DEGREE° 3

3

FREE MAGAZINE

EXCLUSIVE FASHION ORIENTAL DRAGON DANCE IMPERIAL CITY DEBAUCHEROUS

DEGREE

WONDER ANATOMIE

DEGREE

DEGREE

4

DEGREE

5

Definition

กาลเวลาได้น�ำ พาเรามาจนถึงดีกรีเล่มสามแล้ว ซึ่งนับเวลาจากเล่มสองที่เล่มสาม นั้น ก็ใช้เวลานานมากพอสมควรเลยทีเดียว แต่ในระยะที่เราห่างหายไปนี้ก็ทำ�ให้เรา ได้เรียนรู้และฟันฝ่าอุปสรรคมามากมาย และสิ่งสำ�คัญสิ่งหนึ่งที่เราได้มาก็คือคุณค่า ของคำ�ว่ามิตรภาพ ที่ไม่สามารถหาซื้อได้ด้วยเงินทอง และต้องพูดอีกครั้งหนึ่งว่า ดีกรีคงไม่มีวันนี้ได้หากปราศจากไมตรีจิตที่เพื่อนๆทุกคนมีให้ ในเล่มนี้ดีกรีได้รับ เกียรติให้สัมภาษณ์จากเพื่อนของเราคนหนึ่ง นั่นก็คือ ลูกกอล์ฟ คณาธิป หรือที่ หลายคนรู้จักจากหลายๆบทบาทของเธอ ไม่ว่าจะเป็น ไฉไล ในละคร เนื้อคู่ฯ หรือ รายการ LG&Friends และบทบาทใหม่ของเธอก็คือเจ้าของโรงเรียนสอนภาษาสุด ชิคอย่าง Angkriz เรารู้จักจักลูกกอล์ฟมาเป็นระยะเวลากว่า 10 ปีแล้ว ลูกกอล์ฟ เป็นคนที่ไม่เคยป่าวประกาศว่าตัวเองเป็นเพื่อนที่ดี เป็นคนที่ท�ำ ประโยชน์ต่อเพื่อน หรือสังคมอะไรแต่อย่างใด แต่สิ่งที่ลูกกอล์ฟได้ทำ�ตลอดเวลาที่รู้จักกันคือการกระ ทำ�ที่สามารถพิสูจน์ถึงตัวตนที่แท้จริงว่าเป็นอย่างไร จนได้รับการยอมรับจากคน รอบข้างมากมายเห็นได้จากการเป็นประธานรุ่นของ AFS หัวหน้าปีของนิเทศจุฬา และอีกหลายๆอย่างที่ลูกกอล์ฟได้รับความไว้วางใจจากเพื่อน และวันนี้ลูกกอล์ฟ ก็สามารถบรรลุเป้าหมายที่ตัวเองตั้งไว้หลายอย่าง ซึ่งต้องขอแสดงความยินดีจาก ใจจริง เมื่อพูดถึงเรื่องเพื่อนตอนนี้ในเพจของดีกรีก็มีเพื่อนจำ�นวนกว่าสี่พันแล้ว ซึ่ง ต้องขอขอบคุณสำ�หรับความรักและการสนับสนุนที่เรามอบให้ และสามารถติดตาม ความเคลื่อนไหวของเราได้ทุกวันที่ http://www.facebook.com/degreemag

degree

LIKE US ON FACEBOOK http://www.facebook.com/degreemag

6

DEGREE

7

Detail

6 8 10 12 14 32 36 37 38 44 66 70 72 76 90 92

Definition Detail Dermatology Desire Dragon Dance Destination Delicious Dessert Deflower Debaucherous Devine Describe Design Debris boy Detox Declare

Editors-in-Chief/Creative Directors Korarit Laovanit Surachai Saengsuwan Marketing & Managing Director Chairat Charoenchai Advertising Manager Khemakorn Noppakor 086-844-5886 Anek Voravarangkurl 089-525-3242

Contributors Donlapop Laovanit Chidsupang Chaiwiroj Paramaporn Sirikulchayanont Wichanan Glunrawd Public Relations Sakdipat Nilangso Account Executive Saran Kanlayasiri 081-939-3677

Degree Publishing Company Limited

8

Cover Stuff Model : T.j. Hogue, Mungkorn A. , Turbo K. Photographer : Degree Team Styling : Book Kositphasaj Hair&make : Janerob Chailert Setting : Degree Team Clothes : PUMA

DEGREE

9

Dermatology

KIEHL’S Calendula Herbal Extract Alcohol-Free Toner LAB SERIES Power Brightening Serum + DR KIEHL’S Facial Fuel Transformer Age Correcting Moisture-Gel for Men BIOTHERM HOMME UV Defense LAB SERIES Power BrighteningEye Balm + DR

LAB SERIES Power Brightening Water Lotion + DR KIEHL’S Powerful-Strength Line-Reducing Concentrate LAB SERIES Muti-Action Face Wash BIOTHERM HOMME High Recharge Energy Shot BIOTHERM HOMME High Recharge Eye Shot

10

DEGREE

11

Desire

12

DEGREE

Colonial Style

การแต่งตัวแบบ วินเทจ Vintage หรือนำ�ของเก่าที่มีคุณภาพ ดีมีเอกลักษณ์และ สนุทรียภาพเฉพาะตัว สะท้อนถึงกลิ่นอาย ในยุคและห้วงเวลานั้นๆ Vintage ยังหมายถึงอไรที่เน้น High Quality สังเกตที่ลายผ้า, Pattern, Cutting และปีที่ฮิตอันนี้ สำ�คํญ เหมือนที่เราชอบเรียกเป็นยุค ถ้าเปรียบกับไวน์ก็คือปีที่ ผลิตนั่นเองยิ่งเก่ายิ่งแพง วินเทจ เป็นได้ทั้งเก่าเก็บหรือเก่าใส่ได้ทั้ง 2 อย่าง และการ

แต่งตัวสไตล์วินเทจก็ยังเป็นนิยมทุยุคทุกสมัย จริงๆแล้วการแต่งตัวแบบวินเทจ มีมากมายหลายยุคสมัยแต่ ที่เราเลือกมาในฉบับนี้เป็นการแต่งตัวแบบ โคโนเนียลสไตล์ Colonial Style หรือให้ลองจินตนาการถึง เมื่อครั้งฝรั่งยัง เรืองอำ�นาจในการล่าอาณานิคมและได้แผ่อิทธิพลลงมาทาง ฝั่งตะวันนออก ทั้งรูปแบบสถาปัตกรรม รวมไปถึงเสื้อผ้า และการแต่งตัว ลองจินตนาการถึง เมื่อครั้งฝรั่งอั่งม่อ ได้ยก 13

ภูมิลำ�เนาไปอาศัยอยู่ที่เมืองเชี่ยงไฮ้ประเทศจีน และได้นำ� วัฒนธรรมต่างๆมาเผยแพร่ ให้กับชาวจีนหัวสมัยใหม่ ในซีซั่นนี้ขอแนะนำ�เป็น เขียวแก่ตุ่นๆ ฟ้าหม่น ตัดกับการ เบรคด้วยสีเบจหรือโทนน้ำ�ตาล หรือ เหลือง มาสตาด เอาเป็น ว่าให้รู้ถึงกลิ่นของฝนจางๆมาในอากาศ สวมเสื้อเชิ๊ตสีเรียบๆ จางๆ แนวพาสเทล ให้คัดติ้งเนี๊ยบๆ ทับด้วยสูทหรือแจ็คเก็ต ซักตัว กางเกงขายาวกับรองเท้าหนัง รับรองเลิศ

Dr

agon dance Photographer Degree Team Styling Book Kositphasaj Starring T.j. Hogue, Mungkorn A. , Turbo K. Hair&make Janerob Chailert

Jira Bridal & Couture Wedding Dress G Accessories

388 Wonder Boutique

PUMA Clothes + Accessories Dress

G

Accessories

16

388 Wonder Boutique Dress G Accessories

17

DEGREE

18

DEGREE

PUMA Clothes + Accessories

19

DEGREE

PUMA Clothes + Accessories

20

DEGREE

21

DEGREE

22

DEGREE

PUMA Clothes + Accessories

23

DEGREE

PUMA Clothes + Accessories

24

DEGREE

25

PUMA Swim Trunk

26

DEGREE

27

DEGREE

28

DEGREE

Jira Bridal & Couture Wedding Dress G Accessories PUMA Available @

29

Dragon dance

PARAMAPORN SIRIKULCHAYANONT

W A R

of Sound and Stances เมื่อเสียงกลอง ฉาบ ฉิ่ง ดังขึ้น เสียงระรัวประทัดนับพันตามมา สีแดงสีทองละลานตา ควันธูป เป็ด ไก่ ส้ม เครื่องมงคลแก้ชงนานาเริ่มปรากฎภาพความจริงที่ไม่ใช่เพียงภาพ ในหนังกำ�ลังภายใน สัญญาณเริ่มต้นของอีกเทศกาลแห่งความสุขมาถึงแล้ว

PB

DEGREE

เมื่อตรุษจีนหรือเทศกาลเนื่องในวันขึ้นปีใหม่แบบจีนของชาว ไทยเชื้อสายจีนอย่างเราๆท่านๆผ่านเข้ามา นอกจากอั่งเปา หรือซองแดงปริศนาว่าตัวเลขข้างในจะเป็นเท่าไหร่ (!), เป็ดไก่ ที่นำ�มาทำ�เป็นเมนูสารพัดจะคิดหลังจากสิ้นสุดวันไหว้ไปอีก เป็นอาทิตย์, ขนมเทียนขนมเข่งที่ทำ�ให้เพิ่มน้ำ�หนักได้ในเพียง ข้ามวัน, การเดินสายสวัสดีปีใหม่อาม่า อาซิ่ม อาเจ็ก อาโกว หรือการตระเวนไหว้เจ้าฝากดวงแก้ปีชงแล้วหล่ะก็ งานบันเทิง เริงใจที่มักชวนให้นึกถึงเป็นพิเศษก็คือ ขบวนแห่มังกร และ เชิดสิงโต ที่หลายๆครั้งเราต้องยืนอ้าปากค้างกันเลยทีเดียวว่า ลีลาขยับ เขย่ง สะบัด กระโดด แบบนี้แหล่ะคือ ทักษะจอม ยุทธบู๊ลิ้มอย่างที่เห็นกันในหนังจีนเป็นแน่แท้ การแห่ มั ง กรนั้ น สะท้ อ นลี ล าการโลดแล่ น ที่ เ หมื อ นกั บ การ เต้นรำ�ไปตามเสียงระรัวของกลองและฉาบ ภาษาอังกฤษถึง มีชื่อเรียกว่า Dragon Dance เดิมทีมังกรแสดงถึงอำ�นาจ ของฮ่องเต้ ราชสำ�นัก และเทพเจ้า แต่ตามหมู่บ้านชนบทก็ มีการนับถือบูชามังกรกันเป็นปกติ และในปัจจุบันมังกรก็ได้ กลายเป็นสัญลักษณ์ที่ทั่วโลกมอบให้แก่ชาติจีนที่กำ�ลังผงาด ขึ้นอยู่ในแถวหน้าของโลก หรือแม้ชาวจีนก็เรียกตัวเองว่า เป็น ลูกหลานมังกร อีกด้วย ในเมืองจีนนั้นก็มีการแห่มังกร เหมือนที่ปากนำ�้โพหรือหน้าศาลเจ้าจีนข้างบ้านนี่แหล่ะ แต่ การแห่มังกรในฤดูต่างๆจะมีความหมายที่แตกต่างกันไป ถ้า แห่มังกรในฤดูใบไม้ผลิจะเป็นการแห่เพื่อขอฤดูที่เหมาะสมใน การเกษตร ถ้าแห่ในช่วงแล้งก็ท�ำ เพื่อขอให้มีเมฆเยอะๆเพื่อ ฝนจะได้ตกเสียที และบางครอบครัวยังจ้างขบวนแห่มังกร ไปเล่นเพื่อประกอบพิธีไล่ผีอีกด้วย ตามแบบดั้งเดิมในเมือง จีนนั้น ยังมีขบวนมังกรที่เรียกกันว่าเป็น “มังกรไฟ” ซึ่งจะมี เทียนจุดกับประทัดไว้ตามช่วงตัวของมังกรและออกมาแสดง ในตอนกลางคืน เวลาจุดประทัดแล้วมังกรก็จะกระโดด (น่า จะเป็นการกระโดดหนีสะเก็ดร้อนๆจากประทัดมากกว่า!) ขบวนแห่มังกรนั้นจะวิจิตรตระการตาเพียงใดจะขึ้นอยู่กับว่า คณะแห่มังกรนั้นมาจากไหน ที่ใหญ่ที่สุดและมีชื่อเสียงที่สุด ในประเทศเราก็ต้องหนีไม่พ้น ขบวนแห่มังกรทองแห่งปากน้ำ� โพ จังหวัดนครสวรรค์ ที่ทั้งสวย ทั้งตระการตา เหมือนกับ อิมพอร์ตมาจากแผ่นดินใหญ่ก็ไม่ปาน จะว่าไปแล้วความยิ่ง ใหญ่ของขบวนมังกรน่าจะอยู่ที่ความยาวของตัวมังกรเป็น หลัก ซึ่งถ้าคณะไหนมีลูกทีมที่ฝึกฝนกันอย่างพร้อมเพรียงใน จำ�นวนมากแล้วหล่ะก็ ความยาวของลำ�ตัวมังกรก็สามารถ ทำ�ให้ยาวตามไปได้ ซึ่งความยาวของตัวมังกรจะมีตั้งแต่ ประมาณ 25 เมตรไปจนถึง 70 เมตรเลยทีเดียว และแต่เดิม สีที่เลือกใช้เป็นตัวมังกรก็สื่อความหมายที่แตกต่างกันไป โดย สีเขียวหมายถึงการเก็บเกี่ยวที่อุดมสมบูรณ์ สีเหลืองหมายถึง อาณาจักรที่น่าเกรงขาม สีทองหรือเงินหมายถึงความมั่งคั่ง สีแดงหมายถึงความน่าตื่นเต้น โดยมีเกล็ดเป็นสีเงินหรือเป็น ประกายเพื่อให้เกิดบรรยากาศของความสุขสันต์ ลำ�ตัวของ มังกรเดิมทีจะทำ�จากโครงไม้หุ้มด้วยผ้าซึ่งมีนำ�้หนักมาก ต่อมา ปรับให้ใช้งานได้ง่ายขึ้นด้วยการใช้อลูมิเนียมบ้าง พลาสติกบ้าง ทักษะในการแห่มังกรนั้นต้องฝึกฝนอย่างหนักเพราะต้องใช้ ความพร้อมเพรียงมีวินัยของลูกทีม บางคณะก็ฝึกทักษะการ เลื้อย การผงาด ในระนาบสูงขึ้นไปบนฟ้าให้คนดูได้อู้อ้าเล่น บางคณะก็เน้นแนวเรียบง่ายวาดลีลาไปกลางลานในระนาบ กว้างเท่านั้น ดูเหมือนว่าจากเดิมที่การแห่มังกรนั้นทำ�เพื่อ เสริมความสิริมงคลในประเพณีเทศกาล ก็หันมาใช้ตัวช่วย ทางเทคโนโลยี แสง สี เสียง ให้กลายเป็นโชว์ดีๆ ชิ้นหนึ่ง หรือ การประกวดประชันความงดงามอลังการตระการตา พร้อม ท่าทางการเคลื่อนไหวที่ออกแบบมาให้มีความสวยงามและน่า ประทับใจเป็นหลัก การ dance อีกประเภทที่อยู่คู่กับเทศกาลตะลุ้งตุ้งแช่ต่างๆ มายาวนานก็คือ Lion Dance หรือ การเชิดสิงโต นั่นเอง ในเมืองจีนนั้นประวัติการเชิดสิงโตมีมายาวนานกว่าสองพันปี เลยทีเดียว และก็มีความละเอียดซับซ้อนกว่าที่เราเห็นๆตาม

ศาลเจ้าหรือตามหน้าร้านค้าในเมืองไทยมากนัก จะว่าไปแล้ว ทักษะในการเชิดสิงโตน่าจะต้องสูงกว่าการแห่มังกรอยู่มาก เพราะสิงโตที่เชิดนั้นนอกจากจะต้องแสดงออกถึงบุคคลิกที่ดู ขี้เล่น ซุกซน ที่นอกจากจะต้องโยกย้ายส่ายสะโพกสะบัดหัว ขึ้นลงแล้วก็ต้องปีนป่ายแบบยิ่งสูงยิ่งผาดโผนยิ่งเจ๋งสุดๆ แล้ว ที่ปีนขึ้นไปนั้นก็มักจะเป็นประเภทเสาต้นกลมๆที่มีฐานแบนๆ ไว้ให้พอแค่เขย่งปลายเท้าเท่านั้น แต่ความผาดโผนและเสี่ยง ตกลงมานี้ก็จะแลกมาพร้อมกับเสียงตบมือเกรียวกราวจาก คนดูข้างล่างที่แทบไม่กะพริบตา การแสดงการเชิดสิงโตนี้จะ แบ่งเป็นสองประเภท (เหมือนกับลักษณะพระเอกหนังจีน) คือ มีแบบบุ๋นและแบบบู๊ แบบบุ๋นจะเป็นสิงโตขี้เล่นที่จะแสดง อากัปกิริยาล้อเล่นแบบเล่นหูเล่นตา เกาตัวโน่นนี่ โชว์ความ สามารถทางกายกรรมเป็นหลัก (เหมือนพวกกายกรรมปักกิ่ง) โดยมักจะมีคนสวมหัวเป็น แป๊ะยิ้ม (ถือพัดด้วย) ล่ออยู่ด้าน หน้า หรือไม่ก็มีลูกบอลเป็นพร๊อพประกอบการเล่นสนุกของ สิงโต ส่วนแบบบู๊คือการแสดงพลังของสิงโตผ่านการกระโดด กระโจน ปีนป่ายขึ้นไปบนเสาสูง ขั้นบันไดสูงๆ หรือ โต๊ะที่ต่อ เรียงกันขึ้นไปเป็นชั้นๆ หรือกระโดดข้ามสิ่งกีดขวางต่างๆ สิงโตแบบบู๊มีที่มาจากกวางตุ้ง ซึ่งพัฒนากันไปอย่างกว้าง ขวางและมากมายตามสำ�นักกังฟูต่างๆและมีบุคคลิกลักษณะ ที่แตกต่างกันไปโดยเน้นที่ความแตกต่างของสี ซึ่งก็มีความ หมายในแบบต่างๆตามแต่จะยึดปฏิบัติ ไม่ว่าจะเป็นการใช้ สีหลักสามสีแทนสามสิ่งสำ�คัญในชีิวิต คือ สีทองแทนความมี ชีวิต สีแดงแทนความกล้าหาญ และสีเขียวแทนมิตรภาพ หรือ ใช้สีสามสีแทนสิงโตครอบครัวโดยตัวที่มีขนสีขาวแทนสิงโต ที่มีอายุมากสุดในกลุ่ม สีเหลืองทองแทนว่าเป็นสิงโตตัวน้อง รอง และสีด�ำ คือสิงโตตัวน้องเล็ก ซึ่งคนเชิดตัวนี้ต้องมีลีลาที่ ว่องไวคล่องแคล่วกว่าอีกสองตัว หรือ การใช้สีแทนตัวบุคคล ในตำ�นานสามก๊ก นั่นคือ สิงโตที่มีขนตรงหัวสีเหลืองและ ใบหน้าสีทองเป็นตัวแทนของ เล่าปี่ (กษัตริย์และขุนนาง) มี หนวดสีขาวแสดงถึงปัญญาและความทรงภูมิ สิงโตหน้าสีแดง จะมีหนวดสีขาวหรือดำ�ก็ได้ เป็นตัวแทนของ กวนอู (แม่ทัพ นักรบกล้าหาญ) และ สิงโตหน้าดำ�ดูดุดันกว่าเพื่อนมีหนวด สีด�ำ และมักจะเป็นหนวดสั้น ก็คือตัวแทนของ เตียวหุย น้อง คนเล็กในการร่วมสาบานกับเล่าปี่และกวนอู (มุทะลุดุดัน) ต่อ มาก็เพิ่มตัวที่มีขนสีเขียว หนวดขาว และนอสีเงินแทน จูล่ง (ฮีโร่) หน้าและขนตรงตัวสีเหลือง/ส้ม หนวดขาว แทน ฮองตง หนึ่งในห้าทหารเสือของเล่าปี่ (คุณธรรม) และสิงโตสีขาวแทน ม้าเฉียว หนึ่งในห้าทหารเสือของเล่าปี่อีกคน เป็นสิงโตงาน ศพ จะนำ�มาเชิดต่อเมื่อเป็นงานศพของอาจารย์หรือหัวหน้า ในสำ�นักและจะเผาทิ้งเมื่อใช้เสร็จแล้ว สิงโตทั้งห้าไม่นับรวม ตัวแทนเล่าปี่ถือเป็นตัวแทนของห้าทหารเสือที่มีสีแทนธาตุทั้ง ห้าอีกด้วย สิงโตแบบตอนใต้นี้เองเชื่อว่าพัฒนามาจากตำ� นานเรื่องตัว “เหนียน” (เหนียน โซ่ว 年獸 ) สัตว์ในตำ�นานที่มีหน้าตา คล้ายสิงโตผสมกับยูนิคอร์น (ประมาณว่ามีขนเฟอร์และมีเขา เดียว) ซึ่งตำ�นานอาจจะแตกต่างกันไปในรายละเอียดเล็กๆ น้อยๆ แต่หลักๆคือ สัตว์ประหลาดนี้จะมาจับชาวบ้านใน หมู่บ้านกินในช่วงสิ้นสุดฤดูหนาว ทำ�ให้ชาวบ้านพากันหวาด กลัวตามๆกัน แต่ผู้เฒ่าคนหนึ่งในหมู่บ้านนี้กลับคิดว่าจริงๆ แล้วเพราะความกลัวกว่าเหตุของชาวบ้านทำ�ให้ตัวเหนียน ได้ใจ จึงแสดงให้ชาวบ้านเห็นด้วยการจุดประทัดให้มีเสียงดัง และติดกระดาษสีแดงไปทั่วทั้งบ้าน ตัวเหนียนได้ยินเสียงดัง ก็ตกใจและยิ่งเห็นสีแดงก็ยิ่งกลัวหนีไป ชาวบ้านเห็นดังนั้นจึง เตรียมตัวรับมือเหนียนในปีต่อไปด้วยการติดกระดาษสีแดง ทั่วทุกบ้าน ใส่เสื้อผ้าแดง และแขวนโคมสีแดงไปทั่ว และเมื่อ ตัวเหนียนมาปรากฎ เสียงกลองเสียงฆ้อและเสียงประทัดก็ดัง ระงมไปทั่ว ทำ�ให้เหนียนไม่กลับมาที่หมู่บ้านอีกเลย จึงกลาย เป็นประเพณีปฏิบัติกันในเทศกาลตรุษจีน หรือ การเริ่มต้น ของฤดูเพาะปลูกของปีนั่นเอง ในการใช้สีแดง จุดประทัด และ ตีกลองตีฆ้อง (ผ่านการแสดงสิงโตหรือมังกร) ซึ่งจะว่าไปก็เป็น เหมือนกุศโลบายที่ดีที่มาพ้องกันกับคำ�ว่า “เหนียน” ที่แปล 31

ว่า “ปี” (年) และมักพูดกันว่า “เหนียน กั้ว เลอ” (年過 了) แปลตรงตัวก็คือ ปีเก่าได้ผ่านไปแล้ว ก็คือ ตัวเหนียนได้ ไปพ้นจากเราแล้วนั่นเอง! และจะอวยพรกันว่า “กั้ว เหนียน ไคว่ เล่อ” (過年快樂) - ผ่านปีใหม่แล้วให้มีความสุข หรือ ส่งความสุขปีใหม่ Happy New Year หรือจะพูดง่ายๆก็ คือ ผ่านพ้นตัวเหนียนไปแล้วก็มีแต่ความสุขนะจ๊ะ! มาดูตอนเชิดกันบ้าง พอเริ่มเชิด สิงโตก็ต้องโค้งคำ�นับสาม ครั้งคล้ายๆกับบ่าวสามคำ�นับฟ้าดิน คำ�นับพ่อแม่ คำ�นับกัน และกันอะไรแบบนี้ แต่อันนี้ไม่ได้คำ�นับกัน แต่คำ�นับไปยังผู้ ชม เทพยดาต่างๆ ในช่วงตรุษจีนตามเมืองที่มีชาวจีนอยุ่และ ยังรักษาประเพณีกันอย่างเข้มข้น คณะสิงโตก็จะเชิดไปยัง หน้ากิจการร้านค้าเพื่ออำ�นวยโชคให้แก่กิจการต่างๆ ซึ่งทาง เจ้าของจะแขวนซองแดงใส่เงินผูกไว้กับก้านต้นหอมไว้ที่หน้า ประตู สิงโตก็จะทำ�เป็นงับกินอย่างหิวโหย แต่คายก้านสีเขียว นั้นทิ้งแล้วอมไว้แต่ซองเงิน บางทีแทนที่จะใช้ต้นหอมง่ายๆก็ จะเพิ่มอุปสรรคให้สิงโตด้วยการใช้สิ่งอื่นมาผูกหรือบรรจุซอง แดงไว้แทนเช่น สัปปะรด, ส้มโอ, กล้วย, ส้ม, หรือหม้อดินเผา นอกจากช่วงตรุษจีนแล้ว เจ้าของธุรกิจยังนิยมเชิญคณะเชิด สิงโตมาเชิดเป็นมงคลแก่กิจการของตนในวันเปิด หรือในงาน แต่งงานอีกด้วย ปัจจุบันนี้สิงโตคณะต่างๆที่เชิดกันไม่ว่าจะเป็นในเมืองจีนหรือ ตามประเทศที่มีค นจีน และมีอิทธิพ ลของประเพณีก ารเชิด สิงโตนี้ได้ปรับเปลี่ยนกันไปมากแล้ว ทั้งสีขนของลำ�ตัวซึ่งแต่ เดิมอาจจะมีหลากสีไม่จำ�เป็นต้องเข้ากันกับส่วนหัวก็ปรับเป็น ใช้สีที่เข้ากันกับหัวเพื่อความสวยงาม และลำ�ตัวที่เคยยาวก็ ลดลงเพื่อให้สมสัดส่วนความเสมือนจริงของสิงโตเข้าไปแทน และในเมืองไทยเองก็เป็นแบบที่พัฒนาแล้วและผสมทั้งสอง แบบปนเปกันไปตามแต่โอกาส ไม่ได้มีการเชิดเพื่อแข่งขัน ประชันฝีมือทางกายกรรมหรือกังฟูแบบสำ�นักกังฟูในเมือง จีน แต่เกิดขึ้นพร้อมกับเสียงระรัวของกลอง ที่ว่าเสียงกลอง ที่ตีประกอบการเชิดสิงโตนั้น เดิมจะต้องมีจังหวะจะโคลนที่ เหมือนกับกำ�ลังร่ายบทกวีดีๆอยู่ทีเดียว ถ้าเทียบไปแล้วเสียง ระรัวกลองในปัจจุบันคงไม่ต่างกับการนำ�บทกวีดีๆมาร่ายเป็น แร๊พเป็นแน่แท้! ทั้งเสียงกลอง เสียงฆ้อง และ​เสียงฉาบ ให้ จังหวะกับการกระโดดและร่ายรำ�ของตัวสิงโตให้มีลีลาเหมือน สัตว์จริงกำ�ลังโลดเต้นอยู่ตามการให้จังหวะ ตามหลังมาด้วย ศึกประทัดปึงปังกันไปทั่วทั้งงาน คืนวันตรุษจีน มีโพสต์ในเฟสบุ๊คจากมิตรเก่าสองคนที่อยู่ต่าง ที่แต่ในประเทศเดียวกันปรากฎขึ้นมาติดๆกัน คนหนึ่งอยู่คุน หมิง คนหนึ่งอยู่เซี่ยงไฮ้ เนื้อหามีใจความที่คล้ายคลึงกันอย่าง ไม่ได้นัดหมาย ทั้งๆที่เขาทั้งคู่ไม่ได้รู้จักกันและก็คงไม่ใช่เนื้อคู่ กัน “อยู่ท่ามกลางสงครามประทัด” เพียงข้อความในสเตตัส สั้นๆ ก็ทำ�ให้จินตนาการคนอ่านขยายกว้างและบรรเจิดไปไกล เสียงรัวประทัดราวปืนกลที่ปะทุออกไปไม่มีหยุดเหมือนจะ ยิงออกมาจากศัตรูคู่อาฆาตสองฝ่ายที่ประชันฝีมือห้ำ�หั่นกัน ให้อีกฝ่ายต้องปราชัยดังก้องเข้ามาในหัว ตามมาด้วยภาพใน มโนทัศน์เป็นเศษกระดาษสีแดงที่ฟุ้งกระจายไปทั่วทุกหย่อม หญ้า แทนปลอกกระสุนปืนกล ทันใดนั้นก็มีเสียงกลอง ฆ้อง ฉาบ ดังขึ้นเป็นสัญญาณ จินตนาการหักมุมเผยให้เห็นภาพ แฟนซีของเจ้าสิงโตขนฟูดวงตากลมโตกระโดดออกมาจาก เงามืดคล้ายจะมาหยอกล้อกับเสียงระรัวของประทัดและเงา จากแสงจันทรา ตามด้วยมังกรสีแดงตัวยาวมีเกล็ดสีทองเลื้อย ตามเข้ามาอย่างสง่างามล้อมเข้ามาราวจะมาร่วมวงสุขสันต์ ด้วย แต่แล้วทั้งภาพและเสียงในหัวก็ถูกรบกวนด้วยเสียง สัญญาณจากหน้าจอคอมพิวเตอร์อีกครั้ง เมื่อเหลือบตามอง จึงเห็นสเตตัสใหม่ของหนึ่งในมิตรคนเดิมปรากฎขึ้นว่า “เมื่อ ไหร่สงครามประทัดจะจบซักที คนจะนอน!” ... ทั้งสิงโต ซุกซน ทั้งมังกรตัวยาวผงาดฟ้าหายวับไปในทันที เสียงรัวปืน กลสงครามประทัดกลับเข้ามาแทนที่และคราวนี้มันดังก้อง กังวานราวเสียงในฟิล์มที่ดูเหมือนจะเป็นภาพยนตร์เรื่องยาวที่ ไม่จบง่ายๆเสียด้วย!

Doung Jai

Destination

Excerpts From China : Multi-Dimension

IMPERIAL CITY ขอให้สัญญาว่า ถ้ามีเวลาซัก 1 ปี สำ�หรับการเดินทางแบบเช้า ไปเย็นกลับเข้าไปใน พระราชวังหลวง ( Imperial City ) ในกรุงปักกิ่งพร้อมด้วยตำ�รับตำ�ราสัก 1 รถเข็น ก็จะสามารถ บอกเล่าชี้ชัดได้ว่า อาคารใหญ่หลังไหนมีชื่อว่า พระที่นั่งแห่ง ความผสมผสานอันยิ่งใหญ่ ( The Hall of Supreme Harmony ) หรืออีกอาคารหนึ่งที่ชื่อว่า พระที่นั่งแห่งความ บริสุทธิ์ดุจสวรรค์ ( The Palace of Heavenly Purity ) แต่ในเมื่อได้มีเวลาวนเวียนอยู่กับอดีตของจีนภายในพระราช วังเดิมแห่งนี้เพียงไม่ถึง 3 ชั่วโมง แม้จะทำ�การบ้านไปแล้วบ้าง และเมื่อกลับออกมาก็ท�ำ การบ้านต่ออีก ก็ยังเปรียบเสมือน

แค่เด็กอนุบาล มิบังอาจทดสอบตัวเองด้วยข้อสอบปริญญา ดั ง นั้ น เมื่ อ เคยสอบตกบทเรี ย นที่ ว่ า ด้ ว ยพระที่ นั่ ง และมหา ปราสาทของไทยมาแล้ว ก็ไม่เห็นจะต้องอับอายกับการวิ่งไป สอบตกในพระราชวังเดิมที่กรุงปักกิ่งอีกในการเดินทางมาจีน จะเป็นครั้งที่เท่าไหร่ก็ตาม ทุกครั้งเมื่อได้ไป ...ได้เห็น ...ได้กลับออกมาด้วยความ ทึ่ง สุด จะพรรณนาแล้ว ก็จำ�เป็นต้องเล่าบรรยากาศที่ได้รับจากการ เข้าไปในพระราชวังเดิม แห่งนี้พอให้ได้เห็นภาพชัดเจนสักนิด ถ้ามองจากที่สูงในกรุงปักกิ่ง เช่น จากเนินเขาใน อุทยานเป๋ไห่ 32

หรือจาก อุทยานเขาถ่านหิน ( Coal Hill Park )จุดสะดุดตา แห่งหนึ่ง คือบริเวณกว้างใหญ่หลายร้อยไร่ ซึ่งมีอาคารขนาด ใหญ่ชั้นเดียวบ้าง สองชั้นบ้าง สามชั้นบ้าง รูปสี่เหลี่ยมผืนผ้า มีหลังคาเป็นแบบเก๋งจีน ปลายงอนออก กรุด้วยกระเบื้อง ลูกฟูกแบบโบราณบ้าง หลังคานั้นมีชั้นเดียว หรือซ้อนทับเป็น สองหรือสามชั้นบ้าง อาคารเหล่านั้นปลูกต่อเนื่องกัน จนมองเห็นจากที่ไกลเหมือน หลังคาชนหลังคา นานๆครั้งจึงจะมีที่ว่างเป็นบริเวณใหญ่ ถัด ไปก็จะดารดาษไปด้วยอาคารแบบเดิมซำ�้แล้วซำ�้อีก สีสันของ อาคารเหล่านี้มองดูไกลๆ เป็นความหม่นของสีนำ�้ตาลผสม

DEGREE

แดงดำ� บรรยากาศทั่วไปรวมทั้งรูปแบบของสิ่งก่อสร้างบอกก ล่าวความเก่าแก่ได้ชัดเจน

ราชวงศ์ล่าวุด ก่อนที่การปฎิวัติใหญ่ใน ค.ศ. 1911 จะทำ�ลาย เผา รวมทั้งถูกไฟไหม้หลายครั้ง

ด้วยการขี่รถจักรยาน และเล่นเทนนิส บนพระลานกว้างหน้า พระที่นั่งโถงแห่งความผสมผสานอันยิ่งใหญ่ นั่นเอง

นั่นก็คือ พระราชวังหลวง อันเป็นที่ประทับของกษัตริย์จีน ตั้งแต่องค์กษัตริย์ผู้สร้างพระราชวังแห่งนี้ คือ พระเจ้าหยง เล้อ ( Yong Le ) แห่งราชวงศ์หมิง ( Ming) ซึ่งได้ย้ายเมือง หลวงมาจากเมืองนานกิง มาอยู่ที่ปักกิ่งใน ค.ศ.1407 จนเสร็จ สมบูรณ์ในยุคแรก เมื่อ ค.ศ. 1420

แม้กระทั่งเมื่อถึงยุคสนธยาแล้ว กษัตริย์ไร้บัลลังก์ ปูยี ( Puyi ) ก็ยังคงประทับอยู่ภายในพระราชวังหลวงแห่งนี้ หลังจากที่ได้ สละราชย์ใน ค.ศ.1912 และประทับอยู่ต่อไปจนถูกขับไล่โดย ขุนพลแห่งกรุงปักกิ่ง เฟ็งยู่เสียง ใน ค.ศ. 1924

ชีวิตของกษัตริย์ปูยีช่วงนั้น เรจินัลด์ เอฟ. จอห์นสตัน ( Reginald F. Johnston ) พระอาจารย์ชาวสก็อต ผู้ถวายพระ อักษรให้แก่กษัตริย์ ได้บันทึกไว้โดยละเอียดในงานเขียนเรื่อง Twilight in the Forbidden City พิมพ์เผยแพร่ ค.ศ.

1934 นับเป็นข้อมูลทางประวัติศาสตร์ชิ้นเอก เกี่ยบกับหลัง เหตุการณ์ในพระราชวังหลวงในช่วงที่อัตคัดข้อมูลยิ่งนัก

จากวันนั้นถึงวันนี้ พระราชวังแห่งนี้มีอายุเกือบ 600 ปี หลัง จากนั้นกษัตริย์ใน ราชวงศ์หมิง และ ชิง ( Qing ) หรือ แมนจู 24 พระองค์พร้อมด้วยฮองเฮา อุปราช ราชวงศ์ และ สนมกำ�นัล ขันที ข้าทาสบริวารอีกมากมาย ก็ได้ประทับและ อาศัยอยู่ภายในสถานที่แห่งนี้ แม้จะไม่ถึงกับต่อเนื่องกันที เดียวนัก ยามเมื่อเกิดวิกฤตการณ์ที่มีอันต้องให้กษัตริย์ย้าย สถานที่พำ�นักไปอยู่ที่อื่นบ้าง แต่ก็เรียกได้ว่า สถานที่แห่งนี้คือ ศูนย์บัญชาการนโยบายน้อยใหญ่ของอาณาจักรจีนระหว่ง 2

ระหว่างที่ประทับอยู่ในพระราชวังเดิม จักรพรรดิองค์จิ๋ว ได้ใช้ชีวิตอย่างสุโขสโมสรตามแบบฉบับกษัตริย์จีนโบราณ ท่ามกลางเหล่าพระพันปีหลวง ข้าราชการกรมวัง นายทหาร รักษาพระองค์ และขันทีนับพัน เพียบพร้อมคงไว้ซึ่งระเบียบ ประเพณีปฏิบัติดั้งเดิมอย่างไม่เปลี่ยนแปลง เมื่อเติบใหญ่ กษัตริย์ปูยี ได้กระทำ�พิธีตกแต่งมเหสีและสนม ภายในราชวังนี้ และอยู่กินกันอย่างไม่ต้องมีความรับผิดชอบ ในการบริหารกิจการงานเมือง นอกจากผ่านชีวิตไปวันหนึ่งๆ

พระที่นั่ง ตำ�หนัก และอาคารมากมายจำ�นวนหลายร้อย ทำ�ให้ไม่สามารถมองเห็นภาพรวมของพระราชวังหลางแห่ง นี้ได้ชัดเจน ต้องใช้ภาพถ่ายทางอากาศ หรือแผนผังของ พระราชวังเข้าช่วยจึงจะเห็นได้ถนัดถนี่ว่า บริเวณพระราชวัง หลวงแห่งนี้เป็นรูปสี่เหลี่ยมผืนผ้าขนาดมหึมา ทุกด้านกรอบ กั้นด้วยกำ�แพงอิฐหนา แยกพระราชวังเป็นสัดส่วนออกจาก กรุงปักกิ่งส่วนอื่น

Santa Maria delle Grazie

33

DEGREE

จากจตุรัส เทียนอันเหมิน มีประตูเอกทางทิศใต้ของ พระราชวัง มีชื่อว่าประตู เมอริเดียน ( Meridian ) หรือ อู่ เหมิน เป็นทางเปิดเข้าสู่พระราชวัง จากประตูแห่งนี้เป็นแนว ตรงตลอดไป จนจรดกำ�แพงวังด้านหลัง เป็นการแบ่งบริเวณ พระราชวังออกเป็นสองส่วนเท่าๆกันอย่างสมภาค ตามแนวเส้นกลางนี้เป็นที่ตั้งของพระที่นั่งสำ�คัญต่างๆลดหลั่น กันไปจากด้านหน้าถึงด้านในสุด ส่วนบริเวณสองข้างซึ่งมัน มีเนื้อที่เท่าๆกันนั้น เป็นที่ตั้งของพระที่นั่งและตำ�หนักขนาด

เล็กๆอีกมากมายซึ่งไม่มีความสำ�คัญเท่ากับพระทีน่ ั่งแนวกลาง พระที่นั่งสำ�คัญที่สุดพระที่นั่งแรก ซึ่งอยู่ถัดจากบริเวณพระ ลานกว้างใหญ่ที่ตั้งอยู่ต่อเนื่องประตูทางเข้าคือ พระที่นั่งโถง แห่งความผสมผสานอันยิ่งใหญ่ หรือในชื่อจีนว่า ไต้เหเตี้ยน พระที่นั่งนี้มองจากด้านนอก เป็นหลังคาเก๋งจีน 3 ชั้นซ้อน กัน ตัวอารเป็นรูปสี่เหลี่ยมผืนผ้าขนาดใหญ่มหึมามีความสูงถึง 35 เมตร เป็นพระที่นั่งที่ใหญ่ที่สุดใช้เป็นสถานที่ประกอบพระ ราชพิธีบรมราชาภิเษกยามเมื่อมีกษัตริย์ใหม่ขึ้นครองราชย์ 34

ภายในมีพระโธรน สร้างแบบสถาปัตยกรรมจีนแท้สีทองอร่าม ตั้งอยู่ท่ามกลางเสาไม้ขนาดมหึมาทาสีแดงสดหลายเสาโอบ ล้อมทุกด้าน จุดเด่นภายนอกของพระที่นั่งแห่งนี้คือ บันไดหินอ่อนที่ปูลาด จากทวารกลางลงมายังพื้พระลาน กลางบันไดเป็นแผ่นหิน อ่อนยาวแกะสลักนูนตำ�่เป็นรูปมังกรและกิเลนตัวมหึมาด้วย ฝีมือละเอียดปราณีต ลูกมะหวดสองข้างเรียงเป็นแถวเหนือ บันได ก็เป็นแท่งหินออ่นแกะสลักเป็นมังกรพันเสาอีกเช่น

DEGREE

กัน ในสมัยก่อนแผ่นหินอ่อนแกะสลักกลางบันไดนี้ สงวนไว้ จำ�เพาะเป็นลานพระบาทของพระมหากษัตริย์เท่านั้น คน ธรรมดาจะย่างกรายเข้าไปเหยียบมิได้เลย ถัดจากพระที่นั่งแห่งนี้มีพระที่นั่งที่มีนามไพเราะอีกหลายหลัง เช่น พระที่นั่งแห่งความผสมผสานโดยสมบูรณ์ พระที่นั่ง แห่งการรักษาความผสมผสาน พระที่นั่งแห่งความบริสุทธิ์ ดุจสวรรค์ พระที่นั่งแห่งความสงบเงียบเหนือพื้นปฐพี เป็นต้น แต่ละแห่งมีหน้าที่เฉพาะเช่น เป็นที่จัดงานสังสรรค์ ขนาดใหญ่ รับแขกเมืองและทุตานุทูต หรือเป็นสถานที่พระ มหากษั ต ริ ย์ อ อกว่ า ราชการท่ า มกลางเหล่ า ขุ น นางผู้ ใ หญ่ เป็นต้น พระราชวังชั้นในเริ่มตั้งแต่ พระที่นั่งแห่งความบริสุทธิ์ดุจ สวรรค์ ในบริเวณนี้คือสถานที่ประทับของพระพันปีหลวง สนม กำ�นัล และขันที มีก่รซ่อมบำ�รุงตำ�หนักที่พระซูสีไท เฮาเคยประทับอยู่จนสมบูรณ์เหมือนของเดิม ตั้งอยู่ภายใน อุทยานริมสระนำ�้กว้างซึ่งเป็นสถานที่พักผ่อนที่พระนางเคย เสด็จมาประทับเกือบทุกวันเมื่อครั้งยังมีชีวิตอยู่ พระที่นั่งและตำ�หนักเหล่านี้ ปลูกสร้างด้วยอิฐถือปูนฉาบ เรียบๆบ้าง กำ�แพงเป็นปูนปั้นแกะสลักเป็นลวดลายสวยงาม บ้าง หรือสร้างด้วยไม้แผ่นโตๆบ้าง ภายนอกและภายในอา คารเหล่านี้ทาสีแดงเข้ม ขณะนี้มีรอยด่างดำ�เพราะความเก่า แก่ แม้จะซ่อมบำ�รุงมาหลายครั้งแล้วก็ตาม เดินลึกเข้าไปถึงพระราชฐานชั้นใน ซึ่งเป็นบริเวณแคบคด เคี้ยว ร่มรื่นไปด้วยเงาไม้ใหญ่ ใต้ชายคากว้างของตำ�หนัก มี อยู่มุมหนึ่งที่ผู้รู้ชี้ชวนให้มองดูบ่อนำ�้ปากกลมขนาดเล็กแคบ เปิดฝาไว้แล้วอธิบายว่า “บ่อนี้แหละ ที่พระนางซูสีไทเฮาหลอกให้ สนมมุก ( Pearl Concubine ) สนมคนโปรดของกษัตริย์กวงซิ่ว กระโดลงไป เพื่อให้พ้นจากการจับกุมของพวกอั้งม้อที่กำ�ลังเคลื่อนขบวณ เข้ามาล้อมพระราชวัง สมัยเกิด กฎบนักมวย ใน ค.ศ. 1900 พระนางสัญญาว่าจะกระโดดตามไปด้วย เพราะตายเสียดีกว่า อยู่เป็นเชลยของฝรั่ง แต่...” คำ�ตอบที่ว่าพระนางซูสีได้กระโดดตามลงไปหรือไม่นั้นเป็นที่ รู้ๆกัน โดยเฉพาะบรรดาผู้ที่สนิทสนมเป็นเชื้อสายหรือเป็นข้า เก่าเต่าเลี้ยงของฮองเฮามานาน ย่อมซาบซึ้งต่อกลเม็ดแยบ คายของหญิงชาวแมนจูตระกูลเย่เหอนาราคนนี้ แต่ฮองเฮาอาจแก้ตัวอยู่ในใจก็ได้ว่า “จะให้กระโดดตามไปได้ อย่างไร ดูอย่างอีนังมุกคนเดียว เครื่องทรงรุ่มร่ามของมันยัง ติดคาอยู่ปากบ่อเราต้องสั่งให้ไอ้ขันทีกระทืบอยู่ตั้งหลายที ถึง ได้ร่วงลงไปได้หมด... ถ้าเราโดตามไป จะมีที่ทางพอที่ไหน... เบียดกันตาย....” หลักฐานทางประวัติศาสตร์กล่าวไว้ว่า ระหว่าง ค.ศ. 14061420 เมื่อพระเจ้าหยงเล้อสร้างพระราชวังแห่งนี้ ได้ก�ำ หนด ให้มีเนื้อที่ 250 เอเคอร์ (650 ไร่) โดยใช้สถาปนิกและช่าง ศิลป์ฝีมือดีเท่าที่จะสามารถหาได้จากแผ่นดินจีนในขณะนั้น 1 แสนคน เพื่อออกแบบตำ�หนักต่างๆ ส่วนแรงงานนั้นมาจาก คนงานอีกไม่ตำ�่กว่า 1 ล้านคน จึงได้พระราชวังอันงดงามสง่า เป็นที่กล่าวขวัญถึงทุกมุมโลก และเป็นโบราณสถานชิ้นสำ�คัญ ของจีนมาจนยุคนี้ กาลเวลาเกือบ 6 ศตวรรษที่ผ่านมา พระราชวังแห่งนี้ถูกบุกรุก

ปล้นสะดม ทำ�ลาย ถูกฟ้าผ่า ถูกไฟไหม้หลายครั้ง และในราช กาลแห่งกษัตริย์ผู้ยิ่งใหญ่ แห่งพระราชวงศ์ชิง คือ พระเจ้า เฉียนหลง ซึ่งครองราชย์ระหว่าง ค.ศ. 1736-1795 (ราวสมัย กลางของกรุงศรีอยุธยา) ได้ปรับปรุง ซ่อมแซม และขยายการ ก่อสร้างออกไปอีกหลายแห่งจนปรากฎเป็นภาพคล้ายกับที่ เป็นอยู่ทุกวันนี้

ว่าจะเป็น เครื่องเงิน เครื่องทอง หรือสำ�ริด ต้นไม้เงิน ต้นไม้ ทองที่ประดับเพชร ทับทิม หยก และอัญมณีมีค่าหลากสีห ลากขนาดแพรวพราว อีกทั้งเครื่องใช้ไม้สอยประจำ�วันของ จักรพรรดิองค์ต่างๆ ในอดีตที่เป็นทองอร่าม

ที่เรียกเสียงฮือฮาได้พอใช้คือ เสื่อนุ่มเนียนสีขาวขุ่นที่ถักทอ จากเส้นใยที่ดึงออกมาจากงาช้าง กว่าจะได้เป้นเสื่อขนาด สมบั ติ เ ก่ า แก่ จำ � นวนมหาศาลมี มู ล ค่ า ประมาณมิ ไ ด้ ภ ายใน เขื่องผืนนั้น จะต้องมีการล้มช้างสักกี่ตัวไม่ทราบ นอกจาก พระราชวังแห่งนี้ ได้ถูกปล้นสะดมไปหลายต่อหลายครั้ง เสื่อแล้ว งาช้างหลากขนาดหลากจำ�นวนยังถูกนำ�เอามาสลัก กษัตริย์ปูยีไร้บัลลังก์ซึ่งอาศัยอยู่ในพระราชวังร้างแห่งนี้หลัง เสลาเป็นภาพละเอียดบอกเล่าเรื่องราวในประวัติศาสตร์ หรือ จากสละราชย์ได้บันทึกไว้ในอัตชีวประวัติของพระองค์เรื่อง วรรณคดีเรื่องเอกของจีน...

From Emperor to Citizen ว่า คน สัตว์ และพันธุ์ไม้นานาชนิดถูกสลักนูนเด่นเป็นภาพต่างๆ เหล่าขันทีได้ขโมยเครื่องเงิน เครื่องทอง เครื่องลายครามกังไส บนงาช้างแต่ละอัน มองดูแล้วให้ขนลุก นึกไม่ถึงว่าฝีมือมนุษย์ ชั้นดี และภาพแขวนเก่าแก่ตั้งแต่สมัยราชวงศ์ถัง ราชวงศ์ห เดินดินจะประดิษฐ์สิ่งมหัศจรรย์ถึงเพียงนั้น ...ของสารพัดที่ มิง ราชวงศ์ชิง ออกไปขายร้านขายของเก่าในกรุงปักกิ่ง มีฝรั่ง บรรยายมานี้ไม่มีวันเล่าได้จบสิ้น ต้องไปดูกันเอง และฮือฮา อั้งม้อมารอซื้อให้ราคาดี เพื่อส่งต่อไปยังพิพิธภันฑ์ประเทศ กันเอง จึงจะสาสมแก่ความวิจิตรพิสดารที่ถูกถ่ายทอดมาโดย ตะวันตกหรือไปสู่มือนักสะสมของเก่าผู้มีฐานะดีต่อไป ...ครั้ง ฝีมือช่างศิลป์ชาวจีนโบราณนิรนามเหล่านั้น... เพื่อที่จะมา หนึ่งเราเคยให้สำ�รวจว่ามีอะไรสูญหายไปบ้าง ปรากฎว่าวัน เป็นความภาคภูมิใจของจีนปัจจุบัน รุ่งขึ้นเกิดไฟไหม้ที่ท้องพระโรง ข้าวของเสียหายป่นปี้ไม่มีชิ้น ดี จนไม่มีหลักฐานสืบได้ว่าอะไรหายไป หรืออะไรถูกไฟไหม้ ตลอดช่วงเวลาที่กษัตริย์ทั้ง 24 พระองค์ ประทับอยู่ใน ไปบ้างเพราะต้องเป็นพวกมันแน่ๆ ที่ลอบวางเพลิงเพื่อปกปิก พระราชวังหลวง อาณาจักรใหญ่โตแห่งนี้คือ สุดยอดแห่ง ความสมบูรณ์จนไม่มีความจำ�เป็นต้องออกไปสู่โลกภายนอก ความผิด.... สิ่งของที่จำ�เป็นต่อชีวิตประจำ�วันจะถูกสั่งเข้ามาอย่างสมำ�่ เรจินัลด์ จอห์นสตัน พระอาจารย์ชาวสก็อตของปูยีได้บันทึก เสมอ ในปริมาณที่เพียงพอต่อความต้องการ คนนอกหลายคน ไว้ละเอียดยิ่งกว่านั้นว่า ...พระที่นั่งที่ถูกเพลิงเผาผลาญครั้ง ต้องการเข้ามาเป็นคนใน หญิงงามจำ�นวนนับไม่ถ้วนต้องการ นั้นมีชื่อว่า พระที่นั่งแห่งความบรมสุขอันถาวร คืนที่เกิด เข้ามาเป็นมเหสีหรือสนมของจักรพรรดิ ชายหลายคนยอม ไฟไหม้ใหญ่คือ คืนวันที่ 26 มิถุนายน ค.ศ. 1923 มีข้าวของ เสียสละเครื่องเพศบางส่วนของตนเองเพื่อเป็นขันทีรับใช้ใกล้ ถูกเพลิงไหม้ไป 6,643 ชิ้น ที่เหลือรอดมาได้มี 387 ชิ้น ข้าว ชิดเบื้องยุคลบาท เพื่อจะได้ไต่เต้าไปสู่อ�ำ นาจศฤงคารต่อไป ของที่ถูกเผาไหม้ไปคือ พรุพุทธรูปทองคำ� 2,685 องค์ ภาพ มันตราเก่าแก่ของพุทธศาสนานิกายมหายาน 1,157 ภาพ ไม่เพียงแต่ หลี่เลียนยิง ขันทีผู้ใกล้ชิดสนิทกับซูสิไทเฮา ผู้ซึ่ง แท่นบูชาพระพุทธรูปมีเครื่องประดับเป็นทองคำ� 1,675 แท่น ยอมได้แม้จะเฉือนเนื้อของตนมาให้เป็นยาต่อชีวิตของเจ้านาย เครื่องลายคราม หยกและทองเหลือง 435 ชิ้น แต่ละชิ้นของ เหนือหัว ประวัติศาสตร์จีนยังกล่าวถึง เหอเจิ้น ขันทีตำ�แหน่ง เก่าแก่ตั้งแต่สมัย ราชวงศ์โจว ราชวงศ์ถัง ราชวงศ์ซ้อง และ สูงอีกคนหนึ่ง จนเมื่อตายไปแล้วมีการสืบพบว่าเขามีเหรียญ ราชวงศ์หยวน ยังมีหนังสือเก่าแก่อีกนับพันเล่ม และเครื่อง เงินแอบอยู่ถึง 800 ล้านตะลัน ซึ่งมากเท่ากับจบประมาณ ของอาณาจักรจีนสมัยราชวงศ์ชิง ถึง 10 ปี เมื่อสืบค้นอย่าง ทรงกษัตริย์จีนโบราณอีก 31 หีบอีกด้วย ละเอียดจนถึงขั้นทำ�ลายกำ�แพงห้องนอนของเขา เหรียญเงิน หลังจากเกิดเพลิงไหม้ กษัตริย์เองต้องประสบกับความอัตคัด อีก 260 ล้านตะลัน ยังร่วงพรูลงมาให้นับกันไม่หวาดไม่ไหว ขาดแคลนเงินตรา จำ�ต้องนำ�สมบัติเก่าแก่ออกขายทอดตลาด อีกหลายวัน เพื่อจะได้มีเงินพอเลี้ยงตนเองและบำ�รุงราชสำ�นัก ซึ่งยังคงมี ในวันเก่าๆเหล่านั้น ลานกว้างของพระราชวังเดิมมิได้เต็มไป ผู้คนจำ�นวนนับพันอยู่ภายใต้ความดูแลของพระองค์ ด้วยนักท่องเที่ยวต่างชาติต่างภาษาในชุดกางเกงยีนส์ รองเท้า การสูญเสียสมบัติครั้งใหญ่ของอาณาจักรจีนเกิดขึ้นอีกครั้ง ยาง หิ้วย่าม สะพายกล้องถ่ายรูปอย่างวันนี้ แต่จะมีเกี้ยว คือเมื่อมีการ ย้ายสมบัติ ก่อนที่ เจียงไคเชก หัวหน้ารัฐบาล ปิดม่าน แบกหามโดยแรงงานคนสวนกันไปมา ภายในนั้น ก๊กมินตั๋งลี้ภัยคอมมิวนิสต์ไปก่อตั้งประเทศใหม่ที่เกาะใต้หวัน จักรพรรดิ ฮองเฮา รัชทายาท พระพันปี สนมเอก หรือขุนนาง ใช้เป็นพาหนะสัญจรเพื่อประกอบกิจประจำ�วันตามบทบาท ใน ค.ศ. 1949 และตำ�แหน่งของตน จอมพลผู้นี้ได้มีบัญชาให้นำ�เอาโบราณวัตถุของเก่าแก่อายุนับ พันนับร้อยปี จำ�นวนมหาศาลจากพระราชวังและพิพิธภัณฑ์ คงจะมีศัพท์สำ�เนียงภาษาชาววัง และภาพชายหญิงศักดิ์สูงใน ต่างๆในจีนแผ่นดินใหญ่ไปไว้ ณ พิพิธภัณฑ์แห่งชาติที่สร้าง ชุดแพรพรรณหลากสีเนื้อดีอยู่กันคลาคลำ�่ไม่ต่างจากราชสำ� ขึ้นใหม่ ที่กรุงไทเป เมืองหลวงของไต้หวัน เพื่อเป็นสัญลักษณ์ นักใดๆ ทั่วโลก ยามเมื่ออยู่ในยุคเฟื่อง แห่งการรวมความสามัคคี ของชาวจีนในประเทศใหม่ว่า ใน อดีตเคยร่วมประวัติศาสตร์อันเกรียงไกรมาด้วยกันกับคนจีน มาบัดนี้ ภายในพระราชวังเดิม ...ตอนกลางวันดาษดื่นไปด้วย นักท่องเที่ยวต่างชาติต่างภาษาและคนจีนพื้นเมือง ...แต่พอ แผ่นดินใหญ่ ตกเย็นใกล้อาทิตย์อัสดง จะมีแต่ความวังเวง เงียบเหงา นกกา แต่กระนั้นก็เถอะ ....จนถึงวันนี้ชาวจีนแผ่นดินใหญ่และนัก โผบินจากยอดมณเฑียรกลับรัง ถ้าใครยังเดินอยู่ภายในบริเวณ ท่องเที่ยวชาวต่างชาติ ก็ยังมีโอกาศเห็นกรุสมบัติเก่าแก่ของ พระตำ�หนักฝ่ายใน อาจได้ยินเสียงไอแหบๆ ของนางในหรือ อาณาจั ก รจี น อั น ประเมิ น ค่ า มิ ไ ด้ อ ยู่ ม ากมายที่ ไ ด้ ถู ก นำ � มา ขันทีชราที่ยังคงเหลืออยู่ซักสี่ซ้าห้าคน เพื่อรอคอยวันสุดท้าย รวมเก็บไว้ ณ พิพิธภัณฑ์ภายในพระราชวังหลวงแห่งนี้ไม่ ของชีวิตที่จะมาถึงในเวลามิช้ามินานนี้ 35

Delicious

RED สีแดง ทำ�ให้เรานึกถึงอาหารหลายหลากทั้งไทยและเทศ ฉบับ นี้เราจึงพาไปทานอาหารอินเดียกันที่ร้าน Red Contemporary Indian Dining ร้านอาหารอินเดียแนวเก๋ร่วมสมัย จากความคิดของ 3คลื่นลูกใหม่ ที่สืบทอดร้านอาหารต่อ จากรุ่นคุณปู่คุณย่าทั้งสามจึงดีไซน์ให้ออกมาในแนวร่วมสมัย เพื่อตอบรับไลฟ์สไตล์ของคนรุ่นใหม่ กลายมาเป็น “Fusion Indian Food” หรือ “Modern Form of Traditional Indian Food” เมนูอาหารของทางร้านได้รับการรังสรรค์ โดย Gegan Anand เชฟหนุ่มที่เคยผ่านงานจากโรงแรม Taj Mahal Palace ในอินเดีย เขาตั้งใจที่จะสร้างสรรค์อาหาร อินเดียที่แตกต่างไป เขาดัดแปลงให้เป็นเวอร์ชั่นที่เบาลงเพื่อ ให้ชาวต่างชาติที่ไม่คุ้นเคย สามารถลิ้มลองแล้วซึมซาบความ อร่อยของอาหารชนิดนี้ได้ ในเวลาเดียวกันความมันเลี่ยนของ

เนย ก็ถูกแทนที่ด้วยน้�ำ มันมะกอก เขายังดัดแปลงเทคนิค การปิ้งและย่างอาหารเพื่อให้ได้รสชาติและความรู้สึกแบบ การทอด ที่นิยมในอาหารอินเดีย ใครที่เคยหลีกเลี่ยงอาหาร อินเดียเนื่องจากกลัวอ้วน คงจะมาลิ้มลองความอร่อยที่ Red ได้อย่างสบายใจขึ้น และด้วยการตกแต่งร้านแบบโมเดิร์นอิน เดียน กับลวดลายอินเดียนสีแดงและทองในทุกๆ ส่วนของ ร้าน ตัดกับนำ�้ตกและสวนป่าที่อยู่ด้านนอกเป็นบรรยากาศ โรแมนติกสุดๆ การเดินทางก็ง่ายแสนง่าย จากถนนสุขุมวิท เลี้ยวเข้าซอย สุขุมวิท 53 (ซอยไปดี-มาดี) ตรงไปจนเกือบสุดซอยจะเจอทาง แยกแรก ให้สังเกตจะเห็น ร้านเรดอินเดีย จะตั้งอยู่หัวมุมทาง ด้านขวามือ สามารถจอดรถได้ในบริเวณร้าน 36

Red Restaurant 124 Sukhumvit Soi 53 (Thonglor Soi 9) Bangkok Thailand Tel: 66 (0) 2259 7590 Lunch: 11.30 - 14.30 Dinner: 18.00 - 23.00 http://www.redbangkok.com

Dessert

DEGREE

BPIAK BPOON NAM 37

Deflower

FABIAN S Height : 188 cm, Chest : 39 in, Waist : 33 in, Hips 40 in Hair : Brown, Eyes : Blue @ RED Modeling

38

DEGREE

39

DEGREE

40

DEGREE

POP Height : 184 cm, Chest : 36 in, Waist : 30 in, Hips 37 in Hair : Dark Brown, Eyes : Black @ RED Modeling

41

DEGREE

MADAME MOD Height : unknown, Chest : unknown, Waist : unknown, Hips : 4 unknown Hair : variation , Eyes : variation @ MOD Modeling

42

24

DEGREE

43

DEGREE

44

DEGREE

X

DEGREE CLUSIVE 45

DE 46

baucherous Photographer Ekapon Model Bank & Itt @legend mode Styling Patryk Calvin Chaou Hair&make Janerob Chailert

Special thanks to Mahanaga and the wonderful team at Degree Magazine.

Shot on August 8, 2011.

47

DEGREE

48

DEGREE

G-Play Officer hat Loewe Leather coat Bottega Veneta Trousers

49

DEGREE

50

DEGREE

Left model Dsquared2 Tuxedo with pony hair lapel Alexander Mcqueen Shirt Right model YSL by Stefano Pilati All outfits Left page Vintage kimono

51

DEGREE

52

DEGREE

YSL Black leather coat Styist’s Own Underwear Vintage embroidered slippers

53

DEGREE

54

DEGREE

55

DEGREE

Loewe Leather Coat Dior Homme Jeans Vintage kimono

56

DEGREE

57

DEGREE

58

DEGREE

Dsquared2 Tuxedo with pony hair lapel Alexander Mcqueen Shirt Left page Burberry Prorsum Shearling coat with fur collar Red Wing Boots G-Play Leather jockstraps with zipper front

59

DEGREE

Jockey Underwear G Necklace right page Hush Puppies Underwear Hunter & Logan Accessories

Jockey Leading Department Store Hush Puppies Leading Department Store G LL Floor, Grand Hyatt Erawan Wonder Anatomie 3rd Floor, Siam Center 27 Friday 3rd Floor, Siam Center Hunter & Logan www.hunterandlogan.com

60

DEGREE

All by Alexander Mcqueen Left model Melting ice coat Right model Botticelli Venus shirt, trousers

61

DEGREE

G-Play Leather jockstraps with zipper front Vintage kimono

G-Play Silom Soi 4 Alexander Mcqueen http://www.alexandermcqueen.com Burberry Prorsum http://burberry.com Loewe http://www.loewe.com Bottega Veneta http://www.bottegaveneta.com Dior Homme http://www.dior.com Dsquared2 http://www.dsquared2.com Redwing http://www.redwingshoes.com/

62

DEGREE

63

DEGREE

64

DEGREE

65

Devine

66

DEGREE

LG

Kanatip

Soonthornrak Photographs Degree Team Styling Mile Supakasem, Book Kositphasaj Make-up Degree team Hair Degree team Clothes Supakasem Chanopas, Dry clean only Text Maharsamut

67

สำ�หรับนักกีฬากอล์ฟแล้ว การทำ� Hole-In-One ถือเป็น ความใฝ่ฝันที่ไม่ต่างจากการทำ� Home Run ของกีฬาเบสบอล ซึ่ ง นอกจากจะเป็ น แต้ ม ต่ อ ในการคว้ า ชั ย การแข่ ง ขั น แล้ ว การตีลูกฝ่าอากาศเพื่อให้ลงหลุมแบบนัดเดียวจอด ยังเป็น เหมือนสิ่งมหัศจรรย์ที่ไม่ได้เกิดขึ้นง่ายๆ และเป็นไปได้ทุกครั้ง อีกด้วย ถ้ามองในมุมกลับกันของลูกกอล์ฟบ้าง ความฝันของมันคงจะ เป็นการไปสู่เป้าหมายให้เร็วที่สุดและเจ็บตัวจากการถูกตีไป ตีมา หรือว่าตกลงผืนทรายและจมน้�ำ หายไปให้น้อยที่สุด ลูกกอล์ฟคนนี้ก็เช่นกัน คณาธิป สุนทรรักษ์ ที่หลายคนคุ้น เคยกับบทบาทของ ‘ไฉไล’ กองบรรณาธิการสุดเปรี้ยวของ นิตยสาร ‘เก๋ไก๋ รายสัปดาห์’ ในซิตคอม ‘เนื้อคู่อยากรู้ว่าใคร’ ด้วยคาแรกเตอร์ของเกย์หนุ่มช่างต่อปากต่อคำ� พ่นไทยคำ� อังกฤษคำ�แบบถูก แกรมม่า ไวยากรณ์ พร้อมสำ�เนียงแสน เก๋ที่เป๊ะไปทุกอย่าง สมกับที่ชีวิตนอกจอของเขาเป็นถึงผู้ อำ�นวยการและครูผู้สอนประจำ�สถาบันกวดวิชาภาษาอังกฤษ ‘Angkriz’ ที่เจ้าตัวก่อตั้งขึ้นตั้งแต่ต้นปี 2553 “ลู ก กอล์ ฟ เป็ น ตุ๊ ด คนหนึ่ ง ที่ ร่ า เริ ง และประกอบอาชี พ เป็ น ติวเตอร์สอนภาษาอังกฤษ รับงานอื่นบ้างถ้ามีเวลา และเป็น คนที่เลือกเดินทางตามความฝันของตัวเองมาโดยตลอด” คำ�แนะนำ�ตัวที่แสนจะเปิดเผย ตรงไปตรงมา เป็นอะไรที่คาด เดาได้จากคาแรกเตอร์ของตัวละครที่เขาสวมบทบาท แต่กว่า จะมาเป็นนักแสดงในจอแก้วที่หลายคนคุ้นหน้า ลูกชายคนโต ของนักธุรกิจยางพารารายใหญ่ในหาดใหญ่ และอดีตนักเรียน แลกเปลี่ยน AFS ประเทศเยอรมัน บอกว่าชีวิตของเขาผ่าน อะไรมาแล้วมากมาย หลังจากจบการศึกษาจากโรงเรียนหาดใหญ่วทิ ยาลัย ลูกกอล์ฟ เข้าศึกษาต่อที่คณะนิเทศศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ภาควิชาสื่อสารการแสดง ซึ่งที่นี่คือจุดเริ่มต้นของความฝันที่ ทำ�ให้เขาอยากจะเป็นบุคคลใต้แสงไฟสปอตไลท์ “อยากเป็นนักแสดงประมาณตอนเรียนมหาวิทยาลัยปี 1-2 เลยเลือกสาขาการแสดง บทบาทที่ประทับใจคือตอนที่เล่น ละครคณะเรื่อง ‘เปิด(กระ)โปงคอนแวนต์’ ตอนนั้นอยู่ปี 4 เล่นเป็นผู้ชายชื่อศรราม ชอบบทนี้มาก เพราะเป็นการท้าทาย ตัวเอง” ประสบการณ์ใต้ร่มเงาจามจุรี นอกจากจะทำ�ให้ลูกกอล์ฟเผย ความสามารถในตัวแล้ว ด้วยบุคลิกลักษณะอันโดดเด่นของเขา ยังทำ�ให้เขาโด่งดังเป็นที่รู้จักอย่างกว้างขวาง ทั้งด้านกิจกรรม อย่างการแสดงละครเวที การทำ�หน้าที่พิธีกรในงานสำ�คัญ ต่างๆ เช่น งานรับน้องใหม่ กีฬาเฟรชชี่ และการเป็น ประธานเชียร์งานฟุตบอลประเพณีจุฬา-ธรรมศาสตร์ รวม ถึงด้านการเรียนด้วยคว้าเกียรตินิยมอันดับ 2 มาครองอีกด้วย “ทุกวันนี้ที่มีตัวตนแบบนี้เพราะจุฬาฯ นี่แหละ ทำ�ให้ได้เจอ คนที่เป็นบุคคลสำ�คัญในชีวิต ได้เรียนรู้อะไรหลายๆ อย่าง” คงไม่ผิดถ้าจะบอกว่า เขาคือแบบฉบับของ ‘เกย์เก่ง’ ที่ฉาย แววชัดตั้งแต่ยังวัยรุ่น คงไม่ผิดนักถ้าหลายคนจะมอง ณ ตอน นั้นว่า สำ�หรับเขาแล้ว การมุ่งทำ�ความฝันให้เป็นจริง...อาจจะ ไม่ใช่อะไรที่หนักหนานักก็ได้ เมื่อพ้นจากรั้วสีชมพู ลูกกอล์ฟเดินทางไปศึกษาต่อปริญญาโท ด้านการกำ�กับละครเวทีที่ East 15 Acting School, University of Essex กรุงลอนดอน ประเทศอังกฤษ ระหว่าง นั้นเขาถูกทาบทามจากรุ่นพี่ที่สนิทมาก โอปอล-ปาณิสรา พิมพ์ปรุ ให้มาเล่นซิตคอมด้วยกัน ทั้งๆ ที่เขายังไม่ทันกลับ เมืองไทยด้วยซ้ำ� และนั่นคือการแจ้งเกิดของ ลูกกอล์ฟ (AKA ‘ไฉไล’) ใน ฐานะ ‘นักแสดง’ แบบเต็มตัว “บท ‘ไฉไล’ เป็นบทบาทที่ประทับใจมาก บทนี้ไม่ได้ท้าทาย ความสามารถพอประมาณนัก แต่ถือเป็นการแสดงที่เป็นมือ อาชีพ ทำ�ให้คนรู้จัก เห็นฝีมือ และได้ท�ำ ในสิ่งที่อยากทำ�มา โดยตลอด นั่นคือการแสดง”

แม้ว่าการสวมบทบาทเป็นนักแสดงคือสิ่งที่เจ้าตัวใฝ่ฝัน แต่ถึง กระนั้นลูกกอล์ฟรู้สึกว่าการใช้ชีวิตใต้แสงไฟไม่ได้หอมหวาน อย่างที่เขาคิด จริงๆ แล้วมันอาจจะไม่ใช่สิ่งที่เหมาะสมกับตัว เขาก็เป็นได้ “รู้สึกว่าการเป็นนักแสดงค่อนข้างดิ้นรนเกินไป แล้วตัวเองก็ ไม่ชอบที่จะต้องขึ้นอยู่กับคนมากมาย ไม่ชอบให้มีผู้กำ�กับหรือ โปรดิวเซอร์บอกว่าไม่ดี เลยตัดสินใจไม่เลือกเอาดีทางนั้น” จะเรียกว่าเป็นความสามารถพิเศษที่เจ้าตัวเพิ่งรู้ เพิ่งค้นพบ เมื่อสมัยเรียนมหาวิทยาลัยก็ว่าได้ เมื่อเขาเป็นติวเตอร์สอน ภาษาอังกฤษสำ�หรับการเตรียมสอบโอเน็ท-เอเน็ท ให้กับ สถาบันกวดวิชาแห่งหนึ่ง ซึ่งหลังจากนั้นไม่นาน ชื่อของเขา เป็ น ที่ เ ลื่ อ งลื อ แบบปากต่ อ ปากถึ ง การสอนที่ มี เ ทคนิ ค และ เคล็ดลับในการทำ�ข้อสอบอย่างมีประสิทธิภาพและได้ผลเลิศ จนสามารถส่งบรรดาลูกศิษย์ลูกหาเข้ามหาวิทยาลัยรุ่นต่อรุ่น กว่า 300 คน “บทบาทหลักตอนนี้ก็คือติวเตอร์สอนภาษาอังกฤษ ชอบบท บาทตรงนี้มากที่สุด เพราะเลือกแล้วว่าจะประกอบอาชีพนี้” การก่อตั้งโรงเรียนกวดวิชาเป็นของตัวเอง ฟังดูอาจจะยิ่งใหญ่ และยากจะเป็นไปได้ในความคิดสำ�หรับใครบางคน แต่ ณ วัน นี้ สถาบันสอนภาษาอังกฤษสุดเก๋ ‘Angkriz’ ที่ตั้งอยู่ ณ U Center จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย คือบทพิสูจน์ความสำ�เร็จ แบบ Hole-In-One ของลูกกอล์ฟคนนี้ “Angkriz เป็นโรงเรียนที่อยากทำ� เพราะเริ่มสอนพิเศษตาม ร้านกาแฟตั้งแต่เรียนปี 2-3 แล้วอยากมีโรงเรียนเป็นของตัว เอง อยากมีพื้นที่ที่ปลอดภัยที่ได้โชว์ความสามารถ โชว์ในสิ่ง ที่มี เพราะลูกกอล์ฟคงไม่สามารถเต้นหรือกรี๊ดอะไรมากมาย ในร้านกาแฟได้ คือเมื่อก่อนทำ� แต่ว่าคนก็จะมอง เลยคิดว่า คงต้องสร้างอะไรสักแห่งให้เป็นที่ของตัวเอง เมื่อเลือกแล้วว่า อยากทำ�อาชีพนี้มันก็ง่ายมาก แค่เปิดโรงเรียนของตัวเองไป เลย เลยกลายเป็นสถาบัน Angkriz ส่วนคำ�ว่า Angkriz คือ ชื่อทับศัพท์ของคำ�ว่า ‘อังกฤษ’ ที่ลูกศิษย์คนหนึ่งชื่อน้องโจ้ คิดให้” สไตล์การเรียนการสอน รวมถึงแบบแผนในการจัดองค์กระ กอบห้องเรียนและสื่อการสอนที่แสนจะเทรนดี้ และเปรี้ยว เฉี่ยวไม่ซ้ำ�ใคร ตามคอนเซ็ปต์ ‘Always Classy’ ที่ใส่ความ เป็นแฟชั่นมาแบบเต็มสตรีม ทั้งหนังสือเรียนที่หน้าตาคล้าย กับนิตยสารแฟชั่น รวมถึงห้องเรียนที่เป็นเหมือนแคทวอล์ก กลายๆ ของผู้สอน (นั่นก็คือตัวลูกกอล์ฟเอง) ทั้งหมดล้วน สะท้อนบุคลิกความแก่นเซี้ยวเปรี้ยวซ่าของเจ้าตัวอย่างชัดเจน จริงอยู่ที่ว่าการใช้วิธีการที่เปรี้ยวเก๋และสื่อการสอนอันแปลก ใหม่ ตามแบบฉบับของ ‘เกย์หัวก้าวหน้า’ จะสร้างความ ตื่นตาตื่นใจให้กับบรรดานักเรียนวัยทีนเจเนอเรชั่นใหม่ค่อน ข้างได้ผล (คอร์สส่วนใหญ่จะต้องจองล่วงหน้านานกว่า 3-4 เดือน) แต่ด้วยเพศสภาพของความเป็น ‘เกย์’ ในการเป็น ‘ครู-อาจารย์-ผู้สอนสั่ง’ ยังคงเป็นที่กังขาในสายตาของผู้ปก ครองไทยอยู่บ้าง “ลูกกอล์ฟมองว่าตุ๊ด เกย์ เป็นเพศที่ตลกนะ คือถ้ามองใน แง่บวก เป็นเหมือนคาแรกเตอร์หนึ่งที่ทำ�ให้เด็กตลกและรู้สึก ผ่อนคลาย แต่ถ้าถามว่าเป็นอุปสรรคกับการสอนไหม ก็มีบ้าง ถ้าเราแต่งตัวจัด พ่อแม่ของเด็กจะรู้สึกว่าเขาจะฝากลูกไว้กับ คนๆ นี้ได้ไหม หรือถ้าลูกอยู่กับตุ๊ดคนนี้จะใส่แหวนเหมือนกัน ไหม เป็นสิ่งที่ผู้ปกครองมองและเข้าใจ แต่สุดท้ายจริงๆ ผล งานคือตัวพิสูจน์ เพราะเด็กที่มาเรียนจะเป็นบอกพ่อแม่เองว่า ดีหรือไม่ดี ซึ่งตรงกับสโลแกนของเราที่ว่า ‘Don’t judge a book by its cover’ คืออย่างเพิ่งตัดสินจากภายนอก ใคร ก็ตามที่เอาความเป็นเกย์หรือการแต่งตัวมาเป็นตัววัด นั่น หมายความว่าคุณไม่เหมาะให้ลูกเรียนที่นี่ตั้งแต่แรก” ถึงจะต้องเผชิญกับความคิดครหาต่างๆ นานา แต่เขาก็กล้า ใช้ตัวตนที่แท้จริงเผชิญหน้ากับกำ�แพงอคติ และการต่อสู้เพื่อ ให้ได้มาซึ่ง Hole-In-One ครั้งหนึ่งในชีวิต สอนให้เขารู้ว่า จะต้องรบอย่างไรเพื่อให้ได้กียรติและการยอมรับอย่างแท้จริง “เพราะเพศของเราเป็นเพศที่ต่างจากสังคมทั่วไป 68

แต่ไม่ได้

หมายความว่ามันผิดหรืออะไรนะ จริงๆ แล้วทุกเพศถูกกำ�หนด แล้วว่าแต่ละคนมีบทบาทหน้าที่อย่างไรบ้าง แต่การมองโลก... ไม่ได้เกี่ยวกับว่าเป็นเพศใดเพศหนึ่งอย่างเดียว แต่เกี่ยวกับ การเลี้ยงดูและสังคมรอบข้างด้วย ไม่ว่าจะเป็นหญิงหรือชาย ก็มีทั้งมองโลกในแง่ดีและมองโลกในแง่ร้าย การเป็นตุ๊ดหรือ เกย์ ทำ�ให้ลูกกอล์ฟเรียนรู้อย่างหนึ่งและเป็นบทเรียนที่สำ�คัญ มาก คือถ้าเราอยากให้คนยอมรับเราจริงๆ เราต้องพิสูจน์ ไม่ใช่บอกให้คนอื่นฟัง หรือว่าตะโกน ร้องไห้ โวยวายบอก ให้คนยอมรับ เราต้องพิสูจน์ด้วยผลงาน เป็นทางเดียวที่จะ ทำ�ให้เขาหุบปาก เป็นทางเดียวที่จะเปลี่ยนทัศนะคติของคนที่ แอนตี้เรา ต้องพิสูจน์ในสิ่งที่เราทำ�ได้จริงๆ ซึ่งเรื่องพวกนี้ต้อง ใช้เวลานาน ใครที่มองเราอย่างนี้ ดูถูกเราอย่างนี้ คอยดูวัน หนึ่ง...เราจะเป็นฝ่ายที่ทำ�ให้เขายอมรับด้วยตัวเอง ดังนั้นเรา จะต้องไม่โกรธหรือโวยวายอะไรตั้งแต่แรก นี่คือสิ่งที่การเป็น ตุ๊ดสอนลูกกอล์ฟไว้” แม้ว่าความฝันที่ตั้งใจไว้จะประสบความสำ�เร็จได้มุ่งหวัง และ เจ้าตัวยอมรับว่าเป็น 1 ในหลายเรื่องมหัศจรรย์ที่เกิดขึ้นใน ชีวิต แต่สิ่งที่อัศจรรย์ใจที่สุดคือเรื่องของความรัก เพราะเขา เชื่อว่าเกย์น้อยคนนักที่จะจะพบความสัมพันธ์ที่จริงจังและ ยาวนานมั่นคง “สิ่งที่ทำ�ให้ประหลาดใจมีเยอะมาก!! แต่ที่รู้สึกว่าไม่น่าเชื่อเลย คือ ‘การมีแฟน’ เพราะใครก็ตามที่รู้จักลูกกอล์ฟ แม้กระทั่ง เพื่อนสนิทหรือตัวเอง รู้สึกว่าตัวเองเป็นคนที่ไม่เหมาะกับใคร และไม่มีใครเหมาะกับเรา ลูกกอล์ฟก็ไม่เคยคิดมาก่อนว่าจะ กลายเป็นคนที่อยู่ในความสัมพันธ์ของความรัก เพราะเคยเชื่อ ว่ามันไม่มีอยู่จริง และไม่เคยรู้สึกว่ามันจำ�เป็นสำ�หรับชีวิต แต่ สุดท้ายมันก็เกิดขึ้น ยังแปลกใจจนถึงทุกวันนี้...เป็นเรื่องที่ดี มากจริงๆ” 3 ปีกับความสัมพันธ์ครั้งนี้ เรียกว่าได้ว่าลูกกอล์ฟคนนี้สมหวัง ทั้งเกมรุก (สู้เพื่อความฝัน) และเกมรัก ไปพร้อมๆ กัน “จริงๆ แล้วชีวิตค่อนข้างดี เพราะอยู่กับคนที่ค่อนข้างดีมา โดยตลอด ดังนั้นทุกครั้งที่มีอุปสรรคจะผ่านไปได้ด้วยดีเสมอ เพราะมีครอบครัว เพื่อนดีๆ อาจารย์ดีๆ นักเรียนดีๆ คอย สนับสนุนเสมอ ลูกกอล์ฟเลือกอยู่กับคนดีๆ เพราะไม่ชอบ สังคมที่เสื่อมทราม” ชีวิตของเขา ณ วันนี้ ถือว่าเสร็จสิ้นการคว้าฝัน Hole-InOne ตามที่ตั้งใจไว้ สำ�หรับเป้าหมายที่จะเป็นหลุมต่อไปของ ลูกกอล์ฟอาจจะยังไม่ใช่เร็วๆ นี้ เพราะเขาขอชื่นชมความสุข กับชัยชนะให้เต็มที่ก่อน “เป้าหมายในชีวิตตอนนี้ไม่มี เพราะเพิ่งบรรลุเป้าหมายสิ่งที่ อยากทำ�มาเรียบร้อย จริงๆ แล้วเป็นคนชอบท้าทายตัวเอง ก็จริง แต่ไม่ได้ท้าทายตลอดเวลา ไม่ได้ตั้งใจว่าปีนี้ อันนี้ต้อง สำ�เร็จ คือก่อนหน้านี้เคยเป็นอย่างนั้น ถ้าถามคำ�ถามนี้เมื่อ 3 ปีที่แล้ว คงบอกว่าอยากทำ�โรงเรียน แต่ตอนนี้เป้าหมายที่ยิ่ง ใหญ่ที่สุดเสร็จสมบูรณ์แล้ว ทำ�สำ�เร็จแล้ว ตอนนี้ที่เหลือคือ เป็นเหมือนฝันลางๆ และไม่มีอะไรที่ต้องรีบ เลยคิดว่าจะขอ ใช้ชีวิตตรงนี้ให้ดีก็พอ ขอพักหายใจแล้วมีความสุขกับตรงนี้ ก่อน” รอยยิ้มเล็กๆ ของเขาผุดขึ้นที่มุมปาก กับเพศภาพที่เขารับบทบาทในชีวิตจริง คงมีเกย์เก่งไม่กี่คน ที่สามารถมุ่งมั่นความฝันจนประสบความสำ�เร็จในชีวิตแบบ Hole-In-One ได้เหมือนลูกกอล์ฟคนนี้ แน่นอนว่าชีวิตของ เขาได้ผ่านการอดทนกับการถูกตี และตกลงบนพื้นที่ที่ไม่ อำ�นวยให้เดินหน้ามานักต่อนักแล้ว สิ่งที่ส�ำ คัญคือแรงใจและ ไฟฝันอันมุ่งมั่นที่จะให้เกิดความสำ�เร็จตามที่ตั้งใจ คือแรงผลัก ดันให้เกิดสิ่งมหัศจรรย์ในชีวิตด้วยตัวเอง “อ่อ! นึกออกแล้ว...มีเป้าหมายอย่างหนึ่ง” ลูกกอล์ฟทำ�ลาย ความเงียบนิ่งของคลื่นอากาศ ด้วยนำ�้เสียงอันร่าเริง อยาก ก้าวเข้าไปในวงการการศึกษาของเมืองไทยให้สูงกว่านี้ แล้ว อยากเปลี่ยนแปลงอะไรหลายๆอย่าง แต่ไม่รู้จะเป็นไปได้หรือ เปล่า...ต้องคอยดู” คนที่ทำ� Hole-In-One มาแล้วครั้งหนึ่ง ทำ�ไมครั้งต่อไปจะ ทำ�ไม่ได้...จริงไหม

DEGREE

PICHAJAK Dress G Accessories

69

DEGREE

CHINESE’S BOY jmeehriah oil on canvas 2012 30 x 40 centimate private collection

70

Describe

Mackey

TÀIJAIAN ถวายบังคมฮ่องเต้ ถวายบังคมฮองเฮา เสียงผู้ชายที่ดัดซะแหลมปรี๊ซซ กับภาพของชาย ท่าทางตุ๊งติ้ง นั่นเป็น ตุ๊ดคนแรกใน ทีวี ที่เราเห็น ตุ๊ดนั่นมีชื่อว่า นางขันที

ขันที หรือที่เราชินตาในสมัยเด็กๆที่ติดหนังจีนกำ�ลังภายในจะ ต้องมี นางขันทีกงกง ตลอดเว บอกได้เลยว่านางเป็นกระเทย คนแรกในประวัติศาสตร์ภาพยนตร์ให้เก้งกวางน้อยใหญ่ได้ซึม ซับทั้งความประจบสอพลอ และตอแหลสุดๆของนางเลย ทั้ง ยังจ้าวแผนการ แถมมีวรยุทธสูงส่ง สมัยเด็กๆเวลามีเล่นติ๊ก ต่างทีไร ผู้เขียนจะของเป็นขันทีตลอดเพราะเป็นผู้ชายแต่มี เล็บยาว แถมใช่ผ้าเป็นอาวุธได้ เริ่ดสุดๆๆ นางขันทีเนี่ยใช่ว่าจะมีอยู่แต่เฉพาะในจีนเท่านั้น แท้จริง ขันที, ไท่เจี้ยน ( 太监) หรือ ยูนุก (Eunuch) ในภาษา ลาติน มีรากศัพท์มาจากภาษากรีกว่า ยูโนคอส (Eunouchos) ที่แปลว่าผู้รักษาเตียง (ชอบงานนี้ๆๆๆ) มีหน้าที่ดูแล รับใช้กษัตริย์ และข้าราชสำ�นักฝ่ายใน คาดว่าต้นกำ�เนิดของ ขันทีมาจาก เมืองละกาสช์ (Lagash) ของพวกสุเมเรียน เมื่อ ประมาณ 2,000 ปีก่อนคริสตกาล โดยการเป็นขันทีในสมัย นั้น ถือเป็นการลงโทษประเภทหนึ่ง เขาจะคัดเลือกพวกทาส หรือเชลยจากศึกสงครามมาเป็น คนรับใช้ผู้ซื่อสัตย์ โดยการ ตัดจุมุทิ้ง (เสียดายมั๊กๆๆๆๆ ) ต่อมาวัฒนธรรมเรื่องขันทีได้แผ่อิทธิพลมายังจักรวรรดิจีน ขันทีในจีนเรียกว่า ไท้เจี๋ยน ตรงกับคำ�ว่า ตัด ในภาษาจีน ในสมัย ราชวงศ์ยิน (1324-1066 ก่อนคริสตกาล) ผู้ที่ต้อง คดีข่มขืนกระทำ�ชำ�เราถูกลงโทษด้วยการตอนผู้ชายเหล่านั้น ให้เป็นกรรมกรตลอดชีวิต จนล่วงมาในสมัยราชวงศ์สุย ราช สำ�นักได้เกณฑ์คนมาให้เป็นแรงงานรับใช้ จนในสมัยราชวงศ์ หมิง (ปีค.ศ. 1457-1464) นั้น มีขันทีจำ�นวน 70,000 คน เชื่อว่าคงมีกองกำ�ลังมิสทิฟฟานี่อยู่ในราชสำ�นักแน่ๆ ไฮ้ย่า!! ในปี ค.ศ. 1382 จีนได้ทำ�สงครามกับมองโกล เมื่อได้ชัยชนะ ได้กวาดต้อนเด็กหนุ่มชาวมองโกลจำ�นวนมากมาเป็นขันที เพื่อรับใช้ในวังหลวง หน้าที่หลักของ ขันที คือการปกครอง พวกนางกำ�นัลทั้งหลายซึ่งอาศัยในเขตพระราชฐาน (จิก หรือ วีนตั้งแต่โบราณค่ะ) นอกจากนั้นยังอาจขับกล่อมลำ�นำ�ให้ ฮ่องเต้ ก่อนเข้าบรรทม อีกทั้งยังมีหน้าที่เป็นที่ปรึกษาของ ฮ่องเต้ในการบริหารบ้านเมือง จนในบางสมัยที่ขันทีปรน เปรอฮ่องเต้จนบ้านเมืองอ่อนแอ นำ�ไปสู่การล่มสลายของ ราชวงศ์ เช่นในสมัยสามก๊ก หรือในปลายราชวงศ์หมิงและ ราชวงศ์ชิง แม้จะมีเอกสารหลายที่อ้างอิงว่า ขันที เนี่ยไม่มี

ส่วนเกี่ยวข้องกับ ตุ๊ด กระเทย เก้งกวาง เลยแม้แต่น้อย แต่ ถามหน่อยสิ 1. ผู้ชายไม่มีจุมุ 2. จิกใช้นางกำ�นัล 3. ร้อง เพลงเก่ง 4. แต่งตัวสวยๆเสื้อผ้าอาภรณ์ครบครัน 5.ปรนนิบัติ ฮ่องเต้ที่เป็นผู้ชายแท้ๆก่อนเข้านอน 6. บางครั้งมีการปรน เปรอ เพิ่งรู้ว่างานแบบนี้ผู้ชายแท้ๆเขาทำ�กัน!!! แบบนี้ไม่ต้อง สืบให้เสียเว มิหนำ�ซำ�้ในสมัยโบราณด้านหลังของพระราชวัง จะมี ที่ ป๊ ะ กั น ของชาวนางขั น ที ห ลั ง เลิ ก งานหรื อ ว่ า วั น หยุ ด สำ�หรับนั่งเม้ามอยกัน ภายในบริเวณจะมีทั้งร้านทำ�ผม ร้าน เสริมสวย ร้านตัดเสื้อ ร้านอาหาร คาเฟ่กิ๊บเก๋ เรียกรวมๆว่า ตรอกแห่งความจงรักภักดี นัยว่าคล้ายๆสีลมซอย2ของเรา เอง ที่สำ�คัญจะมีโรงอาบนำ�้ที่บริหารโดยทีมขันทีตัวแม่ และ ด้วยความที่ขันทีมักมาอาบนำ�้ที่นี่นัยว่า ไม่อยากแปลกแยก กับคนอื่น (ทั้งๆที่ตนเองทำ�งานในวัง มีแค่ชะนี และฮ่องเต้ เป็นชายเดียวทีมีเค ขันทีก็ต้องอาบรวมกับขันทีอยู่แล้ว) ก็พา กันมาอาบนำ�้เสียที่นี่ และผู้ใช้บริการก็ต้องเป็นขันทีเท่านั้น ว่า กันว่าเวลามีขันทีน้องใหม่ ตี๋ๆ หุ่นลำ�่ๆ โดยเฉพาะพวกตอนไม่ หมดยังเหลือจุมุอยู่แทบขะสมบูรณ์เนี่ย ก็จะต้องโดนพวกขัน ทีแก่ๆ ป้าๆ รับน้องรุกพี่ เสียเต็มที่ เจ้าโรงอาบนำ�้นี่ก็เปรียบ เสมือน แหล่ง ตกเหยื่อ ดีๆนี่เอง นี่ถ้าเป็นปัจจุบัน เค้าเรียก ซาวน่า!!! ค่ะ เมื่อยุคสมัยเปลี่ยนไป ค่านิยมการเป็นขันทีก็เปลี่ยนแปลง ตามไปด้วย ในสมัย ราชวงศ์หมิง และ ราชวงศ์ชิง (ปีค.ศ.

1644-1911) ขันทีกลายเป็นงานที่มีหน้ามีตาในสังคม ไม่ได้ ถูกมองว่าเป็นการลงโทษเหมือนยุคก่อน มีเด็กหนุ่มจำ�นวน มากที่สมัครใจมาเป็นขันที เพราะต้องการหลุดพ้นจากความ แร้นแค้นของครอบครัว จึงหวังจะเป็นขันทีเพราะนำ�มาซึ่ง ทรัพย์ศฤงคาร อำ�นาจและวาสนา เพราะขันทีจะได้เงินเดือน ประมาณ 3 ตำ�ลึง ซึ่งถือว่าเป็นรายได้ที่ดี แล้ะเมื่อถึงวัย 70 หลังเกษียณแล้ว ก็ยังพำ�นักอยู่ในศาลาขันที โดยไม่ต้องเสีย ค่าใช้จ่ายใดๆ ลักษณะของขันที แบ่งได้เป็น 2 ประเภท คือ พวกที่ถูก ตอนโดยตัดส่วนปลายขององคชาติซึ่งไวต่อความรู้สึกทางเพศ หรือตัดออกให้เหลือประมาณ 1 ชุ่น หรือ 1 นิ้ว (ตอนหลับ) และยังเหลือพวงอัณฑะ หรือ ไข่ (บอกทำ�ไม) ขันทีพวกนี้ยัง มีฮอร์โมนเพศชายอยู่ จึงมีเสียงห้าวแบบผู้ชาย ดังนั้นพวกนี้ จะอนุญาตให้ทำ�งานเฉพาะในเขตพระราชฐานชั้นนอกเท่านั้น 71

(แปลว่ายังจิ้มได้ค่ะ) ส่วนขันทีอีกพวกหนึ่ง จะถูกตอนโดย ตัดองคชาติและพวงสวรรค์ทิ้งไปหมด หรือพวกมิสทิฟฟานี่ พวกนางจึงมีเสียงเล็กแหลมคล้ายชะนี เนื้อตัวไม่มีกล้าม รูป ร่างสะโอดสะอง นางจะได้รับความไว้เนื้อเชื่อใจสูงมาก และ สามารถเข้านอกออกในถึงเขตพระราชฐานชั้นใน ฮ่องเต้จะ โปรดปรานพวกนางมาก (เพราะอะไรเดากันเอง) เนื่องจาก ทรงเห็นว่านางมีความเสียสละอันใหญ่หลวง ยอมเสียของรัก ของหวงของตนเอง สละซึ่งความสุขด้านกามารมณ์ อีกทั้ง พวกนางไม่สามารถมีทายาท สืบเผ่าพันธุ์ จึงไม่คิดการกบฎ ต่อแผ่นดินเพื่อตั้งราชวงศ์ใหม่สืบลูกสืบหลานต่อไป และทรง เข้าใจว่าพวกนางคงไม่ละโมบ ฮุบสมบัติในวังหลวงเพื่อสะสม ให้แก่ทายามของตนเองได้ ด้วยเหตุนี้พวกนางจึงได้รับความ ไว้วางใจเป็นพิเศษ แต่ที่ไหนได้พวกขันทีนี่แหละตัวดี กลุ่ม ขันทีทั้งสิบในราชวงศ์ฮั่น มีใจทะเยอทะยาน มีความมัก ใหญ่ใฝ่สูง หมายจะครอบครองราชสมบัติทั้งสิ้น และร่วมกัน กระทำ�การทรยศต่อแผ่นดิน สร้างความปั่นป่วนให้ราชสำ�นัก ยังผลได้เกิดความล่มสลายต่อรางวงศ์ บ้านเมืองแตกแยก ไร้ ซึ่งความเป็นปึกแผ่น ถึงกระนั้นการเป็นขันที เหมือนเป็นคำ�สาบมากกว่า เพราะ นำ�มาซึ่งความลำ�บากตลอดชีวิต เป็นต้นว่า เวลาปัสสาวะ นางไม่สามารถจะทำ�ได้เหมือนคนทั่วไป เพราะท่อปัสสาวะ ของนางเล็กเท่ากับก้านขนนก เนื่องจากตอนที่ถูกมีดหมอ คว้านออกไปทั้งยวง หมอก็จะเอาไม้ไผ่ซึ่งถูกเหลาให้ปลาย แหลมอุดไว้ที่ท่อปัสสาวะ เพื่อป้องกันแผลปิดรูปัสสาวะ ไม่ อย่างนั้นนางคงไม่สามารถฉี่ได้อีกต่อไป แล้วหมอก็จะใช้กระ ดาษบางๆ ซึ่งแช่เหล้าต้มกับพริกไทย ปิดแผลไว้หลายชั้น เมื่อ ผ่านไป 3 วันจึงค่อยๆลอกออกทีละชั้น แผลจะค่อยๆหาย เป็นปรกติภายใน 3 เดือน ถ้ายังไม่หายตัวนางก็อาจจะหายไป จากโลกได้ เวลานางปัสสาวะก็จะค่อยๆไหลทีละหยด และใช้ เวลานาน ดังนั้นพวกนางจึงมีกลิ่นประจำ�ตัว ไม่ใช่ Chanel No. 5 แต่เป็นกลิ่นปัสสาวะแห้งๆ เพราะนางไม่สามารถกลั้น ปัสสาวะได้ นับเป็นความทุกข์ทรมานที่นางต้องจำ�ยอม จนกระทั้งหมดลมหายใจ เราไม่เอ่ยถึงความลำ�บากยากเข็ญ ของนางที่ต้องเสียของรักไปและต้องไปตามไถ่คืน ( มัมมี่ดิล โด้พร้อมใส่กล่องติดป้าย อ.ย. ให้เสร็จสรรพ) แต่เราเชื่อว่าการ ที่นางเสียไป 1 นางต้องหากลับมาได้เกิน 10 แน่ๆ แรงนะจ๊ะ นางขันที

Prapat Jiwarangsan

Design

ligernart.wordpress.com

Ai Wei Wei

นิตยสาร ArtReview ของอังกฤษจัดอันดับ 100 ศิลปินที่ ทรงพลังที่สุดประจำ�ปี 2011 (การจัดอันดับ 100 บุคคลผู้ทรง พลังทางศิลปะของ ArtReview ในครั้งนี้ด�ำ เนินมาเป็นครั้งที่ 10 แล้ว โดยกรรมการผู้จัดอันดับเป็นผู้เชี่ยวชาญด้านศิลปะ 26 คนจากทั่วโลก) ซึ่ง Ai Wei Wei หรือที่ชาวตะวันตกตั้ง ฉายาให้ว่า Andy Warhol ของจีน ได้ถูกจัดให้เป็นอันดับ หนึ่ง โดย ArtReview ให้เหตุผลว่า เขาเป็นผู้ทำ�ให้ศิลปะก้าว ข้ามพรมแดนจากแกลอรี่มาสู่โลกความจริง กล่าวคือ เป็นผู้ ที่มีความเป็นนักกิจกรรมมากพอๆ กับความเป็นศิลปิน การ เป็นทั้งสองอย่างนี้พร้อมกันถือเป็นการก้าวออกจากแนวคิด ที่ว่าศิลปินควรจะทำ�งานอยู่แต่ในอาณาเขตเฉพาะคือภายใต้ กำ�แพงแกลอรี่หรือพิพิธภัณฑ์ มาร์ค แรบโพลท์ บก. ArtReview กล่าวว่า “เขาเป็นผู้ที่ผลักดันให้ศิลปินออกมาอยู่นอก เขตแกลอรี่หรือพิพิธภัณฑ์ ค้นหาหนทางให้ศิลปะอยู่ร่วมกับ ชีวิตจริงแทนที่จะเป็นสิ่งที่อยู่ในพื้นที่จำ�กัดเฉพาะตามสถาบัน ต่างๆ ซึ่งพอคุณเดินออกมาแล้ว มันก็ไม่ส�ำ คัญอีก”

โดยที่ผู้ชมสามารถเดินเหยียบยำ�่ลงบนผลงานที่ทำ�จากดิน พอร์ซเลนจากงานฝีมือล้วนๆ กว่า100 ล้านเมล็ด

Ai เป็นศิลปินจีนผู้ที่เคยมีผลงานร่วมออกแบบ ‘สนามรังนก’ (Bird’s Nest) สนามกีฬาโอลิมปิกของจีน ขณะเดียวกันก็มัก วิพากษ์วิจารณ์รัฐบาลจีน เขาเคยถูกรัฐบาลจีนจับเข้าห้อง ขัง 81 วันจาก ‘คดีความทางเศรษฐกิจ’ แต่ก็มีคนกล่าวกัน ว่าเป็นการถูกจับครั้งนี้เพราะเรื่องที่อ้ายกล่าววิพากษ์วิจารณ์ ทางการเมือง The Independent ของอังกฤษระบุว่าการ จัดแสดง ผลงานเมล็ดทานตะวัน (Sunflower seeds) ของ ไอ้ มีสัญญะทางการเมือง

สำ�หรับ Ai แล้ว เมล็ดทานตะวัน เป็นของขบเคี้ยวยาม ว่างของคนจีนที่กินร่วมกันระหว่างเพื่อนฝูงซึ่งมันเกี่ยวข้อง กับการปฏิวัติวัฒนธรรมในช่วงปี คศ.1966-76 ซึ่งช่วงนั้น ความเป็นส่วนตัวของผู้คนถูกจำ�กัดไว้ซึ่งอิสรภาพ ภาพของ โฆษณาชวนเชื่อ โดยท่านประธานเหมา เจ๋อ ตุง ซึ่งเปรียบ เสมือนเป็นแสงอาทิตย์ ในขณะที่ประชาชนเป็นเพียงแค่เมล็ด ทานตะวัน ซึ่งตัวเขายังจำ�ได้ดีว่า การกินเมล็ดทานตะวัน ร่วมกันเป็นการแสดงออกถึงความเมตตาของผู้คน ซึ่งสร้าง สัมพันธภาพระหว่างเพื่อนฝูง ในช่วงภาวะของความยากจนที่ ต้องอดทนอดกลั้นกับสภาวะทางการเมืองที่ไม่มีความมั่นคง ในช่วงของการปฏิวัตินั้น นี่ก็คือเสียงสะท้อนร่วมสมัยในผล งานซึ่งเป็นการผลิตจำ�นวนมากแบบแรงงานฝีมือหัตถกรรม ซึ่งผลงานได้เชื้อเชิญให้ผู้คนได้เข้ามาดูอย่างใกล้ชิดในงาน แต่ละเมล็ดที่เสมือนมีแบรนด์ติดว่า “Made in China” ปรากฎการณ์เช่นนี้เป็นการเปลี่ยนแปลงภูมิศาสตร์ทางการ

Sunflower seeds หรือ เมล็ดทานตะวัน จัดขึ้นที่ Tate Modern ณ กรุงลอนดอน ร่วมกับ The Unilever แบรนด์ สินค้าใหญ่ยักษ์ เป็นผู้สนับสนุน โดยในครั้งนี้นับเป็นครั้งที่ 11 ที่มอบหมายให้ศิลปินทำ�งานเพื่อนำ�มาจัดแสดงใน The Unilever Series เมล็ดทานตะวันที่ถูกจัดวางเหมือนกับเป็นงาน ภูมิสถาปัตยกรรมตั้งอยู่ทางฝั่งตะวันออกของ Turbine hall

นับเป็นผลงานที่ใหญ่ที่สุดที่ศิลปินได้เคยทำ�มาจากดินพอร์ซ เลน ซึ่งเป็นสินค้าที่มีมูลค่าส่งออกมากที่สุดของจีน ทุกเมล็ด นั้ น จะไม่ เ หมื อ นกั น ซึ่ ง แตกต่ า งจากการผลิ ต ในระบบของ โรงงาน เหมือนกับงานที่เป็น “Readymade” หรือ “found object” ของศิลปินฝั่งตะวันตก แต่นี่คืองานหัตถศิลป์อย่าง ประณีตของแรงงานภาคหัตถกรรมของจีนที่เกิดขึ้นทั้งหมดที่ Jingdezhen ซึ่งเป็นแหล่งผลิตงานเครื่องปั้นดินเผาที่มีชื่อ เสียงของจีน ทุกๆเมล็ดเผาด้วยไฟสูงถึง 1,300c เพ้นท์สีทีละ เมล็ด จากนั้นจึงนำ�เข้าเตาเผาอีกครั้งที่อุณหภูมิ 800c ใช้เวลา ในกระบวนการทำ�จนเสร็จสิ้นกว่าสองปี และใช้แรงงานคน มากกว่า 1,600 คน กว่า100 ล้านเมล็ดซึ่งหนักกว่า 150 ตัน ถูกนำ�มาจัดวางบนพื้นที่ 1,000 ตารางเมตรของโถง Turbine hall, Tate Modern

72

เมือง วัฒนธรรมและเศรษฐกิจของจีนเลยทีเดียว ซึ่งถ้ามองจริงๆแล้ว เมล็ดทานตะวันเหล่านี้ คือตัวแทนของ ประชาชนชาวจีน ซึ่ง Ai ตั้งคำ�ถามถึงตัวตนของตัวเองผ่าน ผลงานที่แตกต่างกันในแต่ละเมล็ดว่า “ความเป็นตัวตนใน สังคมปัจจุบันนั้นหมายถึงอะไร เรายังคงมีความสำ�คัญ มีพลัง ที่สามารถแสดงออกหรือไม่ ในตอนที่เรายังเป็นวัยรุ่น เราเริ่ม ที่จะรู้สึกถึงการมีตัวตนในสังคมหรือเปล่า ซึ่งสังคมเองก็มัก ตั้งคำ�ถามกับเราเช่นกันว่า คุณคือใคร สังคมแบบไหนที่คุณ ต้องการ” เมล็ดทานตะวันซึ่งไม่อาจจะงอกเงย เป็นดอกไม้ที่ สวยงามได้ เพราะต้องถูกเหยียบยำ�่จากผู้นำ�ของจีนเอง และ จาก คนตะวันตก ซึ่งการเปรียบเปรยนี้เป็นนัยยะทางการ เมือง ตลอดจนคำ�ถามจากแรงงานชาวจีนซึ่งส่วนใหญ่ยังคง อยู่ในภาคหัตถกรรม แต่ต่อมาเมื่อระบบอุตสาหกรรมเข้ามา แทนที่ คนเหล่านี้ต้องปรับตัว และตกงาน ก็เหมือนกับการ ถูกเหยียบยำ�่ให้กลายเป็นเพียงแค่เมล็ดทานตะวัน ของว่าง ยามสนทนา ซึ่งงานนี้หลังจากที่จัดแสดงให้ผู้ชมได้มาเดิน สัมผัสผลงานลงบนทุ่งเมล็ดทานตะวันได้แค่เพียงสี่วัน ในวัน ที่ 15 ตุลาคมทาง Tate ก็ไม่อนุญาตให้ผู้ชมเข้าไปเดินได้อีก แต่สามารถดูและหยิบเมล็ดจากรอบๆ มาดูได้โดยที่ให้เหตุผล ว่า ฝุ่นซึ่งเกิดจากดินพอร์ซเลนอาจจะเป็นอันตรายเมื่อสูด ดม นี่อาจจะเป็นเหตุผลที่บังเอิญ แต่มันช่างเข้ากับบริบท ทางการเมืองของตัวศิลปินเสียจริง จนทุกวันนี้ก็ยังมีคนหลาย คนที่พยายามฝ่าฝืนการเข้าไปเหยียบยำ�่เมล็ดทานตะวันเป็น ประจำ� หรือนี่จะเป็นการบอกว่า ไม่มีทางหรอกที่ตะวันตกจะ หยุดยำ�่ยีชาติที่ด้อยกว่า แม้ว่าเมล็ดนั้นจะอยู่ที่ไหนก็ตาม และ ถึงอย่างไรพวกเขาก็ยังต้องพึ่งพาแรงงานชาวจีนผลิตสินค้า อยู่ดี พวกเขาไม่เคยคิดเลยว่าแรงงานจีนจะได้รับมลพิษมาก เท่าไร เพื่อผลิตสินค้าสนองความสุขสบายของชาวตะวันตก หรือเพราะแรงงานพวกนี้เป็นเพียงแค่เปลือกเมล็ดทานตะวัน ที่หล่นตามพื้นเท่านั้น

DEGREE

SUNFLOWER SEEDS Ai Wei Wei individually hand-painted porcelain 2010 installation scattered over area Tate Modern Turbine Hall, London

73

Design

The Fifth

TOI Ungkavatanapong เคยไหม...ที่รู้สึกทำ�ตัวไม่ถูก เมื่อต้องเจอกับใครคนหนึ่ง เคยไหม...ที่ไม่รู้จะเริ่มต้นอย่างไร เมื่อต้องทักทายใครคนหนึ่ง ถ้าคุณเคยเป็นแบบนั้นเหมือนกัน เราว่าความรู้สึกของอารมณ์่ อ่อนไหวที่เกิดจากการเก็บซ่อนความรู้สึกที่อยากจะบอกแต่ ยากจะเอ่ยออกมา ยามอยู่ต่อหน้าของคนในความรู้สึกในนาม ของความรัก ความกระอักกระอ่วนที่เกิดขึ้นเป็นความรู้สึกที่ น่าหลงไหลและมีเสน่ห์ไม่น้อย เพราะมันไม่ได้เป็นความรู้สึก ที่เกิดขึ้นได้บ่อย หรือกับทุกๆคนที่เราพบเจอ น่าแปลกใจที่ พบว่าหลายคนหลงเสน่ห์ในห้วงอารมณ์ที่เกิดขึ้นขณะแอบรัก มากกว่าตอนที่ได้คบหากับคนรักเสียอีก แล้วถ้าหากว่า เราเป็นคนคนหนึ่งที่ก�ำ ลังตกหลุมรัก และอยาก จะบอกใครคนนั้นให้รับรู้ความรู้สึก ความกระอักกระอ่วนที่ งดงามเหล่านั้น ถ้าเป็นคุณจะบอกกล่าวมันออกมาอย่างไร นพไชย อังควัฒนะพงษ์ (Toi Ungkavatanapong) ศิลปิน งานร่วมสมัย ได้ถ่ายทอดความรู้สึกกระอักกระอ่วน กลืนไม่ เข้าคายไม่ออก สภาวะความเป็นอยู่ที่ครึ่งๆกลางๆ เป็นแรง บันดาลใจในการสรรค์สร้างผลงาน ที่จะถูกนำ�มาจัดแสดงใน นิทรรศการ AWKWARD จะรักหรือหลอกก็บอกตรงๆ

found object) อย่างไม้แขวนเสื้อ หม้อหุงข้าว เครื่องปิ้ง ขนมปัง มาสื่อสารภาษาของความรู้สึกนึกคิด สิ่งที่เขารู้สึกต่อ ตัวเองต่อแวดล้อม ผู้คนที่พบเจอ เขาถ่ายทอดผ่านวัตถุสิ่งของ ซึ่งล้วนมีเรื่องราว ความทรงจำ�บางอย่าง เป็นสิ่งที่เขาอยาก สื่อสารมันออกมาให้เรารับรู้ ประสบการณ์ของเราแต่ละคนจึงเป็นสิ่งสำ�คัญในการรับชม นิทรรศการในครั้งนี้เหมือนกัน ว่าวัตถุต่างๆที่ถูกนำ�มาใช้ สร้างสรรค์งาน เป็นวัตถุที่สามารถพบเห็นได้ทั่วไป และอาจ จะไม่มีความสำ�คัญใดๆ เลยหากเรามองวัตถุเหล่านั้นเป็นแค่ สิ่งของธรรมดาๆ แต่ทว่าหากเราเชื่อมโยงประสบการณ์ของ เราเข้ามา สิ่งเหล่านั้นก็จะมีความหมายที่พิเศษแตกต่างออก ไปสำ�หรับเราเอง

Toi เคยเล่าว่าในบางครั้งเมื่อมีบางความรู้สึกยากที่จะเอ่ย เขา จึงจำ�ต้องหาอะไรบางอย่างมาเพื่อสื่อสารห้วงอารมณ์เหล่านั้น ภาษาที่เขาใช้ อาจจะไม่เหมือนที่เราพูดๆ กัน เขาหยิบมัน มาจากสรรพสิ่งรอบๆ ตัวของเขา ข้าวของเครื่องใช้ที่คุ้นตา ความทรงจำ�ในวัยเด็ก ความประทับใจในรูปทรงสิ่งของ เรื่อง ราวต่างๆ ในวิถีชีวิตประจำ�วันที่เขาพบเจอ เขาเก็บสะสมพวก มันเอาไว้ สิ่งของเก่าๆ บรรจุความทรงจำ� คุณค่าที่ผ่านกาล เวลา เขานำ�มาสร้างภาษาของเขาเอง ในรูปแบบที่แตกต่าง จากที่มันเคยเป็น

หากเราจะชื่นชมงานศิลปะสักชิ้น เราต้องผสมผสานจินตนาการและความเข้าใจของเราลงไปด้วย (Interplay of imagination and understanding) เมื่อเราเห็นสิ่งใดสิ่งหนึ่ง โดย เอาสิ่งนั้นเป็นตัวตั้ง (objective) แล้วรู้สึกได้ทันทีว่าชอบหรือ ไม่ชอบในชั่วพริบตา ขึ้นอยู่กับการสัมผัสรับรู้ของเรา (subjective) ไม่เกี่ยวข้องกับเหตุผลและหลักการใดๆ เลย ซึ่งต่าง คน ต่างประสบการณ์ ผนวกกับจินตนาการที่มี ทำ�ให้ผลลัพธ์ ของแต่ละคนต่างกัน โดยที่ mmanuel Kant นักคิดนัก ปรัญญาคนสำ�คัญของศตวรรษที่ 18 กล่าวไว้ว่า เราทุกคน สามารถก้าวข้ามผ่านความเป็น subjective คือความเป็น ตัวตนได้โดยการแลกเปลี่ยนความรู้สึกทั้งเหมือนและต่างผ่าน สิ่งของสิ่งเดียวกันนี้ เราสามารถที่จะสื่อสาร โต้เถียงและให้ เหตุผลของเราได้ ก็คือการเข้าสู่ความเป็นสากลนั่นเอง ศิลปะ จึงเป็นพื้นที่ของการสื่อสารในรูปแบบหนึ่งที่มีความเป็นสากล ที่เราทุกคนสามารถเข้าใจร่วมกันได้แม้ว่าจะมาจากมุมโลกที่ ต่างกันก็ตาม ถึงจะเข้าใจไปคนละแบบก็ไม่ใช่เรื่องแปลกเลย

นิทรรศการครั้งนี้ผลงานทั้งหมดของ Toi นำ�เสนอในรูปแบบ ของ ศิลปะจัดวาง (Installation) เขาเลือกเอาวัสดุสำ�เร็จรูป ข้าวของเครื่องใช้ที่พบเห็นกันได้ทั่วไป (ready made and

Toi ไม่เพียงแต่สร้างสรรค์งานศิลปะที่สื่อความงามแห่ง ห้วงอารมณ์ ความรู้สึกของตนผ่านวัตถุสิ่งของที่ประกอบไป ด้วย เส้น สีและรูปทรงเท่านั้น เขายังมีงานเขียนโรแมนติก 74

ที่สะท้อนตัวตนอาร์ตติสอ่อนไหวอีกด้านหนึ่งออกมาให้เรา สัมผัสอารมณ์แบบติสส์ๆ ได้อีก “We together had a long relationship, 4 years (I must say), before things started to go out of control. It seems funny, I do change as I get older. I don’t remember if she ever does.

There are several nights like tonight when I am alone knowing that I have been fighting with something, quite a struggle as a matter of fact. Of course, I lost; WHY? The result; I am sitting here alone and not feeling so good.

Time has gone by and I haven’t heard from her. I remembered she said it was the distance that separated us. “No, it is our attitude,” I said. At the moment, something within me is too stubborn to let me be the person to give a call. Something within me also knew that I would get a call. She called.

From the tone of her voice, I believed she was not at all happy at that time. She admitted that she missed me. “I miss you, too,” I said. After saying I missed her, I caught myself missing someone else…” (จากงานเขียน I MISS YA I MISS YA, TOO ของนพไชย) นิทรรศการศิลปะ Awkward จะรักหรือหลอกก็บอกตรงๆ จัดขึ้นในระหว่างวันที่ 27 เมษายนถึง 27 พฤษภาคม 2555 ณ บริเวณ People’s Gallery ชั้น 2 หอศิลปวัฒนธรรมแห่ง กรุงเทพมหานคร (Bangkok Art and Culture Centre: BACC) แล้วคุณจะรู้ว่าศิลปะไม่ใช่เรื่องไกลตัวสักนิด แวะสัมผัสนิทรรศ การศิลปะของ นพไชย อังควัฒนะพงษ์ Toi Ungkavatanapong ที่อาจทำ�ให้คุณเข้าถึงศิลปะได้มากขึ้นและศิลปะเอง อาจจะเข้าใกล้คุณได้มากกว่าเดิม

The Fifth

AWKWARD Toi Ungkavatanapong ready made & found object 2012 site specific People’s Gallery Bangkok Art and Culture Centre

75

DE 76

bris boy Photographer Degree Team Models Apiwat Pipatsrilkul Styling Mile Supakasem 77

DEGREE

Thunwarat Suwannakorn Jacket ELLE HOMME Innerwear

78

DEGREE

79

DEGREE

80

DEGREE

Thunwarat Suwannakorn Clothes Left page Thunwarat Suwannakorn Clothes

81

DEGREE

Thunwarat Suwannakorn Jacket

82

DEGREE

83

DEGREE

Thunwarat Suwannakorn Jacket Right page Thunwarat Suwannakorn Jacket Guy Laroche Innerwear

84

DEGREE

85

DEGREE

Thunwarat Suwannakorn Jacket Guy Laroche Innerwear

86

DEGREE

87

DEGREE

Thunwarat Suwannakorn Clothes & Shoes Right page Thunwarat Suwannakorn Clothes & Shoes

Special thank to Thunwarat Suwannakorn for outfit

88

DEGREE

89

Detox

TOP BOTTOM

สามารถอ่านรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ http://www.adamslove.org

VS

ใครเสี่ยงกว่ากัน ระหว่างรุกกับรับ? เป็นคำ�ถามยอดฮิต ที่เราตั้งใจไขให้ชายรักชายแฟนพันธ์ุแท้ โดยเฉพาะ ว่า รุกกับรับ ใครเสี่ยงต่อการติดเชื้อเอชไอวีและโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์มากกว่ากัน

รู้หรือไม่ การเป็นฝ่ายรับโดยไม่ป้องกัน หรือไม่ใส่ถุงยาง อนามัยนั้น เสี่ยงแค่ไหน เรามาไขข้อข้องใจว่า ระหว่างรุก กับรับ อย่างไหนจึงเสี่ยงกว่ากัน การร่วมเพศโดยไม่ป้องกัน หรือ ปราศจากถุงยางอนามัยทำ� ให้เกิดได้ทั้งติดเอชไอวีและโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์ อย่าง ไรก็ตาม บทบาทของการมีเพศสัมพันธ์นั้น จะมีระดับของ ความเสี่ยงที่แตกต่างกัน โดยฝ่ายรุกจะมีความเสี่ยงที่น้อย กว่า 10เท่าถึง 100 เท่า ทั้งนี้ขึ้นอยู่กับว่า ช่องทางที่มีความ สามารถในการรับเชื้อมีความเปราะบางที่ต่างกัน สำ�หรับ ฝ่ายรุก หนังบริเวณที่อยู่ปลายอวัยวะเพศ ซึ่งเป็นช่องทาง ที่จะรับเชื้อ นั้นมีความแข็งแรงมากกว่า เยื่อบุที่อยู่ภายใน ทวารหนักของฝ่ายรับ ซึ่งมีโอกาศที่จะเกิดแผลและเกิดการ ถลอก และบอบชำ�้จากการมีเพศสัมพันธ์ ทำ�ให้ฝ่ายรับมีโอ กาศที่จะได้รับเชื้อมากกว่า ที่สำ�คัญ ไม่ว่าความเสี่ยงจะเป็นเช่นไร การใส่ถุงยางอนามัย อย่างถูกวิธี และทุกครั้งนั้น ดีที่สุดในทุกกรณีและท่วงท่า ที่ ขาดไม่ได้คือ เจลหล่อลื่นที่จะลดการเสียดสีและฉีกขาดของ เนื้อเยื่อในบริเวณที่มีความเสี่ยงก็เป็นสิ่งจำ�เป็นที่ขาดไม่ได้ เช่นเดียวกัน การป้องกันการติดเชื้อเอชไอวีเมื่อมีโอกาสสัมผัสเชื้อ คำ�ถามที่มักเจอบ่อยๆจากกระดานสนทนาของชาวรักร่วม เพศ มักจะถามในเรื่องของการสัมผัสเชื้อหรือสงสัยว่าจะ

สัมผัสกับเชื้อเอชไอวี เช่น นำ�้อสุจิเปื้อนมือ สงสัยว่าถุงยาง แตก หรือ ไปฟันดาบมาจะติดไหม เราจึงอยากชวนคุยถึง แนวทางการป้องกันตนเอง ซึ่งเราอาจจะไม่แน่ใจว่าสารคัด หลั่ง เช่น เลือด หรือ อสุจิ ที่เราสัมผัสนั้นมีเชื้อเอชไอวีอยู่ หรือไม่ ดังนี้

•

ในกรณีที่ถุงยางมีรูรั่วขนาดใหญ่ ผู้ที่สอดใส่จะรู้สึกได้ ทันที หากหยุดการมีเพศสัมพันธ์ และเปลี่ยนถุงยาง ใหม่ ก็ถือว่าปลอดภัย

•

ถ้าโดนเข็มหรือของมีคมที่ต้องสงสัยบาด ให้ล้างด้วย นำ�้สะอาดและหรือนำ�้สบู่ แม้ว่ายังไม่มีข้อมูลว่าการใช้ นำ�้ยาทำ�ลายเชื้อชนิดใดดีที่สุด ในกรณีนี้นำ�้ยาทำ�ลาย เชื้อที่แนะนำ� เช่น 70% แอลกอฮอล์หรือเบตาดีน ไม่ ค วรใช้ นำ �้ ย าที่ กั ด หรื อ ทำ � ลายผิ ว หนั ง และเยื่ อ บุ และไม่ควรบีบเค้นแผลอย่างรุนแรง (กรมควบคุมโรค, 2550)

หากเป็ น การสั ม ผั ส กั น ระหว่ า งผิ ว หนั ง รอบท่ อ ปัสสาวะ (ที่ไม่ใช่ส่วนสีแดงปลายสุดขององคชาติ) หรือบริเวณโคนองคชาติกับช่องคลอด หรือทวารหนัก เช่นนี้ถือว่าไม่เป็น อันตรายแต่อย่างใด

•

หลังจากที่ฝ่ายรุกถึงจุดสุดยอดแล้ว หากพบว่านำ�้ อสุจิไม่ได้ค้างอยู่ในถุงยางอนามัย ฝ่ายที่ถูกสอดใส่ ถือว่าอยู่ในภาวะอันตราย

•

ถ้าเลือดหรือสารคัดหลั่งกระเด็นเข้าตา ให้ล้างด้วยนำ�่ สะอาดมากๆ อย่าขยี้ตาด้วยความรุนแรง

วิธีปฏิบัติหลังเกิดพฤติกรรมเสี่ยง

•

ถ้าเลือดหรือสารคัดหลั่งกระเด็นเข้าปาก ให้บ้วนปาก และหรือกลั้วปากและคอด้วยนำ�้สะอาดมากๆ

•

ถุงยางรั่วหรือฉีกขาด (www.PrevAIDS.org) •

ในกรณีที่ถุงยางมีรูรั่วเล็กน้อย หากส่วนปลายสุดของ องคชาติ สัมผัสกับ นำ�้จากทวารหนักเป็นระยะเวลา ไม่นานนัก ถือว่าไม่เป็นอันตรายมาก เพียงเปลี่ยนถุง ยางใหม่ และสามารถมีเพศสัมพันธ์ต่อได้ 90

หากเกิดเหตุการณ์เหล่านี้ เช่น สารคัดหลั่งจากอวัยวะเพศ เข้าสู่ร่างกายประเภท ถุงยางแตกโดยไม่รู้ตัว หรือสอดใส่ อวัยวะเพศเข้าทวารหนักโดยไม่ป้องกัน คือมีเพศสัมพันธ์ โดยไม่ได้สวมถุงยางอนามัยนั่นเอง ควรรีบมาโรงพยาบาล ที่เราสะดวก หรือมาที่คลีนิคนิรนาม (กรณีเกิดนอกเวลา ให้มาที่แผนกฉุกเฉินของโรงพยาบาล) โดยเร็วที่สุด หรือ ภายใน1-3 ชั่วโมง อย่ารอจนเกิน 72 ชั่วโมง เพื่อให้แพทย์ พิจารณาและให้คำ�แนะนำ�ว่าเราควรทำ�อย่างไรต่อไป เช่นมี การรับยาต้านแบบฉุกเฉิน (PEP) มารับประทาน เพื่อให้ยา ไปต่อสู้กับไวรัสให้เร็วที่สุด

DEGREE

91

Declare

Poppy

KIMCHI ดีกรีฉบับนี้ก็เป็นเรื่องของทางฝั่งตะวันออก เรื่องหนุ่มตี๋ๆ แถมกระแสเกาหลีฟีเว่อร์ เราเลยจะพาคุณผู้อ่านไปชิมกิมจิกันถึงเมืองโสม ว่าเริ่ดจริง อะไรจริง สมคำ�เล่าลือหรือปล่าว

พอเกริ่นถึงเรื่องหนุ่มตี๋ๆ ครูโบ๊ต ซึ่งเป็นที่ปรึษาสำ�คัญของดี กรีก็ขันอาสาจะแบ่งปันประสบการณ์ต่างๆให้เราฟัง ชนิดเอา เป็นฉากๆป้าปๆๆๆ แบบอ่านแล้วไม่ต้องสืบเลย ครูโบ๊ตเป็นติวเตอร์สอนภาษาที่มีชื่อเสียงแห่งหนึ่ง ความคัน ของครูก็เข้าขั้นอยู่ แต่ครูเป็นคนมีจรรยาบรรณสูงจึงไม่ยุ่งกับ ลูกศิษย์ลูกหา เพียงแต่ไปยุ่งกับคนใกล้ตัวลูกศิษย์ เท่านั้นเอง เป็นต้นว่า ชวนผู้ปกครอง(ชาย) มาทำ�แกงแป๊ะซะ ที่คอนโด ของครู หรือ ช่วยผู้ปกครอง(ไม่ซ�ำ ้กัน) ลองเสื้อผ้า ที่ห้างดัง แม้กระทั่งเป็นเพื่อนเล่นฟิตเนสยามบ่ายกับผู้ปกครอง (อีก1) โอยสารพัด ดูครูเอาใจใส่ในการเรียนการสอนมากกกกก สายรายงานว่าครูไม่เคยต้องซื้อแบรนเนมเองเลย ผู้ปกครอง (หลายคน) ซื้อให้ตรอดๆ เนื่องจากครูมีชายในสเป็กเป็นแบบตี๋ๆอยู่แล้ว นางจึงตระเวณ กินบุ๊ปเฟ่ติ๋มซำ�เสียหลายประเทศชนิดเล่ากันแบบเขียนพ็อก เก็ตบุ๊คได้เลย ฉบับนี้ครูจะพาไปเจาะลึก เรื่องโสมเกาหลี ก่อน เพื่อน ว่ากันว่าสมัยที่เกาหลีฟีเว่อร์มากๆในไทยครูก็ได้ชื่อใหม่ตาม เทรนเขาเหมือนกัน เป็นต้นว่า นาย บัว ชอ แช (บัวด้วยชอ ด้วยและแชค่าห้องกัน จุ๊บๆ) หรือ นาย เย เป ซอง (เยเค้า แต่ต้องเปย์ค่าห้อง แถมต้องซองค่าขนมอีกต่างหาก >_< น่า กลัว เก้งกวาง!!!) ครูได้กินโสมเกาหลีอยู่เนืองๆ เพราะไปเกาหลีบ่อยมาก นัยว่า ติดซีรีส์เกาหลีมาก แม้ว่าเรื่องเกย์ในเกาหลีเป็นเรื่องที่ปกปิด กันและเป็นเรื่องเฉพาะกลุ่มมากๆ (สังเกตุดุไม่เคยเห็นหนังสือ โป๊ หรือ ดีวีดีโป๊ เกย์ เกาหลีเลย ทั้งที่หุ่นออกจะแซ่บ) แต่ครู ซะอย่าง แต่ละครั้งที่ไปก็มีเรื่องเด็ดๆมาเล่าสู่กันฟังเสมอๆ เป็นต้นว่า

ครั้งหนึ่งครูไปเที่ยวร้านการคืนยอดฮิตในโซล แม้นว่าเป็น ร้านแบบสห แต่ด้วยความสวยของครู ที่ไหนก็ต้องได้ เดท แรกในคืนนั้น ครูหายตัวไป และกลับมาอีกทีด้วยความว่า ไป ร้านดีวีดี มา ซึ่งเกาหลีมีวัฒนธรรมที่แปลกคือจะไม่มีโรงแรม แบบม่านรูด แต่กลับมีร้านดีวีดีอยู่เกลื่อนเมือง ซึ่งในร้านดีวีดี นั้น ภายในที่เค้าเตอร์จะเป็นรูปปกหนังติดอยู่เกลื่อนเหมือน ร้านเช่าบ้านเรา แต่ที่สำ�คัญคือสามารถดูดีวีดีภายในร้านได้ เลย ซึ่งหลังจากที่เราเลือกเรื่องแล้ว ทางด้านหลังจะห้องเรียง กันเป็นตับ เมื่อเปิดเข้าไปในห้อง อย่าคิดอย่าฝันว่าจะได้เจอ กับชุดโฮมเธียเตอร์ขนาดมหึมาเสียงเซอร์ราวด์รอบทิศทาง กลับกลายเป็นทีวีจอปรกติ และเตียงนอน ขนาดใหญ่ เปิดไฟ สลัว กระจกเต็มห้อง (เพิ่งรู้ว่า เกาหลีเค้าต้องดูหนังแบบนี้) ที่ สำ�คัญ มีตู้กดถุงยางอนามัยหน้าห้อง (วี๊ดด~~ หนังกี่มิติเนี่ย เวลาดูต้องใช้ถุงยางด้วย!!!! เอ็ดวานซ์มั๊ก) หนังจากที่ครูบอก ว่าไปร้านดีวีดีมาเราก็เลยถามว่าดูหนังอะไรครู? ครูตอบแบบ ชิวๆว่า หนังสด!!!! หลังจากนั้นครูก็มีอีกหลายเดท ในร้าน ได้ ขึ้นห้องวีไอพี ต่อในลานจอดรถ นัยว่าเอาให้คุ้มแบบแฟลต ปลาทอง ครั้นครูเบื่อจากการช็อปปิง อยากคลายความปวดเมื่อย ครูก็ เลือกที่จะใช้บริการ อาบนำ�้ร้อนซึ่งมีอยู่กระจายทั่วโซล สังเกตุ ในแผนที่จะมีรูปกลมและมีรูปคล้ายๆตัว SSS ลอยอยู่ข้างบน แสดงแทนควัน เค้าเรียกกันว่า จิมจิลบัง (ขอบอกว่าเลิศมาก คลายหนาวได้จริงถ้ามาเที่ยวหน้าหนาวควรเข้าอย่างแรง) ที่ นี่ภายในก็เหมือนกับ ร้านอาบนำ�้รวมทั่วไปในประเทศแถบนี้ คือแยกชายหญิง เข้าไปภายในจะมีบริเวณเปลื่ยนชุด บริเวณ อาบนำ�้ฝักบัว บริเวณแช่นำ�้อุ่น ร้อน และ ร้อนมากกก และมี บริเวณพักผ่อนเป็นพูกเรียงกันเป็นตับๆเหมือนเข้าค่าย เจ้าที่ นอนพักเนี่ยจะปิดไฟมืดสนิท แต่ในความมืด ครูเห็นคนเดินไป เดินมา แก้ผ้ากันโทง มีเงาตะคุ่ม ของคนสั่นเป็นจังหวะ ป้าปๆ ครูเองก็ไม่แน่ใจว่าเค้าเป็นลมบ้าหมูหรือปล่าว เพราะบาง 92

คนนอนชัก!! ขอบอกว่าเกาหลีเป็นประเทศที่ไม่มียางอายพอ สมควร เพราะคนสามารถประกอบกิจกามกันในขณะที่ คน ข้างๆหลับ แถมพอโดนมองก็ไม่มีการอายทั้งสิ้นทั้งปวง ทำ�ต่อ หน้าตาเฉย อยู่ดีๆคนที่ปลายเท้าก็ลุกขึ้นมาแสดงกายกรรมให้ ครูดู พอครูพลิกไปทางขวาก็มีอีกท่า หลังคู่นี้จบ พลิกไปทาง ซ้าย พึ่งจะเริ่ม แอร๊ยๆๆๆ พอมีอะไรกันเสร็จก็นอนหลับต่อ อยู่ตรงนั้น ซักพักพอหน้าใหม่เข้ามา ฮีก็มาเดินไล่พลิกๆดูหน้า แต่ละคน ถ้าใครถูกใจก็ตรงนั้นเลย แรงๆๆๆๆ สรุปทั้งคืนครูได้ ดูหนังยาวกว่า 1001 ราตรีอีกคร่า ขอบอกว่านี่คือร้านอาบนำ�้ แบบปรกติคือไม่ใช่เฉพาะยังทำ�กันถึงขนาดนี้ แล้วถ้าเป็นแบบ เฉพาะทางล่ะจะขนาดไหน ด้วยอุดมการณ์ของสิงห์สาวนักสืบ ครูจึงไปสืบมาให้เราแม้นจะต้องยอมเอาตัวเข้าแลก สำ�หรับที่เฉพาะทางนั้นขอบอกว่า แล้วแต่วันและเวลาจริงๆ ต้องศุกร์ เสาร์ เท่านั้นจริง วันอื่นๆที่ไปอาจเจอผีอาจูม่าหลอก ขอบอกว่าเก้งกวางที่นี่ หุ่นแซ่บเว่อร์ หน้าหล่อ แบบเกาหลีฟี เว่อร์ในเมืองไทย แถมไม่เรื่องมากอีกต่างหาก แต่ที่เด็ดดวงคือ ห้องเวิร์ค ไม่มีประตูค่าาา คืออย่างที่บอกกันว่าคนที่มีเวลาเอา กันไม่มียางอายเลย เราเดินเข้านอกออกใน นางก็ไม่ชี เหมือน โลกนี้มีแค่เรา2 ที่สำ�คัญแบบ บีลิฟอิทออร์น็อต ด้วยความที่ มันมืด คนที่ไปเที่ยวเวลาอยากเห็นอะไร จะเอาโทรศัพท์มือ ถือส่องดู บางทีก็ส่องดูหนังสดคนเดียว บางทีก็ร่วมด้วยช่วย กันส่องราวกับมีมินิคอนเสิร์ต นักแสดงก็แสดงไป ฝ่ายแสงสีก็ เต็มที่ ใครใคร่แจมก็แจมกันโต้งๆแบบไม่ต้องบอกบทบอกคิว ครูขอบอกตรงๆว่าครูยอมแพ้ เพราะด้วยความเป็นกุลสตรี ไทย ครูยังพอมียางบ้าง ไม่สามารถกระทำ�การต่อสาธารณะ ชนได้ แม้จะกรำ�ศึกมาแค่ไหน ครานั้นครูเลยต้องนก กลับมา เมืองไทยครั้งนี้เห็นครูซุ่มซ้อมร้อง+เต้น เกิร์ลเจนเนอเรชั่นอยู่ ได้ความว่ากลับไปเกาหลีคราวหน้า ถ้ากำ�ลังเข้าได้เข้าเข็มกับช ออยู่เกิดมีคนเอาไฟมาส่องจะได้เต้นท่อนโซโล่เกิร์ลเจนให้มัน รู้แล้วรู้แรดไป

DEGREE

CHARMING Suppakorn Chanteapa pencil on paper 2012 8 x 12 inches

Illustrator Suppakorn Chanteapa

93