คันทวยจะมีขนาดเล็กส่วนโคนใหญ่ปลายเรียว มีลักษณะที่บอบบาง มากกว่าในสมัยอยุธยา จนดูแล้วเหมือนงานประดับมากกว่าจะเป็นส่วน ที่รองรับนํ้าหนักชายคาอย่างแท้จริง ในขณะที่สมัยอยุธยาคันทวยจะ มีขนาดใหญ่ส่วนโคนและปลายมีขนาดที่ไล่เลี่ยกัน แสดงให้เห็นถึงการ รับนํ้าหนักอย่างแท้จริง ตัวอย่างสำ�คัญที่เหลือหลักฐานอยู่ เช่น ที่พระ อุโบสถ วัดหน้าพระเมรุ จังหวัดพระนครศรีอยุธยา เป็นต้น บั ว หั ว เสาที่ เ รี ย กว่ า บั ว แวง : เอกลั ก ษณ์ ข องงานช่ า งสมั ย รัตนโกสินทร์ตอนต้น (รัชกาลที่ ๑-๓) บัวแวง ถือเป็นกลีบบัวหัวเสาที่มีลักษณะเฉพาะในศิลปะสมัย รัตนโกสินทร์ตอนต้น คือ กลีบบัวเรียวยาวและมีส่วนปลายที่สะบัดเล็ก น้อย ลักษณะของบัวแวงที่ทำ�เป็นกลีบบัวยาวแบบนี้เรียกว่า บัวแบบ คล้ายใบดาบ มีวิวัฒนาการมาจากบัวหัวเสาในสมัยอยุธยาตอนปลาย โดยเฉพาะตั้งแต่สมัยสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวบรมโกศลงมา ถ้าเป็นสมัย ก่อนหน้านั้น เช่น ในสมัยสมเด็จพระเจ้าปราสาททองและสมเด็จพระ นารายณ์ กลีบบัวจะเป็นแบบใบสามเหลี่ยมคล้ายใบหอก แต่ถ้าเป็น สมัยอยุธยาตอนต้นไปจนถึงสมัยสุโขทัยจะเป็นกลีบบัวแบบธรรมชาติ เรียกว่า บัวทรงคลุ่ม หรือบัวโถ ในสมัยรัตนโกสินทร์ตอนต้นแม้ว่าจะสืบทอดรูปแบบมาจาก สมัยอยุธยาตอนปลายแต่มีส่วนที่แตกต่างกันอย่างชัดเจนคือ สมัย รัตนโกสินทร์ตอนต้นส่วนปลายของกลีบบัวจะสะบัดพริ้ว ตัวอย่างที่ สำ�คัญคือ พระอุโบสถ วัดพระศรีรัตนศาสดาราม ในขณะที่กลีบบัว สมัยอยุธยาจะไม่สะบัดปลาย การประดับบัวหัวเสาและคันทวยนี้พบเฉพาะงานสถาปัตยกรรมแบบประเพณีที่สืบทอดมาจากสมัยอยุธยาเท่านั้น ส่วนในงาน สถาปัตยกรรมในสมัยรัชกาลที ่ ๓ ที่เป็นแบบพระราชนิยม หรือกลุ่มที่มี การผสมผสานรูปแบบไทยประเพณีแต่ใช้โครงสร้างหลังคาแบบรัชกาล ที่ ๓ เช่น การใช้เสาที่เป็นแท่งสี่เหลี่ยมกลุ่มนี้จะไม่ประดับบัวหัวเสา และคันทวยแล้ว
129 ศาสตราจารย์ ดร. ศักดิ์ชัย สายสิงห์
สถาปัตยกรรม