![](https://assets.isu.pub/document-structure/221012134430-f87266af61a9739f7b625abeef241884/v1/5672582f150796dd36b848e00f9de148.jpeg)
![](https://assets.isu.pub/document-structure/221012134430-f87266af61a9739f7b625abeef241884/v1/3c4f4a9227fbfe2b0433515064447f74.jpeg)
![](https://assets.isu.pub/document-structure/221012134430-f87266af61a9739f7b625abeef241884/v1/fd4f9637c816243d2a6c514d6d398eb6.jpeg)
![](https://assets.isu.pub/document-structure/221012134430-f87266af61a9739f7b625abeef241884/v1/ce4c6b3f9d6a4bac769c31077a72d5f0.jpeg)
![](https://assets.isu.pub/document-structure/221012134430-f87266af61a9739f7b625abeef241884/v1/1245be6b8fc3bc3b0d007fafeb5439e0.jpeg)
![](https://assets.isu.pub/document-structure/221012134430-f87266af61a9739f7b625abeef241884/v1/e30c1c76c3c1a8f4036ac3ceee0b00f1.jpeg)
![](https://assets.isu.pub/document-structure/221012134430-f87266af61a9739f7b625abeef241884/v1/20a616648567cc884b5c10dadaa3b663.jpeg)
![](https://assets.isu.pub/document-structure/221012134430-f87266af61a9739f7b625abeef241884/v1/977bbe40a936ef2d47ac7db29403bca8.jpeg)
![](https://assets.isu.pub/document-structure/221012134430-f87266af61a9739f7b625abeef241884/v1/e53013551a03b700a3b5f3131d453379.jpeg)
![](https://assets.isu.pub/document-structure/221012134430-f87266af61a9739f7b625abeef241884/v1/987378edfcddbb9b8b54200aa55fed1f.jpeg)
![](https://assets.isu.pub/document-structure/221012134430-f87266af61a9739f7b625abeef241884/v1/29dc1cd1735b82580b1ec9c32d1a39f5.jpeg)
![](https://assets.isu.pub/document-structure/221012134430-f87266af61a9739f7b625abeef241884/v1/72d088bf79c95248099df988637ee0b3.jpeg)
![](https://assets.isu.pub/document-structure/221012134430-f87266af61a9739f7b625abeef241884/v1/f71115417dacf06e8b9aec29840af56d.jpeg)
![](https://assets.isu.pub/document-structure/221012134430-f87266af61a9739f7b625abeef241884/v1/99a2b10b7e83f8918ac18c57fc3d8c1a.jpeg)
![](https://assets.isu.pub/document-structure/221012134430-f87266af61a9739f7b625abeef241884/v1/ec4bbdd3cb9f7b0dff411ae01418401c.jpeg)
![](https://assets.isu.pub/document-structure/221012134430-f87266af61a9739f7b625abeef241884/v1/5672582f150796dd36b848e00f9de148.jpeg)
![](https://assets.isu.pub/document-structure/221012134430-f87266af61a9739f7b625abeef241884/v1/5672582f150796dd36b848e00f9de148.jpeg)
![](https://assets.isu.pub/document-structure/221012134430-f87266af61a9739f7b625abeef241884/v1/ec4bbdd3cb9f7b0dff411ae01418401c.jpeg)
![](https://assets.isu.pub/document-structure/221012134430-f87266af61a9739f7b625abeef241884/v1/5672582f150796dd36b848e00f9de148.jpeg)
![](https://assets.isu.pub/document-structure/221012134430-f87266af61a9739f7b625abeef241884/v1/bc401fac6d5a9dd6fb4e28967ac543b7.jpeg)
![](https://assets.isu.pub/document-structure/221012134430-f87266af61a9739f7b625abeef241884/v1/8cb7edb1cb57586c38e78904f2ed8502.jpeg)
![](https://assets.isu.pub/document-structure/221012134430-f87266af61a9739f7b625abeef241884/v1/fb90612c31b329c75e9347de96897a3d.jpeg)
![](https://assets.isu.pub/document-structure/221012134430-f87266af61a9739f7b625abeef241884/v1/49ba4b6e1ce6b12f6bd44fb7a8ceaa20.jpeg)
![](https://assets.isu.pub/document-structure/221012134430-f87266af61a9739f7b625abeef241884/v1/dafd8f677aecf458453a654cf7cb5e84.jpeg)
![](https://assets.isu.pub/document-structure/221012134430-f87266af61a9739f7b625abeef241884/v1/acf9ac654f2e0cf582b550a2f007aa83.jpeg)
![](https://assets.isu.pub/document-structure/221012134430-f87266af61a9739f7b625abeef241884/v1/b908707d26e458928e49315d0a3c62ce.jpeg)
![](https://assets.isu.pub/document-structure/221012134430-f87266af61a9739f7b625abeef241884/v1/9030ca3e163a48a383ced5537f02b831.jpeg)
![](https://assets.isu.pub/document-structure/221012134430-f87266af61a9739f7b625abeef241884/v1/a543c77204e82fc2900d3c4c88d76c8a.jpeg)
![](https://assets.isu.pub/document-structure/221012134430-f87266af61a9739f7b625abeef241884/v1/ba9b8d5065d9dc32c5f1615add95871e.jpeg)
![](https://assets.isu.pub/document-structure/221012134430-f87266af61a9739f7b625abeef241884/v1/83fd7428eaa34ecce2f5329176e62150.jpeg)
![](https://assets.isu.pub/document-structure/221012134430-f87266af61a9739f7b625abeef241884/v1/6aecb58ab0ea1592bf998ba35f4e7b05.jpeg)
![](https://assets.isu.pub/document-structure/221012134430-f87266af61a9739f7b625abeef241884/v1/9f2759c1e757f631e9c178bfe549e531.jpeg)
![](https://assets.isu.pub/document-structure/221012134430-f87266af61a9739f7b625abeef241884/v1/9c2d78613c5a46abe22f9020728aa381.jpeg)
![](https://assets.isu.pub/document-structure/221012134430-f87266af61a9739f7b625abeef241884/v1/9361495c23849be33ef95ff7e828fb39.jpeg)
![](https://assets.isu.pub/document-structure/221012134430-f87266af61a9739f7b625abeef241884/v1/dc26618c0d9649d79de87058645d7174.jpeg)
![](https://assets.isu.pub/document-structure/221012134430-f87266af61a9739f7b625abeef241884/v1/a676a49e7e15d13b416f2682f5067101.jpeg)
![](https://assets.isu.pub/document-structure/221012134430-f87266af61a9739f7b625abeef241884/v1/b58791230ba1432b1af9a65503221413.jpeg)
![](https://assets.isu.pub/document-structure/221012134430-f87266af61a9739f7b625abeef241884/v1/6e6d6ed27b26a7671c40b9651733af1b.jpeg)
เรือง หน้า นกเจ้าฟาหญิงสิรินธร 1 แรด 3 กระซู่ 5 กูปรีหรือโคไพร 7 ควายป่า 9 ละองหรือละมัง 11 สมันหรือเนือสมัน 13 กวางผา 15 นกแต้วแล้วท้องดํา 17 นกกระเรียน 19 แมวลายหินอ่อน 21 สมเสร็จ 23 เก้งหม้อ 25 พะยูน 27 เลียงผา 29
![](https://assets.isu.pub/document-structure/221012134430-f87266af61a9739f7b625abeef241884/v1/d02b4458a16f908d184cc4d70c9268e1.jpeg)
1 นกเจ้าฟาหญิงสิรินธร Pseudochelidonsirintarae นกนางแอ่นทีมีลําตัวยาว ๑๕ เซนติเมตร สีโดยทัวไปมีสีดําเหลือบเขียวแกมฟ้า โคน หางมีแถบสีขาว ลักษณะเด่นได้แก่ มีวงสีขาวรอบตา ทําให้ดูมีดวงตาโปนโตออกมา จึงเรียก ว่านกตาพอง นกทีโตเต็มวัย มีแกนขนหางคู่กลางยืนยาวออกมา ๒ เส้น ลักษณะ : นกเจ้าฟ้าหญิงสิรินธร หรือ นกตาพอง ชือวิทยาศาสตร์ : Pseudochelidon sirintarae เป็นนกจับคอนหนึงในสองชนิดของสกุลนกนางแอ่นแม่นําในวงศ์นกนางแอ่น พบ บริเวณบึงบอระเพ็ดในช่วงฤดูหนาวเพียงแห่งเดียวในโลก แต่อาจสูญพันธุไปแล้วตังแต่ปี พ.ศ. 2523 อุปนิสัย : แหล่งผสมพันธุ์วางไข่ และทีอาศัยในฤดูร้อนยังไม่ทราบ ในบริเวณบึงบอระเพ็ด นก เจ้าหญิงสิรินธรจะเกาะนอน อยู่ในฝูงนกนางแอ่นชนิดอืนๆ ทีเกาะอยู่ตามใบอ้อ และใบสนุ่น ภายในบึงบอระเพ็ด บางครังก็พบอยู่ในกลุ่มนกกระจาบ และนกจาบปีกอ่อน กลุ่มนกเหล่านีมี จํานวนนับพันตัว อาหารเชือได้ว่าได้แก่แมลงทีโฉบจับได้ในอากาศ เขตแพร่กระจาย : พบเฉพาะในประเทศไทย พบในช่วงเดือนพฤศจิกายนจนถึงเดือนมีนาคม ซึงเป็น ช่วงฤดูหนาว สถานภาพ : นกชนิดนีสํารวจพบครังแรกในประเทศไทยเมือปี พ.ศ.๒๕๑๑ จังหวัดนครสวรรค์ หลังจากการค้นพบครังแรกแล้วมีรายงานพบอีก ๓ ครัง แต่มีเพียง ๖ ตัวเท่านัน นกเจ้าฟ้า หญิงสิรินธร เป็นสัตว์ป่าสงวนตามพระราชบัญญัติสงวนและคุ้มครองสัตว์ป่า พ.ศ.๒๕๓๕
![](https://assets.isu.pub/document-structure/221012134430-f87266af61a9739f7b625abeef241884/v1/eea442dced30dd0a235eb12c59064c54.jpeg)
![](https://assets.isu.pub/document-structure/221012134430-f87266af61a9739f7b625abeef241884/v1/62e92ea1017062a1469bcd85c7f3fe00.jpeg)
![](https://assets.isu.pub/document-structure/221012134430-f87266af61a9739f7b625abeef241884/v1/33d784d628d2f63a205d6cf92aebb07a.jpeg)
2 สาเหตุของการใกล้จะสูญพันธุ์ : นกเจ้าฟ้าหญิงสิรินธร เป็นนกทีสําคัญอย่างยิงในด้านการศึกษาความสัมพันธ์ของนก นางแอ่น เพราะนกชนิดทีมีความสัมพันธ์กับนกเจ้าฟ้าหญิงสิรินธรมากทีสุด คือนกนางแอ่น คองโก (Pseudochelidon euristomina ) ทีพบตามลําธารในประเทศซาอีร์ ในตอน กลางของแอฟริกาตะวันตก แหล่งทีพบนกทัง ๒ ชนิดนีห่างจากกันถึง ๑๐,๐๐๐ กิโลเมตร ประชากรในธรรมชาติของนกเจ้าฟ้าหญิงสิรินธรเชือว่ามีอยู่น้อยมาก เพราะเป็นนกชนิดที โบราณทีหลงเหลืออยู่ในปัจจุบัน แต่ละปีในฤดูหนาวจะถูกจับไปพร้อมๆกับนกนางแอ่นชนิด อืน นอกจากนีทีพักนอนในฤดูหนาว คือ ดงอ้อ และพืชนําอืนๆทีถูกทําลายไปโดยการทําการ ประมง การเปลียนหนองบึงเป็นนาข้าว และการควบคุมระดับนําในบึงเพือการพัฒนาหลาย รูปแบบ สิงเหล่านีก่อให้เกิดผลเสียต่อการคงอยู่ของพืชนํา และต่อนกเจ้าฟ้าหญิงสิรินธรมาก
![](https://assets.isu.pub/document-structure/221012134430-f87266af61a9739f7b625abeef241884/v1/cd59ad617defac23118ce35f04549cd4.jpeg)
![](https://assets.isu.pub/document-structure/221012134430-f87266af61a9739f7b625abeef241884/v1/2425c242de34e8c23369326426892c0f.jpeg)
3 แรด Rhinocerossondaicus แรดจัดเป็นสัตว์จําพวกมีกีบ คือมีเล็บ ๓ เล็บทังเท้าหน้าและเท้าหลัง ตัวโตเต็มวัยมี ความสูงทีไหล่ ๑.๖-๑.๘ เมตร นําหนักตัว ๑,๕๐๐-๒,๐๐๐ กิโลกรัม แรดมีหนังหนาและมีขน แข็งขึนห่างๆ สีพืนเป็นสีเทาออกดํา ส่วนหลังมีส่วนพับของหนัง ๓ รอย บริเวณหัวไหล่ด้าน หลังของขาคู่หน้า และด้านหน้าของขาคู่หลัง แรดตัวผู้มีนอเดียวยาวไม่เกิน ๒๕ เซนติเมตร ส่วนตัวเมียจะเห็นเป็นเพียงปุ่มนูนขึนมา ลักษณะ : แรดเป็นสัตว์โบราณทีอาศัยอยู่บนโลกหลายพันปีมาแล้ว เห็นได้จากภาพวาดฝูงแรดใน ผนังถํา Chauvet cave ประเทศฝรังเศส เมือ 30,000-32,000 ปีก่อน แรดเคยมีอยู่เกือบ 100 ชนิด แต่ปัจจุบันเหลือเพียง 5 ชนิดคือ แรดขาว (white rhinoceros) แรดดํา (black rhinoceros) แรดอินเดีย (Indian rhinoceros) แรดชวา (Javan rhinoceros) และ กระซู่หรือแรดสุมาตรา (Sumatran rhinoceros) โดยแรด 2 ชนิดแรกอาศัยอยู่ในแอฟริกา และอีก 3 ชนิดหลังอาศัยอยู่ในเอเชียใต้ และเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ อุปนิสัย : ในอดีตเคยพบแรดหากินร่วมเป็นฝูง แต่ในปัจจุบันแรดหากินตัวเดียวโดดๆ หรืออยู่ เป็นคู่ในฤดูผสมพันธุ อาหารของแรดได้แก่ ยอดไม้ ใบไม้ กิงไม้ และผลไม้ทีร่วงหล่นบนพืน ดิน แรดไม่มีฤดูผสมพันธุ์ทีแน่นอน จึงสามารถผสมพันธุ์ได้ตลอดปี ตกลูกครังละ ๑ ตัว ตัง ท่องนานประมาณ ๑๖ เดือน เขตแพร่กระจาย : แรดมีเขตกระจายตังแต่ประเทศบังคลาเทศ พม่า ไทย ลาว เขมร เวียดนาม ลงไปทาง แหลมมลายู สุมาตรา และชวา ปัจจุบันพบน้อยมากจนกล่าวได้ว่า เกือบจะหมดไปจากผืน แผ่นดินใหญ่ของทวีปเอเชียแล้ว เชือว่ายังอาจจะมีคงเหลืออยู่บ้างทางเทือกเขาตะนาวศรี และ ในป่าลึกตามแนวรอยต่อจังหวัดระนอง พังงา และสุราษฎร์ธานี สถานภาพ : ปัจจุบันแรดจัดเป็นสัตว์ป่าสงวนชนิดหนึงใน ๑๕ ชนิดของประเทศไทย และจัดอยู่ใน Appendix 1ของอนุสัญญา CITES ทังยังเป็นสัตว์ป่าทีใกล้จะสูญพันธุ์ตาม U.S.Endanger Species
![](https://assets.isu.pub/document-structure/221012134430-f87266af61a9739f7b625abeef241884/v1/93ee55657e39a4a1e0f9212b9e00ff3f.jpeg)
4 สาเหตุของการใกล้จะสูญพันธุ์ : เช่นเดียวกับแรดทีพบบริเวณอืนๆ ทีพบในประเทศไทยถูกล่าและทําลายอย่างหนัก เพือต้องการนอหรือส่วนอืนๆ เช่น กระดูก เลือด ฯลฯ ซึงมีคุณค่าสูงยิง เพือใช้ในการบํารุง และยาอืนๆ นอกจากนีบริเวณป่าทีราบทีแรดชอบอาศัยอยู่ก็หมดไป กลายเป็นบ้านเรือนและ เกษตรกรรมจนหมด
![](https://assets.isu.pub/document-structure/221012134430-f87266af61a9739f7b625abeef241884/v1/6ec5045559541caeb4687a9d96e2ba71.jpeg)
![](https://assets.isu.pub/document-structure/221012134430-f87266af61a9739f7b625abeef241884/v1/ae15b41b47cfe1d855d086b5f1d8cca0.jpeg)
![](https://assets.isu.pub/document-structure/221012134430-f87266af61a9739f7b625abeef241884/v1/633955fd74613953c3c1b52c5a2811bc.jpeg)
![](https://assets.isu.pub/document-structure/221012134430-f87266af61a9739f7b625abeef241884/v1/2cd4adfa6c9365f4a34a67bc3eac971a.jpeg)
![](https://assets.isu.pub/document-structure/221012134430-f87266af61a9739f7b625abeef241884/v1/29f0ede5998b41f7e84bf154f11668c5.jpeg)
![](https://assets.isu.pub/document-structure/221012134430-f87266af61a9739f7b625abeef241884/v1/29f0ede5998b41f7e84bf154f11668c5.jpeg)
5 กระซู่ Dicerorhinussumatrensis กระซู่เป็นสัตว์จําพวกเดียวกับแรด แต่มีลักษณะลําตัวเล็กกว่า ตัวโตเต็มวัยมีความสูง ทีไหล่ ๑-๑.๕ เมตร นําหนักประมาณ ๑,๐๐๐ กิโลกรัม มีหนังหนาและมีขนขึนปกคลุมทังตัว โดยเฉพาะในตัวทีมีอายุน้อย ซึงขนจะลดน้อยลงเมือมีอายุมากขึน สีลําตัวโดยทัวไปออกเป็นสี เทา คล้ายสีขีเถ้า ด้านหลังลําตัว จะปรากฏรอยพับของหนังเพียงพับเดียว ตรงบริเวณด้านหลัง ของขาคู่หน้า กระซู่ทังสองเพศมีนอ ๒ นอ นอหน้ามีความยาวประมาณ ๒๕ เซนติเมตร ส่วน นอหลังมีความยาวไม่เกิน ๑๐ เซนติเมตร หรือเป็นเพียงตุ่มนูนขึนมาในตัวเมีย ลักษณะ : กระซู่มีสองชนิดย่อยคือ กระซู่ตะวันตก (Dicerorhinus sumatrensis sumatrensis) พบในเกาะสุมาตรา อินโดจีน และคาบสมุทรมลายู และ กระซู่ตะวันออก (Dicerorhinus sumatrensis harrissoni) อาศัยอยู่ในเกาะบอร์เนียว ก่อนหน้านีเคยมีอีกชนิดย่อย หนึงคือ (Dicerorhinus sumatrensis lasiotus) พบในอินเดีย บังกลาเทศ และพม่า แต่ ปัจจุบันคาดว่าสูญพันธุ์ไปหมดแล้ว แม้จะยังมีความหวังว่าอาจยังมีเหลืออยู่ในพม่าก็ตาม อุปนิสัย : กระซู่ปีนเขาได้เก่ง มีประสาทรับกลินดีมาก ออกหากินในเวลากลางคืน อาหาร ได้แก่ พวกใบไม้ และผลไม้ป่าบางชนิด ปกติกระซู่จะใช้ชีวิตอยู่อย่างโดดเดียว ยกเว้นในฤดูผสม พันธุ หรือตัวเมียเลียงลูกอ่อน ตกลูกครังละ ๑ ตัว มีระยะตังท้อง ๗-๘ เดือน ในทีเลียงกระซู่ มีอายุยืน ๓๒ ปี เขตแพร่กระจาย : กระซู่มีเขตแพร่กระจายตังแต่แคว้นอัสสัมในประเทศอินเดีย บังคลาเทศ พม่า ไทย เวียดนาม มลายู สุมาตรา และบอเนียว ในประเทศไทยมีรายงานว่าพบกระซู่อยู่ในเขตรักษา พันธุ์สัตว์ป่าหลายแห่งได้แก่ ภูเขียว จังหวัดชัยภูมิ เขาสอยดาว จังหวัดจันทบุรี ห้วยขาแข้ง จังหวัดอุทัยธานี ทุ่งใหญ่นเรศวร จังหวัดกาญจนบุรี และคลองแสง จังหวัดสุราษฏร์ธานี และ ในบริเวณอุทยานแห่งชาติหลายแห่ง ได้แก่ แก่งกระจาน จังหวัดเพชรบุรี และเขือนบางลาง จังหวัดยะลา และบริเวณป่ารอยต่อระหว่างประเทศกับมาเลเซีย สถานภาพ : ปัจจุบันกระซู่จัดเป็นสัตว์ป่าสงวนชนิดหนึงใน ๑๕ ชนิดของประเทศไทย อนุสัญญา CITES จัดไว้ในAppendix I และ U.S. Endanger Species Act จัดไว้ในพวกทีใกล้จะ สูญพันธุ
![](https://assets.isu.pub/document-structure/221012134430-f87266af61a9739f7b625abeef241884/v1/7b1ed3355353f112e94192d91a4e7b34.jpeg)
![](https://assets.isu.pub/document-structure/221012134430-f87266af61a9739f7b625abeef241884/v1/3e2574dbe6f3e00d2bfb6d904f877630.jpeg)
![](https://assets.isu.pub/document-structure/221012134430-f87266af61a9739f7b625abeef241884/v1/ad3c74aee10620bb0f17359c0b0325fa.jpeg)
6 สาเหตุของการใกล้จะสูญพันธุ์ : กระซู่ปัจจุบันใกล้จะสูญพันธุ์ไปจากโลก เนืองจากถูกล่าเพือเอานอ และอวัยวะทุกส่วน ของตัว ซึงมีฤทธิในทางเป็นยา กระซู่จึงถูกล่าอยู่เนืองๆ ประกอบกับกระซู่มีอยู่ในธรรมชาติ น้อย และประชากรแต่ละกลุ่มและแม้แต่กลุ่มเดียวกันก็อยู่ห่างกันมากไม่มีโอกาสจับคู่ขยาย พันธุได้
![](https://assets.isu.pub/document-structure/221012134430-f87266af61a9739f7b625abeef241884/v1/c6fa0035bdc8c73da224bcba07985bd4.jpeg)
![](https://assets.isu.pub/document-structure/221012134430-f87266af61a9739f7b625abeef241884/v1/50407d69cf9cc3308d4f49d8ed38f62a.jpeg)
7 กูปรีหรือโคไพร Bossauveli กูปรีเป็นสัตว์ป่าชนิดหนึง เช่นเดียวกับ กระทิงและวัวแดง เมือโตเต็มทีมีความสูงที ไหล่ ๑.๗-๑.๙ เมตร นําหนัก ๗๐๐-๙๐๐ กิโลกรัม ตัวผู้มีขนาดลําตัวใหญ่กว่าตัวเมียมาก สี โดยทัวไปเป็นสีเทาเข้มเกือบดํา ขาทัง ๔ มีถุงเท้าสีขาวเช่นเดียวกับกระทิง ในตัวผู้ทีมีอายุ มาก จะมีเหนียงใต้คอยาวห้อยลงมาจนเกือบจะถึงดิน เขากูปรีตัวผู้กับตัวเมียจะแตกต่างกัน โดยเขาตัวผู้จะโค้งเป็นวงกว้าง แล้วตีวงโค้งไปข้างหน้า ปลายเขาแตกออกเป็นพู่คล้ายเส้น ไม้กวาดแข็ง ตัวเมียมีเขาตีวงแคบแล้วม้วนขึนด้านบน ไม่มีพู่ทีปลายเขา ลักษณะ : อุปนิสัย : อยู่รวมกันเป็นฝูง ๒-๒๐ ตัว กินหญ้า ใบไม้ดินโป่งเป็นครังคราว ผสมพันธุ์ในราว เดือนเมษายน ตังท้องนาน ๙ เดือน จะพบออกลูกอ่อนประมาณเดือนธันวาคมและมกราคม ตกลูกครังละ ๑ ตัว เขตแพร่กระจาย : กูปรีมีเขตแพร่กระจายอยู่ในไทย เวียดนาม ลาว และกัมพูชา สถานภาพ : ประเทศไทยมีรายงานว่าพบกูปรีอยู่ตามแนวเทือกเขาชายแดนไทย-กัมพูชา และลาว เมือปี พ.ศ.๒๕๒๕ มีรายงานพบกูปรีในบริเวณเทือกเขาพนมดงรัก กูปรีจัดเป็นสัตว์ป่าสงวน ชนิดหนึงใน ๑๕ ชนิดของประเทศไทย และอยู่ใน Appendix I ตามอนุสัญญา CITES
![](https://assets.isu.pub/document-structure/221012134430-f87266af61a9739f7b625abeef241884/v1/0002a1f96276a6857babdd5c33371a1a.jpeg)
8 สาเหตุของการใกล้จะสูญพันธุ์ : ปัจจุบันกูปรีเป็นสัตว์ป่าทีหายากกําลังใกล้จะสูญพันธุหมดไปจากโลก เนืองจากการถูก ล่าเป็นอาหารและสภาวะสงครามในแถบอินโดจีน ซึงเป็นแหล่งอาศัยเฉพาะกูปรี ทําให้ยาก ในการอยู่ร่วมกันในการอนุรักษ์กูปรี
![](https://assets.isu.pub/document-structure/221012134430-f87266af61a9739f7b625abeef241884/v1/b8e749a7791918ae006b448018292256.jpeg)
9 ควายป่า Bubalusbubalis ควายป่าเป็นสัตว์ชนิดเดียวกับ ควายบ้าน แต่มีลําตัวขนาดลําตัวใหญ่กว่า มีนิสัยว่องไว และดุร้ายกว่าควายบ้านมาก ตัวโตเต็มวัยมีความสูงทีไหล่เกือบ ๒ เมตร นําหนักมากกว่า ๑,๐๐๐ กิโลกรัม สีลําตัวโดยทัวไปเป็นสีเทา หรือสีนําตาลดํา ขาทัง ๔ สีขาวแก่ หรือสีเทา คล้ายใส่ถุงเท้าสีขาว ด้านล่างของลําตัวเป็นลายสีขาวรูปตัววี (V ) ควายป่ามีเขาทัง ๒เพศ เขามีขนาดใหญ่กว่าควายเลียง วงเขากางออกกว้างโค้งไปทางด้านหลัง ด้านตัดขวางเป็นรูป สามเหลียม ปลายเขาเรียวแหลม ลักษณะ : ควายป่า หรือ มหิงสา เป็นสัตว์ป่าตัวใหญ่และปราดเปรียวทีเราค่อนข้างจะพบเห็นได้ ยาก ครังหนึงเคยเชือกันว่า ‘ควายป่า’ ได้หมดไปแล้วจากเมืองไทย อุปนิสัย : ควายป่าชอบออกหากินในเวลาเช้า และเวลาเย็น อาหารได้แก่ พวกใบไม้ หญ้า และ หน่อไม้ หลังจากกินอาหารอิมแล้ว ควายป่าจะนอนเคียวเอืองตามพุ่มไม้ หรือนอนแช่ปรัก โคลนตอนช่วงกลางวัน ควายป่าจะอยู่ร่วมกันเป็นฝูง ฤดูผสมพันธุอยู่ราวๆ เดือนตุลาคมและ พฤศจิกายน ตกลูกครังละ ๑ ตัว ตังท้องนาน ๑๐ เดือน เท่าทีทราบควายป่ามีอายุยืน ๒๐-๒๕ ปี เขตแพร่กระจาย : ควายป่ามีเขตแพร่กระจายจากประเทศเนปาลและอินเดีย ไปสินสุดทางด้านทิศตะวัน ออกทีประเทศเวียดนาม ในประเทศไทยปัจจุบันมีควายป่าเหลืออยู่บริเวณเขตรักษาพันธุ์สัตว์ ป่าห้วยขาแข้ง จังหวัดอุทัยธานี สถานภาพ : ปัจจุบันควายป่าทีเหลืออยู่ในประเทศไทยมีจํานวนน้อยมาก จนน่ากลัวว่าอีกไม่นาน จะหมดไปจากประเทศ ควายป่าจัดเป็นสัตว์ป่าสงวนชนิดหนึงใน ๑๕ ชนิดของประเทศไทย และอนุสัญญา CITES จัดควายป่าไว้ใน Appendix III
10 สาเหตุของการใกล้จะสูญพันธุ์ : เนืองจากการถูกล่าเพือเอาเนือและเอาเขาทีสวยงาม และการสูญเชือพันธุ เนืองจากไป ผสมกับควายบ้าน ทีมีผู้เอาไปเลียงปล่อยเป็นควายปละในป่า ในกรณีหลังนีบางครังควายป่า จะติดโรคต่างๆ จากควายบ้าน ทําให้จํานวนลดลงมากยิงขึน
ออกหากิน ใบหญ้า ใบไม้ และผลไม้ทังเวลากลางวันและกลางคืน แต่เวลาแดดจัดจะเข้าหลบพักในทีร่ม
![](https://assets.isu.pub/document-structure/221012134430-f87266af61a9739f7b625abeef241884/v1/245a5c8834a6f4180136408ea7cb8c22.jpeg)
![](https://assets.isu.pub/document-structure/221012134430-f87266af61a9739f7b625abeef241884/v1/5a6230bfc0c54aa504672e2b052f408b.jpeg)
11 ละองหรือละมัง Cervuseldi เป็นกวางทีมีขนาดโตกว่าเนือทราย แต่เล็กกว่ากวางป่า เมือโตเต็มวัยมีความสูงทีไหล่ ๑.๒-๑.๓ เมตร นําหนัก ๑๐๐-๑๕๐ กิโลกรัม ขนตามตัวทัวไปมีสีนําตาลแดง ตัวอายุน้อยจะมี จุดสีขาวตามตัว ซึงจะเลือนกลายเป็นจุดจางๆ เมือโตเต็มทีในตัวเมีย แต่จุดขาวเหล่านีจะหาย ไปจนหมด ในตัวผู้ตัวผู้จะมีขนทีบริเวณคอยาว และมีเขาและเขาของละอง จะมีลักษณะต่าง จากเขากวางชนิดอืนๆ ในประเทศไทย ซึงทีกิงรับหมาทียืนออกมาทางด้านหน้า จะทํามุม โค่งต่อไปทางด้านหลัง และลําเขาไม่ทํามุมหักเช่นทีพบในกวางชนิดอืนๆ ลักษณะ : ละองและละมังเป็นสัตว์ชนิดเดียวกัน ละอง คือตัวผู้ ละมังคือตัวเมีย บางครังชาวบ้านก็ เรียกทังตัวผู้และตัวเมียว่าละมัง อุปนิสัย : ชอบอยู่รวมกันเป็นฝูงเล็ก ตัวผู้ทีโตเต็มวัยจะเข้าฝูงเมือถึงฤดูผสมพันธุ
ละอง ละมังผสมพันธุ์ในเดือนกุมภาพันธ์จนถึงเดือนเมษายน ตังท้องนาน ๘ เดือน ออกลูก ครังละ ๑ ตัว เขตแพร่กระจาย : ละองแพร่กระจายในประเทศอินเดีย พม่า ไทย ลาว กัมพูชา เวียดนาม และเกาะ ไหหลํา ในประเทศไทยอาศัยอยู่ในบริเวณเหนือจากคอคอดกระขึนมา สถานภาพ : มีรายงานพบเพียง ๓ ตัว ทีเขตรักษาพันธุสัตว์ป่าห้วยขาแข้ง จังหวัดอุทัยธานี ละอง ละมังจัดเป็นป่าสงวนชนิดหนึงใน ๑๕ ชนิดของประเทศไทย และอนุสัญญา CITES จัดอยู่ ใน Appendix
![](https://assets.isu.pub/document-structure/221012134430-f87266af61a9739f7b625abeef241884/v1/40d009f96f5990dafe0310483dbb4254.jpeg)
![](https://assets.isu.pub/document-structure/221012134430-f87266af61a9739f7b625abeef241884/v1/d2ce83b35f2aebb9b54061d22bb8c2f6.jpeg)
![](https://assets.isu.pub/document-structure/221012134430-f87266af61a9739f7b625abeef241884/v1/7a5499b8ff1edc4f09d2e6de6cc5ea6f.jpeg)
![](https://assets.isu.pub/document-structure/221012134430-f87266af61a9739f7b625abeef241884/v1/836b61c3bbbaef6bfccceaf8ea079ff3.jpeg)
12 สาเหตุของการใกล้จะสูญพันธุ์ : ปัจจุบัน ละอง ละมังกําลังใกล้จะสูญพันธุ์หมดไปจากประเทศไทย เนืองจากสภาพป่า โปร่ง ซึงเป็นทีอยู่อาศัยถูกบุกรุกทําลายเป็นไร่นา และทีอยู่อาศัยของมนุษย์ ทังยังถูกล่าอย่าง หนักนับตังแต่หลังสงครามโลกครังทีสองเป็นต้นมา
![](https://assets.isu.pub/document-structure/221012134430-f87266af61a9739f7b625abeef241884/v1/1a2011b2bd7daee0aba26f5be7434567.jpeg)
13 สมันหรือเนือสมัน Cervusschomburki เนือสมันเป็นกวางชนิดหนึงทีเขาสวยงามทีสุด ในประเทศไทย เมือโตเต็มวัยจะมีความ สูงทีไหล่ประมาณ ๑ เมตร สีขนบนลําตัวมีสีนําตาลเข้มและเรียบเป็นมัน หางค่อนข้างสัน และ มีสีขางทางตอนล่างสมันมีเขาเฉพาะตัวผู้ ลักษณะเขาของสมันมีขนาดใหญ่ และแตกกิงก้าน ออกหลายแขนง ดูคล้ายสุ่มหรือตะกร้า สมันจึงมีชือเรียกอีกอย่างหนึงว่า กวางเขาสุ่ม ลักษณะ : สมันเป็นสัตว์สัญชาติไทยโดยแท้จริง เพราะพบได้ในประเทศไทยเพียงแห่งเดียว เท่านัน กระจายพันธุอยู่ตามทีราบลุ่มแม่นําเจ้าพระยา ตังแต่สมุทรปราการขึนไปจนถึง สุโขทัย ตะวันออกสุดถึงจังหวัดนครนายกและฉะเชิงเทรา ทางตะวันตกพบถึงสุพรรณบุรีและ กาญจนบุรี อุปนิสัย : ชอบอยู่รวมกันเป็นฝูงเล็กๆ โดยเฉพาะในฤดูผสมพันธุ หลังจากหมดฤดูผสมพันธุ และ ตัวผู้จะแยกตัวออกมาอยู่โดดเดียว สมันชอบกินหญ้าโดยเฉพาะหญ้าอ่อน ผลไม้ ยอดไม้ และ ใบไม้หลายชนิด เขตแพร่กระจาย : สมันเป็นสัตว์ชนิดทีมีเขตแพร่กระจายจํากัด อยู่ในบริเวณทีราบภาคกลางของประเทศ เท่านัน สมัยก่อนมีชุกชุมมากในทีราบลุ่มแม่นําเจ้าพระยา บริเวณจังหวัดรอบกรุงเทพฯ เช่น นครนายก ปทุมธานี และปราจีนบุรี และแม้แต่บริเวณพืนทีรอบนอกของกรุงเทพฯ เช่น บริเวณพญาไท บางเขน รังสิต ฯลฯ สถานภาพ : สมันได้สูญพันธุไปจากโลกและจากประเทศไทยเมือเกือบ ๖๐ ปีทีแล้ว สมันยังจัด เป็นป่าสงวนชนิดหนึงใน ๑๕ ชนิดของประเทศไทยโดยมีวัตถุประสงค์เพือควบคุมซาก โดย เฉพาะอย่างยิงเขาของสมันไม่ให้มีการส่งออกนอกราชอาณาจักร
![](https://assets.isu.pub/document-structure/221012134430-f87266af61a9739f7b625abeef241884/v1/46402cbedec35b8707a3f841c664ac97.jpeg)
14 สาเหตุของการใกล้จะสูญพันธุ์ : เนืองจากแหล่งทีอยู่อาศัยได้ถูกเปลียนเป็นนาข้าวเกือบทังหมด และสมันทีเหลืออยู่ตาม ทีห่างไกลจะถูกล่าอย่างหนักในฤดูนําหลากท่วมท้องทุ่ง ในเวลานันสมันจะหนีนําขึนไปอยู่ รวมกันบนทีดอนทําให้พวกพรานล้อมไล่ฆ่าอย่างง่ายดาย
![](https://assets.isu.pub/document-structure/221012134430-f87266af61a9739f7b625abeef241884/v1/56abe402c4467bd2ba9a578c43d0347e.jpeg)
15 กวางผา Naemorhedusgriseus กวางผาเป็นสัตว์จําพวก แพะแกะเช่นเดียวกับเลียงผา แต่มีขนาดเล็กกว่า เมือโต เต็มทีมีความสูงทีไหล่มากกว่า ๕๐ เซนติเมตร เพียงเล็กน้อย และมีนําหนักตัวประมาณ ๓๐ กิโลกรัม ขนบนลําตัวสีนําตาล หรือสีนําตาลปนเทา มีแนวสีดําตามสันหลงไปจนจดหาง ด้าน ใต้ท้องสีจางกว่าด้านหลัง หางสันสีดํา เขาสีดํามีลักษณะเป็นวงแหวนรอบโคนเขา และปลาย เรียวโค้งไปทางด้านหลัง ลักษณะ : กวางผา ทีพบในประเทศไทย มีสถานะเป็นสัตว์ป่าสงวน หากมองผิวเผินอาจคิดว่า เป็นเลียงผา เพราะลักษณะโดยทัวไปมีความคล้ายคลึงกัน และมีถินทีอยู่อาศัยทับซ้อนกัน แต่ กวางผานันมีขนาดเล็กกว่า อุปนิสัย : ออกหากินตามทีโล่งในตอนเย็น และตอนเช้ามืด หลับพักนอนตามพุ่มไม้ และชะง่อน หินในเวลากลางคืน อาหาร ได้แก่ พืชทีขึนตามสันเขาและหน้าผาหิน เช่น หญ้า ใบไม้ กิงไม้ และลูกไม้เปลือกแข็งจําพวกลูกก่อ กวางผาอยู่รวมกันเป็นฝูงๆละ ๔-๑๒ ตัว ผสมพันธุ์ในราว เดือนพฤศจิกายน และธันวาคม ออกลูกครอกละ ๑-๒ ตัว ตังท้องนาน ๖ เดือน เขตแพร่กระจาย : กวางผามีเขตแพร่กระจายตังแต่แคว้นแพร่กระจาย ตังแต่แคว้นแคชเมียร์ลงมาจนถึง แคว้นอัสสัม จีนตอนใต้ พม่าและตอนเหนือของประเทศไทย ในประเทศไทยมีรายงานพบ กวางผาตามภูเขาทีสูงชันในหลายบริเวณ เช่น ดอยม่อนจอง เขตรักษาพันธุสัตว์ป่าอมก๋อย ดอยเลียม ดอยมือกาโด จังหวัดเชียงใหม่ และบริเวณสองฝังลํานําปิงในอุทยานแห่งชาติแม่ปิง จังหวัดตาก สถานภาพ : กวางผาจัดเป็นสัตว์ป่าสงวนชนิดหนึงใน ๑๕ ชนิดของประเทศไทยและอนุสัญญา CITES จัดไว้ในAppendix I
16 สาเหตุของการใกล้จะสูญพันธุ์ : เนืองจากการบุกรุกถางป่าทีทําไร่เลือนลอยของชาวเขาในระยะเริมแรกและชาวบ้าน ในระยะหลัง ทําให้ทีอาศัยของกวางผาลดน้อยลง เหลืออยู่เพียงตามยอดเขาทีสูงชัน ประกอบ กับการล่ากวางผาเพือเอานํามันมาใช้ในการสมานกระดูกทีหักเช่นเดียวกับเลียงผา จํานวน กวางผาในธรรมชาติจึงลดลงเหลืออยู่น้อยมาก
![](https://assets.isu.pub/document-structure/221012134430-f87266af61a9739f7b625abeef241884/v1/560ce4ade6c3a00c7e6695f0fa0350b5.jpeg)
![](https://assets.isu.pub/document-structure/221012134430-f87266af61a9739f7b625abeef241884/v1/ad089cddc05418b3652a161326f2f38f.jpeg)
17 นกแต้วแล้วท้องดํา Pittagurneyi เป็นนกขนาดเล็ก ลําตัวยาว ๒๑ เซนติเมตร จัดเป็นนกทีมีความสวยงามมาก นกตัวผู้ มีส่วนหัวสีดํา ท้ายทอยมีสีฟ้าประกายสดใส ด้านหลังสีนําตาลติดกับอกตอนล่าง และตอนใต้ ท้องทีมีดําสนิท นกตัวเมียมีสีสดใสน้อยกว่า โดยทัวไปสีลําตัวออกนําตาลเหลือง ไม่มีแถบดํา บนหน้าอกและใต้ท้อง นกอายุน้อยมีหัว และคอสีนําตาลเหลือง ส่วนอกใต้ท้องสีนําตาล ทัวตัว มีลายเกล็ดสีดํา ลักษณะ : อุปนิสัย : นกแต้วแล้วท้องดําทํารังเป็นซุ้มทรงกลม ด้วยแขนงไม้และใบไผ่ วางอยู่บนพืนดิน หรือในกอระกํา วางไข่ ๓-๔ ฟอง ทังพ่อนกและแม่นก ช่วยกันกกไข่และหาอาหารมาเลียงลูก อาหารได้แก่หนอนด้วง ปลวก จิงหรีดขนาดเล็ก และแมลงอืนๆ เขตแพร่กระจาย : พบตังแต่ตอนใต้ของประเทศพม่า ลงมาจนถึงเขตรอยต่อระหว่างประเทศไทย กับ ประเทศมาเลเซีย สถานภาพ : เคยพบชุกชุมในระยะเมือ ๘๐ ปีก่อน แต่ไม่มีรายงานทางวิทยาศาสตร์เลยตังแต่ปี พ.ศ.๒๔๙๕ จนมีรายงานพบครังล่าสุดเมือเดือนมิถุนายน พ.ศ.๒๕๓๑ นกแต้วแล้วท้องดํา ได้รับการจัดให้เป็นสัตว์ชนิดทีหายากชนิดหนึง ในสิบสองชนิดทีหายากของโลก
18 สาเหตุของการใกล้จะสูญพันธุ์ : นกชนิดนี จัดเป็นสัตว์ทีอาศัยอยู่เฉพาะในป่าดงดิบตํา ซึงกําลังถูกตัดฟันอย่างหนัก และสภาพทีอยู่เช่นนีมีน้อยมากในบริเวณเขตคุ้มครองในภาคใต้ นอกจากนี เนืองจากเป็นนก ทีหายากเป็นทีต้องการของตลาดนกเลียง จึงมีราคาแพง อันเป็นแรงกระตุ้นให้นกแต้วแล้ว ท้องดําถูกล่ามากยิงขึน
![](https://assets.isu.pub/document-structure/221012134430-f87266af61a9739f7b625abeef241884/v1/4f6ef20f92172a4929f9d9984767a6dd.jpeg)
![](https://assets.isu.pub/document-structure/221012134430-f87266af61a9739f7b625abeef241884/v1/0ac62ec89c2994805dd32d062649b4bf.jpeg)
![](https://assets.isu.pub/document-structure/221012134430-f87266af61a9739f7b625abeef241884/v1/115175b8664264b152568b8742e2d581.jpeg)
![](https://assets.isu.pub/document-structure/221012134430-f87266af61a9739f7b625abeef241884/v1/c36eb732e2bc85e58ad2896b54b747ab.jpeg)
![](https://assets.isu.pub/document-structure/221012134430-f87266af61a9739f7b625abeef241884/v1/03ed1e81940805083e9b0e30062d27c5.jpeg)
![](https://assets.isu.pub/document-structure/221012134430-f87266af61a9739f7b625abeef241884/v1/a4c3870dd115ad3d69e30b2fe63f92ec.jpeg)
![](https://assets.isu.pub/document-structure/221012134430-f87266af61a9739f7b625abeef241884/v1/03ed1e81940805083e9b0e30062d27c5.jpeg)
![](https://assets.isu.pub/document-structure/221012134430-f87266af61a9739f7b625abeef241884/v1/a4c3870dd115ad3d69e30b2fe63f92ec.jpeg)
![](https://assets.isu.pub/document-structure/221012134430-f87266af61a9739f7b625abeef241884/v1/f9f68639ad820a4e041538bd2f2dcf44.jpeg)
![](https://assets.isu.pub/document-structure/221012134430-f87266af61a9739f7b625abeef241884/v1/3f69d00d9346cc7c77d87ff42f1d2ad4.jpeg)
![](https://assets.isu.pub/document-structure/221012134430-f87266af61a9739f7b625abeef241884/v1/0ac62ec89c2994805dd32d062649b4bf.jpeg)
![](https://assets.isu.pub/document-structure/221012134430-f87266af61a9739f7b625abeef241884/v1/b7e21531186a05862ec9faaef9e73e14.jpeg)
19 นกกระเรียน Grusantigone เป็นนกขนาดใหญ่เมือยืนมีขนาดสูงราว ๑๕๐ เซนติเมตร ส่วนหัวและคอไม่มีขน ปกคลุม มีลักษณะเป็นปุ่มหยาบสีแดง ยกเว้นบริเวณกระหม่อมสีเขียวอมเทา ในฤดูผสมพันธุ มีสีแดงส้มสดขึนกว่าเดิม ขนลําตัวสีเทาจนถึงสีเทาแกมฟ้า มีกระจุกขนสีขาวห้อยคลุมส่วน หาง จะงอยปากสีออกเขียว แข้งและเท้าสีแดงหรือสีชมพูอมฟ้า นกอายุน้อยมีขนสีนําตาลทัว ตัว บนส่วนหัวและลําคอมีขนสีนําตาลเหลืองปกคลุม ในประเทศไทยเป็นนกกระเรียนชนิด ย่อย Sharpii ซึงไม่มีวงแหวนสีขาวรอบลําคอ ลักษณะ : หลายคนอาจไม่เคยรู้มาก่อนเลยว่า นกกระเรียนพันธุไทยเคยสูญพันธุไปจากธรรมชาติ ของไทยไปแล้ว แต่ด้วยความพยายามของนักอนุรักษ์ ทําให้พวกเขาได้กลับมาโบยบินกลาง ทุ่งอีกครัง อุปนิสัย : ออกหากินเป็นคู่และเป็นกลุ่มครอบครัว กินพวกสัตว์ เช่น แมลง สัตว์เลือยคลาน กบ เขียด หอย ปลา กุ้งและพวกพืช เมล็ดข้าวและยอดหญ้าอ่อน ทํารังวางไข่ในฤดูฝนราวเดือน มิถุนายน ปกติวางไข่จํานวน ๒ ฟอง พ่อแม่นกจะเลียงดูลูกอีกเป็นเวลาอย่างน้อย ๑๐ เดือน เขตแพร่กระจาย : นกกระเรียนชนิดย่อยนี มีเขตแพร่กระจายจากแคว้นอัสสัมในประเทศอินเดีย ประเทศ พม่า ไทย ตอนใต้ลาว กัมพูชา เวียดนามตอนใต้ ถึงเมืองลูซุนประเทศฟิลิปปินส์ บางครัง พลัดหลงไปถึงประเทศมาเลเซีย และยังมีประชากรอีกกลุ่มหนึงในรัฐควีนแลนด์ประเทศ ออสเตรเลย สถานภาพ : นกกระเรียนเคยพบอยู่ทัวประเทศ ครังสุดท้ายเมือปี พ.ศ.๒๕๐๗ พบ ๔ ตัว ทีวัดไผ่ ล้อม จังหวัดปทุมธานี จากนันมีรายงานทีไม่ยืนยันว่าพบนกกระเรียน ๔ ตัว ลงหากินในทุ่ง นาอําเภอขุขันธ์ จังหวัดศรีสะเกษ เมือเดือนมกราคม พ.ศ.๒๕๒๘
![](https://assets.isu.pub/document-structure/221012134430-f87266af61a9739f7b625abeef241884/v1/cd000f8c23df9b18963e85f2d609223a.jpeg)
![](https://assets.isu.pub/document-structure/221012134430-f87266af61a9739f7b625abeef241884/v1/e76d4d137efd0e542c75b81c137d78de.jpeg)
![](https://assets.isu.pub/document-structure/221012134430-f87266af61a9739f7b625abeef241884/v1/c34b497abfebd440fa3f9f5e73d3d5ac.jpeg)
![](https://assets.isu.pub/document-structure/221012134430-f87266af61a9739f7b625abeef241884/v1/d2c3ffbef5b2e16839cc67fd744d6272.jpeg)
![](https://assets.isu.pub/document-structure/221012134430-f87266af61a9739f7b625abeef241884/v1/58e8d7131e270f21b1f578607047303a.jpeg)
![](https://assets.isu.pub/document-structure/221012134430-f87266af61a9739f7b625abeef241884/v1/ea09bec03197dd36abedae28ee419b89.jpeg)
![](https://assets.isu.pub/document-structure/221012134430-f87266af61a9739f7b625abeef241884/v1/4198388703d534e851583a310c1a61a2.jpeg)
20 สาเหตุของการใกล้จะสูญพันธุ์ : การหายไปของนกกระเรียนพันธุไทยส่วนหนึงเกิดจากการพัฒนาและการขยายตัว ของเมือง วิถีชีวิตของผู้คนเริมมีการเปลียนแปลง มีการทําเกษตรทีใช้สารเคมี ทําให้พืนที ชุ่มนําหลายแห่งเสือมโทรม รวมไปถึงการล่าในอดีต สิงเหล่านีต่างรบกวนการใช้ชีวิตของ พวกเขา ทําให้เมือ 50 ปีทีแล้ว นกกระเรียนพันธุ์ไทยได้ถูกระบุเป็นสัตว์ทีสูญพันธุไปแล้วใน ธรรมชาติของไทย
21 แมวลายหินอ่อน Pardofelis marmorata แมวลายหินอ่อนเป็นแมวป่าขนาดกลาง นําหนักตัวเมือโตเต็มที ๔-๕ กิโลกรัม ใบหู เล็กมนกลมมีจุดด้านหลังใบหู หางยาวมีขนหนาเป็นพวงเด่นชัด สีขนโดยทัวไปเป็นสีนําตาล อมเหลือง มีลายบนลําตัวคล้ายลายหินอ่อน ด้านใต้ท้องจะออกสีเหลืองมากกว่า ด้านหลังขา และหางมีจุดดํา เท้ามีพังผืดยืดระหว่างนิว นิวมีปลอกเล็บสองชัน และเล็บพับเก็บได้ในปลอก เล็บทังหมด ลักษณะ : แมวลายหินอ่อนเป็นแมวขนาดเล็ก ขนาดใกล้เคียงกับแมวบ้านทัวไป มีลวดลายและ สีสันคล้ายกับเสือลายเมฆ ในภาษาจีนคําเรียกแมวลายหินอ่อนก็มีความหมายว่า เสือลายเมฆ เล็ก มีแต้มใหญ่ ๆ ขอบสีดําแบบเดียวกับเสือลายเมฆ อุปนิสัย : ออกหากินในเวลากลางคืน ส่วนใหญ่มักอยู่บนต้นไม้ อาหารได้แก่สัตว์ขนาดเล็กแทบ ทุกชนิดตังแต่แมลง จิงจก ตุ๊กแก งู นก หนู กระรอก จนถึงลิงขนาดเล็ก นิสัยค่อนข้าดุร้าย เขตแพร่กระจาย : แมวป่าชนิดนีมีเขตแพร่กระจายตังแต่ประเทศเนปาล สิกขิม แคว้นอัสสัม ประเทศ อินเดีย ผ่านทางตอนเหนือของพม่า ไทย อินโดจีน ลงไปตลอดแหลมมลายู สุมาตราและ บอร์เนียว สถานภาพ : แมวลายหินอ่อนจัดเป็นสัตว์ป่าชนิดหนึงใน ๑๕ ชนิดของประเทศไทย และอนุสัญญา CITES จัดอยู่ในAppendix I
![](https://assets.isu.pub/document-structure/221012134430-f87266af61a9739f7b625abeef241884/v1/7a55e5e9f2486db620d6d6b8e8d5e6fc.jpeg)
![](https://assets.isu.pub/document-structure/221012134430-f87266af61a9739f7b625abeef241884/v1/31b8339f9ca83601eb0b07c06d6999a6.jpeg)
22 สาเหตุของการใกล้จะสูญพันธุ์ : เนืองจากแมวลายหินอ่อนเป็นสัตว์ทีหาได้ยาก และมีปริมาณในธรรมชาติค่อนข้างตํา เมือเทียบกับแมวป่าชนิดอืนๆ จํานวนจึงน้อยมาก และเนืองจากถินทีอยู่อาศัยถูกทําลาย และ ถูกล่าหรือจับมาเป็นสัตว์เลียงทีมีราคาสูง จํานวนแมวลายหินอ่อนจึงน้อยลง ด้านชีววิทยาของ แมวป่าชนิดนียังรู้กันน้อยมาก
![](https://assets.isu.pub/document-structure/221012134430-f87266af61a9739f7b625abeef241884/v1/3bee1da184081679ef6bebc352c56476.jpeg)
23 สมเสร็จ Tapirusindicus สมเสร็จเป็นสัตว์กีบคี เท้าหน้ามี ๔ เล็บ และเท้าหลังมี ๓ เล็บ จมูกและริมฝีปากบนยืน ออกมาคล้ายงวง ตามีขนาดเล็ก ใบหูรูปไข่ หางสัน ตัวเต็มวัยมีนําหนัก ๒๕๐-๓๐๐ กิโลกรัม ส่วนหัวและลําตัวเป็นสีขาวสลับดํา ตังแต่ปลายจมูกตลอดท่อนหัวจนถึงลําตัว บริเวณระดับ หลังของขาคู่หน้ามีสีดํา ท่อนกลางตัวเป็นแผ่นขาว ส่วนบริเวณโคนหางลงไปตลอดขาคู่หลัง จะเป็นสีดํา ขอบปลายหูและริมฝีปากขาว ลูกสมเสร็จลําตัวมีลายเป็นแถบ ดูลายพร้อยคล้ายลูก แตงไทย ลักษณะ : สมเสร็จเป็นสัตว์ดึกดําบรรพ์ชนิดหนึง มีสายเลือดใกล้เคียงม้าและแรด หนักประมาณ 250-300 กิโลกรัม จมูกและหูไวมาก มีรูปร่างเหมือนสัตว์หลายชนิดปนกัน อุปนิสัย : สมเสร็จชอบออกหากินในเวลากลางคืน กินยอดไม้ กิงไม้ หน่อไม้ และพืชอวบนํา หลายชนิด มักมุดหากินตามทีรกทึบ ไม่ค่อยชอบเดินหากินตามเส้นทางเก่า มีประสาทสัมผัส ทางกลินและเสียงดีมาก ผสมพันธุ์ในเดือนเมษายนหรือเดือนพฤษภาคม ตกลูกครังละ ๑ ตัว ใช้เวลาตังท้องนานประมาณ ๑๓ เดือน สมเสร็จทีเลียงไว้มีอายุนานประมาณ ๓๐ ปี เขตแพร่กระจาย : สมเสร็จมีเขตแพร่กระจายจากพม่าตอนใต้ ไปตามพรมแดนด้านทิศตะวันตกของ ประเทศไทย ลงไปสุดแหลมมลายูและสุมาตรา ในประเทศไทยจะพบสมเสร็จได้ในป่าดงดิบ ตามเทือกเขาถนนธงชัย เทือกเขาตะนาวศรี และป่าทัวภาคใต้ สถานภาพ : ปัจจุบันสมเสร็จจัดเป็นสัตว์ป่าสงวนชนิดหนึงใน ๑๕ ชนิดของประเทศไทย และจัด โดยอนุสัญญาCITES ไว้ใน Appendix I และจัดเป็นสัตว์ทีใกล้จะสูญพันธุ์ตาม U.S. Endanger Species Act.
24 สาเหตุของการใกล้จะสูญพันธุ์ : การล่าสมเสร็จเพือเอาหนังและเนือ การทําลายป่าดงดิบทีอยู่อาศัยและหากิน โดยการ ตัดไม้ การสร้างเขือนกักเก็บนําและถนน ทําให้จํานวนสมเสร็จลดปริมาณลงจนหาได้ยาก
![](https://assets.isu.pub/document-structure/221012134430-f87266af61a9739f7b625abeef241884/v1/66be721be60838dac6e77288adbbc518.jpeg)
25 เก้งหม้อ Muntiacusfeai เก้งหม้อมีลักษณะโดยทัวไป คล้ายคลึงกับเก้งธรรมดา ขนาดลําตัวไล่เลียกัน เมือโต เต็มทีนําหนักประมาณ ๒๐ กิโลกรัม แต่เก้งหม้อจะมีสีลําตัวคลํากว่าเก้งธรรมดา ด้านหลังสี ออกนําตาลเข้ม ใต้ท้องสีนําตาลแซมขาว ขาส่วนทีอยู่เหนือกีบจะมีสีดํา ด้านหน้าของขาหลัง มีแถบขาวเห็นได้ชัดเจน บนหน้าผากจะมีเส้นสีดําอยู่ด้านในระหว่างเขา หางสันด้านบนสีดํา ตัดกับสีขาวด้านล่างชัดเจน ลักษณะ : เก้งหม้อ หรือ Fea’s Muntiak (Muntiacus Feae Thomas and Daria 1889) เป็นสัตว์ป่าพืนเมืองของไทยชนิดหนึงที Red Data Book ของ IUCN (องค์การระหว่าง ประเทศเพือการอนุรักษ์ธรรมชาติและทรัพยากรธรรมชาติ) จัดให้เป็นสัตว์ป่าทีใกล้จะสูญ พันธุ์ของโลก ข้อมูลเกียวกับสัตว์ชนิดนีมีอยู่น้อยมาก อุปนิสัย : เก้งหม้อชอบอาศัยอยู่เดียว ในป่าดงดิบ ตามลาดเขา จะอยู่เป็นคู่เฉพาะฤดูผสมพันธุ เท่านัน ออกหากินในเวลากลางวันมากกว่าในเวลากลางคืน อาหารได้แก่ ใบไม้ ใบหญ้า และ ผลไม้ป่า ตกลูกครังละ ๑ ตัว เวลาตังท้องนาน ๖ เดือน เขตแพร่กระจาย : เก้งหม้อมีเขตแพร่กระจาย อยู่ในบริเวณตังแต่พม่าตอนใต้ลงไปจนถึงภาคใต้ตอนบน ของประเทศไทยเท่านัน ในประเทศไทยพบในบริเวณเทือกเขาตะนาวศรีลงไปจนถึงเทือกเขา ภูเก็ต ในบริเวณเขตรักษาพันธุ์สัตว์ป่าคลองนาคา และเขตรักษาพันธุสัตว์ป่าคลองแสง ใน จังหวัดระนอง สุราษฎร์ธานีและพังงา สถานภาพ : องค์การสวนสัตว์ ได้ประสบความสําเร็จในการเพาะเลียงเก้งหม้อมาตังแต่ปี พ.ศ.๒๕๒๘ ในปัจจุบันเก้งหม้อจัดเป็นสัตว์ป่าสงวนชนิดหนึงใน ๑๕ ชนิดของประเทศไทย และองค์การ IUCN จัดเก้งหม้อให้เป็นสัตว์ป่าทีใกล้จะสูญพันธุ
26 สาเหตุของการใกล้จะสูญพันธุ์ : ปัจจุบันเป็นสัตว์ป่าทีหายากและใกล้จะสูญพันธุหมดไปจากประเทศ เนืองจากมีเขต แพร่กระจายจํากัด และทีอยู่อาศัยถูกทําลายหมดไปเพราะการตัดไม้ทําลายป่า การเก็บกักนํา เหนือเขือนและการล่าเป็นอาหาร เก้งหม้อเป็นเนือทีนิยมรับประทานกันมาก
![](https://assets.isu.pub/document-structure/221012134430-f87266af61a9739f7b625abeef241884/v1/80d31df1c54ae7583af0d88c5c5d3d03.jpeg)
27 พะยูน Dugongdugon พะยูนจัดเป็นสัตว์เลียงลูกด้วยนมชนิดหนึง ทีอาศัยอยู่ในนํา มีลําตัวเพรียวรูปกระสวย หางแยกเป็นสองแฉก วางตัวขนานกับพืนในแนวราบ ไม่มีครีบหลัง ปากอยู่ตอนล่าง ของ ส่วนหน้าริมฝีปากบนเป็นก้อนเนือหนา ลักษณะเป็นเหลียมคล้ายจมูกหมู ตัวอายุน้อยมีลําตัว ออกขาว ส่วนตัวเต็มวัยมีสีชมพูแดง เมือโตเต็มวัยจะมีนําหนักตัวประมาณ ๓๐๐ กิโลกรัม ลักษณะ : พะยูน เป็นสัตว์นําชนิดแรกของประเทศไทยทีได้รับการกําหนดให้เป็นสัตว์ป่าสงวน เป็นสัตว์เลียงลูกด้วยนมทีอาศัยอยู่ในทะเลเขตอบอุ่น อุปนิสัย : พะยูนอยู่ร่วมกันเป็นครอบครัว หลายครอบครัวจะหากินเป็นฝูงใหญ่ ออกลูกครังละ ๑ ตัว ใช้เวลาตังท้องนาน ๑๓ เดือน และจะโตเต็มทีเมือมีอายุ ๙ ปี เขตแพร่กระจาย : พะยูนมีเขตแพร่กระจาย ตังแต่บริเวณชายฝังตะวันออกของทวีปอาฟริกา ทะเลแดง ตลอดแนวชายฝังมหาสมุทรอินเดียไปจนถึงประเทศฟิลิปปินส์ ไต้หวัน และตอนเหนือของ ออสเตรเลีย ในประเทศไทยพบไม่บ่อยนัก ทังในบริเวณอ่าวไทยแถบจังหวัดระยอง และ ชายฝังทะเลอันดามัน แถบจังหวัดภูเก็ต พังงา กระบี ตรัง สตูล สถานภาพ : ปัจจุบันพบพะยูนน้อยมาก พยูนทียังเหลืออยู่จะเป็นกลุ่มเล็กหรืออยู่โดดเดียว บางครัง อาจจะเข้ามาจากน่านนําของประเทศใกล้เคียง พะยูนจัดเป็นสัตว์ป่าสงวนชนิดหนึงใน ๑๕ ชนิดของประเทศไทย และจัดโดยอนุสัญญา CITES ไว้ใน Appendix I
![](https://assets.isu.pub/document-structure/221012134430-f87266af61a9739f7b625abeef241884/v1/20f6e3817db6f0895f0348c7dfb93884.jpeg)
![](https://assets.isu.pub/document-structure/221012134430-f87266af61a9739f7b625abeef241884/v1/0198593f84ad3360791bb28b2062d71f.jpeg)
![](https://assets.isu.pub/document-structure/221012134430-f87266af61a9739f7b625abeef241884/v1/e31bc5ced8896e84e9f483da3f43a77f.jpeg)
28 สาเหตุของการใกล้จะสูญพันธุ์ : เนืองจากพะยูนถูกล่าเพือเป็นอาหาร ติดเครืองประมงตาย และเอานํามันเพือเอาเป็น เชือเพลิง ประกอบกับพะยูนแพร่พันธุ์ได้ช้ามาก นอกจากนีมลพิษทีก่อให้เกิดการเปลียนแปลง สภาพแวดล้อมตามชายฝังทะเล ได้ทําลายแหล่งหญ้าทะเล ทีเป็นอาหารของพยูนเป็นจํานวน มาก จึงน่าเป็นห่วงว่าพะยูนจะสูญสินไปจากประเทศในอนาคตอันใกล้นี
29 เลียงผา Capricornissumatraensis เลียงผาเป็นสัตว์จําพวกเดียวกับ แพะและแกะ เมือโตเต็มทีมีความสูงทีไหล่ประมาณ ๑ เมตร ขายาวและแข็งแรง ใบหูยาวคล้ายใบหูลา ขนตามลําตัวค่อนข้างยาว หยาบและมีสีดํา ด้านท้องขนสีจางกว่า มีขนเป็นแผงยาวบนสันคอและสันหลัง มีเขาทังในตัวผู้และตัวเมีย เขา มีลักษณะตอนโคนกลม หยักเป็นวงแหวนโดยรอบค่อยๆ เรียวไปทางปลายเขาโค้ง ไปทาง ด้านหลังเล็กน้อย ลักษณะ : เลียงผามีกลินตัวเหมือนแพะ กลินตัวเกิดจากส่วนนอกของผิวหนัง ขนทีปกคลุมตัวของ เลียงผาหยาบและไม่หนาแน่น มีส่วนทีเป็นขนอ่อนปะปนอยู่บ้างประปราย อุปนิสัย : ในเวลากลางวันจะพักอาศัยอยู่ในถํา หรือในพุ่มไม้ ออกหากินในตอนเย็นถึงพลบคํา และในเวลาเช้ามืด อาหารได้แก่พืชต่างๆ ทุกชนิด เลียงผามีประสาทหู ตา และรับกลินได้ดี ผสมพันธุ์ในช่วงปลายเดือนตุลาคม ตกลูกครังละ ๑-๒ ตัว ใช้เวลาตังท้องราว ๗ เดือน ในที เลียง เลียงผามีอายุยาวกว่า ๑๐ ปี เขตแพร่กระจาย : เลียงผามีเขตแพร่กระจาย ตังแต่แคว้นแคชเมียร์ มาตามเทือกเขาหิมาลัยจนถึง แคว้นอัสสัม จีนตอนใต้ พม่า อินโดจีน มลายู และสุมาตรา ในประเทศไทยพบอาศัยอยู่ตาม ภูเขาสูงในหลายภูมิภาคของประเทศ เช่น เทือกเขาตะนาวศรี เทือกเขาถนนธงชัย เทือกเขา เพชรบูรณ์ และภูเขาทัวไปในบริเวณภาคใต้ รวมทังบนเกาะในทะเลทีอยู่ไม่ห่างจากแผ่นดิน ใหญ่มากนัก สถานภาพ : เลียงผาจัดเป็นสัตว์ป่าสงวนชนิดหนึงใน ๑๕ ชนิดของประเทศไทย และอนุสัญญา CITES จัดเรียงผาไว้ใน Appendix I
30 สาเหตุของการใกล้จะสูญพันธุ์ : ในระยะหลังเลียงผามีจํานวนลดลงอย่างรวดเร็ว เนืองจากการล่าอย่างหนักเพือเอาเขา กระดูก และนํามันมาใช้ทํายาสมานกระดูก และพืนทีหากินของเลียงผาลดลงอย่างรวดเร็ว
![](https://assets.isu.pub/document-structure/221012134430-f87266af61a9739f7b625abeef241884/v1/4349c69cf54ef70c252d823772f4323d.jpeg)
![](https://assets.isu.pub/document-structure/221012134430-f87266af61a9739f7b625abeef241884/v1/efd9fd25074d470c60e9c162c3aba2e9.jpeg)
![](https://assets.isu.pub/document-structure/221012134430-f87266af61a9739f7b625abeef241884/v1/42725993d733e6ac1874ed4fbb4c4271.jpeg)
![](https://assets.isu.pub/document-structure/221012134430-f87266af61a9739f7b625abeef241884/v1/b02ef75e75d1d095c70822f97c57eea4.jpeg)
![](https://assets.isu.pub/document-structure/221012134430-f87266af61a9739f7b625abeef241884/v1/d4660e1e5c65d2534bec81cd734fce6a.jpeg)
![](https://assets.isu.pub/document-structure/221012134430-f87266af61a9739f7b625abeef241884/v1/13c4af07981443fff96ca2763b56e9ac.jpeg)
![](https://assets.isu.pub/document-structure/221012134430-f87266af61a9739f7b625abeef241884/v1/b963a735e1606bc75a590ed3f67cb9b8.jpeg)
![](https://assets.isu.pub/document-structure/221012134430-f87266af61a9739f7b625abeef241884/v1/c18731cab704692464d98730c9c9afe9.jpeg)
![](https://assets.isu.pub/document-structure/221012134430-f87266af61a9739f7b625abeef241884/v1/5672582f150796dd36b848e00f9de148.jpeg)
![](https://assets.isu.pub/document-structure/221012134430-f87266af61a9739f7b625abeef241884/v1/ec4bbdd3cb9f7b0dff411ae01418401c.jpeg)
![](https://assets.isu.pub/document-structure/221012134430-f87266af61a9739f7b625abeef241884/v1/5672582f150796dd36b848e00f9de148.jpeg)
![](https://assets.isu.pub/document-structure/221012134430-f87266af61a9739f7b625abeef241884/v1/aab038d96469935a69a1ec95bd0add68.jpeg)
![](https://assets.isu.pub/document-structure/221012134430-f87266af61a9739f7b625abeef241884/v1/50d267d3935018b7faad94345a5e6794.jpeg)
![](https://assets.isu.pub/document-structure/221012134430-f87266af61a9739f7b625abeef241884/v1/e7b517a2b8a7008afdaae2c3924cd0d4.jpeg)
![](https://assets.isu.pub/document-structure/221012134430-f87266af61a9739f7b625abeef241884/v1/8516028c5c4f425ec61605c2743d52f4.jpeg)
![](https://assets.isu.pub/document-structure/221012134430-f87266af61a9739f7b625abeef241884/v1/3ed110059750b7cedfa8c0d689156f37.jpeg)
![](https://assets.isu.pub/document-structure/221012134430-f87266af61a9739f7b625abeef241884/v1/8d9fb855d0b482154540470534a73968.jpeg)
![](https://assets.isu.pub/document-structure/221012134430-f87266af61a9739f7b625abeef241884/v1/f04dac91220f840297ca4dfec6b69413.jpeg)
![](https://assets.isu.pub/document-structure/221012134430-f87266af61a9739f7b625abeef241884/v1/49116d4166f7b84d93202d24ae8d5859.jpeg)
![](https://assets.isu.pub/document-structure/221012134430-f87266af61a9739f7b625abeef241884/v1/7d72d73620d5d8769ed99fc4570d4fff.jpeg)
ÊÃþʵÇáÅÐËÁÁÇŹ¡¡àËÁ͹¡º¤¹ ¶§áÁ¨ÐäÁä´¾´ÀÒÉÒà´ÂÇ¡¹ËÃÍ·ÒµÇàËÁ͹¤¹ áµàÁÍ¢Ò´¾Ç¡Á¹ä» âÅ¡¹¡àËÁ͹ä매ÇÒÁÊ¢ ʡ͵µ âÍà´ÅÅ (¹Ñ¡à¢Õ¹ªÒÇÍàÁÃԡѹ)