ดูจิตครึ่งพรรษา - Mindfulness

Page 1




2

คำ�นำ� หนังสือดูจติ ครึง่ พรรษาเขียนขึน้ เพือ่ เล่าเรือ่ งราวผ่านการเป็นพระ กรรมฐานเพือ่ เพิม่ ความเห็นทีถ่ กู ต้อง (สัมมาทิฏฐิ) เกีย่ วกับการเป็นพระใน พระพุทธศาสนาให้แก่พทุ ธบริษทั และเพือ่ เผยแพร่ประสบการณ์การดูจติ ระหว่างพรรษาในบทเฉพาะกาล โดยได้รบั ความเมตตาจากพระอาจารย์ ธัม์มทีโป และพระอาจารย์สุรพจน์ สัท์ธาธิโก ในการตอบปัญหาธรรมที่ ประสบระหว่างบวชในพรรษานี้ เนือ้ หาสาระในหนังสือเล่มนีจ้ ะแบ่งเป็น สองส่วน ส่วนแรกจะเน้นเกี่ยวกับการเป็นพระกรรมฐานว่าการบวชเป็น พระเป็นเพื่ออะไร และพระกรรมฐานจำ�พรรษาทำ�อะไรบ้าง เพื่อเพิ่ม ศรัทธาให้แก่ศาสนิกชน และในส่วนที่สองจะเน้นเกี่ยวกับการพิจารณา ธรรมในส่วนของการดูจิต เพื่อเป็นตัวอย่างให้พิจารณา อนึ่ง สภาวธรรม ทั้งหลายที่เกิดขึ้นมันไม่เที่ยง และไม่มีความจำ�เป็นต้องเหมือนกัน ดัง นั้นจึงไม่อยากให้ผู้อ่านนำ�เนื้อหาในหนังสือเล่มนี้มาชี้นำ�การปฏิบัติของ ตนเอง หากแต่ใช้เป็นตัวอย่างในการพิจารณากิเลส นิวรณ์ ของตนเอง เพื่อขัดเกลาจิตใจให้เป็นผู้มีปัญญาหาทางออกจากกิเลสมากขึ้น ก่อน ผู้เขียนได้เขียนหนังสือเล่มนี้ได้ขออนุญาตพระพี่เลี้ยงเขียนหนังสือ แต่ พระพี่เลี้ยงได้ขอให้สงวนนามพระอุปัชฌาย์ พระวิปัสสนาจารย์ รวมถึง ชื่อเพื่อนพระในพรรษานี้ ผู้เขียนหวังว่าหนังสือเล่มนี้จะเป็นประโยชน์ต่อศาสนิกชนที่สนใจ ใฝ่ธรรม รวมถึงผูท้ สี่ นใจบวช เพือ่ เข้าถึงการเป็นพระในพุทธศาสนา และ เพือ่ การปฏิบตั ธิ รรมให้เข้าใจยิง่ ขึน้ ระหว่างการเป็นพระ ประโยชน์ใดๆ ที่ เกิดขึ้นจากหนังสือเล่มนี้ ผู้เขียนขออุทิศบุญกุศลให้แด่บิดามารดา วงศ์ ตระกูล ครูบาอาจารย์ มิตรสหาย และเจ้ากรรมนายเวรของผูเ้ ขียนทุกท่าน คุณวโร ภิกขุ ดูจิตครึ่งพรรษา


3

คำ�นิยม ขอบคุณความดีทั้งหลายในโลกนี้ที่มีให้เรา ขอบคุณพ่อแม่ของเราที่ให้กำ�เนิดลูกน้อยนี้มา ถึงจะเอานํ้าในทะเลเป็นหมึกเขียนพูดความใน กล่าวบรรยายรักที่ท่านมี คงไม่จบ ขอมอบความรักที่มีด้วยดวงจิตภายใน หมอเป้อได้บอกให้พ่อแม่ ผู้มีพระคุณได้ฝึกจิตปฏิบัติธรรม และได้บวชตอบแทนบุญคุณพ่อแม่ ซึ่งเป็นการตอบแทนบุญคุณพ่อแม่ อันสูงสุด คือให้พ่อแม่ดูฝึกจิตเข้าถึงภายใน ชื่อว่าเป็นอภิชาตบุตร ชื่อว่าเป็นบุตรที่ตอบแทนบุญคุณพ่อแม่หมด พระอาจารย์ ธัม์มทีโป รู้สึกถึงคุณค่าของพ่อแม่ รู้คุณ และตอบแทนคุณ ดูแลพ่อแม่ตลอดชีวิต ยังทดแทนคุณไม่หมด ให้พ่อแม่พบธรรม มีศรัทธา มีปัญญาบรรลุมรรคผล ได้ตอบแทนบุญคุณพ่อแม่อย่างสูงสุด ได้บวช ได้ปฏิบัติธรรมแทนคุณให้พ่อแม่ อนุโมทนา หมอเป้อ ศ.นพ.อนุชา อภิสารธนรักษ์ สาธุ พระอาจารย์สุรพจน์ สัท์ธาธิโก คุณวโร ภิกขุ


4

สารบัญ ส่วนที่ 1 ประสบการณ์การบวชครั้งที่ 2 ที่มา……ที่ไป ทำ�ไมต้องบวชครั้งที่สอง ทำ�ไมต้องมีช่วงบวชนาคนานถึง 2 สัปดาห์ การเป็นพระกรรมฐานทำ�อะไรกันบ้าง การปฏิบัติธรรมตอนเป็นพระต่างกับตอนเป็นฆราวาสอย่างไร ปฏิบัติธรรมตอนเป็นพระครั้งนี้ต่างกับครั้งที่แล้วอย่างไร กำ�ลังบุญมีจริง ทำ�ไมถึงไม่บวชตอนชรา ตอนที่ทำ�งานได้เราควรจะทำ�งานให้มากไม่ใช่หรือ รู้สึกอย่างไรและได้อะไรจากการเป็นพระครั้งนี้ มหาสติปัฏฐาน 4 และเครื่องอยู่ในพรรษานี้ ธรรมะโดนใจ การสอบอารมณ์คืออะไร และถามอะไรกัน สภาวธรรมก่อนสึกและหลังสึก กิจเกี่ยวกับพุทธศาสนาหลังสึก ส่วนที่ 2 บทเฉพาะกาล วิธีปฏิบัติฝึกจิต สงบ พบความสุข สนทนาธรรมกับพระอาจารย์ธัม์มทีโป และพระอาจารย์สุรพจน์ สัท์ธาธิโก ดูจิตครึ่งพรรษา

5 6 7 8 8 9 13 15 16 17 18 21 26 27

29 40


5

ที่มา……ที่ไป เหตุที่ตัวผู้เขียนสนใจปฏิบัติธรรม เนื่องด้วยเมื่อ 16 ปีก่อนผู้เขียน มีอาการเหนือ่ ยมาก และถูกตรวจพบเป็นโรคเบาหวานมีระดับน�้ำ ตาลสูง ตอนตรวจพบเกือบ 600 mg/dL เกือบจะมีอาการช็อค รวมถึงก่อนหน้า นั้น ผู้เขียนเป็นไข้เลือดออก จนต้องนอนโรงพยาบาลถึง 2 สัปดาห์ ได้ เห็นข่าวการตายของดาราวัยรุ่นช่วงนั้นทั้งที่อายุยังน้อย จึงเริ่มเอะใจว่า ชีวิตคนสั้นมาก และอะไรก็สามารถเกิดขึ้นได้ เหมือนกับจิตมันเตือน เองว่าอย่าประมาท จึงเริม่ ต้นศึกษาธรรมะและได้ประจักษ์ดว้ ยตนเองใน สภาวธรรมต่างๆ ตลอดเส้นทางการปฏิบตั ิ จนมัน่ ใจว่าธรรมของพระพุทธ องค์เป็นของจริง เมื่อมีด�ำ ริว่าจะบวชครั้งที่ 2 หลายคนถามผู้เขียนว่าทำ�ไมต้องบวช เนื่องด้วยผู้เขียนเคยบวชมาเมื่อ 12 ปีที่แล้ว และมีอีกหลายคำ�ถาม อาทิ ทำ�ไมต้องมีชว่ งบวชนาคนานถึง 2 สัปดาห์ เป็นพระกรรมฐานทำ�อะไรกัน บ้าง ปฏิบัติธรรมตอนเป็นพระต่างกับตอนเป็นฆราวาสอย่างไร ปฏิบัติ ธรรมตอนเป็นพระครั้งนี้ต่างกับการเป็นพระครั้งที่แล้วอย่างไร รวมถึง ผู้เขียนรู้สึกอย่างไรและได้อะไรจากการเป็นพระครั้งนี้ รวมถึงเพื่อนพระ ด้วยกันถามว่าการบวชครั้งนี้ให้คะแนนตนเองเท่าไร ผู้เขียนจึงถือโอกาส นี้ชี้แจง ตอบคำ�ถามเหล่านี้เป็นลำ�ดับ เพื่อให้ผู้อ่านเข้าใจ ก่อนที่จะลง เนือ้ หาการปฏิบตั ธิ รรม เพือ่ เพิม่ ความเข้าใจมากขึน้ เกีย่ วกับการเป็นพระ ภิกษุในพระพุทธศาสนา

คุณวโร ภิกขุ


6

ทำ�ไมต้องบวชครั้งที่สอง ผู้เขียนไม่เคยคิดจะบวชครั้งที่ 2 แต่เป็นนักปฏิบัติธรรมอยู่แล้ว ปฏิบัติธรรมมาประมาณ 14 ปี และไม่คิดว่าการบวชครั้งนี้จะได้อะไร มากกว่าคราวทีแ่ ล้ว เนือ่ งจากบวชในครัง้ ทีผ่ า่ นมาได้ท�ำ ให้ผเู้ ขียนมีความ เห็นไปว่าพระก็ไม่ได้แตกต่างจากฆราวาสในหลายแง่มุม เช่นยังมีความ คิดเห็นที่แตกแยกกันในพระบางกลุ่มในบางวัด และพระในบางวัดอาจ ไม่ได้มีการปฏิบัติธรรมมากมายนัก บางวัดก็เน้นไปทางพุทธพาณิชย์ ยุ่ง กับการเมือง รวมถึงพระปัจจุบนั มีนอ้ ยนักทีไ่ ด้ปฏิบตั ธิ รรมเพือ่ ความหลุด พ้นที่แท้จริง แต่ความจริงแล้วการบวชครั้งนี้ถือเป็นกุศลที่ใหญ่มากที่ได้ ทำ�ในชีวติ นี้ ซึง่ เกินความคาดคิดไว้ เนือ่ งจากได้สมั ผัสหลายปรากฏการณ์ ทางจิตทีไ่ ม่เคยเกิดขึน้ มาก่อนตอนเป็นฆราวาสผ่านทางพุทธคุณ (ผูเ้ ขียน สัมผัสถึงกระแสพระพุทธองค์ ในผ้ากาสาวพัสตร์ ในทุกๆ กิจกรรมเริม่ ใน พิธีบวช และระหว่างบวช) ธรรมคุณ (ผู้เขียนสัมผัสถึงสภาวะปีติระหว่าง การสวดบทพระธรรมทุกครั้งและในทุกบท) สังฆคุณ (ผู้เขียนได้เห็นถึง คุณค่าแท้ในการเป็นพระสงฆ์ในพุทธศาสนา) ทีจ่ ะถ่ายทอดให้ผอู้ า่ นได้รบั ทราบตัง้ แต่งานบวชจนถึงวันสึก จุดประสงค์หลักเนือ่ งจากคุณพ่อคุณแม่ ท่านมีอายุมากแล้ว คุณพ่อจะมีอายุ 84 ปี ในเดือนกุมภาพันธ์ พ.ศ. 2567 จึงถือโอกาสให้การบวชครัง้ นีเ้ ป็นของขวัญวันเกิดให้กบั คุณพ่อและคุณแม่ และเป็นต้นบุญให้กับครอบครัว ตระกูล เพื่อนๆ สหธรรมิก รวมถึงมอบ กุศลให้แก่เจ้ากรรมนายเวร โดยผู้เขียนได้คุยกับพี่กวีที่ยุวพุทธิกสมาคม แห่งประเทศไทย ในพระบรมราชูปถัมภ์ โดยพี่กวีแนะนำ�ให้บวชที่ศูนย์ วิปสั สนายุวพุทธฯ เขมรังสี (ศูนย์ 4) ทีจ่ งั หวัดพระนครศรีอยุธยา การบวช ในครั้งนี้จึงได้เกิดขึ้น เป็นที่น่าสนใจว่าเพื่อนพระที่มาบวชอีก 5 รูป มี 3 ใน 5 รูปได้เคยบวชมาแล้วไม่ต่ำ�กว่า 1 ครั้ง บางท่านบวชมาแล้ว 4 ครั้ง ดูจิตครึ่งพรรษา


7

ทำ�ไมต้องมีช่วงบวชนาคนานถึง 2 สัปดาห์ เนือ่ งด้วยยุวพุทธิกสมาคมแห่งประเทศไทย ในพระบรมราชูปถัมภ์ เป็นองค์กรที่มีความตั้งใจเพื่อที่จะส่งเสริมการปฏิบัติธรรมในทุกรูปแบบ ให้แก่ศาสนิกชน การบวชในคอร์สพระกรรมฐานเป็นการบวชเพือ่ เน้นการ ปฏิบัติธรรมอย่างจริงจัง ดังนั้นเพื่อให้แน่ใจว่าผู้มาสมัครคอร์สการบวช พระกรรมฐานจำ�พรรษาจะอยู่ได้ในการปฏิบัติทั้งพรรษา ทางยุวพุทธฯ มีการคัดเลือกผูส้ มัครหลายรอบ โดยในพรรษานีม้ ผี สู้ มัครทัง้ สิน้ 18 ท่าน แต่ผ่านการคัดเข้ามาช่วงการเตรียมพร้อมบวชนาคเพียง 6 ท่าน ท่านอื่น มีความจำ�เป็นที่ทำ�ให้ไม่ได้สมัครในที่สุด อาทิ สุขภาพส่วนตัว งานที่มาก ขึ้นช่วงหลังโควิด-19 ปัญหาครอบครัว และปัญหาอื่นๆ โดยในช่วงสอง สัปดาห์นี้มีพระพี่เลี้ยง 2 รูป ซึ่งได้รับมอบหมายจากพระวิปัสสนาจารย์ มาดูแลนาค กิจกรรมการเป็นนาคเริ่มจากตื่นเช้าตีสี่ครึ่งมาทำ�วัตร เดิน บิณฑบาตกับพระภิกษุสงฆ์ จากนั้นร่วมปฏิบัติรวมกับพระอาจารย์ 1 ชั่วโมงครึ่ง ทานอาหารมื้อเดียว ประมาณ 10:00-11:00 น. ล้างภาชนะ ด้วยสติ จากนัน้ มีกจิ กรรมการเรียนเพือ่ เตรียมความพร้อมในการเป็นพระ 3 รอบ รอบละ 1 ชั่วโมงครึ่ง อาทิ เรียนเรื่องศีล ท่องบทสวด เรียนเรื่อง กิจสงฆ์ ท่องบทสวดขอเป็นพระสงฆ์ ตีระฆัง ฉันน้ำ�ปานะ ทำ�วัตรเย็น ปฏิบัติธรรมรวมอีกรอบกับพระอาจารย์ 1 ชั่วโมงครึ่ง และนอน โดยทุก กิจกรรมเน้นการเจริญสติไปด้วยตลอดตั้งแต่ตนื่ จนหลับ เรียกได้ว่าเจริญ สติตลอดเวลา โดยพระพี่เลี้ยงจะสอนและให้คำ�แนะนำ�เกี่ยวกับการเป็น พระในช่วงสองสัปดาห์นี้ ผูเ้ ขียนได้พบประสบการณ์ทไี่ ม่ได้คาดคิด ก่อนบวชได้มบี รรพบุรษุ ที่ ล่วงลับไปแล้วเมื่อ 35-50 ปีที่แล้วมาเข้าฝันขอส่วนกุศล 2 ราย และพระ อีกรูปก็บอกเช่นกันว่าฝาแฝดทีไ่ ด้ลว่ งลับไปตอนแรกเกิดมาเข้าฝันเช่นกัน คุณวโร ภิกขุ


8

การเป็นพระกรรมฐานทำ�อะไรกันบ้าง การเป็นพระกรรมฐาน กิจหลักคือการทำ�กรรมฐานเป็นเครื่องอยู่ การเจริญสติในชีวิตประจำ�วัน การเจริญสติในทุกอิริยาบถ อาทิ การเดิน บิณฑบาต การให้พรโยม การกำ�หนดกรรมฐานในบทสวดมนต์ การฉัน อาหาร การกำ�หนดอินทรีย์สังวรศีล การกำ�หนดลมหายใจ (อานาปาน สติ) เป็นเครือ่ งอยู่ เนือ่ งด้วยในพรรษานี้ พระวิปสั สนาจารย์เน้นให้เจริญ อานาปานสติเป็นหลัก เพื่อเป็นเครื่องอยู่ และเป็นกำ�ลังกรรมฐานให้ ภาวนาอยู่ในฐานจิต กรรมฐานในพรรษานี้จะเน้นสัมมาทิฏฐิและการ วางทิฐิ (วางอัตตาตัวตน วางความคิดที่ยึดถือไว้) ที่พระเคยมีมาในอดีต เพื่อการสละ ละ วาง ให้เข้าถึงปัญญาทางธรรมที่แท้จริง โดยจะเน้นให้ ทำ�กรรมฐานอยู่ตลอดเวลาเท่าที่จะทำ�ได้ และมีการสอบอารมณ์ 1 ครั้ง ทุก 2 สัปดาห์ โดยพระอุปัชฌาย์และพระวิปัสสนาจารย์

การปฏิบตั ธิ รรมตอนเป็นพระต่างกับตอนเป็นฆราวาสอย่างไร คำ�ตอบนีข้ นึ้ กับภูมธิ รรมของพระแต่ละรูปก่อนมาเป็นพระ หากได้ เคยมีการปฏิบตั ธิ รรมมาก่อนบ้าง ก็จะไม่ตอ้ งเริม่ ต้นใหม่ หากไม่เคยปฏิบตั ิ ธรรมมาก่อนเลย อาจจะไม่ต่างกันมาก สำ�หรับตัวผู้เขียนมีประสบการณ์ การปฏิบัติธรรมมา 14 ปี และผ่านสภาวธรรมหลากหลาย ดังนั้นการ ปฏิบัติในสมณเพศนี้ ผู้เขียนสัมผัสได้ถึงกระแสพระพุทธคุณผ่านทางผ้า กาสาวพัสตร์ในทุกๆ สิ่งที่ผู้เขียนได้กระทำ�ในสมณเพศ อาทิเช่น การเดิน บิณฑบาต ได้มีโอกาสเจริญสติปัฏฐาน 4 ระหว่างเดิน มีโอกาสพิจารณา 4 ฐาน คือ กายในกาย เวทนาในเวทนา จิตในจิต ธรรมในธรรม ระหว่าง เดินบิณฑบาต ก่อนให้พรโยมก็สัมผัสได้ถึงกระแสพระพุทธคุณ ตีระฆัง วัดก็สมั ผัสได้ถงึ ปีติ ทำ�วัตรเช้าเย็นก็สมั ผัสได้ถงึ กระแสความศรัทธา และ ดูจิตครึ่งพรรษา


9

ซาบซึง้ ในพระคุณของพระพุทธ พระธรรม และพระสงฆ์ อย่างไม่เคยเป็น มาก่อน ดังนัน้ ผูเ้ ขียนจึงปราศจากข้อสงสัยในการมีอยูจ่ ริง และคุณของ พระรัตนตรัย โดยไม่มีข้อกังขาและไม่ได้อาศัยความเชื่อ เพราะสัมผัส พุทธคุณ ธรรมคุณ และ สังฆคุณ ได้ตลอดเวลา ทำ�ให้ผู้เขียนเกรงกลัว ที่จะทำ�อกุศลใดๆ ทางกาย วาจา ใจในพรรษานี้ เพราะสิ่งศักดิ์สิทธิ์มีอยู่ จริง เราทำ�อะไรก็ตาม แม้คนไม่เห็นสิ่งศักดิ์สิทธิ์ท่านเห็น รวมถึงกฎแห่ง กรรมตามเราอยูท่ กุ หนไป ดังนัน้ เราจึงควรเกรงกลัวอกุศลแม้แต่เพียงเล็ก น้อย และการดำ�รงชีวิตจึงไม่ควรประมาทด้วยประการทั้งปวง

ปฏิบัติธรรมตอนเป็นพระครั้งนี้ต่างกับครั้งที่แล้วอย่างไร การบวชครั้งนี้มีหลายอย่างเกิดขึ้น ตั้งแต่ก่อนบวช ในพิธีงานบวช หลังบวชระหว่างพรรษา บางอย่างไม่ได้สัมผัสได้เฉพาะผู้เขียน แต่ญาติ สหธรรมิกที่ไปงานบวชก็สัมผัสได้เช่นกัน ก่อนบวชนั้นเหมือนมีวิบาก บางอย่างพยายามทำ�ให้ผู้เขียนไม่ได้บวช อาทิ เจ้าหน้าที่ที่ทำ�งานแจ้งว่า ผูเ้ ขียนมีเวลาไม่พอในการบวชทัง้ พรรษา ต้องตัดวันบวชออกไปเหลือครึง่ พรรษา (จึงเป็นที่มาของชื่อหนังสือเล่มนี้ คือ ดูจิตครึ่งพรรษา) มิเช่นนั้น จะไม่ได้รับเงินเดือน ไม่ได้เลื่อนขั้นตลอดปีหน้า หากจะบวชจำ�เป็นต้อง

คุณวโร ภิกขุ


10

ใช้วนั ลาต่างๆ ในระบบราชการ นับแล้วได้ครึง่ พรรษาพอดี และมีงานเข้า กะทันหัน ต้องรีบส่งด่วนภายใน 3-4 วัน นอกจากนี้ ผู้เขียนยังตกเครื่อง บิน ต้องงดตารางการเดินทางต่างประเทศกะทันหันก่อนบวช และอื่นๆ อีกหลายอย่าง ท่านทีจ่ ะบวชมักจะพบเจอสิง่ ต่างๆ เหล่านีเ้ สมอ และเป็น สาเหตุที่ทำ�ให้หลายคนที่สมัครผ่านโครงการนี้ไม่ได้มาบวชในพรรษานี้ ระหว่างพิธีบวช ทุกอย่างเกี่ยวกับการบวชเป็นกรรมฐานหมดเลย เวลาตั้งจิตไว้ เริ่มตั้งแต่การอธิษฐานกราบไหว้เจ้าที่ก่อนเข้าอุโบสถ พิธี ไหว้อุโบสถ ก็มีกระแสตั้งมั่นเป็นปีติ พอไหว้ไป 2-3 ครั้งก่อนเข้าอุโบสถ ความตั้งมั่นมากขึ้นเยอะเหมือนเจ้าที่ศักดิ์สิทธิ์มาก เมือ่ เดินเข้าไปในอุโบสถ ผูเ้ ขียนสัมผัสได้ถงึ กระแสเมตตา และเกิด ผรณาปีติ น้ำ�ตาไหลออกมา พูดไม่ออก ซาบซึ้งพระคุณพระพุทธเจ้ามาก พอถึงพิธีบวชเณร ฐานจิตชัดขึ้นมาก รวมลงเป็นสมาธิตั้งมั่นมาก พอถึง พิธีบวชพระ ตอนพระคู่สวดกล่าวจนจบ เหลือแต่ความตั้งมั่นมากขึ้น เรือ่ ยๆ จนเป็นอุเบกขา และจิตเปลือ้ งออกเป็นญาณเองเลย จนจบพิธี จิต เป็นอิสระ เป็นพิธบี วชทีศ่ กั ดิส์ ทิ ธิแ์ ละมหัศจรรย์มาก เพราะทุกอย่างเป็น กระแสธรรมที่สัมผัสได้จริง และได้ฉายานามว่า “คุณวโร” ดูจิตครึ่งพรรษา


11

คุณวโร..... เจริญในธรรม คุณวโร ภิกขุ ฉายาผู้มีคุณอันประเสริฐ ได้ฝึกตน เตรียมพร้อมในการบวช ก่อนบวช ขณะบวช หลังบวช มีจิตผ่องใส มีกรรมฐานภายใน ได้อุปสมบทเป็นภิกษุในบวรพุทธศาสนา ได้พบคุณอันประเสริฐจากจิตที่ฝึกดีแล้ว และนอบน้อมอยู่ภายใน สว่างไสวสงบสุข หมอปั้น ศ.พญ.ปิยาภรณ์ อภิสารธนารักษ์ และครอบครัวได้ร่วม อนุโมทนาและได้รับในกุศล อันเชื่อมโยงจากจิตที่ฝึกฝนอบรมไว้ดีแล้ว ของคุณวโรภิกขุ สาธุ หลวงลุง พระสุรพจน์ สัท์ธาธิโก

คุณวโร ภิกขุ


12

ในช่วงสัปดาห์แรกหลังการบวช กระแสพระพุทธคุณชัดมาก สัมผัส ได้แต่สงิ่ ดีๆ อาทิเช่น โยมแม่มปี ตี อิ มิ่ เอิบไป 2-3 สัปดาห์ แทบไม่ตอ้ งทาน ข้าว โยมพ่อค่ามะเร็งตับลดลงไปสูร่ ะดับปกติ จากทีส่ งู อยูก่ อ่ นบวช ใบหน้า อิ่มเอิบมีปีติทั้งคู่ เพื่อนสหธรรมิกทั้งหลายที่ไปร่วมงานต่างรู้สึกปีติ อิ่ม เอิบกันถ้วนหน้า ทุกคนที่ไปงานรู้สึกซาบซึ้งใจอย่างมาก และพูดเหมือน กันว่าโชคดีที่ได้ไปงานบวชนี้เพราะเป็นกุศลต่อใจ เหมือนได้ไปบวชจริง เองด้วยดังสมัยพระพุทธกาล ผูเ้ ขียนรูส้ กึ อนุโมทนาสาธุในสิง่ ทีส่ หธรรมิก สัมผัส และขอให้สหธรรมิกทีม่ จี ติ ศรัทธาทุกท่านเจริญในธรรมยิง่ ๆ ขึน้ ไป หลังบวชระหว่างพรรษา ผู้เขียนได้มีความพยายามในการรักษา พระธรรมวินัยอย่างเคร่งครัด ได้เจริญสมาธิ สติ และสัมปชัญญะ รวม ทั้งมีอินทรีย์สังวรศีล (การสำ�รวมอินทรีย์ 6 คือ ตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ) ตลอดเท่าที่กำ�ลังจะทำ�ได้ ประมาณวันละ 7-9 ชั่วโมง รวมถึงได้เจริญ วิปัสสนากรรมฐานตลอด โดยรายละเอียดกรรมฐาน ผู้เขียนได้รวบรวม คำ�ถามตอบไว้ในบทเฉพาะกาล โดยเน้นไปในการดูจติ เพือ่ ขัดเกลากิเลส นิวรณ์เป็นส่วนใหญ่ ไม่ได้เน้นการต้องการสภาวธรรมที่ดี แต่เน้นไปเพื่อ การขัดเกลาตนเป็นหลัก ผู้เขียนได้ปรึกษาพระอุปัชฌาย์เรื่องสภาวธรรมตอนบวช ท่าน บอกว่าดีมาก ทุกอย่างเกิดขึ้นเพราะมีศรัทธา และได้อยู่ใต้บารมีของ ดูจิตครึ่งพรรษา


13

ผ้ากาสาวพัสตร์ทำ�ให้สัมผัสพุทธคุณในสมณเพศได้ในทุกกิจ ส่วนพระ วิปัสสนาจารย์ตอบว่าเป็นเพราะภูมิธรรมท่านพัฒนาขึ้นมากจาก 12 ปี ที่แล้วด้วย โดยสรุปการบวชคราวนีต้ า่ งจากการบวชครัง้ ก่อนตรงทีค่ วามเข้าใจ รอบด้านในศีล สมาธิ ปัญญานั้นมีมากกว่าการบวชคราวก่อนมาก เน้น ไปทีส่ มาธิและดูจติ ทำ�ให้ความเข้าใจในการเป็นสมณเพศนัน้ มากขึน้ และ บริบูรณ์มากขึ้น เสมือนได้เป็นพระภายใต้กระแสพระพุทธคุณเหมือนใน สมัยพุทธกาลจริงๆ

กำ�ลังบุญมีจริง หลายคนก็เชือ่ เรือ่ งกำ�ลังบุญ แต่หลายคนเวลาพูดถึงเรือ่ งนีก้ ม็ รี อย ยิม้ แบบไม่คอ่ ยเชือ่ นัก นอกจากนัน้ หลายคนยังกล่าวว่าศรัทธากับปัญญา นีต่ า่ งกันนะ แล้วก็ยมิ้ ประมาณว่าเราศรัทธามากจึงปัญญาน้อยประมาณ นั้น ความจริงผู้เขียนเป็นนักวิชาการและปกติจะไม่เสียเวลากับอะไรที่ไม่ ได้สนใจมากนัก หากแต่เรื่องศาสนานี้เป็นเรื่องที่ผู้เขียนเข้าถึงได้เองโดย สภาวะทางจิต จึงไม่ต้องอาศัยความเชื่อใดใดมาชักจูง เพราะทั้งหมดที่ สัมผัสล้วนเป็นความจริงอยู่ในจิตที่สัมผัสได้เอง อย่างไรก็ตาม ในพรรษา นีผ้ เู้ ขียนมีเรือ่ งมาแลกเปลีย่ นมุมมองเพือ่ ยังศรัทธาในกลุม่ คนทีอ่ าจจะยัง ไม่ได้ศรัทธามากมายนักหลายเรื่อง นอกจากเรื่องโยมแม่มีปีติ อิ่มเอิบไป 2-3 สัปดาห์โดยแทบไม่ตอ้ งทานข้าว โยมพ่อค่ามะเร็งตับลดลงไปสูร่ ะดับ ปกติจากที่สูงอยู่ก่อนบวช ใบหน้าอิ่มเอิบมีปีติทั้งคู่ ทั้งหมดเกิดขึ้นหลัง บวช ผู้เขียนมีเพื่อนสหธรรมิกที่ได้บวชก่อนหน้าประมาณครึ่งปี โยมแม่ ของสหธรรมิกท่านนั้นป่วยเป็นมะเร็ง อ่อนเพลีย เดินไม่ค่อยไหว หลังที่ ท่านบวชได้ปฏิบัติธรรม โดยได้บวชที่วัดเดียวกัน โยมแม่ท่านมีอาการ คุณวโร ภิกขุ


14

แข็งแรงขึ้นมาก สามารถเดินเหินได้คล่องแคล่วจากที่เดินไม่ค่อยได้ ไป ตักบาตรทำ�บุญจนคนที่ไปด้วยกันก็ตกใจ นอกจากนั้น มะเร็งที่เป็นก็ดู เหมือนตอบสนองต่อการรักษาอย่างมาก เพื่อนที่ทำ�งานคนหนึ่ง คุณพ่อ ไปบวช ผูเ้ ขียนได้ถามสาเหตุวา่ ไปบวชทำ�ไม เพือ่ นท่านนัน้ ตอบว่าคุณพ่อ ป่วยเป็นมะเร็งต่อมลูกหมาก และเกิดเลือดออกหลังจากไปทำ�การเจาะชิน้ เนื้อตรวจ โดยมีเลือดออกแบบควบคุมไม่ได้ แต่ที่น่าสนใจคือทั้งพ่อและ แม่เพื่อนนั้นเห็นเจ้ากรรมนายเวรที่ห้องที่นอนในโรงพยาบาล นอกจาก นั้นแล้วยังเห็นว่าเจ้ากรรมนายเวรได้ตามไปที่บ้านด้วย จึงตัดสินใจบวช อุทิศส่วนกุศลให้เจ้ากรรมนายเวร เจ้ากรรมนายเวรจึงหายไป นอกจาก นัน้ เพือ่ นทีเ่ คยจะเป็นหมอสูตนิ รีแพทย์เคย บอกว่าได้ท�ำ แท้งผูป้ ว่ ยไปหลายรายตามข้อ บ่งชี้ทางการแพทย์ จนมีคนหลายคนพูดว่า เห็นเด็กหลายคนเดินตามเพือ่ นมาเป็นขบวน จนเพือ่ นงงและต้องไปทำ�บุญหลายวัดจึงหาย ไป จนในทีส่ ดุ ตัดใจไม่เป็นสูตนิ รีแพทย์ และ เบนเข็มมาเป็นอายุรแพทย์แทน ในพรรษาเดียวกัน เพื่อนพระก็ได้ เห็นสัมภเวสีมาอยู่ที่กุฏิ ท่านหนึ่งโดนปลุก ให้มาปฏิบัติธรรมหลายครั้ง อีกท่านเห็นที่กุฏิ อีกท่านเห็นตอนเพิ่งออก จากห้องน้ำ� เนื่องจากพรรษานี้ พระวิปัสสนาจารย์ให้เน้นการวางเกี่ยว กับเรื่องพวกนี้ ผู้เขียนจึงไม่ขอขยายความเพิ่มเติม หากแต่ต้องการบอก เพียงกำ�ลังบุญจากการบวชและจากการทำ�บุญในพุทธศาสนามีจริง สิ่ง ที่เรามองไม่เห็นด้วยตา ไม่ได้หมายความว่าสิ่งนั้นไม่มีจริง รวมถึงภพอื่น นอกจากมนุษย์นนั้ มีอยูจ่ ริงแน่นอนไม่ตอ้ งสงสัยเลยครับ ดังนัน้ การทีเ่ รา ทำ�อะไรไป ถึงแม้ไม่มีใครเห็น คนในภพอื่นๆ เห็นได้ และสิ่งที่เราทำ�ไป ดูจิตครึ่งพรรษา


15

ทุกอย่างล้วนตกอยู่ในกฎแห่งกรรมทั้งสิน้ เราจึงควรไม่ประมาทและควรละการทำ� อกุศลทุกชนิดครับ

ทำ�ไมถึงไม่บวชตอนชรา ตอนที่ ทำ�งานได้เราควรจะทำ�งานให้มาก ไม่ใช่หรือ ความจริงแล้ว เราไม่สามารถรูไ้ ด้วา่ ความทุกข์จะมาถึงเราเมื่อไร หากเราไม่ได้ฝึกจิตให้สามารถปล่อยวางได้ เวลาความทุกข์เข้ามากะทันหัน เราจะตั้งตัวไม่ทัน ผู้เขียนได้ขออนุญาต เพื่อนพระว่าจะเขียนถึงแต่จะไม่เอ่ยชื่อ พระรูปหนึ่งเพิ่งเสียลูกสาวอายุ 20 ปีไป ตอนนีย้ งั ทำ�ใจไม่ได้ รวมถึงได้หย่าขาดจากภรรยาด้วย ท่านบอก ว่าเป็นความทุกข์ทแี่ สนสาหัส ทุกครัง้ เวลาเห็นภาพอดีตทีท่ �ำ ให้นกึ ถึงลูก อาทิ เวลาเดินห้างเห็นเด็กวัย 20 ปีก็จะเศร้ามาก ท่านบอกว่าเงินเกือบ ร้อยล้านที่หามาได้ในชีวิตไม่ได้มีค่าใดๆ ทั้งสิ้น มีความตั้งใจจะบวชทุกปี ปีละ 6 เดือน พระอีกท่านหนึ่งมีปัญหาสุขภาพที่หลัง เข่า มีปัญหาช่อง ท้องและระบบขับถ่าย บอกกับผู้เขียนอย่างชัดเจนว่าถ้าได้ฝึกตั้งแต่เด็ก กรรมฐานคงจะก้าวหน้ามากกว่านี้ เพราะตอนนี้ร่างกายสู้ไม่ค่อยไหว แล้ว พระทั้งสองรูปอยู่ในวัย 50 ปีกลางๆ เท่านั้น พระอีกรูปหนึ่งอายุ 40 กว่าปี มีปัญหาเคยคิดฆ่าตัวตาย มีอารมณ์รุนแรงมากในอดีต ยังโชค ดีทไี่ ด้กรรมฐานช่วยไว้ ถึงกับบวชมา 4 ครัง้ แล้ว พระอีกรูปหนึง่ ท่านบอก ว่าบวชมาเมือ่ สองปีกอ่ น หลังสึกเห็นแต่ทกุ ข์ ได้อธิษฐานถึงพระวิปสั สนา จารย์ใ์ ห้มาช่วยดึงออกจากกองทุกข์ ถึงได้มาบวชในพรรษานีโ้ ดยบังเอิญ จากเพือ่ นพระทีก่ ล่าวถึง สามารถอนุมานได้วา่ ความทุกข์มกั จะมาโดยเรา ไม่ได้ตั้งตัว และผู้ที่ไม่ได้ฝึกจิตไว้อย่างดีก็จะไม่สามารถทนทานต่อความ คุณวโร ภิกขุ


16

ทุกข์ได้เลย เป็นบทเรียนให้ผู้อ่านว่าควรใช้ชีวิตโดยความไม่ประมาท เพราะชีวิตนี้น้อยนัก และทุกอย่างที่เราได้มาก็ล้วนไม่เที่ยง เงินทองที่หา ได้ก็ใช้ได้แค่ชาตินี้ ชาติต่อๆ ไป สกุลเงินก็เปลี่ยนสกุลเป็น “กุศล” และ “อกุศล” แทน เมื่อถึงเวลาทุกข์ เงินก็หมดความหมาย อาจไม่ได้ใช้เงิน เหมือนพระรูปแรกที่เสียลูกสาวไปก็เป็นได้

รู้สึกอย่างไรและได้อะไรจากการเป็นพระครั้งนี้ รวมถึงเพือ่ นพระด้วยกันถามว่าการบวชครัง้ นีใ้ ห้คะแนนตนเองเท่าไร เนือ่ งจากผูเ้ ขียนไม่ได้หวังอะไรมากมายก่อนบวชสักเท่าไร การบวช ครั้งนี้ตั้งใจทำ�ให้พ่อแม่ ดังนั้น สิ่งที่ได้ในวันบวชนั้น หากให้คะแนนคงให้ 10 คะแนนเต็ม แต่หากเอาวัตถุประสงค์เพื่อการปฏิบัติธรรมไปประเมิน แล้ว ครั้งนี้ผู้เขียนให้คะแนนตนเองเพียง 7.5 คะแนน ข้อดีที่สุดในการ บวชครั้งนี้คือผู้เขียนได้มีสัมมาทิฏฐิหรือความเห็นที่ถูกต้องอย่างหมดจด เกี่ยวกับพุทธศาสนา รวมถึงเห็นหนทางการหลุดพ้นทั้งหมด และสัมผัส ถึงเส้นทางได้อย่างชัดเจนผ่านการปฏิบตั วิ ปิ สั สนากรรมฐาน แต่จะเข้าถึง หรือไม่ในชาตินี้ขนึ้ อยูก่ บั ความเพียรพยายามของตนเอง ไม่สามารถโทษ อะไรใครได้ หากเข้าไม่ถึงธรรมในปัจจุบันชาติ แต่เนื่องด้วยผู้เขียนอายุ 53 ปี และมีปัญหาสุขภาพบางอย่าง ทำ�ให้การปฏิบัติบางอย่างนั้นสู้คน อายุน้อยกว่า 10-20 ปีไม่ได้ อาทิ การนั่งสมาธิ ก็ไม่สามารถนั่งขัดสมาธิ ได้เนื่องจากกล้ามเนื้อยึดตรงขาหนีบ เป็นต้น อีกสิ่งหนึ่งที่ทำ�ให้คะแนน ไม่มากกว่า 7.5 คะแนนอาจเป็นเพราะมีวิบากบางอย่างที่ผู้เขียนยังไม่ได้ จัดการให้เรียบร้อยก่อนบวชมารบกวนการปฏิบตั ิ ทำ�ให้เกิดปัญหาในการ ปฏิบตั ไิ ม่กา้ วหน้าเท่าทีค่ วรในช่วงแรก แต่ยงั โชคดีทเี่ คยได้ฝกึ กรรมฐานมา ก่อน ทำ�ให้มีปัญญาและความเจนจัดในการปฏิบัติ แก้ไขปัญหาที่เกิดขึ้น ดูจิตครึ่งพรรษา


17

ในกายและจิตได้ในระดับหน่ึง รวมถึงยังโชคดีที่ได้กลุ่มเพื่อนพระที่ตั้งใจ ปฏิบตั ธิ รรมกันทุกรูป ทำ�ให้บรรยากาศเอือ้ ต่อการปฏิบตั ธิ รรมในพรรษานี้ ดังนัน้ มุมมองทีไ่ ด้มองพุทธศาสนาก่อนบวชได้เปลีย่ นไปเช่นกัน เพราะตอนนีผ้ เู้ ขียนได้ตระหนักด้วยตนเองโดยชัดเจนว่าความจริงแล้ว พระพุทธศาสนาไม่เคยเปลีย่ นไป หากมีแต่คนทีเ่ ข้าไปอยูใ่ นพุทธศาสนา ทีเ่ ปลีย่ นไปเท่านัน้ การบวชครัง้ นีจ้ งึ ได้ท�ำ ให้ผเู้ ขียนเข้าถึงพระพุทธ พระ ธรรม และพระสงฆ์ผ่านทางพุทธานุสสติ ธัมมานุสสติ และสังฆานุสสติ ที่แท้จริง เหมือนความตั้งใจของการบวชเป็นพระในสมัยพระพุทธกาล

มหาสติปัฏฐาน 4 และเครื่องอยู่ในพรรษานี้ ถ้ามีคนถามว่าเป็นพระแล้วมาทำ�อะไร นั่ง นั่ง ยืน ยืน แล้วทำ�ไม ได้บญ ุ ผูเ้ ขียนคงตอบว่าการเป็นพระนัน้ ทำ�ให้ผเู้ ขียนมีเวลาฝึกสติปฏั ฐาน 4 ซึง่ เป็นมรดกธรรมทีป่ ระเสริฐสุดทีพ่ ระพุทธองค์ทรงวางไว้ให้ปฏิบตั ติ าม เพื่อให้พ้นจากกองทุกข์ทั้งปวงได้ การเจริญสติปัฏฐาน 4 นั้นทำ�ได้ตลอด พึงมีสติระลึกอยู่เนืองๆ ในอารมณ์ของรูปนาม มีกาย เวทนา จิต และ ธรรม โดยในสมณเพศ พระจริงจะปฏิบัติสติปัฏฐานอยู่ตลอดโดยที่โยม อาจไม่รู้ อาทิเช่น ขณะบิณฑบาต เท้ากระทบพื้น ระลึกรู้เย็น ร้อน อ่อน แข็ง เกิดเวทนาทางกาย เช่น เจ็บเท้า หรือทางจิต ไม่พอใจ หรือพอใจ ก็ รับรูไ้ ด้ เดินไปจิตตัง้ มัน่ ขึน้ จากการเจริญสติปฏั ฐานก็รบั รูไ้ ด้ พิจารณาเห็น การเกิด ดับ จิต ระหว่างเดินก็รับรู้ได้ เวลาให้พรโยมก็กำ�หนดกรรมฐาน มีสมาธิเป็นบาทฐาน แผ่เมตตาก็กำ�หนดกรรมฐานในมหาสติ ก็รับรู้ได้ เป็นต้น ทุกอย่างที่ทำ�ในสมณเพศ สำ�หรับผู้เขียนล้วนประกอบไปด้วย กรรมฐานทัง้ สิน้ รวมถึงระหว่างเดินบิณฑบาต ผูเ้ ขียนก็ก�ำ หนดแผ่เมตตา ตลอดครึง่ พรรษาด้วย ไม่เฉพาะผูเ้ ขียน แต่มพี ระบางองค์ในกลุม่ ก็ก�ำ หนด แผ่เมตตาระหว่างเดินบิณฑบาตเช่นกัน

คุณวโร ภิกขุ


18

ในพรรษานี้ พระวิปัสสนาจารย์ได้เน้นให้พระอยู่กับอานาปาน สติเป็นเครื่องอยู่ประกอบสติปัฏฐาน 4 โดยผู้เขียนได้ตั้งจิตไว้ที่ใต้ลิ้นปี่ ด้วย เป็นฐานจิตประกอบการดูจิต โดยมีอานาปานสติเป็นเครื่องระลึก ถึง ฝึกไปครึ่งพรรษาได้พบกับสภาวธรรมมากมายตามที่ได้เขียนไว้ใน บทเฉพาะกาล โดยได้รับความเมตตาจากหลวงพ่อและหลวงลุงมาช่วย ตอบคำ�ถามด้วย พระวิปัสสนาจารย์ในพรรษาให้เน้นการวางเรื่องเกี่ยว กับอจินไตย (อจินไตยหมายถึงสิ่งที่ไม่ควรคิดสี่อย่าง คือ พุทธวิสัย ฌาน วิสัย กรรมวิสัย และโลกวิสัย สิ่งที่ไม่อาจเข้าใจได้ด้วยความนึกคิดของ ตนเอง ในทางพระพุทธศาสนาไม่แนะนำ�ให้คดิ เป็นเรือ่ งทีเ่ กินกว่าสามัญ ชนคนธรรมดาจะเข้าใจได้อย่างถ่องแท้) ต่างๆ เน้นให้ละวาง สละออก ประกอบการให้ เพื่อให้จิตนั้นเบาและโล่งจากการวาง การให้เป็นหลัก รวมถึงเน้นสัมมาทิฏฐิ เพื่อการปฏิบัติธรรมให้ยิ่งขึ้นด้วย โดยมีโอกาสได้ สอบอารมณ์กับพระวิปัสสนาจารย์ 4 ครั้ง และพระอุปัชฌาย์ 3 ครั้งใน ช่วงครึ่งพรรษานี้

ธรรมะโดนใจ หลายครั้งที่ผู้เขียนฟังเสียงตามสายระหว่างฉันจากพระอุปัชฌาย์ หรือได้มีโอกาสปฏิบัติธรรมทุกเช้าเย็นร่วมกับ พระวิปัสสนาจารย์ มักจะได้ข้อคิดดีๆ หลาย ประการ จึงขอแบ่งปันบางข้อคิดมาในหนังสือ เล่มนี้ “เมื่อไรบุคคลคิดดี พูดดี ทำ�ดี เมื่อนั้น ฤกษ์ดี ยามดี เป็นมงคลอันสูงสุด” “กายภาพหรือพฤติกรรมภายนอกกับ ดูจิตครึ่งพรรษา


19

สภาวธรรมจะสอดรับกัน ถ้ากายภาพ เรายังทำ�ผิดอยู่ เช่น ผิดศีล มันก็จะ เป็นสภาวะทีเ่ ร่าร้อน ทีห่ นัก ทีอ่ ดั แน่น แต่ถ้ากายภาพมีแต่ความดี คือ คิดดี พูดดี ทำ�ดี จิตใจก็จะเบา เย็น สบาย” “คนทั่วไปคิดว่าความสุขเกิดจากการได้ ดี มี เป็น แต่หารู้ไม่ว่า ความสุขที่แท้จริงเกิดจากการให้ การละ การสละ การวาง เพราะจะ ทำ�ให้จิตเบา” “การคิดลบคิดไม่ดีมาจากใจที่แห้งแล้งนั่นเอง เมื่อเราฝึกปฏิบัติ จนขัดเกลาตรงนี้ออกไป จนเข้าถึงความสุขเบาสบาย มันจะเปลี่ยนเลย ใจจะมีแต่ความอ่อนโยน มีแต่ความชุ่มเย็น” “พิจารณาถึงกฎแห่งกรรมที่เราถูกกระทำ�ไม่ดีต่างๆ เป็นเรื่องของ วิบากกรรมของเราเองที่เราเคยกระทำ�เอาไว้ เราจะไปโกรธโทษใครก็ไม่ ได้ เหมือนเวลากู้หนี้ยืมสินมาถึงเวลาเขาทวง เราก็ใช้ที่ยืมไป ปลดหนี้ได้ ควรจะเบาใจใช่ไหม ถ้าคิดได้อย่างนีก้ จ็ ะทำ�ให้แก้ความโกรธได้ (โลภและ หลงก็พิจารณาอย่างเดียวกัน)” “การสละออกคือสละทีใ่ จ ต้องสลายอัตตาตัวตน สิง่ นีจ้ ะทำ�ได้ตอ้ ง อบรมสติปัฏฐาน 4 จนจิตเกิดความตั้งมั่นก่อน” “สติปัฏฐาน 4 คือมรดกธรรมอันล้ำ�ค่าที่พระพุทธองค์ทรงมอบ ให้ชาวพุทธ” “วงจรของวัฏฏะเริม่ จากกิเลส กรรม วิบาก... กิเลส กรรม วิบาก... กิเลส กรรม วิบาก สามารถออกจากวงจรได้โดยการอบรมด้วยศีล อินทรียสังวรศีล (ลดการสัมผัสโลก) รวมถึงการเจริญสติสัมปชัญญะ จน คุณวโร ภิกขุ


20

มีกำ�ลังจนเห็นรูปนามตามความเป็นจริง เห็น โทษภัยของกิเลสเศร้าหมอง แม้เพียงเล็กน้อย เห็นคุณค่าของการขัดเกลากิเลส เห็นประโยชน์ ของกุศล และสัมมาทิฏฐิ รวมถึงการเจริญ มรรคมีองค์ 8” “ไม่มีใครทำ�ให้เราโกรธได้ ยกเว้นตัว ของเราเอง” “ให้ก�ำ หนดดูจติ ใจตนเอง เมือ่ โกรธก็รวู้ า่ โกรธ แทนทีจ่ ะไปเพ่งเล็งมองคนอืน่ ว่าคนนัน้ ทำ�ไม่ดกี บั เรา เรามองไปทีใ่ จ ตนเองเวลาเกิดความโกรธ ดูอาการของมัน ดูแบบสักว่าดู ดูอย่างปล่อย วาง ดูอย่างไม่วา่ อะไร กำ�หนดดู ไม่ตอ้ งไปบังคับให้มนั หายโกรธ เพียงแต่ กำ�หนดดูรู้อาการของใจที่กำ�ลังโกรธอย่างวางเฉย เราจะพบอาการโกรธ นั้นคลี่คลายลงเอง (โลภ และหลงก็พิจารณาอย่างเดียวกัน)” “การปฏิบตั ธิ รรมเป็นการเอาชนะกิเลส ถ้าชนะจิตใจทีไ่ หลไปตาม กิเลส ไม่ปล่อยใจให้เป็นไปตามกิเลสได้ ก็เรียกได้วา่ เราเอาชนะใจตนเอง” “เราต้องมาวัดผลกัน โดยดูที่ผลความสะอาด ความบริสุทธิ์ใน จิตใจของเราว่ากิเลสที่มีอยู่นี้เบาบางลงหรือไม่ โลภะ โทสะ โมหะในใจ ของเรานี้ลดลงไปบ้างไหม หากเบาบางลงไปก็แสดงว่าการปฏิบัตินั้นมี ความก้าวหน้า แต่ละคนต้องวัดผลด้วยตัวของตัวเอง ต้องตัดสินด้วยตัว เราเองด้วยความยุติธรรม” “ถ้าใจเบิกบานอยู่ที่ไหนมันก็เบิกบาน สำ�คัญที่ใจ ทุกอย่างเกิดที่ ใจ ก็จบที่ใจนี่แหละ” “สิ่งใดสิ่งหนึ่งมีความเกิดขึ้นเป็นธรรมดา (มีความปรุงแต่งเกิดขึ้น ดูจิตครึ่งพรรษา


21

มีความกระเพื่อมความไหวตัวขึ้น เรียกว่าสังขารทั้งหมด) สิ่งนั้นย่อมดับ ไปเป็นธรรมดา” อันนี้เป็นสภาวธรรมของคนในสมัยพุทธกาลที่บรรลุ พระโสดาบันทุกคน “พอจิตเห็นจิตจนละสังโยชน์ 3 เป็นพระโสดาบัน การปฏิบตั ธิ รรม นั้นจะชุ่มไปด้วยการให้ ไม่มีการน้อมไปเพื่อประโยชน์เข้าตัวเลย” “แท้จริงแล้วความสุขที่แสวงหามาทั้งชีวิตมันไม่ได้อยู่ภายนอก ที่ไหนเลย มันอยู่ภายในใจของพวกเรานี่เอง”

การสอบอารมณ์คืออะไร และถามอะไรกัน โดยทั่วไป การฝึกกรรมฐานนั้นจำ�เป็นที่จะต้องมีครูบาอาจารย์ เพราะการปฏิบัติกรรมฐานนั้นจะทำ�ให้ผู้ปฏิบัติพบกับสภาวธรรมทาง กายและทางจิตหลายประการ สภาวธรรมบางอย่างอาจทำ�ให้ผู้ปฏิบัติ ธรรมหลงไปว่าบรรลุธรรมได้ หรือเจอสภาวะบางอย่างทีจ่ �ำ เป็นต้องได้รบั การแก้ไขทางกายและทางจิต ดังนั้น จึงจำ�เป็นต้องมีพระวิปัสสนาจารย์ มาคุม ในพรรษานี้ พระวิปัสสนาจารย์และพระอุปัชฌาย์เมตตา ตอบ คำ�ถามเกี่ยวกับสภาวธรรมให้กับผู้เขียนหลายประการ โดยผู้เขียนได้ยก มาเป็นตัวอย่าง ดังนี้ ปุจฉา ช่วงแรกเห็นการเกิด ดับ เกิดขึน้ ในฐานต่างๆ เช่น ฐานกาย เวทนา จิต แต่ชว่ งกลางจิตพิจารณาแต่การดับ ต่อมาเหลือแต่พจิ ารณา ปัจจุบนั ธรรม เหมือนกับทุกอย่างเกิดขึ้นแล้วจบไปเป็นขณะๆ คำ�ถามคือต้องพิจารณา โยนิโสมนสิการในบางอารมณ์ที่ยังคาในใจหรือไม่ เช่น อารมณ์ขุ่นเคือง ใจ หรืออารมณ์ราคะ หรือจะปล่อยมันดับไปโดยไม่ต้องไปพิจารณาใดๆ คุณวโร ภิกขุ


22

วิสัชนาจากพระอุปัชฌาย์ เกิดจากวิปัสสนาญาณที่พัฒนาขึ้นตามลำ�ดับ โดยการเกิด เกิดขึ้น ต่อไปจะเหลือแต่การดับตามลำ�ดับ ส่วนการพิจารณาก็ท�ำ ได้ทงั้ สองแบบ โดยจินตามยปัญญา คือ คิด วิเคราะห์ ส่วนทีย่ งั เป็นปมในใจ เช่น อารมณ์ ขุน่ เคืองใจมาจากความไม่พอใจ หากจิตเท่าทันความไม่พอใจ อารมณ์ขนุ่ เคืองใจจะดับไป ส่วนราคะมาจากความคิด หรือตรึกในสิ่งสวยงาม ถ้า เราพึงพอใจในสิ่งที่สวยงามมันก็จะผูกจิตให้เกิดอารมณ์ราคะ หากเรา เท่าทันในความพึงพอใจก็จะละราคะได้ หรือแบบที่สองจะไม่พิจารณา ปล่อยให้ดับไปก็ได้ วิสัชนาจากพระวิปัสสนาจารย์ ความจริงแล้ว การปล่อยให้สภาวธรรมดับไปนัน้ ดีแล้ว เพราะจิตได้ ถูกยกขึน้ สูว่ ปิ สั สนาแล้ว ไม่ได้มคี วามจำ�เป็นต้องใช้จนิ ตมยปัญญา ยกเว้น อารมณ์นนั้ จะติดอยูใ่ นใจก็สามารถทำ�จินตามยปัญญาได้ โดยการใช้โยนิโส มนสิการหรือการพิจารณาโดยแยบคายเฉพาะอารมณ์ที่ติดอยู่บ่อยๆ

ปุจฉา หากเรารู้แค่อารมณ์ขุ่นเคืองใจมาจากความไม่พอใจ และละวาง อารมณ์นั้นไป หรือละการตรึกถึงสิ่งที่สวยงามที่เป็นที่ใคร่เพื่อไม่ให้เกิด ราคะ เราอาจจะไม่สามารถแก้ปัญหาได้ถึงต้นตอของสาเหตุของอารมณ์ เหล่านั้นหรือไม่ครับ วิสัชนาจากพระอุปัชฌาย์ ท่านต้องยอมรับว่าภูมธิ รรมในการละปฏิฆะ (ความขัดเคืองใจ) หรือ ดูจิตครึ่งพรรษา


23

ราคะเป็นภูมธิ รรมของพระอนาคามี ดังนัน้ จิตทีย่ งั เข้าไม่ถงึ ภูมอิ นาคามีกย็ งั ไม่สามารถละปฏิฆะหรือราคะได้ คงต้องฝึกให้ภมู จิ ติ พัฒนาขึน้ ถึงจะละได้ วิสัชนาจากพระวิปัสสนาจารย์ ก็ไม่เชิง เพราะถ้ากรรมฐานมีกำ�ลังพอ และวิปัสสนาญาณแก่รอบ พอ จิตจะเห็นจิตอย่างแจ่มแจ้ง และจะสามารถละได้ แต่ต้องมีกำ�ลังพอ เพื่อให้จิตมีกำ�ลัง เดินวิปัสสนาญาณโดยอัตโนมัติด้วยตนเอง

ปุจฉา การน้อมกระแสพระพุทธเจ้าหรือพระอริยสาวก หรือชาวคริสต์ น้อมกระแสพระเยซูหรือพระผู้เป็นเจ้ามาชำ�ระจิต หรือมาช่วยรักษาคน อื่น อันนี้ อาจารย์มองว่าอย่างไร วิสัชนาจากพระวิปัสสนาจารย์ ต้องเข้าใจว่ากระแสพุทธะทีแ่ ท้จริงจะไม่สามารถใช้ประโยชน์ของ พลังงานเพื่อไปทำ�กิจอย่างอื่นได้ เพราะเป็นกระแสธรรมชาติที่โอบอุ้ม ทุกสรรพสิ่งที่บริสุทธิ์ หากกระแสหรือพลังงานใดใช้เพื่อกิจทางโลก เช่น ใช้รักษาคน ต้องระวังสิ่งที่ตามมาด้วย ประการแรก คือ เราไปเปลี่ยนกฎ แห่งกรรมทีเ่ กิดขึ้น ซึง่ อันตราย เพราะจะมีผลกระทบต่อวงจรกรรม รวม ถึงหากกำ�ลังเราไม่แกร่งพอ เราไม่สามารถเข้าถึงแหล่งที่มาของพลังงาน เราก็มิอาจรู้ได้ว่ากระแสที่เราสัมผัสหรือที่น้อมมานั้นบริสุทธิ์จริงหรือไม่ พึงระลึกไว้ว่าของฟรีไม่มีในโลกนี้

คุณวโร ภิกขุ


24

ปุจฉา ในพรรษานี้ นิวรณ์ทกี่ ระผมสูไ้ ม่ได้คอื หดหู่ อาทิเช่น คืนทีท่ �ำ เนสัช ชิก (การปฏิบัติเจริญจิตตภาวนาที่ถืออิริยาบถทั้ง 3 ได้แก่ นั่ง ยืน เดิน เท่านั้น โดยเน้นการนั่งเป็นหลัก และไม่นอน) พอเช้ามากายจะล้า ทำ�ให้ จิตนั้นล้าไปด้วย เกิดความหดหู่ตามมา ยากที่จะเท่าทันสภาวะนี้เพราะ มันเนื่องด้วยการที่กายเราล้าด้วย พยายามแก้โดยการตั้งจิตไว้ให้ตั้งมั่น และเป็นอุเบกขา แต่กไ็ ม่สามารถช่วยได้ ไม่ทราบว่านิวรณ์ประเภทนีต้ อ้ ง แก้ด้วยวิธีอื่นหรือไม่ครับ วิสัชนาจากพระวิปัสสนาจารย์ ปกตินิวรณ์ประเภทนี้จะแก้โดยปีติและโยนิโสมนสิการ ตัวอย่าง การโยนิโสมนสิการ เช่น ให้พิจารณาว่าการทำ�เนสัชชิกทำ�ให้เรามีโอกาส ที่จะได้ฝึกฝนและสร้างบารมีธรรมที่เป็นฆราวาสอาจจะไม่มีเวลาทำ� ดัง นั้นจึงเป็นโอกาสในการทำ�บารมีที่ยิ่งใหญ่

ปุจฉา แล้วการโยนิโสมนสิการแบบนี้จะ เป็นการหลอกตนเองหรือไม่ครับ เพราะเรา เลือกแต่ด้านบวก วิสัชนาจากพระวิปัสสนาจารย์ ทุกอย่างมีสองด้านอยู่แล้วขึ้นอยู่ที่ เราจะมอง หากการพิจารณาแบบไหนแล้ว จิตคลายออกถือว่าใช้ได้หมด ไม่ได้หลอก ดูจิตครึ่งพรรษา


25

ตนเอง หากแต่วิธีที่ดีกว่า คือ เวลาเราพิจารณาทุกสิ่ง หากพิจารณาด้วย ความเมตตาและมีความอ่อนโยนจากจิต โดยการคิดดี พูดดี ทำ�ดี เราจะ หาจุดดีๆ ในการมองในชีวิตประจำ�วันได้เสมอหากจิตเราเป็นกลาง

ปุจฉา (คำ�ถามจากหลวงพี่ที่เสียลูกสาวไป) ตอนนี้ทุกครั้งที่ผมคิดถึงลูกสาวที่เสียไป ทุกครั้งจะรู้สึกเศร้ามาก แบบไม่สามารถข่มใจลงได้ ไม่ทราบว่าพระอาจารย์มีคำ�แนะนำ�อย่างไร วิสัชนาจากพระวิปัสสนาจารย์ การแก้ปัญหาสามารถทำ�ได้โดยทุกครั้งที่รู้สึกถึงความเศร้านั้น ให้ ท่านเปลีย่ นจิตเป็นการนึกถึงสิง่ ทีเ่ ป็นกุศลทีท่ า่ นได้ท�ำ จริงให้ลกู สาวท่าน แล้ว จิตที่นึกถึงความเศร้านั้น จะเปลี่ยนเป็นจิตที่มีความสุขแทน พอจิต ท่านเริ่มมีความเป็นกลาง ท่านก็สามารถพิจารณาเห็นถึงความไม่เที่ยง ของความสุขและความทุกข์อีกที ผู้เขียนได้ถามไปอีกหลายคำ�ถามมาก แต่เลือกเพียงบางข้อธรรม ที่อาจจะเป็นประโยชน์ต่อผู้อ่าน หวังว่าเนื้อหาในส่วนแรกจะช่วยเพิ่ม ความเข้าใจว่าบวชพระเพื่ออะไร พระทำ�อะไรกัน และทำ�บุญกับพระได้ บุญอย่างไร จากไหน

คุณวโร ภิกขุ


26

สภาวธรรมก่อนสึกและหลังสึก ก่อนสึกประมาณ 5-6 วัน ผู้เขียนได้มีโอกาสทำ�เนสัชชิก โดยใน คืนแรกที่ทำ�ได้พบกับสภาวะกายและจิตล้า เป็นผลทำ�ให้เกิดจิตท้อถอย และหดหูต่ ามมาในวันถัดไป วันต่อมาทีท่ �ำ เนสัชชิก ผูเ้ ขียนเปิดมือถือเห็น ภาพสมเด็จพระพุฒาจารย์โต เห็นวาบแรกจิตเกิดมีปีติและเมตตาอย่าง ท่วมท้น ทำ�ให้คืนที่สองในการทำ�เนสัชชิก อาการจิตหดหู่ ท้อถอยหาย ไปจนสิ้น ทำ�ให้ผู้เขียนเข้าใจโดยแท้จริงในทันทีว่าสภาวธรรมประเภทนี้ ต้องแก้โดยจิตที่มีปีติ หลังจากนั้น ทุกครั้งที่เห็นรูปหรือดูคลิปเล่าประวัติ สมเด็จโตหรือดูหนังเรื่องขรัวโต สภาวะเมตตา ปีติก็จะหลั่งไหลออกมา แบบไม่ขาดสายจนถึงปัจจุบัน สิ่งที่ผู้เขียนประสบด้วยหลังจากคืนผ้า กาสาวพัสตร์เวลาสึกคือสภาวะของพระพุทธคุณมีก�ำ ลังลดลงไปพอสมควร ตอนหลังได้มโี อกาสไปถามเหตุผลจากครูบาอาจารย์ ได้ค�ำ ตอบชัดเจนว่า ในเพศฆราวาสจะมีบารมีในการรับกระแสพระพุทธคุณได้น้อยกว่าสมณ เพศ เพราะในสมณเพศนั้น พระพุทธองค์ได้ส่งกระแสผ่านพระพุทธคุณ มาเพื่อให้พระได้ปฏิบัติดี ปฏิบัติชอบ หากแต่ถ้าปฏิบัติได้ดีมากในเพศ ฆราวาสก็สามารถน้อมพระพุทธคุณได้เช่นกัน ในมุมหนึ่ง การปฏิบัติธรรมในสมณเพศจึงสามารถเจริญในธรรม ได้ดีกว่าในเพศฆราวาส แต่ในอีกมุมหนึ่งถ้าสมณเพศไม่ได้รักษาศีล พระ ธรรมวินยั รวมถึงไม่ได้ปฏิบตั ติ นให้ดี ข้อดีเหล่านีอ้ าจกลายเป็นวิบากให้ผู้ บวชได้เช่นกัน ดังนัน้ การเป็นพระจึงต้องพิจารณาสิง่ เหล่านีใ้ ห้ดี ระลึกถึง พุทธคุณ ธรรมคุณ สังฆคุณ รวมถึงปฏิบตั ริ กั ษาพระธรรมวินยั ให้เคร่งครัด เพื่อความไม่ประมาทในธรรม

ดูจิตครึ่งพรรษา


27

กิจเกี่ยวกับพุทธศาสนาหลังสึก หลังสึก ผู้เขียนได้นำ�เอาเงินที่ได้รับจากงานบวชทั้งหมดไปทำ�กิจ เกีย่ วกับศาสนาหลากหลายประเภท อาทิเช่น ร่วมทำ�บุญกับพระอาจารย์ หลายรูป ร่วมงานกฐินหลายงาน สร้างพระ 4 องค์ถวายวัดต่างจังหวัด และมอบให้กับหน่วยงานหนึ่งในจังหวัดหนองบัวลำ�ภู และเป็นทุนใน การพิมพ์หนังสือเล่มนี้ทั้งหมด อุทิศให้แก่บรรพบุรุษ บิดามารดา ครูบา อาจารย์ ครอบครัว วงศ์ตระกูล เจ้ากรรมนายเวร และให้แก่ทุกชีวิตที่มี กรรมสัมพันธ์กับผู้เขียน หากเพื่อนสหธรรมิกที่ร่วมงานมีโอกาสได้อ่าน หนังสือเล่มนี้ก็สามารถอนุโมทนาบุญร่วมกันได้เลย

คุณวโร ภิกขุ


28

มาดูจิตและฝึกจิตกันเถอะ ในส่วนต่อไป ผู้เขียนขอถ่ายทอดคำ�ถาม คำ�ตอบ ที่เป็นประโยชน์ ในการดูจติ ในบทเฉพาะกาล บทนีเ้ หมาะกับคนทีเ่ คยฝึกจิต ดูจติ มาก่อน แล้ว และได้มีเทคนิคการฝึกจิตมาให้พิจารณาทำ�และฝึกฝนด้วย อย่างไร ก็ตาม ผูเ้ ขียนไม่ได้ตงั้ ใจไปชีน้ �ำ สภาวธรรมใดๆ ทัง้ สิน้ ผูป้ ฏิบตั ธิ รรมควรมี ครูบาอาจารย์ชแี้ นะแนวทางทีถ่ กู ต้อง เพือ่ ให้เกิดความก้าวหน้าทางธรรม รู้ละวาง จนเกิดความสันติสุขในจิตใจ ให้สมกับได้พบสิ่งที่หาได้ยาก 3 ประการ คือ การเกิดเป็นมนุษย์ พบพุทธศาสนา และได้พบพระธรรม สติปฏั ฐาน 4 อันเป็นมรดกธรรมทีล่ �้ำ ค่าทีพ่ ระพุทธองค์ทรงมอบให้แก่ พุทธศาสนิกชน ทัง้ หมดนีล้ ว้ นแต่เป็นสิง่ ทีห่ าได้ยากในชีวติ มนุษย์ทงั้ สิน้

ดูจิตครึ่งพรรษา


29

ระหว่างกาล สนทนาธรรมระหว่างกาลอุปสมบท

พระอาจารย์ธัม์มทีโป พระอาจารย์สุรพจน์ สัท์ธาธิโก และพระคุณวโร (ศ.นพ.อนุชา อภิสารธนรักษ์)


30


31


32


33

วิธีปฏิบัติฝึกจิต สงบ พบความสุข 1. ดูจิตภายใน หงายมือทั้ง 2 ข้าง วางไว้บนหน้าตัก ยกมือ ขึ้นมา 2 นิ้ว แตะไปที่กลางหน้าอกบริเวณลิ้นปี่ .. สูดหายใจเข้ายาวๆ ช้าๆ ลึกๆ เหมือนเราไปทะเล ไปภูเขา นํ้าตก ไปพักผ่อน สัก 2-3 ครั้ง ผ่อนความ รู้สึกมาที่ฐานของจิต กลางทรวงอกบริเวณลิ้นปี่ นิ่ง สังเกตความรู้สึกเห็นการเกิดดับเป็นภายใน รูส้ กึ เหมือนนาํ้ พุทผี่ ดุ ขึน้ มา เหมือนฟองนํา้ ทีแ่ ตกดับเหมือนหัวใจ เต้น หรือจะรู้สึกนิ่งๆ รู้สึกว่างๆ ปล่อยลมหายใจให้ร่างกายมัน หายใจ ไปตามปกติของมันเอง แต่กระทบผ่าน ที่ฐานของจิตภายในบริเวณลิ้น ปี่ ด้วยความรู้สึกผ่อนคลาย สุขุม นุ่มนวล สบายๆ ค่อยๆ เอานิ้วมือ แตะออกวางบนหน้าตัก น้อมดูจิต ดูเพื่อเห็นความเปลี่ยนแปลง สิ้นไปเสื่อมไปของ สภาวธรรม เห็นความไม่เที่ยง เป็นทุกข์ เป็นอนัตตา เกิดดับที่จิตภายใน ไปทุกขณะ ทุกอิริยาบถ จากภายในสู่ภายนอก 2. เรียนรู้เรื่องกระแส จากจิต.. รูส้ กึ ไปทีม่ อื ทัง้ 2 ข้าง ค่อยๆ ยกมือ ขึ้น ระยะห่างกันเล็กน้อย นิ่ง.. สังเกตความรู้สึก จาก นั้นขยับมือเข้า-ออกช้าๆ จะรู้สึกเหมือนแรงดึงดูด เหมือนแม่เหล็กดูด หรือลูกบอลพลังงาน 3. ฝึกรับ-ส่งกระแสเมตตา ... ผูส้ ง่ นิง่ แผ่เมตตาจากจิตภายใน “ให้มคี วามสุข” ส่งไปให้ผรู้ บั แล้วขยับมือขึ้น-ลง ช้าๆ ทั้ง 2 ข้าง ผู้รับหงายมือรับกระแส ปล่อยว่างๆ


34

สบายๆ นิ่งสักครู่ สังเกตความรู้สึกที่เกิดขึ้น จะอุ่นๆ เหมือนเป็นแรงดึงดูด แรงต้านกันเบาๆ หรือหนักๆ สังเกตดูภายในรู้สึกโล่งสบาย ภายในนิ่งสงบ หรือ รู้สึกเป็นคลื่นกระแสที่สะเทือนเข้าที่จิต สัมผัสเห็น เกิดดับชัดเจนขึ้น บางคนกลัวคนจะรับไม่ ไ ด้ ตั้งใจมากเกินไป กระแสที่ส่งอาจไม่สบาย และคนรับก็ไม่สบาย ให้ปรับ ความรู้สึกให้นุ่มนวลขึ้นตามลำ�ดับ เหมือนปรับความแรงเบาของพัดลม บอกความรู้สึกซึ่งกันและกัน และเพิ่มระยะห่างจะกระจ่างยิ่งขึ้น 4. กระแสที่เรียนรู้สู่การแผ่เมตตา พระอาจารย์ธัม์มทีโป (www.dhammadipo.org) Facebook: บ้านวังเมือง

การแผ่เมตตาอย่างสั้นๆ นึกถึงใคร .. สูดลม หายใจยาวๆ ผ่อนความรู้สึกลงมาที่จิต แผ่เมตตาไป .. “ ให้มีความ สุข ” ด้วยความรู้สึกนุ่มนวล สบายๆ การแผ่เมตตาไม่มีประมาณ จากจิต .. น้อมบุญกุศลที่เราได้ เจริญมหาสติปัฏฐาน 4 อริยมรรคมีองค์ 8 น้อมอุทิศถวายเป็นพระราช กุศลแด่ พระบาทสมเด็จพระบรมชนกาธิเบศร มหาภูมิพลอดุลยเดช มหาราช บรมนาถบพิตร พระผู้ทรงครองแผ่นดินโดยธรรม เพื่อประโยชน์ สุขแห่งมหาชนชาวสยาม .. และบูรพมหากษัตริย์ทุกพระองค์ ที่ทรงปก ปักรักษาแผ่นดินไทยนี้ไว้ ให้พวกเราได้มีที่อยู่อาศัยมาถึงทุกวันนี้ น้อมถวายเป็นพระราชกุศล ถวายพระพรชัยมงคล แด่สมเด็จ พระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชินีนาถ พระบรมราชชนนีพันปีหลวง


35

... น้อมถวายเป็นพระราชกุศล ถวายพระพรชัยมงคลแด่ พระบาท สมเด็จพระปรเมนทรรามาธิบดีศรีสนิ ทร มหาวชิราลงกรณ พระวชิรเกล้า เจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 10 สมเด็จพระนางเจ้าฯ พระบรมราชินี พระบรม วงศานุวงศ์ทุกพระองค์ .. น้อมบุญกุศลนี้ให้ถึงกับบรรพบุรุษที่รักษาผืน แผ่นดินนี้ไว้ พ่อ แม่ ครูบาอาจารย์ ญาติสนิท มิตรที่รัก ผู้มีพระคุณทุก ท่าน เทวดาทัง้ สิบทิศ และสรรพสัตว์ทงั้ หลายอันไม่มปี ระมาณ ให้มคี วาม สุข ผู้เคยล่วงเกินกันไปในกาลใด ก็อโหสิซึ่งกันและกัน .. แผ่เมตตาไป ให้มีความสุข พระพุทธองค์ตรัสไว้ว่า ภิกษุทั้งหลาย .. เมตตาเจโตวิมุตติ อัน บุคคลเสพแล้ว เจริญแล้ว ทำ�ให้มากแล้ว ทำ�ให้เป็นดุจยานแล้ว ทำ�ให้ เป็นที่ตั้งแล้ว ให้ตั้งมั่นแล้ว สั่งสมแล้ว ปรารภด้วยดีแล้ว พึงหวังอานิสงส์ 11 ประการ อานิสงส์ 11 ประการ อะไรบ้าง? คือ 1.หลับเป็นสุข 2. ตืน่ เป็นสุข 3. ไม่ฝนั ร้าย 4. เป็นทีร่ กั ของมนุษย์ทง้ั หลาย 5. เป็นทีร่ กั ของอมนุษย์ ทัง้ หลาย 6. เทวดาทัง้ หลายรักษา 7. ไฟ ยาพิษ หรือ ศาสตรา กลํา้ กรายไม่ได้ 8. จิตตัง้ มัน่ ได้เร็ว 9. สีหน้า สดใส 10. ไม่หลงลืมสติตาย 11. เมือ่ ยังไม่แทงตลอด คุณวิเศษอันยอดยิง่ * ย่อมเข้าถึงพรหมโลก จากจิต แผ่พลังความรัก ความปรารถนาดี อันปราศจากภัยเวร ออกไปรอบตัว ออกไปรอบสถานที่ รอบๆจังหวัด ทั่วทั้งประเทศ ออกไป ทั่วโลก ทั่วจักรวาลอันไม่มีประมาณ “ ให้มีความสุข ” * คุณวิเศษอันยอดยิง่ หมายถึง อรหัตผล


36

.. นิ่งสักครู่ เมื่อต้องการออกจากการแผ่เมตตา อย่ารีบลืมตา ให้ ตั้งจิตภายในว่า “กลับ” แล้วสูดลมหายใจเข้าช้าๆ ผ่อนความรู้สึกลง มาที่จิต .. ที่มือ .. ลงมาที่ขา สัก 2-3 ครั้ง แล้วค่อยๆลืมตา 5. ฝึกจิต ดูแลรักษาจิตใจให้มีความสุข พระอาจารย์สุรพจน์ สัท์ธาธิโก www.dhammadipo.org จากการที่เราได้เรียนรู้วิธีการดูแลรักษาจิตใจให้มีความสุข ซึ่ง เรียกสั้นๆว่า “ดูจิต” ทำ�ให้เราได้พบที่พึ่งภายในตนเอง และการรับ-ส่ง กระแส ทำ�ให้เรารูส้ กึ ได้ เห็นได้วา่ สรรพสิง่ ทัง้ หลาย เป็นเพียงกระแสแห่ง ความเปลีย่ นแปลง เกิด-ดับเชือ่ มโยงซึง่ กันและกัน ไม่ได้มตี วั ตนทีแ่ ท้จริง อะไร จึงแผ่เมตตาไป ไม่มีประมาณ พระพุทธองค์ ทรงแนะนำ�ให้ผปู้ ฏิบตั เิ ห็นความผิดของตนเอง เมื่อเห็นความผิดของตนเอง อาสวกิเลสย่อมไม่เจริญขึ้น .. เมื่อเราเห็น ความผิดผูอ้ ื่น เราจะส่งจิตออกไปภายนอก ทำ�ให้เราเห็นผิดไปจากความ เป็นจริง เมื่อเห็นผิดจึงเห็นว่า ความคิดที่มันเนียนๆ แอบพูดอยู่ข้างๆ ตลอดนั่นคือตัวเรา พอมีเรา ของเราก็ตามมามีเรา มีเขา เรื่องวุ่นวายจาก ความเห็นที่ผิดจึงเกิดขึ้น อาสวกิเลสจึงเจริญขึ้น เมื่อเราเห็นความผิดตนเอง น้อมกลับเข้าฐานของจิตภายใน ทำ�ให้เรามีปัญญาเห็นสิ่งต่างๆที่เกิดชัดเจนถูกต้องตามจริง เห็นว่า ตัว ความคิดที่มันพูดกระซิบหลอกอยู่ข้างๆ ความคิดนั่นไม่ใช่ของเรา ไม่ใช่ ตัวเรา ถ้าความคิดคือเรา ก็ต้องบังคับได้ .. บังคับไม่ได้ จะเห็นเป็นตัวเรา ได้อย่างไร ไม่ใช่เรา..แล้วคืออะไร? มันคือตัวทุกข์ที่เกิด และตัวทุกข์ดับ มันเป็นเพียง สิ่งใดสิ่งหนึ่งที่เกิดขึ้น แล้วดับไปเป็นธรรมดา มันไม่ใช่เรา


37

เมื่อระลึกถึงความตาย จะพอใจในสิ่งที่มีอยู่ เมื่อพอใจในสิ่ง ที่มีอยู่ จึงมีความสุขตลอดเวลา..เพราะสิ่งนั้นมีอยู่ เมื่อน้อมกลับมาดูจิต มีปัญญาเห็นการเกิดและการดับ เห็น การสิ้นไปและเสื่อมไป เห็นว่าสิ่งที่มีอยู่... มีอยู่อย่างอิงอาศัยซึ่งกันและ กัน เปลี่ยนแปลงตามเหตุปัจจัยตลอดเวลา ไม่ได้มีอยู่อย่างสิ่งที่ เป็นตัว เราหรือของเรา ที่จะบังคับให้ได้ดั่งใจ เมื่อเห็นอย่างนี้ จึงเบื่อหน่าย ไม่ เพลิดเพลินยินดี ที่จะยึดเอาสิ่งที่มีอยู่ แต่เปลี่ยนแปลง ไม่มั่นคง มาเป็น ตัวเราหรือของเรา จิตจึงน้อมสู่นิพพาน หลุดพ้น พบความสุขที่แท้จริง สภาวธรรมทั้งหลายทั้งปวง ล้วนไม่ควรยึดมั่น คำ�ถาม: เวลาปฏิบัติ มีสิ่งต่างๆเกิดขึ้น มากมายแปลกๆ ใน การปฏิบัติ ฟังหลายคนเล่าประสบการณ์ก็มีหลายแบบ เช่นเดียวกัน ควรทำ�อย่างไรกับสิ่งที่เกิดขึ้นเหล่านี้ครับ เมื่อดูจิตไปเนืองๆ จะมีสภาวธรรมเกิดขึ้นจากการปฏิบัติ บาง ครั้งเกิดอาการซาบซ่านทั่วร่างกาย ตัวเบาเหมือนจะลอย นํ้าตาไหล ตัวโยกไปมา คันเหมือนมดไต่ ตัวแข็งเหมือนหิน ลมหายใจหายไป ตัว หายไป ไม่รู้สึกว่ามีร่างกายนี้อยู่เลย กายทิพย์แยก สิ่งที่เกิดขึ้น ให้ทำ� ในใจว่า “ นี่คือสภาวธรรม เปลี่ยนแปลงไปตามเหตุ ไม่ควรยึดมั่น ” บางครั้ง ประคองจิตไป จิตจะเริ่มนิ่ง ดิ่งลงภวังค์ เหมือนเคลิ้ม หรือเวลานอน อาจจะรูส้ กึ เหมือนนอนไม่หลับ เพราะจิตตืน่ อยู่ ให้รสู้ กึ ไว้ ... ความรู้สึกจะผสานกับความนิ่ง จิตดิ่ง แต่รู้สึกตัวตื่นอยู่ภายใน ดังนั้น เมือ่ เราดูจติ ไปเนืองๆ เวลามีกเิ ลสเข้ามา ญาณภายในก็จะสลัดกิเลสออก ไปเอง เหมือนเครื่องตัดไฟอัตโนมัติ จะมีผลต่อร่างกาย คือ


38

เมื่อสลัดกิเลสออกไป ร่างกายก็สะบัดตาม มีอาการสะบัดไป สะบัดมา ภายนอกคล้ายคนโงกง่วง แต่ภายในตื่น รู้สึกอยู่ที่จิตตลอด มัน แสดงให้เห็นว่า ร่างกายนี้ไม่ใช่ตัวเรา เพราะบังคับมันไม่ได้ อาการต่างๆ เช่น แน่น อึดอัดในหน้าอก มึนศีรษะคล้ายจะ อาเจียน บางครั้งมีอาการหนาวๆ ร้อนๆ ปวดเมื่อยถึงกระดูกข้างใน มี สภาวะเหมือนลูกศรเสียบ-อก เจ็บแปล๊บเข้าถึงหัวใจ เหมือนหัวใจถูก กระชาก ..ให้นิ่ง รู้สึกที่จิต แล้วน้อมแผ่เมตตาไป “ให้มีความสุข” หรือแม้แต่บางท่านที่ไม่เคยปฏิบัติ แต่นิ่งอยู่กับการทำ�งาน นานๆ ปล่อยวางความคิดและอารมณ์ เมื่อปล่อยวางภายในมากเข้า มี อาการใจสั่น เต้นแรงขึ้น ในบางเวลามีอาการวูบวาบทั่วร่างกาย หรือวูบ แล้วหายไป หรือมีอาการเจ็บตรงกลางหน้าอก ทั้งที่ภายในของตนเองก็ ยังนิ่งๆอยู่ ไม่ได้ตึงเครียดอะไร แต่สภาวะนี้ก็ไม่หายไป บางท่านก็ไป หาหมอ เพราะนึกว่าตนเองเป็นโรคหัวใจ แต่ทานยาแล้ว สภาวะนี้ก็ ไม่หายไป สิ่งเหล่านี้อาจจะเกิดขึ้น เป็นสภาวธรรมจากการปฏิบัติ และ เป็นการใช้บาปกรรมทั้งหลาย ด้วยสภาวธรรมภายใน .. เมื่อดูจิตไปเนืองๆ ปัญญาภายในจะสลัดความคิดออกไป ด้วยตัวมันเอง มีสภาวะเหมือนธรรมจักร หมุนตัดที่จิตภายใน กระแส สภาวะที่จิตก็หายไป กระแสความคิด-กิเลสปรุงแต่งที่วิ่งมาเหมือนสาย นํ้า ก็หายไปพร้อมกัน เหลือแต่ความสงบภายใน ให้มีปัญญาเห็นความ จริงว่า สภาวธรรมทัง้ ปวงมิควรยึดมัน่ เหมือนเรือแล่นไปตามเข็มทิศ เจอ คลื่นลมรบกวน ไม่หวั่นไหวออกนอกเส้นทาง ย่อมถึงจุดหมายได้ฉันนั้น


39

วิธีการดูจิต ตามแนวทางมหาสติปัฏฐาน 4 อริยมัคค์มีองค์ 8

รู้สึกไปตามฐานที่ 4

มหาสติปัฏฐาน 4 ภาคปฏิบัติ

วิธีแผ่เมตตา

ศูนย์พัฒนาจิตเฉลิมพระเกียรติ บ้านวังเมือง www.dhammadipo.org Facebook: บ้านวังเมือง Youtube: Dhammadipo Channel


40


41

หมอเป้อ: การแผ่เมตตา ถ้าเจาะจงคนจะเยอะและนาน ถ้าทำ�แบบ ไม่เจาะจงให้ทุกคน อานิสงส์จะเหมือนกันหรือเปล่าครับ พระอาจารย์ธัม์มทีโป: เจริญเมตตา มีอานิสงส์ 11 ประการและ มีความละเอียดอ่อนในการแผ่เมตตาไปตามลำ�ดับ.. แผ่เมตตาส่งความ สุขเจาะจงเป็นบุคคลยังมีความรู้สึก เป็นเรา เป็นเขา เป็นใครๆ แผ่เมตตาแบบไม่เจาะจง ปราศจากภัยเวรให้สรรพสัตว์ จิตเปิด กว้างไปตามลำ�ดับ จนกว้าง .. แบบไม่มีประมาณ เมื่อจิตเปิดกว้าง ไม่ แบ่งแยกในสรรพสัตว์ แต่ยังมีความรู้สึก เป็นเรา และเป็นสรรพสัตว์ น้อมเห็นความสิ้นไป เสื่อมไป ที่จิตภายใน ถอนความเป็นเราออก ไป ไม่มเี รา ไม่มสี รรพสัตว์ มีแต่สงิ่ ใดสิง่ หนึง่ ทีเ่ กิดแล้วดับไป จิตย่อมน้อม ไปสู่การหลุดพ้นเพราะไม่ยึดมั่น ปลดเครื่องพันธนาการ ที่ผูกร้อยรัดมัด จิตออกไป เมือ่ กระจ่างด้วยปัญญาภายใน ไม่มเี รา ไม่มสี รรพสัตว์จงึ ไม่มคี วาม กังวลใดๆ เมตตาจึงน้อมไปไม่มีประมาณ ตามกระแสเหตุตามปัจจัย เหมือนฝนตก ไม่ได้เลือกใคร เจริญในธรรม หมอเป้อ: ขอบพระคุณครับ จากเห็นเกิดดับ ตอนนีส้ ติเต็มฐานจิต สังขารแยกออก รู้แจ้งว่ามันเป็นสังขารมิใช่เรา การที่เราเพิกดับ เห็นว่า แยกออก ไม่ใช่ตัวตน อันนี้ใช่หรือเปล่าครับ พระอาจารย์สุรพจน์ สัท์ธาธิโก: อนุโมทนา เห็นเกิด-ดับ เข้าสู่ เห็นความดับ เห็นความสิ้นไป เห็นความเสื่อมไป เห็นความเป็นสังขาร มิใช่เรา มิใช่ตัวตน สาธุ หมอเป้อ: ตัง้ จิตไว้ใต้ลนิ้ ปีจ่ นสติเต็มฐาน อยูด่ ๆี ก็พบความว่างครับ เหมือนจิตเต็ม เปิด แล้วว่าง เสียงในหัวหายไป เห็นแค่กาย จิต และเสียง ธรรมชาติครับ ความปรุงแต่งเหมือนหายไปครับ


42

เรียนถามว่าทำ�อย่างไร เดีย๋ วไปกวาดลานวัด น่าจะได้แค่รกู้ าย กับ รู้จิตเป็นปัจจุบัน ทำ�ได้แค่นั้นครับ พระอาจารย์สุรพจน์ สัท์ธาธิโก: พอไม่ปรุงแต่ง ก็กำ�หนดรู้ใน สภาวะอันไม่ปรุงแต่ง สิ่งที่มีอยู่ ก็เห็นอยู่ สิ่งที่ไม่มี ก็เห็นอยู่ เห็นความจริง ทัง้ มีและไม่มี ทุกสิง่ ล้วนว่างจากตัวเรา ภายนอกทำ� ตามเหตุปัจจัย ภายในไร้การยึดติด อนุโมทนาหมอเป้อ หมอเป้อ: เวลานอน เห็นจิต แยกมาดูกาย เวลามีเสียงมา จิตระลึก รูเ้ อง เกิดสภาพดับเข้ามาในอายตนะ ความคิดมา ก็ดบั ลงเองเหมือนสาย ไฟฟ้า จิตเห็นลม มันก็ดับเอง ข้อเสียคือดับทุกครั้งตามอายตนะมันตื่นทุกครั้งครับ มันเป็นของ มันเองไม่ได้จงใจครับ เวลาดับมันเหมือนไฟแว้บสว่าง แล้วตามด้วยการ ตื่นครับ ไม่ทราบต้องทำ�อย่างไรดีครับหลวงพ่อ หลวงลุง หลับไม่ต่อ เนื่อง จิตเห็นลมหายใจ ก็ดับเอง พระอาจารย์สุรพจน์ สัท์ธาธิโก: จิตกับกายมันแยกกัน ร่างก็ทำ� ไปของมัน มันจะหายใจ มันจะคิด ทีแรกมันจะรู้สึกแปลกๆ พอสภาวะ เดินต่อเนื่อง เวลาเข้าสู่กระแสเกิดแล้วดับเลยทันที สภาวะจะตื่นภายใน .. ดีอยู่แล้ว อนุโมทนา ดูให้ตลอดเดี๋ยวก็ผ่านสภาวะช่วงนี้ไปอีกที เวลาเห็นการเกิดแล้วมันดับ มันมีไฟแว้บสว่าง ตามด้วยการตื่น ทำ�ให้การหลับไม่ต่อเนื่อง ปฏิบัติยืนเดิน นั่ง เวลานอน ให้ทำ�ในใจว่าจะ ตื่น (อย่าทำ�ในใจว่าจะหลับ) ถ้ามันหลับก็ให้มันหลับไปเอง ถ้ามันตื่น ก็ จะไม่ขัดเคืองสภาวะนี้ เพราะทำ�ในใจว่าจะตื่นอยู่แล้ว มันแค่หลับตา แล้วลืมตา เพราะไม่คิดจะหลับ กระแสจะเดินต่อเนื่อง


43

หมอเป้อ: สาธุครับ อันนี้ เราอาจจะไม่ได้พักนะครับ ถ้าจิตมัน ทำ�งานเองแบบนี้ มันจะนอนไม่ได้ครับ มันตื่นแทน แต่เรียนรู้ว่าสติตัว จริงที่ตัดอกุศล ทำ�งานตอนเราไม่จงใจครับ ขอบคุณครับหลวงลุง พระอาจารย์สุรพจน์ สัท์ธาธิโก: ร่างกายเมื่อยก็นอนไปจิตมันตื่น ภายในไม่คิดจะหลับ พอมันจะหลับ มันหลับไปเอง นอนน้อยแต่สดชื่น มาก สติตัวจริง เป็นมหาสติ มีสัมปชัญญะ มีปัญญาเป็นตัวตัด หมอเป้อ: วันนี้สติคมมาก นั่งดูจิตเช้านี้อยู่ดีดีจิตตื่นแบบยิ่งขึ้นอีก เปิดออกสู่ธรรมชาติ ยินเสียงนก นํ้า ลม และสัมผัสธรรมชาติเหมือนตัว เราเป็นส่วนหนึง่ ของธรรมชาติทโี่ อบอุม้ ทุกสิง่ ไว้ รูส้ กึ เชือ่ มโยงกับทุกสรรพ สิง่ อารมณ์ขา้ งในสงบตัง้ มัน่ กว้างขวางออกแบบไม่มปี ระมาณ มีลกั ษณะ บริสุทธิ์ เหมือนธรรมชาติที่ไม่มีการปรุงแต่งครับ เหมือนกับ .. อยู่เป็น ขณะๆ ไป ไม่มีมา ไม่มีไป ควรพิจารณาต่ออย่างไรครับหลวงพ่อ หลวงลุง ตอนนี้แค่อยู่กับ ปัจจุบันเป็นขณะในความสงบ ระงับวิเวกครับ พระอาจารย์สุรพจน์ สัท์ธาธิโก: พอโอบกระแสทุกสิ่ง ไม่สู้ไม่หนี ไม่ยินดี ยินร้าย จะเห็นแต่ปัจจุบันขณะลอยตัวขึ้นมาเองภายในก็เดินต่อ ไปเนืองๆ ลื่นไหลอยู่เหนือกระแส ไม่ติดในกระแสแม้ปัจจุบัน ที่สุด จิต ก็หลุดพ้นจากห้วงทุกข์ พบสุขสงบแท้จริงเหมือนแม่ดูแลลูกในท้องสมํ่า เสมอ ด้วยความรักเมตตา ลูกก็เติบโตไปในครรภ์มารดาด้วยดีไปตาม ลำ�ดับ จนถึงเวลาก็คลอดมาด้วยความสุขสวัสดี พระอาจารย์ธัม์มทีโป: เมื่อน้อมดูจิตไปเรื่อยๆ เห็นการเกิด ดับ ไปเรื่อยๆ จิตภายในก็ปล่อยวาง กายภายนอกก็หายไป มีแต่ความว่าง ไม่มีที่สิ้นสุด เสียงก็ได้ยินอยู่ ลมพัดก็มีอยู่


44

ให้เห็นว่าแม้แต่กายนีก้ ไ็ ม่เทีย่ ง จิตภายในก็ไม่ยดึ มัน่ ภายในก็ปล่อย วางโดยตัวของเขาเอง เพราะไม่มเี รา น้อมแค่ความรูส้ กึ ทีก่ ลางหน้าอกไป เรื่อยๆ สู่ฐานจิตไปเรื่อยๆ สภาวธรรมต่างๆ เขาจะเดินไปได้ด้วยตัวของ เขาเอง โดยที่ไม่ต้องกำ�หนดกฎเกณฑ์ จิตเริ่มดิ่ง ญานเริ่มเกิดทิ้งรูปกาย สมดังหมายเห็นจิตลงภวังค์ เมือ่ น้อมความรูส้ กึ มาทีก่ ลางอกบริเวณลิน้ ปี่ สมาธิกไ็ ด้ดว้ ยตัวของ เขาเอง เมื่อเดินไปคู่กัน จะกลายเป็นมหาสติทันทีเพราะมีปัญญากำ�กับ ตามรักษาจิตไปเรื่อยๆ ธรรมทั้งหลายทั้งปวงล้วนมิควรยึดมั่น จิตภายในก็จะปล่อยวาง เมือ่ ปล่อยวาง จิตก็จะเป็นอิสระจากเรือ่ ง ราวต่างๆ หลุดพ้นเพราะไม่ยึดมั่น เพราะไม่ยึดมั่นจิตจึงหลุดพ้น พระคุณวโร: บวชเสร็จแล้วครับ ทุกอย่างเกี่ยวกับการบวชเป็น กรรมฐานหมดเลย เวลาตั้งจิตไว้ 1. อธิษฐานก่อนเข้าอุโบสถ ไหว้อุโบสถ มีกระแสตั้งมั่นปนปีติ พอ ว่าไป 2-3 ครั้ง ตั้งมั่นมากขึ้น 2. เดินเข้าไปในอุโบสถ สัมผัสกระแสเมตตา และพรรณาปีติ นํ้า ตาไหลออกมา พูดไม่ออกเหมือนซาบซึ้งพระคุณพระพุทธเจ้า 3. พิธีบวชเณร ฐานจิตชัดขึ้นมาก 4. พิธีบวชพระ ตอนพระคู่สวดกล่าวจนจบ เหลือแต่ความตั้งมั่น มากขึน้ เรือ่ ยๆจนเป็นอุเบกขา และจิตเปลือ้ งออกเป็นญาณ จนจบพิธี เป็น พิธบี วชทีศ่ กั ดิส์ ทิ ธิแ์ ละมหัศจรรย์มาก เพราะทุกอย่างเป็นกระแสธรรมที่ สัมผัสได้จริงครับ ได้นาม คุณวโร ครับ


45

พระอาจารย์สรุ พจน์ สัทธ์ าธิโก: เจริญในธรรม คุณวโรภิกขุ ฉายา ผูม้ คี ณ ุ อันประเสริฐ ได้ฝกึ ตนเตรียมพร้อมในการบวช ก่อนบวช ขณะบวช หลังบวช มีจติ ผ่องใส มีกรรมฐานภายใน ได้อปุ สมบทเป็นภิกษุในบวรพุทธ ศาสนา ได้พบคุณอันประเสริฐจากจิตทีฝ่ กึ ดีแล้ว และนอบน้อมอยูภ่ ายใน สว่างไสวสงบสุข อนุโมทนาหมอปัน้ และครอบครัวได้รบั ในกุศล อันเชือ่ ม โยงแห่งจิตที่ฝึกฝนอบรมไว้ดีแล้ว คุณวโรภิกขุ ในกาลนี้และต่อไป สาธุ พระคุณวโร: เรียนหลวงพ่อ หลวงลุง ตอนนีม้ มุ มองเมตตา เปลีย่ น ไป เป็นเมตตาในความว่างครับ พร้อมอนุเคราะห์ไม่ยึดติดใดๆ และไม่ได้ คาดหวังใดๆ แม้แต่ความก้าวหน้าในการปฏิบัติ แค่อนุเคราะห์คนตาม วาสนาที่สัมพันธ์ แม้เขาจะไม่เข้าใจก็ตาม ตอนนี้ทุกบทสวดมีความซาบซึ้งในพุทธเมตตา แบบไม่เคยเป็นมา ก่อน ทุกอย่างมีกระแสกรรมฐานออกมาตลอด ตอนบิณฑบาตท่องให้พร โยม ตอนก่อนฉันเพล ตอนเช้า-เย็น แม้แต่บทอาบัตยิ งั มีกระแสกรรมฐาน เหมือนตนเองอยู่ในเรดาร์ (radar) พุทธองค์ แบบบอกไม่ถูกครับ เพราะ ทุกอย่างคือกรรมฐานจริงๆ ในฐานจิตใต้ลิ้นปี่ หากหลวงพ่อ หลวงลุงมีอะไรชี้แนะเพิ่มเติม สาธุ พระอาจารย์สุรพจน์ สัท์ธาธิโก: เมื่อบวช พึ่งพระพุทธ พึ่งพระ ธรรม พึ่งพระสงฆ์ บวชแล้วมีกรรมฐานภายใน พระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ รวมเป็นหนึ่งที่จิตภายใน กลายเป็น อัตตาหิ อัตโน นาโถ ตน นั่นแหละเป็นที่พึ่งแห่งตน น้อมไปเห็นธรรมตามจริง มีแต่อนัตตา เกิดดับไปตลอด ไม่เจอตัว ตนในที่ไหนๆ ไม่เจอใครในความรู้สึก ย่อมว่างจากตัวเรา เมื่อว่างจากตัว เรา เห็นแต่ธรรม ย่อมพบพระตถาคต เพราะผู้ใดเห็นธรรม ผู้นั้นชื่อว่า เห็นเรา เจริญในธรรม


46

พระคุณวโร: เวลามีอินทรีย์สังวรศีลหลังผัสสะตามอายตนะ เห็น จิตสังขารผุดขึ้นเอง “ไม่ใช่เรา” หลายครั้ง สังขารเป็นลบ เช่นตำ�หนิผู้ อื่น เกิดโทสะ ราคะ หรืออกุศลจิตตามมา อยากถามหลวงพ่อ หลวงลุง ว่าถึงแม้เห็นมัน .. ไม่ใช่เรา.. เห็นมันเกิด-ดับ แต่เราต้องพิจารณา ชำ�ระ อกุศลสังขารเหล่านี้อย่างไรครับ พระอาจารย์สุรพจน์ สัท์ธาธิโก: เมื่อเห็นความผิดใคร อาสวกิเลส ย่อมเจริญขึ้น เพราะกระโจนออกไป ความรู้สึกตัวย่อมลดลง.. เมื่อไม่ เห็นความผิดใคร อาสวกิเลสย่อมไม่เจริญ เพราะไม่กระโจนออกไป หาความผิดใคร จึงเห็นกระบวนการความคิด พูดหลอกอยู่ เมื่อความ รู้สึกชัดเจนขึ้นในจิต จึงตัดขาดได้ไวขึ้น เมื่อไม่เห็นความผิดใคร ไม่ให้ อาหารมัน กิเลสจึงไม่มีกำ�ลัง เพิ่มกำ�ลังด้วยการอโหสิแผ่เมตตา ทำ�ไว้ ในใจ.. ภายในจะตั้งมั่นได้อย่างรวดเร็ว เมื่อทำ�ให้มาก.. เหมือนสายกีตาร์ตั้งหย่อนหรือตึงเกินไป เล่น แล้วไม่ไพเราะ เมื่อเพลิดเพลิน ชื่อว่าหย่อนเกินไป เมื่อขัดเคือง ชื่อว่า ตึงเกินไป สายดนตรี ตั้งไม่หย่อน ไม่ตึง ตั้งพอดี เล่นแล้วไพเราะ ปฏิบัติ.. ไม่น้อมไปใส่ใจ ในความเพลิดเพลิน ยินดี ไม่น้อมไป ใส่ใจในความอึดอัดขัดเคือง อยู่อิริยาบถที่สบาย เห็นการเกิดขึ้นและ ดับไปสิ้นไปและเสื่อมไป จิตภายในน้อมสู่การปล่อย... ถอนความเป็น เราทุกเมื่อ พอเหมาะพอดี ไม่มีติดขัดเป็นการชำ�ระอกุศล ราคะ ปฏิฆะ อวิชชา.. ไปตามลำ�ดับ พระคุณวโร: นั่งดูจิตกำ�หนดจิตที่ฐาน ปัจจุบันดิ่งลงเร็วมาก พบ ความว่าง และสิ่งที่เหลืออยู่ในความว่าง ผมควรพิจารณา สิ่งที่เหลืออยู่ ในความว่าง หรือไม่ครับ? พระอาจารย์สรุ พจน์ สัทธ์ าธิโก: พิจารณาเห็นความว่าง ว่างจาก


47

อะไร และรู้ชัดในสิ่งที่เหลืออยู่.. อะไรที่เหลืออยู่ จะเข้าสู่ความว่างตาม ความเป็นจริง ตามลำ�ดับ เมื่อเห็นความไม่เที่ยง ย่อมว่างจากอาสวกิเลส คือ อวิชชา กาม ภพ รู้ชัดในสภาวธรรมที่แสดงตัวอยู่ ในความรู้สึกที่เหลืออยู่ว่า สิ่งนี้มี อยู่ ย่อมว่างจากกิเลส แต่ไม่ว่างจากความรู้สึก เพราะมันมีอยู่ .. ญาณ จะบอกออกมาไม่ต้องคิด จะกระจ่างภายในจิต ถ้าญาณไม่บอกออกมา ก็พิจารณาเห็นในสภาวะปรมัตถ์ พอถอย ออกมา พิจารณาในสมมุติ เพื่อกระจ่างโดยรอบ และนำ�มาทำ�ไว้ในใจ โดยแยบคาย เป็นโยนิโสมนสิการ สิ่งที่มีอยู่ คือ สภาพธรรมอันไม่เที่ยง แปรปรวน ญาณปัญญาเห็น ความไม่เที่ยงในสภาวธรรมนั้น ในญาณนั้นจึงว่างจากอาสวะ คือ อวิชชา และรูช้ ดั ในสิง่ ทีเ่ หลืออยู่ คือสภาพธรรมอันไม่เทีย่ งว่ามีอยู่ เรียก อาสวขย ญาณ เมื่อปัญญาเห็นความไม่เที่ยง เป็นทุกข์ อนัตตา น้อมไปในญาณ สิ้นอาสวกิเลส พระคุณวโร: สาธุครับ หลวงพ่อ หลวงลุง เหมือนกับญาณทัศนะ มันชัดขึ้นด้วยครับ ทั้งที่เมื่อวานญาณทัศนะไม่ดีนัก แต่วันนี้พลิกเลย แต่ ก็อยู่กับปัจจุบันไปครับ จิตมันดิ่งแต่กว้างกระจายออก ส่วนทึบหายไป เป็นความผ่องใสมาแทนทีค่ รับ ขอบพระคุณทีช่ แี้ นะครับ .. ตอนนีเ้ หมือน กับไม่ต้องปฏิบัติอะไรมากมายเลยครับ เป็นอัตโนมัติในระดับหนึ่งเลย ขอบพระคุณหลวงพ่อหลวงลุงครับ พระอาจารย์สุรพจน์ สัท์ธาธิโก: เจริญในธรรม มีแต่เกิดและดับ ไม่คดิ ว่าหลับหรือตืน่ จิตคืนความผ่องใส สว่างไสว สงบสุข อนุโมทนาสาธุ พระคุณวโร: ในความว่างถ้าเห็นสิ่งที่ยังมีอยู่ ก็พิจารณารู้และวาง ไปนะครับหลวงพ่อ


48

พระอาจารย์ธัม์มทีโป: พิจารณาบ้าง ไม่พิจารณาบ้าง เห็นแล้ว ก็ดับไปเรื่อยๆ สภาวะตัวรู้ และปัญญา จิตวิ่งไปเรื่อยๆ เป็นภาพบ้าง ไม่ เป็นภาพบ้าง นี่เขาเรียกว่าเห็นตามความเป็นจริง แต่ภายในก็ไม่หมาย มัน่ ในการเห็น จิตภายในก็จะท่องเทีย่ วไปในห้วงแห่งความว่าง ไม่มที สี่ ิ้น สุด และไม่หมายมั่นในความว่าง เห็นอย่างไรก็เห็นอย่างนั้น อนุโมทนา ในความเพียร สาธุ พระคุณวโร: ตอนเช้านัง่ ดูจติ ขอกรรมฐานจากพระพุทธองค์ กระแส กลับส่งมา 1. ให้ตงั้ จิตให้ตงั้ มัน่ บนฐานจิตมากๆ จนเต็มฐานและ 2. เปลือ้ ง จิตออกสู่วิปัสสนาญาณ และเห็นทุกอย่างตามความเป็นจริง กระแสพุทธองค์ชัดในความรู้สึกมากๆ ครับ พระอาจารย์สุรพจน์ สัท์ธาธิโก: ในความว่าง เห็นสิ่งที่มีอยู่ มี อยู่ มีอยู่อย่างไม่เที่ยง มีอยู่อย่างไม่ใช่ตัวเรา มีอยู่อย่างว่างจากตัวเรา พิจารณา เห็นอยู่อย่างนี้ รู้อยู่อย่างนี้ วางไปด้วยตัวมันเอง พระคุณวโร: หลังบวชตั้งใจทำ� 2 เรื่องครับเรื่องแรกคือจะสร้าง พระประธานถวายวัดใกล้บ้านชื่อวัดคลองบ้านแผ้ว เห็นทางเจ้าอาวาส สร้างอุโบสถใหม่พอดี หลังบวชจะไปคุยกับเจ้าอาวาส เรือ่ งการสร้างพระ ประธานองค์ใหญ่ครับ อันนีน้ อ้ มกระแสกุศลสว่างมาก และพละเดินจิตเข้า สู่กระแสมรรคได้ ถ้ายืนยันสร้างได้จริง อยากเรียนเชิญ หลวงพ่อ หลวง ลุงเป็นประธานปลุกเสกพระ เรื่องที่ 2 อันนี้ลังเลนิดนึง ตั้งใจจะเขียนหนังสือประสบการณ์บวช การดูจติ ระหว่างบวช รวมถึงรวบรวมคำ�แนะนำ�ของหลวงพ่อ หลวงลุงใน การดูจิต และประสบการณ์อื่นที่ได้จากการบวช เพื่อเพิ่มศรัทธาให้กับผู้ ต้องการบวช รวมถึงแนวทางการดูจติ ทีห่ ลวงพ่อหลวงลุงแนะนำ� ไม่ทราบ หลวงพ่อ หลวงลุงมีความเห็นอย่างไร ถ้าทำ�จริง อยากใช้นามแฝง ไม่ใช้


49

นามจริงเพื่อไม่ให้เกิดตัวตนขึ้น ลังเลเพราะน้อมในกุศลแล้ว มีประโยชน์ แต่มนั ออกในแนวปัญญา ไม่ได้พงุ่ ตรงเข้าสูม่ รรควิถี เหมือนกับการสร้างพระถวายวัดแค่อย่างเดียว เลยขอคำ�แนะนำ�หลวงพ่อ หลวงลุงจะดีกว่า พระอาจารย์สุรพจน์ สัท์ธาธิโก: ความคิดและการลังเล 1. มีความคิดเรื่องจะทำ�พระประธาน 2. ความคิดเรือ่ งทำ�หนังสือ จะเขียนแบบประสบการณ์บวชไม่เอ่ยนาม 1. สร้างองค์พระ - ช่วยให้มีศรัทธา 2. ทำ�หนังสือ - ให้เกิดปัญญา แต่ไม่ได้พงุ่ ตรงในมรรควิถี ทำ�ให้ลงั เล 3. ความคิดเรื่องสภาวธรรมเป็นปัจจัตตัง อาจเกิดการชี้นำ�สภาวะ อาจมีผลเสีย ทำ�ให้ลังเล .. ทุกอย่างเป็นสิ่งที่ดี ช่วยให้คนมีศรัทธาและ ปัญญา แต่ในสภาวะจิตที่เป็นปรมัตถ์ สิ่งเหล่านี้ก็เป็นภาระที่หนักขึ้นมา แม้ในความดี .. จากไม่มใี ครในความรูส้ กึ แม้ตนเอง ก็เริม่ มีเราผูช้ กั ชวนคนสร้างพระ มีเราผูเ้ ขียนหนังสือ เอ่ยนามหรือไม่เอ่ยนาม มีเราผูเ้ ขียนสภาวธรรม หรือ เราไม่เขียนดี เพราะอาจทำ�ให้เกิดผลเสีย มีความคิด มีความลังเล มีหลายเรื่อง .. ถอยออกเป็นเรา ในความ คิด นิวรณ์กไ็ ด้โอกาสแทรกเข้ามา ในความลังเล จึงไม่โปร่ง เพราะปกติอยู่ แต่จิตปรมัตถ์ เกิดแล้วดับ ไม่เกาะกระแสท่ามกลาง ไม่แบก ภาระใดๆ พอแค่ไปแตะกระแสสมมุติ เรื่อง 1 เรื่อง 2 เรื่อง 3 เพิ่มการลังเลเข้าไป ในกลอนหลวงพ่อเขียนไว้ จิตตกฐาน ฌานตกลง ในกลอนจึงแก้ สภาวะไว้ ปฏิบตั นิ นั้ ต้องทิง้ สิน้ ทุกสิง่ เห็นของจริง เป็นสมมุตไิ ม่มนั่ หมาย


50

เรื่องสร้างพระ เรื่องหนังสือ เรื่องถ้อยคำ� สภาวะ เป็นเพียงสมมุติ ของโลกนี้ คุณวโรภิกขุก็รู้ในเรื่องนี้อยู่แล้วจากที่เขียนมา ดังนั้น โอกาสนี้บวชพระ ก็น้อมในปรมัตถ์ไปให้สุด เท่าที่จะทำ�ได้ เพราะเป็นโอกาสดีที่จะฝึกตอนเป็นพระ ให้พบของแท้ ของจริง ที่หลาย คนที่เป็นฆราวาส ต้องการให้พระดำ�เนินเป็นพระแท้เช่นนี้ ส่วนเหตุสมมุติ น้อมเหตุแห่งธรรมพาไปตามเหตุปัจจัย ไม่ได้คิด จะได้หลุดออกจากภาระเหล่านี้ บุคคลเป็นผู้แบกของหนักพาไป การวางภาระลงได้เป็นความสุข และไม่แบกของหนักอันอื่นขึ้นมาอีก พระอริยเจ้าสรรเสริญ คนผู้เห็น ธรรม ไม่คลอนแคลน แม้เกิดมาวันเดียว ดีกว่าเกิดมาร้อยปี เจริญในธรรม คุณวโร พระคุณวโร: ขอบพระคุณหลวงลุงทีช่ แี้ นะ และให้สติในมุมนีล้ อง พิจารณาดูพบว่า ถ้าดูจิตจนปลุกจิตภายในให้สว่าง ตั้งมั่น และ เบิกบาน มันจะเป็นการแก้นิวรณ์โดยอัตโนมัติ และทำ�ให้อยู่กับปรมัตถ์ได้ แม้จะ ต้องมีวิตก วิจารครับ ว่าโดยย่อ .. ดูจิตตลอดเวลา แม้นจะมีนิวณ์ วิตก วิจาร วันนี้กำ�ลังสติ สมาธิกลับมา 90% แล้วครับ ช่วง 1 เดือนที่เหลือ จะเน้นดูจิตแบบไม่พิจารณาอะไรเลยครับ จะได้ไม่หลงไปในวิจิกิจฉา ไม่ เอาความรู้ใดๆทั้งสิ้น .. ทิ้งหมด ตอนนี้อยู่ท่ามกลางสิงห์สาราสัตว์ มีงูเขียวเลื้อยใกล้ที่ล้างบาตร มี ตัวเงินตัวทอง 4-5 ตัว เพ่นพ่านแถวกุฏิ จะต้องดูจิต ทิ้งความกลัวแทน ครับ อกุศลก็เป็นธรรม แต่ต้องดูผ่านฐานจิต Key คือดูจิต แบบทิ้งหมด จนปลุกจิตภายในให้ตื่นรู้เต็มฐาน ขอบพระคุณครับ


51

การอยูท่ ฐี่ าน แล้วชำ�เลืองความว่างอยูเ่ นืองๆ จะโอเคหรือเปล่าครับ พระอาจารย์ธัม์มทีโป: สาธุ ยังไงก็ต้องมีชำ�เลืองอยู่แล้วเป็น ปกติ เหมือนขับรถเดินทางไป ไม่ว่าจะมองตรงไปข้างหน้า.. แต่ความ รู้สึกอัตโนมัติ สายตาภายนอกก็จะชำ�เลือง ซ้ายขวา หน้ากระจกหลัง เป็นอัตโนมัติ .. เมื่อเห็นอย่างไร ก็ไม่อะไรกับเรื่องราวนั้น (ภายใน) เป็น ท่ามกลางทางผ่าน ย่อมเห็นเรื่องราว แต่ภายในไม่หมายมั่นกับเรื่องราว ถึงบางทีเผลอแล้วก็เผลอไป นึกได้ก็น้อมมาที่ฐานจิต แล้วก็ไม่หมายมั่น กับสภาวะที่ผ่านมา แต่ก็มาคุยสนทนากันเป็นเรื่องเล่า ให้คนที่ยังไม่เคย ฝึก หรือฝึกแล้วยังไม่เคยผ่าน ให้เจริญในธรรม พระคุณวโร: สาธุครับ เราอยูก่ บั มันจนจิตเห็นจิตนะครับหลวงพ่อ ถ้าความว่างไม่เที่ยงก็รับรู้แล้วกลับมาฐานจิตนะครับ ปัจจุบัน จุดกลางหน้าอกบริเวณลิ้นปี่เป็นฐาน ตาที่ 3 กลายเป็น ที่ระลึกถึงความว่าง พักหลังเหมือนว่า จุดตาที่ 3 กลายเป็นญาณทัศนะ เช่นเวลาเกิดกุศล สภาพว่างก็คงเปลี่ยนยิ่งขึ้นไป แต่เวลามีนิวรณ์ ก็เห็น บริเวณนั้นเป็นก้อนสมาธิทึบ หรือกระจายออกบ้าง บางครัง้ เห็นด้วยว่าในความว่างเองก็ไม่เทีย่ งเพราะมันเปลีย่ นไปตาม เหตุปัจจัย และความว่างก็ดิ่ง แล้วเปลี่ยนแปรไปตามเหตุตลอดครับ ไม่ ทราบว่าการเห็นความว่างบริเวณตาที่ 3 แบบนี้ ตามทีเ่ ขียนไปถือเป็นการ ดูจิตได้หรือเปล่าครับ ถ้าทำ�แบบนี้ได้จะสบายมากเพราะจิตมีฐาน และ เอาความว่างเป็นกระจกส่อง หรือเป็นญาณทัศนะครับ วิธีการแก้ปัญหามีแค่อย่างเดียวคือกลับสู่สามัญ อยู่กับฐานจิตให้ เต็มฐานมั่นคง ปลุกจิตภายในตื่น จะแก้พวกโมหะ ส่วนฟุ้งหรือวิจิกิจฉา จะแก้โดยการอยู่กับฐานจนอิ่มตั้งมั่น เรียนขอคำ�แนะนำ�ด้วยครับ


52

พระอาจารย์ธมั ม์ ทีโป: สาธุ ถูกต้อง มันก็อยูข่ องมัน จิตของอยูข่ อง จิต ตัวรูก้ อ็ ยูส่ ว่ นตัวรู้ กายนอกก็อยูส่ ว่ นกายนอก นีเ่ รียกว่าสัมปชัญญะ กล้า (ปัญญาเห็นแจ้ง) สาธุ พระอาจารย์สรุ พจน์ สัทธ์ าธิโก: เวลาดูจติ ทีก่ ลางทรวงอกบริเวณ ลิ้นปี่ จะเห็นความไม่เที่ยง เกิดดับไปทุกขณะ.. โมหะ ความหลง ว่าเป็น เราก็ดบั ไป.. ว่างจากอวิชชา สมาธิ-วิปสั สนาเดินคูก่ นั ไป ฌานและปัญญา เดินคู่กัน กระแสตรงบริเวณลิ้นปี่กับตรงบริเวณหัวคิ้ว ซึ่งเป็นทางออกของ กระแสวิญญาณ จะสะเทือนถึงกัน เห็นการเกิดดับเป็นภายในและภายนอก สมาธิเพื่อความสุขปัจจุบัน (ฌาน) สมาธิเพื่อญาณทัศนะ เห็นแสงได้ มีสัญญาในความสว่าง สมาธิเพื่อสติสัมปชัญญะ เห็นเกิดขึ้น ตั้งอยู่ ดับไป สมาธิเพื่อสิ้นอาสวะ เห็นการเกิดและดับไป ตอนนี้ดูจิตไปในฐานทั้ง 4 สภาวะที่ปฏิบัติ เห็นสิ่งที่มีอยู่และเห็น สิ่งที่ว่างอยู่.. ว่างไปตามลำ�ดับมีการตรึกอยู่ ว่างจากนิวรณ์.. มีปีติอยู่ ว่างจากการตรึก.. มีสุขอยู่ ว่างจากปีติ.. มีอุเบกขาอยู่ ว่างจากสุข.. ว่าง ไปตามลำ�ดับ เวทนาทีเ่ ปลีย่ นไปตามลำ�ดับฌาน เวทนาทัง้ หลายทีเ่ กิดขึน้ ไม่เทีย่ ง เกิดขึน้ แล้วดับไป แม้สขุ เวทนา แม้ทกุ ข์เวทนา แม้อทุกขมสุขเวทนา ล้วน ไม่เที่ยง เป็นทุกข์ เวทนาว่างจากตัวเรา ปัญญาเห็นตามจริงว่า ไม่ใช่เรา หรือของเรา - เห็นเวทนาในเวทนานั้นไปเนืองๆ พระคุณวโร: ช่วงเช้านัง่ ดูจติ จิตมันเปิดออก สูม่ ติ อิ วกาศ มีสมาธิ มั่นคง สติตั้งมั่น ขยายตัวออก เวิ้งว้างไร้ขอบเขต ไม่แน่ใจว่าอันนี้คืออรูป


53

ฌาน หรือการเปิดเครือข่ายออกของวิปัสสนาญาณครับ พระอาจารย์ธัม์มทีโป: เหมือนช่วงตอนที่หลวงพ่อ นำ�แผ่เมตตา ทุกครั้ง แผ่ออกไปรอบตัว ออกไปรอบบริเวณห้อง ทั่วประเทศ ทั่วโลก ทั่วจักรวาลอันไม่มีประมาณ เมือ่ ดูจติ ก็เป็นวิปสั สนา มีปญ ั ญากำ�กับมหาสติ โดยตัวเขาเอง เห็น การเกิดดับภายในอยู่แล้ว มีปัญญากำ�กับ (เหมือนในกลอนที่แต่งไว้ จิต เริ่มดิ่ง ญานเริ่มเกิด ทิ้งรูปกาย สมดังหมายเห็นจิตลงภวังค์) มีตอนลงภวังค์ไปสงบ กับเวลาก่อนสงบ จิตตัวนี้จะพุ่งไปเรื่อยๆ ก็ ไปเห็นเรื่องราวเห็นซ้ายเห็นขวา มองตรงไป เห็นภาพบ้าง ไม่เห็นภาพ บ้าง ความว่างบ้าง (เหมือนเราอยู่ในตัวมังกร เข้าไปทางปลายหาง และพุ่งไป เรื่อยๆ เลี้ยวซ้าย เลี้ยวขวา เลี้ยวไปเลี้ยวมา คดเคี้ยวไปมา จนโผล่ออกทางปาก มังกร เห็นความว่างไม่มีที่สิ้นสุด ช่วงนี้ต้องนิ่งไม่อะไรๆ .. เห็นไปอย่าง เดียว พุ่งไปเรื่อยๆ พุ่งไปเรื่อยๆ กว้างไกลไร้ประมาณ ไม่มีขอบเขต) ถ้าไม่เห็นกายทิพย์ ตอนเวลาพุ่งไป ก็เป็นตาญาณปัญญา มอง ไปแทน ก็อยู่ในกายทิพย์ อยู่แล้วเหมือนกัน แต่ไม่ได้แสดงตัวตนกาย ทิพย์ให้เห็น นี่แหละห้วงแห่งจักรวาลของใจไม่มีประมาณ ความว่างไม่มี ที่สิ้นสุด ไปด้วยจิตภายใน มีปัญญากำ�กับ ภายในสงบมีหน้าที่มองเห็น แต่ข้างในไม่หมายมั่น อนุโมทนาสาธุ ในความเพียร พระคุณวโร: ผมได้เรียนรูเ้ ช่นกันว่าทำ�เมตตามาน้อยมาก ไม่ทราบ มีวิธี แนะนำ�หรือเปล่าครับ เห็นเพื่อนที่เก่งเมตตา ท่องบทสวดจนเกิน พรรณาปีติวันละ 100 รอบ ระหว่างเดินบิณฑบาตและอื่นๆ คงต้องเริ่ม จากวันละ10 จบก่อนครับ เอาจำ�บทสวดให้ได้ก่อน ถ้าหลวงพ่อ หลวง ลุงมีวิธีลัดสั้นจะดียิ่ง


54

การบวชครั้งนี้ อานิสงส์เยอะมาก ทุกรูปปฏิบัติแบบสู้ตาย มี กรรมฐานเป็นเครื่องอยู่ น่าชื่นชมกันมากมากครับ ปัจจุบันผมไร้รูปแบบ ในกิจประจำ�วัน ปฏิบัติแบบอัตโนมัติครับ สาธุ พระอาจารย์สุรพจน์ สัท์ธาธิโก: พออยู่ในกระแสปรมัตถ์ ปล่อย สมมุติตลอด เลยไม่มีเรา มีเขา มีใคร .. เห็นแต่ สิ่งใดสิ่งหนึ่ง เกิดแล้วดับ น้อมไปสู่ความหลุดพ้น ปัญญามีแต่ตัด .. จึงเหมือนเมตตาน้อย มีเรา มีเขา มีใคร มีสรรพสัตว์ มีเมตตาเป็นฐาน แผ่เมตตาและ อโหสิปราศจากเวรภัย ออกไปทุกทิศ เป็นการสำ�รวจตรวจสอบกระแส ว่ามีอะไรติดข้องในทีไ่ หนหรือไม่ ถ้าไม่มตี ดิ ขัด ภายในจะมีความสุข สงบ ปล่อยเมตตาสู่ปัญญาเห็นความจริง ไม่เจอใครในความรูส้ กึ มีรปู แบบในการปฏิบตั ิ คือปฏิบตั แิ บบไร้รปู แบบ มีความตั้งมั่น แต่ไม่ยึดมั่นในความตั้งใจ จะไม่เจอตัวเราในที่ไหนๆ เจริญในธรรม คุณวโร พระคุณวโร: ได้มีโอกาสสอบอารมณ์กับวิปัสสนาจารย์ ท่านบอก ว่าฝึกมาได้ถงึ ขนาดนี้ แสดงว่าฝึกมานานแล้ว และมาถูกทางแล้ว .. ท่าน บอกว่าโชคดีที่ไม่ออกจากทาง ถ้าคนอื่นน้อมกระแสสิ่งศักดิ์สิทธิ์ฺได้ และ สัมผัสกระแสญาณสาระจิต ที่ท่านเจอมาหลงทางกันหมด พูดอย่างไรก็ ไม่ฟัง ท่านบอกว่าเป็นเพราะสัมมาทิฏฐิดี ถึงทำ�ให้ไม่หลงทาง ท่านมีเจ โตฯ แต่ปัจจุบันท่านสอนให้คนเป็นคนปกติ อยู่กับการพัฒนาธรรมนอก ให้ดีด้วย ภายในก็พัฒนาให้เท่ากับภายนอก คงต้องฝึกเมตตาเพิม่ เพือ่ เพิม่ ความอ่อนโยนให้กรรมฐานครับ ไหนๆ ก็เหลืออีก 1 เดือนครับ เช้านี้ขณะบิณฑบาต สวดเมตตา 42 รอบ และ เจริญสติปัฏฐานขณะบิณฑบาตด้วยครับ


55

วิธีคือเจอสัตว์ระหว่างทางก็แผ่ให้ เข้าเขตเมืองค่อยหยุด เจริญสติ ปัฏฐานไปจนเหลือแต่ปัจจุบัน เวลาน้อมเมตตาก็น้อมออกไปให้กว้าง ก็ได้อีกอรรถรสหนึ่งครับ คงต้องฝึกให้มาก และไม่ประมาทในธรรมครับ พระอาจารย์สรุ พจน์ สัทธ์ าธิโก: คุณวโร ใช้ประโยชน์จากสมาธิได้ ในทุกรูปแบบ แต่มีหลัก มีตัวจบ น้อมสมาธิไปเพื่อสิ้นอาสวะกิเลส สมาธิ ตัวอื่น จึงได้มาเองใช้ได้ แต่ไม่หมายมั่น เจริญในธรรม สวดเมตตาบทไหน พระคุณวโร: สัพเพสัตตา..แปล อเวรา..แปล อัพยาปัชชา..แปล อนีฆา..แปล สุขี อัตตานัง ปะริหะรันตุ..แปล แต่ที่เน้นคือ ผลลัพธ์จากการที่เราเดินไป แล้วน้อมเมตตาให้สรรพ สัตว์ กว้างออกจนเกิดปีติมากกว่าครับ สลับกับเจริญสติปัฏฐานเวลาอยู่ ในเมือง มีผู้คนมาตักบาตร พระคุณวโร: อันนี้ Modify (ปรับเปลี่ยน) แบบหลวงลุงเลยครับ ใครผุดขึน้ มาในจิต แผ่ให้หมด.. สรรพสัตว์ คนมาตักบาตร และธรรมชาติ ออกแบบกว้างครับ ตั้งมั่นเกิดดับ อาจไม่ชัดเท่าเดิม ต้องปรับตัวสัก 1 สัปดาห์ 50 จบต่อวันครับ ตั้งใจจะทำ�ให้ได้ พระอาจารย์สุรพจน์ สัท์ธาธิโก: มีสติ ระลึกบทเเผ่เมตตาได้มาก สิง่ ทีส่ �ำ คัญคือซึบซับในกระแสความรูส้ กึ เมตตา น้อมสูก่ ระแสเกิดดับ จาก สมมุติสู่ปรมัตถ์ สู่การหลุดพ้น


56

.. ได้แผ่เมตตา ทั้งเจาะจงจบเป็นเรื่องๆ ที่พบเจอและในความ รู้สึก และแผ่เมตตาแบบไม่เจาะจงให้สรรพสัตว์โดย แผ่ไปไม่มีประมาณ ให้สัมผัสใจที่เปิดกว้าง เป็นคนใจกว้างอย่างไม่มีประมาณ แทนค่าทุกคน และเพื่อนร่วมเกิดแก่เจ็บตาย ทั้งหมดใน 3 โลก เท่ากับสรรพสัตว์ คือผู้ ยังข้องติดในวัฏสงสาร น้อมเมตตา ส่งความสุข น้อมอโหสิ ส่งความปลอดภัย ไม่มีภัย ไม่มีความคิดผูกเวรความ เจ็บแค้นต่อกัน น้อมส่งความสุข ไม่คิดเบียดเบียนใคร ด้วยความคิด คำ� พูดหรือกระทำ�ใด น้อมส่งความสุข.. อย่าให้คนและสัตว์ทงั้ หลายทุกข์กายทุกข์ใจเลย.. ให้สุขกาย สุขใจ รักษาตน ให้พ้นจากทุกข์พ้นจากภัยทั้งสิ้นเถิด ต่อด้วยการเจริญมหาสติเพื่อให้กระแส เป็นอันเดียวกับบทแผ่ เมตตา จะช่วยให้เขาไม่ทุกข์กายทุกข์ใจ และพ้นจากทุกข์ภัย ทรงกระแสมหาสตินไี้ ว้ ให้สรรพสัตว์ได้เห็นธรรม ในกระแสเกิดดับ ตัดวัฏฏะ ปราศจากสัตว์ ปราศจากบุคคล ปราศจากตัวตน เรา ของเรา ใครๆ จิตย่อมสงบตั้งมั่นได้อย่างรวดเร็วเมื่อทำ�ให้มาก ตั้งมั่นแต่ไม่ยึดมั่น เจริญมหาสติ มีปัญญาเห็นความจริง กระแสมีแต่เกิดดับ สลาย กิเลส ไม่เจอแม้สรรพสัตว์ในที่ไหน เห็นแต่สิ่งใดสิ่งหนึ่งที่เกิดแล้วดับ มี แต่กระแสเกิดดับต่อเนื่อง ตัดวัฏสงสาร ข้างนอกช่วยเหลือไป ภายในไม่ เกาะติด เจริญในธรรม คุณวโร พระคุณวโร: ทรงกระแสไว้.. ให้ทำ�ระหว่างเดินบิณฑบาต หรือ หลังจากนั้นครับ พระอาจารย์สรุ พจน์ สัทธ์ าธิโก: แผ่เมตตาแล้ว ก็ทรงกระแสเห็น ธรรมนี้ต่อไปตลอดเลยเป็นตัวจบ ให้สัตว์ทั้งหลายได้เห็นธรรม


57

ด้วยการดำ�เนินในหนทางจากเมตตา สรรพสัตว์ สูเ่ ห็นธรรม ปราศจาก สรรพสัตว์ ปราศจากทุกข์ ภัยเวรทั้งสิ้นทั้งปวง ก็จะสมดังปรารถนาที่แผ่ เมตตา ให้สัตว์ทั้งหลาย พ้นจากทุกข์ภัยทั้งสิ้นเถิด พระคุณวโร: วันนี้ได้แผ่เมตตา 5-6 รอบตอนบิณฑบาต ตั้งมหา สติแผ่ให้ทุกผัสสะ จากมโนทวาร จักษุทวรา และโสตทวาร ผลคือตั้งมั่น และเคลียร์นิวรณ์เร็วมาก เข้าจตุตถฌานแบบเพิกออกเป็นแผ่นได้อย่าง เร็ว แต่กลับเจอหนึ่งปัญหาครับ พอยืนพิจารณาอาหารกลับมีวติ กเกีย่ วกับอดีต แล้วเกิดการปรุงแต่ง เป็นปฏิฆะ ใน 3-4 วินาที แล้วรีบละออกทันที เลยงงครับ คือเจริญเมตตา แล้วเจอปฏิฆะทดสอบเลย ไม่ทราบว่าต้องทำ�อะไรเพิม่ เติมหรือเปล่าครับ แต่มุมดีคือเมตตาเย็น พอเจอปฏิฆะ นํ้าหนักจิตมันต่างกันทำ�ให้ ระลึกได้เร็ว แต่ถอื ว่ายังสอบไม่ผา่ น แต่ไม่รแู้ ก้อย่างไร ถ้าจิตไประลึกอดีต แล้วปรุงปฏิฆะขึ้น อันนี้คือปฏิฆะอันแรกในการบวชเลยครับ พระอาจารย์สุรพจน์ สัท์ธาธิโก: เข้าจตุตถฌาน ลมหายใจจะดับ ความหมายคืออุเบกขาใช่ไหม พระคุณวโร: ใช่ครับ ประมาณจตุตถฌาน แต่ไม่ได้ใช้กายเป็น อารมณ์ครับ มันเพิกออกจากฐานกาย พระอาจารย์สรุ พจน์ สัทธ์ าธิโก: กำ�หนดแผ่เมตตาทางช่องทางทัง้ 6.. เมตตา ต่อด้วยอุเบกขา พอพิจารณาอาหาร มีวิตก มีการใคร่ครวญ ตัวนิวรณ์ มันก็คอยแทรก เพราะอยู่ห้องติดกันจะคอยมา รบกวน พอใจ กระทบนิวรณ์ ที่เป็นสัญญาในอดีต ถ้ารู้สึกสุขเกิด ตัวเพลิดเพลินยินดีจะตามมา ถ้ารู้สึกทุกข์ ตัวอนุสัยคือปฏิฆะ อึดอัดขัดเคืองก็จะแอบตามมา


58

ขัดเคืองในอาหาร ขัดเคืองบุคคล หรือขัดเคืองตัวเองที่มีความรู​ู้สึก ไม่ ชอบเกิดขึ้น.. พอดีมีกระแสเมตตาทรงอยู่ กระแสขัดเคืองจึงหมดกำ�ลัง สังเกตเห็นความรู้สึกสุข รู้สึกทุกข์ รู้สึกเฉยๆ .. ความรู้สึกทั้งหมด สลับกันเกิด มันจึงเป็นสิ่งไม่เที่ยง เพราะอาศัยเหตุต่างๆ เกิดขึ้น ยังเป็น ทุกข์อยู่ เพราะมีความแปรปรวนไปตามเหตุปัจจัย ให้มีปัญญาเห็นความจริงที่กำ�ลังเกิด สิ่งที่กระทบกระเทือนอยู่ ความรูส้ กึ ทีก่ �ำ ลังเกิด สัญญาในอดีต สิง่ ทีก่ �ำ ลังปรุงแต่ง สิง่ ทีร่ อู้ ยูน่ นั่ ไม่ใช่ เรา นั่นไม่ใช่ของเรา เราไม่ได้เป็นสิ่งนั้น นั่นไม่ใช่ตัวตนของเรา เห็นความจริงย่อมคลายยินดี ย่อมหลุดพ้นเพราะไม่ยึดมั่น พระคุณวโร: อันนีต้ รงกับสภาวะช่วงเช้านีเ้ ลยครับหลวงลุง จำ�เป็น ต้องผ่อนการท่องเมตตา เน้นอยู่กับฐานจิตให้มากจะดีหรือเปล่าครับ พระอาจารย์สุรพจน์ สัท์ธาธิโก: จากการท่องบทเมตตา น้อมจิต สู่การซึมซับกระแสเมตตา น้อมจิต เห็นการเกิดดับ น้อมไปสู่ความหลุด พ้น จะเห็นรายละเอียด ปล่อย-วาง-จาง-คลาย ตามลำ�ดับ ลึกซึ้งตาม ลำ�ดับ เจริญในธรรม คุณวโร พระคุณวโร: คือน้อมเข้าฐานจิตใต้ลนิ้ ปี่ และทรงมหาสติไว้นะครับ หลวงลุง ขอบพระคุณครับ พระคุณวโร: วันที่กรรมฐานไม่มีกำ�ลัง มีนิวรณ์ เหลือบจิต ถ้าดูจิต เห็นความว่างก็แค่รับรู้และยอมรับหรือเปล่าครับ เห็นนิวรณ์จากญาณทัศนะเป็นถีนมิทธะและโมหะ แต่ก�ำ ลังสมถะ วันนี้อ่อนแรงครับ ปกติใช้กำ�ลังเคลียร์ได้ แต่วันนี้เหมือนไม่มีกำ�ลังสมถะ แต่เห็นสภาวะนิวรณ์ในความว่างบริเวณตาที่ 3 ครับ


59

พระอาจารย์สุรพจน์ สัท์ธาธิโก: อะไรกำ�ลังเกิดขึ้น ก็รู้ชัด นิวรณ์ ถีนมิทธะ และโมหะ ความหลงเกิดขึ้น ละยังไม่ได้ด้วยเหตุใด ก็รู้ชัดในสิ่ง นั้น กำ�ลังสมถะอ่อนกำ�ลัง เพิ่มได้ด้วยเหตุใด ก็รู้ชัดในเหตุนั้น สิ่งที่ละได้ ไม่เกิดด้วยเหตุใด ก็รู้ชัดในเหตุนั้น สูดหายใจยาวขึ้นไปที่สมองเบาๆ ค่อยๆ รู้สึกจากศีรษะเบาๆ แล้ว ค่อยๆ คลายลงมาที่ร่างกาย จนถึงปลายเท้าเบาๆ พอผ่านที่จิต สังเกต กระแสเกิดดับที่เกิดขึ้น สังเกตความรู้สึกที่เกิดเบาๆ สังเกตสิ่งที่ค้างอยู่ที่ ค่อยๆ จางคลายเบาๆ และดับไป ทำ�สัก 2-3 ครั้ง และทำ�ไปเรื่อยๆ จะเป็นการสำ�รวจ ตรวจสอบ กระแสจะไม่ติดขัด.. จากรู้ เป็นรู้สึก และเห็นตัวหลงจะดับไป พระคุณวโร: สาธุครับหลวงลุง รูส้ กึ ดีขนึ้ แต่ก�ำ ลังยังไม่กลับมา ค่อยๆ ทยอยมา รู้สึกว่าท่องเมตต ตอนบิณฑบาตมากไปจนเห็นจิตมันท่องเอง แยกออกไป และบางช่วงอาจเป็นช่องให้นวิ รณ์เข้าระหว่างเดินบิณฑบาต สงสัยต้องผ่อนการท่องลง สลับทำ�สติปัฏฐานให้มาก ระหว่างบิณฑบาต และการท่องเมตตาเน้นผลลัพธ์ คือปีติ และจิตเปิดกว้าง น่าจะดีกว่า พระคุณวโร: เรียนถามหลวงพ่อ หลวงลุง การดูจิตมี 2 แนว คือ 1. ปล่อยสภาวะไปดูไปไม่แทรกแซง และ 2. ละอุกศลจิต เจริญ กุศล ซึ่งเป็นส่วนสัมมาวายะและเพียรทำ�จิตให้ยิ่ง กรณีตัวอย่าง ถ้าผมเห็นญาณทัศนะ บริเวณตาที่ 3 รู้ว่ามีโมหะ ก็ กำ�หนดจิต เพื่อความตั้งมั่น ปลุกจิตภายในให้สว่าง ตื่น และตั้งมั่น ทำ� เช่นนี้ถือว่าแทรกแซงสภาวะหรือเปล่าครับ ในมุมส่วนตัวผมจำ�แนกเป็นสัมมาวายามะ แต่เพื่อนพระบางรูป บอกให้ปล่อยไป จนกว่าโมหะจะหายไปเอง คือรู้และยอมรับ


60

มุมผมคือผมผ่านตรงนัน้ มาแล้ว เพราะเรามาถึงจุดเห็นญาณทัศนะ แล้ว และเห็นสิ่งที่ไม่ว่างในความว่างแล้ว อันที่เพื่อนพระบอกน่าจะเป็น จุดที่พึ่งทำ�วิปัสสนา ยังไม่เห็นสิ่งที่ไม่ว่างในความว่าง จึงเรียนถามเพื่อความกระจ่างครับ สาธุ พระอาจารย์สุรพจน์ สัท์ธาธิโก: สิ่งผู้ฝึกจิต ในสภาวะละเอียด ควรมี มี 3 สิ่งนี้ตลอดเวลา และใช้ให้เหมาะสมตามกาลเวลา คือ ความ เพียร ระงับความเกียจคร้าน ความสงบ ระงับฟุ้งซ่าน อุเบกขา จิตตั้ง มั่น น้อมไปสิ้นอาสวะ เมื่อมี 3 สิ่งนี้ตลอดเวลา และใช้ให้เหมาะสมตามกาลเวลา จิตย่อม ผ่องใส อ่อนสลวย ควรแก่การงาน ตั้งมั่นด้วยดี น้อมไปเพื่อสิ้นอาสวะ ถ้าทำ�ในใจ ความเพียร อย่างเดียว จิตจะเป็นไปเพื่อฟุ้งซ่าน สงบอย่างเดียว จิตจะเป็นไปเพื่อเกียจคร้าน อุเบกขาอย่างเดียว จิตไม่ตั้งมั่นด้วยดี เพื่อสิ้นอาสวะ พระคุณวโร: วันนีเ้ ป็นวันทีแ่ ปลก จิตมันไม่ยอมให้รวมลงและสงบ แต่กลับมีกำ�ลังผลักออกจากฐาน แล้วแยกขันธ์ 5 ออกแทน ด้วยมหาสติ จะว่าดีก็พูดไม่เต็มปาก เพราะเราไม่ได้เจตนา จะว่าแย่ก็ไม่ใช่เพราะจิต เขาทำ�เองเลยด้วยกำ�ลังมหาสติ เลยพิจารณาตามนํ้าไป ระหว่างเดินบิณฑบาตท่องบทเมตตา กระแสเมตตาน้อยลง แต่แผ่ กว้างมากขึน้ เป็นอุเบกขา ระหว่างเดิน มีจติ สังขารทีน่ า่ จะกระตุน้ ให้เกิด ปฏิฆะหรืออารมณ์อื่นก็ถูกแยกออกไป เห็นแค่สังขารมันคิดเอง แต่จิต เพิกออกตลอดเวลา เหมือนวันนี้จิตจะให้พิจารณา เกี่ยวกับสังขาร ขันธ์ 5 ความฟุ้งแทน มิใช่พิจารณา สงบ อุเบกขา ช่วงฉันอาหาร มีช่วงวางทุกอย่างลง แม้แต่ความตั้งใจปฏิบัติ พบ


61

ช่วงทีม่ นั ผ่องใส บริสทุ ธิ์ แต่ธรรมดา เป็นธรรมชาติอย่างยิง่ เหมือนดืม่ นาํ้ เปล่าบริสุทธิ์ในสวนเซน ตั้งอยู่ในหลักไม่เกิน 10 วินาที แล้วก็เปลี่ยนไป .. เลยเข้าใจปรมัตถ์ เกี่ยวกับการไม่แทรกแซงสภาวะในการดู จิต คือสภาวธรรมที่เปลี่ยนไป เจอในวันนี้ แต่หลักคือต้องอยู่ในมหาสติ สัมปชัญญะ จึงเรียกว่าไม่แทรกแซง ได้อย่างถูกต้อง ถ้าไม่ถงึ ก็ตอ้ งมีสมั มา วายามะ ละอกุศลออกเสมอ ไม่ทราบหลวงพ่อ หลวงลุง มีคำ�แนะนำ�ใน การดูสภาวะนี้เพิ่มเติมหรือเปล่าครับ พิจารณาเหตุวา่ สภาวะแยกออก น่าจะมาจากเหตุในการฝึกวสี ใน การทำ�สมาธิ รวมกับความพยายามในการเคลียร์นิวรณ์ออกตลอดครับ พระอาจารย์สรุ พจน์ สัทธ์ าธิโก: พอมีสภาวะเกิด-ดับ ก็เพียรดูจติ ไปในสภาวะเกิด-ดับ พอสภาวะจิตนิ่งสงบ ก็ดูจิตในสภาวะนิ่งสงบ พอ สภาวะอุเบกขาวางเฉย ก็ดูจิตไปในสภาวะอุเบกขา .. ดูจิตเห็นสภาว ธรรมที่เกิดขึ้นสลับไปมา จิตจะอ่อนสลวยควรแก่การงาน จิตจะมีกำ�ลัง มันจะเพียรไปเอง สงบไปเองของมัน ตั้งมั่นไปเอง ปล่อยวางไปเอง.. ไม่มีเราในที่ไหนๆ จิตน้อมไปสิ้นกิเลส สิ้นทุกข์ เจริญในธรรม คุณวโร พระคุณวโร: พักหลัง สังเกตว่าถ้าปล่อยวางทุกสิ่ง จิตจะดิ่งลง เข้าฐานทันทีอย่างรวดเร็ว แต่สิ่งที่พบคือกิเลส นิวรณ์ชั้นละเอียดขึ้น ซึ่ง ไม่พยายามไปพิจารณา แล้วแค่ดู แค่สังเกตไป เห็นว่ากิเลส นิวรณ์ พวก นี้ดับไม่เร็ว แต่มันถูกแยกออกไปจากจิต คือ กิเลสส่วนกิเลส จิตส่วนจิต คำ�ถามคือ 1. เราคงต้องยอมรับกิเลส นิวรณ์ เหล่านี้ ว่ามันยังคงอยู่ โดยไม่ ไปชำ�ระมันหรือเปล่าครับ


62

2. ยิ่งลึกเหมือนกับจะยิ่งเจอกิเลส นิวรณ์ ละเอียดมากขึ้น เหมือน กับว่ามันไม่มีวันหมดไปจากขันธ์เราครับ อันนี้ก็รู้ และยอมทำ�ใจอย่าง เดียวนะครับ พระอาจารย์ธัม์มทีโป: อนุโมทนาสาธุคุณวโร ในความเพียร จิตก็ อยู่ส่วนจิต (ความคิดก็อยู่ส่วนความคิด นี่แหละก็คือกิเลสนั่นเอง) 1. ไม่ตอ้ งยอมรับและปฏิเสธ เพราะความคิดผ่านมาผ่านไปอยูแ่ ล้ว เมื่อกลับมาดูจิตเห็นการเกิดดับภายในไปเนืองๆ ก็จะเหมือนมี เกราะแก้วมาคุม้ กันจิต เวลาอารมณ์ตา่ งๆ กิเลสต่างๆ วิง่ เข้ามา ดูเหมือน ว่าจะมากระทบจิตภายใน แต่ไม่กระทบ เพราะตัวเกราะคุ้มกันนี้ เปรียบ เสมือนปัญญา เห็นตามความเป็นจริง ว่ากิเลสต่างๆ มันผ่านมาแล้วผ่าน ไป กิเลสก็เป็นของกิเลส จิตก็อยู่ส่วนจิต ถ้าภายในยังไม่แกร่ง ก็เหมือนมีเราเป็นผูย้ ดึ มัน่ ในบางครัง้ เผลอแล้ว ก็เผลอไป นึกได้ก็กลับมารู้สึก กลับมาบ้านที่ปลอดภัย คือจิตที่ฝึกดีแล้ว 2. จิตเริ่มดิ่งญานเริ่มเกิดทิ้งรูปกาย สมดังหมายเห็นจิตลงภวังค์ ความละเอียดอ่อนแห่งจิตที่ได้ฝึกดีแล้ว มีความเพียรดีแล้ว เหมือนเรา โยนก้อนหินลงไปในนํา้ คลืน่ นํา้ ก็จะแผ่ไปเรือ่ ยๆ ก้อนหินก็ดงิ่ ลงไปเรือ่ ยๆ คลืน่ นํา้ ทีต่ อนแรกเราเห็นแผ่ซา่ นอยูก่ ก็ ลับคืนที่ นิง่ เหมือนเดิม ทีด่ งิ่ ลงไปเรือ่ ยๆ ผ่านชัน้ บนลงไปถึงชัน้ ล่างยิง่ ลึก.. ยิง่ ลึก.. ยิง่ ลึก ทีส่ ดุ ก็ลงพืน้ ความละเอียดอ่อนแห่งจิตทีฝ่ กึ ดีแล้ว กระแสก็ยอ่ มวิง่ ไปเรือ่ ยๆ พุง่ ไปเรื่อยๆ สัมผัสเรื่องราวเหตุการณ์ต่างๆ ว่าง.. สงบ มีตัวรู้และปัญญา กำ�กับไป มีตัวปรุงแต่งต่างๆวิ่งเข้ามาแทรก (กิเลส) แต่ปัญญาตัวนี้ ในการฝึกจิต เห็นการเกิดดับ เป็นปัญญาเห็นแจ้ง แล้วแต่กศุ ลบุญวาสนาบารมีของใคร ทีไ่ ด้ตามเห็นกิเลส และอารมณ์ตา่ งๆ


63

สุข ทุกข์ พอใจ ไม่พอใจ ยินดีหรือเฉยๆ และผ่านเรื่องราวนี้ได้ และนำ�ไป บอกต่อผูอ้ นื่ ให้รตู้ าม ชือ่ ว่าสร้างเมตตาบารมีมาหลายภพหลายชาติ เพราะ บางคนก็สอนไม่เป็น บางคนก็รู้ได้เฉพาะตัว แต่บางคนก็สามารถสอนได้ พระคุณวโร: สาธุครับ ไม่แทรกแซง ไม่ให้ค่า แค่ดูนะครับ ขณะดู หาก มีเวทนาก็ขันติ ดูเวทนาดับไปนะครับหลวงพ่อ พระอาจารย์ธมั ม์ ทีโป: เวทนานอก ก็เปลีย่ นอิรยิ าบถได้ตลอด ยืน เดิน นั่ง นอน .. นั่งปวด ก็ยืน ยืนปวดก็เดิน เดินปวดก็พัก ดับก็เรือ่ งของเวทนา ไม่ดบั ก็เรือ่ งของเวทนา เพราะเวทนาก็ไม่เทีย่ ง พระคุณวโร: ถ้าเป็นเวทนาจิต ก็ดูมันดับไปนะครับหลวงพ่อ พระอาจารย์ธัม์มทีโป: เวทนาที่จิตเกิดอย่างไร มีเวทนาเหมือนลูกศรทีเ่ สียบ-อก มันจะทะลุหน้าอก และพุง่ ออก ไปทะลุหลัง มันวนขึ้นมาทะลุข้างหลังหัว ออกมาที่หน้าผาก และหมุน กลับไปทะลุกลางอก ทะลุหลัง แล้วพุง่ ย้อนกลับไปทะลุหลังหัว แบบเป็น ชั่วโมง เจ็บมาถึงกายนอก แบบเจ็บจริง และบางทีมนั เจ็บแปล๊บ เหมือนเข็มแทง เจ็บไปทีห่ วั ใจ มันเจ็บแปล๊ บ มันก็เป็นสภาวะ แต่บางคน.. ข้างนอก ถ้าไม่เข้าใจ ก็ไปหาหมอ หมอก็ บอกเป็นโรคหัวใจ นีแ่ หละอันตราย มีหลายตัวอย่าง เขาจะผ่าตัดอยูแ่ ล้ว ทีโ่ รงพยาบาล ตรวจหลายโรงพยาบาล อีก 2 วันเตรียมผ่าตัด หลวงพ่อไป สอนดูจิต มาอีก 2 วันออกจากโรงพยาบาลเลย ไม่ต้องผ่า และอีกหลาย คนทีเ่ ป็นสภาวะแบบเหมือนเข็มแทง สอนให้ฝกึ จิตก็หาย ไม่มอี ะไรเกิดขึน้ พระคุณวโร: เพิ่งจบปาฏิโมกข์ครั้งสุดท้าย จิตมันสว่างตั้งมั่นเอง ตลอดการสวดครับหลวงพ่อ น่าจะเป็นอีกพิธีที่ศักดิ์สิทธิ์มากครับ สว่าง เองมาจากฐานจิตตลอดเลยครับ


64

พระอาจารย์ธัม์มทีโป: จิตสว่างด้วยตัวเขาเอง เหมือนเมฆหมอก ที่ผ่านมาบังพระจันทร์ โดยตัวจิตเองสว่างไสวด้วยตัวเอง บางคนนึก ว่าพระจันทร์มืด แต่ที่มืดคือเมฆต่างหาก เมื่อเมฆผ่านไป พระจันทร์ก็ สว่างไสวโดยตัวของเขาเอง พระคุณวโร: วันนีต้ อนเช้าขณะเดินบิณฑบาต ตัง้ จิตในมหาสติ และ เห็นสังขารท่องบทสวดเมตตาเองตอนเดิน โดยไม่ได้แทรกแซง แต่คราวนีแ้ ปลกทีว่ า่ เห็นถึงเหตุทมี่ นั ท่องเอง เพราะเนือ่ งจากอวิชชา พวกโมหะ พิจารณาเห็นโดยไม่แทรกแซง แน่ใจว่าถูก.. เลยมีสังขารปรุง ความรู้ที่รู้ขึ้นมาอีก เมือ่ ไม่แทรกแซง สังขารทีป่ รุงความรูก้ ถ็ กู จับได้วา่ เกิดมาเนือ่ งจาก อวิชชา ประเภทฟุ้งในธรรมเช่นกัน ถ้าหลงยึดความรู้หรือความเห็นคง โดนตัวตนเข้าไปกินแน่ ตอนนี้เลยเริ่มเข้าใจว่า วิถีการดูจิต.. เราไม่เน้นพิจารณามากมาย เลย แค่ตั้งจิตในฐานจิต ดูจิตโดยไม่แทรกแซง ก็จะเห็นรากเหง้าของ อวิชชาที่มาสร้างเป็นสังขาร ถ้าจิตมีกำ�ลังสติและสัมปชัญญะพอเพียง การดูโดยไม่แทรกแซง ที่จริงแล้วก็เป็นวิปัสสนาญาณ ขณะที่การ พิจารณาธรรมนั้น ยังไม่ถึงขั้นวิปัสสนาญาณ แต่คนมักจะให้ค่าเพราะไป ยึดติดกับความรู้ ความเห็น และสภาวธรรม พระอาจารย์ธัม์มทีโป: อนุโมทนา สาธุ ท่านคุณวโร สัพเพ ธัมมา นาลัง อภินิเวสายะ สภาวธรรมทั้งหลายทั้งปวงล้วน ไม่ควรยึดมั่น.. ตัวนี้คือบทสรุป แม้แต่ธรรม ยังไม่ควรยึดแล้วจะยึดอะไร นี่แหละสภาวะที่คุณวโรเขียนมา เพราะเมื่อไปยึดกับสภาวะตัว ละเอียด ก็จะถูกซึมเข้ามาโดยที่รู้ตัว แต่.. ไม่มีปัญญาที่สุขุมลุ่มลึกไปเห็น


65

ตัวกิเลสตัวนี้ได้ เพราะมาแบบกลมกลืนเป็นเราไปเรียบร้อยแล้ว... เมื่อกลับมาดูจิต เห็นเกิดดับที่ฐานจิตไปเนืองๆ ชื่อว่าวิปัสสนานำ� หน้า สมถะตามหลัง หรือบางครั้งสมถะนำ�หน้า วิปัสสนาตามหลัง แล้ว แต่สภาวะของแต่ละคน... ปัญญาตัวละเอียดนี้จะไปกำ�กับโดยตัวของเขาเอง เรียกว่า สัมปชัญญะสติ นี่แหละต้องมีความเพียร มีสัมปชัญญะ มีสติ พึงกำ�จัดอภิชฌา โทมนัส คือความยินดียินร้ายออกจากโลกเสียให้พินาศ ... เมื่อเห็นจิตเกิด-ดับไปเนืองๆ จะคุ​ุ้ยอาสวกิเลสที่นอนเนื่อง ผุดขึ้น มาเรื่อยๆ จากหยาบ ละเอียดเรื่อยๆ เพราะไม่ยึดมั่น จิตจึงหลุดพ้น จิต จะหลุดพ้นเพราะไม่ยึดมั่น พระคุณวโร: ขอบพระคุณครับหลวงพ่อ ที่เห็นด้วยตอนนั้นเห็น ความไม่ว่างในความว่าง เห็นกิเลส และเหตุของกิเลส สุญญตาเจโตวิมตุ ติ.. เห็นความว่างเกิด จากการดับไปของความไม่ มั่นหมาย เป็นความว่างที่ขยายออกเป็นปัจจุบันขณะครับ พระคุณวโร: หลังจากปรึกษาหลวงพ่อไปเมื่อวาน วันนี้จิตเริ่มทิ้ง ไม่พิจารณา ไม่แทรกแซง เหมือนจิตมันเริ่มฉลาดขึ้น ไม่ถูกหลอกง่ายๆ อีก เลยสังเกตเห็นบางอย่างครับ การดิ่งลงในสมาธิเร็วขึ้นมาก และสภาวะภวังคจิตแปรเปลี่ยนไป ครับ.. ฟังดูแปลก แต่เหมือนจิตมันเปิดประตูภวังคจิตออกไป สู่ความตื่น รูใ้ นภวังค์ครับ ไม่ตอ้ งจงใจทำ� แค่ก�ำ หนดเจตนาก็ไปแล้วครับ ในอดีตเข้า ถึงภวังคจิตได้ แต่สภาพตื่นรู้ในภวังค์ เกิดไม่บ่อย


66

พอเริ่มเข้าใจแล้วครับว่า จิต.. พอมันเห็นจิต ไม่ยอมถูกหลอกมัน จะเข้าสู่โหมดปัจจุบันขณะโดยปัญญาที่เห็นเองแล้ว น่าจะเป็นไปเพื่อละ สักกายะทิฏฐิ นักปฏิบตั ถิ า้ ไปยึดรู้ ยึดความรู้ หลุดออกจากตรงนีไ้ ด้นา่ จะมีหลาย ภพชาติอยู่แน่ๆ ครับ ถือว่าโชคดีที่เห็น ขอบพระคุณหลวงพ่อ หลวงลุง ที่คอยแนะนำ�ครับ พระอาจารย์สุรพจน์ สัท์ธาธิโก: สาธุ หลุดพ้นเพราะไม่ยึดมั่น เพราะไม่ยึดมั่น จิตจึงหลุดพ้น พระอาจารย์ธัม์มทีโป: ใครเห็นกิเลสตัวละเอียดได้ นี่แหละชื่อว่า ผู้มีปัญญา ผู้มีปัญญาควรตามรักษาจิต บุคคลใดตามรักษาจิต บุคคลนั้น ย่อมพ้นบ่วงมารได้ พระคุณวโร: เกีย่ วกับการดูปฏิฆะ เมือ่ วานเห็นจิตปฏิฆะ สังเกตเห็น ว่าเกิดจากสังขารไปให้ค่า ถูก ผิด ดี ไม่ดี ซึ่งเกิดจากสติไม่เท่าทันอวิชชา แต่มุมที่ต่างกันนิดนึงคือเวทนาที่เกิดจากปฏิฆะ ที่ทำ�อยู่คือตั้งจิต ไว้ที่ฐาน ละสังขาร ละความพึงพอใจ หรือไม่พึงพอใจในเวทนา ออกไป ในทางปฏิบัติ แทบเป็นไปไม่ได้ในภูมิสติสัมปชัญญะผม ที่จะทัน ตั้งแต่ต้น โชคดีทันก็ละได้เร็วไม่มีเวทนา ถ้าช้าก็ต้องดูเวทนาไปซื่อๆ ไม่ ทราบหลวงพ่อ หลวงลุงแนะอะไรเพิ่มหรือเปล่าครับ พระอาจารย์สรุ พจน์ สัทธ์ าธิโก: สังเกต.. ตาแค่มอง หูแค่ได้ยนิ .. รู้อยู่ รู้สึกชัดอยู่ในทุกช่องทาง มันจะไม่คิด มันมีงานทำ� สังเกตทางตา หู จมูก ลิ้น กาย พอรู้สึกไม่ชัด มันจะขึ้นไปที่สมอง ไปคิด.. ให้สงั เกตดูวา่ ทีไ่ ปคิด ด้วยความไม่รู้ มันไปคาดหวังอะไรบางอย่าง จากการที่มองเห็น ได้ยิน ได้ฟัง ภายในจึงเกิดการดิ้นรน คิดอยากจะให้


67

ได้ดังที่คิด คาดหวังในอนาคตที่จะเกิด เพลิดเพลินกำ�หนัดยินดีกด็ งึ เข้ามา ปฏิฆะขัดเคืองก็ผลักออกไป พอ ไม่ไปดู.. ฟัง ทุกช่องทางทางใจจะเปิด จะสงบข้างใน แต่พอรูไ้ ม่ชดั มันจะ เปิดรับความคิดจะเข้ามา ใจสงบ แต่สัมผัสความคิดที่ไม่สงบ ลองสังเกตกระบวนการนี้ ตา.. แค่ดู ไม่คาดหวังจะเปลี่ยนภาพใด หู.. แค่ได้ยิน ไม่คาดหวังจะเปลี่ยนเสียงใดๆ ให้เป็นดั่งต้องการ ใจ.. รับเรื่องราว ไม่คาดหวังจะเปลี่ยนเรื่องใดๆ ให้เป็นดั่งต้องการ แค่เห็น แค่รับรู้ แค่สัมผัส ไม่คิดจะบังคับทุกสิ่งที่เข้ามาในทุกช่อง ทางให้เป็นดั่งใจ เพราะเห็นแล้วทุกสิ่ง บังคับให้เป็นดั่งใจไม่ได้ เพราะมัน ไม่เที่ยง เป็นตามเหตุปัจจัยไม่ได้เป็นดั่งใจ พอดูจิต รู้สึกในความรู้สึก เห็นการเกิดดับ สลับกับการตรวจสอบ ในทุกช่องทาง จะเห็นเหตุและการดับเหตุชัดเจนขึ้น ไม่เพ่งโทษ เห็นความผิดของใคร เห็นแต่เรือ่ งราว ไม่มเี ขา ไม่มใี คร เจริญเมตตาเนืองๆ กลางคืนตรวจสอบค้างเรื่องไหน แผ่เมตตา อโหสิ และทำ�ความกระจ่างในเหตุนั้นให้ชัด มารไม่ได้ช่อง อาสวกิเลสไม่เจริญ ขึ้น เจริญในธรรม คุณวโร อนุโมทนา หมอปั้น ได้ฝึกจิต ได้บอกเล่าสภาวธรรมที่ปฏิบัติได้ให้ คนได้กระจ่างสว่างไสว เมื่อลองสังเกตฟังเสียงแห่งสงบ ควบคู่กับเสียง ธรรมดา แล้วสงบ-กระจ่าง เมื่อได้สังเกตเสียงแห่งความเงียบสงบ ได้ ชักชวนให้ปอ้ งน้องชายได้มโี อกาสฝึกจิตด้วยกัน ได้รว่ มบุญกุศลไปพร้อม กันทั้งครอบครัว ได้แผ่เมตตาให้พ่อแม่ทั้งที่อยู่หรือจากไป ให้มีความสุข


68

พระคุณวโร: สาธุครับหลวงลุง เดี๋ยวไปทบทวนที่หลวงลุงชี้แนะ มาอีกหลายรอบครับ ปัญหาคือในชีวติ จริง โอกาสทีจ่ ะรูช้ ดั ทุกอายตนะทุกขณะ มันยาก มากครับ พอมันรู้ไม่ชัดสังขารก็เข้ามาทันที พระอาจารย์สุรพจน์ สัท์ธาธิโก: ไม่เป็นไร เพราะธรรมดาก็ดูจิต มีฐานอยูแ่ ล้ว ตัง้ แต่ตน้ จนถึงทีส่ ดุ แต่เพือ่ กระจ่างในรายละเอียด มองอยู่ แล้ว ฟังอยู่แล้ว รับรู้อารมณ์ทุกช่องทางอยู่แล้ว พอเห็นกระบวนการที่มาที่ไปชัด ก็จะมีฉันทะ มีความเพียร ใส่ใจ ใคร่ครวญ ร่าเริงในธรรมไปเอง พอกระจ่าง สังขารที่ปรุงแต่งจะค่อยๆ หมดกำ�ลังไปเอง เวลาทำ� ทำ�เบาๆ แบบพักผ่อน มองแบบไม่คาดหวัง ไม่คดิ จะเปลีย่ น ภาพที่มอง ฟังแบบไม่คาดหวัง ไม่คิดจะเปลี่ยนเสียงที่ฟัง ใจรับรู้อารมณ์ แบบไม่คาดหวัง ไม่คิดจะเปลี่ยนสิ่งทั้งหลายให้เป็นดั่งใจ สังเกตดูกระบวนการนี้ เจริญในธรรมคุณวโร พระคุณวโร: เหมือนกับขันธ์ 5 หลังกระทบ มันห่างจากฐานจิต มากขึ้น ถ้าไปกระทบโลกที่มีความเคลื่อนไหวเร็วขึ้น ไม่แน่ใจว่าจะทัน หรือเปล่าครับ พระอาจารย์สรุ พจน์ สัทธ์ าธิโก: ทำ�สบายๆ แต่นมุ่ นวล เห็นไม่ทนั ด้วยเหตุใด ก็รู้ชัดในเหตุนั้น ทันด้วยเหตุใด ก็รู้ชัดในเหตุนั้น พระคุณวโร: ทำ�ตามที่หลวงลุงบอกตอนบิณทบาต เช้านี้เห็นจิต ไหลไป 100+ ครั้ง นับเฉพาะที่จับทัน มาจากความมัวก่อนทั้งสิ้น มีครั้ง หนึ่งข้ามถนน แล้วเจอมอเตอร์ไซค์บิดคันเร่งเสียงดังมาก เห็นความมัว เกิดสังขาร เกิดการตำ�หนิ เกิดปฏิฆะทันที มันเกิดขึ้นเร็วมากๆ ดีที่อยู่ใน


69

ฐานจิต และตั้งอินทรีย์สังวรศีลไว้ เลยเห็น และละได้เร็ว คิดว่าหลักจริงๆ ถ้าจะให้สติเท่าทัน คือต้องตั้งจิตไว้ตลอดที่ฐาน มีอินทรีย์สังวรศีล ควบคุมตรงทวารไว้ตลอด ก็จะพอเท่าทันได้บ้างครับ แต่ที่รู้ด้วยเหมือนกันคือ ความจริงแล้ว ไม่มีใครเลยสามารถทำ�ให้ เราโกรธได้จริงๆ หากเราตั้งจิต ดูจิต ให้เท่าทันกิเลสตลอด และมนุษย์ ส่วนใหญ่น่าสงสาร เวลาไม่เห็นวงจร จะไปโทษผู้อื่นเสมอว่าเป็นสาเหตุ ของทุกข์ และในความเป็นจริง ทุกข์สภาวะเกิดจากสติที่ไม่เท่าทันกิเลส นิวรณ์ จนเข้าวงจรลึกจนเกิดเป็นอารมณ์และตัวตนขึ้น และสิ่งที่น่าสงสารด้วยคืออารมณ์ต่างๆ เหล่านี้จะสะสมอยู่ในจิต เป็นเครื่องเศร้าหมอง ร้อยรัดไม่ให้เราหลุดพ้นไปได้ ถ้าสะสมโทสะนาน วัน มวลอารมณ์นนั่ จะทำ�ให้เกิดโรคทางจิต และทางกายบริเวณแถวหัวใจ ด้วยครับ พระอาจารย์สรุ พจน์ สัทธ์ าธิโก: เห็นไหลไป100+ แสดงว่าสังเกต ตลอด อนุโมทนา ไม่มใี ครทำ�ให้เราโกรธ กิเลสสร้างตัวเราขึน้ มาจากความ หลงผิด ทำ�สบายๆ นุม่ นวล เหมือนคนเล่นดนตรี แต่ท�ำ ทัง้ กลางวันทัง้ กลาง คืน มีความเพียร มีความสงบ มีอุเบกขา ในทุกช่องทาง ทั้งขยัน ทั้งสงบ ทั้งลื่นไหล เดินไปอย่างเหมาะสม วิจัยในธรรม แล้ว รสแห่งความสงบ ไม่ยึดติดกลมกล่อม.. รสแห่งธรรม ชนะรสทั้ง ปวง เจริญในธรรมคุณวโร พระคุณวโร: ในพรรษานี้แพ้นิวรณ์ตัวหนึ่งคือหดหู่ เมื่อคืนเดิน จงกรมพยายามพิจารณาวิธีแก้ แต่ก็ไม่แน่ใจ


70

สาเหตุมาจากหลายปัจจัย เช่น ร่างกายบ้าง เหนื่อยเพลียบ้าง เช่น นิวรณ์นี้เกิดหลังจากเนสัชชิก (เนสัชชิกังคะ - องค์แห่งผู้ถือการนั่งเป็น วัตร คือเว้นนอน อยู่ด้วยเพียง 3 อิริยาบถ และไม่สามารถนอนได้ 1 วัน เป็นต้น) และนิวรณ์หดหู่ที่เจอ ถ้าเห็นช้าไป มันก่อเป็นเวทนาแล้ว ถึง ตรงนั้นทำ�ได้แค่ตั้งฐานดูจิตไว้ และไม่แทรกแซงสภาวะ ซึ่งใช้เวลานาน ตามเหตุปัจจัยกว่าจะหายไป ถ้าเจอเร็ว ตั้งจิตที่ฐาน เห็นปัจจัยโยงมาจากสังขาร และมาจาก โมหะ แต่นิวรณ์นี้สภาพทึบ เหนียว บนตาที่ 3.. ตั้งจิตบนฐาน ก็ยังใช้ เวลาเกือบครึง่ วันกว่าจะหายไป คือตอนนีท้ �ำ ได้แค่ตงั้ จิตไว้ ไม่แทรกแซง สภาวะและเห็นมันดับไป ซึ่งกว่าจะดับช้ากว่านิวรณ์อื่นมาก ไม่ทราบว่าหลวงพ่อ หลวงลุงแนะนำ�การพิจารณาอะไรเพิ่มเติม หรือเปล่าครับ ขอบพระคุณครับ พระอาจารย์สุรพจน์ สัท์ธาธิโก: พระพุทธองค์แนะนำ�เมื่อเกิด ความรู้สึกหดหู่ จิตจะตั้งมั่นได้ง่ายด้วยการวิจัยธรรม มีความเพียร มีปิติ.. เหมือนจะติดไฟ ต้องใช้หญ้าแห้งจะติดไฟได้ ง่าย ถ้าใช้ปัสสัทธิ สมาธิ อุเบกขา จิตจะตั้งมั่นได้ยาก เหมือนจะติดไฟ แต่ใช้หญ้าเปียก ดังนัน้ เมือ่ เกิดเกิดความรูส้ กึ หดหู่ จิตจะตัง้ มัน่ ได้งา่ ย ด้วยการวิจยั ธรรม มีความเพียร มีปติ ิ เหมือนจะติดไฟ ต้องใช้หญ้าแห้งจะติดไฟได้งา่ ย ฉันนั้น เจริญในธรรมคุณวโร พระคุณวโร: ตรงมากเลยครับหลวงลุง เมือ่ วาน ดูคลิปสมเด็จพระ พุฒาจารย์โต เกิดปีติแบบท่วมท้น สภาวะหดหู่หายไปหมดเลยครับ แต่ เป็นปีติแบบผรณาปีติ (ปีติซาบซ่าน) ครับ ทำ�เนสัชชิกง่ายขึ้นด้วยเพราะ ผรณาปีติหล่อเลี้ยงไว้ตลอด


71

พระอาจารย์สุรพจน์ สัท์ธาธิโก: อนุโมทนา ฉลาดในวาระจิตตน กระจ่างในทุกสภาวะ จัดการได้ในทุกรูปแบบทีเ่ ข้ามาจนเป็นวสี คือความ ชำ�นาญ ย่อมพ้นจากทุกข์ด้วยปัญญา พระคุณวโร: สาธุครับ แต่สงั เกตเหมือนกัน เวลาทำ�เนสัชชิกแบบมี ผรณาปีติ ถึงแม้นปีตหิ ล่อเลีย้ งไว้แต่รา่ งกายก็มขี ดี จำ�กัด เหมือนโทรศัพท์ มือถือมีแบต 50% แต่มสี ายชาร์จพลังงานต่อเข้าเครือ่ ง คือร่างกายก็เสือ่ ม ไปด้วย วันนี้ตั้งใจทำ�อีก 1 วันครับ ไม่รู้จะไหวหรือเปล่า สภาวธรรมสุดท้ายก่อนสึก เรียนถามหลวงพ่อ หลวงลุงครับ เช้านี้ นัง่ สมาธิ จิตดิง่ ลงภวังค์ ขยายออกกว้าง เห็นเหมือนสภาพสังขารกำ�ลังจะ มาประกอบจิต แต่กด็ บั ไปอย่างรวดเร็ว โมหะ กำ�ลังประกอบจิต แต่กด็ บั ไปอย่างรวดเร็ว เห็นความรู้กำ�ลังก่อตัว ก็ดับไปอีกอย่างรวดเร็ว หลังจากนัน้ จิตมันตัง้ มัน่ ยิง่ ขึน้ ตืน่ สว่างขึน้ อยูด่ ๆี ก็เห็นสภาพตัง้ มัน่ และอุเบกขาถูกแยกออกไปอีกชัน้ จิตส่วนจิต.. ความตัง้ มัน่ ส่วนความ ตั้งมั่น อยู่อย่างนั้นแบบเป็นธรรมชาติและอิสระ เหมือนกับว่า ทุกอย่างมันซ้อนกันหมด แม้แต่ผู้รู้ก็ไม่เที่ยง สภาวะ ก็ไม่เที่ยง แปรเปลี่ยนไปตลอดเลยครับ พระคุณวโร: บ่ายโมงครึง่ สึกแล้วครับ อันนีเ้ ป็น สภาวธรรมสุดท้าย ในสมณเพศครับ ขอบคุณหลวงพ่อ หลวงลุง และ ทุกๆท่านในกลุม่ ทีค่ อย ช่วยเหลือเสมอมาครับ สาธุ พระอาจารย์ธมั ม์ ทีโป: อนุโมทนาสาธุ สาธุ สาธุ ในการสร้างบารมี พระอาจารย์สุรพจน์ สัท์ธาธิโก: สิ่งใดเกิดขึ้น สิ่งนั้นดับไป มีแต่ สิ่งที่ไม่ใช่ตัวเรากำ�ลังแสดง เจริญในธรรม


72

พระธรรมที่พระพุทธเจ้าตรัสไว้ดีแล้ว สันทิฏฐิโก ผู้ปฏิบัติบรรลุแล้วเห็นเอง อกาลิโก ปฏิบัติได้ไม่เลือกกาลเวลา เอหิปัสสิโก ควรบอกผู้อื่นให้มาปฏิบัติ โอปนยิโก ให้น้อมเข้าไปภายในตนเอง ปัจจัตตัง เวทิตัพโพ วิญญูหิติ ผู้ปฏิบัติเมื่อได้รับผลจากการปฏิบัติ ย่อมเห็นเอง .. แจ้งด้วยตนเอง ..


73



Issuu converts static files into: digital portfolios, online yearbooks, online catalogs, digital photo albums and more. Sign up and create your flipbook.