ศีล โดย พ.อ. ปน มุทุกันต หั ว ข อ เ รื่ อ ง ที่ ๑ : หามฆา แตไมหามกิน ปญหาเกี่ยวกับศีลขอที่ ๑ ยังมีใหสงสัยอีกประเด็นหนึ่ง นั่นก็คือปญหาเรื่องการกิน เนื้อสัตวบางคน คงคิดวา ในเมื่อพระพุทธเจาทรงหามฆาสัตวแลว ทําไมจึงไมทรงหาม การกินเนื้อสัตวเสียดวยจะมิเขาทํานองที่วา ปากวาตาขยิบรึ ?ปญหาตรงนี้นาสนใจมาก โดยเฉพาะในกลุมของพวกที่ทานเนื้อ กับพวกทานมังสวิรัติ มักจะมีปญหาโตแยงกันอยู เสมอ เราลองมาทําใจใหเปนกลาง ไมเขาขางฝายใดฝายหนึ่ง แลวฟงเหตุผลดูซิวา ทําไมหาม ฆา จึงไมหามกิน ?ผูที่จะใหเหตุผลเกี่ยวกับเรื่องนี้ ก็คือ อดีตอนุศาสนาจารย แหง กองทัพบก “พ.อ.ปน มุทุกันต ” ทานใหเหตุผลไวอยางนี้ครับการที่พระพุทธเจาหามฆา แตไมหาม กินนั้น เพราะการกระทําทั้ง ๒ อยาง มีเหตุ และ ผลไมเหมือนกัน การฆานั้นจิตของผูฆา จะตองตกอยูในอํานาจของกิเลส อยางหนึ่งอยางใด ถาไมโลภก็โกรธ ไมโกรธก็หลง จึง จะฆาได ถาจิตเปนอิสระแกตัว คือไมมีอาการดังกลาวครอบงํา คนเราจะไมฆาสัตว การ ฆาทุกครั้ง จะตองกระทําในขณะจิตผิดปกติ เสมอ ฉะนั้นการฆาแตละครั้งจึงมีผล ทําให เกิดความเปลี่ยนแปลงทางจิตของผูฆา หมายความวา การฆาทําใหจิตทรุดต่ําลงทุกครั้ง จะแคลวคลาดไปไมไดเลยเพราะฉะนั้น ทานจึงหามฆา ทีนี้การกินไมเปนอยางนั้น จิตไมตองโลภ ไมตองโกรธ และไมตองหลง ก็กินได และ เนื้อสัตวที่ปราศจากชีวิตแลว เขาแลมาขาย จําหนายจายแจกกันมาเปนทอดๆ ยอมมี สภาพเปนเพียงวัตถุชิ้นหนึ่งจะทิ้งก็เนาจะกิน ก็อิ่ม ไมมีเชื้อบาปเชื้อกรรมติดอยูในเนื้อ นั้นเลย พระพุทธองค จึงไมทรงหามการกินเนื้อสัตว ชัดเจนใชไหมครับ สําหรับคํา ชี้แจงเรื่อง “ หามฆา แต ทําไมไมหามกิน ? ”
หั ว ข อ เ รื่ อ ง ที่ ๒ : เหตุใดจึงหามฆา ทานเคยสงสัยไหมวา ทําไมศีลทั้ง ๕ ขอ จึงมีบทบัญญัติเรื่องหามฆา ขึ้นมาเปนขอแรก ? เกี่ยวกับเรื่องนี้ พ.อ.ปน มุทุกันต อดีตอนุศาสนาจารยกองทัพบก ทานเคยใหเหตุผลไว อยาง นาฟงวาทานเคยสงสัยไหมวา ทําไมศีลทั้ง ๕ ขอ จึงมีบทบัญญัติเรื่องหามฆา ขึ้นมาเปน ขอ แรก ?เกี่ยวกับเรื่องนี้ พ.อ.ปน มุทุกันต อดีตอนุศาสนาจารยกองทัพบก ทานเคยให เหตุผลไว อยางนาฟงวา"ทางศาสนาทุกศาสนา ไดมีบัญญัติไว ใหความคุมครองแกชีวิตเหมือนกัน จะ ตางกันบางก็เฉพาะขอบเขตของการหาม ซึ่งแลวแตอัธยาศัยของผูเปนศาสดา ที่จะกวาง แคบ เพียงใดเชนบางศาสดา หามเฉพาะฆาคนในศาสนาเดียวกัน บางศาสดาหาม ถึงฆาคน ใน ศาสนาอื่น บางศาสดาหามถึงฆาสัตวมีคุณ และบางศาสดาหามฆาสัตวมีชีวิตทั้ง สิ้น ดังนี้เปน ตนสําหรับพระพุทธศาสนา เราจะเห็นไดชัดวา พระพุทธองคทรงสอน เพื่อใหความ คุมครอง แกชีวิตอยางกวางขวาง ดูเถอะวา ในศีลหานี้ ก็ทรงหามการฆากัน ไวขอตนที่สุด ศีล แปดก็ขึ้น ตน ดวยการหามฆา ศีลสิบก็ขึ้นตนดวยการหามฆา พูดอยางยอๆ ทั้งศีลชาวบาน ศีลชี ศีลเณร ศีลพระ หามฆากันทั้งนั้นในวิถีทางแหงการทําชั่วดี ที่เรียกวา กรรมบถ ก็อกี แหละ ฝาย ทําบาป การฆาก็เปนบาปขอตนฝายทําบุญ ขอแรกก็คือ เวนการฆากันในทางเสียสละ ผูเสียสละทรัพยและอวัยวะ ก็ดอยกวาผู เสียสละ ชีวิตผูใดเสียสละแมกระทั่ง ชีวิตเพื่อทําความดี ผูนั้นเปนยอดนักเสียสละ ในพรอัน
ประเสริฐ ที่พระใหแกเรา หรือเรากลาวอวยพรแกกัน "อายุ" ก็เปนพรขอแรก ในพรทัง้ ปวง(อายุ วรรณะ สุขะ พละ) อายุก็คือชีวิตนั่นเองที่พูดมานี้ พูดพอใหเห็นทางคิด และเห็นทางอธิบายใน ขอที่ วา ชีวิตเปนสิ่งสําคัญทั้งคน ทั้งสัตวแมแตสัตวเดรัจฉาน ซึ่งไมมีทางที่จะมีทรัพยอะไร ติด ตัวเลยแตมันก็มีสมบัติอยูอยางหนึ่ง เทาๆกับคน คือมีชีวิต ชีวิตเปนของจําเพาะ ของใคร ของ มัน มีอยูคนละหนึ่งเทานั้น ไมมีใครจนกวานี้ ไมมีใครรวยกวานี้ ไมเหมือน เสื้อผา เงิน ทอง ขาดวิ่นสูญหาย ซื้อใหมได ไมเหมือนผัวเมีย หนีไปมีชู ก็หาใหมได สวนชีวิตนี้สิ ใน ชาตินี้มี คนละหนึ่งเทานั้นใครเสียไปก็หมดตัว ยืมกันก็ไมได ซื้อขายกัน ก็ไมได มันหมดอยาง ไมมี ขอแมจริงๆ ดวยเหตุทั้งหลายทั้งปวงที่วามานี้แหละ การหามฆา จึงเปนขอหามมาตรา แรก ที่สุด ทางศาสนาทุกศาสนา ไดมีบัญญัติไว ใหความคุมครอง แกชีวิตเหมือนกัน จะตางกัน บางก็ เฉพาะ ขอบเขตของการหาม ซึ่งแลวแตอัธยาศัยของ ผูเปนศาสดา ที่จะกวางแคบ เพียงใด เชนบางศาสดา หามเฉพาะฆาคนในศาสนาเดียวกัน บางศาสดาหามถึงฆาคนในศาสนา อื่น บางศาสดา หามถึงฆาสัตวมีคุณ และบางศาสดาหาม ฆาสัตวมีชีวิตทั้งสิ้น ดังนี้เปนตน สําหรับพระพุทธศาสนา เราจะเห็นไดชัดวา พระพุทธองค ทรงสอน เพื่อใหความ
คุมครอง แกชีวิตอยางกวางขวาง ดูเถอะวาในศีลหานี้ ก็ทรงหามการ ฆากันไวขอตนที่สุด ศีลแปด ก็ขึ้น ตนดวยการหามฆาศีลสิบก็ขึ้นตนดวยการหามฆาพูดอยางยอๆ ทั้งศีล ชาวบาน ศีลชีศลี เณร ศีลพระ หามฆากันทั้งนั้นในวิถีทางแหงการทําชั่วดี ที่เรียกวา กรรมบถ ก็อีกแหละฝายทําบาป การฆาก็เปนบาปขอตนฝายทําบุญ ขอแรกก็คือเวนการฆากัน ในทาง เสียสละผูเสียสละทรัพยและอวัยวะ ก็ดอยกวาผูเสียสละชีวิต ผูใดเสียสละแมกระทั่ง ชีวิต เพื่อทําความดีผูนั้นเปนยอดนักเสียสละ ในพรอันประเสริฐ ที่พระใหแกเรา หรือเรา กลาว อวยพรแกกัน "อายุ" ก็เปนพรขอแรก ในพรทั้งปวง ( อายุ วรรณะ สุขะ พละ ) อายุก็ คือ ชีวิตนั่นเองที่พูดมานี้ พูดพอใหเห็นทางคิด และเห็นทางอธิบายในขอที่วา ชีวิตเปนสิ่งที่ สําคัญ ทั้งคน ทั้งสัตวแมแตสัตวเดรัจฉาน ซึ่งไมมีทางที่จะมีทรัพยอะไรติดตัวเลย แต มัน ก็มีสมบัติอยูอยางหนึ่งเทาๆกับคน คือมีชีวิต ชีวิตเปนของจําเพาะ ของใครของมัน มีอยูคนละหนึ่งเทานั้น ไมมีใครจนกวานี้ ไมมี ใคร รวยกวานี้ ไมเหมือนเสื้อผา เงินทอง ขาดวิ่น สูญหาย ซื้อใหมได ไมเหมือนผัวเมีย หนี ไปมีชู ก็หาใหมได สวนชีวิตนี้สิ ในชาตินมี้ ีคนละหนึ่งเทานั้น ใครเสียไปก็หมดตัว ยืมกันก็ ไมได ซื้อขายกันก็ไมได มันหมดอยางไมมีขอแมจริงๆ ดวยเหตุทั้งหลายทั้งปวงที่วามานี้ แหละ การหามฆา จึงเปนขอหามมาตราแรกที่สุด"
หั ว ข อ เ รื่ อ ง ที่ ๓ : บาปอยางไร ? เราไดพูดถึงเรื่องศีลขอที่ ๑ เกี่ยวกับเหตุผลที่วา ทําไมจึงหามฆาสัตว ?ทีนี้ เราก็จะมาคุย กันตอ ถึงปญหาที่หลายคนสงสัย นั่นก็คือ การฆาสัตว ที่วาไดบาปนั้น ไดบาปอยางไร ? ผูที่จะเฉลยปญหาขอนี้ไดกระจาง และชัดเจนที่สุด ก็เห็นจะไดแก พ.อ.ปน มุทุกันต อดีต อนุศาสนาจารยกองทัพบก ผูมีความรูในทางธรรม เปนที่แตกฉาน และเปนที่ยอมรับ โดยทั่วไป ทานไดเคยอธิบายเรื่องนี้ไว ในหนังสือ คําบรรยายพุทธศาสตร นาฟง มากครับกอนอื่น ทาน อธิบายความหมายของคําวา “บาป” เพื่อเปนการ ปูพื้นฐานความเขาใจ วาบาปนั้นเปน อยางไร ? บาป ก็คือความเศราหมองแหงจิต ยอนตนนิดหนอย ตัวเราหมดทั้งเนื้อ ทั้งตัวนี้ สําคัญ อยูที่ จิต ถาชักจิตออกทิ้งเสียแลว ตัวเราก็หมดความหมาย ทีนี้จิตคนเรานี้ มีความเปนไปสืบ ตอกัน มานาน นานกวารางกาย รางกายนี้ จะทรงตัวอยูได อยางมาก ราว ๘๐ ป ๑๐๐ ป เทานั้น ก็ แตกดับ แต จิตจะตองเวียนวายอยูในภพ ( ที่เกิด ) ตางๆ นับดวยหมื่นป แสนป หรือกวา นั้น เสียดวยซ้ํา ในระหวางที่จิตเวียนวายอยูนี้ บางคราวจิตก็มีสภาพดีขึ้น บางคราวก็ เสื่อม ลง ต่ําลง จิตที่มีคุณภาพดีขึ้น ก็ยอมจะเขาสูสภาพ ของภพที่ดีขึ้น ตามชั้นของ จิตนั้น แตถา จิต เสื่อมคุณภาพลง ก็จะเขาสูภพที่เลวลงไป ” ตรงนี้ พ.อ.ปน ทานไดยกตัวอยางไว ซึ่งจะ ทํา ใหเห็นเหตุผลไดชัดขึ้น
“ เทวดา ถาโลภมากๆ จนตกจากชั้นเทวดา ก็ลงมาเกิดเปนคนโลภ คนทีโ่ ลภมาก จน อยูเปน คนไมไหว ก็ลดลงไปเปนสัตวประเภทโลภสัตวที่โลภมาก จนเปนสัตวอยูไมไหว ก็จะ ลดลง ไปเปนเปรตโลภ คือ เปรตหิว ( ขุปปาสิกเปรต ) กินเทาไรไมอิ่ม ถามันหิวราย จนเปน เปรต อยูไมได ก็ตกลงนรกอเวจีไปเลย เรื่องโกรธ ( โทสะ ) เรื่องโง ( โมหะ ) ก็ทํานอง เดียวกัน และถาใคร ทําใจ ใหหลุดพน จากอาการเหลานี้ไดมากเทาไร ภพภูมิก็จะสูงขึ้นๆ จนสุด ยอด ” สรุปตรงนี้ก็คือ “ ในระหวางที่จิตกําลังทรงตัวอยูในภาวะที่สูง และสูงขึ้นๆนั้นถาโรค เกา ของจิต ( โรค ๓ อยางคือโลภ โกรธ หลง ) กําเริบขึ้นเมื่อใด ก็จะทําให คุณภาพของจิต ทรุด ต่ําลงทุกครั้งตามมาก ตามนอย คลายๆกับอาการไข ซึ่งเปนโรคทางกาย เมื่อไขกําเริบ ขึ้น กําลังกายก็ลด เมื่อไขลด กําลังกายก็ดีขึ้น ” เมื่อเขาใจพื้นฐานตรงนี้แลว ทีนี้ก็วกเขาสู ประเด็น ซะที “ ที่วาอาการของจิตที่คิดจะฆา ทําใหฐานะของจิตทรุดต่ําลงนั้น ก็เพราะวาจิต ที่ คิดฆา นั้น มีโรคเกากําเริบอยางหนึ่ง คือความโหดราย ( โทสะ ) ถาความโหดรายกําเริบขึ้น สุดทาง ของความโหดรายก็คือ ฆา ความโหดราย นี้กําเริบมากหรือนอย แลวแตลกั ษณะของ การฆา • • •
ฆามดตัวหนึ่ง ก็กําเริบนิดเดียว ฆาแมวตัวหนึ่ง ก็กาํ เริบแรงกวาฆามด จึงฆาได ถาฆาวัวตัวหนึ่ง อาการโหดราย ก็แรงกวาฆาแมว
• •
ยิ่งถาฆาคน อาการโหดรายก็ยงิ่ กําเริบหนักขึ้นไปอีก จนกระทั่งฆาพระอรหันต ฆาพอ ฆาแม จะทําไดก็ตอเมื่อ ความโหดรายรุนแรงขึ้นอยางหนัก
อาการโหดรายที่กําเริบขึ้น มากบาง นอยบาง ทําใหใจเราทรุดต่ําลง ตามมากตามนอย ไมมี เวนการที่เราสูญเสียคุณภาพอันดีของจิตไป และภาวะอันเลวมาไวในจิตเพิ่มขึ้น นี่แหละ เรียกวาไดบาป ที่วาฆาสัตวได บาปนั้น ไดอยางนี้ คือ ไดขึ้นในจิตของผูฆาเอง ขอพิสูจน วาไดบาปแน หรือ ก็สังเกตที่ใจของผูฆาเองหลังจากฆา ถาเพียงแตบี้มดสักตัวหนึ่ง และพื้นใจของผูนี้ บาป อยู แลว ก็อาจไมรูสึกวา มีอะไรเกิดขึ้น เหมือนโยนเมล็ดงาลง ไปบนพื้นดิน ตาม หาก็เจอ ยาก แตถา พื้นใจของผูนั้นสะอาดอยูกอน ก็เห็นบาปงาย เหมือนโยนเมล็ดงา ลงบนผาขาว สะอาด เห็นงาย แตถาฆาคนสักคนหนึ่งสิ เห็นชัดเลย วา จิตของผูฆาใน ตอนกอน กับตอนหลัง ฆา ตางกันถนัดทีเดียว หลังจากฆา จิตจะดิ้นรน กระสับกระสาย ทําใหอยูไมสุข ยิ่งถาฆาพอ ฆา แมของตนเองดวยแลว คนที่ จะฆาลง จะตองมีความโหดราย กําเริบสุดขีดแลวจนสภาพ จิต หมดดี เอาจริงๆ ทานเรียกบาปขนาดนี้วา “อนันตริยกรรม ” เปนจิตที่ถูกบาปเผาไหม จนหา ชิ้นดียาก เหมือนไขกําเริบถึงขนาดแลว คนไขก็ชักตายไปเทานั้น ฆาสัตวไดบาปจริง อยางนี้ และไดมาก ไดนอย ก็ดว ยเหตุอยางนี้”
หั ว ข อ เ รื่ อ ง ที่ ๔ : อาจจะหัวลานเพราะบุหรี่ เมื่อสัปดาหที่แลว ไดพูดถึงวิธีอดบุหรี่ เผอิญไดไปอานพบขอความ จากหนังสือพิมพ เขียนไวเกี่ยวกับโทษของบุหรี่ โดยพาดหัวไวอยางนาสนใจ บอกวา "บุหรี่สาปใหเปน ขุนชาง ไดตั้งแตหนุม" จึงอยากจะนํามาถายทอด เพื่อใหเนื้อความ ที่เกี่ยวกับทุกขโทษของบุหรี่ มี ความสมบูรณยิ่งขึ้น บทความนั้นกลาวไวอยางนี้ครับ "หมออังกฤษกลาวเตือน การสูบบุหรี่ทําใหแกเร็ว ผูชายก็อาจหัวลานหัวเหลือง กอน วัย มาก กวาคนที่ไมสูบบุหรี่ดวยกัน วารสารการแพทยอังกฤษ รายงานผล การศึกษา ผูที่เขาไป รับ การตรวจตามสถานพยาบาลตางๆจํานวนเกือบพันคน พบวา คนที่ไมสูบบุหรี่ยังคงมีสี ผม ตามธรรมชาติอยูถึง ๓๒เปอรเซ็นต ใน ขณะที่คนสูบบุหรี่ถึง ๘๘ เปอรเซ็นต ลวนแต ผม หงอกไปตามๆกัน และยิ่งกวานั้น ผูชายที่เปนคนสูบบุหรี่ตางพากันศีรษะลาน มากกวา คนที่ ไมสูบถึง ๒ เทาแพทยผูทําการศึกษากลาววา ไดพบวา คนสูบบุหรี่มีผิวพรรรหนาตา ของคน แกเกินวัย แตก็ยังไมอาจโทษไดวา บุหรี่ทําใหผมหงอกกอนวัย เพียงแตสงสัยวา บุหรี่ อาจ เปนพิษแกการหมุนเวียนของเลือดลมหรืออาจทําใหเปนโรคซึ่งเปนผลทํา ใหแกชราลง ก็ได หั ว ข อ เ รื่ อ ง ที่ ๕ : โทษของสุรา ๖ ประการ เมื่อพูดถึงเรื่องโทษของบุหรี่จบไปแลว ตอไปก็ขอพูดถึงโทษ ของสุราบางทานไดแสดง โทษของสุราไว ๖ ประการซึ่งทานผูรูทานไดผูกเปน คํา รอยกรองเพื่องายตอการจดจํา
ดัง ตอไปนี้ " อันสุราเมรัย ใครเสพติด พาชีวิตมืดมน จนฉิบหาย หนึ่งสินทรัพย ของตนนั้น พลันวอดวาย สองอาจตาย ดวยทะเลาะ เพราะความเมา สามเจ็บปวย ดวยโรคาพยาธิ สี่คนตําหนิ นินทาพาอับเฉา หาหนาดาน หนักหนาเวลาเมา หกโงเขลา ปญญาหด หมดสิ้นเอย" หั ว ข อ เ รื่ อ ง ที่ ๖ : "ปกติ" นี้ดีอยางไร ขอที่นาสงสัย และเคยมีผูสงสัยมาแลววา ถาการรักษาศีล เปนเพียงการตั้งใจรักษา ความ ปกติแลว ศีลก็ไมไดทําใหคนเรามีอะไร ดีขึ้น เพราะเปนเพียงปกติเทานั้น ถูกการรักษา ศีล เปนการอยูในปกติของตนเอง แตวาการที่เราอยูในปกติของตนเองนั่นแหละ เปนความ ดีอยู ในตัวแลวการที่เราอยูในความปกติ ก็เทากับอยูในความดีนั่นเอง และการที่เราตั้งใจ รักษาปกติ พูดอีกทีก็เปนการทําความดีอยูในตัว ขอใหเขาใจเรื่องนี้ชัดๆ อีกหนอยประเดี๋ยวจะ สงสัย ทีหลัง ถาสมมติวา เรามีเงินอยูพันบาท แลวเรารักษาเงินพันบาทนั้นไว ใหคงตัว ก็เทากับได ทํางาน ๒ อยางคือ เปนการรักษาเงินพันบาทเดิม ใหคงอยูดวย และเปนการรักษาฐานที่ตั้งของ ความ
ร่ํารวยตอไปดวย เพราะเงินหมื่นเงิน แสนที่เราจะมีตอไป ก็ตั้งอยูบนพื้นเดิมนั่นเอง รักษาศีลก็เหมือนกัน ยอมไดผลทั้ง ๒ อยาง เปนการรักษาทุนเดิม คือระดับความเปน คนไว ไมใหทรุดลง นี่ชั้นหนึง่ และเปนการสราง พื้นฐานรองรับความดีความเจริญตอไปดวย อีกชั้น หนึ่งความปกติ ยอมเปนพื้นฐานของความสงบเรียบรอยทุกสิ่งทุกอยาง ถายังมีความ ปกติ ความสงบเรียบรอย ก็ยงั มี แตถาผิดปกติเขาเมื่อไร ก็เกิดความยุงยากเสียหายตามมา นึกถึงของทั่วๆไปกอน เชนพระอาทิตยสองแสงอยูทุกวันเปนปกติ ถาพระอาทิตย รักษา ปกติอยูอยางนี้ตราบใด พวกเราก็สงบสุข แต ถาวันใดพระอาทิตยเกิดทําผิดปกติขึ้นมา คือ ไมสองแสงในเวลากลางวัน ไมตองพูดถึง กติทั้งวัน เพียงแตเกิดสุริยุปราคาก็เสียงานไม นอย ถาฤดูเกิดผิด ปกติ เชนหนาฝน แลวฝนไมตก ก็เกิดขาวยากหมากแพง อวัยวะรางกายก็ เหมือน กัน ตามปกติตาดูอะไรเห็น หูฟงอะไรไดยิน ปากคอ กินอาหารได ถาพวกนี้มันเกิด ผิดปกติขึ้น มาจะเปนอยางไร คิดดูเอง หรือเอาแคลมหายใจก็ได ปกติของเราตองหายใจทีนี้ลองทํา ผิด ปกติดูบางซิ คือเอามืออุดจมูกเสีย จะเปนอยางไร ?อยางปกติ กับ อยางผิดปกติ ไหน สบายดี กวากัน? ใครๆก็รู เรื่องผิดปกติมีอยูหลายอยาง เสียทั้งนั้น • •
คนสติผิดปกติ เรียกวา คนสติวิปลาส คนจริตผิดปกติ เรียกวา คนวิกลจริต
• •
คนอวัยวะผิดปกติ เรียกวา คนพิการ คนมีความประพฤติผิดปกติ เรียกวา คนทุศีล
ทานนักศึกษาโปรดคิดสอบสวนใจดูเองก็แลวกันวา ถาสมมติวา ทานจะเลือกคนสัก คนหนึ่ง ขอโทษเถอะ จะเลือกเปนสามีภรรยา เลือกเปน เพื่อน เลือกเปนนาย เลือกเปนลูกนอง หรือนอง ที่สุด เลือกมาเปนคนใช ทานจะเลือกเอาคนปกติ หรือเลือกคนผิดปกติ ? ขาพเจาคิดวา ทุกคนจะตองมีความคิดตรงกัน คือเลือกเอาคนปกติ วกอนละ หรือจะมี ใครบาง เกิดนึกขลัง จะเลือกเอาคนสติวิปลาส หรือคนวิกลจริต ก็เชิญที่พูดมานี้ คือตองการย้ํา ถาหาก จะมีผูสงสัย ย้ําใหเห็นวาการรักษาศีลนั้น แมวาเปนการรักษาปกติเดิมของตนก็จริง แตก็ เปน การกระทําความดีอยูในตัวพูดอีกที การรักษาศีลเปนการทําความดี โดยตรง แตเปนการ ทํา ความดีชั้นพื้น ที่วามาแลว ถาเปนการทํานาก็ เทียบกับการไถการคราด ถาเปนการ กอสรางตึก รามก็เทียบ กับการตอกเข็มลงรากนั่นเอง หั ว ข อ เ รื่ อ ง ที่ ๗ : เจาะลึกศีลขอที่ ๑ ( ๑ ) "ปาณาติปาตา เวรมณี" เจตนางดเวนจากการทําลายชีวิตสัตว ความมุงหมาย การบัญญัติศีลขอนี้ มุงใหมนุษยมีเมตตากรุณาตอกัน และ เผื่อแผแก สัตว ทั้งปวงดวย ขอหาม โดยตรงคือหามฆาสัตวทุกชนิด แตเมื่อเล็งผลที่มุงหมาย คือการปลูก เมตตาในหมู
สัตว ผูรักษาศีลขอนี้ จะตองเวนการกระทํา ๓ อยางคือ ก. ฆา ข. ทํารายรางกาย ค. ทุรกรรม การกระทําในขอ ก. ศีลขาด ขอ ข. และ ขอ ค. ศีลดางพรอย ก. การฆา หมายถึง การทําลายชีวิตสัตวใหตกลวงไป คือทําใหตายคําวา สัตว หมายเอามนุษยและ เดียรัจฉานทุกชนิด มนุษยก็ไมจํากัดชาติ ไมจํากัดเพศ ไมจํากัดวัย ชั้นที่สดุ แมฆาเด็ก ในครรภกห็ าม บาปกรรมจากการฆา ในทางศีล การฆาสัตวทุกชนิด ผิดศีลทั้งนั้น ศีลขาดเทากัน แตวาทางบาปกรรม ยอมลดหลั่นกัน ทานมีหลักวินิจฉัยบาปได ๓ ประการ คือ ๑. สัตวที่ถกู ฆา ฆาคนบาปมากกวาฆาสัตวเดียรัจฉาน แมในการฆาคนนั้น ฆาคนมีคุณ เชนฆาพอแม หรือ ฆาคนที่มีคุณแกคนอื่น ก็บาปมากกวาฆาคนทั่วไปการฆาสัตวเดียรัจฉาน ฆาสัตวมีคุณ ( เชนฆาโค, กระบือ ) ก็บาปมากกวาฆาสัตวไมมีคุณ ดังนี้เปนตน ๒. เจตนา คือเจตนาของผูฆา ถาฆาดวยเจตนามีกิเลสกลา อํามหิต โหดเหี้ยม เชน รับจาง ฆาคน หรือ ฆาดวยความพยาบาทอันรายกาจ อยางนี้บาปมาก สวนการฆา ดวย เจตนาที่ยังมีเมตตา เชน แพทยทดลองเพื่อหาวิธีมารักษาพยาบาลคนอื่น สัตวอื่น หรือฆาเพื่อปองกันตัว หรือ พลาด
พลั้งทําใหเขาตาย โทษก็เบาลง ๓. ประโยคา คือวิธีทําการฆา ถาฆาโดยวิธีทรมานใหลําบาก ใหหวาดเสียว ใหช้ําใจมาก ก็บาป มาก นอก จากนี้ ยังมีคนบางพวก ถูกโมหะเขาครอบงําจิต ใหเห็นผิดเปนชอบ ถือเอาการฆา เปน กีฬา เชนการยิงนก ตกปลา ลาสัตว สรางความสนุกเพลิดเพลิน ใหแกตนเอง ดวยสิ่งเหลานี้ บาง คนถือวาการกระทําเชนนี้เปนการโกเก เปนคนทันสมัย ดูเปนที่นาเวทนายิ่งนัก เพราะ เปน การฆาโดยไมมีเหตุจําเปนใดๆเลย คือไมใชฆาเพื่อ ปองกันตัว หรือเพื่อกินเปนอาหาร ทั้ง นั้น ฆาเลนสนุกๆเทานั้นเองเราเอาเลือดเอาเนื้อ เขามากิน เลี้ยงตัวเลี้ยงลูกเมียยังไมพอ ยังทํา ใหเขาเสียชีวิตสังเวยความสนุก ประเดี๋ยวประดาวของเราอีกคิดดูเถอะ สัตวเหลานั้น เขา ก็ มีลูก มีพอ มีแม มีเมีย ทีต่ อง หวงใย อกเราฉันใด อกเขาก็ฉันนั้นการฆาสัตวนั้น เมื่อทํา ใหสัตว ตายก็เปนอันศีลขาด แตวาโดยทางบาปกรรม ยอมหนักเบา ตางกันตาม วัตถุเจตนา และ ประโยคดังกลาวมานี้. หั ว ข อ เ รื่ อ ง ที่ ๘ : หลักวินิจฉัยศีลขอที่ ๒ หลังจากที่ไดพูดถึงเรื่องความหมายของโจรกรรม มาซะหลายตอน ตอนนี้ก็มาถึงชวง สําคัญ ที่จะพูดถึงหลักวินิจฉัย วาการขาดศีลขอที่ ๒ นี้ จะตองประกอบดวยเหตุปจจัยอะไรบาง ? ซึ่งเกี่ยวกับเรื่องนี้ ทาน พ.อ.ปน มุทุกันต ทานก็ไดใหคําตอบไววา
"ศีลขออทินนาทานจะขาด ก็ตอเมื่อมีการกระทําครบองคทั้ง ๕ ขอดังตอไปนี้คือ ๑. ปรปริคฺคหิตํ.......................ของนั้นมีเจาของหวง ๒. ปรปริคฺคหิตสฺญิตา.........ตนก็รวู า ของมีเจาของหวง ๓. เถยฺยจิตฺตํ...........................มีจิตคิดจะลัก ๔. อุปกฺกโม.............................พยายามเพื่อจะลัก ๕. เตน หรณํ...........................นําของนั้นมาสําเร็จ ดวยความพยายามนั้น ขยายความ องคที่ ๑ ที่วาของนั้นมีเจาของหวง หมายความวา เปนของที่อยูในกรรมสิทธิ์ของผูใดผู หนึ่ง ผูเปนเจาของนั้น อาจเปนบุคคลธรรมดาก็ได อาจเปนนิติบุคคล เชน ของวัด ของ สมาคม หรือ ชุมชนก็ได ยกตัวอยางเชน ของวัด เชนที่ดิน กุฏิ วิหาร โบสถ เงินทุน และเครื่องมือเครื่องใชตางๆ เปนของวัดใด คณะ สงฆวัดนั้นเปนเจาของ แมวาวัดจะราง พระไมมีแลว ของนั้นก็เปนสมบัติของศาสนา ของประเทศชาติ หรือของรัฐ เชนแมน้ํา ลําคลอง ถนน สะพาน เสาโทรเลข ที่ดินของ หลวง ปาไมหวงหาม เงินหลวง ฯลฯ ซึ่งประเทศชาติบานเมือง ไดมีพระราชกําหนดกฎหมาย หวงหามไว ของสมาคมหรือชุมชน คือของที่คนหลายคนรวมกันเปนเจาของ จัดทําขึ้น หรือกอตั้งไว เชน พรอมใจกันลงแรงลงทุนทํากิจการตางๆ สมาคมหรือกลุมชนนั้นยอมเปนเจาของ องคที่ ๒ หมายความวา เราก็รูวาของที่เราจะถือเอานั้น มีเจาของ ไมใชไมรู หรือจะ
คาขาย สินคาที่ตองหามบางอยาง เราก็รูวาทานหาม หรือรูวาจะตองเสียภาษีอากรอยางไร ถาไม รู จริงๆ ถึงทําลง ศีลก็ไมขาด แมวากฎหมายจะไมยกเวนใหคนไมรูก็ตาม แตทางศาสนา ยกเวน ให ถาไมรูจริงๆ วาของนั้นมีเจาของ หรือมีกฎหมายควบคุม ศีลไมขาด องคที่ ๓ หมายถึงเจตนา คือคนที่หยิบของเขาไปนั้น เจตนาอยางไร คิดวาอยางไร ถาคิด วา ลักเอา ความคิดที่จะลักเอานี้ เรียกตามภาษาทางวินัยพระวา "เถยยจิต" เถยยจิต เปนหลัก วินิจฉัยอทินนาทาน ที่แนนอนจะยืม ศีลก็ไมขาด คิดวาจะเก็บไวให ศีลก็ไมขาด ศีลขาด ดวย เจตนาอยางเดียวคือ คิดวาจะลักเอา ความคิดที่จะลักเอานี้ เรียกตามภาษาทางวินัยพระวา "เถยยจิต" เถยยจิต เปนหลักวินิจฉัยอทินนาทาน ที่แนนอน องคที่ ๔ หมายถึงความพยายาม คําวาพยายามในที่นี้ คือลงมือทํานั่นเอง เชนยื่นมือไป หยิบ ของนั้น หรือกาวเทาเดินไป หรืออาปากขึ้น กลาวตูเอาของ รวมความวา ไมใชเพียงแต คิดจะ ลักเฉยๆ แตไดทําทางกายวาจาประกอบดวย องคที่ ๕ หมายถึงการไดของนั้น การไดของทางวินัย ไมใชวา จะตองไดของนั้น มากิน มาใช เทานั้น แตหมายถึงทําใหของนั้นหลุดลอยจากกรรมสิทธิ์เจาของเดิม หรือแมทําให เคลื่อนที่ ศีลก็ขาดในขณะนั้น ยกตัวอยางเชน ขโมยสัตวพาหนะ พอสัตวนั้นยกเทาครบสี่เทา ถือ วา ของเคลื่อนที่ ผูลัก ศีลขาดจากหลักวินิจฉัยทั้งหานี้ ทานจะเห็นไดวา การที่จะวินิจฉัยวา
ศีลขาดหรือไม ? ยอมขึ้นอยูกับเจตนาของผูนั้นเอง มิไดเอาหลักฐานพยานภายนอก มา เปน เครื่องตัดสินเหมือนทางกฎหมาย โดยนัยนี้คนบางคน ที่ถูกกลาวหาวาลักทรัพย และ ตอง จํานนดวยหลักฐานของโจทก ถึงกับติดคุกติดตะราง แตศีลของเขาอาจบริสุทธิ์อยูกไ็ ด และ ในขณะเดียวกัน ผูที่ทําโจรกรรม แตศาลตัดสินปลอยตัว ใหพนขอหา เพราะหลักฐาน ออน ไมพอลงโทษแตศีลของเขาอาจไมบริสุทธิ์ ก็เปนได เมื่อทราบหลักวินิจฉัยแลว ตอน ตอไป เราจะพูดถึงเหตุผลของศีลขอนี้ ในแงมุมตางๆ ขอไดโปรดติดตาม. หั ว ข อ เ รื่ อ ง ที่ ๙ : ฆาตัวตาย ทําไมถึงบาป ? ตอนนี้เรากําลังพูดกันถึงเรื่องของศีลขอที่ ๑ ซึ่งเปนบทบัญญัติทหี่ ามเรื่องการฆา มันมี ประเด็นหนึ่งซึ่งนาสนใจ และเชื่อวาหลายคนก็คงสงสัยฆาสัตว เรารูแลววาบาป ?... แตถาเราฆาตัวเราเองละ จะบาปไหม?คําตอบก็คือ บาปแนนอน กอนที่จะถึงคําเฉลย วา ทําไม ถึงบาป ? เรามาลองพิเคราะหดูหนอยซิวา อะไรเปนสาเหตุทําใหเขาเหลานั้น ตองคิด สั้นถึง ขนาดฆาตัวตายถาคิดเอง ทํายังไงก็คิดไมออก ก็ลองไปฟงความเห็น ของผูหลักผูใหญ ใน อดีต อยางทาน พ.อ.ปน มุทุกันต อดีตอนุศาสนาจารยกองทัพบก ทาน พ.อ.ปน ทานพูดเกี่ยวกับเรื่องนี้ไววา เหตุผลที่คนฆาตัวตายนั้น มักจะเกี่ยวกับ - ตองการหนีใหพนไปจากความทุกข - ตองการประชดผูอื่น - ตองการแสดงความเด็ดเดี่ยวตามที่ตนเองคิดเห็น ฯลฯ
เหตุผลแตละอยางเหลานี้ เมื่อคิดเปรียบเทียบดวยจิตใจปกติแลว ไมคุมคากับสิ่งที่เสีย ไป คือชีวิตทางศาสนากําหนดกรณีที่ควรจะสละชีวิตไวกรณีเดียว คือเพื่อรักษาธรรมะ คือ ความ ชอบธรรม"ทีนี้ก็เขาสูประเด็นที่ตั้งเปนหัวขอไวในเบื้องตน ทาน พ.อ.ปน ได อรรถาธิบายวา "สําหรับประเด็นที่เกี่ยวกับศีล ถาจะมีคําถามวา คนฆาตัวเองบาป หรือไมบาป ? ก็ตอบ ได ทันทีวาบาปเพราะวาจิตของคนที่ฆาตัวเอง ถูกโมหะ (ความหลงผิด) ครอบงํา จึงฆาจิตที่ มีโมหะนั่นแหละเปนจิตบาป ฉะนั้นคนฆาตัวตาย เพื่อพนจากภาวะที่ทุกขยาก จึงพนได เฉพาะ สวนรางกาย และในสายตาของคนอื่นเทานั้น ในทางธรรม โดยเฉพาะกฎเกณฑทางจิตใจ เห็นไดชัดวา ผูฆาตัวเอง หาไดพนทุกขไป ไม มีแตภาวะทางจิตใจของเขากลับทรุดต่ําลงไปอีกสวนการฆาตัวตายอีก ๒ - ๓ ประเด็น นั่นเปน เรื่องของโมหะ คือความโงแทๆ จึงเปนบาปโดยไมตองสงสัย" เรื่องฆาตัวตาย หมด ปญหาไป แตก็ยังมีปญหา ใหสงสัยตอไป... แตจะสงสัยเกี่ยวกับเรื่อง อะไรนั้นตองติดตามตอใน สัปดาห หนาแลวละครับ หั ว ข อ เ รื่ อ ง ที่ ๑๐ : ใครได - ใครเสีย ? ( ๑ ) เมื่อตอนที่แลว ไดพูดถึงหลักวินิจฉัย ในศีลขอที่ ๒ เปนที่เรียบรอยแลว ในตอนนี้ ก็จะ พูดถึง เหตุผลประกอบในแงมุมตางๆเกี่ยวกับเรื่องนี้ ทาน พ.อ.ปน มุทุกันต ทานไดกลาวไววา ศีลขอที่ ๑ กับ ศีลขอที่ ๒ เปนเรื่องเกี่ยวกับชีวิตดวยกัน แตเกี่ยวคนละดาน
ศีลขอที่ ๑ ทานหามไมใหทําลายชีวิตของผูอื่น ศีลขอที่ ๒ ใหรูจักเลี้ยงชีวิตของตนเอง และไมทําลายเครื่องเลี้ยงชีวิตของคนอื่นดวย การเลี้ยงชีวิต บางคนเห็นวาเปนการเลี้ยงรางกาย เปนเรื่องของวัตถุ ไมนาเกี่ยวกับบุญ บาป ซึ่งเปนเรื่องของใจโทษของการลักขโมยเขากิน บางคนก็คิดแตเพียงวา ที่ทานหาม ก็ เพราะ เปนการทําใหคนอื่นเดือดรอน อีกทีก็เห็นเพียงวา โทษของการขโมยเขากิน ก็คือการติด คุก ติดตะรางความเห็นเหลานี้ถูกทั้งนั้น แตถาเห็นเพียงเทานี้ ก็ยังเปนความเห็นที่แคบ ไม พอคุม ตัวไดผมเคยไดยินกับหู มีคนพูดวา ขาราชการโกงเงินหลวงไมบาป ไดยินจริงๆ ใน ระหวาง ปลายสงครามโลกครั้งที่ ๒ ซึ่งเปนระยะที่ศีลขอที่ ๒ นี้ กลับเขาไปอยูกับพระเสียมาก ทานผูพูดอธิบายวา การที่ทานหามลักทรัพย ก็เพราะมุงผล ๒ อยางเทานั้น คือมุง ไมให ทําใหคนที่เปนเจาทรัพยเดือดรอน นั่นประการหนึ่งอีกประการหนึ่ง มุงปองกันผูรักษา ศีล ไมใหพัวพันกับความผิด ซึ่งจะทําใหตองติดคุกติดตะราง เปนการเดือดรอน เมื่อเปน เชนนี้ ก็มีทางพิจารณาลงความเห็นวา การโกงเงินหลวงนั้น ไมเห็นมีผูใดจะตองเดือดรอน ใน ฐานะ เปนเจาของทรัพย หลวงเองก็ไมมีเนื้อมีตัว ไมมีลูก ไมมีเมีย ที่จะตองดูแล เพราะฉะนั้น จึง หมดปญหาที่วา เปนการทําใหเจาทรัพยเดือดรอนเหลืออยูประตูเดียว ระวังตัวอยาให เขาจับ ได ถาใครมีไหวพริบพอตัวก็ไมตองกลัวความเห็นอยางนี้ นาจะเปนเหตุหนึ่ง ที่ทําให
การ ทุจริตตางๆระบาดไปทั่วแผนดินไทยชั่วระยะหนึ่ง ซึ่งเรายังจํากันไดดีอันที่จริง เห็น อยางวา นั้นไมถูก เงินหลวงนั้นมีเจาของเหมือนกัน คือคนทั้งประเทศนั่นแหละเปนผูเสียหาย เห็นอยาง นี้ ยังไมครบถวนทุกประเด็น ผมจึงพูดวา เปนความเห็นไมคุมตัว ความจริงการลักขโมย หรือ ฉอโกงนั้น ยังมีทางเสียหายที่รา ยแรงที่สุดอยูอีกทางหนึ่ง คือเปนการทําลายฐานะ ความ เปน มนุษย(มนุษยภาพ)ของตนเอง อยางไมมีทางหลีกเลี่ยงไดเลยเมื่อเขาใจในแงนี้แลว จึงจะเห็นวา โทษ ๒ ประเด็นแรก คือเกี่ยวกับการทําใหคนอื่นเดือดรอน และการ ติด คุก ติดตะรางเหลานั้น เปนเพียงโทษชั้นนอก ผิวเผินนักทานคงจะจําไดอยูเสมอวา ในตัวเรา นี้ มีสิ่งสําคัญควรรักควรหวงแหนที่สุดอยูอยางหนึ่ง คือจิตใจ จิตใจเทานั้นที่ ทําใหตัวเรา ทั้งตัวมีความหมายแตจิตของคนเรา มีโรคเกาที่ยังไมหายขาดอยู ๓ อยาง คือความโลภ ความโกรธ ความหลงการรักษาศีล เปนวิธียับยั้งโรคเหลานี้ ไมใหกําเริบขึ้น การผิดศีล ขอ ๒ คือการลักฉกฉอโกงเอาทรัพยของคนอื่น ก็เปนการกระทําอยางหนึ่ง ที่ทําใหโรคเกา ของจิตกําเริบตามปกติของจิต พอเริ่มคิดจะลักทรัพย หรือคิดฉอโกง ฉกชิงเอาทรัพย ของคนอื่น จิตจะเริ่มมีอาการเปลี่ยนแปลง ขาดความสงบเยือกเย็น เปนจิตที่ กระสับกระสาย อาการเหลานี้ ใครทําใครรู นี่แหละ จิตเริ่มเปลี่ยนแปลงถา เจาตัวยังพยายาม ทําทุจริต อีกตอไป จนความพยายามมันสําเร็จลงแตละครั้ง จิตก็ลดฐานะลงสูภาวะที่ต่ํา กวาเดิม ทุกครั้ง "ยังไมจบนะครับ ตอนหนายังมีตอ หั ว ข อ เ รื่ อ ง ที่ ๑๑ : ใครได ใครเสีย ( ๒ )
เมื่อตอนที่แลว ทาน พ.อ.ปน มุทุกันต ทานไดทิ้งทายเอาไววา "ตามปกติของจิต พอเริ่มคิดจะลักทรัพย หรือคิดฉอโกง ฉกชิงเอาทรัพยของคนอื่น จิต จะ เริ่มมีอาการเปลี่ยนแปลง ขาดความสงบ เยือกเย็น เปนจิตที่กระสับกระสาย อาการ เหลานี้ ใครทําใครรู.....นี่แหละ จิตเริ่มเปลี่ยนแปลง ถาเจาตัวยังพยายามทําทุจริตอีกตอไป จน ความ พยายามนั้นสําเร็จลงแตละครั้ง จิตก็ลดฐานะลงสูภาวะที่ต่ํากวาเดิมทุกครั้ง" ตอนนี้ เรามาฟงกันตอครับ ทาน พ.อ.ปน ไดย้ําวา "ถานักศึกษาสังเกตลักษณะวินิจฉัยอทินนาทาน ๕ อยาง จนทานเห็นวา ไดเอาความ เปนไป ทางจิตของผูลวงศีลนั้นเอง เปนเครื่องวินิจฉัย ศีลขาด หรือไมขาดความเปนไปทางจิต ที่วา นี้ ไดแก - ตนรูวาของที่จะลักนั้นมีเจาของ - ตนคิดวาจะลัก - ตนพยายามจะลัก - ตนไดของนั้นมา รู คิด พยายาม สามอยางนี้ เปนอาการของจิตที่แปรไปตามลําดับ คือจิตรูวา ของมี เจาของ แลวจะตองรับรู คือรับเอาความรูของจิตไวเพียงนั้น แตนี่หาเปนเชนนั้นไม รูแลว แทนที่ จะ รับรู กลับถูกกิเลสคือโลภะผลักดัน ใหเหยียบย่ําความรู คิดจะลักเอาของนั้น ทั้งๆ ตัวก็รู จิตก็ เลยถูกฝนตัวเอง ใหแปรสภาพไปตามกิเลส และแลวก็ถูกกิเลสเรงเราตอไป คือใหคิด
พยายาม หาทางจะลักจะโกง แลวแตเรื่องตอนพยายามจะลักนี้ จิตจะเดินในวิถีต่ําทรามตลอด เวลา เพราะครุนคิดหาวิธีการสนองกิเลสวา ควรจะใชวิธีใด - ฆา - ยิง - ฟน - หลอกถาเปรียบ จิตเหมือนผูเหมือนคน ก็คลายๆคนที่ลงไปเดินทองอยูในลําธารสิ่งโสโครก ยิ่งเดินนาน เดิน ไกลผูเหมือนคน ก็คลายๆคนที่ลงไปเดินทองอยูในลําธารสิ่งโสโครก ยิ่งเดินนานการ แปร สภาพ ของจิตขั้นเลอะมากสุดทาย จะเกิดขึ้นอีกครั้งหนึ่ง คือตอนที่ไดของมา ซึ่งเปน องคที่หา การไดของนั้นมาดวยการลักขโมย พอจิตรับรูวาไดมาแลว จิตจะคิดวา ดีแลว สมใจคิด ไมดีเลย เสียใจ ฯลฯ แลวแตความคิดจะเกิดขึ้นความคิดที่เกิดขึ้นนี้ ทําใหจิตแปรสภาพ อีก ครั้ง คือถารูสึกวายินดีกับของนั้น ก็เปนการยินดีกับการทําชั่ว ทําใหจิตต่ําทรามลงถา รูสึก ไมพอใจกับของที่ไดมา เพราะนอยไป หรือไมดีพอ จิตก็แปรสภาพ เปนถูกกิเลสแผด เผา ซ้ําเติม ทําใหคิดหาทางทําบาปตอไปอีกตกลงวา ความคิดในวาระสุดทายของโจรกรรม เปนความคิดที่ทําใหจิตทรุดต่ําลงอีกความต่ําทรามของจิตนี่แหละ คือผลแทของการลัก เขากิน ขโมยเขากิน"ตอนหนา ทาน พ.อ.ปน มุทกุ ันต ทานจะแยกแยะใหเราไดเห็น อยาง ชัดเจนวา บาปเริ่มเกิดขึ้นในจิตตอนไหน ระหวาง ๕ ขั้นตอน ผูสนใจ ไมควรพลาด หั ว ข อ เ รื่ อ ง ที่ ๑๒ : ใครไดใครเสีย ? ( ๓ ) ตามที่ไดเกริ่นไวในตอนกอนวา สําหรับตอนตอไป ทาน พ.อ.ปน มุทุกันต ทานจะ แยกแยะ ใหฟง ถึงเรื่องบาปที่จะเริ่มเกิดขึ้นในจิตตอนไหน เรามาฟง ทานอธิบายกันเลยครับ
"เพื่อใหนักศึกษาสังเกตวาระจิตใหแนๆวา บาปเริ่มเกิดขึ้นในจิตตอนไหน โปรดดู ลําดับ ความเปลี่ยนแปลงของจิตตอไปนี้ ลําดับ ๑ ของนั้นมีเจาของ ( ขอนี้ไมเกี่ยวกับบาปบุญ ) ลําดับ ๒ เรารูวาของนั้นมีเจาของ ( บาปยังไมเกิด เพราะการรูนั้น เปนความดีอยู ) ลําดับ ๓ เราคิดวาจะลัก ( จิตเริ่มถูกกิเลสรบกวน ใหละเมิดความรูของตนเอง ) ลําดับ ๔ เราพยายามจะลัก ( จิตเดินอยูในความชั่วตลอดเวลา ) ลําดับ ๕ รับรูการไดของนั้นมา ( เกิดบาปขึ้นอีกครั้งหนึ่ง จิตตก ฐานะต่ําลง ) ตามลําดับที่แสดงนี้ เพียงชั่วระยะการทําโจรกรรมครั้งหนึ่งๆเทานั้น ยิ่งถาเล็งถึง กฎเกณฑ ทางจิตตอไป บาปยังจะเกิดขึ้นแกจิตอีกหลายสิบหลายรอยครั้งยกตัวอยาง เราขโมย แหวน เขามาวงหนึ่ง ตอมาอีก ๑๐ ป เมื่อเราหยิบแหวนวงนั้นมาสวม เราจะเกิดความรูสึกขึ้น อัน หนึ่ง เกี่ยวกับการไดแหวนวงนั้นมา เชน นึกดีใจ ที่ขโมยเอามาได หรือภูมิใจที่ตูเอามา ได ความนึกคิดที่พอใจในความชั่วรายของตนเองนี้ เมื่อเกิดขึ้นในจิตทีไร ยอมทําใหจิตเกิด การ เคลื่อนไหวในทางต่ําลงทุกครั้งทุกคราไดกลาวมาแลววา จิตของเรานี้ ถาคุณภาพต่ําลง ไป มาก จิตก็หลุดจากภพที่สูง เขาสูภพที่ต่ําลงๆ ตามที่อธิบายมาแลวในตอนกอน คือตามหลักเกณฑทางจิต จิตชนิดใด ก็ยอมเขาสูรางที่เหมาะกับจิตชนิดนั้น ขาพเจา อยาก จะพูดใหขาวกระจาง แตก็เกรงวา ทานผูอานจะคิดนอกเรื่อง เห็นไปวาขาพเจา พูดสูง พูดต่ํา
แลวก็จะมาหลงขัดใจกัน แตมาคิดอีกทีวา คนเรานี้ขัดใจกันไวบางก็ดีเหมือนกัน เลนไม ขัดกัน เสียเลยประเดี๋ยวก็อับปางกันทั้งเมืองเทานั้นเอง ขอโทษนะ คืออยากจะวาบรรดาสัตว โลก มีอยู ๓ ชั้นคือ - เทวดา เปนพวกจิตใจสูง - มนุษย เปนพวกจิตใจชั้นกลาง - เดรัจฉาน เปนพวกจิตใจต่ําที่สุด ความรูสึกนึกคิดที่จะหาเลี้ยงชีวิตของสัตวโลก ๓ พวกนี้ ก็สูงต่ําตางกัน คือพวกเดรัจฉานไมรับรูสิทธิในทรัพยของกันเลย แตมนุษยรูสิทธิของกัน แตยังมี บังอาจ ละเมิด ทั้งๆที่รูในบางครั้ง สวนพวกเทวดานั้น รูดวย และไมกลาละเมิดดวย นี่คือจิตที่ สูง ขึ้นตามลําดับ ารที่เราเกิดมา ไดรางเปนคนกับเขาในชาตินี้ ก็เพราะฐานะของจิตสูงขึ้น มาก แลวซึ่งเปนผลการฝกหัดอบรมของเราเอง เปนเวลานานเทาไรแลวก็ไมรทู ีนี้ ถาเราไป ฝกหัด จิตตัวเอง ใหเห็นไมสําคัญในกรรมสิทธิ์ของคนอื่น ก็เทากับเรากลับหลังหันบายหนาลง ไปหา พวกโนน มันไปไดจริงๆ ไมใชแกลงวา ใจเราเองนั่นแหละ จะเกิดพิศวาสในราง อยาง ที่วานั้น เขาเองดูงายๆ แมแตในพวกคนเราดวยกัน ซึ่งยังมีชีวิตอยูนี่ คนที่ใจชอบละเมิดสิทธิของ คนอื่น ถาบังเอิญตัวไปตกอยูในกลุมที่เขาเคารพในสิทธิของกัน ใจเขาจะรูสึกไมสบาย คับแคบ รําคาญ อยากจะปลีกหนีไปอยูกับกลุม ที่เขาไมนําพากับเรื่องเหลานี้ ถาไดเพื่อนชนิดนั้น
หรือ ไปอยูในสังคมชนิดนั้น ก็จะรูสึกโลงหัวอก ดีอกดีใจ นั่นแสดงวา จิตหันลงต่ํา ประเภท "กลับหลังหัน" ที่วามาแลวนี่แหละทาน ชั่วชีวิตเดียว จิตยังเหหันไปไดอยางนี้ ไมตองสงสัยวา ในการทองเที่ยว จากภพ สูภพ เปน เวลายาวนาน จิตจะทรุดต่ําลงเพียงใด" เรื่องของศีลขอ ๒ ยังไมจบนะครับ ตอนตอไป ทาน พ.อ.ปน มุทุกันต จะพูดถึงเหตุผลที่วา ทําไมทานจึงหามการลักขโมย ผูที่สนใจ พลาด ไมได ครับ หั ว ข อ เ รื่ อ ง ที่ ๑๓ : ศีลกับความเจริญของชาติ เรื่องของศีลขอที่ ๒ ทาน พ.อ.ปน มุทกุ ันต ไดช้แี จงแสดงเหตุผล มาใหฟง หลายแงหลาย ประเด็นแลว สําหรับในตอนนี้ เปนตอนสุดทายของศีลขอนี้ ทาน พ.อ.ปน จะพูดใน หัวขอที่ เกี่ยวกับ "ศีล กับความเจริญของชาติ" เนื้อหาจะเปนอยางไร เชิญติดตามครับ "ถอยออกมาพูดเรื่องนอกๆดูบาง คือปญหาทางสังคม ศีลขอนี้ ทําใหสังคมดีขึ้น หรือ เสื่อม ลงพูดกันงายๆดีกวา ที่พระหามลักทรัพยนี้ ทําใหประเทศชาติเสื่อมโทรม หรือเจริญขึ้น ... ขอใหเราวิจารณกันอยางเสรี เพราะพระพุทธองคไมทรงหามการวิจารณ วาอยาง โบราณก็ วาไมมีหมอนรก ไวสําหรับคนคิดหาเหตุผลในธรรมะของพระพุทธเจาครั้งหนึ่ง ผมได เผชิญ กับปญหาเรื่องศีลกับสังคม ในสถาบันชั้นสูงแหงหนึ่งขณะกําลังทํา การบรรยายวิชา พุทธ
ศาสตร มีผูฟงทานหนึ่ง ขออนุญาตลุกขึ้นถาม เปน ; เชิงอภิปรายโจมตี ใจความก็วาการ ที่ ศาสนาบัญญัติศีลหาและสั่งสอนให ประชาชนรักษาศีลเหลานี้ ทําใหประเทศชาติลา หลัง การหามฆาทําใหคนไทย ขี้ขลาด เปนทหารที่ดีไมไดการหามขโมย ทําใหขาดความ กระตือ รือรน ในการลักลอบฉกชิงเอาแผนการของชาติอื่นมาใช ฯลฯ และประเด็นอื่นๆ อีกหลาย ประเด็น นักศึกษาทั่วหองเงียบกริบ และยิ่งเงียบเชียบเพิ่มขึ้นอีก เมื่อทานเจาของญัตติจบอภิปราย ดู เหมือนจะรอฟงวา ผมจะทําอยางไร กับปญหารุนแรงเหลานั้นแทนคําตอบ ผมไดโยน ญัตตินั้น ใหที่ประชุม โดยวิธีตั้งญัตติใหลงคะแนนทีละประเด็นผมกลาววา "ทานผูมีเกียรติทั้งหลาย ศีลหาไมใชของผมคนเดียว เปนสมบัติชิ้นหนึ่ง ในศาสนา ที่ เรา ทุกคนเปนเจาของรวมกัน ประเทศชาติก็เปนของเราทุกคน บัดนี้มีปญหาวา ขอหาม ตางๆใน ศีลหานั้นทําใหชาติบานเมืองของเราเสื่อม โทรม จึงขอใหทุกทานวินิจฉัยดูวา ถาทาน เปนผู มีอํานาจใหญยิ่งในแผนดิน ไทย สามารถจะเพิกถอนธรรมเนียมประเพณีไดทุกอยาง ขอ ถาม วา ในกรณี ตอไปนี้ ทานผูใดจะเลือกเอาทางไหน ? โปรดยกมือ "เกี่ยวกับการฆา" วิธีที่ ๑ หามคนไวไมใหฆากัน
วิธีที่ ๒ เปดใหคนฆากันโดยเสรี ( ผลการยกมือ วิธีที่ ๑ ชนะคะแนน ) "เกี่ยวกับการลักทรัพย" วิธีที่ ๑ หามไมใหคนลักขโมยของกัน วิธีที่ ๒ เปดใหคนขโมยของกันโดยเสรี ( ผลการยกมือ วิธีที่ ๑ ชนะคะแนน ) ฯลฯ ปรากฏชัดเจนวา นักศึกษาชั้นสูง ขนาดที่จะเปนสมองของประเทศเหลานั้น ได ลงคะแนน สอดคลองกับศีลหาทุกคนแตมีคนหนึ่งที่งดลงคะแนน คือทาน เจาของญัตตินั้น เปนอันวา ผมพบทางออกที่เปลืองแรงนอยที่สุด วาเฉพาะเรื่องการลักขโมย ที่บางทานคิดวิตกกังวลวา ถาคนไทยมัวถือ ศีลแลว จะ ขโมย ไปไมเปน ทําใหบานเมืองไมเจริญกาวหนานั้นคิดถึงแตใน แงที่วา ในการรบกับขาศึก นั้น อาจตองขโมยแผนการหรือขาวของฝาย ตรงขาม เพื่อใหไดเปรียบในการรบ ซึ่งความ จริง ก็เปนความคิดที่มอง เห็นการณไกล แตไมรอบคอบ ทําไมไมนึกบางวา ถาไมมีขอหาม ไมให คน ลักขโมยของกันไวเลย ทุกคนหยิบและฉกชิงของคนอื่นได ตามใจชอบ ลักขโมย ของ กันไวเลย ทุกคนหยิบและฉกชิงของคนอื่นไดตามใจชอบ แลวจะเกิดอะไร ขึ้นใน เมืองไทย ? ถาใหมีนิสัยขโมยแลว
- จะเอาเงินที่ไหนมาสรางคุกเพียงพอ ? - จะเอาเงินที่ไหนมาขยายกําลังตํารวจ ? - จะทําอยางไร เบี้ยเลี้ยงเงินเดือนทหารจึงจะถึงมือทหาร ? - ทําอยางไร อาวุธยุทธภัณฑจึงจะมีอยูในคลัง จนถึงวันรบกับขาศึก ? และปญหาสําคัญอีกขอหนึ่งก็คือ ทําอยางไร คนไทยเอง จึงจะไมขโมย แผนการของ กองทัพ ไทยไปขายใหขาศึก ?การที่จะยอมเลิกศีลขอสองเสีย เพื่อฝกคนไทยใหกลาลักแผนการ ของ ขาศึกนั้น ควรทําแนหรือใครๆก็ตอบได"ตอนหนา ทาน พ.อ.ปน จะเริ่มอธิบายในเรื่อง ของ ศีลขอที่ ๓ เปนลําดับตอไป ผูสนใจโปรดติดตาม หั ว ข อ เ รื่ อ ง ที่ ๑๔ : ศีลขอ ๓ นามกาเม ทาน พ.อ.ปน มุทุกันต ไดอธิบายศีลใหเราฟงมา ๒ ขอแลว ตอนนี้ก็ จะเริ่มขอตอไป คือ ขอที่ ๓ ศีลขอที่ ๓ กาเมสุมิจฉาจารา เวรมณี เจตนางดเวนจากการประพฤติผิดในกาม ขอ หาม ( ทั้งหญิง ทั้งชาย ) ไมใหประพฤติผิดประเวณี หลักวินิจฉัยกาเมสุมิจฉาจาร กาเมสุมิจฉาจาร มีองค ๔ ๑. อคมนียวัตถุ.........................หญิง ( ชาย ) ตองหาม ๒. ตัสมิง เสวะนะจิตตัง.............มีเจตนาจะเสพ ๓. เสวะนัปปะโยโค......................ประกอบการเสพ ๔. มัคเคนะ มัคคัปปฏิปตติ............มรรคถึงกัน
อธิบายทางตํารา ศีลขอนี้ เปนขอหามในทางเสพกาม คือกันไมใหคนประพฤติผิดประเวณี เปนการหาม ทั้ง ฝายชาย ทั้งฝายหญิงการเสพกามนั้น ภาษาทางศาสนา ใชคําวา "เสพเมถุน"บาง "เมถุน ธรรม" บางคําวา "เมถุน" แปลวา "คนคู" เมถุนธรรม ก็แปลวา พฤติการณของคนคู ความหมาย ก็อยาง เดียวกัน คําวา คนคู หมายถึง ชายกับหญิงเปนคูกัน ในชื่อเดือนทั้ง ๑๒ เดือน ก็มีเดือนเมถุนอยูเดือนหนึ่ง คือเดือนมิถุนายน ซึ่งก็มีชื่อออก จากคนคู เหมือนกันคือในเดือนมิถุนายนนั้น พระอาทิตย กําลังโคจรผานราศีดาวกลุมหนึ่ง ซึ่งมี ลักษณะ คลายๆหญิงชายยืนคูกัน เลยตั้งชื่อเดือนนี้วา เมถุน หรือ มิถุนายนแตคําวา เมถุนธรรม ตาม ความหมายในทางศีล หมายถึงการสองเสพระหวางชายหญิงเมถุนธรรมนัน้ สําหรับ พวก คฤหัสถ ทานไมหาม ที่หาม หามเฉพาะการทําผิด คือ ประพฤติชั่วเพราะเรื่องนี้
ความประพฤติชั่วเพราะเมถุน ทานเรียกวา มิจฉาจาร ซึ่งแปลตรงๆวา ประพฤติผิด แต ถา พูดเต็มศัพทตองพูดวา กาเมสุมิจฉาจาร แปลวา ประพฤติผิดในกาม" เรื่องการประพฤติ ผิด ในกามนี้ มีหลายคนสงสัยวา ลวงละเมิดชายหญิงประเภทใด จึงจะผิดศีลขอนี้ฉะนั้น ตอน หนามาฟง พ.อ.ปน มุทุกันต เฉลย ถึงชายตองหาม และหญิงตองหาม สําหรับศีล ขอที่ ๓ นี้
หั ว ข อ เ รื่ อ ง ที่ ๑๕ : หญิงตองหาม เมื่อตอนที่แลว ทาน พ.อ.ปน มุทุกันต ไดเริ่มอธิบายถึงศีลขอที่ ๓ แตมาคางตรงประเด็น ที่วาหญิง - ชายประเภทไหน จึงจะเรียกวา หญิงตองหาม ชายตองหาม ซึ่งถาใครไปยุง เกี่ยว ดวย จะผิดศีลขอ ๓ สําหรับครั้งนี้ เรามาฟงคําเฉลยกัน ทาน พ.อ.ปน ทานพูด ถึงหญิง ตอง หามกอน โดยทานบอกวา"หญิงที่ตองหาม มี ๓ จําพวก คือ ๑. หญิงมีสามี หมายถึงหญิงที่อยูกินกับชายอื่นฐานภรรยาสามี ทั้งนี้ไมวาเขาจะไดทํา พิธี แตงงานกันหรือไมก็ตาม และจะไดจดทะเบียน สมรสตามกฎหมายหรือไม ไมถือเปน ประ มาณ ขอสําคัญอยูที่วา เขาไดอยูกินเปนสามีภรรยากันโดยเปดเผยเทานั้นหญิงประเภทนี้ จะหมดภาวะที่เปนหญิง ตองหาม ก็ตอเมื่อสามีตายแลว หรือไดบอกหยาขาดกับสามี แลว หญิงที่สามีถูก กักขัง เชนจําคุก ถาไมไดหยาขาดจากกัน ก็คงถือวาหญิงมีสามี แมสามี ตอง จองจําตลอดชีวิต ตนก็ยังอยูในฐานะเปนหญิงตองหาม จนกวาสามีจะสิ้นชีวิต ชายใด สมสู ดวยผิดศีลและเมื่อเล็งถึงการทําลายความไววางใจกัน นอกจากการ รวมสังวาสแลว ผูรักษา พึงเวน แมการผูกสมัครรักใครฐานชูส าว การเกี้ยวพาราสี หรือแมแตเลนหูเลนตา กับ ภรรยา ทานผูอื่นในเชิงชูสาว ๒. หญิงมีญาติปกครอง คือหญิงสาวที่ไมเปนอิสระแกตน แตอยูในการ ปกครองดูแล ของพอ
แม พี่ ปา นา อาหรือผูอุปการะ ซึ่งนับวาเปนผูใหญของตน หญิงประเภทนี้ ถาชายอยาก ได มาเปนภรรยาก็ตองติดตอสูขอจากผูใหญ ใหชอบ ดวยประเพณีจัดไดเปนศรีแกตนและ วงศ สกุล ชายใดลักลอบสมสูหรือฉุดครา ลักพาเอาไป เปนผิดศีลการผิดศีลในขอนี้ เกิดจาก การ ขืนน้ําใจทาน ทําใหผูมีพระคุณ ตองช้ําใจ ผิดทั้งหญิงทั้งชายหญิงที่ผูใหญรบั ของหมั้น จาก ชายแลว ตกลงวาจะให แตงงานดวย นับแตรับของหมั้นแลว หญิงนั้นยอมเปนสิทธิของ คู หมั้น จนกวาจะไดคืนของหมั้น หรือบอกเลิกการหมั้นเสีย"หญิงตองหาม ยังไมหมดนะ ครับ ยังมีเหลืออีกประเภทหนึ่ง แตมีคําขยายความคอนขางยาวจึงขอยกไวคราวหนา ผูใด สนใจ อยาลืมติดตามในตอนตอไปครับ หั ว ข อ เ รื่ อ ง ที่ ๑๖ : ชายตองหาม ตอนนี้ กําลังอยูในหัวขอของศีลขอที่ ๓ เมื่อตอนที่แลว ทาน พ.อ.ปน มุทุกันต ไดพูดถึง หญิงตองหามทั้ง ๓ ประเภท มาจนครบถวนแลว ตอนนี้ ก็ถงึ คราวของ ชายตองหาม กัน บาง ชายตองหามในที่นี้ ทาน พ.อ.ปน อธิบายวา "คือชาย ที่หญิงสมสูไมได ทานยกขึ้น แสดง เพียง ๒ พวก คือ ๑. ชายอื่นนอกจากสามีตน ( สําหรับหญิงมีสามี ) ๒. ชายที่จารีตหาม ( สําหรับหญิงทั่วไป )
ขอที่หนึ่ง สําหรับหญิงที่มีสามีแลว และยังอยูกินกับสามี ใหถอื วา ผูชายทุกคน นอกจาก สามี ตน เปนชายตองหามทั้งนั้น ขอที่สอง สําหรับหญิงทั่วไป คือทั้งที่มีสามีและไมมี ใหพึงถือวา ชายที่มีจารีตหาม เชน นักบวช ในศาสนา ที่หามเสพเมถุน เปนชายตองหาม มิใหยินยอมพรอมใจในการสังวาส ถาเปน ใจดวย ....ผิดศีลขอนี้ ถาไมเปนใจ....ศีลไมขาด" หั ว ข อ เ รื่ อ ง ที่ ๑๗ : ศัพท "กาเมสุ" "มีบางทานถามมาวา ศีลขอนี้ดูเหมือนจะเอียง คือหามเฉพาะฝายหญิงเปนสวนใหญ พูด งายๆ คือเขาขางผูชาย ยกตัวอยางเชน ชายโสดไปสมสูกับหญิงที่ไมตองหาม ไมผิดศีล แต ถาหญิงโสด อยูในปกครองของบิดามารดา คือไมเปนอิสระแกตัว ถารวมสมสูกับชาย เปนผิด ทั้งนั้น เพราะถือวาละเมิดน้ําใจของบิดามารดา หรือผูปกครองของตน ดังนี้เปนตน แตเมื่อมาบรรยายเรื่องศีลกาเมเขา ก็อยากจะเอามาเขียนลงไวเสียดวย เรื่องการบัญญัติ ศีล สิกขาบทสําหรับภิกษุณี ก็มากกวาของฝายภิกษุ แมแตจะอุปสมบทเปนนางภิกษุณีได ก็ ลําบาก ยากเย็นกวาชาย เกี่ยวกับทางเมถุนธรรม จํากัดขอบเขตฝายหญิงมาก เปนความจริง ถึง ใน วินัยพระแตเรื่องอยางนี้ เปนเรื่องเหตุผล ไมใชลําเอียงอยางบางคนวา พระพุทธเจา เปน ผูชาย ก็หามเขาขางผูชาย ไมใชอยางนั้น คิดดูงายๆวา ถาผูชายคนหนึ่ง มีลูก ๒ คน คนหนึ่งเปนลูกชาย อีกคนหนึ่งเปนลูกหญิง ทีนี้ ชายคนนั้นตองตัดกางเกงสากลใหลูก
ชาย สวนลูกสาว ตัดกระโปรงให กางเกงกับกระโปรงนั้น รูปทรงตางกัน เนื้อผาก็ตางกัน เราจะ ทวงวา นายคนนั้นแกไมยุติธรรมกะลูก จะควรหรือ ?...นี่มันเรื่องเหตุผล ซึ่งจําเปนตอง ตาง กัน เหมือนกันไมไดผูชายนุงกางเกง พอซื้อกางเกงให ก็ชอบดวยเหตุผลแลว ผูหญิงนุง กระ โปรง พอซื้อกระโปรงให ด็ชอบดวยเหตุผลแลวถาเกิดอุตริไปใหเหมือน กันเขา มันก็ ผิด ดูไม ไดเลย ในเรื่องขอหามตางๆก็เหมือนกัน ทานตองพิจารณาถึงผล ไดผลเสีย จึงจะได ประโยชน และเปนความยุติธรรมอยูในตัว เพราะความผิดเกี่ยวกับ ทางเมถุนนี้ ฝายหญิงยอม มีทาง เสีย หายมากกวาชาย เปนที่ทราบอยูแลว ทีนี้วาถึงศัพท คําบาลีสําหรับศีลสิกขาบทนี้วา "กาเมสุมิจฉาจารา" แปลวา ประพฤติผิด กาเมสุ เปนพหูพจน เวลาแปล ตองแปลวา ในกามทั้งหลายคําวา "ทั้งหลาย" คือมาก ตั้งแต ๒ ขึ้นไป เมื่อศัพทเดิมวาไวอยางนี้ ก็เลยทําใหนักภาษา พากันคิดถึงความหมาย คือมี ปญหาวา เหตุใดทานจึงใชคําวากามทั้งหลาย จะใชคําวา กามเฉยๆ ไมไดหรือ ? บางคนวิจารณไป ใน กาม คุณ๕ คือ รูป เสียง กลิ่น รส สัมผัสที่วาผิดในกามทั้งหลาย ก็คือผิดใน ๕ อยางนี้ ดู ก็เขา ทีเขาใจคิด แตครั้นถูกไลเลียงเขาไปอีกวา การผิดศีล ขอกาเมนี้ ผิดในรูป ในเสียง ใน กลิ่น ในรส ผิดไมไดเห็นรูปเมียเขาสวยๆ มองแลว มองอีก ก็ไมผิดศีลไดยินเสียงเมีย คนอื่น รอง
เพลงเพราะๆ แอบชอบเสียงเขา ก็ไมผิดศีล ในกลิน่ ในรส ก็เหมือนกัน
ความจริงทางออกมี คือในวัตถุกามทั้ง ๕ นั้น ทําใหศีลขาดไดอยางเดียวคือ "สัมผัส" เทานั้น ที่วา สัมผัส ในที่นี้ ถาพูดตามภาษาชาวบานก็วา การถูกเนื้อตองตัวกัน มาถึงตรงนี้ พอจะมอง เห็นทางออกแลว คือการถูกเนื้อตองตัวนั้น เปนเรื่องของคนคู คือคน ๒ คนขึ้นไป คน เดียวจะ ถูกเนื้อตองตัวใหผิดศีลไมได เพราะฉะนั้น ในบางแหงทานจึงใชศัพทวา"เมถุนธรรม" แปล ตรงตัววา"เรื่องของคนคู" ออกทางนี้ เขาทีดีกวา เห็นความไดชัดทีเดียว ตกลงวา คําวา "กามทั้งหลาย" หมายถึงเมถุนธรรม คือพูดรวบยอดวาลวงประเวณี หรือผิดประเวณี ไดมีบางทาน แปลศัพท กามะ วาของที่รักใคร แลวอธิบายวา ของรักของใครนั้น หมายถึง พัสดุสิ่งของทุกอยางดวย แมแตเด็กคนหนึ่ง มีตุกตาที่เขารักและหวงแหนมาก แลวมี เด็กอีก คนหนึ่งมาถูกตองตุกตาตัวนั้น เด็กที่มาถูกตอง ก็ถือวาผิดในกาม เสียศีลขอนี้ดวย อธิบายอยางนี้ เปนการเกินขอบเขตของศีลไป หนักเขาก็จะเกณฑเอาเด็กทารกนอน เปล ใหมา ผิดศีลกาเมดวย เพราะไปเอาคําอธิบายธรรมะมาอธิบายศีล ทําใหยุงงทางปฏิบัติได เหมือนกัน ในเรื่องความหมายศีลขอนี้ ขอใหทานนักศึกษาธรรมะโปรดเขาใจดวยวา คําวา กาม หรือ กาเมสุ นั้น หมายถึง เมถุนธรรม อยางเดียวเทานั้น
หั ว ข อ เ รื่ อ ง ที่ ๑๘ : ตัดรัก การประพฤติผิดในกามนั้น มีผลตอสังคม คือทําใหสังคมเลวลง เสื่อมลง ตลอดจน ลมจม ลงไป ทานอธิบายเพิ่มเติมตอไปวา "กอนจะพูดถึงสังคม ตองพูด ถึงครอบครัวกอน ครอบ ครัวแตละครอบครัว ก็คือสังคมหนึ่งๆ นั่นเอง เราไมตองเริ่มเรื่องอะไรกันมาก ทําให เสีย เวลาเชนทําไมคนจึงรักกัน ทําไมจึงอยูกินเปนผัวเมียกัน ไมตองพูด ลัดมาพูดตรงที่วา การตั้ง ครอบครัว อยูกินเปนผัวเมียกันนั้น มีสิ่งใดเปนสําคัญ ? มีอะไรเปนแกนของความสุข ความ เจริญที่แทจริง ?เงินรึ ? บานรึ ? รูปรางที่สวยงามรึ ? ถอยคําพร่ํา พรอดที่หวานหูรึ ? ถูกแลว สิ่งเหลานี้เปนปจจัยสําหรับการครองเรือน แต เปนเพียงปจจัยสนับสนุน ความ เปนปก แผนเทานั้นแกนสําคัญ ของครอบครัว ยังมีตางหาก ไมใชสมบัติภายนอก แตเปนสมบัติ ในใจ สิ่งนั้นคือ "ความรัก" คนเราแมจะจนแสนจน ถายังรักกัน ก็อยูกินกันเปนครอบครัวได แตถาเลิก รักกันเสีย แลว แมวาจะมั่งมีทรัพย เปนเศรษฐี มหาเศรษฐี ความเปนปกแผน ของครอบครัวก็สลายสิน้ ความรักนั่นแหละเปนแกน หรือศูนยกลางของความสุข ในครอบครัว ฉะนั้น การเขาไปทําลายความรักของเขา จึงเปนการทําลายความสุขของคนทั้ง ครอบครัว ใหสูญสิ้นไปเรื่องความรักความเยื่อใยของผัวเมียนั้น เปนของตัด ขาดไดยากโจรปลน เอา ทรัพยไปเกลี้ยงบาน เขาก็ไมเลิกรักกัน จับเอาฝายใด ฝายหนึ่งไปใสคุกใสตะรางไว เขา เลิก
รักก็ไมเลิกรักกันชั้นที่สดุ แมวาฝายใดฝายหนึ่ง ลมหายตายจากไปแลว อีกฝายหนึ่ง ก็ยัง ไม ความรักมันเปนของแปลก ยืดหยุนได ไมยอมขาดงายๆ ยืดขามน้ําขามทะเล ไปถึงเมือง แขกเมืองฝรั่งก็ได ยืดเขาไปในคุกยืดเขาไปในคุกในตะรางก็ได ยืดตามเขา ไปในเตาเผา ศพก็ได มันขาดยากจริงๆ สุนทรภูจึงไดกลาววา จะหักอื่น ขืนหัก ก็จักได หักอาลัย นี้ไมหลุด สุดจะหัก สารพัด ตัดขาด ประหลาดนัก แตตัดรัก นี้ไมขาด ประหลาดใจ ทานวาไวถูกตองมาก คือวาใหเห็นขางเหนียว ยากที่จะหาอะไรมาตัดใหขาด แตก็ยังมี ศัสตราที่ความรักกลัว ทีส่ ุดอยางหนึ่ง ซึ่งเปนอยางเดียว ที่สามารถ ตัดความรักให ขาด สะบั้นลงอยางงายดาย และโดยทันทีทันใด ศัสตรารายที่วานั้น ก็คือ "การนอกใจ" นั่นเอง หญิงนอกใจผัว ไปเปนชูกับชายอื่น หรือชายไปลัก ลอบลวงเกินภรรยาของ ผูอื่นเขา การนอก ใจนั่นแหละ เปนเครื่องประหารความ รักใหขาดสะบั้น อยางไมมี เหลือหรอ และขาด ในทันที ที่จับได ไมมีการลดหยอน ผอนผัน ทราบเรื่องเขาเมื่อไร เปนตองเลิกรัก ลงในเมื่อนั้น ทันที ไมวาจะเปน เวลาค่ําคืนดึกดื่น วันอาทิตย วันจันทร ไมมีการยกเวน ที่จะ ใหความรักได ทุเลา ไปกอนไดเคยมีเรื่องปรําปราเลากันมา เท็จจริงไมรับรอง แตก็นาเปนไปได เขาเลาวา ผัวเมียคูหนึ่ง รักกันมาก ครั้นอยูมาๆ เมื่อตายลง ฝายผัวก็รองไห หามรุง หาม ค่ํา คิดถึงเมีย ไมเปนอันกินอันนอน ใครจะหามจะปลอบเทาไรก็ไมได ผล เอาแต
รองไหผล ที่สุด มีเพื่อนคนหนึ่งออกอุบาย ทําเปนปรารภวา "รูสึกเห็น ใจแกจริงๆ เพราะเมียของ แกนา รักมาก อยาวาแตแกซึ่งเปนผัวเลย ที่จะอดกลั้น ความอาลัยได แมแตอีตาผูชายบานโนน ซึ่ง เปน เพียงชู ก็รองไหเปนวักเปนเวร เหมือนกัน"เทานั้นแหละทานเอย การรองไห หายไปเปน ปลิดทิ้ง หมดรักหมดอาลัย ลงทันที แถมยังคิดเสียดวยวา "คนพรรณนี้ ตายเสียก็ดี"
นี่แหละทาน ความรักเปนของแปลกประหลาด เอาความตายตัดไมขาด แตมาขาด ดวยการ นอกใจ เพราะฉะนั้น การนอกใจ จึงเปนความผิดรายแรงมาก ในระหวางผัวเมีย ชายที่ เขาไป ลวงเกินภรรยาของคนอื่น ก็เปนการขมเหงน้ําใจลูกผูชายดวยกันอยางราย แรงที่สุด เขา เปน คนที่สังคมมนุษยตอกหนาตราชื่อวาเปนคนชั่วสาระเลว รายยิ่งกวามหาโจร ที่เขาปลน เอา ทรัพยสักสิบครั้งสิบหน เพราะผูลวงเกินในภรรยาเขานั้น เปนผูเขาไปทําลายความ สุข ทั้งสิ้น ที่ครอบครัว เขามีอยู และทําลายอนาคตของลูกเตาเหลากอในครอบครัวนั้นใหยอย ยับ อับสูญ นี่เพียงสังคมสวนนอย ในวงสังคมทั่วไปก็เหมือนกัน คนรักกันอาจเสีย สละทุกสิ่งทุก อยาง ใหแกกันได ไมวาจะเปนใหเงินใหทอง ใหขาวใหของ ใหแกกัน ไดเสื้อผาอาภรณ แม จะหยิบ ยืมกันใชก็ไดทุกอยาง ยืมไมทัน จะถือวิสาสะ ฐานคนรัก ก็ยังไดเวนอยางเดียว คือการ
ลวงเกิน ในภรรยาเพื่อนกับเพื่อนก็ไมอาจรักกันตอไปได พี่กับนองก็ไมอาจรักกันตอไปไดตกลง วา การ นอกใจ การทําชู มันเปนศัตรูโดยตรงกับความรัก" หั ว ข อ เ รื่ อ ง ที่ ๑๙ : เรื่องของกาม เรื่องของศีลขอ ๓ ยังไมจบนะครับ ตอนนี้จะเปนตอนสุดทาย มาฟง ทาน พ.อ.ปน มุทุ กันต อรรถาธิบายตอเลยครับ ทานบอกวา "ในบรรดาภพที่เกิดของสัตว มีอยูภพหนึ่ง เรียกวา กามภพ สัตวโลกที่เกิดอยูในกามภพ พากันเสพกาม ติดอยูในกาม แตก็แบงออกเปน ๓ พวก หรือ ๓ ชั้น คือ - พวกชั้นต่ํา มีกามเปนใหญ - พวกชั้นกลาง สังวรในกาม - พวกชั้นสูง เวนจากกาม พวกชั้นต่ํา คือพวกตกเปนทาสของอารมณ ประพฤติตามความใคร ไมมีขอใดที่จะตอง สังวรในเรื่องนี้ ไดแกพวกสัตวที่ต่ํากวามนุษยลงไป ซึ่งไมมีความอาย ไมมีขอยกเวน
พวกชั้นกลาง รูจักสังวรในกาม คือมีการควบคุมจิต แมจะมีความใครในกาม ก็ยังรูจัก เวนสิ่ง ที่ควรเวน ไมปลอยตามอารมณ ไดแกพวกมนุษยสามัญ พวกชั้นสูง ไดแกพวกประพฤติพรหมจรรย งดเวนการเสพกาม
ความผิดในกามนั้น อาจเกิดขึ้นในพวกชั้นกลางกับชั้นสูงเทานั้น สวนพวกชั้นต่ํา คือ พวก เดรัจฉาน ไมมีขอใดที่ถือวาเปนความผิดในกาม เพราะต่ําที่สุดอยูแลว พวกชั้นกลางนั้น จะ ผิดในกามก็ตอเมื่อไปประพฤติอยางพวกชั้นต่ําเขา คือ กระทําโดยไมยกเวนกาลเทศะ และ บุคคลอันตนจะพึงเวน สวนพวกชั้นสูง จะผิดในเรื่องนี้ก็ตอเมื่อ ตนไปทําอยางพวกชั้น กลาง เขา เบญจศีลขอที่ ๓ นี้ คือหามพวกชั้นกลาง ซึ่งไดแก พวกคฤหัสถชาวบานเรา ไมใหทํา ตัว เปนพวกชั้นต่ํา ซึ่งเขาไมใชชั้นเดียวกับเรา กามนั้น ถาจะเปรียบก็ เหมือนน้ํา คนที่ใจต่ํา ให กามพาไปทําความชั่วตางๆ เหมือนคนที่จมอยูใตน้ํา อาจตาย เพราะน้ํา สวนคนที่รูจัก สังวร ในกาม คือผูรกั ษาศีลขอกาเม เหมือนคน ที่วายน้ําอยูบนผิวน้ํา ปลอดภัยกวาพวกจม อยู ใตน้ํา สวนพวกที่เวนจากกาม เหมือนคนที่ขึ้นจากน้ํา ยืนอยูบนฝงแลว ปลอดภัยในเรื่อง จมน้ํา ตาย ทานละ อยูในจําพวกไหน ? เมื่อวาโดยรวบยอด คนทุกคนยอมดํารงอยูในฐานะชั้นกลางแลว ชั้นกลางเปนชั้นของ มนุษย เพราะฉะนั้น การสังวรในกามจึงเปนมนุษยธรรม ระวัง อยาใหตกลงไปสูชั้นที่ต่ํากวา มนุษย เปนอันขาด โดยเฉพาะชายหญิง ควรจะมีความ เห็นอกเห็นใจกันใหมากที่สุด ฝายหญิง ก็พึง รูวา การนอกใจเปนการเชือดเฉือน ใจชายรายแรงกวาสิ่งใด
โบราณทานยอมวา - หนามแทงเล็บ......ชายรอง - เห็บกัดหู................ชายครวญ - เมียมีชู...................ชายอกสามศอกก็ทนไมได และฝายชายก็พึงทราบวา การนอกใจภรรยานั้น เปนการบดขยี้จิตใจของเขา ที่โหดราย สุด ประมาณ น้ําใจหญิงทานยอมวา "เสียทองเทาหัว ก็ไมยอมเสียผัวใหแแกใคร" หั ว ข อ เ รื่ อ ง ที่ ๒๐ : ศีลขอที่ ๔ เรื่องของศีล ๕ เราวามาถึง ๓ ขอแลว ตอนนี้จะเริ่มขอที่ ๔ อันไดแก มุสาวาทา เวรมณี.......เจตนางดเวนจากการพูดเท็จ ความมุงหมาย ศีลขอนี้ ทานบัญญัติไว เพื่อปองกันการทําลายประโยชนของตนและ ผูอื่น ดวยการพูดเท็จ และใหรูจักรักษาวาจาของตน ใหเปนที่เชื่อถือได ขอหาม เมื่อเพงความมุงหมายดังกลาว พึงทราบวา ในสิกขาบทนี้ทานหาม ๑. มุสา ๒. อนุโลมมุสา ๓. ปฏิสสวะ การกระทําในขอ ๑ ศีลขาด การกระทําในขอ ๒ - ๓ ศีลดางพรอย ทางละเมิดศีลมุสา มุสา แปลวา เท็จ ไดแก โกหก สวนมากเราเขาใจวา การพูดโกหก คือใชปากพูด แต ในทาง ศีล ทานหมาย ถึงการทําเท็จทุกอยาง จะเท็จดวยการพูด หรือเท็จดวยการไมพูดก็ เท็จได ทั้งนั้น เมื่อแยกวิธีทําเท็จแลว ก็มีอยู ๒ ทางคือ ทางวาจา และ ทางกาย
เท็จทางวาจา คือพูดออกมาเปนคําเท็จ ตรงกับคําโกหกชัดๆ ซึ่งเปนที่เขาใจกันอยูแลว เท็จทางกาย คือทําเท็จดวยรางกาย เชนเขียนจดหมายโกหก รายงานเท็จ ทําหลักฐาน ปลอม ตีพิมพขาวเท็จเผยแผ ทําเครื่องหมายใหคนอื่นหลงเชื่อ ตลอดจนการใชใบ ใหคนอื่น เขาใจ ผิดเชนสั่นศีรษะในเรื่องควรรับ หรือพยักหนาในเรื่องควรปฏิเสธ หมายความวา ศีลขอ นี้ ผิด ไดทั้งทางกาย ทั้งทางวาจา แมอยูลําพังคนเดียวก็ผิดได คนใบพูดไมเปนเลยก็ผิดได หั ว ข อ เ รื่ อ ง ที่ ๒๑ : มุสาวาท ๗ อยาง ตอนนี้ เรากําลังพูดถึงศีลขอที่ ๔ เกี่ยวกับเรื่องการมุสา บางทานอาจคิดวา การมุสา ก็คือ การ พูดโกหก แตในทางตําราแลว อาการของมุสา ทานยังไดแยกยอยไปถึง ๗ อยางดวยกัน ซึ่งถา ใครไปกระทําเขา ก็เขาขายผิดศีลขอที่ ๔ ฉะนั้น ฟงไว เพื่อเปน การประดับความรู ก็จะ เปน ประโยชนดวยกันทุกฝาย ในทางคัมภีรพุทธศาสนา ทานแสดงอาการที่เขาขายมุสาไว ๗ อยาง ดังตอไปนี้ ๑. ปด ไดแกการโกหกชัดๆ ไมรูบอกวารู ไมเห็นบอกวาเห็น ไมมีบอกวามี หรือรูบอก วา ไมรู เห็นบอกวาไมเห็น มีบอกวาไมมี อยางนี้เรียกวาปด ๒. ทนสาบาน คือทนสาบานตัว เพื่อใหคนอื่นหลงเชื่อ การสาบานนั้น อาจมีการ สาปแชงดวย หรือไมก็ตาม ทายที่สุด คนที่อยูดวยกันมากๆ เชนนักเรียนทั้งชั้น เมื่อมีผูหนึ่งทํา
ความผิด แต จับตัวไมได ครูจึงเรียกประชุม แลวก็ถามในที่ประชุม และสั่งวา ใครเปนผูทําผิดใหยืน ขึ้น นักเรียนคนที่ทําผิดไมยอมยืน นั่นเฉยอยู เหมือนกับคนที่เขาไมผิด ทําอยางนี้ก็เปนการ มุสา ดวยการทนสาบาน เรียกวา "ทวนสาบาน" ก็ได ๓. ทําเลหกะเท ไดแกการอวดอางความศักดิ์สิทธิ์เกินเหตุเกินความจริง เชนอวดรูวิชา คงกระ พัน วาฟนไมเขายิงไมออก อวดวิชาเสนหยาแฝด วาทําใหคนรักคนหลง อวดความ แมนยํา ทํานายโชคชะตา อวดวิเศษใหหวยเบอร ผูอวดนั้น มักจะพร่ําแสดงเกินความจริง ใจของ ตน ซึ่งเปนการทําเลหกะเทคนใจบาปบางคน หมดทางหากิน จึงโกนผม นุงหม ผาเหลือง แสดง วาตัว เปนพระ เพื่อใหชาวบานเขาเลี้ยงดู การกระทําดังตัวอยาง ที่ยกมานี้ เรียกวาทําเลห
๔. มารยา ไดแกแสดงอาการหลอกคนอื่น เชนเจ็บนอยทําเปนเจ็บมาก ขาราชการบาง คน ตอง การจะลาพักงาน แตถาลาตรงๆ เกรงผูบังคับบัญชาจะไมเห็นใจ จึงแกลง ทําหนาตา ทาทาง วามีทุกข เอามือกุมขมับ แสดงวาปวดศีรษะ กุมทอง แสดงวา ปวดทอง เด็กบางคน อยากเก โรงเรียน เอามือลวงคอโอกอาก แสดงวาคลื่นไส ใหพอแมไดยิน จะไดผอนผัน ๕. ทําเลศ คือใจอยากจะพูดเท็จ แตทําเปนเลนสํานวน พูดคลุมเครือใหผูฟงคิดผิดเอาเอง เชนคนอยูอยุธยา เดินทางเขามาในกรุงเทพ
เพื่อนที่กรุงเทพถามวา "ทางอยุธยาฝนตกไหม ?" "คุณนี่ถามได แดดออกเปรี้ยงอยางนี้ ยังถามหาฝนอีก" พูดอยางนี้ เรียกวา ทําเลศ ๖. เสริมความ ไดแกเรื่องจริงมี แตมีนอย คนพูดอยากจะใหคนฟงเห็นเปนเรื่องใหญ จึง พูด ประกอบกิริยาทาทาง ใหเห็นเปนเรื่องใหญโต เชนเห็นไฟไหมเศษกระดาษนิดเดียว ก็ ตะโกน ลั่นวา "ไฟไหมๆ" คนอื่นไดยินเสียงตะโกนเขา เขาก็เขาใจวา เกิดไฟไหมบานเรือน อยางนี้ เรียกวาเสริมความ ไมพนศีลขาด แมวามูลเดิมจะมีอยูจริงก็ตาม คนโฆษณาขายสินคา ที่ มัก พรรณนาสรรพคุณเกินความจริง ยาขนานเดียวแกโรค ไดสารพัดทุกสิ่ง อยางนี้ก็นับ เขา ใน กิริยา เสริมความ ๗. อําความ ตรงกันขามกับเสริมมความ เสริมความ ทําเรื่องเล็กใหใหญ สวนอําความ คือทํา เรื่องใหญใหเล็ก ยกตัวอยาง ขาราชการที่ไปปกครองทองถิ่นหางไกล จะตองปกครอง ประชาชนใหสงบสุข ครั้นมีเหตุการณรายเกิดขึ้น เชนมีโจรรายปลนสะดม จําตอง รายงาน ตอผูใหญ ถาจะรายงานตามเปนจริง ก็กลัวจะถูกเพงเล็ง วาเปน ความบกพรองตอหนาที่ จึง ทําขอความในรายงานใหเบาลง ใหผูอานเห็นวาเปนเรื่อง เพียงเล็กนอย แทนที่จะเห็นวา เปน การปลนสะดม ก็เขาใจเพียงเปนการชิงทรัพย ดังนี้เปนตน หั ว ข อ เ รื่ อ ง ที่ ๒๒ : หลักวินิจฉัยมุสาวาท
ตอนนี้ จะเปนหลักเกณฑทางวิชาการ วาดวยเรื่องการตัดสิน วาอยางไร จึงจะเขาขายที่จะ ทําใหศีลขอมุสาขาด ซึ่งเกี่ยวกับเรื่องนี้ ทานใหหลักตัดสินไว ๔ ขอคือ ๑. เรื่องไมจริง ๒. จิตคิดจะพูดใหผิด ๓. พยายามพูดออกไป ๔. คนอื่นเขาใจเนื้อความนั้น หมายความวา ศีลขอที่ ๔ นี้จะขาด ตอเมื่อการพูด หรือการทําเท็จ ครบองคทั้ง ๔ ดังตอไปนี้ องคที่ ๑ ที่วาเรื่องไมจริง คือเรื่องที่พูดนั้นไมมีจริง ไมเปนจริง เชนฝนไมตกเลย แตเรา บอก วาฝนตก อยางนี้เรียกวาเรื่องไมมีจริง หรือฝนตก แตเราพูดวาฝนไมตก อยางนี้ก็ เรียกวา เรื่อง ไมมีจริง เพราะเรื่องฝนไมตก ไมมีจริง เรื่องที่จริงนั้นก็คือเรื่องฝนตก องคที่ ๒ จิตคิดจะพูดใหผิด คือมีเจตนาจะพูดบิดเบือนความจริงเสีย ถาพูดโดยไม เจตนาจะ พูดใหผิด ศีลไมขาด องคที่ ๓ พยายามพูดออกไป คือไดกระทําการเท็จดวยเจตนานั้น ไมใชเพียงแตคิดเฉยๆ องคที่ ๔ คนอื่นเขาใจเนื้อความนั้น เปนขอวินิจฉัยที่สําคัญอยางหนึ่ง คําวา "ผูอื่น"ใน ที่นี้ หมายถึง คนที่เราตองการจะโกหก ถาผูอื่นเขาใจคําที่เราพูดนั้น เปนศีลขาด สวนที่วา เขาจะ เชื่อหรือไมนั้น ไมถือเปนสําคัญ ถาพูดไปแลว เขาไมเขาใจ เชน เราโกหกเปนภาษาไทย
ให ฝรั่งฟงเขาไมรูภาษา ศีลไมขาด หั ว ข อ เ รื่ อ ง ที่ ๒๓ : ยากเพราะงาย ตอนนี้เราจะมาพูดกันถึงเหตุผลประกอบของศีลขอที่ ๔ ซึ่งทาน พ.อ.ปน มุทุกันต ทาน ได แยกเปนหัวขอยอยๆไว ๔ หัวขอ หัวขอแรก คือ ยากเพราะงาย โดยทานไดใหคําอธิบายไวดังนี้ "ในบรรดาขอหามใหญทั้ง ๕ ขอ คือหามฆากัน หามขโมยของกัน หามทําชู หามโกหก และ หามดื่มเหลา ผูที่รักษาศีล ๕ จะตองงดเวนนั้น ถาวาขางรักษายากแลว ขอหามโกหก รักษา ยากกวาทุกขอ ผมเคยทดลองโหวตคะแนนดูหลายครั้งแลว ศีลขอที่ ๔ นีช้ นะทุกทีที่ โหวต นั้น คือตองการหยั่งเสียงดูวา มติประชาชน เขาเห็นวา ศีลขอไหนผิดไดงายที่สุด เวลา ทหาร เขาหองอบรมมากๆ และในหองเรียน ผมลองถามดูวา ใครเห็นวาศีลขอ ๑ รักษายาก ที่สุดให ยกมือขึ้น แลวก็นับจํานวนผูยกมือเชนเดียวกันนี้ทุกขอ เสร็จแลวเทียบ คะแนนกันดู ผล ปรากฏ วา มีผูลงความเห็นวา ศีลขอหามโกหกรักษายากที่สุด ทุกครั้งที่ทดลองหยั่งเสียง ทานละ เห็นวา ขอไหนรักษายากที่สุด ? ทําไมศีลขอมุสาจึงรักษายาก เพราะดูตําแหนงที่เราจะรักษาจริงๆ ก็ไมมากมายนัก
เสียงโกหก นั้นสวนมากก็ออกจากปากจากลิ้นของเราเอง เหตุที่ทําใหยากนั้น เห็นจะเนื่องจากการ ละเมิด ศีลขอนี้ ทําไดงายกวาทุกขอ คือไมตองใชเครื่งมือประกอบในการละเมิด และไมตองมา หา จังหวะ ไมตองหาสถานที่อะไรมากนัก โกหกกลางวันก็ได กลางคืนก็ได กลางถนน หนทางก็ได ไดทั้งนั้น ขอเพียงใหมีผูที่เราจะโกหก ไมตองหาศัสตราวุธเหมือนฆากัน ไมตองหาเวลา ก็จะ เหมือนขโมยของกัน ไมตองหาที่ทางเหมือนผิดลูกผิดเมียเขา และไมตองมีกับแกลม เหมือน ดื่มเหลา โกหกกันนี้ทําไดงายแทของที่งายเกินไปนี่เอง มันเลยกลายเปนยาก คือเรื่องยากอาจมี ไดทั้ง ๒ ทาง คืองานที่ทํานั้นเปนงานยากมาก ยากจนทําไดยาก มันก็เลยทํายาก นี่อยางหนึ่ง อีกอยาง หนึ่ง งานมันงายเกินไปจนทํายาก ที่ยากนั้น เพราะไปนึกเสียวามันงาย แลวเกิดความ ชะลาใจ ในระหวางความยากทั้ง ๒ นี้ งานที่ยากมาแตกําเนิดของมัน คนเรามักจะไมคอย ผิดพลาด สวนที่ผิดพลาดกันมาก อยูในงานประเภทงายจนยาก อยางที่วามานี้ ในถนน เยาวราช - เจริญกรุง ที่รถขวักไขวกันไปมามากๆ และเต็มไป ดวยกฎ จราจร แทบทุกกระเบียดนิ้ว > ซึ่งรูจักกันในพวกคนขับรถวา เปนยานที่ลําบากแกการ ขับรถ มาก แตลองสังเกตดูเถอะ อุบัติเหตุ ที่รายแรงในถนนเหลานี้ไมคอยมี ถึงจะพลั้งเผลอไป
บาง ก็แคเฉี่ยวกันนิดๆหนอยๆ สวนอุบัติเหตุ ที่เกิดขึ้นในถนนวางๆสิ โครมทีกเ็ สร็จไปเปน ศพๆ เขาตําราวางายเสียจนกลาย เปนยาก เรื่องปาก ก็เหมือนกัน มันเปนขอที่ใชเสียจนยากแก การ รักษา แลวก็เลยทําใหคนเห็นวา ศีลขอ ๔ นี้รักษายากกวาทุกขอดวย ซึ่งก็เปนความจริง นอก จากเปนศีลที่ละเมิดไดงายแลว มุสายังเปนเสมือนน้ํามัน หลอลื่น ชวยใหคนถลําไปสู ความผิด ศีลขออื่นๆไดงายเขาอีกดวย และถาวากันใหถึงที่สุด สุราชวยใหคนตกนรกงายเขาอีก ดวย นาคิดอยู" หั ว ข อ เ รื่ อ ง ที่ ๒๔ : เสียกําลังใจ "งานที่เราตองทําดวยกาย จะสําเร็จไดก็ดวยรางกายมีกําลังเพียงพอ ที่จะจายออก ทํางาน นั้นได งานทางจิตใจก็เหมือนกัน การคิด การทรงจํา และการใชสติปญญา ยอมขึ้นอยู กับ กําลังใจ เหตุนี้ วิญูชนทั้งหลาย จึงพยายามที่จะเพาะกําลังใจ และถนอมไว จนสุด ความ สามารถ คําเท็จนั่น เปนสิ่งหยิบยาก ผสมยากอยูแลว กวาจะสั่งปากพูดออกมาไดครั้น หลัง จากพูดแลว จิตของคนพูด ยังจะตอง ทํางานหนักอีก คือระวังจะพลาดและคอยจําคํา โกหก ของตัวไว เพื่อจะไดไม โกหกผิดๆในคราวหนา เพราะจะตองคอยควบคุมใหคําโกหก ตรงกัน อยูเสมอ ยกตัวอยางเชน เรามีปากกาอยูดามหนึ่ง ซื้อมาราคา ๑๐๐ บาท ถาจะบอกคนอื่น วา ราคา ๑๐๐ บาท ก็จะไมโกพอ อยาก อวดมั่งอวดมี เลยบอกเขา โดยบวกเพิ่มราคา ขึ้นไป
อีก สมมติวาไดบอกเพื่อนคน หนึ่งวา ๑๐๐ บาท เมื่อบอกไปแลว ตัวจะตองจํา ไววา ไดบอก เขา ไปเทาไร เผื่อวันหลังโกหกอีก จะได บอกให ตรงกัน... นีเ่ รื่องปากกา อยางเดียว ทีนี้เรื่องนาฬิกา เรื่องเสื้อ เรื่องรองเทา เรื่อง แวนตา ฯลฯ เราไดตั้ง ราคาสมมติขึ้นไวท้งั นั้น เสร็จแลวเราจะตองบังคับจิตของตัวเอง ใหจําไวหมด ทุก อยางเปนอันวา จิตของคนโกหกทํางานหนักมาก คืองานจําคําโกหกของตัวเอง นา สมเพช เวทนา จริงๆ เมื่อมีเรื่องที่จะตองจําหลายเรื่องหลายสํานวนเขา ผลที่สุดก็ลืม หนักเขาก็โกหกผิดๆ ถูกๆ เสียแผนหมด นาฬิกาเรือนเดียว อาจกลายเปนหาราคา สิบราคาก็ได เพราะฉะนั้น คน โกหก ทุกคน เมื่ออายุมากเขา จะกลายเปนคนความจําเสื่อม เผลอๆไผลๆ ไมตองพูดถึงชั่วชีวิต ละ สังเกตแควันเดียวก็ได ถาวันไหน เราโกหกไวมากๆ ในตอนกลางวัน พอตกเย็นก็ชักจะ ลืม โนนลืมนี่ หนักเขาก็จับเอาคําที่ตัวโกหกไวแลว มาโกหกซ้ําอีก แลวก็อางบุคคล อาง สถานที่ ไมตรงกับที่โกหกไวคราวกอนเสียดวย ยุงใหญ ? นอกจากเรื่องจําแลว จิตยังตองทํางาน หนักอีกอยางหนึ่ง นาทุเรศยิ่งกวาคอยจําคํา โกหก ของตัวเองเสียดวยซ้ํา งานที่วานี้ก็คือ การขัดแยงตัวเอง ทานนักศึกษาตองเขาใจวาคํา
โกหก ทุกคําที่พูดออกไป แมเราจะพยายาม ปรับปรุงใหสนิทสนมกลมกลืนอยางไรก็ตาม ก็ยัง มีคนๆ หนึ่งที่ไมยอมเชื่อ และคอยคานคอย เถียงอยูตลอดเวลา คนๆนั้นก็คือตัวของเราเอง คือ เราเอง คอยเถียงตัวเราอยูเสมอ เปนความลําบากอยางหนึ่งของจิต และนี่คือการทําลาย สมรรถภาพ ของจิตลงอยางเห็นไดชัด เหมือนกัน จะสังเกตไดวา คนเรายิ่งพูดโกหกมากๆ จิตยิ่งขี้ ขลาด มาก และมีความระแวง ในตัวมากขึ้น ที่เปนดังนี้ เพราะกระแสจิตตกต่ํา หนักเขาจะเปน คน ชอบหลบสายตาคนอื่น คือไมกลาเผชิญหนากับใครจังๆ
ยิ่งนานวันเขา กําลังใจยิ่งตกต่ํามาก จนหมดความเชื่อถือในตัวเอง เวลาพูดจึงตองอาง สิ่งอื่น มายืนยันดวย เชนวา "ถาไมจริงอยางพูด ขอใหตายตอหนาตะวัน" "ขออยาไดผุดไดเกิด" "ขอใหพระกาฬหักคอ" ฯลฯ สารพัดจะเอามายืนยัน บางทีพูดไปจบประโยคแลว ก็ย้ําทายอีกวา "...ที่พูดนี้เปนความ จริง" อาการเหลานี้แสดงวา จิตเริ่มหมดความเชื่อถือในตัวเอง ระแวงวา ถาพูดไป ผูฟงเขาก็ คงจะ ไมเชื่อ คลายๆกับเราเห็นวา หนาอยางเรา คงไมมีใครเขาเชื่อ เลยตองสบถสาบาน อาง
โนน อางนี่ใหยุงไปหมด นี่แหละคือคําเท็จทําลายตัว ผูพูดเอง การที่เราตองเปนขี้ขา คอยจํา คํา โกหก ของตัวเองนั้น ไมผิดอะไร กับคนที่บังคับตัวเอง ใหนั่งเฝาดูคูถที่ตัวเองถายไว และยิ่ง ใจตนเอง เกิดยอนเถียงคําโกหกของตัวเองดวย ก็เหมือนสิ่งที่ ถายไวไดกระเด็นกลับ มา ถูก ตัวของตัวเอง" หั ว ข อ เ รื่ อ ง ที่ ๒๕ : โกหกชวยตัว เหตุผลเกี่ยวกับศีลขอที่ ๔ ตอนนี้ ก็มาถึงประเด็นสําคัญ นั่นคือ เรื่องโกหก เพื่อชวย ตัวเอง ทาน พ.อ.ปน มุทุกันต ทานไดใหเหตุผลเกี่ยวกับเรื่อง นี้ไวดังนี้ "ในดานผลประโยชน ผูพูดเท็จยังมีความคิดเห็นอีกอยางหนึ่งวา คําเท็จชวยตัวได พึ่งได จึงไดพูดเท็จ บางคนตั้งแงสงสัยเอาทีเดียววา ถาไมโกหกแลว จะรวยไดอยางไร ? พอคา ๒ คน ตั้งรานอยูใกลกัน คนหนึ่งโกหก ของเลวก็อวดวาของดี ของเทียมก็อางวา ของ แท มีหวังรวยเร็วกวาคนพูดจริง ดีวาดี เลววาเลว และบอกตนทุนแกลูกคาตามจริงบาง คน เห็นดิ่งลงไปทีเดียววา คนไมโกหก เปนพอคาแมคาไมได และศีลขอนี้ ทําใหเศรษฐกิจ ของ ชาติไมเจริญ ขอนี้ก็ นาคิด แตวาในการคิดนั้น เราจะตองนึกถึงเจตนารมย ของทานผู หาม ดวย ที่พระพุทธเจาทรงหามมิใหเราพูดเท็จนั้น เปนการหามดวยความหวังดีแกพวกเรา มิ ใชกลัวเราจะไปโกหกทาน และมิใชหามชนิดเอาเปรียบ คือ หามไมใหผูอื่นโกหก
สวนตัวผู หามเองเที่ยวโกหกผูอื่นอยูทุกมุมเมือง ไมใชอยางนั้นในเรื่องพูดเท็จนี้ พระพุทธองค จะตอง ทรงเห็นโทษอยางแนแท จึงไดทรงหามตลอดพระชนมชีพของพระองค และทรงมอบ ให พระสาวกชวย กันหามมาเปนเวลาถึง ๒,๕๐๐ กวาปแลว โดย ไมมีการลดหยอนผอนผันเลย คนที่คิด วา โกหกไมเปนจะทําการคาขายไมไดนั้น เปนคนคิดผิวเผิน เห็นแก ประโยชนสวนตัว แลวก็ดูถูก เหยียดหยามกิจการคาวาเปนงานที่เลว จนถึง กับวา ตองทํากันดวยเลหลนิ้ โกหกพกลม เรื่อง การคาขายนั้น อยาไปคิดแตวา เราใหของเราไป แลวเขาใหเงินเรามา ถาคิดวางาน เพียง เทานี้ เปนการคา ก็ยังนับวาเขาใจผิด นั่นเปนเพียงงานของคนขายของหนา รานเทานั้น วิถีทาง ของ การคา มาไกลกวานั้น และไปไกลกวานั้น ลองคิดยอนไปดู ทางมาของสินคา แตละชิ้น ดูบาง เพียงไมขีดกลักเดียว ก็ถกู ซื้อขายกันมาหลายทอด เริ่มแตใน โรงงานอุตสาหกรรม ใน การผลิต เจาของโรงงานเขาก็ดําเนินการ จายคาจาง แกเจาพนักงานตามขอตกลง คนงานก็ ปฏิบัติงาน ใหโรงงานตามสัญญา อันมีอยู การผลิต เขาก็ตองปรับปรุงคุณภาพ ของปริมาณโดย ซื่อตรง แจงคุณภาพปริมาณแกรานคาขายสงโดยซื่อตรง ผูทําการขนสง รับทําการขนสงโดย ซื่อ
ตรงจนกระทั่งไมขีดกลักนั้น มาถึงรานขายปลีก แมที่ราน ขายปลีกนั่นเอง ที่ดําเนินการ คา ก็ได พึ่งพิงอยูกับความสัตยซื่อของบริการตางๆ เปนอันมาก เชนการเก็บภาษีอากร คาน้ํา คา ไฟ คาเชาหอง เงินเดือนลูกจาง เปน เรื่องของความซื่อตรงทั้งนั้นมีอยูคนเดียว ที่ถาจะริ โกหก คือคนขายของหนาราน (ผูนิยมอุดมคติ โกหกไมเปน คาไมได ) ซึ่งตีหนาคอยโกหก ลูกคาของ ตัว ทานลอง คิดดูซิวา ในวิถีทางการคานั้น คนซื่อพึ่งคนคดหรือ คนคดพึ่งคนซื่อ ? แนนอนที่สุด ถาในการคานั้น มูลฐานสําคัญ คือ ความสัตยซื่อ ถาหากคนอื่นๆเขาเลน ไมซื่อ แลว โรงงานก็ลม รานขายสงก็ลม รานขายปลีกก็ลม และผลทีส่ ุด ตัวคนเสนอหนาคอย โกหก อยูหนาราน ก็ลมราบไปดวย คิดดูดีๆแลว ตําราการคาฉบับที่วา "เปนพอคาตองโกหก" นี้ ลูกจางขายของหนารานเปนคนแตงขึ้น ไมใชฉบับนายหางแตง ทานทั้งหลายก็คงจะมี จิตใจ คลายๆกับผม คือคลายๆกับคนหลายคน ที่รูสึกเกลียดชัง พอคาที่หลอกขายของใหเรา และ ไมพึงประสงคจะอุดหนุนเขาตอไป ผมเคยซื้อขวดบรรจุ น้ําฝน เพราะหลงเชื่อคนขาย วา เปน เหลาสระแหนแกปวดทอง มาถึงบานแลวตองโยนทิ้ง และไมเคยคิดไปซื้อของที่ราน นั้นอีก เลย เปนเวลา ๑๐ ปเศษแลว ทั้งที่รานนั้น ก็ตั้งอยูตรง ระยะทําเลที่ผมควรจะซื้อได สะดวก ทานละ ถาโดนอยางผมบาง จะเกลียดขี้หนาพอคาโกหกคนนั้นหรือไม ? ผมเคยซื้อ
ของมา ก็มาก และไดรูจักกับพอคาแมคาก็ไมนอย ไดพยายามทดลองสังเกตดูวา การเจรจา คาขายนั้น จะพูดใหทันลูกคา โดยไมโกหกใหเสียศีลจะได หรือไม ? ผลที่สุดก็ไดพบไดเห็นพอคา แมคา มากมาย ที่เขาพูดซื่อๆ ไมตองเสียศีล และพูดใหลกู คา ติดใจไดเมื่อพูดถึงคุณภาพก็ เพียงแต เปรียบเทียบ ใหลูกคาเลือก เอาเอง เมื่อพูดถึงตนทุน ก็บอกแควา ซื้อมาแพง คนซื้อทั้ง เมืองเขา ก็รูกันอยูแลววา คนขายก็ตองเอากําไรบาง ไมเชนนั้นจะขายของทําไม คนขาย จึงไม จําเปน ตองโกหกคนซื้อ วายอมขาดทุนใหทาโนนทานี้ ซึ่งเปนการทําใหตัว เองเสียศีลเสีย ธรรมเปลาๆ พอคาอาจใชจิตวิทยาทางอื่นที่สูงดีกวา โดยไมตองพูดเท็จ ก็ไดเพราะมัวบูชาอุดมคติ" รักจะคา ขาย ตองโกหก" นี่แหละ บานเมืองถึงไดยุงยากทุลัก ทุเลพอคิดเรียกตั้งหุนบริษัท ก็ วางแผน โกหกควบกันไปดวย ไปไดไมกี่น้ําก็แตกกระจัด กระจาย ทุนหายกําไรหลุดเพราะบูชา โกหก มันเลย หกคะเมนเอาจริงๆ หั ว ข อ เ รื่ อ ง ที่ ๒๖ : หลักการของศีลขอที่ ๕ สุราเมระยะมัชชะปะมาทัฏฐานา เวระมะณี เจตนางดเวนจากการดื่มน้ําเมา อันเปนที่ตั้ง แหงความประมาท ความมุงหมาย การบัญญัติศีลขอนี้ เพื่อใหคนรูจักรักาาสติของตนใหสมบูรณ ขอหาม
โดยตรง คือหามดื่มน้ําเมา อันเปนที่ตั้งแหงความประมาท คือทําใหสติฟนเฟอน น้ําเมา ที่วา นี้ ไดแก ๑. สุรา ไดแกน้ําเมาที่กลั่น ไทยเรียกวา เหลา ๒. เมรัย ไดแกน้ําเมาที่ไมไดกลั่น เชน เหลาดิบ กระแช น้ําตาลเมา ฯลฯ ฝน กัญชา ก็ หามรวม อยูในขอนี้ดวย หลักวินิจฉัย สุราปานะ ( การดื่มสุรา ) จะตองประกอบดวยองค ๔ คือ ๑. มะทะนียัง......สิ่งนั้นเปนน้ําเมา ๒. ปาตุกัมมะยะตาจิตตัง........จิตคิดจะดื่มน้ําเมา ๓. ตัชโช วายาโม........พยายามดื่มน้ําเมา ๔. ปตัปปะเสวะนัง......น้ําเมานั้นลวงลําคอลงไป หมายความวา การดื่มสุราเมรัยที่ทําใหศีลขาด จะตองพรอมดวยองคทั้ง ๔ นี้ครบทุก ขอ ถาไมครบ ศีลก็ไมขาด เชน องคที่ ๑ หมายความวา น้ําที่ดื่มนั้นตองเปนน้ําเมา ถาคิดจะดื่มเหลา แตเขาใจผิด เห็น แกว น้ําชาเปนแกวเหลา จึงควาเอามาดื่ม อยางนี้ศีลไมขาดหรืออยางการปรุงสุรา ลงไปใน อาหาร หรือยาแกโรคเพื่อชูรส หรือใหยา มีประสิทธิภาพดี ผูกินอาหารหรือรับประทานยานั้น ไมมี เจตนาจะดื่มเหลา อยางนี้ศีลไมขาด ( แตใหเปนเหลากระสายยา ไมใชยากระสายเหลา ) องคที่ ๒ หมายความวา ตัวผูดื่มนั้น ตั้งใจจะดื่มเหลาจริงๆ แลวดื่ม ศีลจึงขาด ถาคิดจะ
ดื่มน้ํา แตเขาใจผิด เห็นแกวเหลาเปนแกวน้ําชา จึงยกดื่มลงไป ศีลก็ไมขาด องคที่ ๓ ที่วาพยายามดื่ม คือดื่มดวยตนเอง ตัวเองดื่มเอง ที่วาพยายามในที่นี้ หมายเอา การ ดื่มนั่นเอง คืออาปากขึ้น ดูดเอาน้ําเหลาจากแกวเขาปาก แลวก็กลืนลงคอไป อยางนี้ เรียกวา พยายาม ตามความหมายในที่นี้ คนที่ไปไหนมาไหน แลวเจอเพื่อน ถูกเขาคะยั้นคะยอ ใหดื่ม ถาจะถือวาตนไมไดพยายาม ไมได เพราะคําวาพยายามนั้น ถือเอาตรง อมเขาปากและ กลืนลง คอเปนสําคัญ แตถาหากเราไมไดพยายามเลย ถูกบังคับโดยวิธี อยางใดอยางหนึ่ง เชน ถูกฉีด เหลาเขาไปในตัว ( ถาหากจะมี ) ก็ไมผิดศีล องคที่ ๔ กําหนดขีดสมบูรณแหงการกระทํา ที่วาศีลขาดๆนั้น ขาดตรงไหน? ตอนยก แกว ขึ้น หรือตอนอมเหลาเขาปาก หรือตอนกลืน หรือตอนเมา หรือตอนไหนกันแน? ทาน จึง กําหนดเอาตอนน้ําเหลาไหลลวงลําคอลงไป เปนจุดสําคัญ หรือจุดสมบูรณของการดื่ม ถา ตอนแรกคิดจะดื่ม แตพออมเหลาเขาปากแลว สํานึกถึงศีลขึ้นมาได จึงบวนทิ้งเสีย ศีลก็ ยัง ไมขาด โปรดทราบดวยวา ของเมาที่หามนั้น เฉพาะที่ทําใหผูที่เสพสติฟนเฟอน ซึ่งเรียกวา "เปนที่ตั้งแหงความประมาท" เทานั้น หั ว ข อ เ รื่ อ ง ที่ ๒๗ : โทษของสุรา ( ๑ )
ทําไม การดื่มสุรา จึงเปนเรื่องที่ควรงดเวน ทาน พ.อ.ปน มุทกุ นั ต ทานบอกวา เพื่อให เห็น เหตุผลชัดเจน ควรจะไดยกเอาพระพุทธวจนะ ในคัมภีรพระไตรปฎก มาพิจารณากัน เพราะ ทานไดแสดงไวอยางครบ ถวนพอเพียงที่ใครๆจะเห็นสมจริงวา การดื่มสุราเปนขอควร งด เวนจริงๆ ในพระไตรปฎกดังกลาว ทานระบุโทษของสุราไว ๖ สถาน ซึ่งเราจะไดหยิบ ขึ้นศึกษา เปน ขอๆไป ดังตอไปนี้ โทษขอที่ ๑ เหลาทําใหเสียทรัพย ขอนี้เห็นจะไมมีใครสงสัย เห็นกันตําตาอยูแลว เพราะเหลาเปนสิ่งที่เราทํา กินเอง ไมได ไมเหมือนขาวปลาอาหารอยางอื่น ถาใครขืนตมเหลาเองก็ผิด กฎหมาย เมื่อทําเองไมได ก็จําเปนตองซื้อเขากินนี่แหละทางเสียทรัพยบาง คนอางวา เรากินเหลาที่คนอื่นเลี้ยง ก็ ไม เห็นจะตองเสียเงินเสียทอง ถูกแลว ที่เขาดื่มเหลาสวนมาก หรือแทบทุกคน ก็มักจะ เริ่มตน ดวยการ"กินเหลาฟรี" ทั้งนั้น คือถูกคนอื่นเขายัดเยียดใหดื่ม จึงดื่ม แตครั้นฟรีไปๆ ไม เทาไร ตัว ก็ตองซื้อดื่มเอง และนานเขา ก็ตองซื้อเลี้ยงคนอื่นดวย เพื่อใชหนี้เหลาที่ เขาไดซื้อ เลี้ยง เรามา และก็เปนการลงทุนไวสําหรับวันหนาดวย เขาจะได เลี้ยงเราบางนอกกจากนั้น บางคน ยังอางวา เราดื่มแตนอย พอเจริญอาหาร ไมเห็นจะทําใหลมจมอะไร นี่ก็ถูกอีก แตอยา
ลืมวา มากยอมจะมาจากนอย ถาเราขุดหลุมฝงตัวเอง วันหนึ่งลึกคืบหนึ่ง ทานก็บอกวา ไม เปนไร.... ถูก พรุงนี้อีกคืบหนึ่ง ทานก็บอกวาไมเปนไรอีก... ถูกอีก มะรืนนี้อีกคืบหหนึ่ง ทานก็วาไมเปนไร.... ก็ถกู อีก แตถาขุดลงวันละคืบไมรูจักหยุด ถึงทานจะบอกวา ไมเปนไรๆ ทุกวันก็ตาม นานเขา หลุม นั้นก็จะลึกลงๆ อาจถึง ๑๐๐ คืบ ๒,๐๐๐ คืบ และการขึ้นจาก หลุมนั้น ทานอาจจะตอง ใชบันได พาด กาวขึ้นเองไมไดงายๆ เหมือนแตกอน และถาขืนขุดลึกลงไปอีก เพียงวันละคืบๆ เทานั้น ทานก็จะไมมีทางขึ้นจาก หลุมนั้นไดเลย แมปากทานจะบอกวา ไมเปนไรๆก็ตาม และก็ ไมแน นักวาผูอื่นจะะสามารถชวยทานได สิ่งที่แนที่สุด มีอยูอยางหนึ่ง คือหลุมนั้น จะ กลายเปนหลุม ฝงศพของทานเองเรื่องดื่มเหลาก็เหมือนกันนั่นแหละ ทาน เพราะคนหลงคารมของ ตัวเอง วาไมเปนไรๆนั่นแหละ พินาศลม จมไปนับไมถวนแลว" หั ว ข อ เ รื่ อ ง ที่ ๒๘ : โทษของสุรา ( ๒ ) โทษขอที่ ๒ เหลาเปนเหตุกอวิวาท ทานคงจะเคยเห็นมาบาง คนที่ดื่มเหลา แลวชอบชวนทะเลาะไมเลือกหนา เมาเหลา แลวตะโกนดาใครๆ ตามตรอกตามซอย เมาเหลา แลวเอานายมาดาวาสาดเสียเทเสีย เมาเหลา แลวพูดลวนลามผูหญิง ไมวาลูกเขาเมียใคร เมาเหลา แลวทาชก ทาตอย แมกับเด็กๆปูนลูกปูนหลาน หรือเมาเหลา อวดดี ทาตีกับพระทั้งวัด
แลวก็มีบางคน พลอยเห็นวา เหลาเปนของวิเศษ ทําใหคนกลา ที่วาเหลาทําใหคนกลา นั้น เปนความจริง พระพุทธเจาก็ไมไดตรัสวา เหลาทําใหคนขลาด แตตรัสวา เหลาเปนเหตุ กอ วิวาท เราลองมาพิจารณากันดูอยางเปนกลางวา ความกลาที่เราไดรับจากเหลานั้น ใชไดจริง หรือไม ความกลาเปนคุณสมบัติพิเศษอยางหนึ่งของคน ใครมีไวแลว ดีกวาความขี้ขลาดตาขาว แตวา เมื่อเรามีความกลาแลว จะตองมีสิ่งหนึ่งคอยกํากับ หรือควบคุม เพื่อใหความกลานั้น แสดงออก ในทางที่ไมเปนโทษ เหมือนดาบคมก็ตองมีฝก จึงจะไมมีอันตราย สิ่งกํากับความกลา ไดแก คุณธรรมที่เรียกวา "สติ" ความระลึกได กลา - มีสติ จึงเรียกวา กลาหาญ ถากลา โดยไมมีสติกํากับ เขาเรียกวา ความบาบิ่น ไมใชความกลา คนเรามักจะเขาใจผิด เอา ความบาบิ่นมาเปนความกลา คือเห็นใครทําอะไรได เกินกวาคนสามัญ ก็ยกกันวากลา ความ จริง การทําอะไร ผิดจากคนสามัญนี้ อาจทําไปโดยฤทธิ์อยางอื่นก็ได คนที่ทําอะไร แผลงๆ เลยขีด คนสามัญ เราก็เห็นกันทั่วไป และก็รูจักกันอยูแลววา ไมใชคนดี วิเศษเสมอไปที นี้ เหลาที่คนดื่ม เขาไปนั้น เปนเครื่องทําลายสติ คือทําใหสติฟนเฟอน ลืมตัว และหมด สภาพ ที่เปนตัวของตัวเอง คนเราพอสติพิกลพิการไปแลว ก็ทําอะไรแผลงๆไดทุกคน ถาเราจะ
ถือวา การทําเชนนั้น เปนความกลาที่ดีแลว ก็นับวาเปนการเขาใจผิด เพราะความกลา เชนนัน้ ไมมี ประโยชนอะไรเลยแกชีวิตของเราและแกใครๆ นอกจากเปนทางนําความราวรานมา สู สังคม เทานั้น รวมความแลว เหลาแทนที่จะทําใหผูดื่มเปนคนกลา ดังที่บางคนชอบอาง แต กลับทํา ให ผูดื่มจนเมาแลว ชอบพูดพลามกวนใจคนอื่น และเขาใจผิดในตัวเองวา เปนผูมีฤทธา ศักดา เดช เหนือมนุษยทั้งหลาย กลายเปนคนชอบกอการทะเลาะวิวาท หลักฐานพยาน มีอยู ถมไป หนังสือพิมพก็ลงขาวใหอานอยู แทบมิเวนแตละวัน วาเมาแลวตีกัน เมาแลวฆากัน เมา แลวชก ตอยกัน มีอยูเสมอ พระดํารัสของพระพุทธเจาที่วา "เหลาเปนเหตุกอวิวาท" ซึ่งตรัสไวเมื่อ กวา ๒๕ ศตวรรษลวงแลว ก็ยังเปนความจริงอยูจนบัดนี้ หั ว ข อ เ รื่ อ ง ที่ ๒๙ : โทษของสุรา ( ๓ ) โทษขอที่ ๓ เหลานําโรคมาให หมายความวา การดื่มเหลาทําใหเกิดโรคภัยไขเจ็บหลายอยางดวยกัน ผมเองไมใชหมอ พูด ไป ประเดี๋ยวทานก็จะวา คิดเอาเอง พูดเอาเอง หันเขาหาหมอดีกวา ใครจะรูเรื่องโรค ดีกวา หมอ และก็ควรจะไดรับความคิดเห็นจากหมอ ที่เชี่ยวชาญในแขนงตางๆ เพื่อประมวล ความ คิดเห็นดู หมอคนแรกที่ผมไดติดตอปรึกษาหารือ เปนหมอแผนปจจุบัน รักษาโรคภัย
ไขเจ็บ ธรรมดา ทานเปนผูอํานวยการโรงพยาบาลพระมงกุฎเกลา ซึ่งเปนโรงพยาบาลที่ใหญ ที่สุด ของกองทัพบก คือพันเอกหลวงมงคลแพทยาคม ( ยศในสมัยนั้น ) ทานชี้แจงวาโรคที่ เกิด จากการดื่มสุรา มีอยูเปนอันมาก เทาที่พอจะนึกตอบผมไดทันที ก็มีดังตอไปนี้ ๑. ทางเดินอาหาร เหลาทําใหกระเพาะอาหารและลําไสอักเสบ ๒. ทางระบบประสาท เหลาทําใหมือสั่น ตามัว ทําใหเกิดวิกลจริต ที่เรียกวา บาพิษสุรา ๓. ระบบทางเดินโลหิต เหลาถาดื่มพอสมควร ทําใหชีพจรเตนเร็ว ถาดื่มมาก ทําใหชีพจรออนลง เตนระยะไมเทากัน และสุดทายหมดสติ ๔. ตอมไมมีสาย เหลาทําใหอักเสบเรื้อรัง ทําใหเกิดโรคเบาหวาน ปวดขอ และเปนโรค ตับแข็ง ๕. ระบบการหายใจ เหลาทําใหผูดื่มหายใจชาลง ระยะไมเทากัน รวมความแลว เหลาใหโทษแกรางกาย เชิญทานตามไปพบหมออีกทานหนึ่ง คือนายแพทยประสบ รัตนากร ทานผูนี้เปน นายแพทย ผูเชี่ยวชาญทางจิตและประสาท ไดเคยไปศึกษาเรื่องเหลาโดยตรง ที่ประเทศ สหรัฐอเมริกา ครั้นกลับมาเมืองไทยแลว ก็ไดพยายามหาทางชี้แจงขอเท็จจริงเกี่ยวกับการดื่มเหลา ให ประชาฃนทราบอยางกวางขวาง ในคราวเขาประชุมรวมกัน ที่กระทรวงมหาดไทย ใน ฐานะ เปนกรรมการลดการดื่มสุรา ผมไดรับมอบบันทึกเรื่องเหลาไวจากทานชุดหนึ่ง ใน บันทึกนั้น ทานกลาวถึงเรื่องในอเมริกา เขามีสมาคมเลิกเหลา ( Alcoholics anomymhus ) สมาคมไดพยายามคนควาเกี่ยวกับเรื่องการดื่มสุรา ซึ่งเปนปญหาทางการแพทยทุกแง ทุกมุม
จนสามารถสรุปลงไดวา โรคติดสุรามีอยู ๖ ประเภท คือ ๗. Pathological คือโรคเมาเหลา ๘. Pelirium Tremens คือโรคไขเหลา มีอาการลืมตัว ผวางาย มีไขสูง ๓ - ๑๐ วัน ระแวง มองเห็นภาพลวงตา แลวหวาดกลัว รูสึกแปลกๆ คลายแมลงตอมไตผิวหนัง อัตรา การตาย สูงถึง ๑๐ % ๓. Korsakoff's Syndrome คือโรคเหลาละลายประสาท ไมอยากกินอาหาร เหน็บชา ลืมตัวงายพูดพลอย ๔. Acutchallucinosis คือโรคเหลาละลายจิต มีอาการเหมือนโรคจิต มีความระแวงและ สําคัญผิด เห็นและไดยินสิ่งลวงตา ลวงหู บางครั้งทนไมได ตองดา หรือออกทาทาง ประกอบ นอกจากนี้ ทานไดกลาวถึงสถิติในอเมริกา มีคนติดเหลาประมาณ ๕ - ๗ ลานคน คน เหลานั้น ทําใหเกิดผลเสียแกทางเศรษฐกิจของชาติ ๘,๐๐๐ ลานเหรียญตอปในบูดาเปสต มี หลักฐาน แนนอนวา คนที่ฆาตัวตายนั้น เปนพวกติดเหลาเสีย ๘๐ %ดร.ฟอเรล ไดทําการสํารวจ ใน ประเทศสวิส พบวา ๓ ใน ๔ ของพวกอาชญากร ปรากฏวาเปนพวกติดเหลา และ ๑ ใน ๓ ของคนที่ตองไปรักษาตัวในโรงพยาบาลโรคจิตนั้น มีเหลาเปนตนเหตุรวมอยูดวยเสมอ ฟง หมอแผนปจจุบันกี่คนๆ ก็วา เหลาเปนเครื่องนําโรคเหมือนกันลองหันไปหาหมอไทยๆ แผน โบราณดูบาง จะวาอยางไร ?สําหรับหมอแผนโบราณ ผมจะไมไปรบกวนหมอตามบาน ละ
เขาเฝา "หมอเดิม" ทีเดียว คือ สมเด็จพระมหาสมณเจา กรมพระยาวชิรญาณวโรรส ผู ทรง รอบรูเรื่องเหลานี้เปนอยางดี ไดทรงอธิบายไวชัดเจน วาเหลาทําใหเกิดโรคหลาย อยางเชน • • • • • • • •
โรคขัดตามขอ โรคเมื่อยขบ โรคแนน มีลมพิษในกระเพาะ โรคจุกเสียด โรคอวก โรคอวนฉุ ออนเพลีย โรคนอนไมหลับ โรคเบื่ออาหาร ลิ้นเปนฝา คอแหง
เท็จจริงประการใด หวังวาทุกทานพอจะพิสูจนได ลองนึกถึงคนที่ติดสุราดูก็ได เทาที่ ทานเคยพบ เห็นวามีโรคพวกนี้จริงหรือไม รวมความวา หลักวิชาการอันหนึ่ง ที่ พระพุทธเจา ตรัสไวเมื่อ กวา ๒,๕๐๐ ปกอนโนนวา "เหลานําโรคมาให" ก็ยังถูกตองจนทุกวันนี้ "หมอ" ทั้งแผนเกาแผนใหม ทั้งหมอไทย หมอฝรั่ง ตาง รับรองกันทั้งสิ้น. หั ว ข อ เ รื่ อ ง ที่ ๓๐ : โทษของสุรา ( ๔ ) โทษขอที่ ๔ เหลาทําใหเสียชื่อเสียง แนนอนที่สุด ชื่อเสียงยอมไมมีแกคนสติฟนเฟอน ซึ่งอาจทําความผิดไดทุกประตู บาง คน อางวา ดื่มเพื่อสังคม คลายๆกับวา การสังคมคบหากัน จําเปนตองดื่มเหลา ไมดื่มไมได ซึ่ง
เปนความเขาใจผิด หรือเปนการแกตัว ผมเคยฟงทานผูใหญบรรยายมารยาท ในสังคม และ เคยศึกษาจากตําราสังคมหลายเลม ไมเคยฟงหรือพบวา การสังคมตองดื่มเหลา มีแต สอน ซ้ําๆซากๆวา "จงอยาดื่มสุรา ถาอดไมไดจริงๆ ก็จงดื่มใหนอยที่สุด และเมื่อรูสึกตัว วา เมา ควรรีบปลีกออกจากสังคมเสีย"... มีแตสอนกันอยางนี้ เหลาไมใชแกนแหงสังคมแน บางคน อางความจําเปนในการผูกมิตร จึงดื่มเหลา อางวาถาไมดื่มเหลา เราจะนับถือ กันได อยางไร ?
นี่ก็อีกแหละ คนเลี้ยงเหลามีเพื่อนมากจริง เราอาจหาเพื่อนไดเปนพันๆในชั่วโมงเดียว แต นา เสียดายที่วา รุงเชา เหลาสรางแลว มิตรภาพก็สรางไปดวย พอเมาแลว ก็มักจะปว วารณา "นองชายมีอะไรใชพี่นะ อยาเกรงใจ"... แตรุงเชา พูดกันไมรูเรื่อง ดูซิ เพราะฉะนั้น เรา ตั้ง สูตรไดวา มิตรที่ไดดวยเหลา ก็เหมือนผาที่ยอมดวยขมิ้น สีตกเร็ว ตองยอมกันบอยๆ จึง จะได สีเดิม ผูที่ผูกมิตรดวยเหลา ถาตัวตกอับลง ไมมีเหลาใหเขากินเมื่อไร มิตรก็จะหายไป เมื่อนั้น ผมเคยเห็นมาแลว เปนเหตุการณที่เกิดใกลกับตัวขาพเจามาก คือทานผูซึ่งเคยเปนเจามือ เลี้ยง เหลา ขนาดหนักผูหนึ่ง ซึ่งบรรดาคอสุราทั้งหลายยกเปน "ตั้วเฮีย" ทีเดียว เกิดลมปวยลง อยางหนัก พอแสดงอาการหมดหวัง ที่จะเปนเจามือไดตอไปแลว บรรดาสุรามิตร ทั้งหลาย ซึ่งไมเคยขาดบานแตกอน หายหนาไปหมด เหลือแตผูนับถือกันดวยใจแทๆ ไมมีอะไร
ยอม คอยนั่งกรอก ขาวกรอกน้ําให เปนอยางนี้แหละทาน มิตรภาพใน ขวดเหลา มันระเหย ได เมื่อเหลาหมด มิตรก็หมดดวย หั ว ข อ เ รื่ อ ง ที่ ๓๑ : โทษของสุรา ( ๕ ) โทษที่ ๕ เหลาเปนเหตุใหทํานาอดสู ขอนี้ จริงที่สุดอีกเหมือนกัน ใครๆก็เคยพบเคยเห็น คนเราเวลาปกติก็เรียบรอย จะออก จาก บานแตละที ตองกวดขันเสื้อกางเกง กลีบไมกระดิก จะพูดจาก็รูจักรักษาชัน้ เชิง ไวศักดิ์ รักศรี ไมใหใครดูถูก แตครั้นเมาแลว กลายเปนคนละคน ความคิดที่จะถนอมเกียรติ และ ศักดิ์ศรี ของตนเอง ไมรูหายไปไหน เลยทําอะไรไดทุกอยาง ที่คนไมเมาทําไมได ที่วาทํานาอด สู ก็คือ ทําสิ่งนาอับอาย เชน นอนกลางถนน นั่งลงบนที่โสโครก ถายอุจจาระปสสาวะ และโกง คอ อาเจียน ในที่ทุกหนทุกแหง ปลอยปละกับการแตงเนื้อแตงตัว รวมความวา "หมดตัว" ก็ แลว กัน อยาวาแคเสื้อผาเลย แมแตแขงขาตีนมือของตัวเอง ก็ปลอย ทิ้งหมด มันเปนความ จริง ที่ไมนาจะเสียเวลาอธิบาย เพราะเห็นกันอยูทั่วไปแลว หัวคิดที่ออกมาในขณะมึนเมานั้น เปน หัวคิด ที่ใชการไมได มีใครมาเลาใหฟง จําไมไดเสียแลว จําไดแตวา ขณะนั้น ขาพเจาประจําอยูที่กองพลที่ ๔ นครสวรรค และก็กาํ ลังโดยสาร รถ
ลองลงมาจากเหนือ มีใครคนหนึ่ง สนทนามาในรถไฟ มาเลาใหฟงถึงหัวคิดของคนเมา เท็จจริงใหเปน ของคนเลาก็แลวกัน และถาพาดพิงถึงทานผูใด ก็ขอโทษดวย เลาตามที่ เขา เลา ครั้งหนึ่ง ทางจังหวัด มีการสรางถนน จากตัวจังหวัด ไปถึงอําเภอแหงหนึ่งครั้นทํา ถนน เสร็จเรียบรอยแลว ก็สั่งใหคน งานเอารถบรรทุกหลักกิโลเมตร ไปปกตามรายทาง วิธี ทํา ก็คือ คนพวกพวกนี้จะตองวัดระยะทาง ๑ ก.ม. และขุดหลุมปกหลักกิโลไว แตครั้นพน สายตา นายไปแลว คนงานทั้งหมดก็พากัน "ตกน้ํา" ลอกันเสียเมาแอ พอเมาแลว ก็เกิดความคิด ขึ้นมา แปลกๆ คนหนึ่ง เสนอความเห็นขึ้นวา การที่นายสั่งใหปกหลักกิโล รายกันออก หางกัน ๑ ก.ม. นั้นไมถูก ผิดศีลธรรม เพราะเปนการทรมานหลักกิโล ใหพลัด พรากกัน เขาจะคุยกัน บางก็ไม ได เปนบาปหนัก นายสั่งผิด คณะพรรคพวกเห็นจริงดวย มีมติเปนเอกฉันท ไชโย ปกหลักกิโล รวม กันไวดีกวา ที่สุด เมื่อเสร็จแลว หลักกิโลสายนี้ ก็เลยพิกล ไปหมด บางทีเดินตั้ง ครึ่งวัน ก็ ไมเจอ หลักกิโล แตพอเจอเขา ก็เห็นปกรวมกันไว เปนสิบๆหลัก ตั้งสลอนเหมือนปาชา ฝรั่ง ครั้นสอบสวนไดความตามที่เลามาแลว คือคนงาน พากัน "ตกน้ํา" เสีย พอสมองพิกล งาน ก็พิการไปดวย... นา อดสูนักแลพอตา ลดลง เรียก ลูกเขยวาเพื่อน...ลูกเขยสถาปนา ตัวเองขึ้น เรียกพอตาวา "ไอนองชาย" มีอยูถมไปในวงสุรา" หั ว ข อ เ รื่ อ ง ที่ ๓๒ : โทษของสุรา ( ๖ )
โทษขอที่ ๖ เหลาบั่นทอนกําลังปญญา ยังมีผูเขาใจผิดอีกอยางหนึ่งวา เหลาทําใหปญญาเปรื่องปราชญ หัวคิดแลน บางคนอาง ตัวอยาง สุนทรภู กวีเอกของไทย วาแตงกลอนไดดี ก็เพราะเหลา มีชื่อเสียงเพราะเหลา ซึ่ง เปนความเขาใจ และเปการอางที่ผิดจากความจริง ความจริง สติปญญาของคน ไดมา จาก การศึกษา คนกินเหลามาก เหลาทําใหปญญาทึบ ถาเขาไมไดกินเหลา สมองจะมึนชา แตถา กินเหลา เหลาจะเขา ไปกระตุนเสนประสาท ใหความคิดแจมใสชั่วประเดี๋ยวหนึ่ง แลวก็ กลับ ทรุดหนักลงไปอีก คนติดสุราแลว เลยควาเอาตรงที่เหลากระตุนประสาทนั้น วาเหลาทํา ให ปญญาเปรื่องปราชญ เปนการคิดถึงผลไดเพียง หยิบมือเดียว แตที่เสีย ไปตั้งกอง ไมพูด ถึง การที่อางสุนทรภูเปนตัวอยางวา แตงกลอนไดดีเพราะเหลา และมีชื่อเสียงเพราะเหลา นั้นผิด ถนัด อานประวัติสุนทรภูดูเถอะ ฉบับของสภาวัฒนธรรมแหงชาติ และฉบับของ กรมพระ ยา ดํารงราชานุภาพ แสดงไวชัดเจนวา สุนทรภูเปนนักแตงกลอนกอนกินเหลา ไมใชกิน แลวจึง แตงเปนจะวาสุนทรภูไดปญญามาจากเหลาไดอยางไร และเหลาไมไดทําใหชื่อเสียง ของ สุนทรภูดีขึ้นเลย ตรงขาม เหลาทําใหสุนทรภูลําบากยากเข็ญมาก แลวทําใหสุนทรภูตอง ติด คุกติดตะราง เหลาทําใหสุนทรภูถูกเมียทิ้งและเหลาทําใหสุนทรภู ถูกโหรเรียกวา "อาลักษณขี้เมา"
รวมความวา ถาเกียรติยศของสุนทรภูจะแจมใสเหมือนดวงอาทิตย เหลาก็เปนผูสราง จุดดํา ขึ้นในดวงอาทิตยนั้น ขอนี้ สุนทรภูเองรูดี จึงแตงกลอนสาปเหลาวา "น้ํานรก" กลอนนั้นวา "ถึงโรงเหลาเตากลั่นควันโขมง มีคันโพงผูกสายไวปลายเสา โอบาปกรรมน้ํานรกเจียวอกเรา ใหมัวเมาเหมือนหนึ่งบาเปนนาอาย" และเมื่อสํานึกตัวไดแลว สุนทรภูก็เลิกดื่มเหลา แลวเขียนกลอนไววา "ถึงนครชัยศรีมีโรงเหลา เปนของเมาตัดขาดไมปรารถนา "ถาเหลาเพิ่มสติปญญาใหคน จริง เราคิดงายๆก็แลวกัน รัฐบาลคงเปดใหคนตมเหลากินอยางเสรีมานานแลว พลเมืองจะ ไดฉลาด ไมตองตั้งกระทรวงศึกษาธิการใหเสียเงินเปลาๆ และพระพุทธเจาคงไมหามการกิน เหลาแน การหาเรื่องโฆษณา วาการกินเหลา ดีอยางนั้น อยางนี้ เปนเรื่องของคนดื่มเหลาจนติด แลว โฆษณาปลอบใจตัวเอง และในโอกาสเดียวกัน ก็หาเพื่อน หรือหาเจามือไว ฝายคนขาย เหลา ก็กระพือใหญ เพื่อใหคนนิยมกินเหลามากๆ ตัวจะไดรวย" หั ว ข อ เ รื่ อ ง ที่ ๓๓ : ผูผลาญความเกง "สมรรถภาพ เปนสิ่งจําเปนสําหรับมนุษย คําวา สมรรถภาพ บางทีเราพูดทับศัพทวา ความสามารถ ยังไมพบคําจํากัดความภาษาไทยที่เหมาะๆ แตผมคิดแปลงเอาเองวา ความ เกง บางทีเราพูดตอกันวา ความเกงกลาสามารถรวมความแลว สมรรถภาพ ก็คือความ เกง
นั่นเอง คนเราจะตองมีความเกงอยูในตัว จึงจะเปนอะไรได ตางกันวาใครจะเกงทาง ไหน และเกงมากเกงนอยกวากันอยางไรเทานั้น แตที่แนที่สุด คือคน จะดีจะเจริญได จะตอง มี ความเกง และไดแสดงความเกงออกมาใหชาวโลกเขาเห็น จะเปนเกงทางเขียน เกงทาง อาน เกงทางทํานา เกงทางการชาง หรือเกงทางพูด เกงทางฟง เกงเปนรัฐมนตรี เกงทาง แจว เรือ เกงทางขับรถ และแมเกงทางกวาดถนน ขนขขยะก็ได ตองใหเกงไว อยางนอย หนึ่งทาง จึงจะ เอาตัวรอดเกิดมาแลวตองเกง ทีนี้ ความเกงของคนมีอยู ๒ ทาง ดี-ชั่วยังไมพูด พูดกันแคความเกงเสียกอนที่วาเกง ๒ ทาง นั้นคือ - ตัวเกง - ใจเกง ตัวเกง หมายความวา รางกายเนื้อตัวของเรา มันมีความเกง เชน มีกําลังแข็งแรง ยกของ หนัก ได เดินทางไดไกลๆ วิ่งไดเร็ว กระโดดไดสูง หูตามือไมฝกหัด ใชการ ไดดี เหลานี้เปน ตน เปนความเกงทางรางกาย ใจเกง ดูกันที่ความคิด คือความคิดเฉียบแหลม คลองแคลว ผองใส และมีเหตุผล เพียงพอ ขอนี้เปนความเกงทางใจ ตัวเกง กับ ใจเกง ก็ดีทั้ง ๒ อยาง และจําเปนทั้ง ๒ อยาง แต เมื่อ เปรียบเทียบกันแลว ความเกงทางใจมีภาษีมากกวา ถึงตัวเกง ถาใจไมเกงก็หมดทา ยก
ตัว อยางเชน การเขียนหนังสือ บางคนฝกฝมือ ไวดี เขียนไดสวยงาม แตคนฝมือดีนั้น จะ เขียน ไดถูกตอง สะกดการันตถูก และขอความที่เขียนจะเปนเรื่องเปนราว จะตองพึ่งความเกง ทาง ใจ คือเปนคนที่มีหัวคิด คิดเปน ชางคิด ขอความที่เขียน จึงอานไดรสไดเรื่องทีนี้การ ทํางาน ของจิต ที่เรียกวา "คิด" นั้น มันมีอาการควบคูกันอยู ๒ อยาง ความคิดจึงจะ บังเกิดผล ( โปรดอานและคิดชาๆ ) อาการ ๒ อยางที่วานี้ คือความคิด กับ ความรูตัว ความคิด หมาย ความวา การที่จิต สราง อารมณขึ้น แลวก็คิดคืบหนาไปเรื่อย สวนความรูตัว หมายความวา รูสึกตัว หรือพูดอีกทีวา ไมลืมเรื่องเดิม ไมลืมหลัก ความรูสึกตัว ทาง ธรรมะ เรียกวา "สติ" ในชั้นนี้ โปรดทราบวา ถาสติทํางานชา จิตจะออกนอกเรื่องหลักไปไกล มาก อาการอยางนี้เราเรียกวา "ใจลอย" ก็คือใจที่ไมมีสติควบบคุมนั่นเอง ทางธรรมะเรียก อาการ อันนี้วาความประมาท ความผิดพลาดของคน มักจะเกิดขึ้นตอนนี้แหละ ตอนลอยนี่ เดินพลาด พูดพลาด เขียน พลาด จําพวกพลาดๆ เผลอๆ พลั้งๆ เกิดขึ้นตอนนี้ทั้งนั้น นี่เพียงแตสติเกิดชานะ ที่ราย กวา นั้นก็ยังมี คือสติเกิดชํารุดเอาจริงๆ และนั่นก็หมายความวา จิตลอยตัวจน ใชการไมได เหมือน
วาวที่หลุดลอยแลว เราเรียกวา คนเสียสติ รางกายของเรานี้ ถาชักจิตออกเสียแลว ก็หมด ความ สําคัญ แตจิตนั้น ถาชักสติออกเสียแลว ก็สิ้นความหมาย พระพุทธศาสนา ซึ่งเปนศาสนาที่มุงหนักไปในทางปฏิบัติ จึงสอน ใหสนใจกับจิตและ สติ ควบกันไปเสมอ มิฉะนั้น จะบําเพ็ญเพียรใหบรรลุมรรคผล นิพพานไมไดเลย สติของ คน มี ทางที่ จะเสียไดหลายทาง แตจะวาเปนของเปราะ แตกงาย เสียงาย ก็ไมใช ไมไดกินขาว ทั้งวัน สติก็ไมเสีย ปวยตั้งเดือนตั้งป สติก็ไมเสีย ก็นับวาทนทานอยู แตมีสิ่งหนึ่งในโลก นี้ ที่มีพิษสง ทําลายไดงายที่สุด มันเปนน้ําชนิดหนึ่ง ที่ชาวบานเรียกกันวา "เหลา" เหลา คือ อาวุธทําลายสติ ตั้งแต คอยๆทําลายคุณภาพของสติใหเสื่อมลงๆ จนกระทั่งเสีย ใชการ ไมได เลย ถาไม เสียฮวบฮาบลงในชาติเดียว ก็คอยๆเสียไปทุกภพทุกชาติ และนั่นหมายความ วา ความเกงในตัวเรา ในใจเรา ไดถูกผลาญลงไปดวย ฉะนั้น เราควรจะพูดไดอยาง เต็ม ปากวา "เหลา คือผูผลาญความเกงของมนุษย" หั ว ข อ เ รื่ อ ง ที่ ๓๔ : วิรัติ ๓ ศีลทั้ง ๕ เราไดวามาหมดทั้ง ๕ ขอแลว ทีนี้ ก็จะพูดถึงประเด็นปลีกยอยที่ควรรู เรื่องแรก ทาน พ.อ.ปน มุทุกันต ทานจะใหความรูเกี่ยวกับเรื่อง วิรัติ วิรัติ คํานี้ จะมีความหมายอยางไร เรามาฟงคําเฉลย จากทาน พ.อ.ปน มุทกุ นั ต กันดีกวา ครับ "วิรัติ" แปลวา ความงดเวน หรือเจตนางดเวน ดังคําที่เราเคยใชกันทั่วไปวา
มังสวิรัติ หมายถึง การเวนรับประทานเนื้อสัตว มัชชวิรัติ เวนจากการดื่มน้ําเมา ปาปวิรัติ เวนจากการทําบาป... เหลานี้เปนตน แตที่จะกลาวในที่นี้ เฉพาะที่เกี่ยวกับศีล หา o o o o o
o
ของอยางอื่น เราจะมีได ดวยการทําเปนสวนมาก อยากมีเงิน ตองทํางาน อยากมีความรู ตองเรียน อยากมีบุญวาสนา ก็ตองสรางความดี แตศีลนี้แปลก ถาอยากมี ตองงด ตองเวน ตองไมทํา คืองดเวนการทําชั่ว ๕ ทาง นั้น จึงจะเปนผูมีศีล ๕ การที่ตั้งใจงดเวนนั่นแหละ เรียกวา วิรัติ เปนการทําเหมือนกัน แตทําการงดเวน
เราจะทําการวิรัติได ๓ ทาง หรือ ๓ วิธี คือ • • •
สัมปตตวิรัติ งดเวนขณะประจวบ สมาทานวิรัติ งดเวนดวยสมาทาน สมุจเฉทวิรัติ งดเวนอยางเด็ดขาด
ถาผูใดมีวิรัติ ๓ อยางนี้ อยางใดอยางหนึ่ง ผูนั้นก็มีศีล ถาไมมีวิรัติ ก็หมายความวา ศีล ไมมีในผูนั้น" ทีนี้ ลองมาฟงคําอธิบายของวิรัติแตละประเภทดู หั ว ข อ เ รื่ อ ง ที่ ๓๕ : วิรัติ ๓ ( ตอ ) สัมปตตวิรัติ สัมปตตวิรัติ ไดแก เจตนางดเวน ซึ่งเกิดขึ้นในทันทีทันใด ที่ประจวบกับเหตุที่จะทําให เสีย
ศีลหมายความวา เดิมไมไดตั้งใจจะรักษาศีล ไมไดสมาทานไว แตเมื่อพบกับเหตุที่ตน จะลวง ศีลได จึงคิดงดเวนขึ้นในขณะนั้น เชน เห็นสัตวที่พอจะฆาได นาจะฆา แตคิดเวนเสีย ไมฆา เจอกระเปาเงิน เจาของเขาวางไว แมจะขโมย ก็พอขโมยได แตงดเสีย ไมขโมย หญิงที่ จะ ลวงประเวณีได ก็มี ชองทางและโอกาสก็อํานวยทุกอยาง แตใจคิดงดเวนการลวง ประเวณีเสีย ไมลวง ไปดูการดูงาน ถึงเมืองนอก กลับมาคนเดียว จะเลาอะไร โกหกใหใครฟงก็ได แต คิดงดเวนการโกหกเสีย ไมพูด เหลาจะกิน ก็มีพรอม จังหวะก็อํานวย แตคิดงดเสีย ไม ดื่ม การตั้งใจงดเวน เมื่อประจวบเขากับ เหตุการณอยางนี้ เรียกวา สัมปตตวิรัติ ผูงดเวนถือ วามีศีล เหมือนกัน สมาทานวิรัติ สมาทาน แปลวา รับ สมาทานวิรัติ แปลวา งดเวนดวยการสมาทาน ขอนี้ หมายความวา เราไดตั้งใจไวกอนวา จะรักษาศีล ครั้นไปพบเหตุการณอันชวนให ลวงศีล ก็ไมลวง เพราะถือวา ตนไดสมาทานศีลไว จะลวงก็เสียดายศีล กลัวศีลจะขาด การงด เวนจาก การลวงศีล ดวยคํานึงถึงศีลที่ตนไดสมาทานไวอยางนี้ เรียกวา สมาทานวิรัติ สมาทาน วิรัติ กับ สัมปตตตวิรัติ มีผลตางกันอยูบาง คือสัมปตตวิรัติ ทําใหศีลเกิดขึ้น เฉพาะชั่วระยะ
หนึ่ง ขณะที่จิตคิดงดเวนเทานั้น กอนนั้นก็ไมมีศีล หลังจากนั้นก็ไมมีศีล จําเพาะมีในเวลา ตั้งใจ งดเวนเทานั้น สวน สมาทานวิรัติ คือตั้งใจรักษาศีลอยูเรื่อยๆ ศีลก็ยอมมีอยูต ลอดเวลา จนกวา ตนเองจะลวงละเมิดศีล ศีลจึงจะขาด คือเปน อันสิ้นสุดการสมาทาน ตอเมื่อไดสมาทาน ศีลอีก สมาทานวิรัติจึงจะเกิดอีก และเปนผูมีศีลสมุจเฉทวิรัติ สมุจเฉทวิรัติ สมุจเฉทวิรัติ ที่แปลวา งดเวนเด็ดขาด หมายถึง การงดเวนของทานผูสิ้นกิเลส ที่เรียกวา พระอริยเจา ทานนักศึกษายอมจะทราบแลววา ศีลหานั้น คนจะลวงก็ เพราะจิตมีกิเลส ทํา ใหอยากทําผิดทีนี้พระอริยเจาทานละกิเลสไดแลว จึงหมด ปญหาที่จะผิดศีล ไมผิดอีก แลว ไมผิดอยางเด็ดขาด เพราะฉะนั้น ศีลของ ทานจึงมีอยูตลอดกาล ไมมีเวลาขาด ไมมีเวลา เศราหมอง" หั ว ข อ เ รื่ อ ง ที่ ๓๖ : การสมาทาน ๒ วิธี "การสมาทานศีล ก็คือ ตัง้ ใจวา จะรักษาศีล การตั้งใจนั่นแหละ เรียกวา สมาทาน มี ๒ วิธี คือ ๑. ปจเจกสมาทาน สมาทานเฉพาะขอ ๒. อัชเฌกสมาทาน สมาทานรวมทุกขอ โปรดทราบวา ที่แยกวิธีสมาทานเปน ๒ อยางเชนนี้ พูดงายๆ ก็คือ ตั้งใจ นั่นเอง หมายความวา ตั้งใจในขณะรับศีล จะตั้งใจอยางไหนก็ได ใน ๒ อยางนี้
ปจเจกสมาทาน คือตั้งใจวา เราจะรักษาศีล แยกเปนขอๆ ขอไหนขอนั้น โดยวิธีนี้ ถาศีล ขอ ใดขาด ก็ขาดเฉพาะขอนั้น ขออื่นๆคงบริสุทธิ์บริบรู ณ ขาด ๑ ขอ ก็เหลือ ๔ ,ขาด ๒ ขอ ก็ เหลือ ๓ อัชเฌกสมาทาน คือตั้งใจรับศีลรวมหมดทั้งชุด แทนที่จะตั้งใจวา จะเวนจากฆาสัตว จะ เวน จากละทรัพย ฯลฯ ก็ไมตอง แตตั้งใจวา "เราจะรักษาศีลหา" ดังนี้ เรียกวา อัชเฌกสมา ทาน อัชเฌกะ ก็แปลวา รวมเปนหนึ่ง คือหัวขอนั้นรวมเปนหนึ่ง สมาทานแบบนี้ ถาศีลขาด แมขอ เดียว ก็เปนอันขาดหมดทั้งหา เกี่ยวกับการกําหนดอาการของจิต จึงอธิบายยาก เหตุใดสมาทานอยางนั้น ศีลขาดทีละ ขอ สมาทานอยางนี้ ถาศีลขาด ก็ขาดหมด อธิบายยาก ขอใหนึกวาอยางนี้ก็แลวกัน ถาเรามี ธนบัตร ใบละ ๑๐๐ อยู ๕ ใบ เวลามันตกหาย มันก็หายเปนใบๆ หาย ๑ ใบ ก็เหลือ ๔ ,หาย ๒ ก็ เหลือ ๓ , หาย ๓ ก็เหลือ ๒ , หาย ๔ ก็เหลือ ๑ , ถาหาย ๕ ก็หมดเลย ทีนี้อีกวิธีหนึ่ง เรามีเงินอยู ๕๐๐ บาทเหมือนกัน แตเปนธนบัตรใบละ ๕๐๐ บาทใบ เดียว ถา ลงไดหาย ก็หายหมดทั้ง ๕๐๐ บาท ปจเจกสมาทาน นั่นเหมือนแบงคยอย ใบละ ๑๐๐ บาท สวนอัชเฌกสมาทาน เหมือนแบงคใหญ ใบละ ๑๐๐ นั่นเอง ทานนักศึกษา คงอยากจะ ทราบ
วาใน ๒ วิธีนี้ วิธีไหน จะมีผลดีกวากัน ? ผมจําไดวา ไมเคยพบคําอธิบายเปรียบเทียบไว มีความเห็นเปนสวนตัววา อัชเฌกสมา ทาน มีผลทางฟอกจิตไดดีกวา เพราะความตั้งใจแรงกวา สวนการสมาทานแยกองคนั้น ดูเปน การ หาทางเอาตัวรอด หรือสรางขอแกตัวไวลวงหนา ความตั้งใจจึงไมเด็ดเดี่ยวแท และยัง คิดตอ ไปวาปจเจกสมาทาน เปนวิธีเก็บตก เหมาะสําหรับคนที่บังคับตัวไมคอยจะได" ทาน พ.อ.ปน มุทุกันต ไดสรุปเปนการปดทายวา "การสมาทานนั้น สําคัญอยูที่การตั้งใจ คือตั้งใจไป ตามที่ ปากวา ปากวา ใจตองวาดวย คนที่ปากวาตามพระ แตใจโลเลไปทางอื่น ไมเปนอันได สมาทาน ศีล แตคนที่ตั้งใจจริง แมไมเปลงวาจาใหพระไดยิน ก็เปนอันไดสมาทานแท." หั ว ข อ เ รื่ อ ง ที่ ๓๗ : มีศีล ตองมีธรรม บางทานอาจจะคิดวา การที่เรารักษาศีลใหบริสุทธิ์เพียงอยางเดียว แคนี้ก็ถือวาเพียงพอ แลว เพราะเราไดชื่อวาเปนคนดีแลวไมใชหรือ ? ทาน พ.อ.ปน มุทุกันต ทานไดเคยตอบไววา "ถูกแลว การรักษาศีล เปนการทําความดี แตเปนเพียงความดีขั้นตน คือดี ที่เปนคนไม ทํา ความชั่วเทานั้นเอง ถาหยุดอยูเพียงเทานี้อาจเสียได ยกตัวอยาง คนเวนจากฆาสัตว ซึ่งเรายอมรับกันวาเปน คนมี ศีล ถาคนๆนี้เดินเลนไปตามริมคลอง เห็นเด็กตกน้ํา กําลังจะจมน้ํา ตาย ถาจะชวยเขาก็
ชวยได แตไมชวย กลับยืนกอดอกดูเฉยๆ ถือวาตัวไมไดฆา ศีลบริสุทธิ์อยู ตามตัว อยางนี้ ทาน จะเห็น เปนประการใด ? คนทั้งโลกตองลงความเห็นวา แกเปนคนไมดี เพราะคนดีจริง จะตองรูจักเวนจากฆา คน ดวย และรูจ ักชวยชีวิตคนดวย การเวนจากฆา นั่นเปนการรักษาศีลการชวยชีวิตเขา นี่ เปน การปฏิบัติธรรม บางทานที่ชางคิด จะคิดวา ตามตัวอยางขางบนนี้ ผมไปเอาความเห็น ของ คนอื่น (ชาวโลก ) มาตัดสิน ดีชั่วทางธรรม ถาเกิดคนพวกนั้น แกเปนมหาโจร ทั้งนั้น อยาก เห็นคน ตกน้ําตายอยูแลว จะวาอยางไร คนที่เพิกเฉยในการชวยชีวิต ก็จะมิกลายเปนดี ของ พวกนั้นหรือ หรือในบางกาล ที่ไมมีคนพบเห็นการ เพิกเฉย ของเราเลย ไมมีใครจะติ แลว เราจะเสียหายหรือไม ? ออ แนนอนที่สุด ที่ยกคนอื่นมาประกอบตัวอยางนั้น เพียงวาดแนวทางใหคิด และ เห็นได งายๆเทานั้น ความจริง จุดเสียหายจริงๆ อยูในจิตใจของผูนั้น ขณะที่เขา ยืนดูคนตกน้ํา เฉย อยูนั้น จิตของเขาตองหยาบลง ต่ําลง อยางเห็นไดชัดทีเดียว เขาถูกโมหะครอบงําใจ จน ไม สามารถจะมองเห็นเหตุการณจําเพาะหนา เยี่ยงคนทั้ง หลาย เรื่องใหญโต ขนาดชีวิตคน ก็ เห็นเปนเรื่องเล็ก งานชวยชีวิตเพื่อนมนุษย ซึ่งอยูแคมือเอื้อม นาจะมองเห็น ก็มองไม
เห็น เพียงเทานี้ เราก็ทายไดแลววา สภาพจิตใจของ เขาเสียหายไปเทาไร ถาสมมติวา มีชาง โขลง หนึ่ง เดินผาน หนาคนๆหนึ่งไปใน ระยะใกล แตถานายคนนั้นบอกวา เขามองไมเห็น ชางเหลา นั้นเลย ทานจะทายไดไหมวานายคนนั้นอยูในสภาพอยางไร ? แนนอน เขาจะตองอยูใน ความ มืด หรือบอด หรือบา อยางใดอยางหนึ่ง หรือทุกอยางรวมกัน ชางไมใชตัวเทามด ซึ่ง อาจ มองเห็น หรือไมเห็นก็ได เชนเดียวกันนั่นแหละทาน ขนาดคนตกน้ําอยูตอหนา จะตาย มิตาย แหล ใครยังมองไมเห็นกิจที่ควรทํา ยืนเฉยอยูได ก็แสดงวาจิตใจของแกเนาเต็มทีแลว"
ทาน พ.อ.ปน มุทุกันต กลาวตอไปวา "พระพุทธศาสนา มีแผนใหเราสรางความดีไว ๒ ขั้น คือขั้นที่ ๑ ใหเวนจากการทําชั่ว และ ขั้นที่ ๒ ใหขวนขวายทําความดีใหมาก - ขั้นที่ ๑ ตรงกับการรักษาศีล - ขั้นที่ ๒ ตรงกับการประพฤติกัลยาณธรรม ( ตั้งตนแตกัลยาณธรรม ควบคูกับศีลเรื่อยไป ) ศีลขอที่ ๑ เวนจากการฆาสัตว คูกับ เมตตากรุณา ศีลขอที่ ๒ เวนจากการลักทรัพย คูกบั สัมมาอาชีพ ศีลขอที่ ๓ เวนจากการผิดในกาม คูกับ กามสังวร ศีลขอที่ ๔ เวนจากการพูดเท็จ คูกับ สติ สวนความหมายของกัลยาณธรรมที่คูกับศีลทั้ง ๕ ขอนั้น มีความหมาย ดังนี้
เมตตากรุณา คือปรารถนาใหผูอื่นมีความสุขและชวยเหลือเขา สัมมาอาชีพ คือตั้งใจทํามาหากินโดยสุจริต กามสังวร คือระมัดระวังในเรื่องรักๆใครๆทางกาม สัจวาจา คือรักษาวาจาใหไดจริง บูชาคําจริง สติ คือฝกตน มิใหมัวเมาประมาท" ถามีทั้งศีล มีทั้งธรรม ครบถวนอยางนี้แลว เราจึงจะไดชื่อวา เปนมนุษยผูมีใจสูงอยาง แทจริง หั ว ข อ เ รื่ อ ง ที่ ๓๘ : อานิสงสศีลขอที่ ๒ อานิสงสศีลขอแรก เราไดกลาวไปแลว เมื่อสัปดาหกอน มาสัปดาหนี้ เราก็จะมาวากันตอ ถึง อานิสงสศีลขอที่ ๒ ศีลขอที่ ๒ คืออะไร ? ก็คือการเวนจากการลักขโมย ถามวา ถาใครรักษาศีลขอนี้ไดบริสุทธิ์บริบูรณ จะ ไดรับ อานิสงสอยางไร ? ทานบอกวา จะไดรับอานิสงสดังตอไปนี้ครับ
o o o o o o
๑. มีทรัพยมาก ๒. ไมเคยรู ไมเคยไดยิน คําวา "ไมมี" ๓. สมบัติไมกระจัดกระจาย ดวยโจรภัย ราชภัย ฯลฯ ๔. หาโภคทรัพยได ไมมีที่สิ้นสุด ๕. โภคทรัพยที่ยังไมได ก็ได ๖. โภคทรัพยอันใดที่ไดไวแลว ก็ยั่งยืน
นี่เปนอานิสงสแหงศีลขอที่ ๒ ที่ทานแสดงไว ตามนัยแหงคัมภีรปรมัตถโชติกา
หั ว ข อ เ รื่ อ ง ที่ ๓๙ : อานิสงสศีลขอที่ ๓ อานิสงสศีลเฉพาะขอ เราไดพูดกันมา ๒ ขอแลว สัปดาหนี้เราก็จะมาพูดตอในขอที่ ๓ ศีลขอที่ ๓ ก็คือการเวนจากการประพฤติผิดในกาม ทานบอกวา ใครก็ตามที่สามารถ รักษา ศีลขอที่ ๓ นี้ไดอยางบริสุทธิ์บริบูรณ ยอมจะไดรับอานิสงส ๒ ประการ กลาวคือ ๑.ไมเกิดเปนกะเทย ๒.ไมคอยพลัดพรากจากของที่ตนรัก ถามองถึงอานิสงสขอแรก แลวไปมองดูสภาพสังคมของบานเรา ที่เกิดการวิปริตทาง เพศ อยางนาตกใจ ก็แสดงถึงวา คนในสังคมไดหลงใหลมัวเมาในเรื่องเพศ จนเปนเหตุให ตอง ประพฤติผิดในกามกันมิใชนอย และผลแหงการประพฤตินั้น ก็ยอมจะสงใหเกิดการ วิปริต ทางเพศกันหนักขึ้นๆ ในอนาคต ฉะนั้น ถาไมอยากจะใหเปนอยางนั้น ก็ขอใหทุกคนจง ตั้ง มั่นอยูในศีลขอ ๓ จงรักเดียว ใจเดียวซะตั้งแตวันนี้ และเดี๋ยวนี้เถิด