
Dedicate this book to cooks and chefs everywhere. How would we live without you?
Dedicate this book to cooks and chefs everywhere. How would we live without you?
อาหารที่ดีต่อสุขภาพกลายเป็นธัญพืชและซีเรียล
ชายผู้ผลักดันหลักให้ซีเรียลอาหารเช้าได้วางจำ า หน่ายตามร้านขาย
ของชำาทั่วประเทศคือ ชาร์ลส์
โพสต์ (Charles Wiliam Post. 18541914) เขาเป็นผู้ป่วยที่สถานีอนามัยของเคลลอก์ในปี 1891
ส่งเสริมสุขภาพในแบตเทิลครีก ภายใน 4 ปีก็พัฒนาโพสตัม (Postum) หรือ เครื่องดื่มชงร้อนที่มีส่วนผสมหลักเป็นข้าวสาลีกับกากน้ำาตาล สองปีต่อมา
เขาเปิดตัว เกรปนัตส์ (Grape Nuts)
เมื่อเปลี่ยนมาเป็นซีเรียลอาหารเช้าก็ขายดีอย่างรวดเร็ว
(Sir Edward Montague)
Montague, 1718-1792)
บลัดดีแมรี (Bloody Mary) ทำาจาก
(Black pepper) กับ
(Worcestershire sauce)
New and Improved Illustrated Bartender’s Manual (1888)
1964 New Yorker
(Mary Pickford, 18921979)
(Fernand Petiot)
(Prawn cocktail)
(crustacean)
(Catherine of Braganza, 1638-1705)
(Queen Anne, 1665-1714)
7 (Anna, 7th Duchess of Bedford) หนึ่งในนางสนอง
1830-1834
(Earl Grey)
2 (Charles Grey, 2nd Earl Grey, 1764-1845)
1 ใน 6 (จากประชากร 14
(East India Company)
(Pette Madeleine)
In Search of Lost Time ของเขา
(Marcel Proust, 1871-1922)
(Stanistaw Leszzzyiski)
(Lamington)
(Charles Wallace Alexander Napier Cochrane-Bailie, 1860-1940)
(2nd Baron Lamington)
(Battenbeg cake)
(Armand Galland)
า หรับแขกผู้มาเยือนโดยไม่ได้นัดหมายที่บ้านข้าหลวงใหญ่ เขาอบเค้กฟองน้ำาวานิลลาไหม้เล็กน้อยแต่ไม่มีเวลาทำาใหม่
มาชุบซอสช็อกโกแลตแล้วคลุกมะพร้าวเพื่อปิดบังความผิดพลาด
มิงตันจะไม่ชอบเค้กนี้ แต่ท่านผู้หญิงลามิงตันกลับพอใจมากจนขอให้พ่อครัว ทำาเค้กชนิดนี้เสิร์ฟแขกในงานเลี้ยงอย่างเป็นทางการทุกครั้ง
เค้กลามิงตันสูตรแรกที่เป็นที่รู้จักกันแพร่หลายปรากฎใน Queenstander Magazineเมื่อปี 1902 ต่อมาอีก 7 ปี เอมี เชาเออร์ (Amy Schauer) ผู้เชี่ยวชาญเรื่องเค้กและของหวานหมักนมเนยรวมสูตรขนมชนิดนี้ไว้ใน The Schauer Australian Cookery Book ด้วย ในปี 2006 องค์กรเนชันแนล
(National Trust of Queensland)
(National Lamington Day)
(Princess Victoria of Hesse and by Rhine) พระราชนัดดาในพระนางเจ้า
(Louise of Battenberg) ในปี 1884
(Cakewalk)
โดยชาวโรมันผู้รับเอาแนวคิดเกี่ยวกับอาหารตั้งกล่าวมาจากชาวกรีกโบราณ อีกที พายชนิดแรกที่เรารู้จักกันเป็นอาหารของชนชั้นสูงที่เรียกว่า “คอฟฟิน”
(Coffin เดิมแค่หมายถึงภาชนะ)
พาฟโลวา (1881-1931)
ขวบ แม่พาเธอไปทดสอบคัดตัวเข้าโรงเรียนบัลเลต์อิมพีเรียล (Imperial Ballet School) เธอฝึกหนักและเข้ารับการฝึกสอนพิเศษจนในปี 1899 นักเต้น
บัลเลต์ร่างเล็กคนนี้ก็จบการศึกษาด้วยวัย 18 ปี
แสดงครั้งแรกใน The False Dryads ของ พาเวล เกิร์ดต์ (Pavel Gerdt) เพราะ
บัลเลต์คนแรกในประวัติศาสตร์ที่ได้ออกทัวร์รอบโลก
มีการคิดทำาอาหารชื่อดังที่ตั้งชื่อตามพาฟโลวาเพื่อเป็นเกียรติแด่่เธอ
และเป็นที่ระลึกการมาเยือนดินแดนอีกอีกโลกหนึ่งของเธอ
เมอแรงก์แผ่นกลมใหญ่ทาวิปครีมตกแต่งด้วยผลไม้สด
เพราะด้านข้างของมันเป็นชั้นๆ เหมือนกระโปรงบัลเลต์ฟูฟ่องส่วนชิ้นสตรอว์ เบอร์รี่กับเสาวรสก็เหมือนดอกกุหลาบประดับชุดเธอ อาหารจานนี้ถูกถกเถียงว่าคิค้นดขึ้นที่นิวซีแลนด์หรือออสเตรเลีย จน กระทั่งได้มีการระบุถึงพาฟโลวาในนิตยสารผู้หญิงฉบับหนึ่งของนิวซีแลนด์
1929
Rangiora Mothers’ Union Cookery Book ซึ่งเป็นสิ่งพิมพ์ของนิวซีแลนด์ในปี 1933
1929
(Mrs McKay) ชื่อ Practical Home Cookery Book
(Little Pavlova)
ปัวร์แบลล์เอแลน (Poire Belle Helene)
เป็นลูกแพร์รูปทรงคล้ายเรือนร่างผู้หญิง
เคี่ยวเสิร์ฟคู่ไอศกรีมวานิลลาและเคลือบด้วย
ช็อกโกแลต ถูกคิดค้นขึ้นโดยพ่อครัวคนดังชาว
(Jacques Offenbach, 1819-1880)
(Ed Berners)
(Flora Dora) มัดสกาว (Mudscow) และช็อกโกแลตพีนีย์ (Chocolate Peany)
จอร์จ กิฟฟี (George Giffy)
ในวันธรรมดาวันหนึ่งมีเด็กหญิงตัวน้อยสั่งไอศกรีมแบบ
เมื่อเธอรู้ว่ากิฟฟีเสิร์ฟไอศกรีมแบบนั้นเฉพาะวันอาทิตย์ เด็กน้อยก็ ว่า “ถ้าอย่างนั้นก็เป็นซันเดย์ (วันอาทิตย์)
มันว่า “ซันเดย์” (Sunday)
งานเลี้ยงคริสต์มาสงานแรกที่มีบันทึกไว้เกิดขึ้นที่โรมเมื่อค.ศ.
(Midwinter)
(Winter Solstice)
พวกเขาก็ฉลาดเลือกให้วันดังกล่าวเป็นวันประสูติของพระเยซู ซึ่งแน่นอนว่า
ไม่ใช่วันประสูติจริงเพราะไม่มีใครรู้ว่าเป็นวันใด
(1662)
(Book of Common prayer)
6
12 วันหลังคริสต์มาส
12 (Twelfth Night)
(King Cake)
(galette) /
(Roscon des reyes)
(Gateau des rois)
Mincemeat
ตอนปลายฤดูใบไม้ร่วงแล้วเอาเนื้อของพวกมันไปสับและ
มินซ์พายชนิดดั้งเดิมเรียกว่า
(Chewette) ปรุงโดยใช้เนื้อสับหรือตับผสมกับไข่
ต่อมาไส้พายเริ่มมีผลไม้แห้งเป็นส่วน ผสมมากขึ้นเรื่อยๆ เมื่อเวลาผ่านไปก็กลายเป็นส่วนผสม หลัก และไขมันซูเอตก็เข้ามาแทนที่เนื้อสัตว์