มีแต่ความเปลี่ยนแปลงไปเรื่อยๆ เปลี่ยนไปเรื่อยๆ ไม่ค งที่หรอก ร่างกายของเราก็ไม่คงที่ จิตใจของเราก็ไม่ค งที่ เดี๋ยวสุข เดี๋ยวทุกข์ เดี๋ยวดี เดี๋ยวร้ายนะ เดี๋ยวเป็นกุศล เดี๋ยวเป็นอ กุศล เดี๋ยววิ่งไปทางตา วิ่งไปทางหู วิ่งไปทางใจ มีแต่ข องเปลี่ยนแปลง พอหยั่งรูต้ ามรู้นานๆ ไปปัญญาจะเกิด ท่านบอก ปัญญา อุทะปาทิ ปัญญาเกิดขึ้น ปัญญาคือค วามเข้าใจไตรลักษณ์นั่นเอง จะเห็นเลยว่ากายนี้ใจนี้ไม่ใช่ตัวเราหรอก เป็นสภาวธรรมอันหนึ่ง มีเหตุก็เกิด หมดเหตุกด็ ับ เปลี่ยนแปลงตลอดเวลา บังคับไม่ได้ ไม่เที่ยงเป็นทุกข์ บังคับไม่ได้ ปัญญาจะเห็นอันนี้ ต่อไป วิชชา อุท ะปาทิ คือความหยั่งรูใ้นอริยสัจจ์ รู้เลยว่ารูปนามกายใจไม่ใช่ตัวเรา เป็นตัวท ุกข์ เป็นธ รรมชาติอันหนึ่ง เป็นตัวท ุกข์ ไม่ใช่ตัวเราหรอก แต่ถ้าเราเกิดไปอยากไปยึดมาก ใจเรากจ็ ะพลอยทุกข์ไปด้วย เรียกว่ามีวิชชาแล้ว พอจะเข้าใจอริยสัจจ์นิดๆ หน่อยๆ ยังไม่แ จ้งทีเดียวหรอก คนที่แจ้งอริยสัจจ์คือพระอรหันต์เท่านั้น เข้าใจยากนะ อริยสัจจ์ เสร็จแล้วท ่านบอกว่าตัวส ุดท้ายเลย อาโลโก อุท ะปาทิ แสงสว่างเกิดขึ้น นีเ้ป็นกระบวนการของการเกิดอริยมรรค ในขณะที่จะเกิดอริยมรรค เราตามรู้รูปรนู้ ามรกู้ ายรใู้จไปตามที่เขาเป็น ไม่เข้าไปเพ่งไว้ บังคับไว้ ถึงจุดทกี่ ำลังอินทรีย์ของเราแก่กล้าพอแล้ว จิตจ ะรวมเข้าอัปปนาสมาธิ รวมเองนะ ไม่ต้องน้อมใจรวม ไปรวมของเขาเอง ถัดจากนั้นจะเกิดสภาวธรรม เกิดดับขึ้นม า สองขณะหรือสามขณะ แต่ละคนไม่เหมือนกัน คนไหนทปี่ ัญญาแก่กล้าจ ะเห็นสภาวธรรมเกิดดับขึ้นส องขณะเท่านั้น คนไหนทปี่ ัญญาไม่แก่กล้าจ ะเห็นส ามขณะ ถัดจ ากนั้น จิตจะเริ่มปล่อยวางการรับรู้ตัวส ภาวธรรมที่เกิดด ับนั้น จะเริ่มทวนกระแสเข้าหาธาตุร ู้ เมือ่ ทวนกระแสเข้าหาธาตุรแู้ ล้ว อาสวกิเลสทห่ี อ่ ห มุ้ ธาตุร อู้ ยูจ่ ะถกู อริยมรรคทำลายลงไป
ธรรมะใกล้ตัว 19