O-N magazine | 05

Page 1


" There is no wro-ng time to do the right thing " – charles m. blow -

' ไม่มีเวลาที่ผิด ถ้าคิดจะทำ�ในสิ่งที่ถูกต้อง '

ชาเลส เอ็ม. โบลว

( USA / เกิด 11.08.1970 )

นักเขียน, คอลัมน์นิสต์, นักหนังสือพิมพ์

บรรณาธิการ

พิชญา เพ็งจันทร์

กองบรรณาธิการ

แก้วเกล้า แก้วบรรจง ธนวรรณ แสงวิสุทธิ์ สุภชาวัลย์ ชนะศักดิ์

บรรณาธิการศิลปกรรม

ปาริฉัตร แทนบุญ

ช่างภาพ

ชยุตม์ พระสงฆ์

พิสูจน์อักษร

ภูษิต ชนพิมาย ออกแบบปกหน้า / หลัง

กมนนัทธ์ คำ�ดา

FONTs : supermarket / Quark / TH Baijam EDPenSook / Arabica / WDB Bangna Little Lord Fontleroy NF / Junegull

นักเขียน / นักวาด

กิตติพงษ์ หาญเจริญ ภัทรานิษฐ์ พัฒน์ธนพร ภัณฑิรา ทรงกิจทรัพย์ สุธรรม จีระศิลป์ วีรยุทธ อุ้ยดำ� พิชญา เพ็งจันทร์ ศานนท์ หวังสร้างบุญ ณัชฎา คงศรี ปาลีพัชร โสภณ นิรัติศัย บุญจันทร์ กมนนัทธ์ คำ�ดา ปาริฉัตร แทนบุญ

แก้วเกล้า แก้วบรรจง สินิทธ์ ปนุตติกร สหธร เพชรวิโรจน์ชัย ธีรภัทร์ เจนใจ สุพิชญ์ รักสกุล ชนิกา สุธัมมสภา เจนวริน นฤขัตพิชัย นภกาญจน์ เชาวลิต กษมา ยาโกะ นิภาพร กอบกุลกังสดาล ธนวรรณ แสงวิสุทธิ์ ณัฐกาญจน์ สัตยากวี

นักเขียนจากทางบ้าน

palim / รื่นเริงใจ

contact us

facebook.com/ownerationmag ownerationmag@gmail.com

READ O-N

www.ebooks.in.th/ownerationmag issuu.com/ownerationmag


มา 'ดี' กัน สวัสดีปีแพะค่ะคุณผู้อ่านทุกคน สวัสดีวันเริ่มท�ำงาน และวันเปิดเทอมวันแรกของใครหลายๆ คนด้วย หลังจากพัก กาย พักใจ หยุดยาวมาหลายวัน เราก็มักพบว่าเวลาแห่งความ สุขมันผ่านไปอย่างรวดเร็วเสมอ ในเดือนมกราคม ปี 2558 นี้ O-N Magazine ก็ ได้ เดินทางมาถึงฉบับที่ 5 แล้วนะคะ แต่ถึงกระนั้นฉันยังมีความ รู้สึกว่าเราเพิ่งท�ำนิตยสารฉบับแรกๆ กันไปเมื่อไม่นานมานี้นี่เอง ตอนนี้ฉันก�ำลังนั่งรถไฟชั้นสาม จากกรุงเทพเดินทาง กลับไปบ้านที่ภาคใต้ ในมือก�ำลังถือหนังสือชื่อ wake uP! เป็น หนังสือรวบรวมบทบรรณาธิการบันดาลใจจาก 3 บ.ก. ของ นิตยสารชื่อดังอย่าง a day (วงทนงศ์ ชัยณรงค์สิงห์ / วชิรา รุธิรกนก / ทรงกลด บางยี่ขัน) ฉันเปิดหนังสือทีละหน้าอ่านไป ตามจังหวะการวิ่งของรถไฟ พลันก็นึกไปถึงความตั้งใจแรกใน การท�ำ O-N ของพวกเรา มันเริ่มต้นเพียงง่ายๆ เพียงว่าเพราะ เราอยากท�ำมัน และเราอยากเป็นส่วนหนึ่งในการสร้างความคิด ของคนรุ่นใหม่ ในสังคมผ่านการท�ำหนังสือในรูปแบบนิตยสาร เพราะนั่นหมายถึงเราจะได้เจอกันในทุกๆ เดือน หลายๆ คนอาจยังไม่รู้ว่า ณ ปัจจุบันนี้ คอลัมน์นิสต์ ช่างภาพ นักคิด นักเขียน นักวาด ทุกคนไม่มีรายได้จากการท�ำ นิตยสารเล่มนี้เลย บางคนต้องออกค่าใช้จ่ายกันเองด้วยซ�้ำ แต่ นั่นไม่ ใช่เรื่องที่เรามองว่าเป็นปัญหา ที่จะท�ำให้เราหยุดท�ำในสิ่ง ที่เราเชื่อ เราชอบ เรารัก หรือเราฝันถึง

และเราก็ปรารถนาให้ผู้อ่านได้อ่านกันเยอะๆ เลยไม่ คิดเงินในการให้อ่าน จนบางทีก็คิดว่า การที่เราได้อะไรมาฟรีๆ มันจะท�ำให้เราเห็นคุณค่าของสิ่งๆ นั้นลดน้อยลงไปหรือเปล่า? แต่ถึงอย่างไรก็ตามแต่ O-N ฉบับนี้ เราก็ยังมีความประสงค์ที่ อยากให้ผู้อ่านได้อ่านกันตามสบายอย่างที่ผ่านๆ มา ถือซะว่า เป็นของขวัญปี ใหม่จากพวกเรานะคะ เปิดปี ใหม่มา เพื่อให้เป็นฤกษ์งามยามดี เราก็เลยขอ น�ำเสนอเรื่องราวดีๆ ของกลุ่มคนคิดดี และลงมือท�ำดีเพื่อสังคม ในชื่อกลุ่มว่า Ma:D ( Hub for Social Entrepreneurs ) ในฐานะคนท�ำสื่อเราเลยอาสาไปน�ำเรื่องราวของพวกเราผ่าน บทสัมภาษณ์ที่เรียบเรียงค�ำพูดดีๆ จากปากของพี่ๆ กัน “วิสัยทัศน์ของ Ma:D จริงๆ คือ Zero Demand For Hero“ นั่นคือสิ่งที่พี่ๆ บอกกับเรา เรื่องดีๆ เราเริ่มต้นได้วันนี้ ตอนนี้ เดี๋ยวนี้ ไม่ต้องรอ ฤกษ์งามยามดีอะไรเลยค่ะ เพราะความดีจะคุ้มครองคนท�ำดี ให้ปลอดภัยตลอดรอดฝั่งเอง ก่อนจากกันไป จนกว่าจะพบกันใหม่ ขอให้ทุกคนโชคดี ‘ไปดี มาดี’ ตลอดปีนะคะ

พิชญา เพ็งจันทร์ บรรณาธิการ waylaway1990@gmail.com




A Plant I Love

พืชพรรณที่ฉันชื่นชม

GRASS

เรื่องและภาพ : กิตติพงษ์ หาญเจริญ

หญ้า

หวัดดีจ่ะเธอ คราวก่อนฉันสรรเสริญถึงคุณงามความดีที่หญ้า ชนิดต่างๆ มีตอ่ พวกเราไปแล้ว ไม่ว่าจะเป็นที่อยู่ เฟอร์นิเจอร์ เครื่องมือ ภาชนะ สมุนไพร เชื้อ เพลิง กีฬา ฯลฯ โดยเฉพาะไผ่ ...หญ้า size XXXL ที่เราได้พึ่งพิงเค้า มาตลอด และที่ส�ำคัญสุดก็ คือ ข้าว ...หญ้าออกรวง ที่เป็นอาหารเลี้ยง เผ่าพันธุ์มนุษย์รุ่นแล้วรุ่นเล่า

แต่ทั้งหมดนี้ยังไม่ ใช่ของขวัญวิเศษสุดที่หญ้าให้แก่ โลก

สิ่งที่เค้ามียิ่งใหญ่กว่านั้นมาก

โฮ โฮ โฮ

พระเอกในตอนนี้ยังคงเป็น …หญ้า!

ระหว่างร่องของอิฐ หิน แม้แต่รอยแตกตามปูน ...เธอเห็น ไหม? แม้แต่ผืนดินอันแห้งแล้ง หรือแอ่งน�้ำขัง ...เธอเห็นไหม?จาก ทรายริมหาด จรดซอกบนยอดเขา ...เธอเห็นไหม? ณ ที่รกร้างประกาศ ขาย ยันถนนคนเดินพลุกพล่าน ...เธอเห็นไหม? ความแกร่ง ท�ำให้เค้าแพร่ตัวเองเข้าไปในทุกที่ที่งอกได้ และ เริ่มขยายตัว ออกไป ออกไป ช้า...แต่ ไม่หยุด สีเขียวเริ่มกระจายตัว ห่มสีน�้ำตาล แดง เหลือง ขาว ส้ม ด�ำ แปรผันแดดที่ลามเลีย ก่อเกิด ความอุดมสมบูรณ์ หญ้า คือ ผ้าห่มผืนแรกๆ แห่งพระแม่ธรณี หากไม่มีชายผู้นี้ หลายพื้นที่อาจก�ำลังเป็นทะเลทรายอยู่ และเมื่อเค้าตายลง การทับถม เริ่มเกิด ก่อก�ำเนิดเป็นดิน ที่ ไม่เพียงให้ตัวเองยิ่งใหญ่ แต่กลับให้พื้นที่แก่ ชีวิตใหม่ๆ มากมาย

4

กลางหญ้าแห้งยืนต้นสีด�ำ แต่แล้วเราก็ยังคิดค้น GMO เพื่อ ใช้งานคู่กับยาฆ๋าหญ้าต่อไป เพื่อให้ ”ความเจริญ” ประกาศความภูมิใจ ในการพิชิตธรรมชาติ แต่ความหลากหลายของพืชพรรณกลับเริ่มหดตัว ลง ทันทีที่เราเห็นหญ้าเป็นศัตรู สงครามก�ำเนิด ธรรมดาของสงคราม คือ เจ็บทั้งคู่ ฉันเข้าใจดี หญ้าขึ้นรก ถอนจนมือปวด ตัดจนหมดแรงและ หญ้าก็ยังคงลุกลามต่อไปใหญ่ โต มันชวนใจให้เกลียดให้ชัง ให้อยาก ท�ำลาย ท�ำให้หายไปจากโลกซะ แต่ธรรมชาติของเค้าก็คือ ผ้าห่มของ พระแม่ธรณี เมื่อใดที่เราท�ำลายเค้า เราก็ท�ำลายพระแม่ธรณี พระแม่ ธรณีเป็นแหล่งงอกงามของพระแม่ โพสพ เมื่อพระแม่ธรณีถูกท�ำลาย พระแม่ โพสพก็ถูกท�ำลาย เมื่อพระแม่ โพสพถูกท�ำลาย ลูกๆ อย่างเรา ก็ถูกท�ำลาย เมื่อเห็นหญ้าเป็นศัตรู หญ้าก็หมดประโยชน์ทันที ยิ่งพ่นยา ฆ่า ดินยิ่งเสื่อม คนยิ่งเสีย เมื่อเห็นหญ้าเป็นหญ้า หญ้าก็ ได้ท�ำหน้าที่ ของหญ้า ยิ่งตัดทับถม ดินยิ่งดี คนยิ่งได้ ปัญหาไม่ ใช่หญ้า แต่อยู่ที่ความรู้สึกต่อหญ้า สัมผัสถึงความ เป็นพระเอกในตัวหญ้า เมื่อใดที่เราถอนเค้า ก็ช่วยกระจายเค้าไปตาม ดินโล้น ให้เค้าได้ห่มดิน ซ่อมดิน รักษาความชื้นให้ดิน ให้เค้าได้เก็บน�้ำ ชะลอน�้ำ ไม่ปล่อยให้น�้ำซัดหน้าดิน ให้พระเอกคลาสสิคแห่งโรงละครของสรรพชีวิตได้ปูพรม เพื่อให้อีกหลายๆ พระ หลายๆ นาง ได้ โลดแล่น เริงระบ�ำ ร้อง บทเพลง ขับขานความงดงามและคุณค่าของการได้มีชีวิต วันนี้ฉันดี ใจที่ ได้ร้องเพลงนี้ ให้เธอฟังแล้ว เพลงแห่งกตเวทีที่ ฉันมีต่อหญ้าและพืชพรรณธัญญาหาร

ชีวิตเกิดมากขึ้น ความตายมีมากขึ้น การทับถมยิ่งเพิ่มขึ้น ดิน ลึกกว่าเดิม กว้างกว่าเดิม ดีกว่าเดิม ไม้ ใหญ่กว่าเดิมเริ่มเกิดตามมาทีละ พรรณ

เธอว่าจะมากไปมั้ย? หากฉันชวนเรามาท�ำให้ 1 วัน ใน 1 ปี เป็นวันที่เราจะได้ร�ำลึกถึงพระคุณของพืชกัน เผื่อว่าวันพืชมงคลอาจมี ความหมายมากกว่านี้ หากเราเรียกวันนี้ว่า

จนวันหนึ่งกลายเป็นป่า จนวันหนึ่งกลายเป็นชุมชนมนุษย์จนวัน หนึ่งเราเริ่มท�ำการเกษตร จนวันหนึ่งเราเริ่มคิดค้นยาฆ่าหญ้าแล้วดินก็เริ่ม เสีย เริ่มตาย

“วันแม่” แม่อะไร ? ….แม่ โพสพ


A Life I See

เรื่อง : ภัทรานิษฐ์ พัฒน์ธนพร

ใครช ว ยใคร

5


A Thing I Dream เรื่อง : วานิลลา ภาพ : รอหัน

หนังสือพิมพ์มหัศจรรย์ ท�ำแต่งาน ดูแต่หนังสือสอบ จนไม่มีเวลาได้ อ่านหนังสือพิมพ์อัพเดทข่าวคราวของโลกภายนอกกัน บ้างเลย บทจะมีเวลาว่างก็ขี้เกียจตามหาหนังสือพิมพ์ หลายๆ ฉบับแล้วมานั่งไล่อ่านทีละหน้าๆ แถมบางทีหน้า ข่าวบันเทิงที่อยากอ่านดันมาหลุดหายไปไหนก็ ไม่รู้อีก ถ้าคุณเบื่อกับการต้องมานั่งรวบรวมหนังสือ พิมพ์หลายๆ ฉบับเพื่อมาเก็บตกข่าวสารต่างๆ ล่ะก็

ต้องนี่เลย หนังสือพิมพ์มหัศจรรย์!

หนังสือพิมพ์ที่สามารถให้ผู้อ่านเลือกได้ว่า อยากรู้ข่าวคราวของวันไหนก็ ได้ภายในฉบับเดียว เพียง 6

แค่คุณกดเลือกวันที่ เดือน และปีพุทธศักราชตรงหัว หนังสือพิมพ์ จากนั้นข่าวคราวต่างๆ ในหนังสือพิมพ์ มหัศจรรย์ก็จะค่อยๆ เปลี่ยนไปตามช่วงเวลาที่คุณเลือก คราวนี้ล่ะ หากคุณอยากรู้ว่าในสมัยพ่อขุนรามค�ำแหง จะมีข่าวคราวอะไรเกิดขึ้นในวันใดบ้างก็ ไม่ ไกลเกินเอื้อม แล้ว (ในกรณีที่สมัยนั้นมีหนังสือพิมพ์แล้วน่ะนะ)

หมายเหตุ : หนังสือพิมพ์มหัศจรรย์นี้ ไม่สามารถเลือกดูข่าว คราวที่จะเกิดขึ้นในอนาคตได้นะ ดูได้แต่ ในอดีตเท่านั้นจ้ะ


My Idol

Local alike Idol : สมเด็จยา สมเด็จพระศรีนคริทราบรมราชชนนี “ผูหญิงที่อยูเบื้องหลังกษัตริยที่ยิ่งใหญของคนไทย และโครงการพัฒนาสำคัญๆหลายแหงในประเทศไทย เชน โครงการพัฒนาดอยตุง ที่ทานไดริเริ่มเมื่อมีพระชนมายุ 87 พรรษา เปนแบบอยางของบุคคลที่ ไมเคยหยุดที่จะเรียนรูและพัฒนาอยางแทจริง”

นุน สุรัชนา ภควลีธร อายุ 25 ป

Idol : Steve Jobs “ไมจำเปนตองเปนคนที่ดีที่สุด ก็สามารถสรางอนาคตใหกับโลกได”

ตาม ทรงกรด ถานะวร อายุ 24 ป

Idol : Pai Somsak Boonkam “I like my boss, Pai Boonkam. He is humble and sexy!”

ปน พชั ราพรรณ ศลิ ปกลุ อายุ 23 ป

ขอบคุณที่ ใหเปนสวนหนึ่งในการสัมภาษณครั้งนี้นะครับ ทำให ไดเห็นแรงบันดาลใจ กำลังใจของแตละคน เกิดการแลกเปลี่ยนแรงบันดาลใจกันยังไง ถามี โอกาสมาเที่ยวกับ Local alike ไดนะครับ :) พธิ ีกรภาคสนาม : เค วีรยุทธ อุยดำ อายุ 23 ป

MOTTO : “I am a part of all that I have met.” ©Ñ¹à»š¹Ê‹Ç¹Ë¹Ö่§¢Í§·Ø¡ÊÔ่§·Õ่©Ñ¹ä´Œ¾ºà¨Í - Alfred Tennyson -

7


'ใต้ดิน l บนฟ้า'

( คอลัมน์จากทางบ้าน )

มองเมือง

ภาพและเรื่อง : palim

ไมคอยชอบเธอเทาไหร แตกลับมาหาเธอบอยๆ ไมชอบความวุนวาย แตก็ยังเดินไหลชนไหลกับผูคนตามทางเทา ไมชอบแทงคอนกรีตเจาะหนาตาง แตก็ โดนดูดหายเขาไปในนั้นเกือบทั้งวัน ที่นี่ ไมมีสีเขียวของตนไม ไมมีพื้นดินสีอิฐ มีเพียงความฝนสีจางๆลอยควางเต็มไปหมด ไมแปลกเลย...ที่หลายคนยังคงอยูที่นี่ อยูกับความจริง...เพื่อรอคอยความฝน

8


' ใต้ดิน l บนฟ้า ' เป็นคอลัมน์เปิดใหม่ เพื่อเปิดพื้นที่ ให้นัก(อยาก)เขียนทั้งหลายได้ประลองฝีมือกัน ฉบับนี้ เราได้คัดเลือกผลงานของเพื่อนๆ มาลงจ�ำนวน 2 คนด้วยกัน นั่นคือ palim และ รื่นเริงใจ ขอแสดงความยินดีกับเพื่อนทั้งสองคนด้วยค่ะ แล้วเราจะส่งนิตยสารฉบับจริงที่มีผลงานพวกคุณกลับไปให้นะ :)

เย็นวันศุกร์ที่สุดแสนจะวิเศษของคนท�ำงาน แต่มันกลาย เป็นวันที่ดูใจร้ายที่สุดส�ำหรับคนที่พรุ่งนี้เช้ายังมีภาระอีกมากมาย ที่ต้องจัดการ “ถ้าเลือกเกิดได้ หนูอยากเกิดเป็นอะไร?” แม่ถามขณะ ที่ฉันก�ำลังนั่งท�ำหน้าเบื่อโลกอยู่ที่ โต๊ะกินข้าว ฉันเหลือบไปมอง เจ้าตูบที่นอนกระดิกหางสบายใจอยู่ ใต้ โต๊ะแล้วตอบกลับไปว่า “หมาค่ะ” แน่นอนค�ำถามที่แม่จะถามกลับมา คือ ท�ำไมละ? ฉัน ว่าหลายๆ คนคงเคยมีความคิดเหมือนกันว่า เจ้าตูบพวกนี้ ชีวิตดู มีความสุขและแสนจะสบาย วันๆ แค่กินกับนอน เวลาอาหารก็มี คนหาให้ บางตัวโชคดีหน่อยเจ้านายพาไปตัดแต่งขน ซื้อเสื้อผ้าให้ กลายเป็นหมาไฮโซเลยก็มี อะไรชีวิตจะมีความสุขขนาดนั้น ชีวิต ที่ ไม่ต้องคิดอะไร ไม่มีภาระหน้าที่ ความรับผิดชอบ อะไรทั้งสิ้น แค่คอยกระดิกหาง เดินตามเจ้านาย เท่านี้ก็มีชีวิตที่สุขสบายแล้ว เป็นชีวิตที่น่าอิจฉาเสียจริงๆ แต่ความคิดทั้งหมดก็ต้องเปลี่ยนซะใหม่ เมื่อเช้าวันรุ่งขึ้น

ในขณะที่ฉันก�ำลังยืนรอรถเมล์ หมาตัวหนึ่งที่สภาพเหมือนไม่ ได้อาบน�้ำมาเป็นปี ผิวหนังที่เป็นรอยแผลจากการโดนกัดและ ท�ำร้ายจากหมาเจ้าถิ่น ร่างกายที่ผอมโทรม เดินมานอนอยู่ ใกล้ๆ แล้วท�ำตาหวานเยิ้มใส่ลูกชิ้นในมือของฉัน “โอเค! ก็ ได้เจ้าตูบ ฉันสงสารแกหรอกนะ” หมาจรจัดตัวนั้นรับไปกินอย่าง กล้าๆ กลัวๆ สงสัยเพราะเคยโดนคนใจร้ายให้กินอะไรที่ ไม่ดี หรือมี ประสบการณ์ที่ ไม่ดีเลยไม่กล้ากิน มันเลียๆ ไปสองสามครั้งและ ตัดสินใจกินในที่สุด ฉันนั่งมองหน้ามันอยู่นานแล้ว คิดในใจว่า คืนนี้มันจะนอนที่ ไหนนะ? ถ้าฝนตกละ? แล้วถ้าไปเจอหมาเจ้า ถิ่นอีก? ไหนจะอาหารอีกละ? หมาข้างถนนพวกนี้ ใช้ชีวิตโดยที่ ไม่รู้อนาคตของตัวเองเลย ใช้ชีวิตแบบเสี่ยงโชค เดินไปเรื่อยๆ โดยที่ ไม่รู้ว่าหนทางข้างหน้าจะอันตรายเพียงใด มันท�ำให้ฉัน เริ่มมองย้อนกลับมาที่ตัวเอง ถ้าการที่เราใช้ชีวิตทุกวันนี้ โดยไม่มี จุดหมาย เดินไปเรื่อยๆ ตามทางของชีวิต ไม่สร้างโอกาสหรือ เป้าหมายให้กับตัวเองเราก็คงไม่ต่างกับหมานคร หมาที่ถึงแม้ จะอยู่ ในเมืองหลวงแต่ก็มีชีวิตที่แสนจะโดดเดี่ยวและว่างเปล่า อย่างน้อยๆ เราเกิดเป็นคน เราสามารถพูด สามารถเรียกร้อง สามารถแสดงความคิดเห็น สามารถฝันหรือสร้างโอกาสต่างๆ ให้กับตัวเองได้ตั้งมากมาย แล้วเราจะอิจฉาชีวิตของเจ้าตูบพวก นี้ท�ำไมกัน การที่เจอเจ้าตูบตัวนี้ท�ำให้ฉันคิดได้อีกอย่างว่า สิ่งมี ชีวิตทุกอย่างเลือกเกิดไม่ ได้จริงๆ แม้กระทั่งหมา หมาบางตัว เกิดมาโชคดีมีเจ้านายที่รักและเอ็นดู บางตัวกลับโชคร้ายเกิด มาอยู่ ในเมือง แต่มีวาสนาเป็นได้แค่หมานคร หรือหมาข้างถนน ชีวิตของเราไม่สามารถเลือกเกิดได้จริงๆ แต่เราจะต่างจากเจ้า หมาพวกนี้ ก็ตรงที่เรามีความคิด มีการศึกษา ดังนั้น ภาระและ การรับผิดชอบทุกอย่างที่เราบ่นๆ เบื่อๆ นี่แหละ คือสิ่งที่จะ ท�ำให้เราหลุดพ้นและแตกต่างจากหมานคร และเจ้าตูบไฮโซที่ เราอิจฉาๆ กัน เราอยากใช้ชีวิตแบบอู้ฟู้หรูหรานอนสบายๆ อยู่เฉยๆ หรือเราจะเป็นหมานครที่ ได้แต่ ใช้ชีวิตอย่างไร้จุดหมาย หรือ ที่สุดแล้วเราจะน�ำภาระ ความรับผิดชอบที่เราต้องเผชิญมา สร้างเป็นประสบการณ์ชีวิตและพัฒนาตัวเองต่อไป ต้องขอบคุณ เจ้าตูบตัวนี้จริง ๆที่ท�ำให้ฉันได้ข้อคิดตั้งมากมายโดยแลกกับลูก ชิ้นเพียงลูกเดียว

ร ค น า ม ห

เขียนโดย รื่นเริงใจ

9


สัมภาษณ์ & เรียบเรียง : สินิทธ์ ปนุตติกร, พิชญา เพ็งจันทร์

ภาพ : 9chaballoon

The Owner

“ วิสัยทัศน์ของ Ma:D จริงๆ คือ Zero Demand For Hero “ นั่นคือสิ่งที่พี่ๆ บอกกับเรา ก่อนเข้าสู่วงสัมภาษณ์อย่างจริงจัง เพื่อพูดคุยถึงที่ ไปที่มาของ Ma:D พี่เก่ง หนึ่งในผู้ก่อตั้งมาดี ก็ ได้นั่ง เล่าให้เราฟังถึงเรื่องราวของ Social Enterprise หรือ ‘กิจการเพื่อสังคม’ ในบ้านเราหลายๆ กลุ่ม เช่น ดอยตุง, Local alike, Kokoboard, Farmsook Icecream, ชุดอุปกรณ์เล่นเส้น (อุปกรณ์เครื่องเขียนส�ำหรับผู้พิการทาง สายตา) เป็นต้น . . . แล้วเราก็เริ่มต้นคุยกันถึงเรื่องกิจการเพื่อสังคม 10


O-N : ความหมายของค�ำว่า Social Enterprise (SE) พี่เก่ง Ma:D : ขอให้ความหมายตามที่พวกเราชาว Ma:D สรุปกันนะครับ เพราะความหมายของแต่ละที่อาจแตกต่างกัน ไป Social Enterprise ในความหมายของ Ma:D คือ คุณจะ ท�ำอะไรก็ ได้เพื่อแก้ปัญหาสังคมไม่ว่าจะเป็นเรื่องเล็กหรือเรื่อง ใหญ่ โดยคุณต้องอยู่ ได้ (มีรายได้) ไม่รอเงินบริจาค ถ้ามองสังคมเราตอนนี้อาจจะแบ่งกว้างๆ ได้เป็น 2 กลุ่ม (ไม่นับข้าราชการ รัฐวิสาหกิจ) คือ กลุ่มที่ท�ำธุรกิจ กับ กลุ่มที่ท�ำงานด้านสังคม Social Enterprise เป็นสิ่งที่รวม เอาข้อดีของทั้ง 2 ฝั่งมารวมกัน เพื่อแก้ปัญหาสังคม คือ เอาคุณค่าของคนท�ำงานด้านสังคมที่มีวัตถุประสงค์ ในการ แก้ปัญหาสังคมอย่างชัดเจน กับเอาเรื่องประสิทธิภาพและ การหารายได้ที่เก่งของฝั่งธุรกิจเข้ามาใช้ จึงเกิดเป็น Social Enterprise คือ แก้ปัญหาสังคม แต่ต้องมี โมเดลธุรกิจเพื่อ การหารายได้ และเพื่อให้ปัญหานั้นๆ สามารถท�ำได้อย่าง ยั่งยืน Social Enterpriseอาจจะรับบริจาคก็ ได้ แต่การ บริจาคต้องเป็นแค่ส่วนหนึ่ง ไม่ ใช่ทั้งหมด O-N : Co-Founder ของ Ma:D Ma:D : มีหลักๆ ทั้งหมด 3 คน คือ พี่กิ๊ฟท์ (ปรีห์กมล จันทรนิจ กร อายุ 27 ปี จบเศรษฐศาสตร์ภาคภาษาอังกฤษ มหาวิทยาลัย ธรรมศาสตร์) พี่เก่ง (สกลฤทธิ์ จันทร์พุ่ม อายุ 33 ปี จบ โบราณคดี มหาวิทยาลัยศิลปากร) พี่ที (ธีระพงษ์ แสงลาภ เจริญกิจ อายุ 28 ปี จบวิศวกรรมศาสตร์ สถาบันเทคโนโลยี พระจอมเกล้าเจ้าคุณทหารลาดกระบัง) O-N : ท�ำไมพี่กิ๊ฟท์ถึงสนใจท�ำงานเกี่ยวกับสังคม พี่กิ๊ฟท์ Ma:D : เราเป็นคนที่สนใจประเด็นสังคมมาก แต่บ้านเรา ไม่ ได้รวย ไม่ ได้มีเงินมากในการบริจาค เราอยากดูแลครอบครัวด้วย พี่กิ๊ฟท์ Ma:D : ง่ายๆ เลยคือ มาท�ำอะไรดีๆ ร่วมกัน ส่วนชื่อ เราเคยคิดตอนเด็กๆ ว่าถ้าเราตัวคนเดียว ไปสอนเด็กบนดอยนานแล้ว ภาษาอังกฤษก็ MAD เพราะเวลาเราบอกว่าเราอยากเปลี่ยนโลก แต่เรายังมีพ่อแม่ต้องเลี้ยงดู มันไม่ ใช่ว่าเราไปท�ำงานให้สังคมแล้วเรา ใครเขาจะเชื่อ เขาก็หาว่าเราบ้า เราก็แบบ บ้าก็ ได้ Ma:D เลยมี ต้องทิ้งครอบครัว คือ ก่อนหน้านี้เราเข้าใจว่ามันมีแค่ 2 อย่าง คือ มูลนิธิ แล้วก็ธุรกิจ 2 ความหมาย เย็นๆน่ารักๆ แต่แฝงลูกบ้าไว้ด้วย O-N : ที่มาของชื่อมาดี Ma:D

O-N : วัฒนธรรม รากฐานของมาดี พี่กิ๊ฟท์ Ma:D : หนึ่ง-ทุกคนลุกขึ้นมาท�ำด้วยตัวเอง เลิกบ่นและ รอให้ ใครมาแก้ปัญหาให้ สอง-ไม่แข่งขันกัน เน้นความร่วมมือ และช่วยเหลือกันเท่าที่ทรัพยากรแต่ละคนจะมี สาม-จริงใจ และ มี commitment ด้วยวัฒนธรรมนี้จะท�ำให้ทุกคนเกิดการไว้ ใจ แชร์กันได้ เต็มที่ ทุกคนเห็นอีกด้านของกันและกัน แล้วก็มีการให้พันธสัญญา ว่าจะน�ำไปท�ำต่อ และโตไปด้วยกัน

ฝั่งธุรกิจ ตอนแรกเราก็อยากลองนะ ตอนที่เรียนอยู่เรา ประกวดแผนธุรกิจ ตอนท�ำใช้เวลา 3 เดือน รู้สึกเป็น ช่วงเวลา ที่ทรมานที่สุดในชีวิต เราดูในส่วนการตลาด ซึ่งต้องตอบค�ำถาม เดียว “ท�ำไงให้เราได้ก�ำไรเยอะสุด สื่อสารยังไงให้คนจ่ายแพง” จบเหตุการณ์นั้นคิดว่าไม่ท�ำธุรกิจแน่ๆ ตอนนั้นมองแต่ด้านแย่ ลืม มองด้านดี ไป ก็เลยตั้งใจจะท�ำงานด้านสังคม พอใกล้จบก็มีช่วงที่ เครียดมากแล้วก็มาเจอ Change Fusion พอดี ที่นี่ท�ำเรื่อง Social Enterprise เน้นเรื่องนวัตกรรมทางสังคม ก็เลยสมัครเข้าไปท�ำ เรา รู้สึกว่าแนวคิดมันใช่กับชีวิตมากๆ สร้างผลกระทบให้สังคมแบบยั่งยืน คือเราหาเงินเองได้ ตัวเราเองอยู่ ได้ ครอบครัวอยู่ ได้ กิจการอยู่ ได้ 11


O-N : ตอนอยู่ Change Fusion ท�ำอะไรบ้าง พี่กิ๊ฟท์ Ma:D : ท�ำหลายอย่างมากเลย ตั้งแต่ระดับ นโยบาย โดยเน้นการมีส่วนร่วมจากภาคประชาชน มี ท�ำงานวิจัย มีท�ำเรื่องการสื่อสารเพื่อสังคม ประสานงาน ศูนย์ความร่วมมือภัยพิบัติตอนน�้ำท่วมใหญ่ ท�ำให้เรามีคอน เนคชั่นเยอะเลย ทั้งทางภาคธุรกิจ ทั้งชุมชน ทั้งฝั่ง NGO แต่พอถึงจุดๆหนึ่ง เราก็ต้องออกไปช่วยกิจการที่บ้าน แต่จุดที่ฝังใจเรามาก คือ Change Fusion มี โครงการประกวดแผนกิจการเพื่อสังคม ตอนนั้นเราเพิ่ง เข้าไปใหม่ๆ ไม่ ได้อยู่ ในทีมที่ท�ำเรื่องนี้ แต่เราสนใจ เรา อยากลองท�ำกิจการเพื่อสังคมของตนเอง ก็เลยส่งแผน ประกวดไปเรื่องคนไร้บ้านเพราะอยากได้เงินทุนตั้งต้น สุดท้ายท�ำไม่ ได้ กรรมการบอกว่า “คุณไม่เข้าใจอะไรเลย เชิงประเด็นก็ ไม่ลึก นี่มันไม่ ใช่แผนธุรกิจที่จะท�ำให้อยู่ ได้” เราก็เก็บความรู้สึกนั้นไว้ว่ามันยาก เราต้องเรียนรู้เพิ่มก่อน ก็เลยพับไว้ก่อน ก็ตั้งใจท�ำงานที่ Change Fusion ต่อไป แต่รู้สึกว่าตัดสินใจถูก ได้เรียนรู้หลายอย่างมากจากที่นี่

จริงๆ ก่อนจะมาเปิดที่นี่ ก็ ไปช่วยเป็นโค้ชของ Ashoka ซึ่งเป็น องค์กรที่สนับสนุนคนที่ท�ำงานด้านสังคม เค้ามี โครงการสร้างผู้ประกอบ การสังคมรุ่นเด็กๆ เราก็เลยเจอว่า มันไม่ ใช่มีแค่เราที่เมื่อ 4 ปีที่แล้วเจอ ปัญหาแบบนี้ แต่มีอีกหลายคน เหมือนกันเลย คือใจมาเลยอะ แต่เขาไม่มี ทรัพยากร ไม่มีประสบการณ์ ไม่มีอะไรเลยถ้าให้เริ่มตอนนั้นเริ่มยากมาก ก็เลยเจอว่านี่เป็นอีกส�ำคัญ คือ อยากเริ่ม แต่ ไม่รู้จะเริ่มยังไง ก็เลยคิดว่า เราอยากท�ำพื้นที่ๆ หนึ่ง ที่คนรู้สึกว่าอยากเริ่ม เข้ามาเมื่อไหร่ก็ ได้ที่นี่มีคน ที่คิดเหมือนกัน มีคนที่สนใจเหมือนกันมาท�ำด้วยกัน เห้ย! มีอะไรช่วยกัน เธอมีนี่ ฉันมีนี่ ไม่ ใช่ว่าไปคุยกับใครก็ “บ้าป่ะแก ท�ำไม่ ได้หรอก” คือเรา รู้สึกว่า การอยู่ถูกที่ ถูกเวลา มันส�ำคัญเหมือนกัน

O-N : พี่กิ๊ฟท์เคยเป็น บรรณาธิการนิตยสารด้วย พี่กิ๊ฟท์ Ma:D : ออ ใช่ หลังจากออกจาก Change Fusion ไปช่วยที่บ้าน ก็มีแบ่งเวลาไปช่วยส�ำนักงานสร้าง เสริมกิจการเพื่อสังคมแห่งชาติ (สกส.) แบบไม่เต็มเวลา มีท�ำเรื่องอาสาสมัครสื่อสารเรื่องกิจการเพื่อสังคม ไป ช่วยจัดอีเว้นท์ต่างๆ หลังจากนั้นก็มีเพื่อนชวนไปท�ำเป็น บรรณาธิการนิตยสารธุรกิจภาษาอังกฤษ ชื่อ MeTRO Business and Leisure เราก็เลยตัดสินใจไปท�ำ เพราะ มองว่าอยากเรียนรู้และเข้าใจในฝั่งที่เป็น Enterprise มาก ขึ้น ก่อนหน้านี้ เราเคยมองว่าธุรกิจมันแย่ แต่พอไปเรียนรู้ จริงๆ แล้ว เราก็พบว่าธุรกิจมันมีขึ้นมาเพื่อให้เกิดรายได้ที่ ยั่งยืน คุณท�ำสินค้าที่คนอยากได้ ทุกคนไม่ ได้มีเวลามา ผลิตเอง มันมีคุณค่าจริงในตลาด เพราะฉะนั้น มันไม่ ใช่ เรื่องแย่เลย ถ้ามันจะแย่ ก็เพราะความโลภของคนท�ำไม่ ใช่ ความเป็นโมเดลธุรกิจ ในนิตยสาร จะมีคอลัมน์สัมภาษณ์ ผู้บริหารขององค์กรต่างๆ เพื่อจะได้รู้ว่าเขาคิดอะไรในมุม มองธุรกิจ มีวิสัยทัศน์อย่างไร มีปรัชญาอะไร น่าสนใจ มากเลย เราท�ำอยู่ 6 เดือน แล้วรู้สึกว่าเริ่มร้อนใจแล้ว ท�ำของตัวเองเลยดีกว่า แล้วก็นึกขึ้นมาว่าตอน 4 ปี ที่เรา ท�ำไม่ ได้ มันเพราะอะไร มันเพราะเราไม่มีประสบการณ์ ไม่ ใช่ว่าเพราะเราไม่มี ใจ 12

O-N : ตอนจะท�ำ Ma:D โดนว่าเยอะไหม พี่กิ๊ฟท์ Ma:D : โอ้ โห! โดนเยอะมากค่ะ ฮ่าๆๆ แม้กระทั่งคนที่ท�ำงาน สังคมด้วยกันเอง เขาเป็นห่วง บางทีเขาก็ด่าด้วยความรัก คือ ตอนเริ่ม เราไม่ ได้มีเงินมาก ไม่ ได้มีประสบการณ์มาก แต่ Ma:D เป็นพื้นที่ ต้อง ลงทุนสูง แผนเราก็ ไม่ชัดเลย แต่เราอยากท�ำมากเลย แล้วเราก็เล่าภาพ ที่อยากเห็นกับคนมากกว่า 100 คนเลยนะ เพื่อเล่าว่าเราฝันอะไร แล้วก็ มีคนช่วยกันลงเงินคนละนิดละหน่อย บางคนก็มาลงแรงแบบเต็มที่ จนที่ นี่เกิดได้ บางคนก็ถามว่า “บ้าป่ะแก” แต่ก็ช่วย บางคนฟังแล้วไม่เก็ตก็มี ช่างฟงช่างไฟมาที่บ้าน เราเล่าหมดเลย เราเจอใครเราก็เล่า ที่นี่เกิดขึ้น ได้ เพราะทุกคนช่วยกัน

{

}

ช่างฟงช่างไฟมาที่บ้าน เราเล่าหมดเลย เราเจอ ใคร เราก็เล่า ที่นี่เกิดขึ้นได้ เพราะทุกคนช่วยกัน / พี่กิ๊ฟท์


O-N : พี่กิ๊ฟท์กับพี่เก่งรู้จักกันได้อย่างไร พี่กิ๊ฟท์ Ma:D : รู้จักกันตอนที่พี่เก่งท�ำประชุมวิชาการ เกี่ยวกับการปฏิรูป วงนี้เกี่ยวกับการปฏิรูประบบเกษตร แล้วตอนนั้นเราท�ำเรื่องสหกรณ์พอดี สหกรณ์มันเป็น โมเดลหนึ่ง ของ Social Enterprise แล้วเราเป็นหนึ่งใน นักวิชาการที่ท�ำวิจัย ก็เลยได้เจอกัน

O-N :หุ้นส่วนที่มาดี พี่กิ๊ฟท์ Ma:D : ทุกคนคือมาด้วยใจจริงๆ ใครให้อะไร มาเท่าไหร่ ก็ท�ำเป็นเอกสารไว้ จดทะเบียนบริษัทไปแล้ว หลายคนก็ ไม่สนเลยแม้แต่น้อยว่าต้องได้อะไรกลับไป แต่ เรารู้สึกว่า ไม่ ได้ ถ้าท�ำในสิ่งที่มันดี แล้วมันมีคุณค่าทาง สังคมรวมถึงการตลาดด้วย เขาควรจะได้อะไรกลับไป เพราะเขาไว้ ใจเรา เรารู้สึกว่าจะท�ำ Enterprise ทั้งที ก็ ต้องเป็น Enterprise จริงๆ เรารู้สึกว่าถ้าเราสร้างรายได้ ได้ คนลงทุนกับเราเขาต้องได้รีเทิร์นสิ มากน้อยอีกเรื่อง หนึ่ง ลองนึกภาพถ้าเราหาเงินเองไม่ ได้ เราต้องนั่งขอทุน ไปเรื่อยๆ ทุกปี ถ้าวันหนึ่งเราไม่ ได้เงินต่อ เราก็ท�ำต่อไม่ ได้

O-N : แล้วพี่เก่งสนใจเรื่องสังคมเมื่อไหร่ พี่เก่ง Ma:D : จ�ำไม่ ได้ว่าจริงๆ ตัวเองสนใจเรื่องสังคม เมื่อไหร่ รู้แค่ว่าเราไม่อยากท�ำธุรกิจ ไม่รู้ท�ำไม แต่ที่บ้าน ก็ ไม่ ได้บังคับให้ท�ำหรือไม่ท�ำอะไรนะ จบมาก็ ไปท�ำงาน ที่ ม.กรุงเทพ ประมาณ 2 ปี โดยมีหน้าที่ ไปให้ความรู้ เด็กๆ ให้เขาได้รู้ว่าอยากเรียนอะไรต่อ เหมือนไปแนะแนว การศึกษา เดินสายไปทั่วประเทศเลย หลังจากนั้นก็ ไป ช่วยอาจารย์ท�ำหนังสือ ไปรีเสิร์ชหาข้อมูลที่อังกฤษกับที่ อเมริกา แล้วก็ ได้มาท�ำงานที่มูลนิธิสาธารณสุขแห่งชาติ ได้รับผิดชอบโครงการปฏิรูปประเทศไทย ซึ่งเป็นการ รวบรวมงานวิชาการที่เกี่ยวข้องกับปัญหาสังคมที่ต้อง แก้ ไข แล้วจัดท�ำข้อเสนอ ท�ำการสื่อสารออกไปในรูปแบบ ที่แตกต่างจากที่เคยท�ำคือ ท�ำเป็นคลิปแอนิเมชั่น ซึ่งเข้าใจ ว่าพี่เป็นทีมแรกๆ เลยที่เอางานวิชาการมาท�ำเป็นแอนนิเม ชั่น คลิปแรกที่ออกมา คือ ความเหลื่อมล�้ำฉบับพกพา

พี่เก่ง Ma:D : แล้วช่วงหนึ่งเราก็รู้สึกว่าไม่มีอะไรที่ เราท�ำได้เองเหรอ? กิ๊ฟท์ก็มาคุยให้เราฟัง ว่ามี Social Enterprise มีนู่นนี่นั่น แล้วสิ่งที่มันตรงกัน คือ พี่เองก็ มองว่าวิธีการแก้ปัญหามันมี 3 ชั้นเหมือนกัน ชั้นแรกคือ เราลงมาท�ำเองได้จริงๆ เริ่มจากตัวเราเอง ชั้นต่อมาคือ การแก้ปัญหาเฉพาะหน้า เยียวยาไป ชั้นสุดท้าย คือ เชิง นโยบาย ก็ ไปแก้กฎหมาย ซึ่งเชิงนโยบายอาจไม่เหมาะกับ เรา แต่มันก็ยังจ�ำเป็นต้องมี ก็มีคนกลุ่มหนึ่งที่ท�ำกันไป

{

}

เราคิดว่าที่นี่มันมีสวน มีสีเขียว ปลูกผักได้ อาจจะฉายหนังกลางแปลง ได้ด้วยนะ / พี่เก่ง

O-N : แล้วพี่ๆ มาเริ่ม Ma:D ด้วยกันได้อย่างไร พี่เก่ง Ma:D : มันเป็นจังหวะหลายๆ อย่าง ช่วงนั้นพี่ จบโปรเจคปฏิรูป กิ๊ฟท์ก็ท�ำนิตยสารอยู่ พี่ก็ ไปช่วยกิ๊ฟท์ ท�ำนิตยสารแล้วนายทุนไม่ค่อยน่ารักเท่าไหร่ ประจวบ เหมาะกับ หน่วยงาน สกส.เขาอยากหาคนท�ำ CoWorking ในช่วงตุลาคม ปี 2556 พอดี เป็นพื้นที่ส�ำหรับ คนที่สนใจ Social Enterprise ให้มารวมตัวกัน เราก็เลย เข้าไปคุย เขาบอกมีที่ ให้แล้ว ตรงตึกใน มหาวิทยาลัย ศรีนครินทรวิโรฒเลย หาคนไปด�ำเนินการธุรกิจ หาคนไป ร่วมลงทุน ท�ำเป็นโมเดลกิจการเพื่อสังคม O-N : แล้วท�ำไมสุดท้าย พี่ๆ ถึงเลือกมาท�ำในสถาน ที่แห่งนี้

พี่เก่ง Ma:D : เราก็ ไปหาข้อมูลเพิ่มแล้วเรามาแถวนี้บ่อย บังเอิญบ้านหลังนี้ปล่อยเช่าพอดี เราก็เลยลองเปรียบ เทียบข้อดีข้อเสียกับที่ตรงมศว. เราคิดว่าที่นี่มันมีสวน มี สีเขียว ปลูกผักได้ อาจจะฉายหนังกลางแปลงได้ด้วยนะ แล้วเพื่อนเราก็อยู่ตรงนี้ราคาค่าเช่าก็ ใกล้เคียงกัน แต่ที่นี่ มันมีลูกเล่นมากกว่า สุดท้ายเราก็ ไม่ ได้ท�ำกับ สกส. 13


O-N : ตอนนี้Ma:Dเปิดมานานเท่าไหร่แล้วคะ

O-N : Co-Working Space

พี่กิ๊ฟท์ Ma:D : ส�ำหรับที่นี่เราเปิดมา 6 เดือน แต่ เริ่มคิดเริ่มพูดคุย หาสถานที่ ปรับปรุงบ้านก็ ปีนึงพอดี

พี่กิ๊ฟท์ Ma:D : เรามีเพื่อนที่ท�ำ Co-Working space อยู่ที่ Hubba เราก็เลยเข้าไปคุยกับเขา เขาเป็นพื้นที่ ให้คนมาท�ำงาน แล้วได้เจอกัน มี เวิร์คช็อป เราก็เลยเห็นว่าเหมาะ ตอนแรกเราเลยเปิด Ma:D เป็น CoWorking Space พอเราท�ำไปสักพักนึง เราเลยเห็นความแตกต่างบาง อย่างว่าคนท�ำ Tech Start-Up นักลงทุนสนใจ ด้วยความที่เป็นเทค โนยี ต้นทุนต�่ำ แล้วโตง่าย มันเป็นอะไรที่ทันสมัย มันขายได้ เขาจะได้ เงินจากนักลงทุนเยอะมาก และมีชาวต่างชาติจ�ำนวนมากที่ท�ำเรื่องนี้ ในประเทศไทย การจ่ายเงินนั่งท�ำงานไม่เป็นปัญหาส�ำหรับกลุ่มนี้ แต่ ในขณะเดียวกันคนที่เริ่มท�ำ Social Enterpris eกว่าจะได้เงินมา นัก ลงทุนก็ยังไม่ ได้ ให้ความสนใจมาก รีเทิร์นจะได้รึเปล่า กว่าจะได้ โมเดล มันต้องใช้เวลาศึกษาทั้งเรื่องประเด็นสังคม กว่าโมเดลธุรกิจจะออกได้ เราก็รู้สึกฝืนใจที่ต้องให้เขาหาเงินมาจ่ายเราก่อน บางคนเข้ามาปรึกษา เราเฉยๆ ยังไม่เริ่ม เราก็ ไม่อยากเก็บเงินเขา กลายเป็นว่าทางเราเอง ก็ ไม่มีรายได้ คนที่เข้ามาเขาก็ ไม่มีก�ำลังจะจ่าย ตอนนี้เราเลยเปลี่ยน Business Model ใหม่

{

}

คำ�ตอบ คือ เพราะเรา อยากทำ�ให้คนที่ทำ�เรื่องสังคม มีพื้นที่มาแชร์กัน มาคุยกัน / พี่กิ๊ฟท์

14


O-N : Business Model ใหม่ของมาดี พี่กิ๊ฟท์ Ma:D : เราก็กลับไปนั่งตั้งต้นใหม่ว่าเราอยากท�ำพื้นที่ นี้เพราะอะไร? ค�ำตอบคือ เพราะเราอยากท�ำให้คนที่ท�ำเรื่อง สังคมมีพื้นที่ มาแชร์กัน มาคุยกัน มากกว่ามาท�ำงานของตัว เอง คือไม่ ใช่ Social Enterprise อย่างเดียวนะ ท�ำอะไรก็ ได้ ใน แบบของตัวเองเลย เช่นเครือข่าย Social Venture Network (SVN) เป็นกลุ่มนักธุรกิจใหญ่ๆ ที่มีอายุตั้งแต่ 30-80 กว่าปี ซึ่งมีจิตใจเพื่อสังคมมาก เขาชอบที่นี่ เขาชอบแนวคิด Social Enterpriseแล้วเขาอยากใช้ความรู้ที่เขามีมาช่วย คือ Social Enterprise มันต้องดูทั้ง 2 ด้าน ฝั่งผลกระทบต่อสังคม ก็ต้อง ดูว่าคุณแก้ปัญหาจริงไหม ยั่งยืนไหม ในขณะที่ฝั่งบริษัทต้องหา โมเดลที่ขายได้ และอยู่ ได้ ท�ำยังไงให้เกิดคุณค่าจริงในตลาด ทาง SVN ก็ยินดีมาช่วยเสริม หรือคนทั่วไปที่สนใจอยากปรับวิถีชีวิต ให้ยั่งยืนขึ้น ส่งผลกระทบเชิงลบต่อสังคมน้อยลง ก็เป็นอีกกลุ่ม ที่มาพบปะกันที่มาดี

โมเดลของ Ma:D ในตอนนี้ มีดังนี้

หนึ่ง – พื้นที่ เพิ่ม Private Office ส�ำหรับคนที่เริ่ม ธุรกิจมาแล้ว มีรายได้แล้ว และอยากมีห้องท�ำงานประจ�ำ มี ออฟฟิศเป็นของตัวเอง ราคาห้องขึ้นอยู่กับขนาดตั้งแต่ 8,500 - 18,000 บาท นอกจากนี้ยังมีพื้นที่จัดกิจกรรม ห้องประชุม

สัมมนา ซึ่งจะคิดราคาของคนท�ำงานด้านสังคมถูกกว่าคนที่ ท�ำด้านธุรกิจทั่วไป ส่วนพื้นที่รวม จะไม่เก็บเงินแล้ว แต่จะจัด กิจกรรมให้มากขึ้น ท�ำเวิร์คช็อปมากขึ้นเราจะเน้นการสร้าง community มากขึ้น ซึ่งหวังว่ารายได้จากพื้นที่ ทั้ง Private Office และห้องประชุม ห้องจัดกิจกรรม จะเพียงพอส�ำหรับค่า เช่าบ้าน ค่าน�้ำ ค่าไฟ และค่าอินเตอร์เน็ต สอง – โปรแกรมระยะยาว จะมี 2 ลักษณะ คือ การ พัฒนาศักยภาพ และ Community Building คือ อยากให้เกิด ความเคลื่อนไหวของคนที่สนใจเรื่องเดียวกัน เหมือนว่า Ma:D เป็นดิน เป็นน�้ำ เป็นอากาศ คุณมีเมล็ดพันธุ์อะไร ก็มาหว่าน ได้แล้วเราก็ช่วยกันรดน�้ำ พรวนดิน มีแดด แล้วมันก็เกิดการ เคลื่อนไหว ส่งผลออกไปกว้างขึ้น อันนี้จะไม่ติดกับพื้นที่ คือ อาจจัดกันเองที่มาดี หรือท�ำเป็น service ให้หน่วยงานอื่นๆ นอกสถานที่ สาม – Event เพื่อสื่อสารเรื่องประเด็นสังคม และ สร้างแรงบันดาลใจให้คนลุกขึ้นมาเริ่มจากตัวเองมากขึ้น O-N : บางสิ่งที่ ได้เรียนรู้เมื่อเปิด Ma:D พี่กิ๊ฟท์ Ma:D : เราเริ่มเจอว่า จริงๆ แล้วทุกคนอยากท�ำเรื่อง ดีๆ แต่มีคนจ�ำนวนมากเข้าใจไปเองว่าถ้าจะท�ำเพื่อสังคมน่ะมัน ยาก มันต้องเข้าป่าฝ่าดง มันต้องรวยมากเพื่อบริจาคเยอะๆ มัน ต้องเข้าถ�้ำ แต่จริงๆ แล้ว คุณใช้สิ่งที่คุณมีท�ำได้เลยเสมอ เรา มองกว้างๆ เป็น 3 กลุ่ม 1. ถ้าเรารู้สึกว่ามีบางเรื่องที่เราต้อง ท�ำ ก็กระโดดมาท�ำธุรกิจเพื่อสังคม 2. ภาคธุรกิจ ก็ท�ำธุรกิจให้ ส่งผลเชิงลบน้อยที่สุด ต้นน�้ำยันปลายน�้ำ 3. คนธรรมดาที่ปรับ วิถีชีวิตให้ยั่งยืนขึ้น ยกตัวอย่างง่ายๆ เด็กนักเรียนตัวเล็กๆ ไม่มี เงิน ไม่มีอะไร เขาก็ช่วยได้นะ ประหยัดทรัพยากร ซื้อของไม่ เอาถุงพลาสติก แยกขยะที่บ้าน ระวังผลกระทบจากสิ่งที่ตัวเอง กระท�ำไม่ ให้กระทบคนอื่น ก็ท�ำได้ หัวใจคือ ใช้ทรัพยากรที่มีมา ช่วยสังคมได้ ในแบบของตัวเอง ไม่เบียดเบียนตัวเอง สังคม สิ่ง แวดล้อม O-N : มันยากไหม กับการเปลี่ยนคน พี่กิ๊ฟท์ Ma:D : มันยาก แต่เราแค่อยากให้รู้ว่ามันเริ่มที่ตัว เรา เราเป็นคนหนึ่งที่อินกับเรื่องแบบนี้ แล้วเราก็ลุกขึ้นมาท�ำเลย โดยพิสูจน์ ให้เห็นว่าเราไม่ ได้เริ่มจากเงินเยอะนะ เราไม่ ได้เริ่ม จากส�ำเร็จมาก่อนนะ เราไม่ ได้เริ่มจากมีบารมีนะ เราเริ่มได้เลย เราเริ่มแค่จาก “เราอยากท�ำ”เราเป็นใคร เราเป็นคนธรรมดา มาก ทุกคนก็เริ่มได้เหมือนกัน

15


O-N : มีคนเข้ามาใช้พื้นที่เยอะไหมคะ พี่กิ๊ฟท์ Ma:D : ก็เข้ามาเรื่อยๆ นะ ส่วนใหญ่ ไม่ ได้ อยากเข้ามาใช้พื้นที่ท�ำงานหรอก แต่เขาอยากได้ที่ๆ มาเจอคนที่คิดอะไรเหมือนกัน มาเรียนรู้ร่วมกัน มา แชร์ประสบการณ์กัน เราเน้นว่าการที่คนอยากเริ่มต้น ท�ำอะไรแบบนี้ ไม่ต้องไปรอผู้เชี่ยวชาญมาสอน คือ มันไม่ต้องรออะไรแบบนั้น แค่คนกันเองนี่แหละคนที่มี จิตใจเหมือนกันมาช่วยเหลือกัน ซึ่งสังคมที่นี่เราจะเน้น ให้ทุกคนถอดหมวก ทุกคนมี โอกาสเปิด และแชร์เท่า เทียมกัน O-N : ยกตัวอย่างให้ฟังหน่อย มีกลุ่มไหนบ้าง พี่กิ๊ฟท์ Ma:D : มีกลุ่มที่สนใจเรื่องเทคโนโลยีเพื่อสังคม กลุ่มที่สนใจเรื่องการศึกษา กลุ่มที่สนใจเรื่องผู้พิการ กลุ่มที่ สนใจเรื่องวิถีชีวิตยั่งยืน กลุ่มที่สนใจอ่านหนังสือมาแชร์กัน กลุ่มที่สนใจเรื่องความคิดสร้างสรรค์ ในการสื่อสาร กลุ่มคน ที่อยากเริ่มท�ำกิจการเพื่อสังคมแต่ยังหาประเด็นอยู่ก็มีนะ และมีกลุ่มอื่นๆอีก คือ กลุ่มเหล่านี้ ไม่ ได้รู้จักกันมาอยู่แล้ว แต่มีการจัดประเด็นขึ้นมาเพื่อรวมคนสนใจประเด็นเดียวกัน มาเจอกัน O-N : คนที่ท�ำ Social Enterprise ในประเทศไทยตอนนี้เป็น รุ่นไหนคะ

O-N : ท�ำอย่างไรให้เรื่องนี้มันเข้าถึงผู้คนในสังคม วงกว้างได้มากขึ้น พี่กิ๊ฟท์ Ma:D : เราเริ่มเล็ก คือ เริ่มจากตัวเรา เรา ว่าอันนี้ มีพลังมากกว่าแค่บอกให้ทุกคนท�ำแล้วเราไม่ เริ่ม เราเชื่อว่าถ้าทุกคนมีพลังลุกขึ้นมาท�ำ คนรอบๆ ข้าง จะค่อยๆ เห็น ว่าเราก็เริ่มได้ และเป็นแรงบันดาล ใจให้คนรอบๆ ไปเรื่อยๆ แล้ววงมันก็จะใหญ่ขึ้นเอง

พี่กิ๊ฟท์ Ma:D : ส่วนใหญ่ที่รู้จักก็ 25-35 ปีนะ ทุกคนก็ก�ำลังเริ่มๆ กัน อย่างที่บอกว่า งานสังคมประเด็นหนึ่งมันมีหลากหลายมิติ เรื่องสังคมมันซับซ้อนนะ ใช้เวลามากด้วย ต้องใช้ทรัพยากรหลาก หลายมาก หลายประเด็น หลายพื้นที่ หลายกลุ่มคน จัดหมวดหมู่ ได้บ้าง ซ้อนทับกันบ้าง พื้นที่อย่างมาดี มันเลยจ�ำเป็น เพื่อให้คนมา คุยกัน มาแชร์ประสบการณ์กัน หรือสร้างความร่วมมือเพื่อช่วยกัน O-N : เฉลี่ยต่อเดือน ที่นี่มีกิจกรรมเยอะไหม พี่กิ๊ฟท์ Ma:D : ช่วงแรกๆ มีกิจกรรมเฉลี่ยเดือนละ 10 ครั้ง แต่ คิดว่าปีหน้าเป็นต้นไปคงใช้พื้นที่คุ้มมากขึ้น คือ จัดมากขึ้นกว่าเดิม เดี๋ยวจะวางแผนโปรแกรมต่างๆ เอาไว้ว่าจะมีอะไรบ้าง ตอนนี้เรา ก�ำลังท�ำเว็บไซต์ ซึ่งจะมีปฏิทินกิจกรรมบอกด้วย

{

}

เราเริ่มเล็ก คือ เริ่มจาก ตัวเรา เราว่าอันนี้มีพลัง มากกว่าแค่บอกให้ทุกคนทำ� แล้วเราไม่เริ่ม / พี่กิ๊ฟท์

16


O-N : ตอนนี้ Ma:D ปิด 1 เดือน (11 ธันวา 2014 – 11 มกรา 2015) พี่เก่ง Ma:D : ปิดปรับปรุง แต่กิจกรรมก็ยังมีอยู่นะ อย่างเดือนธันวาคม วัน เสาร์ก็มี Ashoka มาจัด Talk เรื่องการสื่อสารเพื่อการเปลี่ยนแปลง และวัน อาทิตย์ก็มีกลุ่มปลูกผักมาจัดกิจกรรมเป็นโปรเจคไม้ประแดก O-N : ถ้าแบ่งเป็นประเภท มีกลุ่มไหนบ้างที่เข้ามา พี่กิ๊ฟท์ Ma:D : มี 3 Layers คือ วงแรกเล็กสุด แต่อินมากสุด คือ คนที่ อยากเริ่ม Social Enterprise วงที่สองคือภาคธุรกิจ ไม่ ได้อยากให้เขาเป็น Social Enterpriseนะแต่เราอยากจะให้เขารู้ว่าผลกระทบทางสังคมมันคืออะไร อยากให้เกิด CSR ที่แท้จริง และ วงที่สามคือคนทั่วไปที่อยากปรับวิถีชีวิตให้มี วิถีที่ยั่งยืนมากขึ้น O-N : CSR คืออะไรคะ ช่วยอธิบายให้เข้าใจง่ายๆ หน่อย พี่กิ๊ฟท์ Ma:D : CSR ย่อมาจาก Corporate Social Responsibility มี 2 อย่าง คือ ในกระบวนการ กับหลังกระบวนการ ซึ่งปัจจุบันนี้ CSR ที่เรารู้จัก คือ หลังกระบวนการเป็นส่วนใหญ่ หมายถึงจบละต้นน�้ำถึงปลายน�้ำได้ก�ำไรแล้ว ตัดก�ำไรส่วนหนึ่งไปช่วยเหลือสังคม ส่วน CSR ในกระบวนการ คือ ทุกอย่าง คลีน ตรวจสอบได้หมด ไม่ปล่อยน�้ำเสีย ไม่เอาเปรียบคู่ค้า ท�ำอย่างไรให้ลูก น้องมีความสุข ภาษี ไม่เลี่ยง ไม่สร้างผลกระทบที่แย่ ให้ ใคร เราไม่ ได้คาดหวัง ว่าธุรกิจที่เข้ามามาดีจะท�ำได้ 100% ทันทีนะ แต่ค่อยๆ ปรับไป อย่างน้อยก็ ได้ กลับมาเช็คตัวเองบ่อยๆ และค่อยๆลดผลกระทบเชิงลบให้น้อยลงเรื่อยๆ O-N : ส่วนใหญ่เขารู้จัก Ma:D จากที่ ไหน พี่กิ๊ฟท์ Ma:D : ไม่แน่ ใจเหมือนกันนะ แต่เรามีออกสื่อไป บ้างปีที่ผ่านมา จัดกิจกรรมบ่อยๆ แต่ช่องทางสื่อสารหลัก เราคือเฟซบุ๊ค ซึ่งมันก็ ไปได้ ไกลกว่าที่คิดว่าจะเฟซบุ๊คจะพา ไปได้ เคยมีคนจากแอฟริกาใต้ บราซิล เจอเราจากเฟซบุ๊ค แรนดอมมาก แล้วก็อยากมาจัดกิจกรรมร่วมกับมาดีก็มี O-N : จะมีจัดประกวดไหม หากใครมีเมล็ดพันธุ์อะไรที่น่าสนใจ พี่กิ๊ฟท์ Ma:D : โปรแกรมของ Ma:D ไม่ ได้เน้นเป็นการประกวดนะ ใครอยากท�ำ เข้ามาวางแผนร่วมกัน ถ้า ไม่ล้มเลิกเอง เราก็ยังช่วยกัน แต่ก�ำลังคิดอยู่ว่าจะท�ำรูปแบบไหน เราค่อนข้างเชื่อว่าคนทุกคนมีความสามารถ นะแต่เราต้องหาวิธีนิดนึงในการจัดการ เราเห็นช่องว่างบางอย่างว่าคนเรียนรู้ ได้ ไม่พร้อมกัน บางคนทิ้ง ค�ำถามทิ้งไว้ เขาก็ ไปต่อยอดเอาเอง แล้วค่อยกลับมาอีกที ทุกคนไม่ต้องลูปเดียวกันหมด พี่เก่ง Ma:D : ที่น่าสนใจ คือบางโมเดล อาจไม่ต้องใช้เงินเลยก็ ได้ สมมติประกวดได้เงินไปแสนบาท เขาอาจ จะงงว่าเอาเงินไปใช้ท�ำอะไร คอนเซ็ปต์ที่เราคุยกันคือ ถ้าเราหาเงินได้ก้อนหนึ่ง เราคุยกันก่อนว่าคุณอยากจะ ใช้เท่าไหร่ เราอยากให้เขาเข้าใจเรื่องต้นทุนที่จ�ำเป็นจริงๆ 17


O-N : มุมมองต่อการประกวด

O-N : พื้นฐานธุรกิจ

พี่กิ๊ฟท์ Ma:D : การประกวดมันอาจจะดีส�ำหรับภาคธุรกิจนะ ท�ำให้เกิดการแข่งขัน เกิดประสิทธิภาพ แต่ฝั่งสั่งคม เรามองว่า มันช่วยกันได้อะ แล้วแรงผลักดันให้ ไปข้างหน้า มันเกิดจากการ มีเพื่อนไปด้วยกันช่วยกัน การเห็นแล้วว่าภาพเป้าหมายมันใหญ่ เราต้องไปให้ถึง มันไม่จ�ำเป็นต้องให้เกิดประสิทธิภาพต่อการ แข่งขันอะไรขนาดนั้น ก็เลยคิดว่าน่าจะเป็นอีกวัฒนธรรมหนึ่ง ช่วยกันร่วมมือกัน มากกว่าแข่งกัน

พี่เก่ง Ma:D : ในทีมไม่ค่อยมีคนที่มีพื้นธุรกิจเลยนะช่วงแรก ข้อดี นะ เราได้เรียนรู้เยอะมาก เราเหมือนเรียนเขียน ก.ไก่ ข.ไข่ ใหม่ ต้นทุนคืออะไร วิธีตั้งราคาของ ท�ำไมเราต้องมีแบรนด์ คือทุกอย่าง มันไม่เคยอยู่ ในหัวของเราเลย มันสอนเราหมด ยิ่งท�ำยิ่งได้คุย ยิ่งได้ เจอคนเยอะๆ ประสบการณ์ที่ผ่านมาเราก็บอกคนอื่นได้ แล้วก็มีคน มาช่วย เพราะเขารู้ว่าเราท�ำไม่เป็น เขามานั่งคุย มานั่งสอน แล้วเรา รู้สึกว่าพลังที่เขาให้เรามาแบบนี้ เราอยากให้คนอื่นต่อ แล้วถ้ามันให้ กันต่อๆ ไปเรื่อยๆ เรารู้สึกว่ามันน่าจะดีหวะ ถ้าเกิดวันหนึ่ง Ma:D มันเดินต่อไปไม่ ได้ เราก็รู้สึกว่ามันคุ้มแล้ว

O-N : ตอนนี้มีกลุ่มไหนที่เริ่มต้นจากศูนย์ ที่มาดีเลยไหมคะ พี่กิ๊ฟท์ Ma:D : มีเริ่มจากศูนย์ แต่ถึงไหน ยังไม่ชัดนะ เพราะ เราก็ยังช้าๆ อยู่ แต่มีคนที่อยากมาร่วมท�ำด้วยกัน บางคนก็มา คุยกัน เริ่มหาทีม เริ่มมีเนื้อหา อีกนิดนึงก็น่าจะเริ่มสร้างอะไร บางอย่างได้ พี่เก่ง Ma:D : หรือบางคน ก็มาเจอกัน มาคุยกันถูกคอ เขา ก็จะมาช่วยดึงความสามารถออกมาให้ชัดขึ้น เพราะเขามี ความสามารถด้านนี้ โดยตรง เราไม่มีความเชี่ยวชาญ เราจัด กระบวนการได้ระดับหนึ่ง เขาก็มาช่วยท�ำให้มันเกิดได้จริง 18

O-N : พื้นที่อื่นๆ ที่พี่ๆ ประทับใจ พี่เก่ง Ma:D : อาจไม่ ใช่พื้นที่ที่คุยกันเรื่องสังคมนะ อย่างที่ล�ำปาง มีร้านโก๋กาแฟ ที่นี่ตั้งร้านกาแฟมา 10 ปีแล้ว 5 ปีแรกเกือบอยู่ ไม่ ได้ เขาก็กลับมามองตัวเองใหม่ เขาบอกกับตัวเองว่า “กาแฟนี้ ไม่ ได้ เสิร์ฟลูกค้า แต่เสิร์ฟ ให้ญาติพี่น้องเรากิน” มันพลิกมุมไปเลยนะ แล้ว ก็ถ้าเราร้อนๆ ไป เราไปคุยกับเจ้าของแล้วรู้สึกเย็น ทีมงานที่อยู่ ใน ร้านก็เย็นแล้วเขาก็ขายดีทุกคนเข้าไปเพราะได้รับเรื่องดีๆ เรื่องเย็นๆ ที่อุดรธานีก็มีร้าน SET a Day ครึ่งนึงขายกาแฟ อีกครึ่งนึงจัด กิจกรรมเพื่อการเรียนรู้ร่วมกัน คุยกับเจ้าของแล้วเย็นใจ มีจิตใจดี อยากให้เกิดการค่อยๆเรียนรู้ ไปด้วยกันของผู้คนที่แวะเวียนมา


O-N : มีคนต่างชาติรู้จัก Ma:D ด้วย

O-N : จดทะเบียนบริษัท และค่าใช้จ่ายในการก่อตั้ง

พี่กิ๊ฟท์ Ma:D : บังเอิญ มีคนที่แอฟริกาใต้ เขาเป็น โค้ชสอนนักประกอบการธุรกิจ แล้วเขามีจิตใจเพื่อ สังคมมาก เขาชอบเมืองไทย เปิดอินเตอร์เน็ต แล้วก็ เจอ Ma:D ใน Facebook นี่แหละ เขาก็นั่งรีเสิร์ชที่นี่ แม่งใช่ เคมีตรงกัน เขาก็ Inbox เข้ามา แล้วเราก็คุย Skype กัน แล้วสุดท้ายเขาก็มาจริงๆ มาถึงที่นี่เลย ซักประมาณ 2 เดือนที่แล้ว

พี่ที Ma:D : มาดีจดทะเบียนเป็นบริษัทครับ มีการท�ำบัญชี เสียภาษี เหมือนธุรกิจปกติเลยครับ ค่าใช้จ่ายในการก่อตั้ง ใช้ เยอะเหมือนกันครับเพราะต้องลงทุนกับพื้นที่ ทั้งการเซ้งร้าน เดิม การก่อสร้างปรับปรุงพื้นที่

พี่เก่ง Ma:D : เราก็เลยชวนเขามาจัด Talk เล็กๆ ด้วยกัน เห้ย เค้าเจ๋งว่ะ! พี่กิ๊ฟท์ Ma:D : พลังเขาดีมาก เราก็เลยถามเขาไปว่า “ถามจริงๆ เจอMa:D ได้ยังไง” เขาก็บอกว่า เขาแค่นึก ขึ้นมาว่าอยากมามีเน็ตเวิร์คที่นี่ แล้วก็เจอ เราก็ขนลุก เหมือนมันมีแรงดึงดูดจริงๆ นะ รวมทั้งคนที่อยากมา ท�ำกิจกรรมเพื่อสังคม ก็จะโดนดึงดูดเข้ามาหากัน O-N : ทดลองไป ท�ำไป พี่เก่ง Ma:D : คือปกติ คนจะท�ำ Start-Up เขาต้อง ทดสอบก่อน ศึกษาในแง่ทางธุรกิจว่าไปได้ ไหม ไอ้ เราอยากท�ำก็ท�ำเลย เจอบ้าน จ่ายตังค์ แล้วไงต่อ? (หัวเราะ) พี่กิ๊ฟท์ Ma:D : ช่วงแรกล่กมาก (หัวเราะ) เราเป็น พวกแบบนี้อยู่แล้ว อยากท�ำอะไร ท�ำเลย ข้อดีคือ ได้ เริ่มแน่ๆ ข้อเสียคือ คิดน้อยไปหน่อย ตอนเริ่มจะ เหนื่อย แต่ก็ ได้เรียนรู้จากของจริง เริ่มเร็ว เจ็บเร็ว ก็ ไปได้เร็ว

O-N : ต่างกับมูลนิธิอย่างไร พี่เก่ง Ma:D : มูลนิธิอาจจะมีข้อก�ำหนดอะไรบางอย่างที่ ไม่ยืดหยุ่นมาก ส่วนใหญ่ต้องรอรับเงินบริจาค ต้องมีคณะ กรรมการ ไม่เสียภาษี แต่สุดท้ายเราไม่สนใจว่าจะเป็นมูลนิธิ หรือเป็นบริษัทนะ ชื่อมันเป็นแค่กฎเกณฑ์ที่ครอบไว้เฉยๆ แก่น ของ Ma:D คือ ตั้งเป้าหมายแก้ปัญหาสังคมแล้วเราอยู่ ได้ โดยที่เราไม่เบียดเบียนกัน O-N : ในอนาคตจะมีการจดทะเบียนเป็น Social Enterprise ไหมคะ พี่เก่ง Ma:D : ตอนนี้ก็มีหน่วยงานที่รับขึ้นทะเบียนเป็น Social Enterprise แต่ ในแง่ของสิทธิประโยชน์ทางกฎหมาย ยังไม่มี เพราะยังไม่มีกฎหมายรองรับ Social Enterprise พี่กิ๊ฟท์ Ma:D : คือเราต้องตอบเขาให้ ได้ว่าระบบเราสกรีน ดีแค่ ไหน แต่มันก็ยาก สกส. ก็ก�ำลังผลักดันเรื่องนี้อยู่ช่วงนี้ ผลักดันในเชิงนโยบายเยอะ ส่วนเราก็อาจจะช่วย สกส.ได้อีก แรงหนึ่ง ในแง่ว่าให้คนรู้จักเรื่องนี้มากขึ้น วันนึงก็อาจสะเทือน ไปถึงฝั่งนโยบาย

O-N : วิธีการด�ำเนินการ Ma:D เปลี่ยนไปเรื่อยๆ

{

พี่กิ๊ฟท์ Ma:D : เพราะมันอาจไม่ตกผลึกดี ข้อมูลมัน เข้าเยอะ วันๆ หนึ่ง เราเจอคนเยอะ พอด�ำเนินการไป มันเหมือนการทดลองไปเรื่อยๆ เหมือนเราก็เรียนรู้ ไป เรื่อยๆ พัฒนาตัวเองไปเรื่อยๆ พัฒนากิจการไปเรื่อยๆ

}

เขามานั่งคุย มานั่งสอน แล้วเรารู้สึกว่าพลังที่เขา ให้เรามาแบบนี้ เราอยากให้ คนอื่นต่อ / พี่เก่ง

19


O-N : มองอนาคตของ Ma:D ว่าอย่างไรบ้าง

O-N : คุณค่าที่แท้จริง

พี่กิ๊ฟท์ Ma:D : Ma:D มันอยู่ที่ ไหนก็ ได้ เรามองว่ามันสามารถไปสร้าง แรงบันดาลใจให้ที่อื่นๆ แล้วเกิดพื้นที่แบบนี้ ได้ โดยที่ ไม่จ�ำเป็นต้องเป็น แบรนด์ Ma:D ยิ่งมีเยอะ ยิ่งดี ในเมืองไทย สุดท้ายอยากให้เกิดผลกระทบ ที่ดี แล้วพื้นที่ Ma:D ตรงนี้ ก็แค่อยากให้มันอยู่ต่อไปได้

พี่กิ๊ฟท์ Ma:D : มันกลับมาที่แก่นของคุณ คุณคือใคร คุณท�ำอะไร คุณตั้งใจจะท�ำอะไร ถ้าไม่ ใช่ตัวจริง ต่อ ให้สร้างภาพลักษณ์ ให้ดีแค่ ไหน วันหนึ่งมันก็พังได้ แต่ ถ้าเราตั้งจิตว่าเราอยากท�ำที่นี่ เราอยากท�ำเพราะเรา อยากให้คนมีพื้นที่ โตไปด้วยกัน อยากให้แลกเปลี่ยน กันจริงๆ บรรยากาศมันก็อีกแบบหนึ่ง เรามีจุดอ่อน อะไร เราก็แชร์ได้ ล้มเหลวอะไรมาเราก็เล่าให้ฟังกันได้ เราว่า คนเราสัมผัสความจริงใจได้นะ

พี่เก่ง Ma:D : เราก็เชื่อว่า ถ้ามันมีพื้นที่แบบนี้เยอะๆ คือไม่จ�ำเป็นต้อง เป็นพื้นที่แบบ Ma:D นะ เราอยากให้เกิดขึ้นอยากให้ทุกคนลุกขึ้นมาท�ำ อะไรซักอย่างหนึ่ง แค่คนหนึ่งคน ท�ำได้ คนอื่นเขาเห็น เขาอยากมาร่วมท�ำ ด้วย มันก็จะยิ่งดี ใหญ่ พี่กิ๊ฟท์ Ma:D : วิสัยทัศน์ของ Ma:D จริงๆ คือ Zero Demand For Hero คือเราไม่ต้องพึ่งฮี โร่อีกต่อไป ซึ่งเราก็ ไม่ ได้มองว่าเราต้องส�ำเร็จ ภายใน 3 ปี 5 ปีนะเราก็สร้างความเคลื่อนไหวไปเรื่อยๆ ให้วงมันใหญ่ขึ้น พี่เก่ง Ma:D : แล้วก็เราอยากให้เวลาคนเข้ามาที่นี่ แล้วรู้สึกเย็นอะเรา ก็พัฒนาตัวเอง ท�ำบรรยากาศให้เย็น แค่ท�ำให้คนๆ นึงเย็นลงได้ เท่านี้ก็ เป็นการช่วยสังคมแล้วนะ พี่ที Ma:D : อยากเป็นที่ที่คนที่จะท�ำอะไรเพื่อสังคม ได้มาพบกัน รวม ตัวกัน ช่วยเหลือกัน และร่วมกันขยายความตั้งใจดี ๆ ในแบบที่แต่ละคน ท�ำได้ออกไป และก็อยากให้ Ma:D อยู่ ได้ด้วยตนเองจริงๆ ด้วยครับ O-N : จากที่ท�ำ Ma:Dมา พี่ๆ ได้เรียนรู้อะไรเกี่ยวกับตัวเองบ้าง พี่กิ๊ฟท์ Ma:D : มีช่วงที่พีคมากๆ ท�ำให้เราเห็นตัวเองมากขึ้นว่าเวลาที่ตัว เองเป๋ เป็นยังไง? ค้นพบจุดที่เป็นจุดอ่อน จุดแข็งมากขึ้น อีกอันคือ รู้จัก คนเยอะมากขึ้น คือเราเป็นคนไว้ ใจคนง่ายมากอยู่แล้ว เชื่อว่าคนทุกคนเป็น คนดี ไม่มี ใครอยากท�ำเลวหรอก แต่มันก็อาจมีปัจจัยบางอย่างที่ท�ำให้เขา เป็นอย่างนั้น ก็ ได้เรียนรู้มากขึ้นที่จะระวังตัวด้วย พี่เก่ง Ma:D : คือเราไม่ ใช่คนเดิมทุกวัน มีด้านมืด ด้านสว่าง พอถึงจุด คับขันจุดหนึ่ง เรานึกไม่ออกหรอกว่าเราจะท�ำอย่างนั้นได้ เรื่องคนก็ โคตร ส�ำคัญ แต่ก่อนเรารู้สึกว่าเราท�ำงานคนเดียวก็ ได้หวะ ท�ำไมเราต้องท�ำงาน กับหลายๆคน เรารู้สึกว่าเราต้องเข้าใจตัวเองก่อนแต่แม่งยาก ทุกวันนี้ก็ยัง ท�ำได้ ไม่ดี เพราะคนแต่ละคนไม่เหมือนกันอยู่ดี เรื่องอารมณ์ก็ส�ำคัญนะ พี่ที Ma:D : หลังจากได้เริ่มท�ำ Ma:D มา ก็ ได้เรียนรู้อะไรเยอะเลย ครับ เพราะเดิมผมเองเป็นคนที่ชอบท�ำงานกับระบบ ชอบท�ำงานกับข้อมูล มากกว่าท�ำงานกับคนครับ แต่อยู่ตรงนี้มีแต่เรื่องคนเต็มไปหมด ก็รู้สึกไม่ ค่อยถนัดเท่าไหร่ครับ แต่ก็ค่อยๆ ท�ำได้ดีขึ้น แล้วก็รู้สึกดีนะครับเวลาช่วย อะไรใครได้ ก็หวังว่าจะท�ำได้ดีกว่านี้ต่อไป (หัวเราะ) พี่กิ๊ฟท์ Ma:D : เรื่องคนส�ำคัญจริงๆ สุดท้ายหัวใจส�ำคัญ มันคือ คน เนี่ยแหละ แค่นี้เอง ความเป็นมนุษย์ ที่เชื่อมกันด้วยความเป็นมนุษย์ 20


O-N : สุดท้ายอยากให้พี่ๆ ทั้ง 3 คน ฝากถึงคนที่อยาก ท�ำดีเพื่อสังคม แต่ ไม่รู้จะเริ่มยังไง พี่กิ๊ฟท์ Ma:D : เราเชื่อว่าทุกคนมีศักยภาพที่สามารถท�ำได้ ขอแค่มี ใจอยากเริ่ม มันเริ่มได้แน่นอน อยู่ที่ว่าลุกขึ้นมาท�ำรึ เปล่าแค่นั้นเอง แต่ถ้างงจริงๆ ไม่รู้จะเริ่มยังไงจริงๆ ก็อย่าง น้อยมี Ma:D มีพื้นที่หนึ่งที่อยากให้เข้ามาคุยกันมันมีคนที่คิด อะไรเหมือนกัน ฝันเหมือนกัน อยากให้สังคมดีขึ้นเหมือนกัน ที่พร้อมจะช่วยกัน พี่เก่ง Ma:D : ทุกคนคิดอยากจะท�ำดีอะ แต่ ไม่เข้าใจว่า ท�ำไมไม่เริ่มท�ำ อย่างพี่ตูน Bodyalam พูดเอาไว้ ในสปอต โฆษณา ว่า ทุกคนก็รู้ว่าออกก�ำลังกายส�ำคัญ ท�ำไมคุณ ถึงมีข้ออ้างที่จะไม่ออกก�ำลังกาย คือไม่อยากให้ทุกคนมีข้อ อ้าง ไม่ว่าจะท�ำดีต่อตัวเราเอง ต่อคนรอบข้าง หรือต่อสังคม สังคมก็ตามแต่ จริงๆ มันเริ่มได้เลย มันง่ายมากเลยนะ อยู่ที่ คุณจะเริ่มมันรึเปล่า พี่ที Ma:D : ส�ำหรับคนที่อยากท�ำอะไรเพื่อสังคม แล้วยัง ไม่รู้จะเริ่มยังไง แวะมาที่ Ma:D ได้เลยครับ ที่นี่มีทั้งผู้ ใหญ่ มากประสบการณ์ที่พร้อมแนะน�ำ การสนับสนุนจากหลายๆ แหล่งที่อยากจะช่วยเหลือ และคนหัวอกเดียวกันที่พร้อมจะ พยายามไปด้วยกันครับ

*** เก็บตก *** O-N : ความเป็นมาของ Co-Founder อีก 1 คนของ Ma:D พี่ที Ma:D : ทีแรกไม่ ได้สนใจเรื่องสังคมเลยครับ ก็เป็นคนท�ำงานบริษัท ปกติ สนใจเรื่องเศรษฐศาสตร์ ชอบเรื่องการลงทุนระยะยาวเป็นพิเศษ จริงๆ เป็นคนเชื่อในระบบตลาดแล้วก็ ไม่แคร์สังคมเท่าไหร่แต่ผมเป็นคนที่เชื่อในการ ออกแบบวิธีการ คือ ถ้าเชื่อว่าในทุกๆสิ่งที่เราท�ำ ถ้าเราเลือกหรือออกแบบมัน ได้ดีพอ การท�ำสิ่งนั้นจะตอบโจทย์ได้มากกว่าหนึ่งอย่างพร้อมกันครับ เรื่องที่เป็นแรงบันดาลใจเลยคือ เมื่อราวๆ 2 ปีก่อนตอนผมท�ำงาน แถวๆ สีลม หลังเลิกงานจะไปวิ่งออกก�ำลังที่สวนลุมประมาณชั่วโมงนึง เสร็จ แล้วก็ออกไปหาอะไรที่ชอบกิน รอจนดึกหน่อย รถจะได้ติดน้อยหน่อย แล้ว ค่อยนั่งรถเมล์ฝ่ารถติดกลับบ้าน ทั้งหมดจะใช้เวลาราวๆ 4 ชั่วโมงครับ เป็น วิ่ง 1 ชั่วโมง หาของกิน 1.5 ชั่วโมง นั่งรถกลับบ้าน 1.5 ชั่วโมงผมเลยลอง ปั่นจักรยานจากที่ท�ำงานกลับบ้านครับ ตอนนั้นเป็นเรื่องแปลกมาก แทบไม่มี คนปั่นเลยแต่ลองแล้วก็เป็นอย่างที่คิดจริงๆ ด้วยครับ ผมได้ออกก�ำลังตลอด เส้นทาง ได้เดินทางไปในตัว ได้แวะร้านของกินน่าสนใจระหว่างทาง แล้วก็ถึง บ้านภายใน ชั่วโมงครึ่งเลยรู้สึกว่า จริงๆ แล้วอะไรที่เราท�ำ มันมีทางเลือกที่ สามารถตอบโจทย์มากกว่าหนึ่งเรื่องพร้อมกันได้จริงๆ ด้วย หลังจากนั้นผมก็ลองมองหาวิธี ใหม่เวลาจะท�ำอะไรครับ ก็ ได้เจอ วิธีการใหม่ๆ บ้างเหมือนกันปกติผมชอบเรื่องลงทุนและหาข้อมูลเกี่ยวกับการ ลงทุนเรื่อยๆ อยู่แล้ว มีครั้งนึงเจอบทความเกี่ยวกับกองทุนที่ลงทุนในธุรกิจที่ แก้ปัญหาสังคมครับ แนวคิดคือ เค้าระดมเงินจากหลายๆ แหล่ง แต่แทนที่จะ บริจาค เค้ากลับเอาเงินนี้ ไปลงทุนในธุรกิจที่แก้ปัญหาสังคม แต่ขณะเดียวกัน ก็มีศักยภาพทางธุรกิจจริงๆ ด้วย ด้วยวิธีนี้ท�ำให้กองทุนสามารถท�ำประโยชน์ ให้กับสังคม และสร้างผลตอบแทนไปได้พร้อมๆ กันด้วย ท�ำให้สามารถท�ำดี ได้กับทั้งตัวเองและสังคมอย่างยั่งยืนขึ้นอ่านแล้วรู้สึกว่า เห้ย! มันมีวิธีแบบนี้ อยู่ด้วยนี่หว่า นั่นเป็นครั้งแรกเลยครับที่ ได้ยินแนวคิดของ Social Enterprise ครับหลังจากนั้นผมก็เริ่มสนใจมากขึ้น เริ่มหาข้อมูลมากขึ้น เริ่มมาเป็นอาสา สมัครในงานที่เกี่ยวข้องกับเรื่องนี้ก็ ได้รู้จักเพื่อนๆ หลายคน รวมถึงกิ๊ฟท์กับพี่ เก่งด้วย ก็ ได้ท�ำอะไรเกี่ยวกับด้านนี้มากขึ้นส่วนที่สนใจเป็นพิเศษก็ยังคงเป็น เรื่องการลงทุนเหมือนเดิมครับ แล้ววันหนึ่งเจอกิ๊ฟท์ เค้าก็เล่าว่าก�ำลังจะเริ่ม ท�ำกิจการแล้วก็ก�ำลังระดมทุนอยู่ด้วยความที่ผมสนใจเรื่องลงทุนอยู่แล้ว และ คิดว่ากิ๊ฟท์เป็นคนที่เหมาะกับเรื่องนี้มาก อยากจะสนับสนุนเค้า ผมก็เลยอยาก ร่วมลงทุนด้วยครับประกอบกับตอนนั้นว่างอยู่ด้วย เลยกะว่าจะมาช่วยงาน ไปๆ มาๆ เลยได้มาท�ำงานอยู่ที่นี่เลยครับ

ติดตามกิจกรรมดีๆ จาก Ma.D Hub for Social Entrepreneurs ได้ที่ www.facebook.com/madeehub ชวนดูจาก Ma:D : ภาพยนตร์เรื่องNo Impact manเป็นเรื่องของครอบครัวๆ หนึ่งซึ่งประกอบไปด้วยพ่อแม่ลูก(เพิ่งเกิด)ที่ ให้สัญญากับตัวเองว่าจะไม่สร้างผลกระ ทบใดๆ ต่อสิ่งแวดล้อมเลย


เป็นวัยรุ่นห้ามสบาย บทความ : sorsala

22


เพราะชีวิตคือการเดินทาง บทความ : IMATOMS

23


A Dish I Cook

ซดเกี๊ยวกุ้งร้อนๆ ในวันที่ฉันป่วย เรื่องและภาพ : ปอลอพอ / twitter : @paleepats_

เท่าที่เราเคยศึกษาเล่าเรียนมาคุ้นๆ ว่าเดือนมกราคมนั้นมันต้องเป็นฤดูหนาว ได้เลือกเสื้อกันหนาวสีสวยใส่อวดเพื่อนที่ โรงเรียน ที่ท�ำงานพอให้เบิกบานใจ แต่ประเทศเราทุกวันนี้แปลกประหลาดพิสดารดี นี่ฤดูหนาวแท้ๆ แต่กลายเป็นว่าอากาศเดี๋ยวร้อน เดี๋ยวหนาวเข้าใจยาก ยิ่งไปกว่านั้นบางวันมีฝนตกลงมาอีก ท�ำให้ป่วยตั้งแต่ต้นปีเอาได้ง่ายๆ เพราะร่างกายปรับตัวไม่ทัน นึกอยาก อาหารที่กินง่ายๆ เบาๆ ไม่หนักเหมือนอย่างที่ช่วงปี ใหม่ ไปซัดเนื้อย่างมาหลายมื้อในช่วงเวลาไม่กี่วัน ตอนเด็กๆ เวลาเราป่วย พ่อชอบท�ำข้าวต้มกุ้งให้กิน เราชอบแบบข้าวน้อยๆ น�้ำเยอะๆ ชอบความรู้สึกที่น�้ำซุปร้อนๆ รสอ่อนๆ ไหลผ่านล�ำคอ มันท�ำให้รู้สึกดีอย่างบอกไม่ถูก เหมือนว่าจะหายป่วยเสียเดี๋ยวนั้น โดยเฉพาะอาการเจ็บคอ แต่ถ้าเจ็บคอมากนี่ ไม่อยาก แม้แต่จะกลืนข้าวลงคอ จากข้าวต้มกุ้งจึงกลายเป็นเกี๊ยวกุ้งแทน แผ่นเกี๊ยวลวกแล้วนิ่มนวล เคี้ยวกลืนง่ายกว่าข้าวต้ม แถมยังได้ซดน�้ำ ซุปร้อนๆ คล่องคอเหมือนเดิม อีกทั้งท�ำง่าย ไม่ต้องตวงอะไรให้ยาก กะเครื่องปรุงเอาตามความรู้สึก เพียงแต่อย่างปรุงให้เค็มเกินไป เพราะเราสามารถเติมเครื่องปรุงทีหลังได้เหมือนกินก๋วยเตี๋ยวตามร้านนั่นเอง เริ่มจากล้างท�ำความสะอาดกุ้งให้เรียบร้อย แกะเปลือก ผ่าหลังดึงเส้นด�ำออก เด็ดหัวเด็ดหางทิ้งไป น�ำกุ้งที่ล้างสะอาด เรียบร้อยแล้วมาหมักกับน�้ำมันงา พริกไทยป่น เกลือป่นเล็กน้อย คลุกให้เข้ากันพักไว้ก่อน หันไปตั้งหม้อต้มน�้ำซุปบ้าง... ตั้งหม้อต้มน�้ำ สะอาด ระหว่างรอให้น�้ำเดือดจัดก็ โขลกรากผักชี กระเทียม พริกไทยให้เข้ากันดี ไปพลางๆ ล้างโครงไก่ ให้สะอาด พยายามเอาไขมัน สีเหลืองนวลๆ ออกบ้าง พอน�้ำเดือดจัด ใส่ โครงไก่ลงต้ม ตามด้วยรากผักชี กระเทียม พริกไทยที่ โขลกไว้ ปรุงรสด้วยเกลือป่น หมั่น ช้อนฟองและไขที่ลอยขึ้นมาด้านบนออกเพื่อให้น�้ำซุป ใสน่ากิน เคี่ยวน�้ำซุปไปเรื่อยๆ ทีนี้หันกลับมาสนใจกุ้งที่เราหมักไว้... น�ำกุ้งวางลง


ไปบนแผ่นเกี๊ยว แตะน�้ำตามขอบแผ่นเกี๊ยว เพื่อให้แผ่นเกี๊ยวแตะกัน สนิทดี แล้วพับเป็นรูปสามเหลี่ยม หรือจะห่อรูปแบบอื่นๆ ก็ ได้ตามแต่ ชอบ เมื่อห่อเกี๊ยวจนหมดก็ตั้งหม้อต้มน�้ำให้เดือดจัด น�ำผักกวางตุ้งลง ลวก แล้วก็น�ำเกี๊ยวกุ้งลงลวกต่อแต่พอสุก ถ้าลวกนานจะท�ำให้เนื้อกุ้ง แข็งเกินไป ตักผักกวางตุ้งและเกี๊ยวกุ้งที่ลวกสุกได้ที่ ใส่ถ้วย ตามด้วย น�้ำซุปที่เคี่ยวจนเข้มข้น จะโรยด้วยกระเทียมเจียว ต้นหอมผักชีซอย อีกหน่อยก็เข้าท่า แล้วต้องกินทันทีเลยนะ ได้ซดน�้ำซุปร้อนๆ คล่องคอ พร้อมเคี้ยวเกี๊ยวกุ้งหวานนุ่มนวล คลอด้วยเพลงวันที่ฉันป่วยของอาร์ม แชร์นี่มันสวรรค์ชัดๆ ส่วนผสมน�้ำซุป โครงไก่, รากผักชี, กระเทียม, พริกไทยเม็ด เกลือป่น, น�้ำสะอาด

ส่วนผสมเกี๊ยวกุ้ง กุ้งขาว, แผ่นเกี๊ยว, น�้ำมันงา, เกลือป่นเล็กน้อย พริกไทยป่น, ผักกวางตุ้ง, กระเทียมเจียว ต้นหอมผักชีซอยส�ำหรับโรยหน้า, น�้ำสะอาดส�ำหรับลวก

Tips :

• ไม่ต้องเลือกกุ้งตัวใหญ่มาก แต่ ให้เลือกกุ้งเนื้อดี

เปลือกยังแข็ง ไม่เปื่อยยุ่ย

• ถ้ากุ้งตัวใหญ่เกินไปให้ผ่าครึ่งตัวตามยาวแล้วใช้

แผ่นเกี๊ยวห่อค�ำละครึ่งตัว ไม่อย่างนั้นแผ่นเกี๊ยวอาจจะห่อไม่ มิด ไส้ปลิ้นไส้แตกก่อนตักกิน 25


A Short Story I Write เรื่อง : นิรัติศัย บุญจันทร์ ภาพ : Kamonnut Kamda facebook.com/khidwad

[ ซอยกลาง ] เรื่องแปลกมักเกิดขึ้นกับผมเสมอ-เหมือนกับวันนี้ซึ่ง ผมรู้สึกถึงรังสีความเครียดจากซอยกลางที่มีชายคนหนึ่งนั่ง คุดคู้อยู่ตรงที่ว่างของขี้นกบนพื้น มือของเขาก�ำลังกุมหน้าผาก เสียงถอนหายใจดังหลายครั้งก่อนผมจะสังเกตเห็นเครื่องแต่ง กายที่ ไม่เหมาะกับอากาศอันร้อนอบของเดือนเมษายน สูทสีด�ำ ทับเสื้อเชิ้ตสีฟ้ากับกางเกงสแล็คและเนคไทสีแดงที่มีเข็มกลัดสี ทองลอกๆ ติดอยู่ ส่วนรองเท้าหนังพลาสติกเงาวับที่เริ่มมีรอย แตกของหน้าเท้าทั้งส้นยางพาราก็สึกไปประมาณครึ่งนิ้ว เปลว แดดกระทบผมสีด�ำปนหงอกอันไร้ประกายจนถึงผิวหนังสีแดง พร้อมรูขุมขนกว้างของมือจนเป็นเหมือนผื่นผิวหนัง ในเล็บยังมี ขี้เล็บด�ำที่เขาเพิ่งถูขี้ ไคลตอนมานั่งตรงนี้ ได้ ไม่นาน ตาขาวเป็น สีชมพูส่วนตาด�ำข้างหนึ่งเป็นต้อหินสีขาวขุ่นอยู่กลางตาด�ำด้าน ขวา ดวงตาข้างนี้ ไม่ต่างอะไรกับคนที่ตายแล้ว แต่ยังดีที่ตาอีก

ข้างยังเป็นปกติ ลักษณะท่าทางจวบจนภาษากายช่างล่อความ สนใจของผมจนลืมกล่องกระดาษสีขาว...จะว่าไปก็มีสีฟ้าพาด เป็นทางยาวด้วย ใครๆ ก็รู้ว่าเขาคือพนักงานขายเครื่องกรองน�้ำ ซึ่ง บ้านของผมดื่มน�้ำต้ม... ผมเริ่มเห็นการเคลื่อนไหวเมื่อเขา หยิบกระดาษแล้วเอาปากกามาจดอะไรบางอย่าง ในคราว เดียวกันเขาก็เอาบุหรี่มายัดปากแล้วจุดไม้ขีดที่เหลือไม่มาก ด้วยข้างกล่อง ควันพิษสีขาวไล่นกตัวอ้วนไป จนเขาดูจะผ่อน คลายขึ้นเล็กน้อยขณะเปลวควันลอยไปตามลม แล้วอยู่ๆ รังสี ความเครียดที่ระอุได้เปลี่ยนเป็นรังสีความเศร้าอย่างกะทันหัน เขาก�ำลังเศร้าเรื่องอะไรบางอย่างจนกระดาษตรงหน้าไร้ค่าใน ทันที เขาถอนหายใจอีกครั้งก่อนควักกระเป๋าตังค์หนังปลอม ขาดๆ แล้วเปิดดูรูปอะไรบางอย่าง...


เขาพูดกับรูปภาพเบาๆ จนผมไม่ ได้ยิน แต่เมื่อเขาขยับ ตัวผมก็เห็นรูปเด็กชายคนหนึ่งก�ำลังชูสองนิ้ว รอยยิ้มนั้นไม่มี รังสีความเครียดใดๆ ซึมเข้าได้ ความเยาว์ช่างสวยงามใน สายตาของเขา “นาฬิกาลูกน่ะ คงอีกสักเดือนนะ” เสียงแหบต�่ำเปล่งใน คอ ใบหน้าของเขาเริ่มแดงขึ้นหลังประโยคนั้น น�้ำตาคลอ บางๆ ในเปลือกตา ก่อนเขาจะรีบเก็บกระเป๋าสตางค์เข้า กระเป๋ากางเกง วันนี้ดูจะส�ำคัญส�ำหรับเขา ผิดกับผมที่ก�ำลังปั่นจักรยานฝ่าไอแดดไปซื้อส้มต�ำกับลาบปลาดุก ตอนนั้นความหิวของ ผมถูกแทนที่ด้วยความรู้สึกปวดหนึบตรงท้ายทอย จนผมตัดสิน ใจจอดรถอยู่ตรงปากซอยเพื่อให้รับรังสี ได้ชัดเจน แล้วตอนนี้เขาเริ่มนิ่งไปครู่หนึ่ง ก่อนจะจินตนาการ ถึงเงินล้านที่ถูกโอนเข้าบัญชี ใช่ มันไม่เป็นความจริง! แต่ยา ที่ระงับความเครียดได้ก็เห็นจะมีแต่จินตนาการที่เต็มไปด้วย อุดมคติเท่านั้น เขาก�ำลังจะไปซื้อเสื้อผ้าชุดใหม่ ซึ่งยี่ห้อที่ดี ที่สุดที่เขารู้จักเป็นยี่ห้อทั่วไปส�ำหรับพนักงานออฟฟิศ แม้แต่ บางคนก็มองเป็นยี่ห้อเกรดรอง เสื้อเชิ้ตผ้าลินินถูกสวมบนร่าง กางเกงสแล็คสีด�ำลายทางดูจะเหมาะเหม็งกับรองเท้าหนังวัว ขัดเงาส้นไม้ เขาบรรจงเดินเตะเท้าในห้วงจินตนาการ ก่อน หยุดซื้อนาฬิกาข้อมือ เขาบรรจงบอกกับบริกรว่า “เอารุ่นที่มี ไฟ นะ” จากนั้นก็จูงมือลูกที่เพิ่งถูกสร้างขึ้นในฉากซื้อนาฬิกา เดี๋ยว ก่อน! เขาก�ำลังคิดถึงงานศพใครสักคนหนึ่ง รูปผู้หญิงหน้างาน คงเป็นเมียของเขา รังสีความเครียดปนความเศร้าขั้นรุนแรง แผ่มายังผม จนรู้สึกผะอืดผะอม เขาเริ่มร้องไห้อีกครั้ง และไม่ นานภาพงานศพก็กลายเป็นร้านสเต๊ก เขาพาลูกมายังร้านที่ดี ที่สุด ก่อนสั่งที โบนสเต๊กกับเบียร์เย็นๆ สักขวด เขาเอานาฬิกา ที่เป็นของขวัญส�ำหรับลูกชายมาในกล่องกะทัดรัดห่อด้วย กระดาษห่อของขวัญที่แนบการ์ดอวยพร ข้างในนั้นมีข้อความ ง่ายๆ แต่แทงใจด�ำอยู่ “สุขสันวันเกิดนะลูก เรียนเก่งๆ นะ” เขาเขียนผิดอยู่หลายตัวแต่นั่นก็ ไม่ ได้ท�ำให้ความหมายเปลี่ยน ในอกของผมเริ่มจุกไปด้วยความขัดแย้งระหว่างความ จริงกับความฝัน ผมยินดีกับอาหารเต็มมื้อพร้อมเครื่องดื่ม และ ของขวัญที่ ให้กับลูก แต่ผมรู้สึกกลัวเมื่อความคิดที่ โลดโผน ท่ามกลางอุดมคติจะหวนคืนความจริง ผมแทบไม่กล้าคิดเลย ว่าความรู้สึกนั้นจะเต็มไปด้วยความขัดแย้ง ภายในใจคงระทม ทุกข์เพราะเศษเสี้ยวอุดมคติเกิดปะทะความจริงที่รายล้อมตัว อยู่แน่ๆ แต่จินตนาการช่างโหดร้ายเหลือเกินที่ดึงความคิดของ

เขาจนถล�ำลึกไปถึง ซื้อรถ ซื้อบ้าน แม้แต่ศรีภรรยาที่ฟื้นคืนชีพ กลับมาเคียงข้างกับเป็นครอบครัวแสนสุข หรือดวงตาที่เป็น ปกติ ทุกอย่างเกิดขึ้นได้ ณ ใต้เปลือกตามนุษย์เสมอ ความคิด ชั่ววูบถึงขั้นลาออก เริ่มเป็นผลกระทบจากความจริง แต่มีบาง อย่างที่ผมคิดผิด วินาทีนี้รังสีความเครียดถูกดูดกลับไปหาตัวเขา ขณะ มือรีบหยิบกระดาษเก็บในกระเป๋า เขาลุกขึ้นยืน พลางปัดฝุ่นที่ บั้นท้ายออก แสงแดดสาดตรงหน้าพอดี แววตานี้ ไม่เหมือนกับ แววตาที่เคยมีน�้ำตาเมื่อนาทีก่อน เขารับมือกับความจริงและ ความฝันได้ดีเหลือเชื่อ เขาเริ่มเดินเข้าไปยังหมู่บ้าน ปล่อยให้ เสื้อผ้าชุดใหม่ นาฬิกาข้อมือ สเต๊กกับเบียร์และภรรยาอยู่เบื้อง หลัง ระหว่างที่เดินเข้าซอยเขาก็ตะโกนค�ำเดิมๆ วนไปวนมา ซ�้ำแล้วซ�้ำอีก

27


A Photo I Shoot

ทิ้งระยะ.

คำและภาพ: มนุษยหองใตหลังคา 28


A Poem I Feel

กลอนและภาพ : แก้วเกล้า


Personal Font

ลายมือ : สินิทธ์ ปนุตติกร

โลกไม่ใช่ของเรา


A Book I Read

เรื่องและภาพ : Boymang

ปลุกปีศาจในตัวคุณ พูดกันตามตรง เพียงแค่ชื่อก็น่าสนใจแล้ว หนังสือ บ้าอะไรบอกให้ปลุก “ปีศาจ” ตัวเองออกมา!? ปลุกปีศาจในตัวคุณ (Evil Plan) เป็นหนังสือกึ่งๆ How To ผลงานเล่มที่สองของบล็อกเกอร์ชื่อดัง ฮิ้ว แม็คลาว (Hugh MacLeod) อดีตนักโฆษณาที่ลาออกจากงาน เพื่อเป็นนักวาดการ์ตูนโดยเฉพาะ ผมติดตามงานเขามาตั้งแต่เล่มแรก มองมุมกลับ ลับคมความคิด (Ignore Everybody) ซึ่งเป็นหนังสือที่ เปลี่ยนแปลงชีวิตผมหลายๆ อย่าง จึงอยากแนะน�ำให้ผู้อ่าน ได้ลองชิมหนังสือประเภท How To เช่นนี้บ้าง

ค�ำว่า “ปีศาจ” ในที่นี้ หนังสือหมายถึงแผนการ อันชั่วร้าย ที่จะเปลี่ยนงานอดิเรกให้กลายเป็นอาชีพ เฉก เช่นเดียวกับผู้เขียนที่สามารถท�ำได้!

จะว่าไป หลายๆ คนปฏิเสธหนังสือ How To เพราะคิดว่าไร้สาระ ไม่จ�ำเป็นต้องอ่าน แต่หารู้ ไม่ว่า หนังสือ How To นี่แหละ เป็นแหล่งรวมประวัติศาสตร์ พฤติกรรมมนุษย์ที่ดีที่สุด

เขาแนะน�ำให้เราแบ่งเวลานอกเหนือจากงาน ประจ�ำ มาท�ำในสิ่งที่ตนเองรัก เพราะงานอดิเรกอาจกลาย เป็นงานหลักของเราได้ ในอนาคต คล้ายมีคนตะโกนอยู่ข้าง หูว่า “เวลาว่างนั่นแหละเป็นสิ่งที่มีค่า เอ็งอย่าตายซากอยู่ แค่ออฟฟิต!”

อธิบายให้ชัด คือ หนังสือประเภทนี้เป็นการรวบ รวมประสบการณ์ของผู้เขียน กลั่นกรอง คิด และวิเคราะห์ ออกมาเป็นข้อมูลที่น่าสนใจ การอ่านหนังสือประเภทนี้ มิใช่ อ่านแล้วกระท�ำตาม แต่เป็นการอ่านแล้วคิดตาม ขอยืมค�ำ พูดรุ่นพี่นับถือว่า How To Think, Not How To Do ก่อนที่จะน�ำมาใช้เมื่อถึงเวลาจ�ำเป็น อาทิ หนังสือ How To แนะน�ำวิถีการเอาตัวรอด เมื่อเจอหมีควาย ถ้าเราใช้ชีวิตในเมือง เราคงไม่ ได้ ใช้ความ รู้จากหนังสือสักเท่าไหร่ แต่วันใดไปเดินป่าแล้วบังเอิญหมี ควายจริงๆ แล้วละก็ เราจะนึกถึงหนังสือ How To เล่มนั้น ในบัดดล

เสน่ห์ของเล่มคือความสนุก ประกอบกับภาพวาด น่ารัก ค�ำคมกวนๆ ลายเส้นขยุกขยิก สร้างอารมณ์ขันให้ หัวเราะ “หึหึ” ได้พอประมาณ ทว่ากลับตรึงให้อ่านจบได้ ภายใน 1-2 ชั่วโมง สรุปง่ายๆ คือ ทุกคนมีงานที่อยากท�ำอยู่แหละ หากไม่วางแผน ไม่ลงมือ มันจะส�ำเร็จได้อย่างไร? เพราะฉะนั้น หาเวลาและลงมือท�ำซะ จงสร้าง ปีศาจ หรือ Evil Plan ของคุณขึ้นมาครับ

ก่อนที่ปีศาจร้ายจะตายไปตลอดกาล. . .

กลับมาที่ ปลุกปีศาจฯ ดีกว่า ที่ว่าเป็นกึ่งๆ How To เพราะหนังสือมิได้แนะน�ำเป็นข้อๆ หนึ่ง สอง สาม, ทว่า แนะน�ำเป็นบทความสั้นๆ ประมาณ 40 กว่าข้อ 31


A Movie I Watch

เรื่อง : GUMBEAR facebook.com/optimistic.note

เพลงหนึ่งเพลง เล่าเรื่องราว ได้ร้อยพัน ผมกลับนึกไม่ออกว่าจะเขียนถึงเรื่องอะไรดี ให้เหมาะ สมกับอากาศเย็นๆ ร้อนๆ ตามฉบับประเทศไทย และเทศกาล ส่งท้ายปีเก่าต้อนรับปี ใหม่ ขณะนั่งนึกอยู่นั้น เสียงของ Adam Levien ก็ดังขึ้นจากล�ำโพงโน๊ตบุ๊ค เป็นเพลงประกอบภาพยนตร์ที่ ตราตรึงโสตประสาทของคนทั่วโลกในช่วงครึ่งปีหลัง เพลงประกอบภาพยนตร์ยังคงเป็นพระรองที่ส�ำคัญ ส�ำหรับหนังดีๆ สักเรื่องเสมอ และ Lost star จาก ภาพยนตร์ เรื่อง Begin Again ก็ โดดเด่นที่สุดในปีนี้ส�ำหรับผม แต่ Begin Again ก็พาให้ผมได้รู้จักกับหนังอีกเรื่องหนึ่งของผู้ก�ำกับ John Carney คือ Once เมื่อ 8 ปีที่แล้ว พล็อตเรื่องเรียกได้ว่าแทบจะเหมือนกันทุกส่วน อย่าง เช่น ทั้งคู่สามารถเล่นดนตรีและร้องเพลงได้ ไพเราะและประสาน กันได้ดีเหมือนกับเล่นร่วมกันมานาน การเดินตามฝันที่จะบันทึก เพลงที่แต่งขึ้นมาเองแล้วไปเสนอให้ค่ายเพลง แรงบันดาลใจที่ ได้หลังจากดูจบ และเพลงประกอบ ภาพยนตร์สามารถสะกดให้ผมอยู่ ในภวังค์ตลอดหนึ่งชั่วโมงเศษๆ Once เป็นเรื่องราวของชายหนุ่มช่างซ่อมเครื่องดูดฝุ่น ที่ออกมาเล่นกีตาร์ร้องเพลงเปิดหมวกอยู่ข้างถนน ที่บังเอิญพบ กับหญิงสาวลูกหนึ่งทีเดินมายืนฟังเขาเล่นพอดี แม้ช่วงที่ท�ำความ รู้จักกันจะแปลกไปสักนิดนึง แต่ด้วยเพลงที่บรรเลงก็ท�ำให้หนัง ประคองตัวไปได้เรื่อยๆ หนังมีความ realism อยู่มากพอตัวทั้ง

32

ภาพที่ดิบ มุมกล้อง ที่หลายๆ คนอาจจะไม่คุ้นเคย แต่เพราะความ ‘ดิบ’ นี้ท�ำให้ความสวยงามของชีวิตมนุษย์ปกติธรรมดาคู่หนึ่งถูกดึง ออกมาได้อย่างเต็มที่ อีกส่วนหนึ่งที่ชอบของเรื่องนี้ คือ นักแสดงชายหญิงทั้ง สองคน Glen Hansard และ Markéta Irglová ถ้าดูเผินๆ จะรู้สึก ว่าเล่นแข็ง แต่ส�ำหรับผมมันท�ำให้ยิ่งสมจริงเข้าไปอีก เมื่อเทียบกับ Adam Levine และ Keira Knightley จาก Begin Again แล้ว เกล็นและมาร์กีต้าน่าจะถ่ายทอดอารมณ์ได้ถึงกว่ามาก ด้วยความ ที่เป็นหนังที่เดาทางได้ง่าย มีแบบแผน ท�ำให้ช่วงต้นๆ อาจรู้สึกว่า เสียดายเงินที่จะดู แต่รับประกันได้ว่าทั้งสองเรื่องมีอะไรมากกว่านั้น มากกว่าเพลงที่แน่นทั้งเนื้อร้องและอารมณ์แล้ว แรงบันดาลใจจาก เรื่องราวของตัวละครก็มากพอที่จะเลือกชม แม้ว่า Once อาจจะมีความดิบ และ ธรรมดาเกินเสียจน อาจจะท�ำให้คนที่คาดหวังข้อความที่ซ่อนอยู่มองหาไม่เจอ แนะน�ำว่า ให้เพลิดเพลินปล่อยใจไปกับหนัง และปล่อยให้เนื้อร้องและท�ำนองได้ ท�ำงานอย่างเต็มที่

( เพลงแนะน�ำ : Falling Slowly - Glen Hansard and Markéta Irglová )

ภาพจากภาพยนตร์เรื่อง ' Once ' (2006)


A Song I Listen

เรื่องและภาพ : Wallflower T.

เคยไหม...ที่รู้สึกโหวงๆ ในใจ เหมือนชีวิตมีทุกอย่างครบ แต่ ไม่รู้ท�ำไมเราถึงไม่มีความสุข ฉันเชื่อว่าทุกคนต้องเคยเกิดความ รู้สึกแบบนี้ ณ ช่วงเวลาหนึ่งของชีวิต มันเป็นความรู้สึกที่หน่วงที่สุด ในโลก เพราะเราไม่ ได้เศร้าถึงขั้นที่ต้องบอกคนอื่นว่าชีวิตก�ำลัง แย่ เป็นอารมณ์สีเทาๆ ที่คอยฉุดรั้งเราไว้ ไม่ ให้ยิ้มออกมาจาก ใจ เหมือนเราเหนื่อยอยู่ข้างใน แต่ ไม่รู้จะบอกคนอื่นยังไง เพราะ แม้แต่ตัวเราเองก็ยังไม่รู้ด้วยซ�้ำว่าท�ำไมถึงรู้สึกแบบนี้

สุขาอยู่หนใด

เพลง “สุขาอยู่หนใด” ของวง 25 hours อธิบาย ความรู้สึกนี้ ได้ดีทีเดียว... “ก็เป็นคนดีก็เป็นคนมีความฝัน แล้วท�ำไมคนอย่าง ฉันถึงไม่มี ใครสนใจ ก็มีเงินทองก็มีรถเก๋งคันใหญ่ ใหญ่ แต่ภายในใจท�ำไมไม่เห็นมีค�ำตอบ”

นั่นสิ...ค�ำตอบคืออะไร? ฉันเชื่อว่าความสุขของแต่ละคน ไม่เหมือนกัน หลายคนมีความสุขกับการได้รักและถูกรัก บางคน มีความสุขกับการได้ ใช้ศักยภาพของตัวเองอย่างเต็มที่ ในงานที่ท�ำ บางคนมีความสุขกับการได้ท�ำสิ่งที่ชอบ และบางคน...ขอแค่ ได้รู้ ว่าตัวเองชอบอะไรก็คงมีความสุขไม่น้อย

(คนที่เพิ่งอกหักอาจเถียงสุดพลัง ว่าท�ำไมทุ่มเทให้ทุกอย่างแล้ว แต่เธอก็ยังทิ้งฉันไป 555) แต่มันเป็นความสุขแบบเรียบง่ายที่ ทรงพลังมากจริงๆ เราจึงได้เห็นคนที่ลุกขึ้นมาท�ำอะไรเพื่อคน อื่นอยู่บ่อยๆ อย่างเช่นคนที่รวมตัวกันท�ำธุรกิจเพื่อสังคมซึ่งเป็น ธีมหลักของนิตยสารเราในฉบับนี้

แต่เชื่อไหมว่าพอเราได้สิ่งที่ต้องการแล้ว ไม่นานนัก อารมณ์สีเทาก็จะกลับมาอีก แล้วเราก็ต้องค้นหากันต่อไปว่าความ สุขหายไปไหน นั่นก็เพราะว่าเราเป็นมนุษย์...เป็นแค่คนธรรมดาที่ ยังเฝ้าตามหาสิ่งที่จะมาเติมเต็มลมหายใจที่เหลืออยู่

มันเป็นเรื่องที่แปลกดีนะ เรามีความสุขกับการได้ท�ำ อะไรเพื่อคนอื่นทั้งที่ตัวเองก็ยังมีสิ่งที่ต้องการอีกมากมาย แต่ คงเป็นเพราะว่า “การให้” ท�ำให้เราลืมความต้องการเหล่านั้น ไป ท�ำให้รู้คุณค่าของการมีชีวิตอยู่เพื่อที่จะรู้สึกแบบนี้

ทุกวันนี้ฉันเองก็เป็นคนหนึ่งที่ยังมีอารมณ์สีเทาแบบนั้น อยู่เป็นพักๆ แต่เพราะว่าชอบทบทวนความรู้สึกของตัวเองอยู่แล้ว ก็เลยได้ค�ำตอบให้กับชีวิตอยู่เรื่อยๆ จึงพบว่ามีอยู่บ่อยครั้งที่มอง ย้อนกลับไปในช่วงชีวิตที่ผ่านแล้วเห็นความสุขซ่อนอยู่ ในนั้น ซึ่ง มันเป็นความสุขที่เกิดขึ้นจาก “การให้” อาจจะฟังดูซ�้ำซากน่าเบื่อ

มันจึงท�ำให้เรารู้ว่า...สุขาอยู่หนใด :)

33


Away From Thailand อินเดีย & อเมริกา

INDIA

เรื่อง : aposaof ภาพ : อาร์ม, เก้า, ออฟ อ่านหนังสือที่อ่างอาบน�้ำของอดีตพระราชินี ค�่ำๆ กลับเดินกลับเข้าที่พักเห็นลูกวัวร่าเริง ที่ ชาวบ้านบอกว่ามันเพิ่งเกิดได้เพียง 1 วันท่า นั้น ทั้งหมดนี้ ไม่มีอะไรน่าตื่นเต้นไปกว่าการ ที่อยู่เงียบๆ กับธรรมชาติและความเรียบง่าย ของชาวบ้านที่เราได้สัมผัส และที่เล่ามานี้เป็นแค่ส่วนหนึ่ง เท่านั้นนะ

เพื่อน อินเดียตอนนี้เข้าสู่หน้าหนาว ท�ำให้คิดถึงสถานที่ หนึ่งที่เราเคยไปมา ที่ที่เราอยากให้ลองจินตนาการไปกับเรา คุณก�ำลัง นั่งอยู่ ในเมืองที่เก่าแก่บนยอดเขา กับความเย็นสบายจาก ลมที่พัดผ่านโดนปะทะกับผิวสัมผัสพาให้อารมณ์ผ่อนคลาย จะวางสายตาไว้ที่ที่ ไกลโพ้น หรือจะวางไว้ยอดภูเขาหินสัก ลูก พร้อมกับเสียงของนกยูกที่คอยร้องเป็นระยะจากเขาลูก เล็กใกล้ๆ เพื่อส่งสัญญาณบางอย่าง... ทั้งหมดนี้เราอยากให้คุณรู้จักกับ Hampi เมืองที่ ตั้งอยู่ทางตอนเหนือของรัฐ Kanataka มันเป็นเมืองมรดก โลกของ UNESCO ที่ ใหญ่เป็นอันดับสองรองจากกรุงโรม และเคยเป็นเมืองหลวงของจักรวรรดิฮินดูทางตอนใต้ของ อินเดียมาก่อน ในช่วงศตวรรษที่ 14-16 ก่อนละล่มสลายลง Hampi เป็นที่ที่มีแต่นักท่องเที่ยวชาวยุโรปส่วน ใหญ่มาเที่ยว ไม่มีการแสดง ไม่มีแสงสีเสียง ท�ำได้เพียง ออกจากที่พักไปห้านาที เพื่อไต่ก้อนหินและเห็นนกยูงใกล้ๆ ขณะที่มันก�ำลังร้องในเวลาพระอาทิตย์ขึ้น พอตกสายเราก็ เดินเล่นปีนหินอีกฝั่งฟากนึงของภูเขาเพื่อไปดูวังบนยอดเขา อีกลูกหนึ่ง พร้อมชมแม่น�้ำที่มาบรรจบกัน ตกเย็นออกไป

34

เหมือนที่เก้า เพื่อนของเราได้กล่าว ถึง Hampi ไว้ว่า “…มันเหมือนกับใครซัก คนในชีวิตที่คุณสามารถนั่งเงียบๆ ข้างๆ กัน เป็นวันๆ ได้ โดยไม่ต้องหาเรื่องคุย คนที่มีอดีต ลึกลับซุกซ่อนในแววตาราวกับว่าเคยผ่านอะไร มาอย่างโชกโชน คนที่น่าเบื่อส�ำหรับคนอื่นแต่ คุณก็อยากอยู่ด้วยอยู่ดี...” ถ้าคุณผ่านมาแถวนี้ เราก็ขอฝากทัก เพื่อนของเราด้วยและกัน


USA

เรื่องและภาพ : Rin Jenwarin

(นึกภาพรูป The Scream ของ Edvard Munch) ช็อคยิ่งกว่าเซเว่นปิด แม้แต่พี่ที่เรียน อเมริกามา 6 ปียังไม่รู้เลย ขอบอกว่าอึ้งกันเป็น แถบค่ะ สรุปแล้ว แผนล่มจ้าา อดกิน ! ป.ล. สุดท้ายแล้วโชคดีที่ร้าน Asian Market ไม่ปิด พวกเราเลยจัดการซื้อของมาท�ำ สุกี้กินที่บ้าน (ที่นี่เรียกว่า hot pot) นี่มันอาหาร จีนชัดๆ กลายเป็น Chinese Christmas ไป โดยปริยายค่ะ

The Unexpected X'mas Dinner

ป.ล. 2 ขอถ่ายรูปวอลมาร์ตปิดมาฝาก ไม่ ได้หาดูกันง่ายๆ นะคะ ฮ่าๆๆๆๆ มีการเอารถ เข็นมากั้นไม่ ให้เข้ากันเลย ฮือๆ

ที่นี่มีพระเจ้ามหาซุปเปอร์มาร์เก็ตที่หนึ่งที่มีความ ส�ำคัญต่อชีวิตประจ�ำวันมากๆ ก็คือ Walmart (วอลมาร์ต) ค่ะ อารมณ์จะคล้ายๆ เทสโก้ โลตัสซะมากกว่า เป็นซุปเปอร์มาร์เก็ตที่เปิดทุกวัน ตลอด 24 ชั่วโมง ขายอาหารหรือเครื่อง มือเครื่องใช้ อยากได้อะไรจงเอ่ยมา ข้าจะหามาให้ ในราคา ย่อมเยาว์ ขายทุกอย่างตั้งแต่สากกระเบือยันเรือรบ ไม่ว่าจะ เป็นซี่ โครงหมู แชมพู สบู่ พู่กัน จักรยาน ชั้นวางของ กล่องรับ สัญญาณทีวี มีดปอกผลไม้ และ ไฟคริสต์มาส และวันก่อนค่ะ เป็นวันที่ 24 ธันวาคม วันคริสต์มาสอีฟ พวกเราชาวไทยที่เช่าบ้านอยู่ติดกันก็วางแผนจะท�ำ อาหารวันคริสต์มาสกัน โดยปกติอาหารวันคริสต์มาสที่ขาดไม่ ได้เลยก็คือ honey glazed ham จะเป็นแฮมชื้นใหญ่แบบยัง ไม่ ได้หั่นเป็นแผ่นถูกน�ำไปอบน�้ำผึ้ง, potato casserole เป็น มันหั่นเล็กๆ และอบชีส, meat loaf เนื้อสับผสมอะไรหลายๆ อย่างและเอาไปอบราดซอส และยังมีอาหารอีกหลายๆ อย่าง ที่คนที่นี่จะกินในวันคริสต์มาส (ท�ำไมมันเป็นอาหารอบหมดเลย แฮะ) เมื่อเตรียมรายชื่อวัตถุดิบที่ต้องซื้อเรียบร้อย ก็ขับรถ ไปวอลมาร์ตเพื่อซื้อของส�ำหรับท�ำ Christmas dinner ใน วันถัดมา...แต่ว่า นี่มันอะไรกัน...วอลมาร์ตปิดค่ะ !! ห๊ะ? อะไร นะ???????? วอลมาร์ตปิด!!!

35


Another Language

ภาษาอังกฤษ & มลายู

English & I-D-I-O-M

Sawasdee English สวัสดีคะคุณผูอานคิดถึงกันมั๊ยเอย? Do you miss me?^^ Sawasdee English มีสาระดีๆ มานำเสนออีกแลวววว วันนี้เราจะพูดถึงกันเรื่อง I-D-I-O-M หรือ “Idiom”(อิด'เดียม) “สำนวนในภาษาอังกฤษ” นั่นเองคะ หลายครั้งที่ฟงหลายๆ คนบนวาฟงฝรั่งพูดออกทุกคำ เลยนะ แต ไมเขาใจวาพี่แกตองการอะไร ทำไมถึงเปนแบบนั้น ไปได? แลวคุณผูอานละเคยเจอปญหานี้มั๊ยคะ? ถาใครยังนึก ไมออกลองดูประโยคนี้ ถาจูๆ ก็มีฝรั่งมาพูดกับเราวา I am under the weather แนนอนวาถาเรารูวา under แปลวา ใต และรูวา weather แปลวา อากาศ ประโยคนี้ก็จะแปลไดวา ฉันอยู ใตอากาศ เห็นมั๊ยคะงายจะตายใครก็ฟงออกและเราก็ แปลได แตถามวาฉันอยู ใตอากาศคืออะไร??? นั่นละคะปญหา แตถาเรารูจักเจา I-D-I-O-M นี้ละก็ปญหานี้จะหมดไปและการ พูดภาษาอังกฤษเราจะ So So Cool!!!! เทหกิ๊บเก มากๆๆๆๆๆ แนนอนคะ Confirm!! ^___^ เริ่มกันดวย be / feel under the weather ที่กลาวถึงตอนแรกกอนเลย จริงๆ สำนวนนี้หมายถึง feel ill หรือ รูสึกปวย เพราะฉะนั้น I am under the weatherหรือ I feel under the weather ก็คือ ฉันรูสึกปวยหรือไมสบายนั่น เองคะ สวนสำนวนอื่นๆ ดังตัวอยางขางลางเลย 1. See eye to eye หมายถึง การแสดง ความเห็นดวยกับความคิดเห็นของอีกฝาย I actually see eye to eye on your plan. - ฉันเห็นดวยกับแผนของคุณ 2. When pigs fly หมายถึง สิ่งที่เปนไปไม ไดหรือ ไมมีวันจะเกิดขึ้น She will study hard when pigs fly. - เธอจะเรียนหนักเมื่อตอนหมูบินก็คือเธอไมมีทางตั้งใจ เรียน แนนอน

m o i d I / y r a l Vocabu = สำนวน

idiom = ใต r e und = อากาศ weather er = รูสึกปวย th a e w e th r be unde = รูสึกปวย r e th a e w e feel under th = รูสึกปวย l feel il = เห็นดวย e y e to e y e see ี่เปนไป ไม ได ท ง ่ ิ ส = when pigs fly ขอให โชคดี = g break a le

บทความ : Faraway

3. Break a leg หมายถึง ขอให โชคดี Break a leg Ann, I’m sure you can make it. - โชคดีนะแอน ฉันรูเธอทำได (ซึ่งไม ได ไปหักขาแอนแตอยางใด นะคะ 55+) นี้ก็เปนตัวอยางเพียงเล็กๆ นอยๆ ของสำนวนที่ถาเรา ไมรูความหมายจริงๆ ละก็ถาแปลตรงตัวมีหวังออกอาวออกทะเล กันแนฮาๆๆ ยังไงก็ฝกใชกันเยอะๆ นะคะ สวนใครอยากหา ความรูเพิ่มเติม ลองกด Like เพจของ Scholarship.in.th ทุนเรียนตอตางประเทศ ดูนะคะแลวคุณจะรูวาโลกโซเชียลก็ ทำใหเราเกงภาษาไดเหมือนกัน (โดยไมตองเสียตังคาเรียนดวย อิอิ ^^)…แลวเจอกันใหมฉบับหนาคะ


นับเลขให้ถึง 20

หรรษาภาษามลายู

บทความ : ณ ทรายขาว

ในตอนที่แลวเราไดเรียนรู ในเรื่องของการนับเลข 1-10 เปนภาษามลายูไปแลวนะคะ ดังนั้นในตอนที่ 5 นี้ เราจะมาเรียนรู การนับเลข 11-20 เปนภาษามลายูกันตอคะ เลข เลข เลข เลข เลข เลข เลข เลข เลข เลข

11 12 13 14 15 16 17 18 19 20

ในภาษามลายู คือ ในภาษามลายู คือ ในภาษามลายู คือ ในภาษามลายู คือ ในภาษามลายู คือ ในภาษามลายู คือ ในภาษามลายู คือ ในภาษามลายู คือ ในภาษามลายู คือ ในภาษามลายู คือ

Sebelas Dua Belas Tiga Belas Empat Belas Lima Belas Enam Belas Tujuh Belas Lapan Belas Sembilan Belas Dua Puluh

อานวา อานวา อานวา อานวา อานวา อานวา อานวา อานวา อานวา อานวา

เซอ-เบอ-ลัส ดูวา-เบอ-ลัส ตีฆา-เบอ-ลัส/ ตีกา-เบอ-ลัส เอิมปต-เบอ-ลัส ลีมา-เบอ-ลัส เออนัม-เบอ-ลัส ตูุหฺ-เบอ-ลัส ลาปน-เบอ-ลัส เซิมบิลัน-เบอ-ลัส ดูวา-ปูลุหฺ

ซึ่งหากเราลองสังเกตดู เราจะพบวารูปแบบหรือโครงสรางของตัวเลข 11-19 นั้นจะมี โครงสรางในการนับเลข ดังนี้คะ ตัวเลข + Belas เชน เลข 13 ก็คือ Tiga Belas หรือ เลข 15 ก็คือ Lima Belas เปนตน เห็นไหมคะ วาไม ไดยากอะไรเลย การที่ทุกคนจะสามารถนับเลขเปนภาษามลายูไดเพียงแคจดจำหรือเขาใจโครงสรางของตัวเลข ดังกลาว ในสวนของตัวเลขเต็มสิบ อยางเชน 20 30 40 50 60 70 80 90 ก็จะมี โครงสรางหรือรูปแบบ ของการนับเลขเปน ตัวเลข + Puluh เหมือนอยางเชน เลข 20 ก็คือ Dua Puluhหรือ เลข 30 ก็คือ Tiga Puluh เปนตน ซึ่งโครงสรางหรือรูปแบบในการนับตัวเลขก็จะคลายๆ กันไปแบบนี้คะ ไวมี โอกาสใหม ในคราวตอไปเราจะมาเรียนรู การนับตัวเลข เปนภาษามลายูในจำนวนที่มากขึ้นกวานี้นะคะ

37


พื้นที่เล็กๆ รูปและเรื่อง : nropapin

[ ระบบนิเวศทางสังคม ] ความหลากหลายด้านอาชีพในระบบสังคม..ทั้งผู้ผลิต ผู้ซื้อ ผู้ขาย หากบริษัทต้องการขายสินค้า โดยค�ำนึงถึงผลก�ำไรเพียงอย่างเดียว แต่กระบวนการผลิตท�ำลายสิ่งแวดล้อม ปล่อยสารพิษลงสู่แหล่งน�้ำชุมชน สินค้าที่ราคาแพง ไม่มีคุณภาพ โฆษณาเกินจริง ในที่สุดผู้ซื้อก็ไม่มีก�ำลังซื้อ เดือดร้อนอยู่ไม่ได้ ผลกระทบก็ย้อนกลับไปเป็นบริษัทที่ขายสินค่าไม่ได้เช่นกัน การอยู่ร่วมกันในสังคม จ�ำเป็นที่มีการแลกเปลี่ยนซื้อขาย..แบ่งปัน แจกจ่าย ไม่มีใครสามารถอยู่ในโลกใบนี้โดยปราศจาก..การพึ่งพิงอาศัย ไม่มาก ก็น้อย แต่ต่างกันไปตามบทบาทหน้าที่ของตน

38


A Picture I Draw วาด : เงาเมฆ

HAVE YOU EVER SEEN THIS?

39



Turn static files into dynamic content formats.

Create a flipbook
Issuu converts static files into: digital portfolios, online yearbooks, online catalogs, digital photo albums and more. Sign up and create your flipbook.