O-N magazine l 04

Page 1


" In the library, o-ne often finds people close their mouths and open their minds " – Author Unknown -

' ในห้องสมุด ผู้คนจะปิดปาก และเปิดใจ '

{ ไม่ทราบชื่อผู้เขียน } บรรณาธิการ

พิชญา เพ็งจันทร์

กองบรรณาธิการ

แก้วเกล้า แก้วบรรจง ธนวรรณ แสงวิสุทธิ์ สุภชาวัลย์ ชนะศักดิ์

บรรณาธิการศิลปกรรม

ปาริฉัตร แทนบุญ

ช่างภาพ

ชยุตม์ พระสงฆ์

พิสูจน์อักษร

ภูษิต ชนพิมาย ออกแบบปกหน้า / หลัง

กมนนัทธ์ คำ�ดา

FONTs : supermarket / Quark / TH Baijam EDPenSook / Arabica / WDB Bangna Little Lord Fontleroy NF / Junegull

นักเขียน / นักวาด

กิตติพงษ์ หาญเจริญ ภัทรานิษฐ์ พัฒน์ธนพร ภัณฑิรา ทรงกิจทรัพย์ สุธรรม จีระศิลป์ ชีพิตา ศุภดิษฐ์ พิชญา เพ็งจันทร์ ศานนท์ หวังสร้างบุญ ณัชฎา คงศรี ปาลีพัชร โสภณ นิรัติศัย บุญจันทร์ กมนนัทธ์ คำ�ดา ปาริฉัตร แทนบุญ

แก้วเกล้า แก้วบรรจง สินิทธ์ ปนุตติกร สหธร เพชรวิโรจน์ชัย ธีรภัทร์ เจนใจ สุพิชญ์ รักสกุล ชนิกา สุธัมมสภา เจนวริน นฤขัตพิชัย นภกาญจน์ เชาวลิต กษมา ยาโกะ นิภาพร กอบกุลกังสดาล ธนวรรณ แสงวิสุทธิ์ ณัฐกาญจน์ สัตยากวี

นักเขียนจากทางบ้าน

P004 moment / มหาศาล

contact us

facebook.com/ownerationmag ownerationmag@gmail.com

READ O-N

www.ebooks.in.th/ownerationmag issuu.com/ownerationmag


ห้องสมุด ถึงแม้เราจะอ่านออก-เขียนได้ ด้วยตัวเอง แต่ บางเวลาเราก็ยังต้องการให้ ใครบางคนอ่านให้ฟัง-เขียน ให้อ่านอยู่ดี เพราะเหตุนี้เราจึงมี ‘นักอ่าน’ และ ‘นักเขียน’ เพื่อเป็นส่วนเติมเต็มซึ่งกันและกัน ส�ำหรับฉันการเขียน คือ การแบ่งปันมุมมอง ทัศนคติ ประสบการณ์ สิ่งที่คิด รวมไปถึงอาจเป็น ทั้งหมดของชีวิตคนเขียน ส่วนการอ่าน คือ การเปิดใจรับ สิ่งที่ผู้เขียนพยายามจะสื่อสารผ่านตัวหนังสือ แล้วถ้าพูดไปถึงพื้นที่ที่ ให้นักอ่านพบปะกับนัก เขียนผ่านตัวหนังสือ ก็คงจะหนี ไม่พ้นห้องที่อบอวลไป ด้วยหนังสือและความเงียบที่เรียกว่า ‘ห้องสมุด’ ชีวิตเราทุกคนล้วนผูกพันกับหนังและห้องสมุด ตั้งแต่สมัยเรียน เพราะอย่างน้อยเราต้องอ่านหนังสือ เรียน และอย่างน้อยเราต้องไปค้นคว้าหาข้อมูลเพื่อมา ท�ำการบ้านที่ห้องสมุด จากการสั่งสมความผูกพันในรูปแบบนี้ตั้งแต่ยัง เยาว์วัย อาจท�ำให้ ใครบางคนชอบอ่านหนังสือ และหลง รักบรรยากาศในห้องสมุดไปโดยปริยาย และหนึ่งในใคร บางคนนั้น ก็คงเป็นฉันนี่เอง! O-N Magazine ฉบับนี้จึงขอพาผู้อ่านย้อนอดีต ไปสัมผัสกับบรรยากาศของห้องสมุดในยุคปัจจุบัน ถูก แล้ว! อ่านไม่ผิดหรอก หรือจะแปลให้ฟังเข้าใจง่ายอีกที

ก็คือ “ห้องสมุดในยุคปัจจุบันที่แฝงไปด้วยบรรยากาศที่ อาจท�ำให้ความทรงจ�ำในอดีตของคุณกลับคืนมา” ห้องสมุดที่เราเกริ่นมาซะยืดยาวนั้น ตั้งอยู่ที่ จังหวัดเชียงใหม่ มีชื่อเท่ๆ เก๋ๆ แต่เรียบง่ายว่า ‘ห้อง สมุดมาหาสมุด’ (Mahasamut Library) ส่วนตัว จริงของห้องสมุดนั้นหรือ…ก็เท่ เก๋ เรียบง่าย ไม่ต่าง กัน และจะไม่มีห้องสมุดแห่งนี้เลยถ้าไม่มีผู้ก่อตั้งทั้ง สองคน คือ พี่แตงโม และพี่นัท นั่นเอง ท�ำไมคนหนุ่มสาวสองคนนี้ถึงอยากเปิดห้อง สมุดกันนะ แล้วสิ่งที่พวกเขาท�ำ มันคือความฝันลมๆ แล้งๆ หรือเป็นสิ่งที่เราสามารถท�ำให้เกิดขึ้นได้จริงใน โลกแห่งความจริง? เราขอเชิญคุณผู้อ่านลองเปิดใจอ่าน เพื่อรับฟัง แนวคิดของพวกเขา แล้วลองก้าวเท้าเข้าไปสัมผัสกับ ห้องสมุดแห่งนี้ ไปพร้อมๆ กับพวกเรา ห้องสมุดคงไม่มีชีวิต หากปราศจากผู้ที่ดูแลมัน ด้วยหัวใจ และหนังสือคงไร้ค่า หากปราศจากผู้อ่านที่ ใส่ ใจอ่านมัน อย่างที่พญาอินทรีย์นักเขียน หรือคุณรงค์ วงษ์สวรรค์ ได้กล่าวเอาไว้ว่า “ ผู้อ่าน คือ ลมหายใจของนักเขียน ” นั่นเอง พิชญา เพ็งจันทร์ บรรณาธิการ waylaway1990@gmail.com




A Plant I Love

เรื่องและภาพ : กิตติพงษ์ หาญเจริญ

พืชพรรณที่ฉันชื่นชม

GRASS หญ้า

เธอจะคิดยังไง? ถ้าฉันบอกกับเธอว่า เราน่าจะกราบ ไหว้หญ้ากันบ้าง โฮ๊...............โฮ.............โห่.....................โฮ............... เปิดม่านนนน พระเอกของเราในตอนนี้ คือ หญ้า ! ใช่แล้วล่ะ ….เค้า คือ พระเอกจริงๆ ถึงแม้เค้าคนนี้ หน้าตาดูไม่เหมือนจะเป็นพระเอกได้เลยและหลายคนก็เกลียด ก็กลัวพระเอกคนนี้ ถึงขั้นคิดค้นยาพิษมาปลงชีวิตเค้ากันเลย ทีเดียว แต่ยังไงเค้าก็คือ พระเอกตลอดกาล ประจ�ำโรงละคร แห่งอารยธรรมมนุษย์และเป็นพระเอกคลาสสิค ในโรงละคร แห่งชีวิตก็ว่าได้…ฉันยืนยันว่าไม่ ได้ โม้กับเธอเลย แค่เธอลองมองเค้าซักหน่อย เธอจะพบว่าชายคนนี้ อยู่กับเธอแทบทุกหนทุกแห่ง ที่ดินและน�้ำเดินทางไปถึงและ เค้าปรากฎกายได้หลายแบบเหลือเกิน ตั้งแต่ตัวจิ๋วๆ อย่าง หญ้าหงอนไก่ ที่เคยเป็นของเล่นฮิตของเด็กไทยสมัยก่อน ตัว เล็กหน่อย อย่างหญ้าแห้วหมู ที่สร้างเครือข่ายใต้ดินเก่งจน คนถอนหญ้าต้องยอม ตัวกลางๆ อย่างหญ้าเจ้าชู้ ที่ฝากรัก ไว้กับเสื้อผ้าคนที่เดินเฉียดเข้าใกล้ จนคันไปหมด ตัวสูงโปร่ง อย่างหญ้าไม้กวาด ที่กลายมาเป็นแต่ละเส้นของไม้กวาดให้ เราใช้ ตัวโตๆ อย่างหญ้าคา ที่กลายมาเป็นหลังคากันแดดกันฝนให้ บ้านมารุ่นต่อรุ่น แม้แต่หญ้าตัวมหึมา อย่าง ไผ่ ….ใช่แล้ว ไผ่ ถ้าเธอสังเกตดีๆ ไผ่ก็คือหญ้าที่ตัวโตเป็นยักษ์นั่นเอง และเค้า ก็เป็นสารพัดอย่าง ตั้งแต่อาหาร ยัน อาวุธให้กับเราเลย ทีนี้ฉันขอชวนเธอมองย้อนกลับมาดูที่ชีวิตของเราเอง มีของขวัญอะไรบ้างที่หนุ่มรูปไม่หล่อคนนี้ ได้ ให้กับเราไว้บ้าง ? สนามหญ้า / กีฬาฟุตบอล / ฝาบ้าน / ร่มเงา / ยา / ชั้น

วางของ / หน่อไม้ / อาหารวัว / ตะกร้า / ถ่าน /….. ….................................................................................. ........................เพียบ แต่ของขวัญที่หญ้าให้เราบ่อยซะจน ฉันอยากยกเค้าขึ้นหิ้งให้เป็นพระเอกแห่งอารยธรรมมนุษย์ เพื่อเป็นการขอบคุณชายคนนี้ ก็คือ ข้าว เพราะ ข้าว คือ หญ้าพื้นฐานของอารยธรรมมนุษย์ ไม่ว่าจะเป็นข้าวเจ้า ข้าว เหนียว ที่หล่อเลี้ยงคนเอเชีย มายาวนาน ข้าวสาลี ข้าว โอ๊ต ข้าวบาร์เลย์ ที่เลี้ยงชีวิตคนยุโรป ข้าวโพด ที่อยู่กับ คนอเมริกา ตั้งแต่ก่อนคนขาวจะล่องเรือเข้าไป ข้าวฟ่าง ที่อึดสู้แล้ง เลี้ยงดูคนแอฟริกา มาตลอด และอีกหลายๆ ข้าว ที่เป็นแหล่งอาหารหลัก ของอารยธรรมมนุษย์ เห็นม้า....ว่าตาหญ้าคนนี้ วิเศษจริงๆ แต่ทั้งหมด นี้ก็ยังไม่ ใช่ สิ่งที่ท�ำให้ฉันรู้สึกยกย่องเค้า จนยกให้กลาย พระเอกคลาสสิคหรอก ท�ำไมน่ะหรอ? ….ไว้เล่าให้เธอฟัง ต่อเล่มหน้าละกันเนาะ โฮ โฮ โฮ


A Life I See

เรื่อง : ภัทรานิษฐ์ พัฒน์ธนพร

เมล็ดพันธุ์แห่งความเจริญงอกงาม

5


A Thing I Dream เรื่อง : วานิลลา ภาพ : รอหัน

แว่นตารอบโลก “อิตาลีก็อยากไป” “ฝรั่งเศสก็อยากเที่ยว” “ญี่ปุนก็อยากชม”

พนันไดเลยวาเพื่อนๆ ที่อานอยูตองเคยมี ฟลลิ่งนี้กันบางไมมากก็นอยแหละ ประเด็นคือ เราแต ละคน ตางมีขอจำกัด ที่ทำให ไมสามารถไปเที่ยวรอบ โลกไดตามใจหวัง (เฮอ T_T ขอเช็ดน้ำตาแปป) มันคงจะดี ไมนอยเลยใชมั้ยละคะหากบนโลกนี้มีสิ่งที่ เรียกวา ‘แวนตารอบโลก’ อยู เพียงแคคุณกำหนดสถานที่ ที่คุณอยากไปบนโลกตรงขาแวน จากนั้นก็สวมแวนตารอบโลก เขาไปเพียงแคนี้บรรยากาศตางๆ รอบตัวคุณก็จะกลายเปน สถานที่ที่คุณไดกำหนดไว คุณจะรูสึกราวกับวาตัวเองไดยืนอยู ทามกลางปาดงดิบที่เปนระบบนิเวศที่ ใหญที่สุดในโลกเลยแหละ (ในกรณีที่คุณกำหนด สถานที่ ใหเปนปาอะเมซอนนะนะ) With these glasses, you can go anywhere Flipping your hair while walking on the Hollywood walk of fame is not out of reach anymore Venice, Paris, Lisbon I bet there is a story to tell when you put these glasses on แต แต แต… แวนตาอันนี้ จะรองรับการใชงานเฉพาะปราสาทสัมผัส ทางตาเทานั้นนะคะ นั่นหมายความวาคุณจะไดแคเห็น แตคุณ จะไม ไดยิน ไม ไดกลิ่น ไมรูรส และไมสามารถสัมผัสสิ่งของใดๆ ในสถานที่นั้นได แตก็เอานา แครูสึกวาตัวเองกำลังเดินเลนลัล ลาอยู ในกรุงปารีส ถือวาดีแลวละเนอะ :P


My Idol

TK PARK [Central World]

วันนี้คอลัมน์ The Idol พาคุณผู้อ่านมาป้วนเปี้ยนกันที่ห้องสมุด TK PARK ไปดูกันดีกว่าว่า Idol ของพวกเขาเป็นใครกันบ้าง? : : David Beckham (นักฟุตบอล) : : “เพราะเป็นคนที่มีสไตล์เป็นคนน่าจดจ�ำ มีจุดเด่นเอกลักษณ์ภายนอก อย่างเห็นได้ชัดจากรอยสัก หรือการใช้ชีวิต เป็นคนที่ท�ำให้คนมาสนใจ กีฬาเพราะตัวเขาเอง ด้วยชื่อเสียงและทักษะความสามารถด้านการเล่น ฟุตบอลของเขา และยังสามารถท�ำให้คนติดตามจากการเล่นฟุตบอล รวมถึงยังน�ำกีฬาฟุตบอลที่เค้าถนัดมาเชื่อมโยงกับแฟชั่น ธุรกิจ และการ พัฒนาสังคม รวมถึงด้านอื่นๆ ทั้งภายในประเทศและทั่วโลกให้เป็นที่ รู้จัก ซึ่งเป็นสิ่งที่น่าชมเชยและยินดีต่อคนทั้งโลก” ชื่อ Jackie (อายุ 34 ปี) อาชีพ ช่างภาพ

: : น้าเน็ก : : "เพราะเป็นคนที่มีสไตล์เป็นเอกลักษณ์ของตัวเอง ในการการแต่งตัว ความคิด และการใช้ชีวิต รวมทั้งเป็นคนที่มีความสามารถหลายด้าน ผ่านการท�ำงานต่างๆ มามากมาย จึงท�ำให้รู้สึกชื่นชอบ” ชื่อ กิตติมา จันทร (อายุ 24 ปี) อาชีพ พนักงานบริษัท

: : อองซาน ซูจี : : “เพราะเป็นบุคคลที่สง่างาม ทั้งภายนอกและภายในจิตใจ เป็นคนที่เก่ง แกร่ง และมีเอกลักษณ์ที่ชัดเจน” ชื่อ วิภาวี ยาละ (อายุ 32 ปี) พนักงานห้องสมุด TK PARK

MOTTO : รู้สึกดีที่ ได้มีส่วนร่วมในการสัมภาษณ์ครั้งนี้ค่ะ ขอบคุณที่ ให้ โอกาสค่ะ :)) พิธีกรภาคสนาม : ชีพิตา ศุภดิษฐ์ (อายุ 24 ปี) อาชีพ พนักงานบริษัท

{

I have found the most valuable thing in my wallet is my LIBRARY CARD ฉันได้ค้นพบสิ่งที่มีค่ามากที่สุด ในกระเป๋าสตางค์ของฉัน นั่นคือ บัตรห้องสมุด - LAURA BUSH -

7


'ใต้ดิน l บนฟ้า'

( คอลัมน์จากทางบ้าน )

เวลา ณ ขณะหนึ่ง ภาพและเรื่อง : P004 moment

‘ Magic hour ‘

สายตาสัมผัสมั้ย? เราว่า…มันได้แค่ 60% จากที่เรามอง เห็นด้วยซ้า แต่เรายังดี ใจนะที่อย่างน้อยเราก็มีภาพเก็บไว้ แทนความทรงจาในวันนั้น ภาพที่ทาให้รู้ว่า จังหวะหัวใจ เราเต้นแรงขึ้นมาจริงๆ

เราเชื่อว่าหลายคนคงจะมีช่วงมีเวลาแห่งการ ต้องมนต์ของตัวเอง เราเองก็เป็นหนึ่งในนั้น ในเวลาเร่ง รีบ ต่างคนต่างรีบเร่งเดินทางไปยังจุดหมายของตนเอง สาหรับเรา Magic Hour มันคงคล้ายกับการ แต่เสี้ยวเวลาหนึ่งที่เรามี โอกาสหันไปมองที่มาของแสง ตกหลุมรักใครซักคน ถ้าเราตั้งใจรออย่างมีความหวัง มัน แดดที่ส่องมาถึงตัวเราเอง ยากมากกว่าจะได้เจอ แต่ถ้าวันใดที่เราไม่รีบเร่งตามหา เย้! วันนี้เราเจอ Magic Hour! มันเป็นชั่วโมง มัน เรากลับเจอความสวยงามอย่างไม่ ได้ตั้งใจ ไม่ต่าง ต้องมนต์ที่ทาให้หัวใจเราเต้นแรงขึ้นมาหนึ่งจังหวะกัน กัน บางครั้ง…เราอาจจะเจอใครที่เดินเข้ามาโดยที่เรายัง เลยล่ะ มันคงฟังดูเว่อไปนะ แต่นั่นล่ะ มันทาให้เรารีบ ไม่ทันได้ตั้งตัวและทาให้หัวใจเราเต้นแรงขึ้นมาได้มากกว่า เปิดกระเป๋าแล้วหยิบกล้องฟิล์มตัวโปรดขึ้นมาบันทึกภาพ หนึ่งจังหวะเลยก็ ได้ ใช่! เพราะเราตกหลุมรักเค้าคนนั้นเข้า เก็บไว้แทบไม่ทัน เพราะภาพที่เรามองเห็นในตอนนั้น อย่างจังแล้วล่ะ มันเป็นแสงของพระอาทิตย์สีส้มอมเหลือง ส่องสะท้อน แต่ถ้าหาก Magic Hour มันจะเกิดขึ้นแค่เพียงช่วง ออกมาตัดกับภาพคนเดินย้อนแสงไปมา มันเป็นภาพ Silhouette ที่เราชอบมากทีเดียว จาได้ว่าเรายืนมองอยู่ เวลาสั้นๆ เราก็ขอให้มันแค่เป็นเพียงแสงของวันเท่านั้นล่ะ เพราะถ้ามันหมายถึงการตกหลุมรักใครเข้าแล้ว และต้อง นานจนคนที่กาลังยืนรอรถไฟฟ้าเค้าชาเลืองมองมาเลย มาจากไปเพียงช่วงเวลาสั้นๆ เราก็ยินดีนะ ยินดีที่จะไม่พบ ล่ะ แล้วเสียงลั่นชัตเตอร์ดัง แกร็ก! นั่นก็เท่ากับว่าอย่าง ชั่วโมงต้องมนต์นั้นเลยซะดีกว่า น้อยเราก็มีภาพเก็บไว้แทนความรู้สึกในวันนั้นแล้ว แต่ถ้า ถามว่าภาพจากกล้องฟิล์มตัวน้อยที่ ได้มันสวยงามเท่าที่


ทั ก ท า ย เขียน : มหาศาล

' ใต้ดิน l บนฟ้า ' เป็นคอลัมน์เปิดใหม่ เพื่อเปิดพื้นที่ ให้นัก(อยาก)เขียนทั้งหลายได้ประลองฝีมือกัน ฉบับนี้ เราได้คัดเลือกผลงานของเพื่อนๆ มาลงจ�ำนวน 2 คนด้วยกัน นั่นคือ P004 moment และ มหาศาล ขอแสดงความยินดีกับเพื่อนทั้งสองคนด้วยน้าา แล้วเราจะส่งนิตยสารฉบับจริงที่มีผลงานพวกคุณกลับไปให้นะ :)

9


The Owner การสร้างห้องสมุด หรือร้านหนังสือ แล้วมีมุมเครื่องดื่มเล็กๆ อาจเป็นความฝันของ ใครหลายคน แต่หากนับจ�ำนวนของเหล่านัก ฝันที่สร้างมันขึ้นมาได้จริงๆ แล้วคงมีจ�ำนวนไม่ มากนัก และคนที่สร้างมันขึ้นมาได้จริงช่างดูมี เสน่ห์ยิ่งนัก จนเราอดไม่ ได้ที่จะไปตามหาเพื่อ ขอพูดคุยถึงที่ ไปที่มาของพวกเขา วันนี้ 2 พ.ย. 2557 ที่ผ่านมา ในช่วง เช้า เรามีนัดกันที่ห้องสมุดมาหาสมุด เพื่อ พูดคุยกับสองผู้ก่อตั้งห้องสมุดมาหาสมุด ใน ซอยวัดอุโมงค์ ใกล้มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ จังหวัดเชียงใหม่ (โครงการบ้านข้างวัด)

พี่แตงโม สาริณี เอื้อกิตติกุล เรียนจบจากคณะจิตวิทยา มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ แล้วไป เรียนต่อคณะพัฒนาการมนุษย์ ที่มหาวิทยาลัยมหิดล (อายุ 30 ปี)

ลูกค้า : มาตามเพจพี่ทรงกลดอะค่ะ วันนั้นปั่นทริปจักรยานกับพี่เขา ผ่านมาพอดี เลยลองแวะมา พี่แตงโม : อ้อ...ค่ะ แล้วเป็นคนเชียง ใหม่รึเปล่าคะ? เราเริ่มต้นสัมภาษณ์กันในบรรยากาศ สบายๆ โดยมีเพื่อนๆ ที่นั่งอยู่ ในร้าน ร่วมบท สนทนาในตอนต้นด้วยกันกับเรา และเนื่องจาก ในร้านมีผู้ก่อตั้ง และท�ำทุกอย่างกันอยู่แค่ 2 คน พี่ๆ เลยผลัดกันมานั่งพูดคุยกับพวกเรา โดยเริ่มที่พี่แตงโมก่อน...

พี่นัท ณัฐพงษ์ เนียมนัด เรียนจบจากคณะสถาปัตยกรรม ออกแบบภายใน ที่มหาวิทยาลัย เทคโนโลยีพระจอมเกล้าธนบุรี หรือบางมด (อายุ 27 ปี)

‘ ห้องสมุดมาหาสมุด ’ ( Mahasamut Library ) สัมภาษณ์ & เรียบเรียง : พิชญา เพ็งจันทร์

ภาพ : 9chaballoon


O-N : พี่ทั้งสองคนเป็นพี่น้องกันรึเปล่า? พี่แตงโม : จริงๆ ไม่ ใช่พี่น้องกัน เรารู้จักการผ่านการปั่น จักรยานของ a day โครงการ Human Ride ที่รับสมัคร คนจากทางบ้านให้เขียนจดหมายไปหา เพื่อจะเดินทาง ทั่วประเทศ ใช้เวลาประมาณ 1-2 เดือน คนที่สมัครไป ประมาณร้อยคน พี่สองคนก็ต่างคนต่างสมัครเข้ามา แล้ว สุดท้ายก็เหลือพี่สองคนจากทางบ้านที่ ได้ ไป ร่วมกับพี่ๆ ในทริปรวมทั้งหมด 7 คน ก็รู้สึกว่าเออโชคดี ช่วงที่ ไปเป็น ช่วงปลายปี 2011 O-N : การเดินทางครั้งนั้นท�ำให้พี่ๆ สนิทกันไหม? พี่แตงโม : ตอนเดินทางมันก็มีเวลาที่ท�ำให้เราร่วมทุกข์ ร่วมสุข ส่วนใหญ่มันขึ้นเขา โดยเฉพาะตอนขึ้นเขาช่วงผ่าน แม่สอด ซึ่งเป็นทางที่ โหดสุดในทริป เราก็คุยกัน 3 คน มี โต (กราฟิกดี ไซเนอร์ของ a day) พี่ แล้วก็นัท ตัดสินใจ ปั่นผ่านแม่สอดกัน เราตกลงกันว่าต่างคนก็ต่างไม่ต้องรอ กันนะ เราก็ปั่นไปตามแรงของเราเท่าที่ ไปได้ แต่ ใครมาช้า ผิดสังเกตก็จะดักรอกันตามข้างทาง สรุปวันนั้นออกบ่าย 2 ถึงเกือบเที่ยงของอีกวัน ก็ต้องนอนพักกลางคืน มันโหด จริงๆ ถ้าไม่ลอง ไม่รู้ เรารู้สึกว่าได้อยู่กับตัวเอง มันหนัก มันเหนื่อย แล้วต้องทิ้งจุดนั้นให้ ได้ ความเหนื่อยคืออดีต เราเริ่มต้นใหม่เรื่อยๆ มันเป็นบททดสอบเรา เราก็ผ่านช่วง เวลาเหล่านั้นมาด้วยกันได้ O-N : จากเพจ facebook ร้านมาหาสมุดเปิดมาได้ 2 ปีแล้ว พี่แตงโม : เอ้ย ร้านนี้เพิ่งเปิดได้ 4 เดือน ในเพจนั้นนัท ท�ำมาก่อน หนังสือก็เป็นหนังสือในบ้านนัท แล้วแชร์ส่วนตัว ให้เพื่อนๆ ห้องสมุดใจใหญ่เป็นของนัท แต่มาหาสมุด เรา มาเริ่มกันที่นี่ ก็เลยท�ำต่อเนื่องจากเพจของนัทเลย

{

}

ความฝันที่ทดไว้ในใจคืออยาก ให้ห้องสมุด หรือร้านหนังสือ กับร้านกาแฟมาอยู่ด้วยกัน

O-N : กลับไปจุดเริ่มต้น พี่แตงโมกับพี่นัทมาที่นี่ ได้ อย่างไร พี่แตงโม : เมื่อปีที่แล้วประมาณเดือนกรกฎาคม พ่อ ไม่ค่อยสบาย แม่เป็นคนเชียงใหม่ พี่เลยตัดสินใจกลับ มาอยู่ที่นี่ มาอยู่ด้วยกัน ก่อนหน้านี้ท�ำงานเป็นครูสอน เด็กพิเศษที่กรุงเทพมา 7-8 ปี พอดีพี่ที่รู้จักกันขึ้นมา เที่ยวเชียงใหม่ เขาชวนพี่มาร้านกาแฟที่เวิ้งมาลัย ร้าน Paper Spoon เป็นบ้านครึ่งตึกครึ่งไม้ เขาสร้างบ้าน แล้วชวนเพื่อนมาอยู่ด้วยกันเป็นหมู่บ้าน พี่ก็ชอบมาก เลยบรรยากาศแบบนั้น ถ้าเราท�ำงาน หนึ่งคือสอน เด็ก อีกอย่างในใจก่อนเรียนจบความฝันที่ทดไว้ ในใจคือ อยากให้ห้องสมุด หรือร้านหนังสือ กับร้านกาแฟมาอยู่ ด้วยกัน เรารู้สึกว่าอยากให้คนเข้ามา มีอะไรกันเราได้ แลกเปลี่ยนพูดคุยกัน ได้ช่วยเหลือกัน โดยเฉพาะคนที่ อายุน้อยกว่าเรา แล้วอยู่ ในซอยวัดอุโมงค์ พี่ก็ผูกพันตั้งแต่สมัย ตอนเรียน ดูเก่าๆ สงบ พี่ก็ถามไปเรื่อย “พี่ๆ มีที่แบบ นี้อีกไหม?” เขาก็บอกมีข้างใน แล้วชี้มาที่นี่ แต่ตอนนั้น ก�ำลังก่อสร้าง แต่ ไม่มีป้ายติดเบอร์ โทรติดต่อเลย เลย กลับไปที่ Paper Spoon ไปถามอีกครั้ง เขาก็เลยให้ โทรหาพี่บิ๊ก ผู้ออกแบบและดูโครงการทั้งหมด พี่บิ๊ก บอกว่า “อยากให้อยู่ด้วยกันเป็นชุมชนสมัยก่อน อยาก ให้แบ่งปันกัน แต่ละบ้านไม่มีรั้ว ไม่มีพื้นที่เขตของฉัน หรือเขตของเธอ” พี่เลยรู้สึกว่าเป็นสังคมที่เราอยากอยู่ มันอาจจะดูอุดมคตินะ แต่เราอยากท�ำก็เลยลองท�ำ O-N : โครงการบ้านข้างวัดมีทั้งหมดกี่หลังคะ พี่แตงโม : ทั้งหมดมี 10 หลัง O-N : แล้วท�ำไมต้องหลังนี้ พี่แตงโม : หลังนี้เพราะมันอยู่ข้างหน้าด้วย แล้วพอ พี่เห็นเพดาน เห็นผนัง เห็นปุ๊บ รู้สึกผูกพันเชื่อมโยง กับหนังสือ แล้วรู้สึกอีกว่ามันเป็นห้องสมุด หรือร้าน หนังสือได้นะ แล้วก็เล็งหลังเล็กอีกหลังเผื่อลงทุนไม่ ไหว

11


O-N : พอเห็นที่นี่แล้ว พี่แตงโมท�ำอย่างไรต่อ คิดไหม ว่าจะอยู่ที่นี่เลย พี่แตงโม : ตอนนั้นพอเขามาเปิดให้ดูพี่ก็คิดว่า “ยังไงก็ ต้องท�ำ” ก็คงใช้ชีวิตที่นี่ แต่ ไปกลับบ้านเพราะต้องดูแล ที่บ้านด้วย แล้วคิดว่าจะท�ำเป็นโรงเรียนด้วยดีกว่า มี โรงเรียนแล้วต้องมีห้องสมุด พี่เจ้าของโครงการก็ชอบ คอนเซ็ปต์เรา O-N : แล้วพี่นัทมาท�ำมาหาสมุดร่วมกันได้อย่างไร พี่แตงโม : ตอนลงไปงาน a day bike fest 2013 ก็ ไป เจอนัทในงานโดยบังเอิญ นัทก็ถาม “พี่แตงโมท�ำไรอยู่” ก็ เล่าให้ฟังว่า “พี่กลับมาอยู่เชียงใหม่ เจอที่สวยมากเลย อยากท�ำโรงเรียน แล้วพี่จะท�ำห้องสมุดด้วย เห็นนัทเคย เปิดเพจ สนใจรึเปล่า?” นัทก็บอกว่าสนใจ นัทก�ำลังลา ออกจากงานพอดี วันหนึ่งนัทก็ โทรมาบอกว่าเดี๋ยวจะขึ้นมา เชียงใหม่ จะมาดูที่ พอนัทมันเอาจริง เราก็ โอเค อย่างนั้น ก็ท�ำร่วมกัน ก็เลยคิดว่าถ้าท�ำเป็นโรงเรียนแล้ว นัทจะไป อยู่ตรงไหน พอชั่งดูแล้วเราก็เลยตัดสินใจท�ำห้องสมุดละ กัน เรามีจุดร่วมกัน คือ อยากแบ่งปันสิ่งที่เรามี ให้คนอื่น เราชอบหนังสือ เรารู้สึกว่าหนังสือมันสามารถเปลี่ยนคนได้ แต่ก่อนพี่อาจเป็นเด็กกวนตีนๆ ไม่คิดอะไร คิดไม่เป็น แต่ พออ่านหนังสือแล้ว มันสั่งสม มันตบเราให้เป็นอย่างทุกวัน นี้ ก็ ไม่ ใช่เฉพาะหนังสือหนังสือ สิ่งแวดล้อม พ่อแม่ ครูบา อาจารย์สั่งสอนมา รวมๆ กัน แต่เรารู้สึกว่าหนังสือเป็น หลักใหญ่ เรามีหนังสือ เราอยากให้คนเข้ามา ทั้งคนที่ชอบ หนังสือเหมือนกันกับเรา หรือคนที่ ไม่ ได้ชอบแต่มาเห็นแล้ว ได้ลองอ่าน มันอาจจะเปลี่ยนชีวิตเขาได้นะ หรือบางทีคน ก็ ไม่อาจซื้อหนังสือได้ทุกเล่มที่อยากอ่านได้ ก็อยากแบ่งปัน ให้ทุกเพศทุกวัย เข้ามาอ่านหนังสือได้อย่างไม่มีข้อจ�ำกัด เข้ามาได้เรื่อยๆ O-N : มีคนมาบอกรึยังคะว่า อยากอ่านเล่มนี้ แต่ยังไม่มี โอกาสได้ซื้อ พี่แตงโม : ยังไม่เห็นชัดนะ มีแต่เข้ามาแล้วตั้งใจอ่านหนังสือเล่มนี้จนจบ คือมาทุกวัน หรือมาเรื่อยๆ สังเกตได้ว่าเขา มีสมาธิในการอ่าน เราดูออกอะว่า คนไหนที่มาเป็นลูกค้าใช้พื้นที่ hang out พูดคุย เหมือนเป็นร้านกาแฟทั่วไป ถ้าคน มานั่งอ่านหนังสือ สั่งขนมปัง 1 แผ่น 15 บาท กินไปแล้วก็อ่านหนังสือไป น�้ำเปล่าเตรียมมาเอง เห้ย! พี่ โอเค ไม่ต้อง สั่งอะไรมาก ไม่ต้องจ่ายเงินให้เราเยอะ อยากให้เข้าใช้พื้นที่ มาเงียบๆ สงบๆ ดีอะอย่างนั้น ชอบ! 12


O-N : คิดตั้งแต่แรกมั้ย ว่าจะขายขนม เครื่องดื่มด้วย พี่แตงโม : ไม่ ได้คิดนะ แต่พอมีห้องสมุด มันเป็นการแชร์ ให้คนอื่น แล้วเราจะอยู่ยังไง จะเอาอะไรกิน ก็มาคุยกัน ตอนแรกก็ เอ๊ะ ท�ำน�้ำผลไม้ดี ไหม ดูรักสุขภาพ ท�ำง่าย แต่ ก็คิดไปว่าเป็นกลุ่มเฉพาะไป ช่วงที่คิดก็มีที่อยากท�ำ คือ นมกับกาแฟ พอดี โครงการก็ถามเราว่า “ตกลงน้องจะท�ำ อะไร?” เราก็เลยรู้ว่าจะมีร้าน The Old Chiangmai มา เปิด เป็นร้านกาแฟชื่อดังในเชียงใหม่ เราก็เคยคิดว่าไม่ควร ซ้อนทับธุรกิจกัน พี่ก็เลยลองไปชิมกาแฟร้านเขา อร่อย! ถ้าเราท�ำ เราท�ำไม่ ได้อย่างนี้แน่นอน เราก็เลยเหลือตัว เลือกเดียว คือ นม หรือเป็นพวกเมนูโบราณ เข้ากับสถาน ที่ แล้วนมมันกินได้ทุกวัย ก็เหมือนกับหนังสือที่มีอยู่ว่าอ่าน ได้ทุกวัย เด็ก วัยรุ่น วัยชรา ทุกอย่างมันสอดคล้องกัน เราก็เลยแยกไปเรียนสูตรนม แล้วเอามาแชร์กัน O-N : แชร์สูตรนมกันอย่างไร? พี่แตงโม : เราก็ซื้อของมาที่นี่ แล้วมาทดลองกันว่าสูตร ใครจะเจ๋งกว่ากัน สุดท้ายไม่เจ๋งสักสูตร ก่อนหน้านี้พี่ก็ ไป กินมาหลายร้านเหมือนกัน แต่บางที่เราไม่ โอเคกับรสชาติ ถ้าเทียบกับราคา ถ้าเราท�ำงานเราก็อยากให้รสชาติมัน โอเค มันสามารถเกื้อหนุนกันได้ เราอยากเอาก�ำไร หลอก เขามานั่ง แล้วจ�ำเป็นต้องสั่ง ท�ำก็ท�ำให้ดีๆ เพราะเราเคย รู้สึกอย่างนั้นมา เพราะงั้นเราต้องชิมทีละแก้ว ชิมสองคน ไม่พอ เราก็เอาไปให้เพื่อนบ้านช่วยชิมด้วย เพื่อนบ้านก็ ช่วยเราคิด มีความเป็นห่วงเป็นใยกัน ช่วงเย็นๆ ก็มาท�ำ กับข้าวกินกัน เราก็ปรึกษาเรื่องวัตถุดิบ อุปกรณ์การท�ำกับ พี่ที่ท�ำร้านกาแฟ เขาไม่กั๊กเลย

{

}

เรามีจุดร่วมกัน คือ อยาก แบ่งปันสิ่งที่เรามีให้คนอื่น เรา ชอบหนังสือ เรารู้สึกว่าหนังสือ มันสามารถเปลี่ยนคนได้

O-N : เล่าถึงเพื่อนบ้านในโครงการบ้านข้างวัดให้ ฟังหน่อย พี่แตงโม : เรามารู้จักกันตอนมาอยู่นี่ เหมือนเป็น หมู่บ้าน เรารู้สึกเป็นบ้านมากกว่าเป็นร้าน คือถ้าเป็น ร้าน ท�ำๆ เสร็จ ปิดร้าน นับเงิน กลับบ้าน ไม่สนใจ กัน แต่ที่นี่ พอปิดร้าน ลูกค้ากลับบ้านหมด เราก็ ท�ำกับข้าวกินกัน เล่มเกม ออกก�ำลังกาย ตีแบต ตี ปิงปอง มันเป็นจริง ไม่ ใช่เรื่องอุดมคติที่เราคิดกัน และเราก็ ไม่ ได้สร้างภาพ ฝืนตัวเอง มันเป็นความบัง เอิญด้วยมั้งนะที่อยู่ดีๆ มาเจอกันแบบนี้ แปลกดี เล่า ไปคนก็อาจจะไม่เชื่อ ต้องมาเห็น มาสัมผัสดู ถ้าได้ คุยกับทุกคนจะมีความคล้ายกันอยู่ อายุน้อยสุด 23 มากสุดไม่เกิน 50 ปี มีต่างชาติด้วย เป็นเกาหลี มี สามีเป็นคนไทย เราสัมผัสได้ว่าแต่ละบ้านไม่ ได้ท�ำ เพื่อธุรกิจ อย่างบ้านพี่จะท�ำครัวจริงจังสุด ก็จะชวน เขามากิน หรือแบ่งไปให้ที่บ้าน บ้านอื่นก็ชวนเราไป กินข้าวบ้านเขา O-N : เปิดร้านวันแรก พี่แตงโม : เราตกลงคุยกันตั้งแต่ธันวาปลายปีที่แล้ว เตรียมร้านกันมาเรื่อยๆ จนเปิดร้านจริงๆ ขายวันแรก 17 มิถุนา 57 O-N : เปิดร้านวันแรกเป็นอย่างไรบ้างคะ? พี่แตงโม : ตอนแรกไม่ ได้ตั้งใจจะเปิด 17 มิถุนายน นะ ตั้งใจจะเปิด 18 แต่วันที่ 17 มีลุงคนนึง เขาแวะ เข้ามาคุย นัทก็เล่าคอนเซ็ปต์ร้านให้ฟัง ลุงก็ถาม “วัน นี้มีอะไร?” เราก็ท�ำกาแฟเย็นให้ลองชิม ลุงก็ถือไป กินหน้าร้าน คนก็เริ่มเข้ามาดู ลุงก็แบบ “หนูๆ มากิน ร้านนี้อร่อย” เราก็เออขายได้หวะ! ก็เปิดวันนั้นเลย เป็นความบังเอิญ ลุงก็เรียกแขก เขาก็มาอีกเรื่อยๆ ชื่อลุงหม่อม น�้ำท่วมอยุธยาเลยย้ายมาอยู่เชียงใหม่ ได้ 2 ปีแล้ว เราก็รู้สึกผูกพันกับลุง ลุงก็เอ็นดูเรา ลุงก็มา ช่วยอุดหนุนเรื่อยๆ พอช่วงหลังคนเยอะแล้ว ลุงก็ ไป ที่อื่น ลุงเหมือนเป็นเทวดา มาช่วยท�ำให้เกิด แต่ถ้าลุง มาว่างๆ เราก็มีกับข้าว ชวนลุงกิน ลุงก็มีปลาร้าสับ มาให้เรากิน ลุงแต่งตัวเฟี้ยวมาก

13


O-N : พอเปิดร้านแล้ว เจอปัญหาอะไรไหม? พี่แตงโม : มันก็ ไม่เชิงเป็นปัญหาหรอก แต่เราต้องมาโฟกัส เรื่องการเงินว่าจะอยู่ ได้ ไหม? ค่าเช่าเท่าไหร่? เงินเดือนเท่า ไหร่? เงินที่ต้องซื้อของเข้าร้าน เหมือนเราทุ่มเงินทั้งหมดที่ เราเก็บสะสมมา ไม่ ไปเที่ยว ไม่ซื้อของ เราก็อยู่ ได้ แล้วเงิน หมุนนี่แหละที่จะเลี้ยงชีวิตเราต่อไป เราก็ต้องค�ำนวณต้นทุน แต่ละแก้วเท่าไหร่? ควรจะขายราคาเท่าไหร่? อยากให้ นักศึกษาจับจ่ายได้ ที่เขารับได้ เราก็จะมีราคาที่กดไว้ว่าไม่ อยากให้แพงไปกว่านี้ O-N : แบ่งหน้าที่กันอย่างไรระหว่างพี่แตงโมและพี่นัท พี่แตงโม : ก็แบ่งนะ แต่สุดท้ายมันขึ้นอยู่กับแต่ละคนว่า เต็มใจจะท�ำไหม เราท�ำเท่าที่จะท�ำได้ แบบไม่หงุดหงิดใจ กัน คือเราตัดสินใจท�ำด้วยกัน นัทเขาก็เสียสละมาอยู่นี่แล้ว สุดท้ายแล้ว ไม่ว่าท�ำกี่คน เราก็รู้สึกแฮปปี้ทั้งคนเดียวและ สองคน ก็มีทะเลาะกันบ้าง เรื่อยๆ เรื่องเล็กน้อย เช่นเรื่อง การวางแผนการจัดการ การจัดการคนที่จะเข้ามา หรือเรื่อง สื่อ เช่นล่าสุด รายการทีวีจะมาสัมภาษณ์ พี่รู้สึกว่ามันดัง เกินไปแล้ว พี่อยากอยู่เฉยๆ เงียบๆ ใจมันรู้สึกไม่อยาก ใช้ เซนส์ตัวเอง บางทีเซนส์ไม่ตรงกันทั้งสองคนก็ต้องอธิบายกัน เราก็แชร์ความคิดกัน คุยกัน ยอมรับและปรับตัวเข้าหากัน 14

O-N : เงินกองกลาง พี่แตงโม : เงินเดือนแยกกัน ส่วนอาหารที่ซื้อเข้ามา กินด้วยกัน แต่เป็นเงินส่วนตัวนะ ไม่ยุ่งกับเงินในห้อง สมุด เราก็เลยคิดว่าต้องขายของอย่างอื่นด้วยด้วย ก็หาของที่เข้ากับร้านทยอยเข้ามาร้านเรื่อยๆ จริงๆ อยากท�ำหนังสือท�ำมือของตัวเองด้วย O-N : ก�ำไรจากการท�ำร้านมาหาสมุด พี่แตงโม : ไม่มีเงินเหลือหรอก ถามว่าท�ำแล้วรวย ไหม ก็ ไม่รวย เราไม่ ได้คิดอยากจะรวย แต่เราท�ำ แล้วอยู่ ได้ มีความสุข เลี้ยงตัวเองได้ เพราะชีวิต ต้องการแค่นั้นจริงๆ พี่ ได้ความคิดนี้มาตอนไปปั่นจักรยานนั่น แหละ ของที่พาไป มันรู้สึกหนักเวลาขึ้นเขา กลาย เป็นคิดว่า “คนเราจะสะสมไปเยอะท�ำไม” พี่เลย ส่งของที่ ไม่จ�ำเป็นส่งไปรษณีย์กลับบ้านอีกที เหลือ ของเท่าที่จ�ำเป็น สุดท้ายเราท�ำร้านแล้วขอให้เราอยู่ ได้ มีความสุข แล้วได้เผื่อแผ่ ให้คนอื่นด้วย อยากให้ ลูกค้าเข้ามาเป็นเพื่อนกัน ไม่ ใช่แค่ผู้ ให้บริการ-ผู้รับ บริการ หนังสือก็เป็นสื่อหนึ่งให้เราเข้าหากัน แค่นั้น ก็พอแล้ว


O-N : เคสลูกค้าประทับใจ พี่แตงโม : ตอนนั้นช่วงเย็นละ มีคนที่น่าจะตามมาจากเพจ รีวิวของกินในเชียงใหม่ เขามาถึง “เอ้าน้อง จะขายรึเปล่า เนี่ย เคลียร์ โต๊ะหน่อย” เขามาจากรุงเทพ นั่งรถเข็นมาด้วย แล้วดูใช้อภิสิทธิ์เพื่อให้เราดูแลอย่างดี แต่ก็มีคนมาด้วยกัน นะ พี่ก็ตกลงกับนัทไว้ตั้งแต่แรกแล้วว่ายังไงเขาเป็นลูกค้า เราก็ต้องดูแลให้เท่าเทียมกัน ทุกคนที่เข้ามาถือว่าเป็นโอกาส เป็นความบังเอิญของเรา เราต้องให้ความเมตตา ต้องดูแล ทุกคนในแบบของเรา พี่ก็เลยได้ โอกาสอธิบายคอนเซ็ปต์ร้าน ให้เขาฟังว่าที่นี่เป็นห้องสมุด แสดงวิถีชีวิตให้เขาเห็น แล้ว เขาก็ดูมีความสุขที่เห็นสิ่งที่เราเล่นกัน เขาอาจไม่คาดหวัง ด้วยว่าจะมาเจออะไรแบบนี้ พี่ว่าเขาได้ ในสิ่งที่เขาไม่คิดว่า จะได้ แต่อาจจะไม่ ได้ ในสิ่งที่เขาต้องการ O-N : มีเคสประทับใจอีกไหมคะ? พี่แตงโม : ตอนวันหยุดอย่างวันปิยมหาราช มีคนมานั่ง อ่านหนังสือเป็นครอบครัว มีคุณยาย คุณหลาน คุณพ่อคุณ แม่ มาสั่งอาหาร แล้วเปิดหนังสือ อ่านจริงจัง นั่งหันหน้า เข้าหาครัว แล้วบรรยากาศตอนนั้นคนอ่านหนังสือกันจริงจัง กันหมดเลย ก็สะกิดกับนัท “เออ ดูน่ารักดีนะ” เราก็ถ่ายรูป เก็บไว้ แล้วก็อีกเคสหนึ่งเป็นพี่ที่รู้จักกัน เขาก็คุ้นชินกับที่นี่ละ แล้วมีลูกค้าใหม่มานั่งคนเดียว ลูกค้าก็ชวนพี่ที่รู้จักไปนั่งด้วย กัน ทั้งสองเป็นคนแปลกหน้าที่ ไม่เคยรู้จักกัน พวกเขาก็เลย ได้คุยกัน ก็เลยรู้สึกประทับใจ พี่อยากให้ห้องสมุดเป็นแบบ นั้นแหละ ถือว่าประสบความส�ำเร็จ (หัวเราะ) แล้วก็มีครั้ง หนึ่งเด็กกลุ่มใหญ่มา พี่ก็เลยถามไปว่า “มากันกี่คน เดี๋ยว เคลียร์ที่นั่งให้” เขาก็บอก “ไม่เป็นไร เดี๋ยวนั่งกระจายกัน ก็ ได้” พี่ประทับใจประโยคนี้อะ

{

}

สุดท้ายเราทำ�ร้าน แล้วขอให้เราอยู่ได้ มีความสุข แล้วได้เผื่อแผ่ให้คนอื่นด้วย

O-N : โปรเจคในห้องสมุด พี่แตงโม : ที่คิดๆ ไว้มีอย่างหนึ่งอยากท�ำแต่ยังไม่ ได้ท�ำ คือ “วันนี้ขออนุญาตจัดที่นั่งให้นะ” อยากดูว่า บรรยากาศนั้นมันจะเป็นอย่างไร นัทก็ถามว่า “นัด บอดเหรอ?” (หัวเราะ) แต่มีที่ท�ำไปแล้ว คือ No Wi-Fi / Call Your Mom (พี่แตงโมเดินไปเรียกพี่ นัทมาช่วยคุย) ที่ท�ำเพราะเราเริ่มรู้สึกว่าคนที่เข้ามา คาดหวังว่าที่นี่จะเป็นร้านกาแฟ คนเริ่มมาใช้คอมพ์ เยอะ เราก็ ไม่ โอเค วันนั้นก็เลยตัดสินใจดึงไวไฟทิ้ง พี่นัท : เหมือนวันนั้นเราไปเจอรูป No Wi-Fi พี่แตงโม : อ้อ ครั้งแรกเลย เราไปเจอรูปที่เพื่อน โพสต์ ในเพจเขา เขียนว่า “No Wi-Fi! Talk to each other! Call your Mom! Pretend it’s 1993!” ก็ชอบ พี่นัท : เรารู้สึกว่าลองหากิจกรรมอะไรให้เขาเล่น สนุกๆ ดู ถ้าเราเลือกได้ เราก็อยากให้เขาเข้ามา นั่งอ่านหนังสือมากกว่า ก็คิดว่าท�ำอย่างไรให้เขา ฉุกคิดอะไรนิดนึง แล้วใช้วิธีการที่ ไม่ฮาร์ดคอร์ เล่น กันสนุกๆ กัน เป็นกิจกรรม พอท�ำขึ้นมาสัปดาห์นึง สังเกตได้ว่าคนหยิบหนังสือมาอ่านเยอะขึ้นอย่าง ชัดเจน ในอนาคตเราอาจน�ำกิจกรรมนี้กลับมาใช้อีก บ้างเป็นบางสัปดาห์

15


O-N : ลูกค้าโอเคกับ No Wi-Fi มั้ย พี่นัท : อาจจะงงๆ นิดนึง แต่เขาก็ ใช้ชีวิตได้ตามปกตินะ เพราะเขา ก็มีเน็ตในมือถืออยู่แล้ว แต่บางคนก็เข้ามาถามว่า “ท�ำไม รอบที่แล้ว มายังมีอยู่เลย” เราก็เลยได้ โอกาสอธิบายว่าเราท�ำห้องสมุดนะ เรา อยากท�ำให้มันชัดเจน แล้วสื่อถึงเขา

O-N : มีกิจกรรมอะไรอีกไหมคะ? พี่นัท : มีสัปดาห์นึงปิดเพลง ปกติที่ร้านมาหาสมุดจะมีเปิดเพลง มัน เริ่มมาจากแนวคิดที่ว่า เราอยากท�ำห้องสมุด แต่เราอยากทดลอง ท�ำในแบบที่แตกต่างจากห้องสมุดที่มันเคยมี อยากขบถนิดนึง อยาก ลองท�ำในแบบของเรา อยากลองเปลี่ยนดู พอมันเป็นห้องสมุดส่วน ตัว เราท�ำอะไรกับมันก็ ได้ เราก็ท�ำให้แบบของเรา หลักๆ คือยึดจาก ความชอบส่วนตัว มันคือพื้นที่ของเรา ที่เราอยู่กับมันตลอดเวลา ทุก วัน เพลงก็มีหลายแนวเลยนะ สุนทราภรณ์ เอลวิส อินดี้ แจ๊ส บลู ซิ๊กตี้ หรือบางทีก็ดูบรรยากาศเอา ถ้าอากาศร้อนๆ ก็เปิดเพลงที่มัน เย็นๆ หน่อย ถ้าคนเยอะๆ ช่วงตอนเย็น ก็เปิดเพลงที่มันคึกคักหน่อย เรารู้สึกว่ามันสื่อถึงลูกค้าที่มา แล้วมีบางคนพูดถึงเพลงที่เราเปิด ว่า ชอบ เหมือนเราไม่ ได้คาดหวัง แต่เขากลับพูดถึง O-N : งั้นขอย้อนกลับไป พี่นัทมาท�ำห้องสมุดร่วมกับพี่แตงโมได้ อย่างไรคะ? พี่นัท : เป็นช่วงจังหวะที่เราออกจากงานพอดี เพราะถึงจุดที่ ไม่คิด ว่าจะท�ำต่อไหวแล้ว เมื่อปลายปีที่แล้ว เราก็ตัดสินใจออกมา แล้ว เหมือนเราเจอหน้าพ่อแม่น้อยมาก แล้วก็คิดว่ามันเริ่มแปลกๆ ว่ะ แล้วเราก็ถามตัวเองว่า “เรามีทางเลือกอื่นป่าววะ?” เรารักที่นี่นะ เรา ท�ำมา 3 ปี แต่เหมือนตอนหลังมันมีปัญหาอะไรบางอย่าง เลยไม่ ค่อยมีความสุข

16

ก่อนหน้านี้เราเคยได้อ่านหนังสือหลายๆ เล่มของพิบูลศักดิ์ ละครพลด้วย เขาเป็นนักเขียนภาคเหนือ เขาอธิบายบางอย่างถึง ภาพของเชียงใหม่ แล้วเหมือนเรามีภาพในหัวอะไรบางอย่างอยู่แล้ว ด้วย เป็นความฝันเลยว่าเราอยากมาอยู่เชียงใหม่ เป็นความอินที่ ไม่มี สาเหตุ คิดเล่นๆ ด้วยว่า ถ้าจะอยู่นะ อยากอยู่ ในซอยวัดอุโมงค์ แล้ว ก็ถ้าเป็นไปได้ อยากมีบ้านที่เห็นภูเขา แล้วช่วงจังหวะนั้นเราก็ ได้มา เจอพี่แตงโมที่งาน a day bike fest พอดี พี่แตงโมก็เปิดรูป ให้ดูว่า “ที่นี่อยู่ซอยวันอุโมงค์ ข้างหลังคือดอยสุเทพนะ” แล้วก็ชวนมาท�ำห้อง สมุด


O-N : พี่นัทท�ำเพจห้องสมุดใจใหญ่มาก่อน พี่นัท : ใช่ๆ เป็นเพจห้องสมุด เป็นหนังสือของเราเอง ที่เริ่ม ต้นท�ำเพราะเรามีหนังสือประมาณนึง แล้วจากการที่เราอ่าน หนังสือมา มันท�ำให้เกิดอะไรบางอย่างกับวิธีคิดของเรา เรา เริ่มจากการอ่านการ์ตูน ขายหัวเราะ มหาสนุก เนี่ยแหละ แล้วก็เริ่มอ่านแก๊กสั้นๆ เรื่องสั้น เห้ย สนุก! แล้วค่อยเขยิบ มาอ่านเรื่องยาว ก็อ่านมาเรื่อยๆ ความชอบอ่านหนังสือมัน เป็นไปโดยอัตโนมัติ O-N : เริ่มเลือกหนังสืออ่านเองเมื่อไหร่? พี่นัท : ประมาณ ม.ต้น ไปอ่านหนังสือตามห้างมากกว่า ไปยืนอ่านฟรี ไม่ค่อยได้ซื้อ ตอนนั้นไม่มีตังค์ แต่เราจะอ่าน อะไรที่มันไม่ยาว หนังสือภาพ แล้วก็ราคาแพง เช่น Jimmy Liao แล้วก็ปกติเราคงไม่ซื้อหนังสืออะไรพวกนี้อยู่แล้ว จ่าย ค่ารถไปอ่านหนังสือตามร้านช่วงเสาร์อาทิตย์ ท�ำอย่างนี้บ่อย หรือตอนอยู่ โรงเรียนก็ยืมหนังสือจากห้องสมุดบ้าง ตอนนั้น Harry Potter ก�ำลังบูม แล้วเหมือนมันเปิดโลกเราอีกรอบ มันเปลี่ยนทัศนคติกับการอ่านหนังสือเล่มยาวๆ O-N : หนังสือในร้าน เป็นของตัวเองทั้งหมดไหม? พี่นัท : เป็นของเราเอง แล้วก็มีคนเอามาให้ด้วย บางคนส่ง ไปรษณีย์มาให้ บางคนก็ยกมาให้ถึงที่นี่เลย O-N : ระบบการยืมหนังสือ พี่นัท : เป็นการยืมคืนแบบระบบแมนนวล มันเป็นกิมมิคของ ร้าน แต่มีระบบคอมพ์ด้วย เหมือนเจอกันตรงกลาง ระบบ คอมพ์ ใช้บันทึกบัญชีหนังสือ และสมาชิก เอาไว้สืบหาข้อมูล ให้มันง่ายขึ้น ตั้งไว้ตอนต้นให้ยืมได้เล่มละประมาณ 3 วัน เพราะหนังสือให้ห้องสมุดเรายังมีน้อย เดี๋ยวค่อยปรับไปตาม ความเหมาะสม O-N : คนที่มายืมหนังสือ พี่นัท : ตั้งแต่เปิดมาประมาณ 20 คน ที่สมัครสมาชิก คนที่ ยืมจริงๆ คือเป็นคนแถวนี้ ส่วนใหญ่เป็นวัยนักศึกษา มากกว่า คนท�ำงาน 17


O-N : ความเป็นไปของร้านตั้งแต่เริ่มจนถึงตอนนี้ พี่นัท : เดือนแรกเหมือนเป็นการเปิดตัว คนรู้จักแต่น้อย พอเราเริ่มออกสื่อ คนก็เริ่มรู้ว่าเราท�ำอะไร มันเพิ่งมา พีคช่วงเดือนสองเดือนหลังนี่แหละ มันเป็นเรื่องปกติ เรา วางแผนคร่าวๆ ว่า ช่วงแรก เริ่มต้น เป็นช่วงให้คนรู้จัก ช่วงที่สองเป็นช่วงที่ ให้เขารู้ว่าเราท�ำอะไร ช่วงที่สามเป็น ช่วงเราที่มีอะไรอยากสื่อ มันถึงจุดตกตะกอนประมาณ นึง ที่เราอยากส่งต่ออะไรดีๆ ให้คนอื่น ตอนนี้มันอยู่ ใน ช่วงหนึ่งช่วงสอง คาบเกี่ยวกันอยู่ จริงๆ เราวางแผนไว้ ช่วงแรกคือ 1 ปีเลยนะ แต่มันดันเร็วกว่าที่คิดไว้ ถ้าพูด ถึงชื่อแบรนด์มาหาสมุดมันเริ่มติดแล้วนะ แค่ประมาณ 3-4 เดือน

18

O-N : ที่มาของชื่อ ‘มาหาสมุด’ และโลโก้ พี่นัท : ช่วยกันคิด คือ เราอยากได้ชื่อที่น่ารัก ดู ไม่ทางการเกินไป มีกิมมิค มีลูกเล่น สื่อไอเดียได้ เราชอบการเล่นค�ำ ที่อ่านค�ำนึง เขียนค�ำนึง แต่ สื่อความได้หลากหลาย ส่วนโลโก้ ให้พี่ที่เป็นหนึ่ง ในทริปปั่นจักรยานด้วยกันช่วยท�ำ มันก็สื่อได้ตรง ประมาณนึง เข้ากับชื่อร้าน


O-N : เวลาเปิด-ปิด ร้าน พี่นัท : อังคาร-พฤหัส เปิด 11 โมง ศุกร์-เสาร์-อา เปิด 10 โมง ปิดทุ่มนึงเหมือนกันทุกวัน แล้วก็ปิดร้านทุกวัน จันทร์ เราเลือกเอาเวลาที่เรารู้สึกว่าไม่เร่งรีบเกินไป ส�ำหรับเรา ก็คุยกันกับพี่แตงโม ว่าไหวกันเวลาไหน หา จุดตรงกลางที่เราสามารถใช้ชีวิตได้ ไม่เบียดวงจรชีวิต เราเกินไป อย่างช่วงแรกปิด 3 ทุ่ม พอถึงเวลาจริงๆ ฟ้า เริ่มมืด คนก็กลับกันหมดแล้ว พอทยอยเก็บร้าน ล้างจาน มันก็กินเวลาประมาณนึง มันเหนื่อยเกินไป O-N : สเตตัสยาวๆ ล่าสุดใน เพจมาหาสมุดที่เล่าถึง การท�ำเครื่องดื่ม พี่นัท : มันประมาณว่าเราจะขายของให้คนอื่นกิน แล้ว เราจะเก็บตังค์เขาอะ คือนึกจิตใจเรา ถ้าเราจะจ่ายเงิน ซื้อของอะไรซักอย่าง มันต้องคุ้มค่าคุ้มราคา ต้องไม่เหี้ย ไป เราว่ามันไม่ ได้เหลือบ่ากว่าแรงที่เราจะท�ำให้มันดี อย่างน้อยเราก็รู้สึกไม่บาป ไม่หลอกลวงคนอื่น แล้วพอ เขาชอบสิ่งที่เราท�ำ เราก็รู้สึกดี O-N : มาท�ำร้านมาหาสมุด อยู่ ไกลจากครอบครัวที่ กรุงเทพ ครอบครัวว่าอย่างไรบ้างคะ? พี่นัท : เขาไม่ค่อยเห็นด้วย แต่เขาไม่ ได้แปลกใจที่เราจะ ท�ำ เพราะเขารู้ว่าลูกตัวเองเป็นอย่างไร คอยดูห่างๆ เขา เคยขึ้นมาดูนะ ก็คงโอเคประมาณนึง แต่ ไม่ค่อยโอเคกับ ตัวเราที่เราท�ำงานค้าขาย แล้วเรายังเฉื่อยๆ ยังท�ำตาม อารมณ์ มันควรกระตือรือร้นมากกว่านี้หน่อย เขาก็เห็น ภาพตรงนั้น ก็ยังเป็นห่วงแหละ เราก็จะพูดอธิบายในสิ่ง ที่เขาอยากจะเข้าใจในจุดๆ นั้น

O-N : วางแผนส�ำหรับอนาคตไว้อย่างไรบ้าง พี่นัท : ถ้าส�ำหรับเรา ต้องหาตังค์เพิ่ม เพราะมัน เหมือนเป็นการท�ำกิจการของตัวเอง ด้วยวัยของเรา เรารู้สึกว่าอีกไม่กี่ปีเราก็มีครอบครัว อย่างเมื่อก่อนใช้ ชีวิตอยู่ ในเมือง ใช้เงินเดือนชนเดือนไม่มีเงินเก็บส�ำหรับ อนาคต ถ้าจะอยู่คนเดียวไปตลอดชีวิตอยู่ ได้ ถ้าเป็น ครอบครัวมันไม่ ได้หวะ เราเข้าใจว่ามันเป็นช่วงเริ่มต้น เรารู้สึกว่า เริ่มต้นแล้วได้เท่านี้มันโอเค มันสามารถ ต่อยอดไปได้อีก ทางมันโล่งขึ้นละ ถ้าเกิดเราอยาก หาเงินได้มากกว่านี้ ในอนาคตเราอาจจ้างเด็กมาช่วยดู เพื่อจะได้มีเวลาไปคิดท�ำอย่างอื่น O-N : วันที่ ใครคนใดคนนึงต้องอยู่ร้านคนเดียว พี่นัท : โครตพีคเลยนะ เราก็ท�ำเท่าที่ท�ำได้คนเดียว ถ้าเกิดเราท�ำช้า ท�ำไม่ทัน เราก็คิดว่าเป็นเรื่องที่ เข้าใจได้ ถ้าเขาเปิดใจที่จะเข้าใจ เรารู้สึกว่ามันเป็น คอมมอนเซนส์ แล้วเราท�ำห้องสมุด เราก็บอก “ถ้า มันช้า คุณลองหยิบหนังสือมาอ่านสักเล่มไหม?” เขาก็ เข้าใจในภาพที่เขาเห็นตรงหน้า O-N : ความประทับใจต่อลูกค้า พี่นัท : มีลูกค้าบางคนช่วยล้างแก้ว เห้ย พีคมาก พี่ก็ เข้าไปถามว่า “เห้ย ท�ำไร?” เขาบอก “เขาอยากช่วย” เราก็ประทับใจ แต่เราก็เกรงใจนะ แต่มันเป็นธรรมชาติ ของแต่ละบุคคล มันเป็นอะไรที่เกินความคาดหมาย เหมือนเขาเข้าใจ เราเปิดให้เขา เขาเปิดให้เรา เรื่อง ดีๆ มันก็เลยเกิดขึ้น มีช่วงที่ ไม่มีคน มีเบาะยาวๆ สัก พักลูกค้าหลับ หลับจริงจัง เห้ย ฮา สนุก! เราแฮปปี้ดี เรารู้สึกว่ามันเจ๋ง ถ้าไปร้านอื่น เขาจะไปนอนตรงไหน วะ เหมือนเราท�ำให้เขารู้สึกว่าเขาอยู่บ้าน หรือไปเล่น บ้านเพื่อน และการที่เขาจะกลับมาอีกมันเป็นเรื่องง่าย

{

เราเปิดให้เขา เขาเปิดให้เรา เรื่องดีๆ มันก็เลยเกิดขึ้น

}

19


O-N : คิดว่าอะไรท�ำให้ร้านมาได้ถึงขนาดนี้.. พี่นัท : ร้านเรามาได้ขนาดนี้ เพราะเราอยู่ตรงนี้ ช่วง จังหวะ โอกาส หลายๆ มาช่วยเสริมกัน ถ้าเราไป อยู่ ในเมือง หรือที่อื่นที่ ไม่ ใช่ที่นี่ เราอาจจะไม่ ได้ดัง เท่านี้ก็ ได้ เราก็เลยรู้สึกว่ามันเป็นเรื่องบังเอิญ พอดี จังหวะ มันดี ไปอะ

{

}

คือเราเผื่อใจว่ามันจะเละ คือถ้ามันจะล้ม เราเตรียมใจ ยอมรับตรงจุดนั้นมาแล้ว

O-N : แล้วพี่นัทคิดไหมว่าอะไรที่ท�ำให้มาท�ำห้อง สมุดร่วมกับพี่แตงโม พี่นัท : ตอนที่พี่แตงโมชวนครั้งแรก ก็อยากมา อีก อาทิตย์นึงพี่ก็จองตั๋วรถแล้วขึ้นมาเลย แล้วก็ ได้เข้าใน ซอยวัดอุโมงค์ครั้งแรกเพื่อมาดูที่นี่แหละ พี่แตงโมก็ ยังงงเลยว่าเราตัดสินใจเร็วประมาณนึง คือจริงๆ เขา บอกหลายคน ว่าสนใจไหม มีที่ตรงนี้ ไม่ ได้บอกเรา คนเดียว เขาคงไม่ ได้คิดว่าเราจะมา แล้วเราเสือกมา จริง แล้วเป็นคนเดียวที่มา ก็เลยได้มาท�ำด้วยกัน เป็น ความซวยของพี่แตงโมนะ (หัวเราะ) O-N : ก�ำลังใจจากแฟน พี่นัท : หลายๆ ครั้งแฟน เป็นคนช่วยตัดสินใจ เขา จะเป็นคนที่คอยช่วยเสริม และสนับสนุน เป็นคนคอย ถีบ “อยากท�ำเหรอ ก็ท�ำดิ” จะไม่แย้ง ไม่ค้าน แต่จะ ช่วย ไปหาข้อมูลมาให้ “ท�ำไมไม่ท�ำอย่างนั้นล่ะ ท�ำ อย่างนี้สิ” แล้วเขาก็รู้ว่าเราชอบท�ำอะไรอย่างนี้อยู่ แล้ว O-N : ชีวิตจริง กับ สิ่งที่คิด พี่นัท : มันเป็นช่วงที่มันยังเคว้งอะ เราไม่เคยท�ำ เรา ไม่รู้ว่าต้องท�ำยังไง เราก็เลยเอาตัวเองเป็นหลัก คิด ว่าถ้าท�ำแล้วเราไม่ชอบ แล้วเราต้องอยู่กับมันนานๆ มันไม่ดีป่าววะ เราก็เริ่มท�ำสิ่งที่เราโอเคก่อน พอเริ่ม ท�ำ เริ่มเป็นชีวิตจริง เหตุผล ปัญหาต่างๆ ก็เริ่มเข้า มา เราก็ค่อยๆ แก้มันไป มันสตาร์ทด้วยอี โก้ โลก สวย พอเจอชีวิตจริง ถามว่าเป๋ไหม ก็ ไม่เป๋นะ เราก็ ท�ำความเข้าใจกับมัน เป็นเรื่องคอมมอนเซนส์ 20

O-N : เพื่อนๆ มาเที่ยวร้านบ้างไหม ว่าไงบ้าง? พี่นัท : มีบ้างตั้งแต่ช่วงแรกๆ เลยที่ ไม่มีคน เพื่อนก็ ขึ้นมาดู เพื่อนชอบๆ บางคนพูด “มึงแม่งเจ๋งหวะ มึง กล้าท�ำ!” เหมือนสิ่งที่เราท�ำมันไม่แย่ด้วยมั้ง O-N : คิดไหมว่าท�ำร้านถึงตอนนี้เป็นก�ำไรแล้ว พี่นัท : มันเลยจุดที่เราคาดหวังมาแล้ว คือเราเผื่อใจ ว่ามันจะเละ คือถ้ามันจะล้ม เราเตรียมใจยอมรับตรง จุดนั้นมาแล้ว แต่ถ้ามีอะไรที่ดีกว่านั้น ไอเหี้ย ก�ำไร แล้วมันดันดีกว่าที่เราคิดไว้มาประมาณนึง เออ..เรา พอใจแล้วนะ ง่ายๆ นะ แค่เรามีแรงท�ำ และมีเงิน จ่ายค่าเช่า ที่นี่ก็ ได้เปิดต่อไป


O-N : ให้พี่ทั้งสองฝากถึงคนรุ่นใหม่หน่อย พี่นัท : เอาเท่าที่เราเจอนะ เรารู้สึกว่าอยากท�ำอะไรก็ ท�ำ แต่คิดก่อนนะ สิ่งส�ำคัญคือทัศนคติ มันน่าจะท�ำให้ ชีวิตเดินไปในแนวทางที่มันไม่แย่ ได้ แล้วเราจะดูว่าสิ่งที่ เราท�ำส่งผลกระทบต่อคนอื่นรึเปล่า ถ้าคุณท�ำสิ่งที่มันดี ยังไงผลที่ ได้มันก็เป็นบวกอยู่แล้ว เรารู้สึกว่าคิดถึง อะไรที่มันนอกเหนือจากตัวเองบ้าง คิดเพื่อคนอื่นบ้าง มันน่าจะเป็นอะไรที่ดี สรุปคือเริ่มจากทัศคติของเรา ก่อน แล้วลองคิดวางแผน คนที่ ใจมันไปแล้ว มีแพสชั่น ชัดเจนในสิ่งที่อยากท�ำ ก็อยากได้ค�ำสนับสนุน “เอ้ยเอา ดิ เจ๋งดี ท�ำเลย!” บางทีคนเราก็ต้องการแค่นั้น เรามีความเชื่ออยู่อย่างนึง “เราไม่รู้จะตาย เมื่อไหร่” ตั้งแต่เด็กละ เรากลัวตาย เรากลัวอยู่ดีๆ วัน นึงตัวเราจะหายไปจากความรู้สึกดีๆ จากครอบครัว จากคนที่เรารัก แล้วไม่มี ใครรู้เรื่องนี้ เราก็เลยอยาก ท�ำอะไรบางอย่างทิ้งไว้ เราเคยคิดฮาๆ วันที่เราตาย แล้วมีคนที่เราไม่รู้จักมางานศพเรา เรารู้สึกว่าเจ๋งหวะ เพราะเราทิ้งอะไรบางอย่างที่จุดประกายเอาไว้ส�ำหรับ คนที่อยากท�ำเพื่อคนอื่น แล้วช่วยๆ กัน ส่งกระจายสิ่ง ดีๆ ออกไปสู่สังคม เราก็เริ่มจากตัวเราเองก่อนแล้วกัน พี่แตงโม : ถ้าไม่ลองเรา เราก็ ไม่รู้ ถ้าคนรุ่นใหม่ ไม่ กล้าก็ ไม่ต้องท�ำ ถ้าท�ำมันต้องกล้าตัดสินใจ ถ้าเรารู้สึก ว่าไม่ปลอดภัยที่จะท�ำก็ ไม่ต้องท�ำ แล้วพร้อมเมื่อไหร่ กล้าเสี่ยงเมื่อไหร่ก็ท�ำ ไม่ต้องรออะไร ขอให้มีความ พร้อมทางร่างกาย จิตใจ อารมณ์ เศรษฐกิจ คือต้อง รู้ตัวเอง ปรึกษาที่บ้าน บางคนก็อาจจะไม่มีอะไรเลย แต่ ใจพร้อมมาก แต่ควรมีแผน A แผน B และเตรียม ใจยอมรับสิ่งที่จะเกิดไว้ด้วยนะ (หัวเราะ) หลังจากคุยกับพี่ๆ ทั้งสองจบลง เรา ก็รู้สึกได้เลยว่า คนที่อยากท�ำอะไรที่นอกเหนือ ไปจากการท�ำเพื่อตัวเองยังมีอยู่จริง และยังมี อีกมากด้วย และทั้งสองเป็นอีกหนึ่งตัวอย่างใน สังคมอันกว้างใหญ่บนโลกใบนี้ :)

เรามีความเชื่ออยู่อย่างนึง "เราไม่รู้จะตายเมื่อไหร่"/ พี่นัท

พร้อมเมื่อไหร่ กล้าเสี่ยงเมื่อไหร่ ”ก็ทำ� ไม่ต้องรออะไร”/ พี่แตงโม

ติดตามกิจกรรมดีๆ จาก Mahasamut Library by ‘ห้องสมุดใจใหญ่’ ได้ที่ www.facebook.com/mahasamutlibrary


เป็นวัยรุ่นห้ามสบาย บทความ : sorsala

อาบ น�้ำเย็น มาก่อน


เพราะชีวิตคือการเดินทาง

บทความ : IMATOMS

สำ�รวจโลก(ภายใน)


A Dish I Cook

ปาร์ตี้สปาเกตตีพอร์คบอล.. อิ่มอร่อยข้ามปี เรื่องและภาพ : ปอลอพอ / twitter : @paleepats_

โอ้ โห ! พอเข้าสู่เดือนสุดท้ายของปีที ไร ร่างกายก็ โหยหาการปาร์ตี้ขึ้นมาโดยอัตโนมัติ เพื่อนๆ ต่างชวนกัน ไปกินปิ้งย่าง ชาบูชาบู หรืออาหารอะไรท�ำนองนี้ที่ ได้ ใช้เวลาร่วมกันนานๆ แต่หลายคนก็คงไปรับลมหนาวตามลาน เบียร์ พร้อมชมแสงไฟวิบวับของต้นคริสมาสต์ยักษ์ ใหญ่กันใช่ม้า.. แต่ส�ำหรับเราแล้วถ้าจะให้ ได้อารมณ์ของปาร์ตี้ส่ง ท้ายปีหน่อยก็ต้องจัดปาร์ตี้ที่บ้านสิ อยากกินอะไรก็ ได้กิน เพราะให้เพื่อนๆช่วยกันหอบหิ้วอาหารและเครื่องดื่มมาด้วย คนละอย่างสองอย่าง ส่วนเราจะจัดเตรียมสถานที่ ไว้ พร้อมกับท�ำเมนูกินง่ายๆ ไว้อีกสักเมนู สปาเกตตีพอร์คบอลเป็นเมนูที่กินง่าย กินได้ทุกเพศทุกวัย ใครๆ ก็ชอบ แม้ขั้นตอนอาจจะดูซับซ้อนไปบ้าง แต่ ท�ำไม่ยากอย่างที่คิด เริ่มจากเตรียมท�ำพอร์คบอลแสนอร่อยกันก่อน หมักหมูบดกับกระเทียมจีนสับละเอียด เกลือ ป่น พริกไทยป่น ใช้มือนวดจนหมูบดนิ่มนวล ส่วนผสมเข้ากันดี น�ำไปแช่ ไว้ ในตู้เย็นสักครู่ หันมาต้มเส้นสปาเกตตีกับ เกลือป่นเล็กน้อยประมาณ 10 นาทีแล้วแต่ระดับความนิ่มที่ถูกใจ ตักขึ้นมาสะเด็ดน�้ำ เปิดให้น�้ำเย็นไหลผ่านเพื่อไม่ ให้เส้นนิ่มไปกว่านี้ คลุกกับน�้ำมันพืชเล็กน้อยกันเส้นติดกันยุ่งเหยิงแล้วพักไว้ก่อน ปั้นหมูบดที่หมักไว้เป็นก้อนกลมพอ ค�ำ น�ำไปนาบในกระทะเทฟลอนพอให้ด้านนอกของหมูปั้นก้อนเปลี่ยนเป็นสีน�้ำตาลเข้มขึ้น พักไว้ ทีนี้เราจะเริ่มท�ำซอส สปาเกตตีกันแล้ว ผัดหอมหัวใหญ่สับหยาบกับเนยพอสุกใส ใส่เนื้อมะเขือเทศต้มสุกยีลงไป ตามด้วยซอสมะเขือเทศ 24


ซอสพริก ปรุงรสด้วยเกลือป่น ชูกลิ่นหอมๆ ด้วยออริกาโน ถ้าแห้งไป เติมน�้ำสะอาดได้เล็กน้อยพอขลุกขลิก ในช่วงขั้นตอนของการปรุงรสนี้ ไม่ ต้องตวงส่วนผสมให้จริงจังมากนัก สามารถปรับรสได้ตามแบบที่เราชอบ สังเกตที่ความเข้มข้นของซอสเป็นหลัก อย่าให้เหลวเจือจางเกินไป พอ ซอสเริ่มเดือดใส่หมูปั้นก้อนที่นาบไว้ลงไปเคี่ยวให้เข้าเนื้อ ใช้เวลาไม่นาน เท่าไหร่ ใส่ ใบโหระพาลงไป ช่วยเพิ่มกลิ่นหอมให้เตะจมูกได้รุนแรงตรง เป้ายิ่งขึ้น คนพอเข้ากัน เป็นอันเสร็จ ปิดไฟได้ จัดเสิร์ฟง่ายๆ โดยตัก ซอสสุดเข้มข้นนี้ราดลงบนเส้นสปาเกตตีที่ต้มเตรียมไว้ ตกแต่งด้วยยอด โหระพาช่อเล็กๆ โรยออริกาโนอีกนิด ทั้งน่ากินทั้งหอมฉุยขนาดนี้ คงท�ำ ให้ ใครๆ น�้ำลายสอกันบ้างล่ะ นับว่าสปาเกตตีพอร์คบอลนี้เป็นเมนูที่เหมาะส�ำหรับงานปาร์ตี้ เป็นที่สุด ลวกเส้นไว้มากหน่อย ท�ำซอสหม้อใหญ่ ให้แต่ละคนตักเส้น ตักซอสราดกันเอาเอง รับรองว่าอิ่มอร่อย สนุกสนาน ประทับใจไปถึง พ.ศ.หน้า ส่วนผสม เส้นสปาเกตตีแบบที่ชอบ 1 หรือ 500 หมูบด 2 กระเทียมจีนสับละเอียด 1 หอมหัวใหญ่สับหยาบ 2 มะเขือเทศต้มสุกยีละเอียด 5 - 6 ซอสมะเขือเทศ 1 ซอสพริก 1/2 ใบโหระพา 10

ห่อ กรัม ถ้วยตวง หัว หัว ลูก ถ้วยตวง ถ้วยตวง ใบ

อื่นๆ : ออริกาโน, เกลือป่น, พริกไทยป่น, น�้ำสะอาด, เนยเค็มส�ำหรับผัด, น�้ำมันพืชส�ำหรับคลุกเส้น

Tips : • เปลี่ยนจากหมูสับเป็นเนื้อสับท�ำเป็น

สปาเกตตีมีทบอลก็ ได้กลิ่นหอมรสอร่อยไปอีกแบบ • จะใช้น�้ำมะเขือเทศแทนน�้ำสะอาดที่ ใส่

ลงไปในตอนท้ายก็ช่วยเพิ่มรสเข้มข้นของมะเขือเทศ แต่ระวังความหวานที่อาจติดมาด้วย


A Short Story I Write เรื่อง : นิรัติศัย บุญจันทร์ ภาพ : Kamonnut Kamda facebook.com/khidwad

[ บันได ] สะพานลอยสีฟ้าอมเขียวในฤดูฝนที่น�้ำเจิ่งตาม ขั้นบันได รองเท้าที่ย�่ำลงของหญิงสาวนั้นรวดเร็วจนลืม ละอองโคลนที่กระเด็นมาติดน่องก็เพราะเมื่อวันก่อนเธอดัน เข้างานสายไปสิบนาที แล้วถ้าวันนี้เป็นเหมือนเมื่อวาน เงิน พิเศษสามพันบาทส�ำหรับพนักงานดีเด่นของสิ้นเดือนเป็น อันต้องชวดไป ฝนเริ่มลงเม็ดอีกรอบแล้ว เธอเร่งฝีเท้าจน กล้ามเนื้อที่น่องปูดโปนบนส้นสูง หญิงชราก�ำลังลงบันไดของสะพานลอยในฤดูร้อน เหงื่อบนหน้าเธออาบคอจนเป็นเงาสะท้อน แล้วหมวก แก๊บสีเขียวที่เธอใส่กับเสื้อโปโลและกางเกงวอร์มก็ร้อน อบเพราะแสงแดด เธอก�ำลังย่างเท้าลงบันไดเหล็กที่สึก เพราะถูกเหยียบจนเห็นเห็ลกเงาสีเทา รองเท้ากีฬาสีขาว 26

ค่อยๆ ก้าวอย่างช้าๆ ขาทั้งสองวางเอื่อยลงทีละขั้นละขั้น แล้วรถเมล์ที่เธอรอก็ดันมาเทียบท่าตอนถึงขั้นที่สี่จากข้างบน เธอนึกเสียดายไปชั่วขณะ แต่ด้วยวัยอันชราจึงไม่อาจเร่ง ความเร็วของร่างกายได้ตามใจหวัง ในวินาทีต่อมาเธอไม่สน จิตใจนิ่งสงบ แล้วขาทั้งสองข้างก็อยู่บนบันไดขั้นที่สี่ แดด เริ่มหุบ เธอเผลอยิ้มออกมาขณะก�ำลังก้าวเท้าขวาลงขั้นที่ห้า ชายหญิงคู่หนึ่งกอดกันกลมบนบันไดเลื่อนของห้าง สรรพสินค้า มีอีกสิบเจ็ดคนบนบันไดเลื่อนเช่นกัน แต่เมื่อ นับได้สิบเจ็ดคน คนสองคนก็ถึงชั้นที่ต้องการ และคนสี่คน ก็เดินเข้าต้นทาง ทุกอย่างผ่านไปเป็นวงกลม ไม่มีเหลี่ยม มุมให้หยุดพัก มนุษย์คนแล้วคนเล่า ผ่านไปช้าๆ ทั้งขึ้นและ ลง ปลายเท้าหยุดนิ่งแต่แววตาเคลื่อนไหวจับจ้องทุกสรรพ


สิ่งที่อยู่ตรงหน้า แล้วเขาหรือเธอก็ถึงปลายบันไดแล้วเดินไป ซื้อของ ห้องน�้ำ ร้านอาหาร หรือ...เขาหรือเธอเคยร้องไห้ หัวเราะ โกรธแค้น หรือ...และเขาหรือเธอเคยกระโดดลงจาก บันไดเลื่อน ลงไปข้างล่าง หรือ...

หากมองออกไป

ตีนบันไดทางขึ้นรถไฟฟ้ามีขอทานชายคนหนึ่งขาซ้าย ขาด ข้างหน้ามีกระดาษเป็นปึกขนาดเอสี่ที่เต็มไปด้วยตัว หนังสือ ในนั้นเป็นเนื้อเพลงบ้าง มีเรื่องสั้นบ้าง มีความคับ แค้นที่ระบายเป็นตัวหนังสือบ้าง ตอนนี้เขาก�ำลังก้มลงเกือบ ติดพื้นระหว่างเขียนเรื่องราวชีวิตได้หนึ่งบรรทัด ตรงหน้า ของเขามีหนุ่มสาวหญิงชายก็ก�ำลังรีบขึ้นบันไดรถไฟฟ้า พวก เขามีต�ำราเรียนพิเศษกันคนละเล่มสองเล่ม ช่วงฤดูกาล เรียนพิเศษเริ่มต้นขึ้นเหมือนไม่มีวันจบสิ้น เรือนร่างปกปิด ด้วยเสื้อผ้าราคาแพงระยับ ในมือถือโทรศัพท์รุ่นล่าสุด ส่วน สายตาที่มองผ่านแว่นแบรนด์เนม ก�ำลังจ้องเรื่องราวในโลกที่ ไม่มีวันจับต้องได้ ขอทานชายเริ่มดี ใจจนยิ้มกรุ้มกริ่ม ดวงตา มองไปยังบันไดที่เต็มไปด้วยผู้คน รอยยิ้มขอทานยังคงอยู่ พร้อมเสียงหัวเราะเบาๆ ในล�ำคอ เขานึกดี ใจ... ………………………………………………… ……………………………………………… ชายหนุ่มเร่งฝีเท้าขึ้นบันไดโรงพยาบาล หลังได้รับ ข่าวร้ายเพราะแม่ก�ำลังป่วยหนัก นาทีที่ผ่านมาอาการเธอยิ่ง ทรุด ลิฟท์แน่นไปด้วยผู้คน ที่สุดเขาวิ่งถึงชั้นสิบห้าจนหอบ จัด ส่วนขานั้นไม่อาจเคลื่อนไหวได้อีก ตะคริววิ่งมายังต้นขา จนต้องล้มตัวลงยืด วินาทีนั้นเองแม่เขาก็ตายลงอย่างสงบ เสียงเครื่องตรวจชีพจรดังยาวดังไปทั่วห้องไอซียู

ของเด็กชายเปลี่ยนเป็นสดใสขึ้นมา...ความคิดใต้เปลือกตา ของชายหนุ่ม บันไดเมรุเผาศพ มีญาติ เพื่อน และลูกทยอยเดิน ไปวางดอกไม้จันทน์ ลูกชายน�้ำตานองหน้า ส่วนเพื่อนเงียบ ขรึม มีหลายคนหัวเราะคิกคัก แล้วเสียงสัญญาณก็ดังขึ้น ไม่กี่วินาที มีกลุ่มควันลอยออกจากปล่องเมรุ วิญญาณผู้ ตายมองเรือนร่างกลายเป็นเขม่า คนอื่นๆ เงียบสงบ ไม่กี่ วันต่อมาไม่มี ใครจ�ำได้ว่าเกิดอะไรขึ้น บันไดศาลาวัดในวันเข้าพรรษาเนืองแน่นไปด้วย ผู้คน บางคนนึกถึงชีวิตบั้นปลาย มีหญิงชรานึกถึงสวรรค์ แม่ชีนึกถึงนิพพาน เด็กชายนึกถึงข้าวเช้า หญิงสาวนึกถึง การงานของวันพรุ่งนี้ ชายกลางคนนึกถึงลูกชายที่เพิ่งเข้า โรงเรียน เณรนึกถึงบ้านอันห่างไกล หลวงพ่อและหลวงพี่ นึกถึงวัดที่เจริญ โจรนึกจะขอล้างบาป มือปืนนึกถึงเหยื่อ หมานึกถึงอาหารเหลือหลังเพล พระพุทธรูปไม่นึกถึงอะไร เลย... ……………………………………………………… ……………………………………… สะพานลอยสีฟ้าอมเขียวในฤดูหนาว ชายชรา หญิง สาว และเด็กนักเรียน พวกเขาก�ำลังเดินลงจากบันได เวลา เกือบทุ่มตรง ลมหนาวพัดและผ่านไป คนทั้งสามเดินลง ไปแล้ว แต่ยังมีชายชรา หญิงสาว และเด็กนักเรียนกลุ่ม ใหม่เข้ามาร่วมวงเวียนบันไดอยู่ ชายชราดวงตามองตรง ยังปลายเท้า หญิงสาวมองบ้านที่ ไกลออกไป และเด็ก นักเรียนมองฟ้าสีครามกับดวงจันทร์ที่เริ่มเปล่งประกาย

เด็กชายกับทรงผมเกรียนติดหนังหัวก�ำลังขึ้นบันได ไม้ผุๆ ของบ้าน ฝีเท้าเร็วรี่จนไม้กระดานเก่าลั่นดังเอี๊ยดอ๊าด เด็กชายใช้มือทั้งสองช่วยพยุงตัวเหมือนกับแมว ชุดนักเรียน เปื้อนดินปนเหงื่ออ กางเกงนักเรียนสีกากี กับเท้าเปล่า และดวงตาดูกระหายอะไรบางอย่างปนความสงสัยข้องใจ ทันใดนั้นเขาได้ยินเสียงแม่ตะโกนทักตอนเกือบถึงประตู มัน รวดเร็ว...เหงื่อที่ผุดบนแก้มดูไร้ค่า แล้วเสียงนั้นท�ำให้ดวงตา 27


A Photo I Shoot

28


A Poem I Feel

กลอนและภาพ : แก้วเกล้า

29


Personal Font

ลายมือ : สินิทธ์ ปนุตติกร

Read Your Life

30


A Book I Read

เรื่องและภาพ : Boymang

ก็องดิด หากนับร้านหนังสืออิสระในกรุงเทพฯ ก็มีจ�ำนวนไม่น้อยอยู่ เหมือนกัน ทว่ามีอยู่ร้านหนึ่งก�ำลังเป็นที่ โดดเด่นกว่าร้านอื่นๆ อาจเพราะ บรรยากาศชิคๆ คูลๆ ในโครงการ The Jam Factory ย่านคลองสาน และสิ่งที่น่าสนใจคือ ร้านนี้ตั้งชื่อตามหนังสือเล่มหนึ่งของนักปราชญ์ชาว ฝรั่งเศส วอร์แตร์ ร้านและหนังสือที่มีชื่อว่า ‘ ก็องดิด ’ หนังสือเล่มนี้เป็นนิยายเชิงปรัญชาที่อ่านไม่ยาก เข้าใจง่าย คล้าย นิทาน เป็นเรื่องราวของตัวเอกที่มีชื่อเดียวกับหนังสือ เขาต้องเจอกับความ ทุกข์ยากล�ำบาก ทั้งอกหัก ถูกใส่ร้ายป้ายสี หรือประสบความเลวร้ายของสงคราม จะว่าไปก็ ไม่ต่างชีวิตของวอร์แตร์เองก็ซวยซ�้ำซวยซ้อนเช่นกัน เพราะชีวิตของผู้เขียนก็ สะบักสะบอมไม่แพ้กัน ก่อนหน้านี้เขาเคยติดคุก ถูกเนรเทศ และมีชื่อเสียงตกต�่ำถึงที่สุด ชีวิตที่ผกผันของวอร์แตร์ ส่งผลให้เขามองโลกในแง่ร้าย งานเขียนชิ้นนี้จึงมีจุดประสงค์ เพื่อโจมตีความคิดเกี่ยวกับการมองโลกในแง่ดี ซึ่งเขามองว่ามันไม่สอดคล้องกับความเป็นจริง! โดยเฉพาะการเสียดสีความเชื่อของในลัทธิสุทรรศนิยมของไลบ์นิซที่สอนว่า “ทุกสิ่งทุกอย่างที่ พระเจ้าประทานมาเป็นไปด้วยดีเสมอ” อย่างไรก็ตามก็องดิดได้สอนแง่คิดอย่างหนึ่งว่า เราควรจะเชื่อมั่นในศักยภาพของความ เป็นมนุษย์ และจงท�ำหน้าที่ของเราให้ดีที่สุด เห็นได้จากประโยคปิดท้ายของเรื่องที่ว่า “เราควรท�ำสวนของเรา” เหมือนดั่งที่คุณแป๊ด-ดวงฤทัย เอสะนาชาตัง เจ้าของร้ายหนังสือก็องดิด พูดถึงแรง บันดาลใจการตั้งชื่อร้านนี้ว่า “ มันหนังสือของวอลแตร์ที่ชื่อก็องดิดค่ะ เป็นนิยายเชิงปรัชญาแปลจากภาษาฝรั่งเศส ก็ องดิดเป็นชื่อตัวละครเอกของเรื่อง เขาผ่านอุปสรรคในชีวิตมามากมาย ทั้งความทุกข์ยาก อกหัก และสงคราม แต่ตอนสุดท้ายของเรื่องก็สรุปว่า ไม่ว่าจะผ่านความยากล�ำบากอะไร เราก็จะท�ำ สวนของเราต่อไป ความหมายคือ สุดท้ายเขาจะยังเชื่อมันในตัวเอง ไม่ว่าใครจะว่าอย่างไร ก็ตาม ไม่ว่าชีวิตจะยากล�ำบากแค่ ไหน เขาก็จะท�ำในสิ่งที่เขาท�ำอยู่ต่อไป ซึ่งนี่ล่ะ ถือเป็นสิ่งที่ พี่แป๊ดตั้งให้เป็นคติประจ�ำของร้านนี้ ” 31


A Movie I Watch

เรื่อง : GUMBEAR facebook.com/optimistic.note

ก่อน แต่เข้าใจกัน รู้จักกัน ด้วยตัวหนังสือที่เต็มไปด้วย พลังและก�ำลังใจตัวหนังสือนอกต�ำราที่มีชีวิต สอนให้คน หนึ่งคนมอบชีวิตให้อีกหลายๆ คน จากค�ำให้การหลังกล่องดีวีดี โรงเรียนลอยน�้ำมี อยู่จริงเหมือนกับที่เราเคยเห็นภาพในถิ่นทุรกันดาร ซึ่ง นักเรียนที่นั่นใช้ชีวิตและเข้าใจแก่นชีวิตบางอย่างมาก กว่านักศึกษาที่ห่มชุดครุยถือใบปริญญาเสียอีก แต่เพียง เพราะคะแนนในกระดาษแผ่นเล็กๆ เท่านั้นที่ท�ำให้พวก เขาลอยคออยู่ ใต้เส้นมาตรฐาน

สอนหนังสือด้วยชีวิต

วิธีการสอนนอกห้องเรียนที่เห็นในเรื่อง เราคน เมืองผู้เคยชินอยู่กับต�ำรา การเรียนพิเศษ และ อาชีพที่ มั่นคงมากกว่าการช่วยพ่อจับปลาไปวันๆ ไม่มีวันเข้าใจ - เราไม่มีวันเข้าใจความต้องการของชีวิตเด็กเหล่านี้หาก ไม่เข้าไปคลุกคลีคงจะมีก็แต่ครูเหล่านี้เท่านั้นที่เข้าใจ และยืดหยุ่นการเรียนการสอนให้เข้ากับวิถีชีวิตของเด็ก มากที่สุด มากกว่าการสอน คือ การเป็นพ่อและแม่ คนที่สองอย่างแท้จริงแบบที่เราได้ยินกันอยู่เป็นประจ�ำ แต่ ไม่เคยสัมผัสจริง

คุณครูแอน ครูสาวผู้ ไม่เชื่อระบบการศึกษา แบบเดิมที่ ใช้พลังของตัวหนังสือตีกรอบความคิดของ เด็กมากกว่าจะถ่ายทอดและยืดหยุ่นเพื่อสร้างความ เข้าใจ เธอยอมหักไม่ยอมงอจนท�ำให้เธอถูกส่งตัวไป อยู่ที่ โรงเรียนเรือนแพ คุณครูสอง อดีตนักมวยปล�้ำ หนุ่มที่ต้องการหาความมั่นคงให้ชีวิต จึงยอมที่จะท�ำ ทุกอย่างแม้จะต้องถูกส่งตัวไปสอนในที่ๆ ไม่มีความ พร้อมทางการศึกษา - รวมถึงตัวเขาเองเขาด�ำรงชีวิต การสอนได้ ด้วยไดอารี่เพียงเล่มเดียวต่างคนต่างวาระ แต่ทั้งสองคนรู้จักกันผ่านไดอารี่ที่ครูแอนเขียนบันทึก ชีวิตการสอนไว้ ชีวิตการสอนที่ครูในเมืองไม่มีวันเข้าใจ

อายุขัยของตัวหนังสือยาวนานประมาณใด...? ยืนยาวและมีพลังมากพอที่จะท�ำให้ผู้อ่านเข้าใจชีวิต ไหม? ค�ำตอบที่น่าจะเป็น คือ ตราบเท่าที่ตัวหนังสือ เหล่านั้นยังไม่เลือนราง แต่ขึ้นอยู่กับผู้เขียนตัวหนังสือ เหล่านั้นได้ ใส่ชีวิตจิตวิญญาณเข้าไปหรือไม่

อายุขัยของตัวหนังสือยาวนานประมาณใด...? ยืนยาวและมีพลังมากพอที่จะท�ำให้ผู้อ่านเข้าใจชีวิต ไหม? ‘คิดถึงวิทยา’ ภาพยนตร์จากค่ายอารมณ์ดี GTH ที่ว่าด้วยคุณครูหนุ่มสาวสองท่านที่มีชีวิตพลิกผัน ข้ามน�้ำข้ามเขาสู่ โรงเรียนลอยน�้ำที่ความรู้เข้าไม่ถึงเด็ก น้อยเกือบ 10 ชีวิต ลอยแพ-โคลงเคลง-ไม่แน่นอน

คิดถึงวิทยาเป็นภาพยนตร์ฟีลกู้ดตามสไตล์ของ จีทีเอช อบอุ่นและสุนทรีย์ด้วยภาพและนักแสดงเด็กๆ แม้เนื้อหาจะไม่หนักแน่นเท่าไหร่ แต่พอจะยอมให้เป็น หนังที่ดีอีกเรื่องหนึ่ง ด้วยประเด็นที่ซ่อนอยู่เบื้องหลัง ของความสัมพันธ์ของหนุ่มสาวที่ ไม่เคยพบหน้ากันมา 32

หากไม่ ต่อให้ตัวหนังสือนั้นสลักอยู่บนแผ่นหิน ก็คงไม่สามารถถ่ายทอดสิ่งใดๆ ให้กับชีวิตใครเลย

ภาพจากภาพยนตร์เรื่อง ' คิดถึงวิทยา ' (2014)


A Song I Listen

เรื่องและภาพ : Wallflower T.

ที่คั่นหนังสือ เธอบังเอิญรู้จักกับหนอนหนังสือคนหนึ่งที่ ห้องสมุด เขาก�ำลังอ่านเรื่องราวของตัวเองในหนังสือ ที่ ไม่มีตอนจบ ส่วนเธอก็บังเอิญผ่านไปรู้เรื่องย่อของ หนังสือเล่มนั้น ตอนแรกเธอก็ ไม่ ได้คิดอะไร เรื่องราว ในหนังสือไม่ ได้เกี่ยวข้องกับชีวิตเธอ แต่พอเขาอ่าน มันไปจนถึงบทที่มีแต่ความปวดร้าว เขาก็เลิกอ่านมัน ชั่วคราวแล้วหันมาคุยกับเธอ ด้วยความที่เป็นเพื่อน กัน เธอจึงฟังเขาระบายความเจ็บปวดอย่างเข้าอก เข้าใจ เธออยากท�ำให้เขาหายเศร้าก็เลยพาออกไปจาก ห้องสมุด ชวนกันไปยังดินแดนที่มีแต่เธอกับเขาเท่านั้น พอรู้ตัวอีกทีความผูกพันก็ก่อตัวขึ้นซะแล้ว... แต่เมื่อเวลาผ่านไปเขาก็เริ่มคิดถึงหนังสือเล่ม นั้น จึงบอกกับเธอว่าอยากกลับไปอ่านต่อไม่ว่าจะต้อง เจ็บปวดยังไง เธอยิ้มให้เขาเหมือนที่เคยท�ำมาตลอด รู้สึกใจหายเมื่อรู้ตัวว่าหมดหน้าที่แล้ว ช่วงเวลาที่เขา ดึงเธอออกจากหน้าหนังสือที่คั่นไว้นั้นช่างแสนทรมาน มันท�ำให้เธอตระหนักได้ว่าตัวเองไม่ ได้มีค่าอะไรเลย ยังไงเขาก็ต้องคิดถึงหนังสือเล่มนั้นมากกว่าเธออยู่ดี เพราะความทรงจ�ำที่เขาสร้างไว้กับเธอมันช่างน้อยนิด เมื่อเทียบกับหนังสือที่อ่านค้างไว้ ที่คั่นหนังสืออย่าง เธอก็คงเป็นได้แค่นี้ เธอเข้าใจดี แต่ก็เจ็บปวดเหลือเกิน

ที่เข้าใจ ทันทีที่เขาวางเธอลงแล้วเริ่มพลิกหน้าหนังสือ น�้ำตาก็ ไหลลงมาอาบแก้มเธอ รอยยิ้มก่อนหน้านี้ ค่อยๆ จางหายไป “ เมื่อฉันก็เป็นเพียงแค่ที่คั่นหนังสือ เมื่อเธอต้องการพักผ่อน ไม่มีความส�ำคัญ...” เธอเล่าเรื่องทั้งหมดให้ฉันฟังเมื่อสามเดือน ก่อน ถ้อยค�ำปลอบโยนจากฉันท�ำให้น�้ำตาแห้งเหือด แล้วเธอก็กลับมายิ้มได้ แต่ตอนนี้ฉันหวั่นใจเหลือเกิน เพราะดูเหมือนเขาก�ำลังจะหยิบเธอไปคั่นหนังสืออีก ครั้ง ถ้าเธอตัดสินใจจะกลับไป ฉันก็คงต้องยอมรับ แต่ อยากให้รู้ ไว้...ยังมี ใครอีกคนเห็นความงดงามในตัว เธอเสมอ เธอไม่จ�ำเป็นต้องเป็นที่คั่นหนังสือของใคร เพราะว่านั่นมันหน้าที่ฉันต่างหาก... แล้วฉันก็ท�ำแบบ นั้นมาตลอด ตั้งแต่วันที่เธอรู้จักกับเขา...หนอนหนังสือ ที่เธอรัก “ เธอไม่เคยมี ใจให้ฉันสักเท่าไร เบื่อเธอก็หยิบฉันขึ้นมา คั่นเวลาให้เธอได้พักสายตาจากคนที่เธอผิดหวัง...”

แรงบันดาลใจจากเพลง ‘ ที่คั่นหนังสือ ’ / แพรว คณิตกุล


Away From Thailand

INDIA

อินเดีย & อเมริกา

เรื่อง : aposaof ภาพ : Wirada

เรา : หัวเราะ (คิดว่าป้าเค้าเอาคืน หรือเนี่ย) แกลองขยับดูอีกรอบสิ แบบขยับ ให้ป้าเค้า รู้สึกอีกหน่อย เก้า : แกแก ชั้นขยับแล้ว คราวนี้ป้า นั่งทับเท้าชั้นสองข้างเลย

เก้าอี้ดนตรี (ตอนที่ 2)

ระหว่างทางบนรถไฟสายปูเน่-มุมไบ ความเดิมตอนที่แล้ว เราสองคน ขึ้นรถไฟและ เจอคนอื่นมานั่งที่เราคือแม่ลูกอ่อนกับป้าวัย 60 ตอน ปลาย ด้วยปกติเราจะลุกให้คนแก่กับเด็กนั่งใช่มั้ยคะ แต่ ตอนนั้นที่ท�ำอะไรไม่ถูกเพราะสงสารน�้ำ (เพื่อนสนิทที่ รู้จักอินเดียมาก่อน และเจ็บมาเยอะ) จึงช่วยจัดการ ตามความยุติธรรมให้ คือคนไม่มีตั๋วต้องย้ายออกไปค่ะ.. แต่ ไปไหนไม่ ไกลเพราะเค้านั่งพื้นแถวๆ พวกเรานี่แหละ เรื่องยังไม่จบแค่นั้น.. หลังจากที่เราสองคนได้นั่งไประยะ นึงแล้ว เก้าได้หันมาพูดกับเรา เก้า : แกๆ ป้าเค้า..เออะ.. (ป้าที่นั่งที่เรา ในตอนแรก) คือตอนแรกชั้นก็คิดว่ากระเป๋าใคร อุ่นๆ ทับเท้าชั้น แต่พอก้มมองเท่านั้นแหละ ก้นป้าทับขา ชั้นอยู่จ้า

34

เรา : ขยับหนีสิ

เก้า : ชั้นขยับแล้วนะ แต่ป้าตามมาทับต่อ

เรา : ที่ VIP สินะ (แล้วก็หัวเราะ)

ระหว่างนั้นไม่นาน โชคยังเข้าข้าง เก้าอยู่ เสียงพ่อค้าลอยมาพร้อมกับถังชา ร้อน ร้อง “มาซาล่า มาซาล่า ไชไช” (มาซา ล่า หรือ ไช คือ ชานมท้องถิ่นของอินเดีย เรียกได้สองแบบจ่ะ) ท�ำให้ต้องลุกไปจาก ที่ VIP ไป ตามด้วยพ่อค้าแม่ค้ามากมาย คล้ายกับรถไฟไทย และมีพ่อค้าเดินขายของ กิฟท์ชอปห้อยเป็นโมบายยาวดูแปลกตา เข้า มาเกี่ยวสินค้ากับชั้นวางกระเป๋าตรงที่เรานั่ง ตอนแรกเราก็เพลิดเพลินสนุกกับสิ่งที่เกิดขึ้น อยู่แหละ แต่มันก็เกิดขึ้นได้ ไม่นาน เพราะผู้ โดยสารทั้งหลาย ลุกขึ้นมาดูกันมากขึ้นๆ พวกเราราวกับเป็นสิ่งไม่มีชีวิต ทั้งเอื้อมแขน มาจากข้างหลังหรือเบียดมาจากข้างๆ มามุง ดูกัน ชอปปิ้งสนุกเค้าล่ะ เริ่มไม่เข้าใจโชคเข้า ข้างจริงรึป่าว เพราะกลิ่นกายเหงื่อเครื่อง เทศของพวกเค้า ท�ำให้เราเหมือนขาดอากาศ หายใจ แต่ยังโชคดีอยู่อีกหน่อยรถไฟยังวิ่ง สายลมธรรมชาติตีจากหน้าต่างพัดกลิ่นนั้น ให้จางไปได้ ถึงแม้เรื่องราวจะพลิกผันแปรแค่ ไหนก็ตาม ระหว่างทางบนรถไฟยังมีวิว ทิวทัศน์ข้างนอกหน้าต่างท�ำให้เรามองเรื่องที่ เจอให้กลายเป็นจุดเล็ก ท�ำให้เรารู้สึกดีและ ผ่านไปโดยง่ายดาย เรื่องราวที่เกิดขึ้นผ่าน ไปเมื่อมองกลับไปก็ยังหอมหวน ถ้าถามถึงว่า คิดผิดหรือไม่ที่ตัดสินใจนั่งรถไฟครั้งนี้ ก็จะ ตอบตามกลิ่นหอมหวนของการเดินทางนั้นว่า ไม่เสียใจ และขอบคุณกับตัวเราเองที่พาตัว เองไปให้รู้และสัมผัสสถานการณ์นั้น


USA

เรื่อง : Rin Jenwarin ภาพ : Win Worawich

Canning , For the Kids

ผู้อ่านทุกคนชอบเต้นกันรึเปล่าคะ? ถ้าหากว่าชอบเต้นไม่ว่าจะเต้นเแบบ จริงจังหรือว่าเต้นเล่นๆ ในคลับโยกไปตามจังหวะ รินว่าผู้อ่านน่าจะชอบงานเต้น มาราธอน 48 ชั่วโมงที่มหาวิทยาลัยของรินจะจัดแน่ๆ เลย งานเต้นงานนี้ชื่อว่า THON ค่ะ เป็นการเต้นมาราธอนเพื่อหาเงินทุนให้ผู้ป่วยเป็นมะเร็งในเด็ก (Pediatric cancer) เจ๋งใช่มั้ยล่ะคะ ได้ทั้งเต้น และได้ทั้งท�ำความดี ให้คนอื่นอีกด้วย งาน THON จะอยู่ ในช่วงกลางๆ เทอม 2 แต่ก่อนหน้านั้น เหล่าสมาคม นักศึกษาทั้งหลายแหล่ก็จะท�ำกิจกรรมเพื่อหาทุนส�ำหรับ THON ตลอดทั้งปีเลยค่ะ เงินทุนนี้มีชื่อเรียกพิเศษว่า Four Diamonds Fund ส�ำหรับครอบครัวของเด็กน้อยที่ ก�ำลังต่อสู้ ที่เราจะเรียกว่า Four Diamonds Families และจะมี โลโก้เป็นรูปสี่เหลี่ยม ข้าวหลามตัดสี่อันประกอบกันเป็นสี่เหลี่ยมข้าวหลามตัดอันใหญ่ (ดอกข้าวหลามตัดใน ภาษาอังกฤษเรียกว่า Diamond) หรือเราจะน�ำนิ้วโป้งชนโป้ง นิ้วชี้ชนชี้เป็นสี่เหลี่ยม เป็นรูป Four Diamonds พร้อมกับตะโกนค�ำที่อยู่คู่ THON มาโดยตลอดคือ “FTK, For The Kids!” และ กิจกรรมที่ ได้รับความนิยมมากที่สุดในการหาทุนส�ำหรับ นักเรียน Penn State ก็คือการไป Canning ค่ะ ว่าแต่การไป canning นี่มันคืออะไรหนอ เป็นการไปท�ำอาหารกระป๋องค่ะ เอ้ยไม่ ใช่! แต่ก็มีความเกี่ยวข้องกับกระป๋องจริงๆ แหละ ช่วงเทอมแรกที่อากาศยัง ไม่หนาวมากๆ จะมีวันหยุดเสาร์อาทิตย์ 3 สัปดาห์ที่เหล่านักศึกษาในแต่ละคลับทั่ว มหาวิทยาลัยจะจัดทริปไปต่างเมืองเพื่อจะไปหาทุนด้วยการ ถือกระป๋องไปยืนตรงสี่ แยกค่ะ ฟังดูแย่ๆ ใช่มั้ยคะ แต่มันไม่ ได้แย่อย่างที่ทุกคนคิด เรื่องความปลอดภัยก็ ไม่ ต้องห่วงค่ะเพราะคนที่จะไปcanningได้จะต้องผ่านการทดสอบในการเป็น canner ก่อน ทุกคนจะรู้กฎที่จ�ำเป็นต้องรู้เช่น ห้าม can ตรงสี่แยกที่ ไม่มี ไฟจราจร ห้ามวิ่ง ออกไปเลนกลางถนนเกินไปเพราะความปลอดภัยของ canner ส�ำคัญที่สุด หรือ canning ได้เฉพาะหลังพระอาทิตย์ขึ้นและก่อนพระอาทิตย์ตกเท่านั้นด้วยเหตุผลเดียวกัน ครั้งนี้ที่รินได้ ไปมา คือ canning weekend รอบแรกจาก 3 รอบค่ะ บังเอิญ ว่าเพื่อนคนจีนที่รินสนิทด้วยมีต�ำแหน่งที่รับผิดชอบเรื่อง THON พอดี รินเลยขอติด สอยห้อยตามสมาคมนักเรียนจีนไปด้วย (สมาคมไทยเล็กเกินไม่พอจัดทริปเลยอดจ้า) ได้ ไปพักบ้านคุณลุงของเพื่อนอีกคนค่ะ คุณลุงใจดีมากบ้านก็น่ารักมากๆ เราออกเดิน ทางคืนวันศุกร์เพื่อเตรียมพร้อมไป canning ตอนเช้าวันเสาร์และวันอาทิตย์

ตอนเช้าเมื่อเราไปถึงสี่แยกที่ลงทะเบียนไว้ ล่วงหน้า ทุกคนจะต่างหยิบกระป๋องประจ�ำตัวและแยก ย้ายกันไปคนละมุมของสี่แยกและเริ่มปฏิบัติการค่ะ ถ้า อยากให้คนบริจาคเงินมากๆต้องท�ำตัวให้สนุกให้ตลก เข้าไว้ เปิดเพลงแล้วเต้นๆ หรืออะไรก็ ได้ ให้คนที่อยู่ ใน รถสนใจเรา บางทีรินก็จะตะโกน “Help kids fight cancer” ให้คนในรถได้ยิน บวกกับทีเด็ดของรินก็คือชุด มิกกี้เมาส์!! เรียกความสนใจได้เยอะเลย บางทีเค้าก็จะ มองออกมาจากรถแล้วยิ้มให้ หลายๆ ครั้งเด็กๆ ก็จะชี้ และโบกมือให้ด้วย ทุกๆ ครั้งที่ ใครปรับกระจกรถลงและยื่นเงิน เล็กๆ น้อยมาให้ ในใจรินก็จะรู้สึกว่า คนเราก็ยังมีน�้ำใจ ให้แก่กันอยู่นะ นี่ขนาดเราไม่ ได้เงินที่อยู่ ในกระป๋องนี้ แม้แต่สตางค์เดียว ท�ำไมมันถึงรู้สึกตื้นตันใจขนาดนี้ก็ ไม่รู้ จนมีครั้งหนึ่งที่มีคนยื่นเงินบริจาคออกมาให้ และ รินก็บอกขอบคุณอย่างที่พูดกับทุกคนว่า Rin : Thank you so much! Have a nice day! (ขอบคุณมากๆ ค่ะ ขอให้มีความสุขนะคะ) Driver : No, thank YOU for what you are doing right now. (ไม่ ใช่สิ ผมต้องขอบคุณคุณ ส�ำหรับสิ่งที่คุณท�ำอยู่ตอนนี้ต่างหาก) ณ วินาทีนั้น เข้าใจแล้วว่าท�ำไมเราถึงมาท�ำ สิ่งนี้อยู่ณตรงนี้ เราก�ำลังท�ำอะไรเพื่อใครบางคนที่เรา ไม่เคยคุยด้วยแม้แต่ครั้งเดียว เค้าไม่รู้ว่าเราเป็นใคร แต่ด้วยเหตุผลเพียงแต่ว่าเค้าเป็นเพื่อนร่วมโลกของเรา เราจึงอยากจะช่วยในสิ่งที่เราท�ำได้ เมื่อก่อนที่ THON จะเริ่มขึ้นมา สิ่งๆ นี้คงเป็น แค่ความฝัน แต่ว่าวันนี้มันเป็นจริงแล้ว ตรงนี้เป็นส่วน เล็กๆที่เราสามารถมากพอ แต่ถ้าส่วนเล็กๆ ที่ทุกคน ช่วยกันท�ำ ช่วยกัน canning เมื่อมารวมกันก็กลายเป็น เงินก้อนใหญ่ที่จะช่วยรักษาชีวิตเด็กๆ อีกหลายชีวิต ซึ่ง ส�ำหรับพ่อแม่ของเด็กๆเหล่านั้น คุณไม่มีทางรู้ว่ามันมี ความหมายกับเค้าขนาดไหน คนที่ ไม่แม้แต่จะรู้จักเค้า ก�ำลังช่วยกันรวมพลังเพื่อรักษาชีวิตลูกของเค้าเอาไว้ มันยิ่งใหญ่มากๆ จริงๆ พลังอันล้นหลามของความรักของคนในโลก นี้ ความเชื่อ และ ความฝันถูกสะท้อนอยู่ ในประโยคใน logo ของ THON2015 ซึ่งก็คือ “ EMPOWER THE DREAMERS ” 35


Another Language

ภาษาอังกฤษ & มลายู

Sawasdee English

A you a

? Faraway

สวีดัด สวัสดีคะคุณผูอาน O-N Magazine ที่นารักทุกคน พบกับอีกแลวนะคะกับ O-N Magazine ที่เดินทางมาถึงฉบับที่ 4 กันแลว!! วันนี้ Sawasdee English ก็ยังเกาะติดนิตยสารเลมนี้อยางเหนียวแนนนึบ ไมหนีคุณผูอานไปไหนแนนอน กลัวแตคุณผูอาน นั้นแหละ อยาเพิ่งหนีเคาไปไหนนะ please!!! (โปรดอานประโยคขอรองนี้ พรอมจินตนาการดวงตาแบวๆของพุชอินบูทเหมียวจอมซาพรอม ดาบจิ๋วในเชร็ค แลวจะรูวาผูเขียนนารักแค ไหน ฮิ้ววววว!!!) เอิ่มๆๆกลับมาเขาหัวขอของเราดีกวา ^^ เดาวาคุณผูอานหลายทานเห็นหัวขอ ของเราวันนี้ อาจไมเขาใจ หรือพูดเปนภาษาปะกิดวา “I don’t get it” นั่นเอง แตๆๆ อยาเพิ่งงง ??? คะวันนี้เราไม ไดมาเสนอสารคดีชีวิต หนอน หรือการเลี้ยงหนอนสูตรใหมดวยหนังสือ 55+ แตเราจะมาคุยกันเรื่อง Book(บุค)หรือ หนังสือ ที่เปนมากกวากระดาษ ที่บรรจุตัวอักษรแบบที่เรารูจัก แลวไอภาพขางบนมันเกี่ยวอะไร คำตอบอยูขางลางนี้ละคะ Book เปนคำนาม (noun) แปลวา “หนังสือ” เชื่อวาพวกเรารูจักคำนี้อยางดี เพราะแทบจะเปนภาษาอังกฤษคำแรกๆตอนที่เรา เริ่มเรียนกัน สวนคำกริยาที่มักจะใชคูกับคำนี้เพื่อสื่อความก็มักจะเปน Read (อาน) Write (เขียน) โดยถาใครชอบอานหนังสือก็พูดวา I like reading ไมตองเติม a book/books เพราะซ้ำซอนและแคนี้ฝรั่งก็เขาใจแลว แตถาใครชอบเขา Library หรือ “หองสมุด” แนนอน วานอกจากไปอานหนังสือ บางคนก็มักจะมีหนังสือติดไมติดมือมาเสมอ ซึ่ง “ยืม” ภาษาอังกฤษ คือ borrow(บอโรว) อยากยืมหนังสือก็แค พูดวา I want to borrow a book from a library อานเสร็จจะนำไป “คืน” หรือ return(รีเทิรน) ก็แคพูดวา I return a book to a library แคนี้เองคะ:) นอกจาก Book จะเปนคำนาม แต Book ยังถูกนำไปใชเปนคำกริยา (Verb) ที่ ไม ไดเกี่ยวกับหนังสือแตอยางใด แต ใช ในความ หมายวา “จอง” ที่มีความหมายเดียวกับ Reserve(รีเซิรฟว) คะ เชนถาเราไปจะไปกินขาวที่รานอาหารดังๆ ตามธรรมเนียมเราก็ตองโทร ไปจองกอนเพื่อใหเราไปแลวไดกินแนนอน ซึ่งในการจองพูดเปนภาษาอังกฤษไดวา I would like to book/reserve a table for (one two or three ตามจำนวนคนคะ) เชนเดียวกับการจองตั๋วเครื่องบินก็พูดคลายๆ กันเลยคะ โดยเราสามารถพูดไดวา I would like to book/reserve the flight to (ตามดวยสถานที่ที่เราจะไป เชน Bangkok กรุงเทพก็ ไดคะ) หรือแมแตการจองตั๋วหนัง ถาชวงไหนเรื่อง ไหนดังๆฮิตๆ เราสามารถแนะนำเพื่อนฝรั่งของเราใหจองตั๋วกอนเพื่อกันพลาด ก็แคพูดวา you should book/reserve a ticket in advance แคนี้ก็รับประกันวาไดดูแนนอนคะ^^ แตเดี๋ยวกอนๆๆ ความสนุกของเราไมจบเพียงแคนี้แนนอนคะเพราะพี่ Book เนี่ยยังถูกนำไปใช ในสำนวนเทหๆ ที่นอกจะสื่อความ ไดเปะแลว คนที่พูดสำนวนนี้ยังดูดี มีระดับ และดูโปรอังกฤษมากๆดวยคะ (ฮึๆๆๆ) ซึ่งสำนวนแรกที่พี่ฝรั่งชอบนำพี่ Book ของเราไปพูดเพื่อ สื่อความหมายวา คุณเปนคนที่อานงายมากๆ หรือพูดถึงคนที่แสดงความรูสึกทุกอยางบนใบหนา ชนิดที่เห็นหนาปบรูเลยวาเราคิดอะไร หรือรูสึกอะไรอยู เคาก็จะพูดกันวา “You are an open book” ซึ่งเราสามารถเปลี่ยนประธานเปน I am/ We, They are/ He, She, It is + an open book ไดเลยคะ และอีกคำที่พี่ฝรั่งชอบพูดมากๆๆๆๆๆ นั่นก็คือ “Don’t judge a book by its cover” แปลตรงๆ ก็ จะหมายความวา อยาตัดสินคุณคาหนังสือแคเพียงหนาปก แตความหมายจริงๆของสำนวนนี้ตองการสื่อวา “คนเรานั้นตัดสินกันที่ภาย นอกไม ได” หรอกคะ และสุดทายยยยยย เรามาเฉลยภาพปริศนากันดีกวา (ฮิฮิ) ในภาพมีภาพหนังสือ ก็คือ Book และมีภาพหนอนก็คือ Worm เมื่อนำสองสิ่งที่ ไมหนาเขากันมารวมกัน Book+ Worm ก็จะไดคำวา “Bookworm” ก็คือตัวกินหนังสือ เอย!!! “หนอนหนังสือ” นั่นเองคะ เปนหนอนชนิดหนึ่ง (ไม ใช!!!!!- -!) ฮาๆๆ เปน “คนที่รักการอาน” เหมือนคุณผูอานไงละคะ ^__^ กอนจากกัน อยาลืมนะคะ DO NOT JUDGE A BOOK BY ITS COVER เพราะหนานอกบอกความงาม หนาในบอกความดี สวนหนาที่บอกความสามารถ จะเลือกหนาไหนคิดดีๆ นะคะ เพราะบางครั้งชีวิตพลาดแลวพลาดเลย :P 36


นับ 1 ให้ถึง 10 หรรษาภาษามลายู

ณ ทรายขาว

หรรษาภาษามลายูในตอนนี้จะเปนการสอนเกี่ยวกับการนับตัวเลขเปนภาษามลายูกันนะคะ ซึ่งหลายๆ คนอาจจะนับ เลขเปนภาษาอังกฤษได หรือภาษาจีนได แตคราวนี้เพื่อเปนการตอนรับประชาคมอาเซียน เราเลยมาเรียนรูการนับเลขเปน ภาษามลายูกันดีกวา โดยที่ ในตอนนี้จะขอสอนการนับตัวเลขจากเลข 1 ไปจนถึงเลข 10 กอนนะคะ ไวมี โอกาสคราวหนาจะ มาสอนเพิ่มเติมเกี่ยวกับการนับจำนวนตัวเลขอื่นๆ ที่มีจำนวนสูงกวานี้ เพราะถาจะใหเขียนทั้งหมดที่เดียวคงจะตองมีการ เขียนอธิบายอีกนาน ซึ่งกลัววาเพื่อนๆ อาจจะเบื่อกันไปกอน โอเคคะ เพื่อไม ใหเปนการเสียเวลา เรามาเริ่มนับตัวเลขเปน ภาษามลายูกันดีกวาคะ เลข เลข เลข เลข เลข เลข เลข เลข เลข เลข

1 ในภาษามลายู 2 ในภาษามลายู 3 ในภาษามลายู 4 ในภาษามลายู 5 ในภาษามลายู 6 ในภาษามลายู 7 ในภาษามลายู 8 ในภาษามลายู 9 ในภาษามลายู 10 ในภาษามลายู

คือ คือ คือ คือ คือ คือ คือ คือ คือ คือ

Satu Dua Tiga Empat Lima Enam Tujuh Lapan Sembilan Sepuluh

อานวา อานวา อานวา อานวา อานวา อานวา อานวา อานวา อานวา อานวา

ซา-ตู ดู-วา ตี-ฆา/ ตี-กา เอิม-ปต ลี-มา เออ-นัม ตู-ุหฺ ลา-ปน เซิม-บิ-ลัน เซอ-ปู-ลุหฺ

เปนยังไงบางคะ การนับเลขในภาษามลายูงายพอๆ กับการนับเลขในภาษาไทยหรือภาษาอื่นๆ ที่เคยเรียนมาหรือ เปลาคะ หวังวาเพื่อนๆ คงจะสนุกกับการเรียนภาษามลายูในบทนี้กันนะคะ ไวเจอกันใหม ในเลมหนาคะ และเชนเดิมกอน จากกันไปขอฝากไววา “ ไมมีอะไรที่เกินความพยายามของเราไปไดขอใหตั้งใจทำอยางเต็มที่ สักวันเราก็จะประสบความ สำเร็จไดอยางแนนอน สูๆ กันตอไปคะ! ”

37


38


A Picture I Draw ภาพ : เงาเมฆ

OPEN YOUR

LIVE-BRARY



Turn static files into dynamic content formats.

Create a flipbook
Issuu converts static files into: digital portfolios, online yearbooks, online catalogs, digital photo albums and more. Sign up and create your flipbook.