่น 1.1 แผ่นพับ เป็นสิ่งพิมพ์แผ่นเดียวคล้ายแผ่นปลิว (leaflet) แต่ใช้กระดาษหนากว่า สามารถพับได้ตั้งแต่สองพับ ขึ้นไป ทาให้พกพาได้สะดวก ใช้พื้นที่ทั้งหน้าและหลังของกระดาษ ขนาดที่นิยมมักเป็นขนาดกระดาษ A4 หรือ 8.25” x 11.75” แต่ก็มีขนาดใหญ่ที่สามารถพับได้ตั้งแต่ 16 หน้า ถึง 48 หน้า แผ่นพับบางชนิดมีการเจาะปก เป็นรูปทรงต่างๆมีการนาเสียงมาใส่ หรือแทรกกระดาษบางๆ เข้าไปในแต่ละพับ เนื้อหาในแผ่นพับมักเป็นการ นาเสนอข่าวสารเฉพาะกิจในลักษณะของการแนะนาเป็นใจความสรุป และอาจเลือกแจกเฉพาะกลุ่มเป้าหมาย แผ่นพับจัดเป็นสิ่งพิมพ์ชนิดส่งตรงถึงกลุ่มเป้าหมาย (direct mail) ออกแบบได้โดยอิสระแต่ต้องพิจารณาขนาด ของข้อมูลอย่างชัดเจน แสดงลักษณะเฉพาะแต่ละหน้าและความสัมพันธ์ระหว่างหน้าอื่นๆ ที่จะพับมาต่อกัน ต้องสอดคล้องกัน นอกจากนี้การเลือกภาพประกอบที่พิถีพิถันเป็นพิเศษ จะจูงใจให้ผู้ดูได้พิจารณาได้นานและดู ได้หลายครั้ง

26

1.2 โบชัวร์ เป็นคาที่มาจากภาษาฝรั่งเศสโดยเรียกทับศัพท์สิ่งพิมพ์ชนิดหนึ่งที่มีความหมายถึงหนังสือเล่มเล็ก กล่าวคือต้องมีการเย็บเล่มเข้าด้วยกัน ส่วนใหญ่ทาเล่มแบบเย็บมุงหลังคา ซึ่งต้องมีปกหน้า-หลัง ปัจจุบันมี หลายขนาดและอาจไม่เย็บเล่มก็ได้แต่สาระสาคัญคือเป็นงานพิมพ์เฉพาะกิจที่มุ่งเสนอข่าวสารเป็นการเฉพาะ และต้องการรายละเอียดของเนื้อหามากกว่าแผ่นพับทั่วไป เช่น รายการอาหารตามภัตตาคาร เอกสารแนะนา องค์กรหรือบริษัท เป็นต้น 1.3 โปสเตอร์ เป็นสิ่งพิมพ์หน้าเดี่ยวขนาดใหญ่ มีเนื้อหาสาระนาเสนอข่าวสารเพื่อการโฆษณาหรือประชาสัมพันธ์ เป็นส่วนใหญ่ ใช้ตัวอักษรและสีที่เห็นชัด ข้อความกระทัดรัด เข้าใจง่าย มีรูปสินค้า บริการหรือเรื่องราวที่ ต้องการสื่อสารติดแสดงในที่ชุมชน โปสเตอร์ไม่มีขนาดที่ตายตัวขึ้นอยู่กับขนาดกระดาษและการนาไปใช้ โปสเตอร์สามารถ แบ่งเป็นประเภทได้ดังนี้ 1. โปสเตอร์นอกสถานที่ ได้แก่ โปสเตอร์ขนาดใหญ่ ที่เรียกว่า บิลบอร์ด (billboard) 2. โปสเตอร์ประเภทเคลื่อนที่ ได้แก่ โปสเตอร์ติดตามข้างรถเมล์ (bus-side) ท้ายรถเมล์ (bus-back) โปสเตอร์ติดบริเวณที่สาธารณะทั่วไป 3. โปสเตอร์ติดภายใน ได้แก่ โปสเตอร์ติดตามสานักงานหรือห้างสรรพสินค้า 4. โปสเตอร์ประเภท 3 มิติ เป็นลักษณะสื่อผสม อาจนาคน เข้ามาผสม เน้นสื่อเพื่อสาธารณะโดยตรง หรือ บิลบอร์ดที่มีส่วนยื่นออกมา 1.4 แผ่นปลิว ได้แก่ เอกสารสิ่งพิมพ์ที่บรรจุข่าวสารหรือข้อเขียนที่องค์กรนั้นต้องการเผยแพร่ประชาสัมพันธ์ โดยมากจะใช้เป็นกระดาษแผ่นเดียว รูปแบบการนาเสนอสาระข้อมูลลงแผ่นปลิวไม่มีข้อจากัดตายตัว แผ่นปลิว เป็นสื่อที่มีค่าใช้จ่ายในการผลิตต่าสุดทาให้สามารถผลิตได้ทีละมากๆ แผ่นปลิวไม่มีขนาดที่แน่นอน เพื่อความ สะดวกในการผลิตและใช้ประโยชน์ของเนื้อกระดาษได้เต็มที่ โดยมากจึงใช้กระดาษขนาด A4 เพราะเป็นขนาดที่ประหยัดที่สุด จุดอ่อนของแผ่นปลิวโดยทั่วไปที่เห็นได้ชัดคือคุณภาพของกระดาษและระบบ การพิมพ์ การเลือกใช้สีที่ค่อนข้างจากัดเนื่องจากต้นทุนการผลิตที่ต่าแต่ถ้าเป็นแผ่นปลิวโฆษณาในวงการธุรกิจ อาจมีการเน้นคุณภาพของวัสดุ การออกแบบและระบบการพิมพ์ที่ประณีตสวยงามได้ไม่แพ้สื่อประเภทอื่น 2. สิ่งพิมพ์โดยอ้อม เป็นสิ่งพิมพ์ที่นาไปประกอบหรือไปเป็นส่วนหนึ่งของตัวสินค้า ผลิตภัณฑ์หรืออุปกรณ์ต่างๆ เช่น 2.1 โลโก้ เป็นสิ่งพิมพ์ที่เป็นภาพเครื่องหมาย ตราสัญลักษณ์ หรือตัวอักษร ที่สื่อถึงกิจกรรมหรือภาพลักษณ์ของ หน่วยงาน โลโกมีที่ใช้ทั้งในและนอกสถานที่ (communication environments) เช่น ตามสถานที่ต่างๆ สี่ แยก สามแยก ตามถนนหนทาง หรืออยู่บนสื่อ(media) เช่น สิ่งพิมพ์ โทรทัศน์ อยู่บนผลิตภัณฑ์ เช่น เครื่องใช้ บรรจุภัณฑ์ หัวจดหมายเครื่องใช้สานักงาน โลโกที่ดีต้องมีลักษณะพิเศษเป็นเครื่องหมายที่แสดงคุณภาพของ สินค้าหรือบริการของหน่วยงานหรือสถานประกอบการนั้น ดังนั้นการออกแบบโลโกแต่ละครั้ง ต้องทาการศึกษาข้อมูลให้ดีถึงประเภทหรือบริการคู่แข่ง กลุ่มเป้าหมาย สภาพแวดล้อมทางการตลาด นักออกแบบสิ่งพิมพ์จาเป็นต้องจับประเด็นให้ได้ เพื่อนาเสนอรูปหรือรายละเอียดอื่นๆ ที่จะมาเป็นโลโก้

27

2.2 เครื่องใช้สานักงาน เป็นสิ่งแรกที่โลโก้จะปรากฏเพื่อแสดงเอกลักษณ์ เครื่องใช้สานักงานที่ใช้ในธุรกิจมีจุดมุ่งหมายเริ่มแรกคือเพื่อการโฆษณาเริ่มตั้งแต่หัวจดหมายซึ่ง โดยทั่วไปจะใช้กระดาษเขียนจดหมายขนาด A4 พร้อมซองจดหมาย เข้าชุดกัน นอกจากนี้ยังมีนามบัตร กระดาษบันทึกความจา ใบเสร็จรับเงิน จดหมายข่าวและป้ายติดเอกสารสาหรับส่งทางไปรษณีย์ (Denton.

1992: 155) ยังมีสิ่งพิมพ์อีกมากที่ปรากฏในชีวิตประจาวันของเรา ทั้งที่พิมพ์ลงบนวัตถุ 2 มิติ และ 3 มิติ มีทั้ง สิ่งพิมพ์ที่ใหญ่มากจนถึงเล็กที่สุด ในที่นี้จึงกล่าวถึงสิ่งพิมพ์ที่พิมพ์ลงบน กระดาษเป็นส่วนใหญ่ ข้อควรจา 1. สิ่งพิมพ์โดยตรง เป็นสิ่งพิมพ์ที่จัดทาขึ้นเพื่อการอ่าน โดยผู้บริโภคจะได้ประโยชน์จากเนื้อหาอย่างต่อเนื่อง แสดงความเป็นสิ่งพิมพ์ด้วยตัวเอง เช่น หนังสือ นิตยสารหนังสือพิมพ์ ฯลฯ 2. สิ่งพิมพ์โดยอ้อม เป็นสิ่งพิมพ์ที่นาไปประกอบหรือไปเป็นส่วนหนึ่งของตัวสินค้าผลิตภัณฑ์หรืออุปกรณ์ต่างๆ เช่น โลโก้ โปสการ์ด ฉลากสินค้า สิ่งพิมพ์บนบรรจุภัณฑ์เครื่องใช้สานักงาน 3. การนาเสนอผลงานสิ่งพิมพ์ต้องกาหนดรูปแบบให้ชัดเจนตามวัตถุประสงค์ว่าเป็นสิ่งพิมพ์ประเภทใด กลุ่มเป้าหมายคือใคร

ข้อมูลจากเว็บไซต์ : โกสุม สายใจ. (2537). การออกแบบนิเทศศิลป์ 3. กรุงเทพฯ: สถาบันราชภัฏสวนดุสิต. ประชิด ทิณบุตร. (2539). ความหมายและประเภทของสิ่งพิมพ์. ใน เอกสารการสอนชุดวิชา การออกแบบทางการพิมพ์. (หน้า 14-16). นนทบุรี: มหาวิทยาลัยสุโขทัยธรรมาธิราช. วรวิชญ เวชนุเคราะห์. (2531). กระแส’ 30. กรุงเทพฯ: ธรรมสาร. เข้าถึงเมื่อวันที่ 29 เม.ย. 2559 เข้าถึงได้จาก http://chotika51-thesis.blogspot.com ทฤษฎีหลักการออกแบบผลิตภัณฑ์ การออกแบบมีหลักการพื้นฐาน โดยอาศัยส่วนประกอบขององค์ประกอบศิลป์ตามที่ได้กล่าวมาแล้วใน บทเรียนเรื่อง “ องค์ประกอบศิลป์ ” คือ จุด เส้น รูปร่าง รูปทรง น้าหนัก สี และพื้นผิว นามาจัดวางเพื่อให้ เกิดความสวยงามโดยมีหลักการ ดังนี้ 1. ความเป็นหน่วย (Unity) ในการออกแบบ ผู้ออกแบบจะต้องคานึงถึงงานทั้งหมดให้อยู่ในหน่วยงานเดียวกันเป็นกลุ่มก้อน หรือมี ความสัมพันธ์กันทั้งหมดของงานนั้นๆ และพิจารณาส่วนย่อยลงไปตามลาดับในส่วนย่อยๆก็คงต้องถือหลักนี้ เช่นกัน 2. ความสมดุลหรือความถ่วง (Balancing) เป็นหลักทั่วๆไปของงานศิลปะที่จะต้องดูความสมดุลของงานนั้นๆ ความรู้สึกทางสมดุลของงานนี้เป็น ความรู้สึกที่เกิดขึ้นในส่วนของความคิดในเรื่องของความงามในสิ่งนั้นๆ มีหลักความสมดุลอยู่ 3 ประการ 2.1 ความสมดุลในลักษณะเท่ากัน (Symmetry Balancing) คือมีลักษณะเท่ากัน เป็นต้น ความสมดุลในลักษณะนี้ดูและเข้าใจง่าย

28

2.2 ความสมดุลในลักษณะไม่เท่ากัน (Nonsymmetry Balancing) คือมีลักษณะสมดุลกันในตัวเองไม่จาเป็นจะต้องเท่ากันแต่ดูในด้านความรู้สึกแล้วเกิดความสมดุลกันใน ตัวลักษณะการสมดุลแบบนี้ผู้ออกแบบจะต้องมีการประลองดูให้แน่ใจในความรู้สึกของผู้พบเห็นด้วยซึ่งเป็น ความสมดุลที่เกิดในลักษณะที่แตกต่างกันได้ เช่น ใช้ความสมดุลด้วยผิว (Texture) ด้วยแสง-เงา (Shade) หรือ ด้วยสี (Colour) 2.3 จุดศูนย์ถ่วง (Gravity Balance) การออกแบบใดๆที่เป็นวัตถุสิ่งของและจะต้องใช้งานการทรงตัวจาเป็นที่ผู้ออกแบบจะต้องคานึงถึง จุดศูนย์ถ่วงได้แก่ การไม่โยกเอียงหรือให้ความรู้สึกไม่มั่นคงแข็งแรง ดังนั้นสิ่งใดที่ต้องการจุดศูนย์ถ่วงแล้ว ผู้ออกแบบจะต้องระมัดระวังในสิ่งนี้ให้มาก ตัวอย่างเช่น เก้าอี้จะต้องตั้งตรงยึดมั่นทั้งสี่ขาเท่าๆกัน การทรงตัว ของคนถ้ายืน 2 ขา ก็จะต้องมีน้าหนักลงที่เท้าทั้ง 2 ข้างเท่าๆกัน ถ้ายืนเอียงหรือพิงฝา น้าหนักตัวก็จะลงเท้า ข้างหนึ่งและส่วนหนึ่งจะลงที่หลังพิงฝา รูปปั้นคนในท่าวิ่งจุดศูนย์ถ่วงจะอยู่ที่ใด ผู้ออกแบบจะต้องรู้และวางรูป ได้ถูกต้องเรื่องของจุดศูนย์ถ่วงจึงหมายถึงการทรงตัวของวัตถุสิ่งของนั่นเอง 3. ความสัมพันธ์ทางศิลปะ ( Relativity of Arts) ในเรื่องของศิลปะนั้น เป็นสิ่งที่จะต้องพิจารณากันหลายขั้นตอนเพราะเป็นเรื่องความรู้สึกที่สัมพันธ์กัน อันได้แก่ 3.1 การเน้นหรือจุดสนใจ (Emphasis or CentreofInterest) งานด้านศิลปะผู้ออกแบบจะต้องมีจุดเน้นให้เกิดสิ่งที่ประทับใจแก่ผู้พบเห็น โดยมีข้อบอกกล่าวเป็น ความรู้สึกร่วมที่เกิดขึ้นเองจากตัวของศิลปกรรมนั้นๆ ความรู้สึกนี้ผู้ออกแบบจะต้องพยายามให้เกิดขึ้น เหมือนกัน 3.2 จุดสาคัญรอง ( Subordinate) คงคล้ายกับจุดเน้นนั่นเองแต่มีความสาคัญรองลงไปตามลาดับซึ่งอาจจะเป็นรองส่วนที่ 1ส่วนที่ 2 ก็ได้ ส่วนนี้จะช่วยให้เกิดความลดหลั่นทางผลงานที่แสดง ผู้ออกแบบจะต้องคานึงถึงสิ่งนี้ด้วย 3.3 จังหวะ ( Rhythem) โดยทั่วๆไปสิ่งที่สัมพันธ์กันในสิ่งนั้นๆย่อมมีจังหวะ ระยะหรือความถี่ห่างในตัวมันเองก็ดีหรือ สิ่งแวดล้อมที่สัมพันธ์อยู่ก็ดีจะเป็นเส้น สี เงา หรือช่วงจังหวะของการตกแต่ง แสงไฟ ลวดลาย ที่มีความสัมพันธ์ กันในที่นั้นเป็นความรู้สึกของผู้พบเห็นหรือผู้ออกแบบจะรู้สึกในความงามนั่นเอง 3.4 ความต่างกัน ( Contrast) เป็นความรู้สึกที่เกิดขึ้นเพื่อช่วยให้มีการเคลื่อนไหวไม่ซ้าซากเกินไปหรือเกิดความเบื่อหน่าย จาเจ ใน การตกแต่งก็เช่นกัน ปัจจุบันผู้ออกแบบมักจะหาทางให้เกิดความรู้สึกขัดกันต่างกันเช่น เก้าอี้ชุดสมัยใหม่แต่ ขณะเดียวกันก็มีเก้าอี้สมัยรัชกาลที่ 5 อยู่ด้วย 1 ตัว เช่นนีผ้ ู้พบเห็นจะเกิดความรู้สึกแตกต่างกันทาให้เกิด ความรู้สึก ไม่ซ้าซาก รสชาติแตกต่างออกไป 3.5 ความกลมกลืน ( Harmomies) ความกลมกลืนในที่นี้หมายถึงพิจารณาในส่วนรวมทั้งหมดแม้จะมีบางอย่างที่แตกต่างกันการใช้สีที่ตัด กันหรือการใช้ผิว ใช้เส้นที่ขัดกัน ความรู้สึกส่วนน้อยนี้ไม่ทาให้ส่วนรวมเสียก็ถือว่าเกิดความกลมกลืนกันใน ส่วนรวม ความกลมกลืนในส่วนรวมนี้ถ้าจะแยกก็ได้แก่ความเน้นไปในส่วนมูลฐานทางศิลปะอันได้แก่ เส้น แสงเงา รูปทรง ขนาด ผิว สี นั่นเอง

29

ผลิตภัณฑ์ที่ดีย่อมเกิดมาจากการออกแบบที่ดีในการออกแบบผลิตภัณฑ์ นักออกแบบต้องคานึงถึง หลักการออกแบบผลิตภัณฑ์ที่เป็นเกณฑ์ในการกาหนดคุณสมบัติผลิตภัณฑ์ที่ดีเอาไว้ว่าควรจะมีองค์ประกอ อะไรบ้างแล้วใช้ความคิดสร้างสรรค์ วิธีการต่างๆ ที่ได้กล่าวมาเสนอแนวคิดให้ผลิตภัณฑ์มีความเหมาะสมตา หลักการออกแบบโดยหลักการออกแบบผลิตภัณฑ์ที่นักออกแบบควรคานึงนั้นมีอยู่ 9 ประการ คือ 1. หน้าที่ใช้สอย (FUNCTION) 2. ความปลอดภัย (SAFETY) 3. ความแข็งแรง (CONSTRUCTION) 4. ความสะดวกสบายในการใช้ (ERGONOMICS) 5. ความสวยงาม (AESTHETIES) 6. ราคาพอสมควร (COST) 7. การซ่อมแซมง่าย (EASE OF MAINTENANCE) 8. วัสดุและการผลิต (MATERIALS AND PRODUCTION) 9. การขนส่ง (TRANSPORTATION) ข้อมูลจากเว็บไซต์ : หลักการออกแบบผลิตภัณฑ์, เข้าถึงเมื่อวันที่ 29 เม.ย. 2559 เข้าถึงได้จาก http://www.advertising.clickingme.com ทฤษฎีสี (Color Theory) สี เป็นสิ่งที่ปรากฏอยู่บนโลก ทุกๆสิ่งที่เรามองเห็นรอบๆตัวนั้น ล้วนแต่มีสี โลกของเราถูกจรรโลง และ แต่งแต้มด้วย สีสันหลายหลาก ทั้งสีสันตามธรรมชาติ และสีที่มนุษย์รังสรรค์ขึ้น หากโลกนี้ไม่มีสี หรือมนุษย์ไม่ สามารถ รับรู้เกี่ยวกับสีได้ สิ่งนั้นอาจเป็น ความบกพร่องที่ยิ่งใหญ่ของธรรมชาติเพราะสีมีความสาคัญต่อ วัฏจักรแห่งโลก และเกี่ยวข้องกับ วิถีชีวิตมนุษย์ จนแยกกันไม่ออก เพราะมนุษย์ได้ตระหนักแล้วว่า สีนั้นส่งผล ต่อความรู้สึกนึกคิด อารมณ์ จินตนาการ การสื่อความหมาย และความสุขสาราญใจในชีวิตประจาวันมาช้านาน แล้ว ดังนั้น จึงอาจกล่าวได้ว่า สี มีอิทธิพลต่อมนุษย์เราเป็นอย่างสูง และมนุษย์ก็ใช้ประโยชน์ จากสีอย่าง เอนก อนันต์ ในการสร้างสรรค์ สิ่งต่างๆอย่างไม่มีที่สิ้นสุด 1. ความหมายและการเกิดสี คาว่า สี (Colour) ตามพจนานุกรมฉบับราชบัณฑิตยสถาน หมายถึง ลักษณะของแสง ที่ปรากฏแก่ สายตาเรา ให้เห็นเป็น สีขาว ดา แดง เขียวฯลฯหรือการสะท้อนรัศมีของแสงมาสู่ตาเรา สี ที่ปรากฏ ในธรรมชาติ เกิดจากการสะท้อนของแสงสว่าง ตกกระทบ กับวัตถุแล้ว เกิดการหักเหของแสง ( Spectrum ) สีเป็นคลื่นแสงชนิดหนึ่ง ซึ่งปรากฏให้เห็น เมื่อแสงผ่านละอองไอน้า ในอากาศ หรือ แท่งแก้ว ปริซึม ปรากฏเป็นสีต่างๆ รวม 7 สี ได้แก่ สีแดง ม่วง ส้ม เหลือง น้าเงิน คราม และเขียว เรียกว่า สีรุ้ง ที่ ปรากฏบนท้องฟ้า

30

ภาพที่ 11 ทฤษฎีสี

ตามธรรมชาติในแสงนั้น มีสีต่างๆรวมกัน อยู่อย่างสมดุลย์เป็น แสงสีขาวใส เมื่อแสงกระทบ กับสีของ วัตถุ ก็จะสะท้อนสีวัตถุนั้น ออกมาเข้าตาเรา วัตถุสีขาวจะสะท้อนได้ทุกสี ส่วนวัตถุสีดานั้น จะดูดกลืนแสงไว้ ไม่สะท้อนสีใด ออกมาเลย 1.วงจรสี (Colour Wheel) วงจรสี คือ สีที่เกิดจากการผสมกันเป็นคู่ เริ่มตั้งแต่ แม่สี 3 สี แล้วเกิดเป็นสีใหม่ขึ้นมา จนครบวงจร จะได้สีทั้งหมด 12 สี ซึ่งแบ่งสีเป็น 3 ขั้นคือ 1.1 สีขั้นที่ 1 (Primary Colours) คือ แม่สี 3สี ได้แก่ สีแดง เหลือง และน้าเงิน 1.2 สีขั้นที่ 2 (Secondary Colours) คือ สีที่เกิดจากการผสมกันเป็นคู่ๆ ระหว่างแม่สี 3 สี จะ ได้สีเพิ่มขึ้นอีก 3สี 1.3 สีขั้นที่ 3 (Tertiary Colours) คือ สีที่เกิดจากการผสมกันเป็นคู่ๆ ระหว่างแม่สี 3 สี กับสีขั้นที่ 2 จะได้สี เพิ่มขึ้นอีก 6สี 1.4 สีกลาง (Neutral Colour) คือ สีที่เกิดการผสมสีทุกสี ในวงจรสี หรือ แม่สี 3สี ผสมกัน จะได้สีเทาแก่ สีทั้ง 3ขั้น เมื่อนามาจัดอยู่เป็นวงจรจะได้ลักษณะเป็นวงล้อสี

31

ภาพที่ 12 ทฤษฎีสี 2 2.วรรณะของสี (Tone of Colour) วรรณะสี คือ ความแตกต่างของสีแต่ละกลุ่ม ในวงจรสีโดยแบ่งตามความรู้สึกด้านอุณหภูมิ โดยแบ่งออกเป็น 2 วรรณะ คือ 2.1 สีวรรณะร้อน (Warm Tone) ประกอบด้วยสีเหลือง, ส้มเหลือง, ส้ม, ส้มแดง, แดง และม่วงแดง 2.2 สีวรรณะเย็น (Cool Tone) ประกอบด้วยสีม่วง, ม่วงน้าเงิน, น้าเงิน, เขียวน้าเงิน, เขียวและเขียวเหลือง 3.สีตรงข้าม (Comprementary Colour) สีตรงข้าม หมายถึง สีที่อยู่ในตาแหน่งตรงข้ามกันในวงจรสี และมีการตัดกันอย่างเด่นชัดซึ่งจะให้ ความรู้สึกที่ขัดแย้งกัน หากนามาผสมกันจะได้สีกลาง (เทา) ซึ่งมีทั้งหมด 6คู่ ได้แก่ - สีเหลือง ตรงข้ามกับ สีม่วง - สีแดง ตรงข้ามกับ สีเขียว - สีน้าเงิน ตรงข้ามกับ สีส้ม - สีเขียวเหลือง ตรงข้ามกับ สีม่วงแดง - สีส้มแดง ตรงข้ามกับ สีเขียวน้าเงิน - สีม่วงน้าเงิน ตรงข้ามกับ สีส้มเหลือง

32

ภาพที่ 13 ทฤษฎีสี 3 4. สีข้างเคียง ( Analogous Colour) สีข้างเคียง หมายถึง สีที่อยู่เคียงข้างกันทั้งซ้ายและขวาในวงจรสี มีความคล้ายคลึงกันหากนามาจัดอยู่ ด้วยกันจะมีความกลมกลืนกัน หากอยู่ห่างกันมากเท่าใดความกลมกลืนก็จะยิ่งน้อยลงความขัดแย้งก็จะมีมาก ขึ้น ส่วนใหญ่จะเป็นสี ในวรรณะเดียวกัน (ภาพที่ 6) สีข้างเคียงได้แก่ - สีแดง - ส้มแดง - ส้ม หรือ ม่วงแดง -แดง - ส้มแดง - สีส้มเหลือง - เหลือง - เขียวเหลือง หรือ ส้มแดง - ส้ม - ส้มเหลือง - สีเขียว - เขียวน้าเงิน - น้าเงิน หรือ เขียวน้าเงิน - เขียว - เขียวเหลือง - สีม่วงน้าเงิน - ม่วง - ม่วงแดง หรือ ม่วงน้าเงิน- น้าเงิน – เขียวน้าเงิน 5. ประเภทของสี ในปัจจุบันแหล่งกาเนิดสีจะมีอยู่ 3 ชนิดคือ สีที่เกิดจากแสง เกิดจากการหักเหของแสงผ่านแท่งแก้วปริซึมมี 3 สีคือ สีแดง (Red), สีเขียว (Green) และสีน้าเงิน (Blue) เรียกรวมกันว่า RGB นามาผสมกันจนเกิดเป็นสีสันต่าง ๆ มากมาย ตัวอย่างอุปกรณ์ที่ใช้แหล่งกาเนิดสี แบบนี้ เช่น โทรทัศน์หรือจอคอมฯ ของเรานั่นเอง

33

ภาพที่ 14 สีที่เกิดจากแสง สีเกิดจากหมึกสีในการพิมพ์ เกิดจากการผสมหมึกพิมพ์ทั้ง 4 สีในเครื่องพิมพ์คือ สีฟ้า, สีม่วงแดง, สีเหลือง และสีดา เรียกรวมกัน ว่า CMYK จนได้ออกมาเป็นสีสันต่าง ๆ ตามที่ต้องการ ในการทางานกราฟิก ถ้าหากว่าเป็นงานที่นาไปพิมพ์ ตามแท่นพิมพ์แล้ว นักออกแบบก็ควรจะเลือกใช้โหมดสีแบบนี้ทุกครั้ง เพื่อให้ได้ผลลัพธ์ที่ออกมาตรงกับที่เห็น ในจอคอมพิวเตอร์ ที่ทางานอยู่

ภาพที่ 15 สีที่เกิดหมึกสีในการพิมพ์ สีที่เกิดจากธรรมชาติเป็นสีที่ได้จากธรรมชาติ จากกระบวนการสังเคราะห์ทางเคมี 3 สีคือ สีแดง สีเหลืองและสีน้าเงิน หลังจากนั้นจึงนามาผสมกัน จนเกิดเป็นสีอื่นๆ แหล่งกาเนิดสีแบบที่เราเรียนกันมาในคลาสศิลปะตั้งแต่เด็กจนโต ที่เรียกกันว่าแม่สีก็คือสี แบบนี้นั่นเอง การผสมสีไว้ใช้งานจะใช้งานจะใช้วิธีผสมจากสีที่เกิดจากสีที่เกิดธรรมชาติ โดยเริ่มผสมจากแม่สี หรือสี ขั้นที่หนึ่ง ไปจนเป็นสีขั้นที่สองและขั้นที่สามตามลาดับภาพแต่ละสีมีความหมายอย่างไร?

34

ภาพที่ 16 สีที่เกิดจากธรรมชาติ 6. การรับรู้เรื่องสี (Colour Perception) การรับรู้ต่อสีของมนุษย์ เกิดจากการมองเห็น โดยใช้ตา เป็นอวัยวะรับสัมผัส ตาจะตอบสนองต่อแสงสี ต่างๆ โดยเฉพาะแสงสว่าง จากดวงอาทิตย์ และจากดวงไฟ ทาให้มองเห็น โดยเริ่มจากแสงสะท้อนจากวัตถุ ผ่านเข้านัยน์ตา ความเข้มของแสงสว่าง มีผลต่อ การเห็นสี และความคมชัดของวัตถุ หากความเข้มของแสง สว่างปรกติ จะทาให้มองเห็นวัตถุชัดเจน แต่หากความเข้มของแสงสว่างมีน้อย หรือ มืด จะทาให้มองเห็นวัตถุ ไม่ชัดเจน หรือพร่ามัว นักวิทยาศาสตร์ได้เคยทา การศึกษาเกี่ยวกับ ความไวในการรับรู้ต่อสีต่างๆของมนุษย์ ปรากฏว่า ประสาทสัมผัสของมนุษย์ ไวต่อการรับรู้สีแดง สีเขียว และสีม่วงมากกว่าสีอื่นๆ ส่วนการรับรู้ของเด็กเกี่ยวกับสี นั้น เด็กส่วนใหญ่ จะชอบภาพ ที่มีสีสะอาดสดใส มากกว่า ภาพขาวดา ชอบภาพหลายๆสีมากกว่าสีเดียว และ ชอบภาพที่เป็น กลุ่มสีร้อนมากกว่าสีเย็น (โกสุม สายใจ, 2540) ตาของคนปกติจะสามารถ แยกแยะสีต่างๆได้ถูกต้อง แต่หากมองเห็นสีนั้นๆเป็นสีอื่นที่ผิดเพี้ยนไป เรียกว่า ตาบอดสี เช่น เห็นวัตถุสีแดง เป็นสีอื่นที่มิใช่สีแดง ก็แสดงว่า ตาบอดสีแดง หากเห็นสีน้าเงินผิดเพี้ยน แสดงว่าตาบอดสีน้าเงิน เป็นต้น ซึ่งตาบอดสีเป็นความบกพร่องทางการมองเห็นอย่างหนึ่ง บุคคลใดที่ตาบอดสี ก็จะเป็นอุปสรรคต่อการทางานบางประเภทได้ เช่น งานศิลปะ งานออกแบบ การขับรถ ขับเครื่องบิน งานด้าน วิทยาศาสตร์ เป็นต้น 7. จิตวิทยาสีกับความรู้สึก ( Psychology of Colour) ในด้านจิตวิทยา สี เป็นตัวกระตุ้นความรู้สึกและมีผลต่อจิตใจของมนุษย์ สีต่างๆจะให้ความรู้สึกที่ แตกต่างกัน ดังนั้นเราจึงมักใช้สีเพื่อสื่อความรู้สึกและความหมายต่างๆ ได้แก่ สีแดง ให้ความรู้สึก เร่าร้อน รุนแรง อันตราย ตื่นเต้น สีเหลือง ให้ความรู้สึก สว่าง อบอุ่น แจ่มแจ้ง ร่าเริง ศรัทธา มั่งคั่ง สีเขียว ให้ความรู้สึก สดใส สดชื่น เย็น ปลอดภัย สบายตา มุ่งหวัง สีฟ้า ให้ความรู้สึก ปลอดโปล่ง แจ่มใส กว้าง ปราดเปรื่อง สีม่วง ให้ความรู้สึก เศร้า หม่นหมอง ลึกลับ สีดา ให้ความรู้สึก มืดมิด เศร้า น่ากลัว หนักแน่น สีขาว ให้ความรู้สึก บริสุทธิ์ ผุดผ่อง ว่างเปล่า จืดชืด สีแสด ให้ความรู้สึก สดใส ร้อนแรง เจิดจ้า มีพลัง อานาจ

35

สีเทา ให้ความรู้สึก เศร้า เงียบขรึม สงบ แก่ชรา สีน้าเงิน ให้ความรู้สึก เงียบขรึม สงบสุข จริงจัง มีสมาธิ สีน้าตาล ให้ความรู้สึก แห้งแล้ง ไม่สดชื่น น่าเบื่อ สีชมพู ให้ความรู้สึก อ่อนหวาน เป็นผู้หญิง ประณีต ร่าเริง สีทอง ให้ความรู้สึก มั่งคั่ง อุดมสมบูรณ์

ภาพที่ 17 สีกับความรู้สึก 8. คุณลักษณะของสี (Characteristics of Colours) ในงานศิลปะ สี นับเป็นองค์ประกอบพื้นฐานที่มีความสาคัญมาก โดยเฉพาะในงานจิตรกรรม สีถือเป็น ปัจจัยสาคัญ ที่ช่วยให้ศิลปิน สามารถสร้างสรรค์ผลงานได้ตามเจตนารมณ์ ซึ่งคุณลักษณะของสีในงานศิลปะที่ ต้องนามาพิจารณามีอยู่ 3 ประการ คือ 8.1 สีแท้ (Hue) หมายถึง ความเป็นสีนั้นๆ ที่มิได้มีการผสมให้เข้มขึ้น หรือจางลง สีแท้เป็นสีในวงจรสี เช่น สี แดง น้าเงิน เหลือง ส้ม เขียว ม่วง ฯลฯ 8.2 น้าหนักของสี ( Value) หมายถึง ค่าความอ่อนแก่ หรือ ความสว่างและความมืด ของสี โดยแบ่งเป็น 2 ลักษณะคือ 8.2.1 สีแท้ถูกทาให้อ่อนลงโดยผสมสีขาว เรียกว่า สีนวล (Tint) 8.2.2 สีแท้ถูกทาให้เข้มขึ้นโดยผสมสีดา เรียกว่า สีคล้า (Shade) 8.2.3 ความจัด หรือความเข้มของสี (Intensity) หมายถึง ความสดหรือความบริสุทธิ์ของสีๆหนึ่ง ที่มิได้ถูกผสม ให้สีหม่นหรืออ่อนลง หากสีนั้นอยู่ท่ามกลางสีที่มีน้าหนักต่างค่ากันจะเห็นสภาพสีแท้สดใสมากขึ้น เช่น วงกลม สีแดง บนพื้นสีน้าเงินอมเทา 8.4 ค่าความเป็นสีกลาง (Neutral) หมายถึง การทาให้สีแท้ที่มีความเข้มของสีนั้นหม่นลง โดยการผสมสีตรง ข้าม เรียกว่า การเบรกสี เช่น สีแดงผสมกับสีเขียว หรือผสมด้วยสีที่เป็นกลาง เช่น สีเทา สีน้าตาลอ่อน สีครีม และขาว เพื่อลดความสดของสีแท้ลง

36

9. หน้าที่ของสี สีมีคุณประโยชน์ต่อโลก และ มนุษย์เรารู้จักการใช้สีมาช้านาน 9.1 สีที่มีอยู่ในธรรมชาติ เป็นปรากฏการณ์ที่ธรรมชาติสร้างขึ้นมาเพื่อแสดงถึงความเป็นไป ของสิ่งที่มีอยู่บน โลก ซึ่งสีจะเป็นตัวบ่งบอก สิ่งต่างๆ ได้แก่ ความเปลี่ยนแปลง หรือวิวัฒนาการ ของธรรมชาติ หรือวัตถุธาตุ เมื่อกาลเวลาเปลี่ยนไป สีอาจกลายสภาพจากสีหนึ่งไปเป็นอีกสีหนึ่ง เช่น การเปลี่ยนสีของใบไม้ ความแตกต่างของชนิด หรือประเภทของวัตถุธาตุ ได้แก่ สีของอัญมณี เช่น แร่ไพลินมีสีน้าเงิน แร่มรกตมีสี เขียว แร่ทับทิมมีสีแดง เป็นต้น แบ่งแยกเผ่าพันธุ์ของสิ่งมีชีวิต ได้แก่ สีผิวของมนุษย์ที่ต่างกัน เช่น คนยุโรปผิว ขาว คนเอเซียผิวเหลือง และคนอาฟริกันผิวดา ดอกไม้ หรือแมลงมีสีหลากสี ขึ้นอยู่กับชนิดและเผ่าพันธุ์ 9.2 สีในงานศิลปะ ทาหน้าที่ เป็นองค์ประกอบสาคัญที่ทาให้งานศิลปะชิ้นนั้นมีคุณค่าทางสุนทรียะ หน้าที่หลัก ของสีในงานศิลปะ คือ ให้ความแตกต่างระหว่างรูปกับพื้น หรือรูปทรงกับที่ว่าง ให้ความรู้สึกเคลื่อนไหวด้วย การนาสายตาของผู้ดูบริเวณที่สีตัดกันจะดึงดูดความสนใจ ให้ความเป็นมิติแก่รูปทรง และภาพด้วยน้าหนักของ สีที่ต่างกัน ให้อารมณ์ความรู้สึกได้ด้วยตัวมันเอง 9.3 ในด้านกายภาพ สีมักนามาใช้เพื่อส่งผลต่ออุณหภูมิ เช่น สีดา จะดูดความร้อนได้มากกว่าสีขาว และด้าน ความปลอดภัย สีที่สว่างจะช่วยในเรื่องความปลอดภัยได้ดีกว่าสีมืด ข้อมูลจากเว็บไซต์ : ความรู้เบื้องต้นเกี่ยวกับสี ( Introduction to Colour), สีและการสื่อความหมายใน อารมณ์ต่างๆ, เข้าถึงเมื่อวันที่ 29 เม.ย. 2559 เข้าถึงได้จาก http://www.novabizz.com/CDC/Interior/Interior_Colour01.htm , http://www.kmweb.rmutt.ac.th/?p=98 ทฤษฎีสีองค์ประกอบงานกราฟิก (Element of Design) องค์ประกอบหลัก ๆ ในงานกราฟิกจะแบ่งออกเป็น 8 ชนิดคือ เส้น, รูปร่าง, รูปทรง, น้าหนัก, พื้นผิว, ที่ว่าง, สี และตัวอักษร

ภาพที่ 18 ทฤษฎีสีองค์ประกอบงานกราฟิก

37

เส้น (Line)

ภาพที่ 19 เส้น ตามตารางมาตรฐานแล้วจะพูดถึงเรื่องนี้ว่าเป็นเรื่องของจุด เส้น ระนาบ แต่ถ้าจะเอาให้เข้าใจง่าย ๆ ก็ เพียงแต่เข้าใจว่าความหมายของเส้นก็คือ การที่จุดหลาย ๆ จุด ถูกนามาวางต่อเนื่องจนกลายเป็นเส้นรูปทรง ต่าง ๆ ขึ้นมา รูปทรงของเส้นที่จะสื่อออกมาถึงความรู้สึกที่แตกต่างกันออกไป เส้นแนวนอน ให้ความรู้สึกสงบ ราบเรียบ เส้นตรงแนวตั้ง ให้ความรู้สึกมั่นคงแข็งแรง เส้นทแยง ให้ความรู้สึกไม่มั่นคง รวดเร็ว แสดงถึงเคลื่อนไหว เส้นตัดกัน ให้ความรู้สึกประสาน แข็งแกร่ง หนาแน่น เส้นโค้ง ให้ความรู้สึกอ่อนช้อย อ่อนน้อม เส้นประ ให้ความรู้สึก โปร่ง ไม่สมบูรณ์ หรือในบางกรณีอาจจะใช้เป็นสัญลักษณ์ในการแสดงถึงส่วนที่ถูกซ่อน เอาไว้ เส้นโค้งก้นหอย ให้ความรู้สึกเคลื่อนไหวไม่มีที่สิ้นสุด เส้นโค้งแบบคลื่น ให้ความรู้สึกถึงการเคลื่อนไหวอย่างนิ่มนวล เส้นซิกแซ็ก ให้ความรู้สึก น่ากลัว อันตราย ส่วนใหญ่แล้วเส้นจะมีอยู่ทุกๆ งานออกแบบ โดยถูกนาไปใช้ร่วมกับองค์ประกอบต่างๆ จนสื่อถึง อารมณ์ของผลงานออกมาได้ ในแบบที่ต้องการ ดังนั้น การเลือกใช้เส้นเข้ามาเป็นส่วนประกอบในงานของเรา จึงถือว่าเป็นสิ่งที่ต้องคานึงถึงเป็นอันดับแรก รูปร่าง (Shape), รูปทรง (Form) ,น้าหนัก (Value)

ภาพที่ 20 รูปร่าง, รูปทรง ,น้าหนัก รูปร่าง : เป็นองค์ประกอบต่อเนื่องมาจากเส้น เกิดจากการนาเส้นแบบต่าง ๆ มาต่อกันจนได้รูปร่าง 2 มิติที่มีความกว้างและความยาว (หรือความสูง) ในทางศิลปะจะแบ่งรูปร่างออกเป็น 2 แบบคือ รูปร่างที่คุ้น

38

ตา แบบที่เห็นแล้วรู้เลยว่านั่นคืออะไร เช่นดอกไม้ หรือคน และอีกแบบหนึ่งจะเป็นรูปร่างแบบฟรีฟอร์ม เป็น แนวที่ใช้รูปร่างสื่อความหมายที่จินตนาการไว้ออกมา ไม่มีรูปทรงที่แน่นอน แต่ดูแล้วเกิดจินตนาการถึงอารมณ์ ที่ต้องการสื่อได้ รูปทรง : เป็นรูปร่างที่มิติเพิ่มขึ้นมากลายเป็นงาน 3 มิติคือ มีความลึกเพิ่มเข้ามาด้วย น้าหนัก : เป็นส่วนที่มาเสริมให้ดูออกว่ารูปทรงมีน้าหนักขนาดไหนเบา หรือหนัก ทึบ หรือโปร่งแสง น้าหนักจะเกิดจากการเติมสีและแสงแรเงาลงไปในรูปทรงจนได้ผลลัพธ์ออกมาตามที่ต้องการ ในการทางานกราฟิกรูปร่างจะมีผลอย่างมากต่ออารมณ์ของงาน เช่น ถ้าต้องการงานที่อารมณ์ผู้หญิง จัด ๆ เพียงแค่ใส่รูปของดอกไม้ลงไปก็จะสามารถแสดงอารมณ์ได้อย่างชัดเจน หรือในงานที่ต้องการให้มีมิติมาก ขึ้นก็อาจจะเป็นรูปทรงของดอกไม้ในมุมมองที่แปลกตา ก็จะสามารถสื่ออารมณ์ที่ต้องการออกไปได้พร้อมกับ เป็นการสร้างความน่าสนใจเพิ่มขึ้นมาอีกด้วย พื้นผิว (Texture)

ภาพที่ 21 พื้นผิว ในงานออกแบบกราฟิก พื้นผิวจะเป็นอีกหนึ่งองค์ประกอบที่ช่วยสื่ออารมณ์ของงานออกมาได้ชัดเจน มากขึ้น เช่น ถ้าเราเลือกพิมพ์งานลงในกระดาษ Glossy ที่เงาและแวววาว งานนั้นจะสื่อกอกไปได้ทันทีว่า “หรู มีระดับ” หรือ ถ้าเราใส่ลวดลายที่ดูคล้าย ๆ สนิม หรือรอยเปื้อนลงไปในงานก็จะสื่อได้ทันทีถึง “ความเก่า” ดังนั้นในการทางาน นักออกแบบจึงควรเลือกสร้างพื้นผิวทั้งในองค์ประกอบต่าง ๆ ที่ใส่ลงไปในภาพ รวมทั้งวัสดุที่ใช้พิมพ์งานดังกล่าวลงไป ก็จะสามารถช่วยสื่อความหมายที่ต้องการได้อย่างเหมาะสม

39

ที่ว่าง (Space)

ภาพที่ 22 ที่ว่าง อาจจะเกิดจากความตั้งใจหรือไม่ตั้งใจของนักออกแบบก็ได้ ที่ว่างไม่ได้หมายความถึงพื้นที่ว่างเปล่าใน งานเพียงอย่างเดียว แต่หมายถึงรวมไปถึงพื้นที่ที่ไม่สาคัญหรือ Background ด้วย ในการออกแบบงานกราฟิก ที่ว่างจะเป็นตัวช่วยในงานดูไม่หนักจนเกินไป และถ้าควบคุมพื้นที่ว่างนี้ให้ดี ๆ ที่ว่างก็จะเป็นตัวที่ช่วยเสริม จุดเด่นให้เห็นได้ชัดเจนมากขึ้น สี (Color)

ภาพที่ 23 สี สีของงานกราฟิก ถือเป็นหัวใจหลักสาคัญเลยก็ว่าได้ เพราะการเลือกใช้สีจะแสดงถึงอารมณ์ที่ต้องการ ได้ชัดเจนมากกว่าส่วนประกอบอื่น ๆ ทั้งหมด เช่น สีโทนร้อน สาหรับงานที่ต้องการความตื่นเต้น ท้าทาย หรือ สีโทนเย็นสาหรับงานต้องการให้ดูสุภาพ สบาย ๆ สาหรับเรื่องสีเป็นเรื่องที่ต้องพูดถึงละเอียดมากกว่าหัวข้อ อื่นๆ ดังนั้นจึงขอยกไปอธิบายไว้เป็นเรื่องใหญ่ ๆ ในหัวข้อต่อไป

40

ตัวอักษร (Type)

ภาพที่ 24 ตัวอักษร ตัวอักษรเป็นสิ่งสาคัญไม่เป็นรองใคร เมื่อต้องทางานกราฟิกดีไซน์ ในเรื่องงานกราฟิกที่ดีบางงาน นัก ออกแบบอาจจะใช้เพียงแค่ตัวอักษรและสีเป็นส่วนประกอบเพียงสองอย่าง เพื่อสร้างสรรค์งานที่สามารถสื่อ ความหมายออกมาได้ในดีไซน์ที่สวยงาม ดังนั้น เรื่องนี้จะต้องยกไปอธิบายให้ละเอียดมากขึ้นในหัวข้อใหญ่ ๆ ต่อไปจากเรื่องสี ข้อมูลจากเว็บไซต์ : หลักและทฤษฎีในการออกแบบ, เข้าถึงเมื่อวันที่ 29 เม.ย. 2559 เข้าถึงได้จาก http://www.km-web.rmutt.ac.th/?p=64 ทฤษฎีกลยุทธ์การสร้างตราสินค้า (Brand Strategy)

ภาพที่ 25 ผังความคิด

41

สิ่งที่นักการตลาดกล่าวถึงกันมาก และผู้บริโภคต่างให้ความสาคัญกันมากขึ้นเรื่อย ๆ ในยุคนี้ก็คือเรื่อง ของการสร้างหรือทาแบรนด์ ที่เรียกกันสั้น ๆ ว่า Branding ซึ่งไม่ใช่เรื่องแปลกเพราะว่าตลาดส่วนใหญ่อยู่ใน สภาพอิ่มตัว ผู้บริโภคมีแบรนด์ (ตรา หรือยี่ห้อ) ให้เลือกมากมาย ทั้งตัวเลือกทางตรง เช่น Competing Brands ต่าง ๆ และตัวเลือกทางอ้อม เช่น Subsitugd Products ที่มีอยู่มากมายในท้องตลาด รวมทั้ง Global Brands (ยี่ห้อสินค้าต่างประเทศ) ต่าง ๆ ที่ทยอยกันเข้ามาเจาะตลาดในประเทศและถล่ม Local Brands(ยี่ห้อสินค้าภายใน) อย่างยับเยิน เช่น Starbuck, McDonald’s และ KFC เป็นต้น ทาให้คนไทยรุ่น ใหม่ต้องยอมควักเงินเพิ่มขึ้น 4 ถึง 5 เท่า เพื่อซื้อกาแฟมียี่ห้อ อย่างStarbuck หรือไก่ยี่ห้ออย่าง KFC ในขณะ ที่สามารถซื้อกาแฟและไก่ย่างอร่อยๆ ที่ขายอยู่ทั่วๆไปแทบทุกตรอกซอกได้ในราคาถูก ๆ แม้แต่ ไก่ที่มียี่ห้อ กาลังฮิต (Weaker Branded Chicken) อย่าง Chester Grill ก็ยังโดนไก่ที่มียี่ห้อเหนือกว่า(Storng Branded Chicken) อย่าง KSC ถล่มอย่างไม่ไว้หน้า CP ที่แย่กว่านั้นก็คือ ทั้ง KFC และ Chester Grill ต่างก็ซื้อไก่จาก CP แต่ก็พอติดยี่ห้อ KFC ปั๊บรสชาติก็อร่อยกว่า Chester Grill ในทุกสถานที่ที่ต้องเผชิญหน้ากันถึง 40 – 50 เท่า นี้ถ้าไม่ใช่เป็นเพราะเรื่องของ Branding ก็คงยากที่จะหาอะไรมาอธิบายถึงปรากฏการณ์ เหล่านี้ได้อย่าง สมเหตุสมผล ถึงแม้ว่าการสร้างแบรนด์ จะเป็นสิ่งสาคัญที่สุดประการหนึ่งของกลยุทธ์การตลาดและกลยุทธ์ทาง ธุรกิจในปัจจุบันก็ตาม แต่ Branding เป็นสิ่งที่ค่อนข้างมีใครเข้าใจมากที่สุด ทั้งอยู่ในวงการและนอกวงการ การตลาด สิ่งแรกที่ต้องเข้าใจคือ Branding ไม่ใช่เรื่องที่จะมาเปิดตาราทากันได้ง่าย ๆ หรือคิดว่าอ่านตารา เยอะ ๆ แล้วจะทาได้ดี ตลอดทั้งไม่สามารถที่จะนาวิธีการสร้างแบรนด์ที่ได้ผลกับแบรนด์หนึ่ง มาใช้กับอีกแบ รนด์หนึ่งอย่างได้ผลดีนักการตลาด นักธุรกิจ นักโฆษณา นักเขียน และนักวิชาการ มีความเชื่อว่าอย่างผิด ๆ ว่า Branding คือการโฆษณาหรือเป็นเพียงการบริหารจัดการภาพลักษณ์ของผลิตภัณฑ์ หรือเป็นเพียง กิจกรรมการตลาดที่เลือกสรรมาเพื่อสร้างแบรนด์ แต่แท้จริงแล้ว Branding เป็นเครี่องมือหลักในการในการ สร้างสรรค์และรักษาความได้เปรียบทางการแข่งขันขององค์กรที่เรียกว่า Competitive Advantage การสร้างแบรนด์จะสาเร็จก็ต่อเมื่อแบรนด์นั้นกลายเป็นส่วนหนึ่งของสังคมหรือ วัฒนธรรมที่ทุกคนยอมรับ ดังนั้น Branding จึงเป็นมุมมองของการบริหารจัดการที่มุ่งเน้นการสร้างการรับรู้ ในคุณค่าของผลิตภัณฑ์ให้เกิดขึ้นในสังคมนั้น ๆ โดยทั่วไปคิดว่าการสร้างตราสินค้า, สัญลักษณ์,เครื่องหมาย การค้าและคุณสมบัติเฉพาะที่โดดเด่นของผลิตภัณฑ์ให้เป็นที่รู้จักคือการสร้างแบรนด์ แต่ในความเป็นจริงแล้ว สิ่งเหล่านี้เป็นรูปโฉมภายนอกของผลิตภัณฑ์ที่ปราศจากความหมายและประวัติความเป็นมาที่น่าสนใจที่ควรค่า แก่การติดตามของผู้บริโภคจึงทาให้สิ่งเหล่านี้ไม่เพียงพอที่จะร่วมกันทาให้เกิดแบรนด์ที่จะถูกจดจาได้อย่างมี ความหมายในใจของผู้บริโภคผิดกับแบรนด์ที่ประสบความสาเร็จอย่าง McDonald’s, IBM และ KFC เป็นต้น ที่มีประวัติศาสตร์ (Brand History) ในใจของผู้บริโภคมาช้านานที่เกิดจากการสร้างสมประสบการณ์จากการใช้ ผลิตภัณฑ์มาอย่างต่อเนื่อง สิ่งที่พบเห็นจากสื่อโฆษณาต่าง ๆ ที่เกี่ยวกับแบรนด์ ซึ่งจะมีในนิตยสาร และ ข้อความในหนังสือพิมพ์ที่เขียนวิจารณ์แบรนด์ ตลอดจนการพูดถึงแบรนด์ในวงสนทนากับเพื่อนฝูงและ ผู้ร่วมงานอย่างต่อเนื่อง และสะสมมากขึ้นเรื่อย ๆ ทาให้แบรนด์มีความหมายที่ควรค่าแก่การจดจาขึ้นทุกทีจน ในที่สุดทาให้เกิด Branding Culture

42

ปัจจัยที่ทาให้เกิดBranding Culture (วัฒนธรรมตราสินค้า) บริษัทเจ้าของผลิตภัณฑ์จะมีบทบาทในการกาหนดทิศทางของตรา และวัฒนธรรมตราโดยการใช้ กิจกรรมต่าง ๆ ทางการตลาด และพยายามสื่อสารให้กลุ่มลูกค้าเป้าหมายเข้าใจเกี่ยวกับตัวผลิตภัณฑ์ การนาเสนอตัวผลิตภัณฑ์ และชื่อตรา ในสื่อต่าง ๆ เพื่อให้เกิดความตรึงตราตรึงใจ เช่นภาพยนตร์ จอเงินจอ แก้ว นิตยสาร และอินเตอร์เน็ตผู้บริโภคหรือผู้มีอิทธิพลต่อการบริโภค มีบทบาทสาคัญต่อการสร้างตรา เช่น ผู้เชี่ยวชาญ กลุ่มผู้นา ผู้ชานาญเฉพาะทาง คอลัมนิสต์ นิตยสาร ดารานักร้อง พ่อแม่เพื่อนๆ เป็นต้น ส่งผลทา ให้ผู้บริโภคเกิดความรู้สึกอยากบริโภคสินค้าและมีความมั่นใจในการบริโภคสินค้านั้นอย่างต่อเนื่อง ทาให้ ผู้บริโภคมีตราตรึงจิต ทาให้มีเกิดส่วนแบ่งทางการตลาด ทาให้เกิดวัฒนธรรมตราBranding Culture ทาให้ เกิดผล ดังนี้พฤติกรรมการบริโภคของคนมากขึ้น ในแง่จิตวิทยา ถ้ามนุษย์เมื่อคุ้นเคย และพอใจสิ่งนั้นใดมาก ๆ แล้วไม่เห็นความจาเป็นที่จะต้องพยายามหาสิ่งใดมาทดแทน และไม่ต้องการรับรู้หรือแสวงหาข้อมูลใหม่ ๆ ของ ผลิตภัณฑ์อื่นไม่ว่าแบรนด์เหล่านั้นน่าสนใจสักเพียงใด เช่นใช้เครื่องโทรศัพท์มือถือยี่ห้อหนึ่งจนเคยชินด้วยการ ยอมรับตราสินค้าว่าใช้ง่ายและสะดวกที่สุด แล้วก็พอใจระดับหนึ่งกับการใช้สอยและรูปแบบต่างๆที่มีอยู่ใน เครื่องแบรนด์นั้นเราก็ไม่พยายามที่จะดิ้นรนหาข้อมูลเกี่ยวกับมือถือยี่ห้ออื่นที่สร้างแบรนด์เข้มแข็ง ทาให้ เจ้าของแบรนด์มีอานาจต่อรองในการเจรจากับผู้จาหน่ายสินค้าสร้างมูลค่าให้กับแบรนด์ ทาให้สินค้ามียอด จาหน่ายค่อนข้างยั่งยืน และยากที่จะลอกเลียนแบบได้โดยง่ายทาให้ผู้บริโภคมั่นใจในตัวสินค้า ทั้งๆ ที่ไม่เคยใช้ แบรนด์นี้มาก่อน ทาให้ผู้บริโภคยอมเสียเงินเพิ่มขึ้นเพื่อลดความเสี่ยงจากซื้อสินค้าที่ไม่มีแบรนด์ Brand value (คุณค่าของตรา) เกิดขึ้นจากคุณค่าของตราที่มีชื่อเสียง เกิดจาก ประวัติของตรา และวัฒนธรรมตรา ความสัมพันธ์ต่อตรา (Brand Relationship)ที่ดีต่อลูกค้า ทาให้เกิดความเชื่อถือในแบรนด์ เมื่อออกสินค้า ใหม่ ๆ ลูกค้าก็ตัดสินใจซื้อแบรนด์นั้นไม่ยาก เนื่องมาจาก ประวัติตรา ภาพพจน์ และสังคมตรา(Brand Association) ประสบการณ์ที่มีต่อแบรนด์นั้น ๆ ในทิศทางที่ถูกสร้างขึ้นจาก วัฒนธรรมตรา (Brand Culture) Symbolic Value ในด้านการรับรู้ของผู้บริโภคเมื่อเลือกใช้แบรนด์นั้น ๆ ซึ่งจะเกิดขึ้นใน 3 รูปแบบ คือ ให้ความรู้สึกถึงความแตกต่างตาม Brand Identity การที่ผู้ผลิตทาให้เกิดความรู้สึกมีหน้ามีตาทางสังคม (Social status) เช่น ผู้ใช้ Benz ผู้ใช้กระเป๋า Louis Vuitton เป็นต้นให้มีความรู้สึกแตกต่างจากคนอื่น เช่น Exclusive sport club, Platinum Credit Card เป็นต้น

43

กลยุทธ์การสร้างแบรนด์ 1. ต้องดูเป้าหมายขององค์กร มีอะไรที่เกี่ยวข้องกับการสร้างแบรนด์หรือไม่ ถ้าไม่มีก็ไม่ควรฝืนทา เนื่องจาก ไม่ใช่ว่าทุกเป้าหมายขององค์กรจะเกี่ยวข้องกับสร้างแบรนด์ไปหมด ดังนั้นต้องดูเป้าหมายใดเกี่ยวข้องกับการ สนับสนุนลูกค้าให้รับรู้ Product Value การสร้างแบรนด์ไม่ได้ในระยะเวลาอันสั้น 2. ต้องมีการประเมิน Brand Culture ของเราอยู่จุดใด และเปรียบเทียบแบรนด์ของคู่แข่ง 3. วิเคราะห์คู่แข่งขัน และสภาพแวดล้อมภายนอก เพื่อหา BrandingOpportunityโดยต้องทา Benchmarking เพราะหัวใจของกลยุทธ์การสร้างแบรนด์ คือ การที่จะสื่อสาร Superior Brand Value อย่างไร เมื่อเปรียบเทียบกับคู่แข่งขัน การประเมิน Brand Culture จึงควรเปรียบเทียบกับคู่แข่งให้ชัดเจน การกาหนด Brand Strategy พิจารณาจากข้อมูลทั้ง 3 ที่กล่าวข้างต้น ประกอบกับ Brand Culture ของเรา ที่เป็นปัจจุบัน จะทาให้เราสามารถพัฒนา Brand Culture ได้อย่างมีประสิทธิภาพการทา Brand Culture จะต้องมี แผนปฏิบัติการที่บ่งบอกอย่างชัดเจนว่าต้องใช้ส่วนผสมของตลาด (Marketing Mix) อะไรบ้าง และ นามาใช้อย่างไรในการสร้างแบรนด์ให้สอดคล้องต่อเนื่องโดยไม่ขัดกับกิจกรรมทางการตลาดที่ทามาก่อนหน้านี้ เครื่องมือการตลาด (Marketing Tools) ในการสร้างแบรนด์นั้นไม่ได้จากัดอยู่เฉพาะการทาโฆษณา การส่งเสริมการขาย การตั้งราคาและการ ออกแบบผลิตภัณฑ์ แต่รวมถึงกิจกรรมทุก ๆ อย่างที่บริษัทได้ทาออกมาแล้วลูกค้ากลุ่มเป้าหมายรับรู้ได้ว่า บริษัทจะตั้งใจทาหรือไม่ตั้งใจทา เครื่องมือการตลาดที่มีประสิทธิภาพ ประสิทธิผล เป็นการช่วยสร้างแบรนด์ ให้ได้ตามความต้องการ ต้องบรรลุวัตถุประสงค์ทางการค้าด้วย เครื่องมือการตลาด มีองค์ประกอบ 7 อย่าง คือ นโยบายทางด้านผลิตภัณฑ์ รวมถึงการให้บริการต่าง ๆ ที่เกี่ยวข้อง รวมไปจนถึงการออกแบบ ผลิตภัณฑ์ให้มีอิทธิพลต่อการยอมรับของลูกค้าและส่งผลต่อแบรนด์สูงสุด นั่นก็คือ Product Design การแพคเกจจิ้งบรรจุภัณฑ์ ต้องสื่อถึงเรื่องราวของแบรนด์ และช่วยสร้างภาพพจน์ให้กับแบรนด์และ ความสัมพันธ์กับผลิตภัณฑ์ภายในบรรจุภัณฑ์นั้น การใช้โฆษณาในการสร้าง Brand Culture เป็นเครื่องมือที่ มีประสิทธิภาพมาก เพราะสื่อโฆษณาสามารถบอกเรื่องราวเกี่ยวกับBrand ได้อย่างดี ดังนั้นโฆษณาที่ดีมี คุณภาพทาให้เกิดเกิดอิทธิพลต่อแนวความคิดของผู้บริโภคที่มีต่อผลิตภัณฑ์และภาพพจน์ของแบรนด์ให้เป็นไป ตามแนวทางที่ผู้ผลิตต้องการ การใช้ประชาสัมพันธ์โดยการใช้ผู้มีอิทธิพลต่อผู้บริโภค เช่นผู้เชี่ยวชาญ นักกีฬา ดารา ที่รู้จักแพร่หลายให้พูดถึงผลิตภัณฑ์หรือประสบการณ์ที่ดี เพื่อให้เกิด Popular Culture ใช้กลยุทธ์ด้านราคา และการทาการส่งเสริมการขายมาช่วยในการสร้างแบรนด์ การส่งเสริมการขายไม่ เน้นด้านราคากับแบรนด์ของคุณ จะทาให้แบรนด์ไม่เสียคุณค่า เช่นซื้อหนึ่งแถมหนึ่ง หรือการทา CoPromotion ร่วมกับแบรนด์ที่มีราคาก็จะทาให้สินค้าดูมีเกรดขึ้นการใช้ทีมงานขายในการสร้าง Brand Value เนื่องจากพนักงานขายที่มีความสามารถจะช่วยพูดให้ผู้ซื้อได้ให้เห็นคุณค่าของผลิตภัณฑ์ และเล่าเรื่องต่าง ๆ เกี่ยวกับแบรนด์ให้ลูกค้าเข้าใจ ทาให้ส่งผลในการช่วยสร้าง Brand Culture ให้เกิดขึ้นการเลือกช่องทางการ จาหน่าย โดยเฉพาะช่องทางการค้าปลีกที่สัมผัสกับลูกค้าโดยตรงจึงส่งผลต่อการสร้าง Brand Culture ตัวชี้วัด ในการสร้างแบรนด์ ( KBI หรือ Key Branding Index)

44

เป็นการติดตามประเมินผลของแบรนด์ที่เราได้สร้างขึ้นมา สามารถประเมินผล 4 อย่างคือ Brand Loyalty Index (BLI) โดยใช้หลักการที่ว่าเมื่อคุณค่าของแบรนด์เพิ่มขึ้น ลูกค้าควรจะต้องซื้อแบรนด์ นั้น ๆ บ่อยขึ้นและเปลี่ยนใจไปซื้อแบรนด์อื่น ๆ น้อยลง Brand Attitude Index (BAI) เป็นการวัดทัศนคติของลูกค้าที่มีต่อแบรนด์ โดยใช้หลักเมื่อแบรนด์มีคุณค่า มากขึ้น เป็นที่รู้จักและยอมรับของผลประโยชน์จากแบรนด์ในกลุ่มลูกค้าเป้าหมายจะสูงขึ้นตามไปด้วย ทาให้ ทัศนคติของลูกค้ากลุ่มนี้ที่มีต่อแบรนด์ จะมีความคล้ายคลึงกันมากขึ้นไปเรื่อย Brand Relationships Index (BRI) โดยอาศัยหลักที่ว่าเมื่อคุณค่าของแบรนด์สูงขึ้นในใจของลูกค้า ๆ ก็จะ รู้สึกว่าชีวิตประจาวันของตนนั้นต้องพึ่งพาแบรนด์เหล่านั้นเพิ่มขึ้น จนก่อให้เกิดความสัมพันธ์ที่ลึกซึ้งขึ้นไป เรื่อย ๆ กับแบรนด์เหล่านี้อย่างไม่รู้ตัว จนก่อให้เกิดความผูกพันกับแบรนด์ทางด้านอารมณ์ ความรู้สึกต่าง ๆ เช่นเดียวกับการมีความสัมพันธ์ลึกซึ้งกับคนรู้ใจ Brand Equity Index (BEI) เป็นผลจากการสร้างแบรนด์ที่ประสบความสาเร็จจึงทาให้บริษัทตั้งราคาได้สูง กว่าผลิตภัณฑ์คู่แข่งที่เหมือนกัน หรือตั้งราคาที่เท่ากันแต่ขายได้มากกว่าผลิตภัณฑ์คู่แข่ง ดังนั้น จะเห็นได้ว่าการสร้าง ตราสินค้า เป็นทรัพย์สินที่สาคัญที่สุดอันหนึ่งของธุรกิจ ทั้งนี้เพราะมูลค่าของตรา สินค้ามีแต่จะเพิ่มขึ้นเมื่อเวลาผ่านไปและจะเพิ่มขึ้นเป็นทวีคูณ ถ้าสร้างแบรนด์ ตรงกันข้ามกับทรัพย์สินทั่วไป ของธุรกิจที่มีแต่จะเสื่อมราคาลงไปทุกปี ตัวอย่างเช่น มูลค่าของบริษัท Nike ทั้งหมด 80 % มาจากแบรนด์ ส่วนทรัพย์สินจริง ๆ มีมูลค่าเพียง 20% ของมูลค่ารวมทั้งหมด หรืออีกนัยหนึ่งถ้าคุณจะซื้อบริษัท Nike วันนี้ คุณต้องควักเงินจ่ายมากกว่ามูลค่าจริงของทรัพย์สิน ถึง 4 เท่า ข้อมูลจากเว็บไซต์ : กลยุทธ์การสร้างแบรนด์, เข้าถึงเมื่อวันที่ 29 เม.ย. 2559 เข้าถึงได้จาก https://ctumkt.wordpress.com/2011/05/19

2.3 แบบสรุปย่ อแนวความคิด ปัญหาการออกแบบ (Problem) 1. ชื่อของวงอ่านยากตัวอักษรสับสน จึงตัดทอนตัวอักษรบางส่วนออก ใช้ตัวอักษรสัญลักษณ์ให้เป็นที่จดจา 2. งานออกแบบมีโทนสีสว่าง ทาให้มีปัญหาในการคุมโทนสี 3. การออกแบบในบางส่วนอาจมีปัญหาในการใช้ภาพจริง จึงต้องนาภาพประกอบมาใช้เล็กน้อยในบางจุด วัตถุประสงค์การออกแบบ (Objective) 1.เพื่อศึกษาแนวแนวทางกราฟิกสาหรับวง Hey! Stifler 2. เพื่อสร้างภาพลักษณ์ของวง โดยการออกแบบกราฟิกและสินค้าให้กับวง ให้ดึงดูดกลุ่มเป้าหมาย 3. เพื่อสื่อสารประชาสัมพันธ์การสร้างความสัมพันธ์สังคมวัยรุ่นกลุ่มเล็กๆผ่านวงให้เป็นพี่น้องครอบครัว เป็นที่ รู้จักอย่างแพร่หลาย

45

กลุ่มเป้าหมาย (Target Group) ลักษณะทางกายภาพ (Demographics) 1. วัยรุ่นนักเรียนนักศึกษา ทั่วประเทศไทย อายุ 20-30 ปี คนรุ่นใหม่ 2. ระดับรายได้เฉลี่ยคนละ 6,000 บาทขึ้นไปต่อเดือน 3. อาศัยอยู่ในเมือง ใช้เทคโนโลยีสมัยใหม่ อย่างสม่าเสมอ 4. ชอบสะสมของต่างๆเกี่ยวกับดนตรี 5. เล่นดนตรีหรือทาวงดนตรีของตัวเองอยู่ ลักษณะทางจิตภาพ (Psychographic) 1. มีแนวคิดเป็นของตัวเอง แตกต่าง ไม่ตามใคร นอกกระแส 2. รักอิสระ เสรีภาพ รักเพื่อน มีพลัง ต้องการสร้างมิตรภาพที่งดงาม 3. ชอบเข้าสังคม ชื่นชอบและสนใจในดนตรีและเสียงเพลง แนวความคิด (Concept) HOPE (Don’t let the pain ruins your hope) อย่าให้อุปสรรค์มาทาลายความหวังของเรา ส่วนสนับสนุนแนวความคิด (Support) เป็นอัลบั้มที่พูดถึงปัญหาต่างๆพร้อมกับการเสนอทางออกให้แก่ผู้ฟังในตัวเนื้อเพลง และการออกแบบ ก็จะไปในแนวทางที่ให้กาลังใจ ไม่ให้หมดความหวัง อารมณ์และความรู้สึก (Mood and Tone) หนักหน่วง ความหวัง การดาเนินต่อไป กาลังใจ การตอบสนองที่คาดหวังจากกลุ่มเป้าหมาย (Design Response) ให้กลุ่มเป้าหมายรู้จัก HEY! STIFLER โดยการออกแบบกราฟิกต่างๆ ได้แนวทางทีสามารถดึงดูดใจ กลุ่มเป้าหมาย มีช่องทางในการเลือกซื้อสะสมสินค้าของวง ติดตามพัฒนาการและผลงานต่างๆ ชื่นชอบใน ผลงานเพลงยิ่งขึ้น และก่อเกิดเป็นสังคมและมิตรภาพที่ดีงาม

46

บทที3่ การดาเนินงาน 3.1 ภาพผลงานออกแบบร่างครั้งที่ 1 โลโก้ , เสื้อยืดสีดา 1 ลาย , ซีดีอัลบั้ม , สติกเกอร์ , Boxset , ของCi ในBoxsetจาก4เพลง Flashdrive(เพลง wall) กรอบรูป/แป้นใส่CD (เพลง Home) สมุดโน้ตบุ้ค (เพลง The Prison) เสื้อยืดสกรีน (เพลง Home) Poster เริ่มต้นกระบวนการคิด เขียน My Mapping

ภาพที่ 26 ผังความคิด2

47

สรุปคาเป็น key message

ภาพที่ 27 ผังความคิด สรุปเป็นคา

48

Key message ที่ได้

ภาพที่ 28 mind mapping แนวความคิดในการออกแบบตราสัญลักษณ์ (Logo) What To Communicate - Hope (Don’t let the problem ruins your hope) อย่าให้อุปสรรค์มาทาลายความหวังเรา How To Communicate - ไฟ การเผชิญหน้ากับอุปสรรค์ต่างๆ การต่อสู้กับปัญหาด้วยความหวัง Support - ออกแบบโดยใช้ชื่อเต็มของวงในรูปแบบ typeface ตัวอักษรแสดงให้เห็นถึงความมันส์ของดนตรีที่ หนักแน่น เปลวไฟแสดงถึงการไม่ยอมแพ้ ความลุกโชนของชีวิตที่ยังไม่ดับสิ้น และโลโก้เอียงเล็กน้อยเพื่อสื่อถึง การเคลื่อนไหวสนุกสนานของดนตรี การเผชิญหน้าด้วยความหวัง

49

ภาพที่ 29 พลังดนตรี Sketch design (LOGO)

ภาพที่ 30 แบบร่างโลโก้

50

Sketch Design ลงคอมพิวเตอร์

ภาพที่ 31 แบบร่างโลโก้2

ภาพที่ 32 แบบร่างโลโก้3

51

ที่มาของตราสัญลักษณ์ มาจากแนวเพลงที่มีความหนักแน่น ดุดัน และมีพลัง จึงออกแบบให้มีลักษณะเหมือนเปลวไฟที่กาลังลุกโชน โดยแบ่งเป็น2ช่วงของคาให้อ่านง่ายขึ้น และ ตัวโลโก้ไม่ยาวจนเกินไปหรือทับกันเกินไปจนสับสนอ่านไม่ออก ตราสัญลักษณ์มีความเอียงเล็กน้อยให้รู้สึกถึงการเคลื่อนไหว สนุกสนาน

ภาพที่ 33 แบบโลโก้1 Mood&Tone ใช้สีขาวดา แสดงถึงพลังดนตรี ร็อค เมทัล และความดุดัน ทรงพลัง ลุกโชน

ภาพที่ 34 Mood&Tone

52

สรุปตราสัญลักษร์ที่ได้

ภาพที่ 35 แบบโลโก้2 แบบที่1 วางบนพื้นดา

ภาพที่ 36 แบบโลโก้สาหรับวางบนพื้นดา แบบที่2 วางบนพื้นขาว

ภาพที่ 37 แบบโลโก้สาหรับวางบนพื้นขาว

53

โครงสร้างสัญลักษณ์

ภาพที่ 38 โครงสร้างสัญลักษณ์

54

3.2 ภาพผลงานออกแบบร่างครั้งที่2 -กล่องBoxset -สมุด -แฟลชไดร์ฟค้อน -ลายเสื้อสกรีน -กรอบรูป -cd packaging -poster

Boxset

ภาพที่ 39 แบบร่างBoxset

55

สมุด

ภาพที่ 40 แบบร่างสมุด

56

แฟลชไดร์ฟรูปค้อน

ภาพที่ 41 แบบร่างแฟลชไดร์ฟรูปค้อน

ลายเสื้อสกรีน

ภาพที่ 42 แบบร่างเสื้อสกรีน

57

กรอบรูป

ภาพที่ 43 แบบร่างกรอบรูป

CD packaging

58

ภาพที่ 44 แบบร่างกล่องCD Poster

ภาพที่ 45 แบบร่างPoster

3.3 ภาพผลงานออกแบบร่างครั้งที่3 -กล่องBoxset -สมุด -แฟลชไดร์ฟค้อน -ลายเสื้อสกรีน -กรอบรูป -cd packaging -poster

59

Boxset

ภาพที่ 46 แบบร่างในคอม boxset ภายนอก

ภาพที่ 47 แบบร่างในคอม boxset ภายใน

60

สมุด

ภาพที่ 48 แบบร่างปกสมุดในคอม

แฟลชไดร์ฟรูปค้อน

ภาพที่ 49 แบบร่างประดิษฐ์แฟลชไดร์ฟรูปค้อน

61

ลายเสื้อสกรีน

ภาพที่ 50 แบบร่างลายเสื้อสกรีนในคอม กรอบรูป

ภาพที่ 51 แบบร่างกรอบรูปประดิษฐ์

62

Cd packaging

ภาพที่ 52 แบบร่าง CD packaging ในคอม Poster

63

ภาพที่ 53 แบบร่าง poster ในคอม

64

บทที่ 4 ผลงานภาคออกแบบ 4.1 ผลงานออกแบบโลโก้

ภาพที่ 54 logoที่สมบูรณ์ 4.2 ผลงานออกแบบ T-shirt เสื้อสกรีน

65

ภาพที่ 55 เสื้อสกรีนที่สมบูรณ์

ภาพที่ 56 เสื้อสกรีนที่สมบูรณ์ (งานจริง) 4.3 ผลงานออกแบบ CD Album

66

ภาพที่ 57 CD Album ที่สมบูรณ์ (งานจริง) 4.4 ผลงานออกแบบ Boxset

ภาพที่ 58 Boxset ที่สมบูรณ์

67

ภาพที่ 59 Boxset ที่สมบูรณ์ (งานจริง)

4.4.1 ภาพขั้นตอนการทา Boxset

68

ภาพที่ 60 ขั้นตอนการทา Boxset (งานจริง) 4.5 ผลงานออกแบบ กรอบรูป

69

ภาพที่ 61 กรอบรูป ที่สมบูรณ์ (งานจริง) 4.6 ผลงานออกแบบ แฟลชไดร์ฟรูปค้อน

ภาพที่ 62 แฟลชไดร์ฟค้อน ที่สมบูรณ์ (งานจริง)

70

4.7 ผลงานออกแบบ สมุด

ภาพที่ 63 สมุด ที่สมบูรณ์ (งานจริง) 4.8 ผลงานออกแบบ Poster

ภาพที่ 64 Poster ที่สมบูรณ์ (งานจริง)

71

4.9 ภาพรวมงานทั้งหมด

ภาพที่ 65 ภาพรวมงานทั้งหมด

72

บทที่ 5 บทสรุปและข้อเสนอแนะ 5.1 สิ่งที่ได้รับจากการทาโครงงาน เทคนิคที่นามาใช้ในการออกแบบ คือการออกแบบอัตลักษณ์ขององค์กรหรือแบรนด์สินค้า ซึ่งต้อง ออกแบบสินค้าหลายชิ้น บางอย่างก็เป็นเทคนิคที่ไม่ค่อยถนัดในด้านเครื่องมือและการใช้โปรแกรมในการทา ลูกเล่นต่างๆให้ออกมาน่าสนใจและดึงดูดกลุ่มเป้าหมาย ตัวงานที่ต้องสื่อความรู้สึกถึงความหวังและการเปิดตัว อัลบั้มใหม่ ทาให้การใช้เสียง แสง สี ค่อนข้างยากที่จะทาให้ถึงอารมณ์และให้คนมาสนใจ รวมถึงการสื่อ ความหมายให้กระชับเข้าใจง่าย Project การออกแบบอัตลักษณ์ขององค์กรหรือแบรนด์สินค้าวง Hey! Stifler นี้ ประสบความสาเร็จค่อนข้างเกินความคาดหมาย แต่ก็ยังประสบปัญหาในหลาย ๆ ขั้นตอนเยอะพอสมควร เริ่ม ตั้งแต่เนื้อเรื่องที่ถูกปรับแก้หลายรอบมาก และในส่วนของการออกแบบ BoxSet ในด้านรูปทรงและรูปแบบ การใช้งานในส่วนต่างๆที่ยากเกินความสามารถ จึงต้องเกิดการค้นหาข้อมูลเพื่อปรับใช้ในงานและฝึกฝนไปด้วย ระหว่างที่ดาเนินงาน ซึ่งกว่าจะทาให้ตัวงานเสร็จสมบูรณ์ก็ต้องเสียเวลาไปค่อนข้างมาก ซึ่งในการทางาน Project นี้ ซึ่งเป็นงานใหญ่พอสมควร ทาให้ได้รับความรู้ ประสบการณ์การทางานจริง การอดทนในการ ทางาน การพบปัญหาในการทางาน และการแก้ปัญหาซึ่งทาให้พร้อมและเตรียมรับมือในการทางานในอนาคต ได้เป็นอย่างดี 5.2 ปัญหาที่พบในการทางาน ปัญหาด้านกราฟิก ปัญหาด้านข้อมูล 5.3 แนวทางแก้ไขปัญหา การแก้ไขปัญหาด้านกราฟิกและข้อมูล

-เทคนิคบางเทคนิคที่อยากใช้แต่ไม่ถนัด -ขนาดของกราฟิกไม่พอดีกับกล่อง -โปรแกรมค้าง ช้า เพราะไฟล์มีขนาดใหญ่ -ข้อมูลของสินค้ามีความหลากหลาย -การนาข้อมูลมากมายมาหาส่วนสาคัญ -ศึกษาเพิ่มเติมเกี่ยวกับการใช้โปรแกรม -ศึกษาเรื่องของสีและปรึกษาอาจารย์ที่ปรึกษา -แยกข้อมูลเป็นข้อหลักๆที่สาคัญ -ศึกษาข้อมูลของสินค้าที่กลุ่มเป้าหมายต้องการ

73

บรรณานุกรรม เว็บไซต์

ทฤษฎีที่สนับสนุนการออกแบบผลงาน, เข้าถึงเมื่อวันที่ 29 เม.ย. 2559 http://www2.thaitownusa.com

เว็บไซต์

สรุปความหมาย "อัตลักษณ์", เข้าถึงเมื่อวันที่ 29 เม.ย. 2559 http://chotika51-thesis.blogspot.com

เว็บไซต์

ความรู้เบื้องต้นเกี่ยวกับสี ( Introduction to Colour), สีและการสื่อความหมายในอารมณ์ต่างๆ เข้าถึงเมื่อวันที่ 29 เม.ย. 2559

http://www.novabizz.com/CDC/Interior/Interior_Colour01.htm เว็บไซต์

หลักการออกแบบผลิตภัณฑ์, เข้าถึงเมื่อวันที่ 29 เม.ย. 2559 http://www.advertising.clickingme.com

เว็บไซต์

โกสุม สายใจ. (2537). การออกแบบนิเทศศิลป์ 3. กรุงเทพฯ: สถาบันราชภัฏสวนดุสิต. เข้าถึงเมื่อวันที่ 29 เม.ย. http://chotika51-thesis.blogspot.com

เว็บไซต์

กลยุทธ์การสร้างแบรนด์, เข้าถึงเมื่อวันที่ 29 เม.ย. 2559 https://ctumkt.wordpress.com/2011/05/19

74

ภาคผนวก

ภาพที่ 66 ภาพจาลองการจัดนิทรรศการ (Display)

75

ภาพทีแ่ สดงคือภาพจาลองการจัดแสดงนิทรรศการวิทยานิพนธ์เรื่อง HEY! STIFLER (BAND) เป็นการจาลองให้ เห็นถึงภาพของการจัดวางของต่างๆ และสินค้าของวงตาแหน่งต่างๆของการวาง ให้สินค้าและผลิตภัณฑ์ดูมี ความน่าสนใจ น่าดึงดูดมากยิ่งขึ้น

76

ประวัติผู้เขียน

ชื่อ-สกุล

นาย พุฒิวัฒน์ เฉลยกิจ

รหัสนักศึกษา

57017820

วัน/เดือน/ปีเกิด

15 พฤศจิกายน 2538

การศึกษา

- มหาวิทยาลัยศรีปทุม บางเขน - โรงเรียนนวมินทราชินูทิศ สตรีวิทยา2

ที่อยู่ปัจจุบัน

19/234 ม.มโนรมย์ เพลส2 ถนน เลียบคลองสอง27 แขวง สามวาตะวันตก เขต คลองสามวา กรุงเทพฯ 10510

หมายเลขโทรศัพท์

0809362097E-mail

peammyboy@gmail.com