24COSTMA4KU68Supply chain management

Page 1

การบริหารต้นทุนโดยใช้เครื่องมือการจัดการห่วงโซ่อปุ ทาน กรณี ศึกษา บริษทั กขค จากัด

โดย นางสาวพนิดา นางสาวเสาวลักษณ์ นางสาวนิรชา นางสาวปิ่นประภา นางสาวศกลรัตน์

ธนสุทธาภิรมย์ ลิ่มศิลา สุกสด สีฉ้วน เทียมทอง

ปัญหาพิเศษนี้ เป็ นส่วนหนึ่ งของการศึกษาตามหลักสูตร บริหารธุรกิจบัณฑิต สาขาการบัญชีบริหาร คณะวิทยาการจัดการ มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ พ.ศ. 2554



การบริหารต้นทุนโดยใช้เครื่องมือการจัดการห่วงโซ่อุปทาน กรณีศกึ ษา บริษทั กขค จากัด

โดย นางสาวพนิดา นางสาวเสาวลักษณ์ นางสาวนิรชา นางสาวปิ่นประภา นางสาวศกลรัตน์

ธนสุทธาภิรมย์ ลิม่ ศิลา สุกสด สีฉ้วน เทียมทอง

51201259 51202414 51205722 51205789 51206092

ปญั หาพิเศษฉบับนี้เป็ นส่วนหนึ่งของการศึกษาตามหลักสูตร บริหารธุรกิจบัณฑิต สาขาการบัญชีบริหาร คณะวิทยาการจัดการ มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ พ.ศ. 2554


(1) พนิดา ธนสุทธาภิรมย์ และคณะ 2554: การบริหารต้นทุนโดยใช้เครื่องมือการจัดการห่วง โซ่อุปทาน กรณีศกึ ษา บริษทั กขค จากัด ปริญญาบริหารธุรกิจบัณฑิต สาขาวิชาการบัญชี บริหาร อาจารย์ทป่ี รึกษาวิชาปญั หาพิเศษ: ผูช้ ่วยศาสตราจารย์พชั นิจ เนาวพันธ์, บธ.บ., บธ.ม. 111 หน้า การบริหารงานให้มปี ระสิทธิภาพต้องมีการบริหารงานและบริหารต้นทุนให้เหมาะสมมีความ ต่อ เนื่อ งในทุกส่ ว นงาน การจัดการโซ่อุ ปทาน เป็ นแนวคิดสาคัญ ที่ผู้ประกอบการให้ความสนใจ นามาใช้ในองค์กรเพื่อสร้างความได้เปรียบในการแข่งขัน ดังนัน้ ผูศ้ กึ ษาจึงมีแนวคิดในการศึกษาการ บริหารต้นทุนโดยใช้เ ครื่องมือการจัดการห่วงโซ่อุปทาน กรณีศึกษา บริษัท กขค จากัด โดยมี วัต ถุ ป ระสงค์ใ นการศึก ษา คือ เพื่อ ศึก ษาสาเหตุ ข องการนาระบบการจัดการห่ว งโซ่อุ ปทานมา ประยุกต์ใช้ ตลอดจนประสิทธิภาพที่เกิดขึ้นจากการประยุกต์ใช้ดงั กล่าว รวมถึงศึกษาถึงแนวคิด ทางการบริหารจัดการองค์กรและการบริหารต้นทุนมาประยุกต์ใช้ร่วมกับระบบการจัดการห่วงโซ่ อุปทานเพื่อการพัฒนาธุรกิจให้เป็ นไปอย่างยังยื ่ น โดยมีการนา แผนภาพสายธารคุณค่า มาใช้เป็ น เครื่องมือในการศึกษา ซึ่งถือเป็ นส่วนหนึ่งในโซ่อุปทาน จากการศึกษาพบว่า บริษทั มีปญั หาก่อน การนาระบบมาใช้ คือ ปญั หาการส่ งมอบสินค้าให้กับลูกค้าไม่ทนั ผู้จดั หาส่ งมอบวัต ถุ ดิบล่ าช้า คุณภาพวัตถุดบิ ต่ากว่ามาตรฐาน กระบวนการผลิตมีของเสียในปริมาณทีเ่ พิม่ มากขึน้ ทาให้การผลิต ไม่เป็นไปตามเป้าหมายทีก่ าหนด และยังพบปญั หาการจัดเก็บสินค้าในสต๊อกไว้เป็ นจานวนมาก ผล จากการนาระบบการจัดการโซ่อุปทานมาประยุกต์ใช้ ทาให้กระบวนการต่างๆมีประสิทธิภาพมากขึน้ โดยเริม่ ตัง้ แต่ กระบวนการจัดหาวัตถุ ดบิ ได้มกี ารร่วมกันพัฒนาระบบการจัดซื้อ เพื่อการติดต่ อ ประสานงานมีความถูกต้อง รวดเร็ว ทาให้ระยะเวลาในการส่งมอบวัตถุดบิ ลดลง กระบวนการผลิต มี การปรับปรุงและพัฒนาเครื่องจักรส่งผลให้ส ามารถเพิม่ กาลังการผลิตต่อ รอบ เพื่อผลิต สินค้าให้ ได้มากขึน้ ทันความต้องการของลูกค้า การจัดเก็บสินค้า มีการจัดแบ่งสินค้าตามมูลค่า เพื่อเป็ นการ ประหยัดเวลาและค่าใช้จ่ายทีไ่ ม่จาเป็ น การกระจายสินค้า เป็ นผลมาจากกระบวนการจัดหาวัตถุดบิ การผลิต การจัดเก็บสินค้า เมือ่ นาการจัดการห่วงโซ่อุปทานมาใช้ทาให้มสี นิ ค้าเพียงพอและสามารถ กระจายสินค้าได้รวดเร็วขึน้


(2) กิ ตติ กรรมประกาศ การศึกษาปญั หาพิเศษเล่มนี้ ทาการศึกษาเกี่ยวกับการบริหารต้นทุนซึ่งต้องใช้ขอ้ มูลที่ เป็ นข้อมูลภายในองค์กรที่มคี วามสาคัญและไม่ได้รบั การเปิ ดเผย ผู้จดั ทาจึงทาการศึกษาด้วย วิธกี ารสัมภาษณ์จากบุคคลที่เกี่ยวข้องภายในองค์กร ซึ่งการจัดทานัน้ เกิดปญั หาและอุปสรรค หลายครัง้ แต่ก็ผ่านสิง่ เหล่านัน้ มาได้ด้ว ยดี ปญั หาพิเศษเล่มนี้สาเร็จได้ เนื่องจากได้รบั ความ ช่วยเหลือจากบุคคลเหล่านี้ ขอขอบคุณ ผู้บริหารและผู้จดั การแผนกซัพพลายเชน บริษัท กขค จากัด ที่ให้ความ ร่วมมือในการให้ขอ้ มูลความรูแ้ ละคาแนะนาในการทาปญั หาพิเศษเล่มนี้จนสาเร็จ ขอขอบคุณ ผูช้ ่วยศาตราจารย์พชั นิจ เนาวพันธ์ อาจารย์ประจาสาขาการบัญชีบริหาร ทีใ่ ห้ความรู้ คาแนะนาปรึกษา ตลอดจนกาลังใจในการทาปญั หาพิเศษเล่มนี้จนสาเร็จได้ดว้ ยดี คณะผูจ้ ดั ทาหวังว่าการศึกษาปญั หาพิเศษเล่มนี้ จะเป็ นประโยชน์ต่อผูอ้ ่านและผูท้ ส่ี นใจ ในด้านการบริหารต้นทุนโดยใช้เครื่องมือการจัดการห่วงโซ่อุปทาน และหากมีขอ้ ผิดพลาดหรือ ข้อบกพร่องประการใด คณะผูจ้ ดั ทาต้องขออภัยมา ณ ทีน่ ้ี

คณะผูจ้ ดั ทา มีนาคม 2555


(3) สารบัญ หน้ า บทคัดย่อ (1) กิตติกรรมประกาศ (2) สารบัญ (3) สารบัญภาพ (5) สารบัญตาราง (7) บทที่ 1 บทนา 1 ทีม่ าและความสาคัญ 1 วัตถุประสงค์ของการศึกษา 2 ประโยชน์ทค่ี าดว่าจะได้รบั 2 วิธกี ารศึกษา 2 ขอบเขตของการศึกษา 3 ข้อจากัดของการศึกษา 3 นิยามศัพท์ 3 บทที่ 2 การทบทวนวรรณกรรมและสารสนเทศทีเ่ กี่ยวข้อง 4 สภาวะเศรษฐกิจ สังคม และสิง่ แวดล้อมปจั จุบนั ของประเทศไทย 4 ในภาครวมทัง้ ประเทศ 4 ภาคเอกชนผูป้ ระกอบการประเภทต่างๆ 8 ปจั จัยทีส่ ่งผลกระทบศักยภาพการดาเนินงานของหน่วยงานภาครัฐและเอกชน 12 ความตกต่าทางศีลธรรม 12 การเมืองและคอร์รปั ชัน่ 13 ความล่มสลายและความล้มเหลวของระบบทุนนิยม 14 ความตกต่าทางการศึกษา 17 การเปิดเสรีการค้า 18 ความเสื่อมโทรมของระบบนิเวศ 22 คุณลักษณะธุรกิจของประเทศไทยทีไ่ ม่สามารถตอบรับกับ สภาวะการเปลีย่ นแปลงอย่างรวดเร็วของเศรษฐกิจโลก 29 การบริหารต้นทุน 30 ความหมายของต้นทุน 30 ความสาคัญของต้นทุนทีจ่ ะบ่งบอกความยังยื ่ นในการประกอบการ 31


(4) การใช้เครือ่ งมือทางการบริหารเพื่อก่อให้เกิดประสิทธิภาพสูงสุด แนวคิดการพัฒนาธุรกิจอย่างยังยื ่ น การพัฒนาอย่างยังยื ่ น การฟื้นฟูค่านิยม/หลักคุณธรรม ให้มาเป็นหลักการสาคัญทีส่ ุด สาหรับทุกเรือ่ ง การสร้างองค์การให้เป็นองค์การแห่งการเรียนรู้ การออกแบบระบบการสื่อสารและสารสนเทศ การออกแบบกระบวนการดาเนินงาน การบริหารต้นทุนด้วยเครือ่ งมือการจัดการห่วงโซ่อุปทาน งานวิจยั ทีเ่ กี่ยวข้อง กรอบแนวคิด บทที่ 3 กรณีศกึ ษา ประวัตขิ องบริษทั ผลิตภัณฑ์ของบริษทั กระบวนการผลิตหลอดไฟ งบการเงินเปรียบเทียบของบริษทั กขค จากัด บทที่ 4 ผลการศึกษา ปญั หาของบริษทั ก่อนการนาการจัดการห่วงโซ่อุปทาน มาประยุกต์ใช้ แนวคิดทางการบริหารจัดการห่วงโซ่อุปทานทีน่ ามาประยุกต์ใช้ การประยุกต์ใช้ ประสิทธิภาพจากการนาการจัดการห่วงโซ่อุปทาน มาประยุกต์ใช้ ความเป็นไปได้ในการนาการจัดการห่วงโซ่อุปทาน มาประยุกต์ใช้เพื่อนาไปสู่การพัฒนาอย่างยังยื ่ น บทที่ 5 สรุปผลการศึกษาและข้อเสนอแนะ บรรณานุกรม ภาคผนวก

31 34 35 37 41 43 44 58 76 79 81 81 81 82 84 88 88 89 89 95 103 108


(5) สารบัญภาพ หน้า ภาพที่ 2-1 2-2 2-3 2-4 2-5 2-6 2-7 2-8 2-9 2-10 2-11 2-12 2-13 2-14 2-15 2-16 2-17 2-18 2-19 2-20 2-21 2-22 2-23 2-24

ผลสารวจสภาวะการทางานของประชากรไตรมาสสีป่ ี 2554 ดัชนีความสุขมวลรวมของคนไทยตัง้ แต่ มี.ค.2552 –ม.ค.2555 สัดส่วนการคลอดบุตรของมารดาวัยรุ่น พ.ศ. 2553 จาแนกตามอายุ การบริโภคและการลงทุนภาคเอกชน รายได้เกษตรกร จานวนผูว้ ่างงาน ร้อยละของประชากรอายุ 6 ปี ขึน้ ไปทีใ่ ช้คอมพิวเตอร์ อินเตอร์เน็ต และโทรศัพท์มอื ถือ ร้อยละของผูบ้ ริโภคทีป่ ระสบปญั หาจากการซือ้ หรือใช้บริการในปี 2554 จานวนคดีอาญาในสังคมไทยรายไตรมาสปี 2551-2554 กราฟดัชนีชว้ี ดั ภาพลักษณ์คอรัปชัน่ (CPI) ในปี 2545-2552 ตัวอย่างของระบบทุนนิยม ระดับความรูเ้ รือ่ งความสามารถด้านการอ่าน (literacy), ผลการประเมิน PISA ปี 2009 องค์การการค้าโลก (World Trade Organization: WTO) นโยบายเขตการค้าเสรี (Free Trade Area: FTA) ประชาคมอาเซียน (ASEAN Economic Community: AEC) น้าท่วมครัง้ ใหญ่ในประเทศไทย กราฟแสดงคุณภาพอากาศในกรุงเทพมหานครตัง้ แต่ปี 2535-2554 กราฟแสดงคุณภาพน้าผิวดินทัวประเทศ ่ 2552-2554 ปริมาณขยะมูลฝอยจาแนกตามพืน้ ที่ เปรียบเทียบลักษณะธุรกิจของประเทศไทยทีไ่ ม่สามารถตอบรับกับสภาวะการ เปลีย่ นแปลงอย่างรวดเร็วของเศรษฐกิจโลก สรุปปจั จัยทีส่ ่งผลกระทบต่อศักยภาพการประกอบการและแนวทางในการ บริหารจัดการ เพื่อเพิม่ ศักยภาพทางการแข่งขัน เครือ่ งมือทางการบริหารเพื่อก่อให้เกิดประสิทธิภาพสูงสุด สรุปองค์ประกอบการพัฒนาธุรกิจอย่างยังยื ่ น หลักการในการบริหารจัดการองค์กร

4 5 6 8 9 10 10 12 12 13 14 17 19 20 21 24 25 26 27 29 30 31 34 37


(6) สารบัญภาพ (ต่อ) หน้า ภาพที่ 2-25 2-26 2-27 2-28 2-29 2-30 2-31 2-32 2-33 2-34 2-35 2-36 2-37 2-38 2-39 2-40 3-1 3-2 3-3 3-4 3-5 3-6 4-1 4-2 4-3 4-4 4-5 4-6 4-7

องค์ประกอบทีส่ าคัญ 6 ประการของหลักธรรมาภิบาล สรุปปรัชญาของเศรษฐกิจพอเพียง แสดงปจั จัยทีน่ าไปสู่การสร้างองค์การแห่งการเรียนรู้ ของเสียตามมุมมองตามแนวคิดของ ABC, EMA และ LEAN เปรียบเทียบของเสียตามมุมมองตามแนวคิดของ ABC, EMA และ Lean องค์กรแห่งลีน การขจัดความสูญเปล่าทัง้ 7 ประการ ห่วงโซ่อุปทาน การจัดการห่วงโซ่อุปทาน องค์ประกอบของห่วงโซ่อุปทาน ความสัมพันธ์ระหว่างโลจิสติกส์และการจัดการห่วงโซ่อุปทาน ตัวอย่างแผนผังสายธารคุณค่า การไหลของวัตถุดบิ และข้อมูลในโซ่คุณค่า กระบวนการมาตรฐานของซิกซ์ซกิ มา การจัดการสินค้าคงคลังแบบ ABC กรอบแนวคิดการศึกษา ผลิตภัณฑ์ของบริษทั กระบวนการผลิตหลอดไฟฟลูออเรสเซนต์แบบตรง แผนผังการดาเนินงานของกิจการตามสายธารคุณค่า งบกาไรขาดทุน บริษทั กขค จากัด งบดุล บริษทั กขค จากัด งบดุล (ต่อ) บริษทั กขค จากัด ขัน้ ตอนการดาเนินงานในการวางแผน แผนผังการดาเนินงานตามสายธารคุณค่า งบกาไรขาดทุนของบริษทั กขค จากัด งบดุลของบริษทั กขค จากัด งบกาไรขาดทุนของบริษทั กขค จากัด งบดุลของบริษทั กขค จากัด ความเป็ นไปได้ในการนาไปสู่การพัฒนาอย่างยังยื ่ นของบริษทั

38 40 41 45 48 50 52 54 58 60 61 68 69 72 75 79 81 82 83 85 86 87 90 92 96 97 99 100 103


(7) สารบัญตาราง หน้า ตารางที่ 4-1 4-2 4-3 4-4

ระยะเวลาในการจัดหาวัตถุดบิ กาลังการผลิต ต้นทุนการผลิต การวัดผลการพัฒนาธุรกิจอย่างยังยื ่ น

94 94 95 107


บทที่ 1 บทนา ที่มาและความสาคัญ ั หาต่ างๆ มากมาย ท าให้เ กิดความเสี่ยงในการ ธุ รกิจในป จั จุ บ ันก าลัง ประสบกับป ญ ดาเนินงานอย่างต่อเนื่อง เพื่อให้ธุรกิจสามารถอยู่รอดได้สงิ่ แรกที่ผู้บริหารควรจะพิจารณานัน้ คือ การบริห ารต้ นทุ น เพื่อให้เกิดประสิทธิภาพสูงสุ ดในทุ กๆ ส่ วนงานภายในองค์การ และเพิ่ม ศักยภาพในการแข่งขันระยะยาว ปจั จุบนั เครื่องมือสาหรับการบริหารต้นทุนมีหลากหลาย การนา ระบบบัญชีต้นทุนตามกิจกรรมมาใช้ เพื่อจาแนกต้นทุนทีแ่ ท้จริงในแต่ละกิจกรรม การจัดการห่วง โซ่อุปทาน เป็ นแนวคิดทีเ่ ชื่อมโยงเครือข่ายทางธุรกิจตัง้ แต่ขนั ้ ตอนการจัดซือ้ จนถึงกระบวนการส่ง มอบสินค้าให้มกี ารลดต้นทุนในทุก กระบวนการของห่วงโซ่อุ ปทาน การนาหลักการเศรษฐกิ จ พอเพียง มาปฏิบตั เิ พื่อให้องค์การสามารถดาเนินอยู่รอดได้ดว้ ยตัวเอง และการจัดการของเสียที่ม ี การจาแนกต้นทุนที่เป็ นของดีและของเสียออกจากกัน โดยหลักการบัญชีบริหารสิง่ แวดล้อม และ วิวฒ ั นาการใหม่ทส่ี ุดในปจั จุบนั ทีส่ ามารถทาให้การบริหารต้นทุนเกิดประสิทธิภาพสูงสุด คือ ระบบ การผลิตแบบลีน เป็ นการจัดการของเสียที่เกิดในกระบวนการผลิตให้ของเสียเป็ นศูนย์ หลักการ บริหารต้นทุนที่กล่าวมาข้างต้นจะเกิดประสิทธิภาพและประสิทธิผลสูงสุดนัน้ แต่ละองค์การควรมี หลักธรรมาภิบาลทีด่ ี ความรับผิดชอบต่อสังคม รวมทัง้ การสร้างองค์การแห่งการเรียนรู้ ซึง่ จะทาให้ องค์การเกิดการบริหารต้นทุนอย่างมีประสิทธิภาพ เพื่อนาไปสู่การพัฒนาอย่างยังยื ่ น อุตสาหกรรมหลอดไฟเป็ นอุตสาหกรรมทีม่ คี วามสาคัญต่อการพัฒนาเศรษฐกิจ เนื่องจาก ในปจั จุบนั หลอดไฟเป็ นสิง่ จาเป็ นต่อการดาเนินชีวติ และการดาเนินงานต่างๆ สาหรับทุกธุรกิจ จึง ทาให้อุตสาหกรรมนี้มปี ริมาณความต้องการเพิม่ ขึน้ ตามการขยายตัวทางด้านเศรษฐกิจ สังคม และ อุตสาหกรรม ดังนัน้ เพื่อเพิม่ ความสามารถในการแข่งขัน การดาเนินงาน และการบริหารต้นทุน องค์การจึงให้ความส าคัญกับปญั หาในการบริหารจัดการทัง้ ห่วงโซ่อุ ปทาน และการตอบสนอง ความต้องการของลูกค้า ทาให้มกี ารนาหลักการจัดการห่วงโซ่อุปทานมาประยุกต์ใช้ ในองค์การ เพื่อช่วยให้การบริหารกระบวนการทางานในแต่ละส่วนมีประสิทธิภาพ คณะผู้จดั ทาได้เห็นความสาคัญของการบริหารต้นทุน เพื่อให้ธุรกิจสามารถก้าวไปสู่การ พัฒนาอย่างยังยื ่ นได้ จึงทาให้เกิดการศึกษาการบริหารต้นทุนโดยใช้เครื่องมือการจัดการห่วงโซ่ อุปทาน กรณีศกึ ษา บริษทั กขค จากัด


2 1. 2. 3. 4. 5.

1. 2. 3. 4. 5.

1. 2.

3. 4. 5.

วัตถุประสงค์ของการศึกษา เพื่อศึกษาสาเหตุในการนาการจัดการห่วงโซ่อุปทานมาใช้ในบริษทั กขค จากัด เพื่อศึกษาเกี่ยวกับแนวคิดทางการบริหาร การนามาประยุกต์ใช้ คุ ณประโยชน์ ท่จี ะ ได้รบั ทัง้ ด้านการบริหารจัดการองค์การและการบริหารจัดการต้นทุน เพื่อศึกษาแนวทางการประยุกต์ใช้การจัดการห่วงโซ่อุปทานในบริษทั กขค จากัด เพื่อศึกษาประสิทธิภาพในการนาการจัดการห่วงโซ่อุปทานมาประยุกต์ใช้ใน บริษทั กขค จากัด การนาการจัดการห่วงโซ่อุปทานไปใช้เพื่อพัฒนาไปสู่ภาวะการพัฒนาธุรกิจอย่างยังยื ่ น ประโยชน์ที่คาดว่าจะได้รบั ทาให้ทราบถึงปญั หาและสาเหตุในการนาการจัดการห่วงโซ่อุปทานมาใช้ในบริษัท กขค จากัด ทาให้ทราบถึงแนวคิดและคุณประโยชน์ท่จี ะได้รบั จากการนาการบริหารจัดการต้นทุน และการบริหารองค์การมาประยุกต์ใช้ ทาให้ทราบถึงวิธกี ารจัดการห่วงโซ่อุปทานที่นามาประยุกต์ใช้ในการบริหารต้นทุนใน บริษทั กขค จากัด ทาให้ทราบถึงประสิทธิภาพของการบริหารต้นทุนโดยการนาการจัดการห่วงโซ่อุปทาน มาประยุกต์ใช้ ในบริษทั กขค จากัด ทาให้ทราบถึงความเป็ นไปได้ในการนาการจัดการห่วงโซ่อุปทานมาประยุกต์ใช้ในการ พัฒนาไปสู่ภาวะการพัฒนาอย่างยังยื ่ น วิ ธีการศึกษา กาหนดหัวข้อทีต่ อ้ งการศึกษา และจัดทาแผนงานสิง่ ทีต่ อ้ งการศึกษา การเก็บรวบรวมข้อมูลทีท่ าการศึกษาจากแหล่งข้อมูล 2 ประเภท คือ 2.1 ข้อมูลปฐมภูม ิ : เก็บรวบรวมข้อมูลโดยการสัมภาษณ์ขอ้ มูล 2.2 ข้อมูลทุตยิ ภูม ิ : การศึกษาค้นคว้าข้อมูลจากหนังสือ เครื่องมือทีใ่ ช้ในการศึกษาค้นคว้า โดยการสัมภาษณ์จากพนักงานทีเ่ กี่ยวข้องกับการ นาการจัดการห่วงโซ่อุปทานมาใช้ในบริษทั กขค จากัด การวิเคราะห์ข้อมูล วิเคราะห์ข้อมูลที่รวบรวมได้ โดยวิเคราะห์เป็ นทัง้ ข้อมูลเชิง คุณภาพและข้อมูลเชิงปริมาณ สรุปผลการศึกษา


3 ขอบเขตการศึกษา การศึกษาครัง้ นี้ มุ่งศึกษาเกี่ยวกับการบริหารต้นทุนโดยใช้เครื่องมือการจัดการห่วงโซ่ อุปทาน กรณีศกึ ษา บริษทั กขค จากัด เนื้อหาทีท่ าการศึกษา มุ่งเน้นไปที่ขอ้ มูลพื้นฐานของธุรกิจ การผลิตหลอดไฟ ลักษณะและการบริหารต้นทุน โดยใช้เครื่องมือการบริหารห่วงโซ่อุปทาน ตัง้ แต่ กระบวนการจัดหาวัตถุดบิ การผลิต การจัดเก็บสินค้า และการส่งมอบสินค้าให้ลูกค้า โดยศึกษาถึง ความจาเป็นและประโยชน์ในการนาการจัดการห่วงโซ่อุปทานมาประยุกต์ใช้ ข้อจากัดของการศึกษา การศึกษาเรื่องการบริหารต้นทุนโดยใช้เครื่องมือการจัดการห่วงโซ่อุปทาน จาเป็ นต้อง ได้รบั ข้อมูลภายในองค์การเชิงลึก ซึ่งกิจการไม่สามารถเปิ ดเผยต่อสาธารณะได้ เนื่องจากเป็ น ข้อมูลทีม่ ผี ลต่อการแข่งขันทางธุรกิจ การศึกษาครัง้ นี้จงึ นาเสนอข้อมูลทีศ่ กึ ษาในรูปแบบภาพรวม นิ ยามศัพท์ การพัฒนาธุรกิ จอย่ างยังยื ่ น (corporate sustainability) สมหวัง วิทยาปญั ญานนท์ (2555) ได้ให้ความหมายไว้ว่า หมายถึง การสร้างภูมคิ ุม้ กันให้กบั สิง่ แวดล้อม อยู่ร่วมกับชุมชนได้ดี ดูแลลูกจ้างด้วยดี บริการลูกค้าและผูถ้ อื หุน้ ตลอดจนสร้างดอกผลให้สาหรับคนรุน่ ต่อไปในอนาคต การบริ หารต้ นทุน (cost management) ธีรพล แซ่ตงั ้ (2555) ได้ให้ความหมายไว้ว่า หมายถึง การบริหารทุกหน่ วยงานในองค์การให้มศี กั ยภาพสูงสุดในการปฏิบตั ิงาน ตลอดจนการ บริหารจัดการต้นทุนเพื่อให้เกิดประสิทธิภาพสูงสุดในทุกๆ ส่วนงานภายในองค์การ การบัญชี บริ หาร (managerial accounting) เสนาะ ติเยาว์ และกิง่ กนก พิทยานุ คุณ (2543) ได้ให้ความหมายไว้ว่า การบัญชีบริหาร คือ การจัดทาข้อมูลทางบัญชีเพื่อใช้สาหรับฝ่าย บริหารขององค์การ มีวตั ถุประสงค์เพื่ออานวยประโยชน์แก่ฝ่ายบริหารตามลักษณะงานและความ รับผิดชอบของงานบริหารแต่ละอย่าง โดยไม่ถอื หลักบัญชีการเงินอย่างเคร่งครัด การจัดการห่ วงโซ่ อปุ ทาน (supply chain management) ยภัคฐากูร ธรรมคีร ี และโสภาภรณ์ เอี่ยวศิร ิ (2551) ได้ให้ความหมายไว้ว่า การจัดการห่วงโซ่อุปทาน เป็ นการประสานงานกันของกิจกรรม ต่างๆ ระหว่างองค์การ เพื่อทีจ่ ะนาผลิตภัณฑ์ไปตอบสนองความต้องการของลูกค้าได้อย่างทันเวลาและ เสียค่าใช้จ่ายตลอดสายต่ าทีส่ ุด การจัดการโซ่อุปทานทีม่ ปี ระสิทธิภาพจะก่อให้เกิดความสมดุลระหว่าง ความพึงพอใจสูงสุดของลูกค้าและต้นทุนต่าทีส่ ุด ผังแห่ งคุณค่า (value stream mapping) นิพนธ์ บัวแก้ว (2547) ได้ให้ความหมายไว้ว่า ผังแห่ งคุ ณค่ า คือ ผังของกิจกรรมทัง้ หมดที่ต้องทาตัง้ แต่ ได้ร บั วัตถุ ดิบ จนกระทัง่ ส่ งมอบผลิต ผลิตภัณฑ์ถงึ มือลูกค้า เพื่อช่วยให้มองเห็นโอกาสในการกาจัดความสูญเปล่าและปรับปรุงให้ดขี น้ึ


บทที่ 2 การทบทวนวรรณกรรมและสารสนเทศที่เกี่ยวข้อง สภาวะเศรษฐกิ จ สังคม และสิ่ งแวดล้อมปัจจุบนั ของประเทศไทย 1. ในภาพรวมทัง้ ประเทศ 1.1 สภาวะเศรษฐกิจ ธนาคารแห่งประเทศไทยได้รายงานว่า เมื่อปี 2554 เศรษฐกิจไทยในสาม ไตรมาสแรกมีการขยายตัวเพิม่ ขึ้น แม้จะได้รบั ผลกระทบทัง้ ภัยพิบตั ิในประเทศ ญีป่ นุ่ และการชะลอตัวของเศรษฐกิจโลก พบว่า แนวโน้มปี 2554 มีการขยายตัวของ เศรษฐกิจ ซึ่งขึ้นอยู่กับระยะเวลาที่ใช้ในการฟื้ นตัวเป็ นปกติของภาคการผลิต มาตรการในการบริหารจัดการน้ าของภาครัฐ และภาวะเศรษฐกิจโลก ซึง่ ส่วนหนึ่ง ขึน้ อยู่กบั การแก้ไขปญั หาหนี้สาธารณะของกลุ่มประเทศยูโร ส่วนอัตราเงินเฟ้อมี แนวโน้มชะลอลงตามราคาน้ามันและสินค้าโภคภัณฑ์ในตลาดโลก แม้จะมีแรงกดดัน บ้างจากการฟื้ นตัวของภาคเอกชนและผลของนโยบายภาครัฐ เช่น การปรับขึ้น ค่าจ้างขัน้ ต่าและโครงการรับจานาข้าว 1.2 สภาวะสังคม 1.2.1 ด้านการจ้างงาน

ภาพที่ 2-1 ผลสารวจสภาวะการทางานของประชากรไตรมาสสีป่ ี 2554 ทีม่ า: สานักงานสถิตแิ ห่งชาติ. www.service.nso.go.th. (19 มีนาคม 2555)


5 อัตราการว่างงานอยู่ในระดับต่ าร้อยละ 0.6 แต่จานวนชัวโมงการ ่ ทางานลดลง จึงทาให้เกิดการว่างงานแฝง สถานการณ์ด้านการว่างงานที่ เกิดขึน้ นัน้ ไม่สอดคล้องกับกิจกรรมทางเศรษฐกิจ และยังไม่สะท้อนถึงภาวะ น้ าท่วมในช่วงที่ผ่านมา เนื่องจากช่วงทีเ่ กิดมหาอุทกภัยน้ าท่วม ภาคค้าส่ง และค้าปลีกมีการจ้างงานที่เพิ่มมากขึ้นตามความต้องการในการกักเก็บ สินค้าของผู้บริโภค ผู้ประกอบการบางส่วนอยู่ในช่วงที่ขาดฐานข้อมูลการ จ้างงานทีจ่ ะนามาใช้ในการปรับแผนการจ้างงานได้ การลดการจ้างงานส่วน หนึ่งเป็ นการลดจานวนชัวโมงการท ่ างาน นอกจากนี้แรงงานภาคเกษตร จานวนมากเป็ นแรงงานรอฤดูกาล ซึ่งไม่ได้ถูกนับว่าเป็ นผูท้ ว่ี ่างงาน ดังนัน้ ในภาพรวมจึงเห็นได้ว่าการจ้างงานในไตรมาสทีส่ ป่ี ี 2554 ยังคงเพิม่ ขึน้ จาก ปี 2553 ซึง่ ไม่ตรงกับสภาพความเป็นจริงในช่วงทีเ่ กิดสภาวะน้าท่วม 1.2.2 ด้านสุขภาพ

ภาพที่ 2-2 ดัชนีความสุขมวลรวมของคนไทยตัง้ แต่ มี.ค.2552 –ม.ค.2555 ทีม่ า: สานักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคม แห่งชาติ อ้างถึง ศูนย์วจิ ยั ความสุขชุมชน มหาวิทยาลัย อัสสัมชัญ. www.nesdb.go.th. (19 มีนาคม 2555) จากแผนภาพแสดงดัชนีความสุขมวลรวมของคนไทยตัง้ แต่ มี.ค. 2552 - ม.ค. 2555 พบว่า ความสุขมวลรวมของคนไทยลดลงในเดือน มกราคม 2555 อยู่ท่ี 6.66 มีผปู้ ่วยด้วยโรคจิตเวชที่มารับบริการเพิม่ ขึน้ อย่างต่อเนื่อง ปญั หาสุขภาพและการเจ็บป่วยด้วยโรคติดต่อและไม่ตดิ ต่อ เรือ้ รังอยู่ในระดับสูงและมีแนวโน้มเพิม่ ขึน้ อย่างต่อเนื่อง ดังนัน้ ภาครัฐจึง ต้องให้ความรูแ้ ก่ประชาชนในการดูแลสุขภาพและป้องกันโรค


6 1.2.3 ด้านพฤติกรรมและความเป็นอยูข่ องคน

ภาพที่ 2-3 สัดส่วนการคลอดบุตรของมารดาวัยรุน่ พ.ศ. 2553 จาแนก ตามอายุ ทีม่ า: สานักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคม แห่งชาติ อ้างถึง ศูนย์เทคโนโลยีสารสนเทศและการ สือ่ สาร สานักงานปลัดกระทรวงการพัฒนาสังคมและ ความมันคงของมนุ ่ ษย์. www.nesdb.go.th. (19 มีนาคม 2555) พฤติกรรมเสี่ยงเรื่องการดื่มแอลกอฮอล์ในกลุ่มเด็กและเยาวชน อายุ 15-24 ปี มีมากขึน้ เนื่องจากสภาพแวดล้อมทีส่ ามารถหาซือ้ ได้ง่ายขึน้ และยังพบว่า คนไทยมีอตั ราการดื่มแอลกอฮอล์ทเ่ี พิม่ สูงมากขึน้ ในแต่ละปี ทางด้านการใช้เทคโนโลยีท่ไี ม่เหมาะสมในเด็กวัยรุ่นมีเพิม่ มากขึน้ โดยมี สาเหตุมาจากการขยายตัวของเครือข่ายทางสังคมในโลกออนไลน์มากขึน้ ส่ งผลต่ อความมันคงและความปลอดภั ่ ยต่ อชีว ิตเด็กและเยาวชนอย่าง มากมาย สัดส่วนการคลอดบุตรของมารดาวัยรุน่ มีแนวโน้มทีเ่ พิม่ สูงขึน้ โดย อัตราการคลอดบุตรของหญิงไทยอายุต่ ากว่า 20 ปี เพิม่ สูงกว่าเกณฑ์ของ องค์การอนามัยโลก และมีสถิติสูงสุ ดในเอเชีย ส่ งผลกระทบต่ อปญั หา สุขภาพมารดาและการพัฒนาการของเด็กที่เกิดมา รวมทัง้ ปญั หาสังคมใน เรือ่ งของการทาแท้งและการเลีย้ งดูทไ่ี ม่เหมาะสมเพิม่ ขึน้ 1.2.4 ด้านความมันคงทางสั ่ งคม สานักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ รายงานว่ า ในไตรมาสที่ 4 ปี 2554 ภาวะสังคมไทยเกี่ยวกับคดีอาญา โดยรวมเพิม่ ขึน้ โดยเฉพาะยาเสพติด กลุ่มวัยรุ่นอายุ 15-19 ปี มีการเสพยา


7 ทีเ่ พิม่ ขึน้ โดยเฉพาะยาไอซ์ ภาครัฐและภาคเอกชนต้องให้ความสนใจพร้อม กับออกกฎหมายทีร่ ะบุถงึ ความรับผิดทีช่ ดั เจนขึน้ ด้านอุบตั เิ หตุจราจรทาง บกมีจ านวนลดลง แต่ อ ันตรายถึงขัน้ เสีย ชีว ิตมีเพิ่มมากขึ้น โดยกลุ่ ม เยาวชนและแรงงานทีม่ พี ฤติกรรมขับขีท่ ไ่ี ม่เหมาะสมมีเพิม่ มากขึน้ ภาครัฐ และเอกชนควรสนับสนุนให้สร้างค่านิยมความปลอดภัยในการใช้รถใช้ถนน ในสังคม รวมทัง้ ติดตามและผลักดันให้เกิดการบังคับใช้กฎหมายอย่าง เคร่งครัด 1.3 สภาวะสิง่ แวดล้อม สานักงานนโยบายและแผนทรัพยากรธรรมชาติและสิง่ แวดล้อม (2553) ได้รายงานสถานการณ์คุณภาพสิง่ แวดล้อมว่า สถานการณ์ทรัพยากรธรรมชาติ และสิง่ แวดล้อมของประเทศไทยในช่วงที่ผ่านมามีปญั หาในหลายด้าน ไม่ว่าจะ เป็ นความเสื่อมโทรมของการใช้ทด่ี นิ ผิดประเภท และการขาดการกระจายการถือ ครองที่ดนิ นอกจากนี้การสูญเสียความหลากหลายทางชีวภาพมีแนวโน้มเพิม่ ขึน้ อย่ า งต่ อ เนื่ อ ง ซึ่ง ประเทศไทยต้ อ งใช้ ค วามพยายามในการอนุ ร ัก ษ์ ค วาม หลากหลายทางชีวภาพ โดยสนับสนุ นการศึกษาวิจยั และตระหนักให้ประชาชน เห็นความสาคัญของการอนุรกั ษ์ความหลากหลายทางชีวภาพมากขึน้ ประเทศไทยมีสดั ส่ วนของการปล่ อยก๊ าซเรือนกระจกเป็ นจานวนมาก ั หามลพิษ อากาศด้ า นป ญ ั หาการจัด การขยะที่ย ัง ไม่ ส ามารถ ก่ อ ให้ เ กิ ด ป ญ ดาเนินการได้อย่างมีประสิทธิภาพและทัวถึ ่ ง ซึ่งเป็ นปญั หาสาคัญในเมืองใหญ่ และแหล่งชุมชน ด้านปญั หาสิง่ แวดล้อมชุมชนเกิดจากการเพิม่ ขึน้ ของประชากร ไม่ ส อดคล้ อ งกับ ศัก ยภาพของทรัพ ยากรธรรมชาติ แ ละบริก ารขัน้ พื้น ฐาน เนื่องจากเศรษฐกิจขยายตัวประชากรจึงย้ายถิ่นฐานเข้าสู่เมืองเพิม่ ขึ้น ปญั หา ั หามลพิษต่ างๆ ปญั หาชุ มชนแออัด และ สิ่งแวดล้อมชุ มชนที่ส าคัญ เช่น ป ญ ปญั หามลทัศน์ การดาเนินชีวติ ของมนุษย์กบั สิง่ แวดล้อมจึงเป็ นสิง่ ทีต่ ้องดาเนินควบคู่กนั ไปพร้อมกันอย่างหลีกเลีย่ งไม่ได้ ดังนัน้ การวิเคราะห์การเปลีย่ นแปลงของสภาพ สิง่ แวดล้อมจึงต้องพิจารณาในการจัดรูปแบบของสังคมและกิจกรรมทางเศรษฐกิจ เพื่อการดารงชีวติ ของประชาชน ด้วยเหตุน้ีการดาเนินมาตรการด้านการอนุ รกั ษ์ ทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมจึงต้องเป็ นไปภายใต้เงื่อนไขของการใช้ ประโยชน์อย่างยังยื ่ นมากกว่าการอนุ รกั ษ์เพียงอย่างเดียว


8 2. ภาคเอกชนผูป้ ระกอบการประเภทต่างๆ 2.1 สภาวะเศรษฐกิจ

ภาพที่ 2-4 การบริโภคและการลงทุนภาคเอกชน ทีม่ า: ธนาคารแห่งประเทศไทย อ้างถึง สานักงานคณะกรรมการ พัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ. www.bot.or.th. (19 มีนาคม 2555) จากผลกระทบของมหาอุทกภัยในปี 2554 ทีเ่ กิดขึน้ ด้านภาคอุตสาหกรรม ได้รบั ผลกระทบอย่างรุนแรง เนื่องจากอุตสาหกรรมยานยนต์และอุตสาหกรรมผลิต ชิน้ ส่วนบางพืน้ ทีโ่ ดนน้าท่วม ก่อให้เกิดความเสียหายอย่างมากมายในปี 2554 ไตร มาสที่ 4 ภาคอุตสาหกรรมได้รบั ผลกระทบอย่างหนักจากการที่น้ าท่วมโรงงานใน บางแห่งของไทย ซึง่ เป็นศูนย์กลางการผลิตอุตสาหกรรมสาคัญ และมีเครือข่ายการ ผลิตทีซ่ บั ซ้อน เช่น ยานยนต์ อิเล็กทรอนิกส์ ฮาร์ดไดร์ฟ และเครื่องใช้ไฟฟ้า ส่งผล ให้การผลิตหยุดชะงัก ขาดแคลนชิน้ ส่วน และส่งผลต่อการคมนาคมขนส่ง


9

ภาพที่ 2-5 รายได้เกษตรกร ทีม่ า: ธนาคารแห่งประเทศไทย อ้างถึง สานักงานเศรษฐกิจการเกษตร. www.bot.or.th. (19 มีนาคม 2555) ทางด้านภาคเกษตรกรรม ถึงแม้ว่าผลผลิตในภาคกลางจะได้รบั ผลกระทบ จากมหาอุทกภัยโดยเฉพาะข้าว แต่ผลผลิตเกษตรอื่นๆ ยังคงขยายตัวตามการเพิม่ พื้นที่เพาะปลูก ซึ่งเมื่อประกอบกับราคาสินค้าเกษตรที่ยงั มีขยายตัวดี ส่งผลให้ รายได้เกษตรกรขยายตัวต่อเนื่องจากปีก่อน สาหรับในภาพรวม ปญั หาในภาคการผลิตทาให้สนิ ค้าขาดแคลน ส่งผลให้ การบริโภคและการลงทุนภาคเอกชนทีข่ ยายตัวดีในช่วงสามไตรมาสแรกต้องสะดุด ลง แม้ปจั จัยสนับสนุ นการบริโภคและการลงทุนจะยังคงอยู่ในเกณฑ์ดี ไม่ว่าจะเป็ น รายได้ทงั ้ ในและนอกภาคเกษตร ความเชื่อมันของทั ่ ง้ ผูบ้ ริโภคและนักธุรกิจ รวมทัง้ ภาวะการเงินมีการคลายตัวลง 2.2 สภาวะสังคม (ดังแสดงในภาพหน้าถัดไป)


10

ภาพที่ 2-6 จานวนผูว้ ่างงาน ทีม่ า: สานักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ อ้างถึง สานักงานสถิตแิ ห่งชาติ. http://social.nesdb.go.th. (19 มีนาคม 2555) ปจั จุ บนั ประเทศไทยก าลังพัฒนาเป็ นประเทศของอุ ตสาหกรรม ท าให้ ภาคเอกชนเข้ามามีบทบาทมากขึ้น แต่ปลายปี 2554 ภาคเอกชนได้ประสบกับ วิกฤตอุทกภัย ทาให้การดาเนินงานต้องหยุดชะงักลง และมีผลกระทบในด้านต่างๆ ที่สาคัญคือ คนงาน จากภาพจะเห็นได้ว่าอัตราการว่างงานมีจานวนที่ลดลงอยู่ใน ระดับต่ าร้อยละ 0.6 เพราะภาคเอกชนต้องใช้แรงงานเพื่อเข้ามาฟื้ นฟูกจิ การให้ สามารถกลับมาดาเนินกิจการได้

ภาพที่ 2-7 ร้อยละของประชากรอายุ 6 ปี ขึน้ ไปทีใ่ ช้คอมพิวเตอร์ อินเตอร์เน็ต และโทรศัพท์มอื ถือ ทีม่ า: สานักงานสถิตแิ ห่งชาติ. www.nso.go.th. (19 มีนาคม 2555)


11 นอกจากนี้สภาพสังคมในปจั จุบนั เป็นสังคมเมือง มีรปู แบบการใช้ชวี ติ ทีเ่ ร่ง รีบ รักความสะดวกสบายและความรวดเร็วมากขึน้ ทาให้ภาคเอกชนต้องหันมาให้ ความสนใจเพื่อตอบสนองต่อความต้องการของกลุ่มผูบ้ ริโภคมากขึน้ เป็ นการสร้าง รายได้และขยายฐานลูกค้า อีกทัง้ ในการสื่อสารที่รวดเร็วขึน้ โดยผ่านเทคโนโลยีท่ี สามารถครอบคลุมทุกกลุ่มผูบ้ ริโภค จากภาพ พบว่า มีประชากรเพิม่ ขึน้ ทุกปีในการ ใช้เทคโนโลยีด้านการสื่อสาร ทาให้ภาคเอกชนจาเป็ นต้องให้ความสาคัญเรื่องการ สื่อสารกับผู้บริโภคมากขึ้น นัน่ หมายถึง ภาคเอกชนต้องแบกรับภาระทางด้าน ต้นทุนเพื่อใช้ในการสื่อสาร โฆษณา หรือใช้ในการติดต่อทาให้สนิ ค้าหรือการบริการ ของภาคเอกชนเข้าถึงกลุ่มผูบ้ ริโภคมากขึน้ 2.3 สภาวะสิง่ แวดล้อม สานักงานคณะกรรมการพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ (2555) ได้ รายงานสภาวะสิ่งแวดล้อมของภาคเอกชนในประเทศไทยว่ า สถานการณ์ ด้าน ทรัพยากรธรรมชาติและสภาพแวดล้อมของประเทศไทยในปจั จุบนั มีแนวโน้มเสื่อม โทรมรุนแรงขึ้นจากการเปลี่ยนแปลงทัง้ ในด้านกายภาพ การใช้ประโยชน์ การ เปลี่ยนแปลงสภาพภูมอิ ากาศ ส่งผลให้สถานการณ์และแนวโน้ มความเสื่อมโทรม ของทรัพยากรธรรมชาติและสิง่ แวดล้อมทวีความรุนแรง โดยเฉพาะการขาดแคลนน้า รูปแบบและพฤติกรรมการบริโภคทีฟ่ ุ่มเฟื อยทัง้ ในภาคประชาชนและภาคการผลิต ทาให้มกี ารใช้ทรัพยากรอย่างสิน้ เปลือง ไม่คุม้ ค่า และมีปริมาณของเสียเพิม่ ขึน้ ปจั จุบนั ภาคธุรกิจเอกชนได้มสี ่วนสาคัญอย่างยิง่ ในการดูแลรักษาและฟื้นฟู สิง่ แวดล้อม ซึง่ ภาคเอกชนเองได้มกี ารจัดโครงการเพื่อรณรงค์เกี่ยวกับสิง่ แวดล้อม มากมาย รวมไปถึงลดการใช้ทรัพยากรธรรมชาติเพื่อลดภาวะโลกร้อนอย่างยังยื ่ น ดังนัน้ ภาคเอกชนจาเป็นต้องให้ความสาคัญกับสิง่ แวดล้อมในประเทศไทยเป็นอย่าง มาก เพราะหากไม่มที รัพยากรเหลืออยู่ ภาคเอกชนก็จะไม่สามารถดาเนินการผลิต ได้ อีกทัง้ การดูแลรักษาสิ่งแวดล้อมยังเป็ นการสร้างภาพลักษณ์ ท่ดี ีในสายตา ผูบ้ ริโภคอีกด้วย ภาคธุ รกิ จเอกชนจะต้ อ งด าเนิ น การเปลี่ยนแปลงโลกทัศ น์ เ กี่ย วกับ สิง่ แวดล้อมธรรมชาติอย่างเร่งด่วน ภาคธุรกิจเอกชนจะต้องมีแนวทางที่กระตุ้นให้ บริษทั ต่างๆ ดาเนินโครงการจัดระบบการศึกษาสิง่ แวดล้อมให้แก่บุคลากรทุกระดับ ทุกสาขาและทุกฝา่ ย เพื่อสร้างความเข้าใจร่วมกันเกีย่ วกับแนวคิด ค่านิยม และแนว ปฏิบตั เิ กีย่ วกับระบบการจัดการทางสิง่ แวดล้อม


12 ปัจจัยที่ส่งผลกระทบต่อศักยภาพการดาเนิ นงานของหน่ วยงานภาครัฐและเอกชน 1. ความตกต่าทางศีลธรรม

ภาพที่ 2-8 ร้อยละของผูบ้ ริโภคทีป่ ระสบปญั หาจากการซือ้ หรือใช้บริการในปี 2554 ทีม่ า: ระบบฐานข้อมูลด้านสังคมและคุณภาพชีวติ . www.nesdb.go.th. (18 มีนาคม 2555)

ภาพที่ 2-9 จานวนคดีอาญาในสังคมไทยรายไตรมาสปี 2551-2554 ทีม่ า: ระบบฐานข้อมูลด้านสังคมและคุณภาพชีวติ . www.nesdb.go.th. (18 มีนาคม 2555)


13 เกรียงศักดิ ์ เจริญวงศ์ศกั ดิ ์ (2546) กล่าวว่า ในปจั จุบนั สภาพความเสื่อมถอย ด้านคุณธรรมจริยธรรมในสังคมไทยเริม่ เข้าสู่ภาวะวิกฤต สะท้อนได้จากพฤติกรรมของ คนในสังคม วิกฤตด้านคุณธรรมจริยธรรมทีต่ กต่านัน้ สะท้อนในหลายๆ ด้าน เช่น ปญั หา การขาดความรับผิดชอบของภาคธุรกิจ โดยดูได้จากภาพที่ 2-8 แสดงถึงผลกระทบที่ ผูบ้ ริโภคประสบปญั หาจากการบริโภคผลิตภัณฑ์ ซึง่ ประชาชนยังมีความเสีย่ งสูงในการ บริโภคผลิตภัณฑ์ต่างๆ ปญั หาความรุนแรงที่เพิม่ ขึน้ ในสังคม ปญั หาอาชญากรรมยา เสพติด โดยดูได้จากจานวนคดีอาญาทีม่ จี านวนสูงขึน้ ดังแสดงในภาพที่ 2-9 การมีบุตร ก่อนวัยอันควร การค้าประเวณี เหล่านี้ล้วนเกิดจากศีลธรรมของประชาชนในสังคมที่ เสื่อมโทรมลง ปญั หาด้านคุณธรรมจริยธรรมนี้จะส่งผลโดยตรงต่ อการพัฒนาคน และ สังคมไทยในอนาคตอย่างไม่สามารถหลีกเลีย่ งได้ ซึ่งเป็ นปญั หาสาคัญที่ควรได้รบั การ แก้ไขอย่างเร่งด่วน 2. การเมืองและคอร์รปั ชัน่

ภาพที่ 2-10 กราฟดัชนีชว้ี ดั ภาพลักษณ์คอรัปชัน่ (Corruption Perceptions Index: CPI) ในปี 2545-2552 ทีม่ า: สยามอินเทลลิเจนท์ยนู ิต. www.siamintelligence.com. (18 มีนาคม 2555) ดอกไม้ปลายปื น (2553) กล่ าวว่ า การเมืองมีอิทธิพลต่ อ พัฒนาการทาง เศรษฐกิจของไทยอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ นักลงทุนในต่างประเทศมีนโยบายชะลอการ


14 ลงทุ นในประเทศไทย รวมถึงตัดสินใจย้ายไปลงทุนที่ประเทศเพื่อนบ้าน เนื่ องจาก การเมืองไทยมีความวุ่นวายไม่สงบนิ่ง เกิดเหตุการณ์ต่างๆ ทางด้านการเมือง ได้แก่ การปฏิวตั กิ ารยึดสนามบินนานาชาติ ทาให้ส่งสินค้าออกไม่ได้ การประกาศใช้ พ.ร.ก. ฉุกเฉิน ทาให้บริษทั ไม่สามารถทาการผลิตมากกว่า 8 ชัวโมงได้ ่ จึงส่งผลกระทบต่อการ ดาเนินธุรกิจ เกิดการจลาจลระหว่างกลุ่มคนเสือ้ สีต่างๆ เกิดการชุมนุ มทางการเมืองขึน้ ส่งผลกระทบต่อความเชื่อมันของนั ่ กลงทุน ทาให้สร้างความเสียหายต่อเศรษฐกิจ ปญั หาการคอรัปชันของไทยยั ่ งคงเป็ นปญั หาสาคัญที่ทวีความรุนแรงมากขึ้น จากการจัดอันดับภาพลักษณ์คอรัปชันโลกขององค์ ่ การเพื่อความโปร่งใสนานาชาติ ประเทศไทยตกอันดับจากอันดับที่ 78 ในปี 2553 เป็นอันดับที่ 80 ในปี 2554 ซึง่ วัดจาก ดัชนีช้วี ดั ภาพลักษณ์คอรัปชัน่ (CPI) แสดงในภาพที่ 2-10 ปญั หาคอรัปชันเป็ ่ นตัวกัด กร่อนการเจริญเติบโตของเศรษฐกิจโดยรวม 3. ความล่มสลายและล้มเหลวของระบบทุนนิยม

ภาพที่ 2-11 ตัวอย่างของระบบทุนนิยม ทีม่ า: นิฐนิ นั ท์. http://nithinan-note.exteen.com. (21 มีนาคม 2555)


15 มายเฟิรส์ อินโฟ (2552) ได้กล่าวไว้ว่า สังคมของโลกทุนนิยมนัน้ มีหลักการทีใ่ ห้ เสรีภาพ โดยทีก่ ลไกตลาดจะเป็ นตัวกาหนดความเป็ นไปของทุกสิง่ ทุกอย่าง แม้กระทัง่ ความสัมพันธ์ของผู้คนในสังคม ตลอดจนผลิตภัณฑ์ในตลาดจะถูกกาหนดว่าภายใต้ เงื่อนไขและผลิตภัณฑ์ใดจะถูกแลกเปลี่ยน ตลาดแรงงานจะเป็ นตัวกาหนดคุณสมบัติ และค่ าแรงงาน ทัง้ สินค้าแรงงานและทัก ษะของมนุ ษย์ท่เี ป็ นประโยชน์ จะถู ก นามา แลกเปลี่ยนอย่างเสรีภายใต้เงื่อนไขของตลาด ผลิตภัณฑ์ใดก็ตามจะไม่มคี ุณค่าทาง เศรษฐกิจเลยหากไม่มคี วามต้องการผลิตภัณฑ์นัน้ ในตลาด แรงงานและทักษะของ มนุษย์กเ็ ช่นกันจะไม่มคี ุณค่าอันใดเลยหากไม่มคี วามต้องการของแรงงานและทักษะนัน้ ในตลาด เจ้าของทุนสามารถที่จะจ้างแรงงานและสังการให้ ่ ผู้ใช้แรงงานเหล่านัน้ ผลิต เพื่อให้เกิดผลกาไรจากการลงทุน ผู้ใช้แรงงานจะต้องรับจ้างนายทุน มิฉะนัน้ ก็จะไม่ สามารถหาเลี้ยงชีพได้ โครงสร้างทางเศรษฐกิจเช่นนี้เป็ นผลสะท้อนของระดับการให้ ความสาคัญของคุณค่าต่างๆ โดยมีเงินทุนสังการแรงงาน ่ และแรงงานทาการผลิตสิง่ ของ ทีไ่ ม่มชี วี ติ ทีใ่ นบางครัง้ อาจมีค่ามากกว่าแรงงานของตัวผูผ้ ลิตเองทีย่ งั คงมีชวี ติ อยู่ ั หาต่ างๆ ตามมา ซึ่งการเกิดขึ้นของสังคมแบบทุ นนิ ยมย่อมก่ อให้เกิดปญ มากมาย เช่น ปญั หาความไม่สมดุลของความเจริญ เนื่องจากการพัฒนาของสังคมแบบ ทุนนิยมส่งผลต่อการพัฒนาด้านอุตสาหกรรมมากกว่าการพัฒนาด้านการเกษตร จึงทา ให้เกษตรกรหันมาทางานทางด้านอุตสาหกรรมมากขึน้ ตลอดจนปญั หาการพัฒนาอย่าง ไม่ทวถึ ั ่ ง จึงทาให้เกิดการย้ายถิน่ ฐานของคนเพื่อแสวงหาแหล่งชุมชมทีม่ คี วามเจริญที่ มากกว่า จึงส่งผลให้เกิดปญั หาการละทิง้ ถิน่ ฐาน ตลอดจนการพัฒนาอุตสาหกรรมทีม่ าก จนเกินไปย่อมทาให้เกิดปญั หาการกดราคาสินค้าทางการเกษตรให้อยู่ในราคาทีต่ ่ า เพื่อ การทากาไรของพวกนายหน้า ตลอดระยะเวลาการพัฒนาทุนนิยมในสังคมไทยจะพบว่า เป็ นความร่วมมือ ระหว่างทุนท้องถิน่ รัฐและต่างชาติในการแสวงหาผลประโยชน์จากสังคมไทย ทุนไม่ได้ สร้ า งความสั ม พั น ธ์ ท่ี ดี แ ละพั ฒ นาชี ว ิ ต ความเป็ นอยู่ ข องชาวบ้ า น อี ก ทั ้ง กระบวนการพัฒนาทุนนิยม ทาให้ชนชัน้ ล่างในสังคมไทยไม่มกี นิ และอดอยาก ทุนนิยม ไม่ได้นาเอาประชาธิปไตยเข้าสู่สงั คมไทยแต่กลับส่งเสริมระบบเผด็จการเสียด้วยซ้า ดังนัน้ กลุ่มคนทีผ่ ลักดันประชาธิปไตยนัน้ กลับเป็ นพวกปญั ญาชนและชนชัน้ ล่าง ผู้ซ่งึ เสียเปรียบจากการพัฒนาเสียมากกว่า ระบบทุนนิยมมีแนวคิดว่ามนุ ษย์ต้องซื้อ ต้อง ร่ารวย ต้องมีเงินในการซือ้ จับจ่ายใช้สอย เน้นทีอ่ านาจเงินเพื่อความอยูร่ อด ประเทศสหรัฐอเมริกาถือเป็นต้นแบบของเศรษฐกิจแบบทุนนิยมเสรี และเริม่ แผ่ ขยายอานาจทางเศรษฐกิจออกไปตามประเทศต่างๆ ทัวโลก ่ โดยเฉพาะหลังจากทีร่ ะบบ สังคมนิยมและคอมมิวนิสต์ของสหภาพโซเวียตได้พ่ายแพ้และล่มสลายลงไป อเมริกาได้ รุกเข้าสู่ประเทศต่างๆ โดยใช้นโยบายเปิ ดการค้าเสรีและมีส ิทธิเท่าเทียมกันในการ


16 ดาเนินการทางธุรกิจในแต่ละประเทศ ประเทศไหนที่ยงั คงปิ ดไม่เปิ ดให้อเมริกาเข้าไป ลงทุนได้กม็ กั จะถูกโจมตีว่าไม่เป็นประชาธิปไตย หรือถ้าเข้าไปสู่ประเทศนัน้ ๆ แล้วไม่ม ี ช่องโอกาสให้รกุ เข้าไปสู่ธุรกิจสาคัญๆ เพื่อหวังทรัพยากรธรรมชาติจากผูอ้ ่นื อเมริกาก็ มักจะใช้วธิ ดี สิ เครดิตความเชื่อมันในการลงทุ ่ นหรือบอยคอตการส่งสินค้าเข้าไปขายใน อเมริกาเอง ยังไม่รวมถึงการพยายามรุกคืบเข้าสู่ประเทศในแถบตะวันออกกลาง เพื่อมุ่ง ผลประโยชน์ดา้ นพลังงานเป็นหลัก อย่ างไรก็ตามหากมองในแง่ ดีแล้วก็ จะเห็นว่ า ทุ นนิ ยมเสรีนั น้ ช่ วยท าให้ เศรษฐกิจทัวโลกเติ ่ บโต และมีการแข่งขันอย่างเสรี สร้างบุคลากรทีม่ คี วามสามารถขึน้ มา ในระบบเศรษฐกิจเป็ นจานวนมาก แต่ระบบทุนนิยมหาได้มขี อ้ ดีเพียงอย่างเดียวไม่ ทุน นิยมนัน้ ๆ มีข้อเสียพอๆ กับข้อดี โดยเฉพาะในประเทศก าลังพัฒนาทัว่ โลกที่ต่ าง พยายามที่จะใช้นโยบายระบอบทุนนิยมเลียนแบบสหรัฐจนต้องพังทลายทางเศรษฐกิจ มาแล้ว รวมถึงประเทศไทยในช่วงวิกฤตเศรษฐกิจในปี 2540 การพังทลายลงของระบอบทุนนิยมทีเ่ ชื่อกันว่า เสรีทน่ี าโดยสหรัฐฯ ดังกล่าวนี้ สาเหตุเกิดจากการที่บริษัทต่างๆ ไร้ซ่งึ หลักธรรมาภิบาล มุ่งหวังแต่ผลกาไรและการ ขยายตัวทางธุรกิจ โดยเฉพาะสถาบันการเงินทีต่ อ้ งการลงทุนเพื่อเก็งกาไรและขยายการ ลงทุน เฉพาะอย่างยิง่ การปล่อยสินเชื่อด้านอสังหาริมทรัพย์เป็ นจานวนมากให้กบั ลูกค้า ที่ด้อยคุณภาพโดยไม่คดิ ถึงผลกระทบที่จะตามมา และไม่มกี ารควบคุมดูแลของทาง ภาครัฐ ส่งผลให้เศรษฐกิจเป็นแบบฟองสบู่และแตกในเวลาต่อมา ดูได้จากกรณี เลห์แมน บราเธอร์ส ที่ถอื เป็ นการล้มละลายครัง้ รุนแรงทีส่ ุดของสหรัฐอเมริกาด้วยทรัพย์สนิ 691 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ โดยได้ยน่ื ล้มละลายไปเมือ่ วันที่ 15 กันยายน 2551 การล้มละลาย ครัง้ นี้เกิดจากการทีบ่ ริษทั ในเครือทีช่ ่อื ว่า บีเอ็นซี มอร์ทเกจ (BNC Mortgage) ได้ปล่อย กู้ให้ก ับลูกค้าที่ไม่มคี ุ ณภาพในด้านอสังหาริมทรัพย์ ท าให้เกิดหนี้เสียจานวนมาก ตามมา ส่งผลให้ตอ้ งปิดตัวลง จนส่งผลกระทบมาถึงเลห์แมน บราเธอร์ส ทีต่ ้องรับภาระ และประสบปญั หาการขาดทุนอย่างหนัก ส่งผลให้บริษทั ต้องล้มละลายในที่สุด ปญั หา เหล่านี้เกิดจากการเก็งกาไรในตลาดอนุ พนั ธ์และลูกหนี้ไม่สามารถชาระหนี้ได้ จนทาให้ ั หาสภาพคล่ อ งและเงิน หมุ น เวี ย นในระบบ รวมถึ ง การทุ จ ริต คอรัป ชัน่ เกิ ด ป ญ ผลประโยชน์ทบั ซ้อนภายในองค์การทีเ่ ป็นส่วนสาคัญของการพังทลายของธุรกิจ อย่างไรก็ตามในความเป็ นจริงไม่เพียงแต่ในสหรัฐฯ เท่านัน้ ที่ได้รบั ผลกระทบ จากปญั หาในระบอบทุนนิยมดังกล่าวนี้ แต่ผลกระทบยังกระจายตัวออกเป็ นลูกโซ่ก่อ ปญั หาเศรษฐกิจในระดับโลกตามมา ส่วนหนึ่งเนื่องมาจากเครื่องมือทางการเงินและการ ลงทุนที่ถูกผลิตขึน้ มาอย่างสลับซับซ้อนและมีบทบาทที่สาคัญยิง่ ในระบอบดังกล่าวนี้ ซึ่งได้ดงึ ดูดให้คนจากทัวทุ ่ กมุมโลกเข้ามาเกี่ยวข้องโดยตรงกับทุนนิยม เมื่อธุรกิจทุน นิยมของสหรัฐฯ เหล่านี้ได้แตกลง ทาให้หนีไม่พ้นที่ผลกระทบจะต้องแผ่ออกเป็ นวง


17 กว้างไปทัวโลกและสร้ ่ างปญั หาอย่างหนัก การเติบโตในแนวทางของทุนนิยมที่นับถือ เงินและความมังคั ่ งเป็ ่ นพระเจ้าโดยไม่มขี อบเขตของสหรัฐฯ ดังกล่าวนี้ จึงเป็ นสิง่ ที่ไร้ ความยังยื ่ น อาจไม่เกินเลยไปนักทีจ่ ะกล่าวได้ว่าการล้มละลายลงของธุรกิจขนาดใหญ่ ของสหรัฐฯ เหล่านี้ได้แสดงนัยยะให้เห็นถึงความอ่อนแอและทรุดโทรมลงของสหรัฐฯ ชาติทค่ี รัง้ หนึ่งได้ภาคภูมใิ จในชัยชนะของระบอบทุนนิยมของตนเองที่มตี ่อสังคมนิยม และคอมมิวนิสต์ทส่ี หรัฐฯ ได้เคยประณามว่าเลวร้ายและต่อสูม้ าอย่างเอาเป็นเอาตาย 4. ความตกต่าทางการศึกษา

ภาพที่ 2-12 ระดับความรูเ้ รือ่ งความสามารถด้านการอ่าน (literacy), ผลการประเมิน PISA ปี 2009 ทีม่ า: สฤณี อาชวานันทกุล. www.tcijthai.com. (21 มีนาคม 2555) สฤณี อาชวานันทกุล (2554) กล่าวว่า การศึกษาไทยอยู่ในขัน้ วิกฤติ เด็กไทย โดยเฉลี่ยมีทกั ษะในการคิดวิเคราะห์และแยกแยะข้อมูลต่ ามาก โดยดูจากการสังเกต พฤติกรรมของเด็กแบบสอบทาง การศึกษาแห่งชาติขนั ้ พืน้ ฐาน (O-NET) หรือโครงการ ประเมินผลนักเรียนนานาชาติแสดงให้เห็นถึงศักยภาพด้านการศึกษาของไทยแย่ลงมาก ส่งผลกระทบต่อศักยภาพทีจ่ ะก่อให้เกิดการแข่งขันกับนานาประเทศ ประเด็นสาคัญคือ การศึกษาของไทยทีแ่ ย่ลงเรือ่ ยๆ นโยบายของประเทศไทยจึง มีการกาหนดรากฐานการศึกษาในด้านภาษา เนื่องจากเด็กไทยมีการใช้ภาษาไทยในทาง


18 ทีผ่ ดิ มีการสะกดคาที่ไม่ตรงตามรูปแบบ และเริม่ ไม่ค่อยให้ความสาคัญกับภาษาไทย ประกอบกับเด็กไทยมีความรูค้ วามเข้าใจในภาษาอังกฤษ ซึง่ เป็ นภาษาสากลทีใ่ ช้ในการ สื่อสารกันทัวโลกนั ่ น้ ค่อนข้างต่ า รวมทัง้ ไม่สามารถใช้ในการสื่อสารได้ดเี ท่าที่ควร และ ผูใ้ หญ่สามารถใช้ภาษาอังกฤษในการสื่อสารได้เพียงแค่ประโยคสัน้ ๆ นอกจากนี้เด็กไทย ไม่สามารถนาความรูท้ ไ่ี ด้รบั จากการศึกษามาใช้ในการคิดวิเคราะห์เพื่อนาไปใช้ในการ ปฏิบตั งิ านได้จริง เนื่องจากการศึกษาของไทยในปจั จุบนั ไม่ได้ให้ความรูค้ วามเข้าใจใน แต่ละเรือ่ งอย่างลึกซึง้ เช่น การศึกษาของไทยให้นกั เรียนได้เรียนหนังสือในหลายๆ วิชา ในแต่ละวัน รวมถึงจานวนชัวโมงในแต่ ่ ละรายวิชามีเวลาในการเรียนน้อย และไม่ได้ให้ นักเรียนมีการศึกษาหรือสนับสนุนในเรือ่ งทีน่ กั เรียนให้ความสนใจเป็นพิเศษ และในเรื่อง สถานที่ท่สี นับสนุ นการศึกษาของไทยนัน้ ไม่มสี ถานที่เพียงพอต่อการรองรับจานวน บุคลากรที่ให้ความสนใจเข้าใช้บริการ ซึ่งสถานทีท่ ่พี ร้อมต่อการให้บริการสนับสนุ นใน เรือ่ งการศึกษามักจะอยูใ่ นพืน้ ทีก่ รุงเทพมหานครและตามตัวเมืองทีส่ าคัญเป็นส่วนใหญ่ จากทีไ่ ด้กล่าวมาข้างต้น สิง่ นี้จะเป็ นผลกระทบต่อประเทศไทย หน่ วยงานของ ภาครัฐ และหน่ วยธุ รกิจทุ กหน่ วย เพราะเด็กไทยที่ส าเร็จการศึกษาจะกลายเป็ น ทรัพยากรบุคคลทีเ่ ป็ นเสมือนกาลังสาคัญทีจ่ ะสามารถขับเคลื่อนธุรกิจแต่ละองค์การให้ เกิดประสิทธิภาพ แต่ความตกต่ าที่เกิดขึน้ เหล่านี้มพี ้นื ฐานและต้นทุนทางการศึกษาที่ แตกต่างกันนาไปสู่ความเลื่อมล้าของการศึกษาทีส่ าคัญในการพัฒนานัน่ คือ การพัฒนา บุคลากร ซึง่ บุคลากรจะต้องมีความรูค้ วามเชีย่ วชาญ มีการถ่ายทอดประสบการณ์ซง่ึ กัน และกัน และจะต้องมีการดาเนินการอย่างต่อเนื่องและสม่าเสมอ และยังสามารถส่งผลต่อ องค์การธุรกิจให้สามารถขับเคลื่อนไปไกลได้อกี ด้วย 5. การเปิดเสรีประเภทต่างๆ การเปิ ดการค้าเสรีเป็ นการรวมตัวกันของประเทศต่างๆ ที่ตกลงกันทาการค้า เสรีโดยในแต่ละประเทศจะเลือกผลิตสินค้าที่ตนมีประสิทธิภาพในการผลิตสูงสุดและ ต้นทุนต่า ซึง่ การทาการค้าเสรีจะช่วยให้ประเทศต่างๆ ได้รบั ผลประโยชน์เป็ นอย่างมาก ทัง้ การลดการกีดกันทางด้านภาษี และการลดข้อกีดกันทางด้านการค้า ทัง้ นี้มอี งค์การ หลักๆ ทีเ่ ปิดการค้าเสรี ดังนี้


19 5.1 องค์การการค้าโลก

ภาพที่ 2-13 องค์การการค้าโลก (World Trade Organization: WTO) ทีม่ า: Gladstone Thurston. www.thebahamasweekly.com. (23 March 2012) สานักงานเศรษฐกิจการเกษตร (2554) รายงานว่า องค์กรการค้าโลก (World Trade Organization: WTO) เป็ นเวทีในการเจรจาลดอุปสรรคและข้อกีดกันทาง การค้ า มีก ฎระเบียบการค้ าระหว่ างประเทศ และสร้างความเข้มแข็งให้ แ ก่ กระบวนการยุตขิ อ้ พิพาททางการค้าระหว่างประเทศ นอกจากนี้ยงั ถือเป็ นกลไกการ ตรวจสอบและทบทวนนโยบายการค้าของประเทศสมาชิก การที่ประเทศไทยเป็ น สมาชิกองค์กรการค้าโลกจะส่งผลกระทบทัง้ ในเชิงบวกและเชิงลบให้แก่ธุรกิจใน ประเทศ นอกจากนี้ประเทศไทยยังไม่สามารถกาหนดเงื่อนไขในเรื่องการกาหนด อุ ตสาหกรรมที่มสี ทิ ธินาเข้าได้ เมื่อพิจารณาแล้วจะเห็นได้ว่าประเทศไทยอาจมี ต้นทุนทีเ่ พิม่ มากขึน้ จากการเป็ นส่วนหนึ่งขององค์กรการค้าโลก จากการทีป่ ระเทศ ไทยต้องนาเข้าสินค้ามากขึ้น ทาให้ผู้คนภายในประเทศมีทางเลือกที่หลากหลาย ธุรกิจในประเทศไทยต้องมีการปรับปรุงสินค้าของตนเองให้ดกี ว่าต่างประเทศ ทาให้ เสียต้นทุนในการพัฒนาและปรับปรุงสินค้าของตนเองเพิม่ ขึน้ ภาครัฐจึงต้องมีการ เร่งสร้างความนิยมในสินค้าไทยให้มากขึน้


20 5.2 เขตการค้าเสรี

ภาพที่ 2-14 นโยบายเขตการค้าเสรี (Free Trade Area: FTA) ทีม่ า: Docstoc. www.docstoc.com. (19 March 2012) กรมเจรจาการค้าระหว่างประเทศ (2552) รายงานว่า เป็ นการรวมกลุ่ มทาง เศรษฐกิจเพื่อลดภาษีศุ ลกากรระหว่างกันภายในกลุ่มให้เหลือน้ อยที่สุ ด การทาเขต การค้าเสรีนนั ้ จะส่งผลกระทบทาให้ประเทศไทยเกิดการเปลีย่ นแปลงโครงสร้างทางด้าน การค้า ทาให้มกี ารขยายการค้าในระหว่างประเทศทีท่ าเขตการค้าเสรีมากยิง่ ขึน้ ซึง่ โดย ส่วนใหญ่แล้วจะทาให้ประเทศไทยส่งออกสินค้าไปยังประเทศมหาอานาจได้มากขึ้น นอกจากนี้การทาเขตการค้าเสรีจะช่วยให้ประเทศไทยสามารถลดอุ ปสรรคทางด้าน การค้าและการลงทุน และยังถือเป็ นการสร้างพันธมิตรทีจ่ ะเกื้อกูลกันทางเศรษฐกิจกับ ประเทศอื่นอีกด้วย แต่ ท ัง้ นี้ประเทศไทยจะต้องเผชิญกับผลกระทบทางด้านลบที่จะ เกิดขึน้ คือ ทัง้ ภาครัฐและภาคเอกชนจะต้องให้ความสนใจกับผูผ้ ลิตไทยทีม่ ปี ระสิทธิภาพ ในการแข่งขันกับต่างประเทศในระดับต่ า ซึ่งจาเป็ นจะต้องเร่งปรับปรุงศักยภาพและ มาตรฐานการผลิต


21 5.3 ประชาคมอาเซียน

ภาพที่ 2-15 ประชาคมอาเซียน (ASEAN Economic Community: AEC) ทีม่ า: สมาพันธ์โลจิสติกส์ไทย. www.thailog.org. (19 มีนาคม 2555) ประชาคมอาเซียน (ASEAN Economic Community: AEC) เป็ นการ รวมกลุ่มของความร่วมมือทางเศรษฐกิจในภูมภิ าคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ มีแผนจะ พัฒนาในปี 2558 มีกรอบความร่วมมือที่กาหนดไว้ 3 ส่วนหลัก ซึ่งประกอบด้วย ด้านเศรษฐกิจ ด้านการเมืองความมันคง ่ และด้านสังคมวัฒนธรรม โดยจะมีการ รวมกันเป็ นตลาดและฐานการผลิตเดียวกัน สินค้า บริการ การลงทุน แรงงานฝีมอื รวมถึงปจั จัยการผลิตต่างๆ สามารถเคลื่อนย้ายได้อย่างเสรีภายใต้กรอบกฎเกณฑ์ กติกาทีต่ กลงกัน ซึง่ เป็นผลดีต่อทุกฝา่ ยไม่ว่าจะเป็นผูบ้ ริโภค เกษตรกร นักธุรกิจ ผู้ ส่งออก-นาเข้า และนักลงทุน หนังสือพิมพ์ฐานเศรษฐกิจ (2554) ได้รายงานข่าวถึงผลการสารวจของ มหาวิทยาลัยหอการค้าไทยเมื่อปี พ.ศ. 2553 พบว่าเกือบ 80% ของผูป้ ระกอบการ ไทยยังไม่รจู้ กั ประชาคมอาเซียน (AEC) แต่ในปจั จุบนั เริม่ มีการรูจ้ กั มากขึน้ การใช้ ประโยชน์ยงั ค่อนข้างน้อยโดยเฉพาะผูป้ ระกอบการทีเ่ ป็ นธุรกิจขนาดย่อม (SMEs) ดังนัน้ กระทรวงพาณิชย์จงึ ได้มกี ารหารือร่วมกับหน่วยงานทีเ่ กีย่ วข้องทัง้ ภาครัฐและ เอกชน เพื่อเตรียมความพร้อมเพื่อรับมือกับประชาคมอาเซียนอีก 3 ปี ข้างหน้ า ตัง้ แต่การเจรจาจัดทาแผนงานทีอ่ าเซียนจะก้าวไปสู่ประชาคมอาเซียน รวมถึงการ ปฏิบตั ิตามแผนงาน และแนวทางรองรับผลกระทบ แต่ ป จั จุบ ันประเทศไทยยัง ประสบปญั หาหลายด้าน ทัง้ การเมือง ความปรองดองของคนในชาติ อีกทัง้ ยังต้อง


22 เร่งฟื้นฟูประเทศครัง้ ใหญ่หลังน้าลด ซึง่ ต้องใช้งบอีกมหาศาล และภาคเอกชนทีย่ งั มี ความกังวลเรือ่ งแผนธุรกิจเพื่อรับมือกับน้าท่วมทีอ่ าจเกิดขึน้ อีกครัง้ ต้นทุนการผลิต ทีส่ ูงขึน้ จากการปรับขึน้ ค่าแรงของรัฐบาล ปจั จัยต่างๆ เหล่านี้ส่งผลกระทบต่อการ เตรียมพร้อมของภาครัฐและเอกชนพอสมควร ดังนัน้ ภาครัฐและภาคเอกชนจึงควรมี การบริหารจัดการเพื่อรับมือกับผลกระทบต่างๆ ทีม่ กี ารเปลีย่ นแปลงตลอดเวลา 6. ความเสื่อมโทรมของระบบนิเวศน์ จากการเพิม่ ขึน้ ของประชากรโลก ประกอบกับกระแสโลกาภิวฒ ั น์ ทก่ี ่อให้เกิด การเคลื่อนย้ายทุนทีส่ าคัญ ได้แก่ ประชากรในพื้นที่และประชากรแฝง ทุนการเงิน ทุน อ านาจ ซึ่งการเคลื่อนย้ายทุนดังกล่ าวทาให้เศรษฐกิจและสังคมเปลี่ยนแปลงอย่าง รวดเร็ว ภาวะการแข่งขันทางการค้ารวดเร็วและรุนแรงมากขึน้ ทัง้ นี้ประเทศไทยจึงได้รบั ผลกระทบจากการกระแสโลกาภิว ัฒน์ ท ัง้ ในด้านดีและไม่ ดีอย่ างหลีกเลี่ยงไม่ ได้ โดยเฉพาะทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมที่เสื่อมโทรมลง เนื่ องจากการใช้ ทรัพยากรธรรมชาติอย่างสิ้นเปลือง และขาดมาตรฐานในการจัดการสิง่ แวดล้อมอย่าง จริงจัง นาไปสู่การขาดสมดุลของระบบนิเวศน์ 6.1 การล้มเหลวของรัฐบาลในการควบคุม สานักงานคณะกรรมการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ (2555) กล่าวว่า สถานการณ์ทรัพยากรธรรมชาติและสิง่ แวดล้อมของประเทศไทย ได้รบั ผลกระทบ จากการเปลีย่ นแปลงในบริบทโลกและปจั จัยภายในประเทศ ทัง้ เรือ่ งการเปลีย่ นแปลง สภาพภูมอิ ากาศ การเพิม่ ขึน้ ของประชากร การพัฒนาเศรษฐกิจที่มุ่งการเจริญเติบโตและ การแข่งขันทางด้านการค้าและการลงทุน ทาให้มกี ารใช้ประโยชน์ทรัพยากรธรรมชาติ เกินศักยภาพในการรองรับของระบบนิเวศ ในขณะทีข่ ดี ความสามารถของการบริหาร จัดการและเครื่องมือทางนโยบาย เช่น ฐานข้อมูล กฎระเบียบ การบังคับใช้กฎหมาย เกี่ยวกับสิง่ แวดล้อม และเครื่องมือทางเศรษฐศาสตร์ยงั ไม่สามารถนามาใช้ได้อย่างมี ประสิทธิภาพ เนื่องจากการบริหารจัดการทรัพยากรและสิง่ แวดล้อมในปจั จุบนั ยังคง ล้มเหลวขาดการบูรณาการร่วมกันระหว่ างหน่ วยงานรับผิดชอบที่เกี่ยวข้อง การ กาหนดเครือ่ งมือและกลไกในการจัดการทรัพยากรธรรมชาติและสิง่ แวดล้อมเป็ นแบบ แยกส่วน ระบบการจัดการข้อมูลด้านทรัพยากรธรรมชาติและสิง่ แวดล้อมยังไม่เป็ น มาตรฐาน ไม่ครอบคลุม และขาดการเชื่อมโยงกับข้อมูลด้านเศรษฐกิจและสังคม กฎหมายมีลกั ษณะของการบริหารจัดการทรัพยากรรายสาขา ขาดประสิทธิภาพใน การบังคับใช้ ขาดความเป็ นธรรม และไม่โปร่งใส นอกจากนี้ยงั มีปญั หาการทุจริต คอร์รปั ชัน่ และความไม่เป็ นธรรมในการจัดสรรทรัพยากร เช่น ทีด่ นิ น้ า และป่าไม้


23 เป็นต้น ส่งผลให้เกิดความไม่ไว้วางใจในการบริหารจัดการของภาครัฐ ในขณะทีเ่ กิด ช่องว่างทางนโยบายในการบูรณาการระหว่างการอนุ รกั ษ์สงิ่ แวดล้อมกับการพัฒนา เศรษฐกิจ ประกอบกับความอ่อนแอของกลไกการจัดการสิง่ แวดล้อมและการบังคับ ใช้กฎหมาย และความไม่มปี ระสิทธิภาพของเครื่องมือกากับและควบคุมในการ บรรเทาผลกระทบของโครงการขนาดใหญ่ ส่ งผลให้เกิดผลกระทบมากมายจาก โครงการพัฒนาเศรษฐกิจขนาดใหญ่ของทัง้ ภาครัฐและเอกชน อีกทัง้ รัฐบาลไม่ให้ ความส าคัญกับการจัดการสิ่งแวดล้อมมากเท่ าที่ควร ซึ่งหากเปรียบเทียบกับ ต่างประเทศ เช่น ประเทศอังกฤษ ญี่ปุ่น หรืออเมริกา ทีใ่ ห้ความสาคัญกับการดูแล สิง่ แวดล้อมและการพัฒนาอย่างยังยื ่ น ทัง้ ในภาครัฐและภาคธุรกิจ ดังจะเห็นได้จาก การนาหลักการบัญชีบริหารสิง่ แวดล้อม (EMA) เข้ามาใช้เป็นมาตรฐานในภาคธุรกิจ รวมไปถึงการจัดทาบัญชีเพื่อการพัฒนาอย่างยังยื ่ น (accounting for sustainability) เป็ นต้น ซึ่งปญั หาที่เกิดขึน้ เหล่านี้ส่งผลกระทบต่อความเป็ นอยู่ของประชาชนและ คุ ณภาพสิ่งแวดล้อม และน าไปสู่ความเสื่อมโทรมของทรัพยากรธรรมชาติและ สิง่ แวดล้อม ส่งผลต่อความสมดุลของระบบนิเวศโดยรวมอย่างต่อเนื่อง 6.2 ทรัพยากรธรรมชาติ สานักงานคณะกรรมการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ (2554) รายงานว่า ทรัพยากรทางธรรมชาติของประเทศไทยมีความเสื่อมโทรมอย่างต่อเนื่องและเกิด ปญั หาความขัดแย้งของการใช้ประโยชน์ ทรัพยากรธรรมชาติมากขึน้ เห็นได้จาก พืน้ ทีป่ า่ ไม้ยงั คงถูกบุกรุกอย่างต่อเนื่อง จากการเพิม่ ขึน้ ของประชากรซึง่ ต้องการใช้ ประโยชน์จากทีด่ นิ ในการผลิตทางการเกษตร เพื่อการอยูอ่ าศัยและพัฒนาโครงสร้าง พืน้ ฐานภายใต้ทรัพยากรทีด่ นิ มีอยู่อย่างจากัด อีกทัง้ ความเสื่อมโทรมของคุณภาพ ดินที่เกิดจากดินเปรีย้ วและดินเค็ม รวมทัง้ การสูญเสียพืน้ ที่บริเวณชายฝงั ่ ปญั หา เหล่านี้ส่งผลกระทบต่อความสมดุลทางระบบนิเวศและความหลากหลายทางชีวภาพ ซึ่งเป็ นแหล่ งพึ่งพิงเพื่อการด ารงชีว ิตของชุ มชน และเป็ นพื้นฐานการพัฒนา เศรษฐกิจของประเทศในอนาคต แต่รฐั บาลก็ไม่สามารถบริหารจัดการที่ดินให้ม ี ประสิทธิภาพได้ ทาให้การใช้ท่ดี นิ ไม่ตรงตามศักยภาพของพื้นที่และพื้นที่ป่าไม้ ลดลงและถูกทาลายเหลือเพียงร้อยละ 33.56 ของพืน้ ทีท่ งั ้ ประเทศ เกิดความขัดแย้ง ในการใช้ประโยชน์ และไม่สามารถแก้ไขปญั หาผู้ไร้ท่ที ากินได้อย่างยังยื ่ น ส่วน ั ่ ดการเสื่อมโทรมลงอย่างต่อเนื่องเช่นกัน เนื่องจาก ทรัพยากรทางทะเลและชายฝงเกิ พืน้ ทีป่ า่ ชายเลนและแนวปะการังลดลงจากการถูกบุกรุกทาลาย มีการเปลีย่ นสภาพ ั ่ ความรุนแรงมากขึน้ ในขณะทีท่ รัพยากร ไปใช้ประโยชน์ อ่นื ๆ การกัดเซาะชายฝงมี ประมงลดลงทัง้ ในเชิงปริมาณ ชนิด และขนาด ส่วนการเพาะเลี้ยงสัตว์น้ าชายฝงั ่ ขยายตัวต่ อเนื่อง แต่ยงั คงสร้างปญั หาคุณภาพสิง่ แวดล้อมด้านทรัพยากรแร่และ


24 พลังงาน เนื่องจากยังคงมีความต้องการใช้เพิม่ ขึ้นอย่างต่อเนื่อง ทาให้เกิดการ พัฒนาทรัพยากรเพื่อรองรับความต้ องการดังกล่ าว ก่ อให้เกิดผลกระทบต่ อ สิง่ แวดล้อม และทรัพยากรน้ ามีแนวโน้ มขาดแคลนเพิม่ ขึ้น จากการประมาณการ ความต้องการใช้น้ าของประเทศทีเ่ พิม่ ขึน้ เฉลีย่ ปีละ 1,281 ล้าน ลบ.ม. ในระยะ 3 ปี ข้างหน้า และปีละ 2,178 ล้าน ลบ.ม. ในระยะ 5 ปีถดั ไป 6.3 ปญั หาน้ าท่วมใหญ่ของประเทศ

ภาพที่ 2-16 น้าท่วมครัง้ ใหญ่ในประเทศไทย ทีม่ า: กรุงเทพธุรกิจออนไลน์. www.bangkokbiznews.com. (19 มีนาคม 2555) แม้สาเหตุของอุทกภัยครัง้ ใหญ่ท่สี ุดในประวัตศิ าสตร์ของประเทศไทยจะเกิด จากภัยธรรมชาติอย่างพายุโซนร้อน ลมมรสุม และร่องความกดอากาศต่ ากาลัง ทาให้ม ี ฝนตกชุ กจนเกิดน้ าท่ วมต่ อเนื่ อง น าไปสู่ความเดือดร้อนในพื้นที่ภาคเหนื อ ภาค ตะวันออกเฉียงเหนือ และภาคตะวันออกของประเทศ และได้รบั อิทธิพลจากพายุโซน ร้อนพร้อมกับไต้ฝนุ่ พัดเข้าสู่ประเทศไทยตอนบนจนมีฝนตกหนักถึงหนักมากเป็ นระยะๆ จึงเกิดเหตุการณ์น้ าท่วมอย่างไม่เคยปรากฏมาก่อน แต่ทงั ้ นี้อกี สาเหตุหนึ่งทีส่ าคัญคือ การบริหารจัดการน้ าที่ไร้ประสิทธิภาพ ขาดการกาหนดผังเมืองและการควบคุมการใช้ ประโยชน์ท่ดี นิ ทีด่ ี ทาให้ทว่ี ่างรับน้ าต่างๆ ถูกแทนที่ด้วยการก่อสร้างอาคารบ้านเรือน และถนนหนทาง ซึ่งเป็ นการตอกย้าความล้มเหลวของรัฐบาลในควบคุมและป้องกัน ปญั หาน้ าท่วมที่เกิดขึน้ จากปญั หาน้ าท่วมประเทศครัง้ ใหญ่ท่เี กิดขึน้ นัน้ กองติดตาม ประเมินผล (2554) เปิดเผยว่า พืน้ ทีท่ ป่ี ระสบอุทกภัยและพืน้ ทีท่ ม่ี กี ารประกาศเป็ นพืน้ ที่ ประสบภัยพิบตั ิกรณีฉุกเฉินตัง้ แต่ปลายเดือนกรกฎาคม – 7 ธันวาคม ปี 2554 รวม ทัง้ สิ้น 64 จังหวัด มีผู้เสียชีวติ 675 ราย สูญหาย 3 คน ผลกระทบจากอุทกภัยสร้าง


25 ความเสียหายต่อทรัพย์สนิ และรายได้ของประเทศ ประมาณ 1.3 ล้านล้านบาท (ข้อมูล วันที่ 8 ธันวาคม ปี พ.ศ. 2554) ทัง้ ยังส่งผลกระทบไปยังหลายๆ ด้าน โดยเฉพาะระบบ นิเวศวิทยาทางทะเล เพราะการระบายน้ าเสียลงสู่ทะเลมีผลต่อการดารงชีพและสัตว์น้ า แหล่งพืน้ ทีแ่ ละพืชผลทางเกษตรได้รบั ความเสียหาย สุขภาพอนามัยของประชาชนแย่ลง เกิดโรคระบาด ทรัพยากรธรรมชาติถูกทาลาย เกิดแผ่นดินถล่ม และดินขาดปุ๋ยธรรมชาติ เกิดความเสียหายต่อระบบบาบัดน้าเสียและระบบกาจัดขยะมูลฝอย เป็นต้น 6.4 มลพิษ เขตเมือง/เขตอุตสาหกรรม/สารตกค้างไปทัวประเทศ ่ ไทยพับลิก้า (2554) อ้างถึง กรมควบคุมมลพิษ ซึง่ เปิดเผยถึงสถานการณ์ มลพิษของประเทศไทยปี 2554 โดยมีรายละเอียดสถานการณ์ต่างๆ ดังนี้ 6.4.1 มลพิษทางอากาศและเสียง

ภาพที่ 2-17 กราฟแสดงคุณภาพอากาศในกรุงเทพมหานครตัง้ แต่ปี 2535-2554 ทีม่ า: ไทยพับลิกา้ (2554) อ้างถึง กรมควบคุมมลพิษ. www.thaipublica.org. (19 มีนาคม 2555) ไทยพับลิก้า (2554) อ้างถึง วิจารย์ สิมาฉายา อธิบดีกรมควบคุม มลพิษ ซึ่งได้สรุปสถานการณ์มลพิษของประเทศไทยประจาปี 2554 ว่า สถานการณ์คุณภาพอากาศของประเทศไทยมีแนวโน้มดีขน้ึ เมื่อเทียบกับปี ทีผ่ ่านมา ปญั หาหลักยังคงเป็นฝุน่ ละอองขนาดไม่เกิน 10 ไมครอนหรือฝุ่น ขนาดเล็กในบริเวณริมถนนในกรุงเทพมหานครซึ่งลดลงจากปี ท่แี ล้ว ดัง ภาพที่ 2-17 ปญั หารองลงมาคือ ก๊าซโอโซนและก๊าซไนโตรเจนไดออกไซด์


26 ซึง่ พบเกินมาตรฐานบริเวณริมถนนในบางพืน้ ทีข่ องกรุงเทพมหานคร ส่วน สารมลพิษชนิดอื่น ได้แก่ ก๊าซซัลเฟอร์ไดออกไซด์และคาร์บอนมอนอกไซด์ ยังอยู่ในเกณฑ์มาตรฐาน ด้านคุณภาพอากาศในเขตปริมณฑลพบว่า สมุทรปราการ นนทบุร ี และปทุมธานี ยังคงมีปญั หาฝุ่นขนาดเล็กมีค่าเกิน มาตรฐาน ส่วนต่างจังหวัดปญั หาหลักยังคงเกิดจากฝุ่นขนาดเล็กและก๊าซ โอโซน โดยพืน้ ทีท่ ม่ี ปี ญั หาฝุ่นขนาดเล็กมากทีส่ ุด ได้แก่ สระบุร ี รองลงมา ได้แก่ พะเยา พระนครศรีอยุธยา และเชียงราย สาหรับก๊าซโอโซนพบว่า มี ค่าเกินมาตรฐานในหลายพื้นที่ โดยพื้นที่ท่พี บเกินมาตรฐานมากที่สุดคือ พระนครศรีอยุธยา ส่วนสถานการณ์สารอินทรียร์ ะเหยในพืน้ ที่มาบตาพุด พบว่า มีปญั หาสารอินทรียร์ ะเหย (VOCs) 4 ชนิดมีค่าเกินมาตรฐาน ได้แก่ สารเบนซีน สาร 1,3-บิว ทาไดอีน สาร 1,2- ไดคลอโรอี เทน และสาร คลอโรฟอร์ม ซึง่ เกินมาตรฐานในบางช่วงเวลาและบางสถานี ด้านสถานการณ์ระดับเสียงริมเส้นทางจราจรและพื้นที่ทวไปใน ั่ กรุงเทพมหานครและปริมณฑลมีแนวโน้มลดลงจากปีท่ผี ่านมา โดยระดับ เสียงเฉลีย่ (Leq) 24 ชัวโมงอยู ่ ใ่ นเกณฑ์มาตรฐาน 6.4.2 มลพิษทางน้า

ภาพที่ 2-18 กราฟแสดงคุณภาพน้าผิวดินทัวประเทศ ่ 2552-2554 ทีม่ า: ไทยพับลิกา้ (2554) อ้างถึง กรมควบคุมมลพิษ. www.thaipublica.org. (19 มีนาคม 2555)


27 ก่อนเหตุการณ์น้ าท่วมใหญ่ช่วงเดือนกันยายนพบว่า คุณภาพน้ า ผิวดินอยู่ในเกณฑ์ดี ร้อยละ 30 พอใช้ ร้อยละ 42 และเสื่อมโทรม ร้อยละ 28 ตามล าดับ ซึ่งเมื่อ เปรียบเทียบคุ ณภาพน้ า 5 ปี ย้อ นหลัง พบว่ า คุณภาพน้าโดยรวมมีแนวโน้มดีขน้ึ ยกเว้นแหล่งน้ า 3 แหล่ง ได้แก่ ระยอง ตอนบน พังราดตอนบน และปราจีนบุร ี เสื่อมโทรมลง สาเหตุมาจากความ สกปรกในรูปสารอินทรีย์ (BOD) เพิม่ ขึน้ ส่วนแม่น้ าสายหลักทีม่ คี ุณภาพ น้าอยูใ่ นเกณฑ์เสื่อมโทรม ได้แก่ เจ้าพระยาตอนล่าง ท่าจีนตอนกลาง และ ท่าจีนตอนล่าง มีสาเหตุหลักมาจากน้ าเสียชุมชน ทัง้ นี้พบว่า แหล่งน้ าใน ทุกภาคโดยรวมมีคุ ณภาพน้ าดีข้นึ เมื่อเทียบกับปี ท่ผี ่ านมา และตัง้ แต่ ปี 2551-2554 ไม่มแี หล่งน้ าใดอยู่ในเกณฑ์เสื่อมโทรมมาก ด้านคุณภาพน้ า ั่ ชายฝงทะเลส่ วนใหญ่อยู่ในเกณฑ์ดแี ละพอใช้รวมกันกว่าร้อยละ 90 เช่น ั ่ นตก ฝ งอั ั ่ นดามัน ซึ่งเป็ นแหล่ งท่ องเที่ยวส าคัญ ส่ วน อ่ าวไทยฝ งตะวั บริเวณที่ยงั คงมีปญั หาคุณภาพน้ าคือ พื้นที่อ่าวไทยตอนใน บริเวณปาก แม่น้ าสายหลักจากการระบายน้ าที่ท่วมขังลงในแม่น้ าเจ้าพระยา ท่าจีน บางปะกง ลงสู่ทะเลอ่าวไทยตอนใน ทาให้ค่าความเค็มลดต่ าลง ส่งผลต่อ สัตว์น้ าบางชนิดและการเพาะเลีย้ งฝงั ่ 6.4.3 มลพิษกากของเสียและสารอันตราย

ภาพที่ 2-19 ปริมาณขยะมูลฝอยจาแนกตามพืน้ ที่ ทีม่ า: ไทยพับลิกา้ (2554) อ้างถึง กรมควบคุมมลพิษ. www.thaipublica.org. (19 มีนาคม 2555) ปริมาณขยะมู ล ฝอยทัว่ ประเทศเพิ่ม ขึ้นทุ กปี โดยปี 2554 มี ประมาณ 16 ล้านตัน หรือวันละ 43,800 ตัน เพิม่ ขึน้ 0.84 ล้านตัน หรือ


28 ร้อยละ 5.5 ตามการขยายตัวของชุ มชนและประชากรที่เพิ่มขึ้น โดย กรุงเทพมหานครมีขยะมูลฝอยประมาณวันละ 9,500 ตัน คิดเป็ นร้อยละ 22 ของปริมาณขยะทีเ่ กิดขึน้ ในแต่ละวัน ขณะที่เขตเทศบาลและเมืองพัทยามี ขยะมูลฝอยประมาณวันละ 17,488 ตัน คิดเป็ นร้อยละ 40 ของปริมาณขยะ ที่เกิดขึ้นในแต่ละวัน ขณะที่เขตองค์การบริหารส่วนตาบลมีขยะมูลฝอย ประมาณวันละ 16,792 ตัน คิดเป็ นร้อยละ 38 ของปริมาณมูลฝอยทัว่ ประเทศ ของเสียอันตรายเกิดขึ้นประมาณ 3.12 ล้านตัน โดยเกิดจาก อุตสาหกรรมประมาณ 2.4 ล้านตัน และประมาณ 0.73 ล้านตัน เป็นของเสีย อันตรายจากชุมชน แบ่งเป็ นกลุ่มแบตเตอรี่ หลอดไฟ และภาชนะบรรจุ สารเคมีประมาณ 340,000 ตัน กลุ่มซากผลิตภัณฑ์เครื่องใช้ไฟฟ้าและ อิเล็กทรอนิกส์ประมาณ 367,000 ตัน และมูลฝอยติดเชือ้ ประมาณ 41,000 ั หาที่ส่ งผลกระทบต่ อคุ ณภาพชีว ิต ตัน ส่ วนสารอันตรายยังคงเป็ นป ญ ประชาชนเช่ นกัน จากสถิติจ านวนผู้ป่วยของกรมควบคุมโรคพบว่ า มี ผูป้ ว่ ยได้รบั พิษจากสารเคมีประมาณ 1,934 ราย จาแนกเป็ นผูป้ ่วยทีไ่ ด้รบั พิษจากสารเคมีดา้ นอุตสาหกรรมรวม 210 ราย โดยพืน้ ทีท่ ม่ี ผี ู้ป่วยได้รบั พิ ษ ส า ร อั น ต ร า ย ท า ง ด้ า น อุ ต ส า ห ก ร ร ม ม า ก ที่ สุ ด คื อ ภ า ค ตะวันออกเฉี ยงเหนื อ และมีผู้ ป่ ว ยที่ไ ด้ ร ับพิษ จากสารอันตรายทาง การเกษตร 1,724 ราย โดยพื้นทีท่ ่มี ผี ู้ป่วยได้รบั พิษจากสารอันตรายทาง การเกษตรมากที่สุดคือ ภาคเหนือ ทัง้ ยังเกิดอุบตั ภิ ยั ฉุ กเฉินจากสารเคมี จากการขนส่งสารเคมี เกิดในโรงงานอุตสาหกรรม โกดังเก็บสารเคมี การ ลักลอบทิ้งกากของเสีย เป็ นต้น และในเขตกรุงเทพและปริมณฑลมีการ ร้องเรียนปญั หามลพิษมากที่ได้สุด ได้แก่ มลพิษทางด้านอากาศ 68% ปญั หามลพิษทีเ่ กิดขึน้ ในประเทศเหล่านี้ ส่งผลกระทบต่อความสมดุลของ ระบบนิเวศวิทยาด้วยเช่นกัน


29 7. คุณลักษณะธุรกิจของประเทศไทยทีไ่ ม่สามารถตอบรับกับสภาวะการเปลีย่ นแปลงอย่าง รวดเร็วของเศรษฐกิจโลก

ภาพที่ 2-20 เปรียบเทียบลักษณะธุรกิจของประเทศไทยทีไ่ ม่สามารถตอบรับกับ สภาวะการเปลีย่ นแปลงอย่างรวดเร็วของเศรษฐกิจโลก ทีม่ า: จุฑามาศ ปญั ญพรสุข. www.chula-alumni.com. (19 มีนาคม 2555) สรรค์ชยั เตียวประเสริฐกุล (2549) กล่าวว่า ปจั จุบนั ธุรกิจในประเทศไทยต้อง เผชิญหน้ ากับคู่แข่งทางการค้าที่สาคัญคือ จีน และเวียดนาม ที่มคี ่าแรงงานที่ต่ ากว่า ประเทศไทย ทาให้งานหรือธุรกิจที่เคยมีในไทยนัน้ กลายไปเป็ นของคู่แข่ง เนื่องจาก ลักษณะธุรกิจในประเทศไทยส่วนมากจะเป็ นการรับจ้างผลิตสินค้า ทัง้ การรับจ้างให้กบั ผูว้ ่าจ้างภายในประเทศหรือรับจากต่างประเทศ ทาให้การดาเนินงานของธุรกิจขึน้ อยู่กบั ผู้ว่ าจ้าง เพราะผู้ว่าจ้างอาจจะย้ายฐานการผลิตไปในประเทศอื่นที่มตี ้นทุ นต่ ากว่ า ประเทศไทยควรที่จะมีความกระตือรือร้นในการจัดการและพัฒนาองค์ก าร เพื่อที่จะ สามารถแข่งขันกับประเทศคู่แข่งได้ ซึ่งแต่ละธุรกิจนัน้ ควรมีการเตรียมการรับมือกับ สภาวะเศรษฐกิจที่จะเกิดขึ้นในอนาคต โดยการวางแผนกลยุทธ์ของธุ รกิจ เพื่อให้ พนักงานรับทราบและใช้เป็นแม่บทในการปฏิบตั งิ าน เพื่อให้สามารถปฏิบตั เิ พื่อให้บรรลุ วัตถุประสงค์ของธุรกิจ และสามารถอยู่ในตลาดธุรกิจได้อย่างยังยื ่ น


30 การบริ หารต้นทุน ปัจจัยที่ส่งผลกระทบต่อศักยภาพ การประกอบการของภาครัฐและเอกชน 1. ความตกต่าทางศีลธรรม 2. การเมืองและคอร์รปั ชัน่ 3. ความตกต่าและความล้มเหลวของ ระบบทุนนิยม 4. ความตกต่าทางการศึกษา 5. การเปิ ดเสรีทางการค้า 6. ความเสือ่ มโทรมของระบบนิเวศน์ 7. ลักษณะธุรกิจทีไ่ ม่สามารถตอบรับกับ การเปลีย่ นแปลงของเศรษฐกิจโลก

แนวทางในการบริหารเพื่อเพิ่มศักยภาพ การแข่งขันไปสู่การแข่งขันอย่างยังยื ่ น 1. 2. 3. 4. 5. 6.

การฟื้นฟูศลี ธรรม หลักธรรมาภิบาล ความรับผิดชอบต่อสังคมและสิง่ แวดล้อม องค์การแห่งการเรียนรู้ หลักปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียง การพัฒนาทางด้านสารสนเทศต่างๆ โดยเฉพาะทางการบัญชี 7. การออกแบบระบบบัญชี 8. การบริหารต้นทุนทีด่ อ้ ยประสิทธิภาพ

ภาพที่ 2-21 สรุปปจั จัยทีส่ ่งผลกระทบต่อศักยภาพการประกอบการและแนวทางในการบริหารจัดการ เพื่อเพิม่ ศักยภาพทางการแข่งขัน ทีม่ า: จากการวิเคราะห์รว่ มกันของกลุ่มปญั หาพิเศษ (การบริหารต้นทุน) การพัฒนาขีดความสามารถของประเทศไทยเป็ นไปอย่างล่าช้า เนื่องมาจากความตกต่ าทาง ศีลธรรม การเมืองและคอร์รปั ชัน่ ความตกต่ าและความล้มเหลวของระบบทุนนิยม ความตกต่ า ทางการศึกษา การเปิ ดเสรีทางการค้า ความเสื่อมโทรมของทรัพยากร และลักษณะของธุรกิจที่ไม่ สามารถตอบรับการเปลีย่ นแปลงทีเ่ กิดขึน้ ได้ ซึง่ ส่งผลต่อการบริหารจัดการองค์กร ในการพัฒนาขีด ความสามารถนัน้ จะต้องอาศัยระยะเวลาในการฟื้ นฟูความตกต่ าทางด้านศีลธรรม การนาหลักธรรมา ภิบาล ความรับผิดชอบต่ อสังคมและสิ่งแวดล้อม องค์การแห่งการเรียนรู้ หลักปรัชญาเศรษฐกิจ พอเพียง การพัฒนาทางด้านสารสนเทศและการออกแบบระบบทางการบัญชี และการบริหารต้นทุนมา ประยุกต์ใช้ภายในองค์การ เพื่อลดต้นทุนในการดาเนินงาน นาไปสู่การเป็ นผู้นาทางด้านต้นทุน สามารถสร้างความได้เปรียบทางการแข่งขันได้ และจะเป็ นแนวทางในการนาองค์กรไปสู่การพัฒนา อย่างยังยื ่ น 1. ความหมายของต้นทุน ปิยาภรณ์ อาสาทรงธรรม (2552) กล่าวว่า ต้นทุน (cost) หมายถึง มูลค่าของ ทรัพยากรที่กจิ การต้องสูญเสียไป เพื่อให้ได้สนิ ค้าหรือบริการกลับมา โดยมูลค่าของ


31 ทรัพยากรนัน้ จะต้องสามารถวัดได้เป็นหน่วยเงินตรา โดยเป็ นลักษณะของการลดลงของ สินทรัพย์หรือการเพิม่ ขึน้ ของหนี้สนิ ซึง่ เมื่อต้นทุนใดทีเ่ กิดขึน้ และธุรกิจได้ใช้ประโยชน์ ไปทัง้ สิน้ แล้ว ต้นทุนนัน้ จะถือว่าเป็นค่าใช้จา่ ย แต่อย่างไรก็ตามต้นทุนและค่าใช้จ่ายนัน้ มีวตั ถุประสงค์ทแ่ี ตกต่างกันในแง่ของการก่อให้เกิดประโยชน์และการบันทึกบัญชี หาก ธุรกิจใดมีการบริหารต้นทุนที่ดีแล้วก็จะทาให้ธุ รกิจนัน้ ได้เปรียบทางการแข่งขันกับ คู่แข่งได้ 2. ความสาคัญของต้นทุนทีจ่ ะบ่งบอกความยังยื ่ นในการประกอบการ อนุ ธ ิดา ประเสริฐศักดิ ์ (2554) กล่ าวว่า ธุ รกิจที่แตกต่ างกันมีล กั ษณะของ ต้นทุนที่แตกต่างกัน ผู้บริหารจึงต้องมีความรู้ความเข้าใจเกี่ยวกับต้นทุนของกิจการ ตนเอง เพื่อให้การนาข้อมูลต้นทุนนามาใช้ในการบริหาร การวางแผนและตัดสินใจ การ ควบคุม และการจัดทางบประมาณมีประสิทธิภาพมากทีส่ ุด ต้นทุนเป็ นปจั จัยสาคัญต่อทุกธุรกิจ เพราะต้นทุนที่เพิม่ ขึ้นหมายถึงก าไรที่ ลดลง แต่ถ้ากิจการสามารถลดต้นทุนลงได้กจ็ ะทาให้กาไรเพิม่ ขึน้ และกิจการสามารถ สร้างความได้เปรียบทางการแข่งขันได้ หากกิจการเป็ นผู้นาทางด้านต้นทุนในตลาด ผูบ้ ริหารสามารถนากลยุทธ์การลดต้นทุนไปประยุกต์ใช้ให้เหมาะสมกับกิจการ ซึง่ จะมี ผลทาให้เกิดความยังยื ่ นของธุรกิจ 3. การใช้เครือ่ งมือทางการบริหารเพื่อก่อให้เกิดประสิทธิภาพสูงสุด

ภาพที่ 2-22 เครือ่ งมือทางการบริหารเพื่อก่อให้เกิดประสิทธิภาพสูงสุด ทีม่ า: จากการวิเคราะห์รว่ มกันของกลุ่มปญั หาพิเศษ (การบริหารต้นทุน)


32 ั หาจากภาวะ ปิ ยาภรณ์ อาสาทรงธรรม (2552) กล่ าวว่ า ธุ รกิจประสบป ญ เศรษฐกิจที่มคี วามผันผวน ผู้บริหารจึงต้องพยายามหาวิธกี ารต่างๆ ที่จะทาให้ธุรกิจ สามารถอยูร่ อดได้ ซึง่ สิง่ แรกทีผ่ บู้ ริหารจะคานึงถึงคือ การลดต้นทุนและการจัดทาบัญชี ต้นทุน ซึง่ เป็นข้อมูลทีม่ คี วามสาคัญ เนื่องจากการบัญชีต้นทุนทาให้รถู้ งึ ต้นทุนของการ บริหารกิจกรรมหรือการทางานในฝ่ายต่างๆ ซึง่ การจัดทาบัญชีต้นทุนทีด่ สี ามารถทาให้ ผูบ้ ริหารวางแผน คาดการณ์ และตัดสินใจได้อย่างถูกต้อง อันจะนาไปสู่การวางแผนใน การลดต้นทุนของธุรกิจทีเ่ กิดขึน้ ได้อย่างมีประสิทธิภาพ องค์การธุรกิจต่างๆ ต้องให้ความสาคัญกับการมุ่งเน้นการพึ่งตนเอง และการ บริหารต้นทุนให้มปี ระสิทธิภาพสูงสุด จึงเกิดวิธกี ารต่างๆ ในการบริหารต้นทุนในระบบ การผลิต ซึง่ ประกอบด้วย 5 วิธ ี 3.1 ระบบการบัญชีตน้ ทุนตามกิจกรรม วรศักดิ ์ ทุมมานนท์ (2544) กล่าวว่า ระบบการบัญชีต้นทุนตามกิจกรรม (Activity Based Costing: ABC) เป็ นแนวคิดของการบริหารต้นทุน ซึง่ ถือว่าเป็ น กิจกรรมที่ทาให้เกิดต้นทุน จึงต้องมีการคิดต้นทุนและปนั ส่วนค่าใช้จ่ายต่างๆ ที่ เกิดขึ้นเข้าสู่กิจกรรมที่เกี่ยวข้อง หลังจากนัน้ จึงคิดต้ นทุนของกิจกรรมเข้าเป็ น ผลิตภัณฑ์จะทาให้ผบู้ ริหารได้รบั ข้อมูลทีถ่ ูกต้องยิง่ ขึน้ นาตยา ตรีรตั น์ดลิ กกุล (2550) กล่าวว่า ประโยชน์จากการนาระบบต้นทุน ตามกิจกรรมมาใช้มดี งั นี้ 1. ช่วยให้การคานวณต้นทุนผลิตภัณฑ์มคี วามถูกต้องใกล้เคียงความเป็ น จริง 2. ช่วยในการวัดผลการปฏิบตั งิ านของกิจการ 3. ช่วยในการลดต้นทุนและค่าใช้จา่ ยของกิจการ 4. เชื่อมโยงกลยุทธ์ในการดาเนินงานของกิจการเข้ากับการตัดสินใจ อัน จะเป็ นประโยชน์ต่อผู้บริหารในการพัฒนากิจกรรมทีเ่ ป็ นงานหลักของ องค์การ 5. ใช้เป็นข้อมูลในการต่อยอด เพื่อการจัดทาการบริหารตามฐานกิจกรรม (Activity Based Management: ABM) เพื่อให้เกิดการบริหารองค์การ ทีม่ ปี ระสิทธิภาพดียงิ่ ขึน้ 3.2 การจัดการห่วงโซ่อุปทาน ธนิต โสรัตน์ (2551) กล่าวว่า ในการบริหารกลยุทธ์ ผูบ้ ริหารควรเลือกใช้ กลยุทธ์ทเ่ี หมาะสมกับสภาพธุรกิจขององค์การ การนาการจัดการห่วงโซ่อุปทาน ซึง่ เป็นเครื่องมือการบริหารมาประยุกต์ใช้ให้เกิดประสิทธิภาพนัน้ ต้องมีการออกแบบ โครงสร้างและกระบวนการต่ างๆ ภายในห่ ว งโซ่ อุ ปทานอย่ างเหมาะสมและ


33 ครอบคลุม เพื่อการกาหนดกระบวนการทีส่ อดคล้องกับกลยุทธ์ แล้วจึงทาการระบุ ประเภทของเทคโนโลยี ส่งเสริมการดาเนินงานในแต่ละกระบวนการ รวมทัง้ การ พิจารณาบุคลากรให้มลี กั ษณะที่สอดคล้องกับงานในแต่ ละกระบวนการ วิธกี าร ดังกล่าวนี้จะช่วยให้ผปู้ ฏิบตั งิ านสามารถมองห่วงโซ่อุปทานได้ทงั ้ ระบบอย่างแท้จริง 3.3 ปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียง ปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียง (sufficiency economy) เป็นอีกเครื่องมือทีน่ ามา ใช้ในการบริหารต้นทุน เพื่อความยังยื ่ นในการประกอบการ และพร้อมรับมือต่อการ เปลี่ยนแปลงในยุคโลกาภิวฒ ั น์จากปญั หาความตกต่ าทางศีลธรรม การเมือง และ คอรัปชัน่ เป็นต้น ดร.สุเมธ ตันติเวชกุล (2554) กล่าวว่า เศรษฐกิจพอเพียงเป็ นเศรษฐกิจที่ สามารถอุม้ ชูตวั เองได้ ให้มคี วามพอเพียงกับตัวเอง อยู่ได้โดยไม่เดือดร้อน ซึง่ ต้อง สร้างพืน้ ฐานทางด้านเศรษฐกิจของตนเองให้ดกี ่อนคือ ให้ตนเองสามารถอยู่ได้อย่าง พอกินพอใช้ มิได้มงุ่ หวังทีจ่ ะสร้างความเจริญ ยกเศรษฐกิจให้เจริญอย่างรวดเร็วแต่ เพียงอย่างเดียว การประยุกต์ใช้แนวคิดเศรษฐกิ จพอเพียงประกอบด้วย ความ พอประมาณคือ องค์การต้ องรู้จ ักใช้เทคโนโลยีท่ีเหมาะสมและสอดคล้องกับ สภาพแวดล้อม โดยพัฒนาจากภูมปิ ญั ญาท้องถิน่ ก่อน ไม่คา้ กาไรเกินควร ความมี เหตุผลคือ ตัดกิจกรรมทีไ่ ม่จาเป็นเพื่อลดค่าใช้จา่ ย และการมีภูมคิ ุม้ กันคือ องค์การ ไม่ควรสร้างภาระหนี้สนิ มากจนเกินความสามารถ 3.4 การบัญชีบริหารสิง่ แวดล้อม การบัญชีบริหารสิง่ แวดล้อม (Environmental Management Accounting: EMA) หมายถึง แนวคิดทางการบัญชีทค่ี านึงถึงการจาแนกต้นทุนทีเ่ กี่ยวข้องหรือมี ผลกระทบต่อสิง่ แวดล้อมออกจากค่าใช้จ่ายทัง้ หมดที่เกิดขึ้นจากการผลิต โดยมี พื้นฐานในการค านวณที่คล้ายกับการคิดต้นทุนฐานกิจกรรม (Activity Based Costing: ABC) ซึง่ โดยปกติแล้วต้นทุนดังกล่าวจะแฝงตัวอยู่ ทาให้ผปู้ ระกอบการไม่ ทราบถึงจานวนที่แท้จริงของต้นทุนทางด้านสิง่ แวดล้อม ซึ่งแนวคิดดังกล่าวจะ สามารถช่วยให้ทาถึงจุดนี้ได้อย่างชัดเจน สิ่งส าคัญเพื่อที่จะได้ทราบถึงต้นทุ นตามแนวคิดของการบัญชีบริหาร สิง่ แวดล้อมนัน่ ก็คอื ศูนย์ต้นทุน (cost centre) ซึง่ จะทาหน้าทีใ่ นการจาแนกต้นทุน ทางด้านสิง่ แวดล้อมทีเ่ กิดขึน้ ให้กบั ผลิตภัณฑ์ต่างๆ ตามทีไ่ ด้ก่อไว้ ตลอดจนการนา ข้อ มู ล ที่ไ ด้ น าไปจัดท าเป็ นรายงาน เพื่อ การบริหารภายในส าหรับปรับปรุ ง กระบวนการผลิต และการจัดทาเป็นรายงาน เพื่อเปิดเผยต่อบุคคลภายนอก


34 การทีอ่ งค์การต่างๆ นาหลักการบัญชีบริหารสิง่ แวดล้อมเข้ามาใช้ นอกจาก จะเป็ นการนาข้อมูลที่ได้มาเพื่อพัฒนากระบวนการผลิตและลดต้นทุนแล้ว ยังถือ เป็นการแสดงถึงความรับผิดชอบต่อสังคมและสิง่ แวดล้อมอีกด้วย 3.5 ระบบการผลิตแบบลีนและการบัญชีแบบลีน เกียรติขจร โฆมานะสิน (2550) กล่าวว่า ลีน (Lean) คือ การบูรณาการ แนวคิด กิจกรรม และวิธกี ารทีเ่ ป็นระบบในการระบุและกาจัดความสูญเปล่า หรือสิง่ ทีไ่ ม่เพิม่ คุณค่าภายในกระแสคุณค่าของกระบวนการ ซึ่งความสูญเปล่าคือ ทุกสิง่ ทุกอย่างที่เพิม่ ต้นทุนหรือเวลา โดยปราศจากการเพิม่ คุณค่า ทาให้เกิดสภาพการ ไหลอย่างต่อเนื่อง และทาการปรับปรุงอย่างต่อเนื่อง เพื่อสร้างคุณค่าให้แก่ระบบอยู่ เสมอ รวมทัง้ มุ่งผลิตผลิตภัณฑ์เพื่อตอบสนองความต้องการของลูกค้าให้ดยี งิ่ ขึ้น โดยใช้ทรัพยากรการผลิตที่น้อยกว่า องค์การสามารถนาวิธ ีการบริหารต้นทุ น ดังกล่าวมาปรับใช้ เพื่อให้เกิดประสิทธิภาพในการดาเนินงาน และจะทาให้เกิดการ พัฒนาอย่างยังยื ่ นตามมา แนวคิ ดการพัฒนาอย่างยังยื ่ น

ภาพที่ 2-23 สรุปองค์ประกอบการพัฒนาธุรกิจอย่างยังยื ่ น ทีม่ า: จากการวิเคราะห์รว่ มกันของกลุ่มปญั หาพิเศษ (การบริหารต้นทุน)


35 1. การพัฒนาธุรกิจอย่างยังยื ่ น พิพฒ ั น์ นนทนาธรณ์ (2553) ได้กล่าวถึงแผนแม่บทเพื่อพัฒนาอย่างยังยื ่ นของ โลก เพื่อสร้างความสมดุ ลให้เกิดขึ้น โดยครอบคลุ มการพัฒนาที่สมดุ ลทัง้ 3 ด้าน ประกอบด้วยด้านเศรษฐกิจ สังคม และด้านสิ่งแวดล้อม เรียกว่ า ไตรก าไร (Triple Bottom Line: 3BL) ซึง่ เป็ นการพัฒนาทีต่ ้องคานึงถึงเศรษฐกิจ สังคม และสิง่ แวดล้อม การพัฒนาเศรษฐกิจควบคู่ไปกับสังคมจะทาให้เกิดความเท่าเทียมกันในการแบ่งสรร ทรัพยากรระหว่างสมาชิกในสังคม การพัฒนาสังคมคู่ไปกับสิง่ แวดล้อมจะทาให้เกิดการ พึ่งพาซึ่งกันและกัน ผู้คนช่วยกันดูแลรักษาสิ่งแวดล้อมให้ดีก็จะมีความสามารถหา ประโยชน์จากสิง่ แวดล้อมได้นาน การพัฒนาเศรษฐกิจคู่ไปกับสิง่ แวดล้อมจะทาให้เกิด ความสมดุล ถ้าเศรษฐกิจเติบโตบนความเสื่อมของสิง่ แวดล้อมก็จะเกิดความไม่สมดุลขึน้ สุดท้ายเราก็ตอ้ งทุ่มเงินจานวนมากในการรักษาสิง่ แวดล้อม การพัฒนาอย่างยังยื ่ นจะยืน ได้ดว้ ยการพัฒนาทัง้ 3 สาขา คือ เศรษฐกิจ สังคม และสิง่ แวดล้อม ซึง่ ทัง้ หมดนี้ต้องอยู่ บนพืน้ ฐานของศีลธรรมอันดีงาม จึงจะทาให้เรามีเศรษฐกิจทีเ่ จริญเติบโต มีสงั คมทีเ่ ป็ น สุข และมีสงิ่ แวดล้อมทีด่ ี จนสามารถเกิดความสมดุลและยังยื ่ น 1.1 ความหมายของการพัฒนาอย่างยังยื ่ น The UK government’s Department of Environmental Food and Rural Affairs การพัฒนาอย่างยังยื ่ น (sustainable development) หมายถึง “การตอบสนอง ความต้องการของคนรุน่ ปจั จุบนั โดยไม่มผี ลกระทบในทางลบต่อความต้องการของ คนรุน่ ต่อไปในอนาคต” เนื่องจากทุกครัง้ ทีม่ กี ารตอบสนองความต้องการของคนรุ่นปจั จุบนั ต้องมี การทาลายทรัพยากรธรรมชาติ และสิง่ แวดล้อม ซึ่งส่งผลกระทบต่ออนาคตในทาง ลบ การพัฒนาอย่างยังยื ่ นจึงเป็ นแนวคิดในการแก้ ปญั หาเหล่านี้ท่เี กิดขึ้น โดยมี กฎเกณฑ์สาหรับการพัฒนาอย่างยังยื ่ นที่ได้รบั การยอมรับจากการดาเนินงานของ ทัง้ ภาครัฐและเอกชน ตลอดจนการวางแผนการดาเนินงานที่จะส่งผลให้เกิดการ พัฒนาอย่างยังยื ่ นแทนทีจ่ ะเน้นถึงการเจริญเติบโตทางเศรษฐกิจ โดยแบ่งออกเป็ น 2 ด้าน คือ ภาครัฐและภาคเอกชน 1. ภาครัฐเพื่อให้การพัฒนาที่ยงยื ั ่ นสามารถแทรกเข้าไปในทุกส่วนของ สังคมโลก องค์การสหประชาชาติจงึ เสนอให้ประเทศกาลังพัฒนาที่ ประสบความล้มเหลวในการพัฒนาตามที่กล่าวมาข้างต้น เร่งปฏิรูป ระบบเศรษฐกิจควบคู่ไปกับการปฏิรปู การเมือง การบริหาร การศึกษา การขจัดและลดความยากจน การส่งเสริมให้มกี ารบูรณาการทางการ ผลิต ทางการเกษตร การสร้างาน การรักษาสิง่ แวดล้อม และการลด


36 อัตราการเพิม่ ขึน้ ของประชากร เป็ นต้น ซึง่ ทางภาครัฐจะมีการกาหนด รูปแบบในการประเมินอย่างยังยื ่ นใน 4 ขัน้ ตอน โดยมีการใช้วธิ กี าร ทางบัญชีต้นทุ นเป็ นพื้นฐานในการประเมินผลกิจกรรมต่ างๆ ที่ม ี ผลกระทบต่อเศรษฐกิจ ทรัพยากรธรรมชาติ สิง่ แวดล้อมและสังคม ซึง่ ประกอบด้วย 1.1 ขัน้ ที่ 1 กาหนดวัตถุประสงค์ของต้นทุน กาหนดจุดสาคัญของการ บริหารออกมาเป็ นแนวทางของโครงการต่ างๆ โดยทีมงาน โครงการ 1.2 ขัน้ ที่ 2 ระบุขอบเขตของการวิเคราะห์ มีการกาหนดอย่างแพร่หลาย ซึง่ การติดตามผลกระทบของโครงการนัน้ มีมากกว่าวงจรทีม่ กี ารแพร่ ขยายผลกระทบเหล่านัน้ โดยตรง ทาให้สามารถควบคุมได้โดย ทีมงานโครงการ 1.3 ขัน้ ที่ 3 ระบุผลกระทบของวัตถุประสงค์ต้นทุน ทาการพิจารณา ภายใต้หวั ข้อเศรษฐกิจ ทรัพยากรทีใ่ ช้ สิง่ แวดล้อมและสังคม 1.4 ขัน้ ที่ 4 ผลกระทบจากกาไรเกิดขึน้ ผลกระทบของโครงการจะถูก แปลงเป็นฐานการวัดทัวไปด้ ่ านตัวเงิน ทีม่ คี วามหลากหลายในการ สร้างรูปแบบการวัดทีไ่ ด้ทอ่ี าจนามาใช้เพียงการเปิดเอกสารเท่าที่ จะเป็ นได้เพื่อให้ทราบราคาปจั จุบนั ส าหรับการระบุกลไกลการ สร้างกาไรที่จะเกิดขึ้น เมื่อทาการสร้างแบบจาลองสาหรับการ สร้างโครงการและระบุการหมุนเวียนทีส่ าคัญทัง้ หมด ซึ่งอาจจะมี การเปลี่ยนเป็ นทางด้านตัวเงิน ซึ่งช่วยให้สามารถสร้างกราฟได้ เป็ นผลให้กราฟที่เป็ นรูปแบบพื้นฐานออกมาเป็ นรูปแบบการ ประเมินการพัฒนาอย่างยังยื ่ น 2. ภาคเอกชน การดาเนินธุรกิจขององค์การจะมีกาหนดแนวทางในการ ปฏิบ ัติให้ก ับตัวขององค์การในการป้ องการเกิดขึ้นของความ ล้มเหลวในการพัฒนาอย่างยืนในด้านต่างๆ ไม่ว่าจะเป็ นด้านตัว องค์การ ด้านดาเนินงาน และด้านการเงิน ซึ่งแนวโน้มของทัง้ 3 ด้าน ที่กล่ าวมานัน้ เป็ นตัวที่ใช้การประเมินผลการพัฒนาอย่าง ยังยื ่ นหลักขององค์การ ถึงการประสิทธิภาพในประกอบธุรกิจของ องค์การในภาคเอกชน ซึง่ หลายองค์การสามารถดาเนินการในเรือ่ ง เหล่ านี้ได้อย่างมีประสิทธิภาพ แต่ ในทางกลับกันก็ยงั มีในบาง องค์การที่ไม่สามารถทาการพัฒนาอย่างยังยื ่ นได้ โดยสามารถ


37 ทราบถึงประสิทธิภาพการปฏิบตั ิขององค์การจากปจั จัยในการ ประเมินผลดังภาพที่ 2-24

ภาพที่ 2-24 หลักการในการบริหารจัดการองค์กร ทีม่ า: Chartered Institute of Management Accountants. www.cgma.org. (21 March 2012) 2. การฟื้นฟูค่านิยม หลักคุณธรรม ให้มาเป็นหลักการสาคัญทีส่ ุดในทุกเรือ่ ง 2.1 หลักธรรมาภิบาล (ดังภาพทีแ่ สดงหน้าถัดไป)


38

ภาพที่ 2-25 องค์ประกอบทีส่ าคัญ 6 ประการของหลักธรรมาภิบาล ทีม่ า: ศักดิ ์ชัย ภู่เจริญ. http://www.kruinter.com. (18 มีนาคม 2555) ศักดิช์ ัย ภู่เจริญ (2553) กล่ าวว่ า หลักธรรมาภิบาล หมายถึง การ บริหารกิจการบ้านเมืองและสังคมทีด่ ี เป็นแนวทางสาคัญในการจัดระเบียบให้สงั คม ซึง่ เป็นหลักการเพื่อการอยูร่ ว่ มกันในบ้านเมืองและสังคมอย่างมีความสงบสุข องค์ประกอบของหลักธรรมาภิบาลจากภาพที่ 2-25 มีองค์ประกอบที่ สาคัญ 6 ประการ ดังนี้ 1. หลักนิตธิ รรม คือ การตรากฎหมาย กฎ ข้อบังคับต่างๆ ให้ทนั สมัย และเป็นธรรม เป็นทีย่ อมรับของสังคมและสมาชิก ถือปฏิบตั ริ ่วมกัน อย่างเสมอภาคและเป็นธรรม 2. หลักคุณธรรม คือ การยึดถือและเชื่อมันในความถู ่ กต้อง โดยการ รณรงค์เพื่อสร้างค่ านิ ยมที่ดีงามให้ผู้ปฏิบ ัติงานในองค์ก ารหรือ สมาชิกของสังคมถือปฏิบตั ิ 3. หลักความโปร่งใส คือ การทาให้สงั คมไทยเป็นสังคมทีเ่ ปิดเผยข้อมูล ข่าวสารอย่างตรงไปตรงมา และสามารถตรวจสอบความถูกต้องได้ ซึ่งจะเป็ นการสร้างความไว้วางใจซึ่งกันและกัน และช่ วยให้การ ทางานของภาครัฐและภาคเอกชนปลอดจากการทุจริตคอรัปชัน่ 4. หลักความมีส่วนร่วม คือ การทาให้สงั คมไทยเป็ นสังคมทีป่ ระชาชน มีส่ วนร่วมรับรู้ และเสนอความเห็นในการตัดสินใจสาคัญๆ ของ สังคม


39 5. หลักความรับผิดชอบ มีความรับผิดชอบต่อความบกพร่องในหน้าที่ การงานที่ต นรับ ผิด ชอบอยู่ และพร้ อ มที่จ ะปรับ ปรุ ง แก้ ไ ขได้ ทันท่วงที 6. หลักความคุม้ ค่า การบริหารจัดการและการใช้ทรัพยากรทีม่ จี ากัดให้ เกิดประโยชน์คุม้ ค่า เพื่อให้เกิดประโยชน์สงู สุดแก่ส่วนรวม 2.2 จิตสานึกแห่งความรับผิดชอบต่อเศรษฐกิจ สังคม และทรัพยากร บุณิกา จันทร์เกตุ (2555) กล่าวว่า ในปจั จุบนั ธุรกิจที่ไม่มศี ลี ธรรม โดย ดาเนินธุรกิจมุ่งเน้นแต่ผลกาไรแต่ไม่คานึงถึงผลกระทบทีจ่ ะเกิดขึน้ กับผู้บริโภคมี มากขึน้ ความเจริญรุ่งเรืองทางด้านวัตถุ เป็ นสาเหตุท่ที าให้สงั คมแสวงหาเงินทอง มากกว่าทีจ่ ะให้ความสาคัญทางด้านจิตใจ สังคมจึงเสื่อมโทรมลงอย่างเห็นได้ชดั เจน ท่ามกลางการแข่งขันทางธุรกิจ ดังนัน้ การปลูกฝ งั ความสานึกให้กบั บุคคลและ องค์การเพื่อให้มคี วามรับผิดชอบต่อตนเองและสังคมจึงควรที่จะเกิดขึ้นในสังคม ด้วยเหตุน้ใี นปจั จุบนั จึงมีการกล่าวถึงคาว่า “จิตสาธารณะ” เพื่อให้องค์การธุรกิจได้ ตระหนักถึงความรับผิดชอบต่อสาธารณะมากกว่าตนเอง โดยในภาพรวมแล้วหาก องค์การมีความรับผิดชอบต่อสังคมจะมีส่วนช่วยเหลือเศรษฐกิจของประเทศให้ม ี ความมันคงเจริ ่ ญรุ่งเรืองได้ เนื่องจากองค์การที่มคี วามรับผิดชอบต่อสังคมย่อมไม่ ทาให้เกิดความเสียหายในเรือ่ งต่างๆ 2.3 แนวคิดเศรษฐกิจพอเพียง เศรษฐกิจพอเพียงเป็ นปรัชญาที่พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หวั ทรงมีพระ ราชด ารัสชี้แนะแนวทางการด าเนิ นชีว ิตแก่ พสกนิ กรชาวไทย ตัง้ แต่ ก่ อนเกิด วิกฤติการณ์ทางเศรษฐกิจ และภายหลังได้ทรงเน้นยา้ แนวทางการแก้ไข เพื่อให้รอด พ้นและสามารถดารงอยู่ได้อย่างมันคงและยั ่ งยื ่ น ภายใต้กระแสโลกาภิว ฒ ั น์ และ ความเปลีย่ นแปลงต่างๆ เศรษฐกิจพอเพียงเป็ นปรัชญาชี้ถึงแนวการดารงอยู่และปฏิบตั ิตนของ ประชาชนในทุกระดับตัง้ แต่ระดับครอบครัว ระดับชุมชน จนถึงระดับรัฐ ทัง้ ในการ พัฒนาและบริหารประเทศให้ดาเนิ นไปในทางสายกลาง โดยเฉพาะการพัฒนา เศรษฐกิจเพื่อให้ก้าวทันต่ อโลกยุคโลกาภิวฒ ั น์ ความพอเพียง หมายถึง ความ พอประมาณ ความมีเหตุผล รวมถึงความจาเป็ นทีจ่ ะต้องมีระบบภูมคิ ุม้ กันในตัวทีด่ ี พอสมควรต่อการมีผลกระทบใดๆ อันเกิดจากการเปลี่ยนแปลงทัง้ ภายนอกและ ภายใน ทัง้ นี้จะต้องอาศัยความรอบรู้ ความรอบคอบ และความระมัดระวังอย่างยิง่ ใน การน าวิชาการต่ า งๆ มาใช้ ใ นการวางแผนและด าเนิ น การทุ ก ขัน้ ตอน และ ขณะเดียวกันจะต้องเสริมสร้างพืน้ ฐานจิตใจของคนในชาติโดยเฉพาะเจ้าหน้าทีข่ อง รัฐ นักทฤษฎีและนักธุรกิจในทุกระดับ ให้มสี านึกในคุณธรรม ความซื่อสัตย์สุจริต


40 และให้ความรอบรูท้ เ่ี หมาะสม ดาเนินชีวติ ด้วยความอดทน ความเพียร มีสติ ปญั ญา และความรอบคอบ เพื่อให้สมดุลและพร้อมต่ อการรองรับการเปลี่ยนแปลงอย่าง รวดเร็วและกว้างขวางทัง้ ด้านวัตถุ สังคม สิ่งแวดล้อม และวัฒนธรรมจากโลก ภายนอกได้เป็นอย่างดี1

ภาพที่ 2-26 สรุปปรัชญาของเศรษฐกิจพอเพียง ทีม่ า: สุดารัตน์ เสาวโค. www.gotoknow.org. (19 มีนาคม 2555) 2.4 การประยุกต์ใช้ปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียงด้านการบริหารจัดการองค์การ ระบบฐานข้อมูลด้านสังคมและคุณภาพชีวติ (2554) อ้างถึง สุเมธ ตันติเวช กุล (2554) กล่าวว่า หัวใจของเศรษฐกิจพอเพียงมีหลักการเหมือนกับศีล 5 คือ นาไปปฏิบตั ิท่ีไหนก็เหมือนกันจะต่ างกันที่ว ิธ ีการกระทาหรือเส้นทางที่จะเดิน เศรษฐกิจพอเพียงเป็ นเพียง “เครื่องมือ” ซึง่ สามารถนาไปประยุกต์ใช้ในการบริหาร องค์การได้ทุกองค์การ เป้าหมายก็เพื่อทาให้เกิดความมันคง ่ มีความสุข มีความ ยังยื ่ น โดยอาศัยแนวทางการดาเนินงานทีส่ อดคล้องกับหลักเศรษฐกิจพอเพียง ดังนี้

1

สำนักงำนคณะกรรมกำรพัฒนำกำรเศรษฐกิจและสังคมแห่งชำติได้ประมวลและกลันกรองจำกพระรำชด ่ ำรัสของ พระบำทสมเด็จพระเจ้ำอยู่หวั เรือ่ งเศรษฐกิจพอเพียง ซึง่ พระรำชทำนในวโรกำสต่ำงๆ รวมทัง้ พระรำชดำรัสอืน่ ๆ ทีเ่ กีย่ วข้อง


41 1. ความพอประมาณในทุกด้าน ความพอดีท่ไี ม่น้อยเกินไปและไม่มาก เกินไป โดยไม่เบียดเบียนตนเองและผูอ้ ่นื 2. ความมีเหตุ มผี ล การตัดสินใจเกี่ยวกับระดับของความพอเพียงนัน้ จะต้องเป็นไปอย่างมีเหตุผล 3. การมีภมู คิ ุม้ กันทีด่ ใี นทุกด้าน หมายถึง องค์การเราต้องมีการเตรียมตัว ให้พร้อมรับผลกระทบและการเปลีย่ นแปลงด้านต่างๆ ทีจ่ ะเกิดขึน้ โดย คานึงถึงความเป็ นไปได้ของสถานการณ์ต่างๆ ที่คาดว่าจะเกิดขึน้ ใน อนาคตทัง้ ใกล้และไกล 4. เป็ นองค์การที่ม ีความรู้คู่คุ ณธรรม สมดุ ลและยังยื ่ น การสะสมทุ น มนุ ษย์ ทุ นความรู้ การบริ ห าร จั ด การความรู้ ( Knowledge Management: KM) มีนโยบายโดดเด่นในการพัฒนาพนักงานอย่าง ต่อเนื่อง เน้นให้พนักงานมีคุณธรรมจริยธรรมในการทางานและในการ ดารงชีวติ คุณภาพชีวติ ในการทางานกับดุลยภาพของชีวติ สุขภาพ และความปลอดภัยในชีวติ 3. การสร้างองค์การให้เป็นองค์การแห่งการเรียนรู้ 3.1 ความหมายขององค์การแห่งการเรียนรู้ แก้ วตา ไทรงาม และคณะ (2548) ได้ให้ความหมายของแนวคิด ซึ่ง สามารถสรุปได้ว่า องค์การทีม่ งุ่ สู่ความเป็นเลิศด้วยการพัฒนาความสามารถของคน ในองค์การ ทัง้ ในด้านความรู้ ทักษะ ให้เกิดประโยชน์สูงสุดต่อองค์การ โดยส่งเสริม การเรียนรูข้ องสมาชิกทุกๆ คน เน้ นให้บุคลากรเรียนรูด้ ้วยการปฏิบตั จิ ริงให้เกิด ประสบการณ์ และนามาพัฒนาปรับปรุงเปลีย่ นแปลงองค์การอย่างต่อเนื่อง 3.2 ความสาคัญของการสร้างองค์การแห่งการเรียนรู้

ภาพที่ 2-27 แสดงปจั จัยทีน่ าไปสู่การสร้างองค์การแห่งการเรียนรู้ ทีม่ า: เสาวนิต คาจันทา. www.songthai.com. (18 มีนาคม 2555)


42 จากภาพที่ได้แสดงให้เห็นถึงปจั จัยต่างๆ ที่เกิดขึ้นในปจั จุบนั ซึ่งส่งผล กระทบต่อองค์การอย่างมาก สามารถอธิบายได้ว่า ในปจั จุบนั ธุรกิจแข่งขันกันอย่าง รุนแรงจากกระแสโลกาภิวฒ ั น์และเศรษฐกิจโลก ทาให้ทุกประเทศต้องปรับตัวและ พัฒนาความได้เปรียบ ลดข้อด้อยของตนเอง เพื่อทาให้ศกั ยภาพของการแข่งขัน เพิม่ มากขึ้น การแข่งขันในรูปแบบใหม่น้ี องค์การที่จะอยู่รอดต้องผลิตสินค้าที่ม ี คุ ณภาพดีข้นึ และเน้ นลูกค้าเป็ นส าคัญ นอกจากนี้ ยงั มีปญั หาเศรษฐกิจทัวโลก ่ ซบเซาจากความล้มเหลวของระบบทุนนิยม แรงงานคุณภาพขาดแคลน เนื่องจาก เป็นเพราะระบบการศึกษาและการพัฒนาฝีมอื แรงงานผลิตคนได้ชา้ ไม่ทนั กับความ เปลี่ยนแปลงของสภาพธุรกิจในปจั จุบนั ดังนัน้ บุคลากรในองค์การจาเป็ นต้อง ฝึ กฝนตนเองผ่านการเรียนรูด้ ้วยตนเอง เป็ นต้น ทาให้การสร้างองค์การแห่งการ เรียนรูเ้ ข้ามามีบทบาททีส่ าคัญ เพื่อความอยูร่ อดของธุรกิจในปจั จุบนั 3.3 การสร้างองค์การให้เป็นองค์การแห่งการเรียนรู้ ปาริฉั ตต์ ศังขะนันทน์ (2548) ได้กล่ าวว่ า การสร้างองค์การให้เป็ น องค์การแห่งการเรียนรู้ อันดับแรกทาการสารวจสภาพปจั จุบนั ขององค์การและทา การประเมินถึงศักยภาพและบุคลากร รวมทัง้ ประเมินการมีส่วนร่วมในกระบวนการ เรียนรูใ้ นปจั จุบนั จากนัน้ นาข้อมูลทีไ่ ด้มากาหนดเป้าหมายกลยุทธ์ หรือแนวทางที่ จะใช้เป็ นรูปแบบและกิจกรรมที่จะทาให้เกิดกระบวนการเรียนรูร้ ่วมกัน และการ ดาเนินงานตามแผนทีต่ งั ้ ไว้ มีการติดตาม และจัดเกณฑ์การพิจารณาประเมินผลใน ขัน้ ท้ายสุดหลังจากทีด่ าเนินการไปแล้วระยะหนึ่ง เพื่อให้ทราบว่าองค์การมีลกั ษณะ เป็นองค์การแห่งการเรียนรูม้ ากน้อยเพียงใด เพื่อทาการปรับปรุงและพัฒนาต่อไป ประกอบกับการนากฎของ Peter Senge มาใช้ในการสร้างองค์การแห่งการ เรียนรูโ้ ดยมีกฎ 5 ประการ ซึง่ เปี่ยมพงศ์ นุ้ยบ้านด่าน (2543) ได้สรุปไว้ว่า 1. การเรียนรู้ของสมาชิกในองค์การ (personal mastery) สมาชิกของ องค์การทีเ่ ป็ นองค์การแห่งการเรียนรู้ จะต้องมีลกั ษณะสนใจเรียนรูส้ งิ่ ใหม่อยูเ่ สมอ เพื่อเพิม่ ศักยภาพของตน 2. แบบอย่างทางความคิด (mental models) มีการศึกษาและรูเ้ ท่าทันการ เปลีย่ นแปลงอยูเ่ สมอ โดยมีทศั นคติทด่ี ี 3. การมีวสิ ยั ทัศน์ร่วมกันของคนในองค์การ (shared vision) สมาชิกทุก คนในองค์การมีการพัฒนาวิสยั ทัศน์ของตนให้สอดคล้องกับวิสยั ทัศน์ โดยรวม เพื่อไปสู่จดุ มุง่ หมายเดียวกัน 4. การเรียนรูเ้ ป็นทีม (team learning) ส่งผลให้เกิดความคิดทีห่ ลากหลาย รับฟงั ความคิดเห็นของผูอ้ ่นื เรียนรูก้ ารแก้ปญั หาทีซ่ บั ซ้อนร่วมกัน


43 5. ระบบการคิดของคนในองค์การ (system thinking) มีการคิดอย่างเป็ น ระบบ โดยคิดถึงภาพรวม เพื่อเชื่อมโยงสิง่ ต่างๆ และเข้าใจโครงสร้าง อย่างเป็นขัน้ ตอน 4. การออกแบบระบบการสื่อสารและสารสนเทศ ระบบสารสนเทศและเทคโนโลยีสารสนเทศมีความสาคัญต่อประสิทธิภาพของ องค์การ โดยเฉพาะอย่างยิง่ ในโลกปจั จุบนั ทีม่ กี ารเปลีย่ นแปลงตลอดเวลา มีการแข่งขัน ทางธุรกิจสูง องค์การที่มกี ารบริหารงานทีม่ ปี ระสิทธิภาพสามารถเข้าถึงข้อมูลได้อย่าง รวดเร็ว ย่อมทาให้สามารถดาเนินธุรกิจต่อไปได้ ดังนัน้ การนาเทคโนโลยีสารสนเทศมา ใช้ในองค์การ เพื่อก่อให้เกิดประโยชน์ได้นัน้ องค์การจะต้องสร้างความแข็งแกร่งเพื่อ เพิม่ ประสิทธิภาพในการผลิตผลิตภัณฑ์ ทัง้ นี้เพื่อให้องค์การเกิดความได้เปรียบทางการ แข่งขัน 4.1 ระบบสารสนเทศปจั จัยสาคัญต่อความสาเร็จในการบริหารองค์การ เสกสิทธิ คูณศรี (2555) กล่าวว่า จากการเปลีย่ นแปลงของโลกปจั จุบนั ทีม่ ี การแข่งขันกันอย่างสูงขึน้ การตัดสินใจของผู้บริหารจึงมีระยะเวลาที่จากัดภายใต้ เงื่อนไขต่ างๆ มากมาย ทาให้บทบาทของระบบสารสนเทศในองค์ก ารมีมากขึ้น ระบบสารสนเทศและเทคโนโลยีทใ่ี ช้กนั ในปจั จุบนั ถือว่าเป็นตัวขับเคลื่อนทีส่ าคัญที่ จะช่วยให้ผู้บริหารสามารถเก็ บรวบรวมข้อมูล แก้ไขเปลี่ยนแปลง เรียกดูข้อมูล ประมวลผล รวมถึงการวิเคราะห์ขอ้ มูลสามารถทาได้อย่างง่ายขึน้ และมีค่าใช้จ่ายที่ ลดลง ในขณะเดียวกันระบบสารสนเทศและเทคโนโลยีกย็ งั สามารถช่วยให้เกิดการ พัฒนาและปรับปรุงกระบวนการในการผลิตและการปฏิบตั งิ านให้มตี น้ ทุนทีต่ ่าลง ใช้ เวลาในการทางานทีล่ ดลงแต่สามารถผลิตผลิตภัณฑ์ทม่ี คี ุณภาพมากยิง่ ขึน้ ดังนั ้น องค์ ก ารทุ ก ๆ องค์ ก ารจึง ควรมีการน าระบบสารสนเทศและ เทคโนโลยีไปใช้เพื่อช่วยในการพัฒนาและสร้างความสาเร็จให้กบั องค์การ เพื่อสร้าง ความได้เปรียบในการแข่งขันที่มกี ารเปลี่ยนแปลงไปอย่างรวดเร็วในปจั จุบนั และ ยากต่อการคาดการณ์ อย่างไรก็ตามการนาระบบสารสนเทศและเทคโนโลยีไปใช้ เพื่อพัฒนาองค์การให้สาเร็จได้นนั ้ ขึน้ อยู่กบั ความพร้อมของปจั จัยภายในองค์การ หลายด้าน ได้แก่ ฮาร์ดแวร์ ซอฟท์แวร์ ข้อมูลและสารสนเทศ ฐานข้อมูล ระบบ เครือข่ายการสื่อสาร ความซับซ้อนของกระบวนการท างาน บุ คลากรที่ทางาน เกี่ยวกับระบบสารสนเทศ และที่สาคัญคือ ผู้ใช้งาน โดยต้องอาศัยการบริหารการ เปลี่ยนแปลงที่ดี เพื่อ ให้ ผู้ ใ ช้ งานยอมรับและใช้ งานเทคโนโลยีได้ อ ย่ างเต็ ม ประสิทธิภาพ


44 4.2 การออกแบบและวางระบบสารสนเทศทางการบัญชี อนุ รกั ษ์ ทองสุ โขวงศ์ (2548) กล่ าวว่า ปจั จุบนั งานของนักบัญชีมกี าร เปลี่ยนแปลงจากเดิมอย่างมาก เนื่องจากเทคโนโลยีสารสนเทศที่ทนั สมัย ทาให้มกี าร พัฒนาชุ ดค าสัง่ ส าเร็จรูปหรือชุ ดค าสัง่ เฉพาะส าหรับช่ วยในการเก็บรวบรวมและ ประมวลผลข้อมูล ซึ่งจะช่วยลดระยะเวลาและเพิม่ ความถูกต้องในการทางานแก่ ผูใ้ ช้งาน ทาให้นกั บัญชีมเี วลาในการปฏิบตั งิ านเชิงบริหารมากขึน้ ระบบบัญชีต้นทุนฐานกิจกรรม (Activity Based Costing: ABC) เป็ นแนวคิด ของระบบการบริหารต้นทุนแบบใหม่ ซึ่งมีจุดมุ่งหมายให้ผู้บริหารหันมาให้ความ สนใจกับการบริหารกิจกรรมและต้นทุนที่เกี่ยวข้อง ดังนัน้ จึงมีการบริหารโดยแบ่ง ออกเป็ นกิจกรรมต่างๆ และถือว่ากิจกรรมเป็ นสิง่ ที่ทาให้เกิดต้นทุนกิจกรรม คือ การกระทาที่เปลี่ยนทรัพยากรของกิจการออกมาเป็ นผลผลิตได้ ดังนัน้ การบัญชี ต้นทุนกิจกรรมนอกจากเน้นการระบุกจิ กรรมแล้วยังระบุต้นทุนของกิจกรรม เพื่อใช้ ในการคานวณต้นทุนผลิตภัณฑ์ และเพื่อเป็นแนวทางในการพัฒนาประสิทธิภาพใน การดาเนินงาน ระบบต้นทุนฐานกิจกรรมเป็ นระบบการใช้ทรัพยากรขององค์ก ารไปใน กิจกรรม โดยจะแบ่งการบริหารออกเป็ นกิจกรรมต่างๆ โดยที่ต้นทุนกิจกรรมจะมี การปนั ส่วนเข้าสู่ผลิตภัณฑ์นัน้ ๆ ตามปริมาณการใช้กจิ กรรมของผลิตภัณฑ์เป็ น สาคัญ นอกจากนี้ยงั ถือว่ากิจกรรมสนับสนุ นต่างๆ เกิดขึน้ เพื่อให้การดาเนินงาน ดาเนินไปตามปกติ การใช้ระบบบัญชีต้นทุนตามกิจกรรมเป็ นพื้นฐานในการนาไปใช้ในระบบ บัญชีอ่นื ๆ ทีม่ ปี ระสิทธิภาพสูงกว่า เช่น ผลลัพธ์ทไ่ี ด้จากการประเมินว่ากิจกรรมใด เป็นกิจกรรมทีเ่ พิม่ คุณค่าและกิจกรรมไม่เพิม่ คุณค่า สามารถนาข้อมูลทีไ่ ด้ไปใช้ใน การบริหารกิจกรรม (ABM) เป็นต้น นอกจากนี้ การบัญชีบริหารสิง่ แวดล้อม ซึ่งมีหน้าที่ในการจาแนกต้นทุน ทางด้านสิง่ แวดล้อมก็ใช้หลักการระบบต้นทุนตามกิจกรรม (ABC) ในการปนั ส่วน ต้นทุน เนื่องจากมีแนวคิดว่า ผลิตภัณฑ์ใดสร้างกิจกรรมมากผลิตภัณฑ์นัน้ ก็จะ ได้รบั ต้นทุนไปมากเช่นกัน ซึ่งเป็ นหลักการเดียวกันกับแนวคิดการบัญชีบริหาร สิง่ แวดล้อม 5. การออกแบบกระบวนการดาเนินงาน 5.1 ความด้อยประสิทธิภาพของต้นทุน การบริหารจัดการต้นทุนในองค์การย่อมมีความด้อยประสิทธิภาพเกิดขึน้ ได้ ซึง่ เป็นสิง่ ทีอ่ งค์การไม่ตอ้ งการให้เกิดขึน้ เนื่องจากจะส่งผลกระทบต่อองค์การใน


45 ระยะยาว ทฤษฎีเกีย่ วกับความด้อยประสิทธิภาพจะแตกต่างกันไปขึน้ อยู่กบั วิธที ใ่ี ช้ ในการบริหารจัดการ ซึง่ ทาให้ช่อื แตกต่างกันไปด้วย บางทฤษฎีเกิดภาวะเหลื่อมล้า กันคือ อาจมีวธิ กี ารจัดการกับความด้อยประสิทธิภาพที่เหมือนกัน หากมองในแง่ ของการบริหารต้นทุนความด้วยประสิทธิภาพก็คอื ของเสีย (waste) นัน่ เอง ซึง่ อาจ แฝงอยู่ในรูปของของดีและของเสีย โดยสามารถแบ่งตามมุมมองของแนวคิดได้ 3 แนวคิด ดังต่อไปนี้

ภาพที่ 2-28 ของเสียตามมุมมองตามแนวคิดของ ABC, EMA และ LEAN ทีม่ า: จากการวิเคราะห์รว่ มกันของกลุ่มปญั หาพิเศษ (การบริหาร ต้นทุน) จากภาพข้างต้นสามารถอธิบายแนวคิดทัง้ 3 แนวคิด โดยเริม่ จาก 1. ต้นทุนตามกิจกรรม (Activity Based Costing: ABC) สามารถแบ่ง กิจกรรมได้ทงั ้ หมด 2 กิจกรรม คือ


46 1.1 กิจกรรมทีเ่ พิม่ มูลค่า (value added) หมายถึง กิจกรรมทีจ่ าเป็ นต่อ การผลิตและเพิ่มมูลค่ าให้แก่ ผลิตภัณฑ์ ของเสียอาจแฝงอยู่ใน กิจกรรมทีเ่ พิม่ มูลค่าได้ 1.2 กิจกรรมที่ไม่เพิม่ มูลค่า (non - value added) หมายถึง กิจกรรมที่ เพิ่มค่ าใช้จ่ายหรือเวลาที่ใช้ในการผลิตแต่ ไม่เพิ่มมูลค่ าให้แก่ ต ัว ผลิตภัณฑ์ และอาจมีความจาเป็ นในระดับต่างกัน โดยกิจกรรมที่ไม่ เพิม่ มูลค่าจัดว่าอยูใ่ นกลุ่มของเสีย (waste) 2. การบัญชีบริหารสิง่ แวดล้อม (Environmental Management Accounting: EMA) คือ แนวคิดทางการบัญชีท่คี านึงถึงต้นทุนสิง่ แวดล้อม โดยมี วัตถุประสงค์เพื่อให้องค์การคานึงถึงการกาจัดของเสีย (waste) ในทุก ขัน้ ตอนของกระบวนการผลิตก่อนปล่อยออกสู่สงั คม 3. Lean คือ แนวคิดในการลดความไม่สม่าเสมอ (Mura) การฝืนทา (Muri) และความสูญเปล่า (Muda) ทีเ่ กิดขึน้ ในการทางานขององค์การ โดยความ สูญเปล่า (wastes) ที่เกิดจากแนวคิดแบบลีนเรียกว่า ความสูญเปล่า 7 ประการ (7 waste analysis) สามารถจาแนกของเสียได้ 7 อย่าง ประกอบ ไปด้วย 3.1 ความสูญเปล่าจากการผลิตเกินความจาเป็น หากเราผลิตมากเกินไป จะทาให้มสี นิ ค้าคงคลังเพิม่ มากขึน้ เกิดต้นทุนในการเก็บรักษาและ การขนย้ายสินค้า อีกทัง้ ยังมีความเสี่ยงที่ไม่สามารถขายสินค้าได้ หมด 3.2 ความสูญเปล่าจากการรอคอย เกิดจากการขาดแคลนวัตถุดบิ หรือ ขัน้ ตอนการผลิตใดขัน้ ตอนการผลิตหนึ่งเกิดติดขัด ทาให้ขนั ้ ตอน ต่อไปไม่สามารถผลิตต่อไปได้ ทาให้สายการผลิตต้องหยุดชะงัก 3.3 ความสู ญ เปล่ า จากการเคลื่ อ นย้ า ยและขนย้ า ยที่ ไ ม่ จ าเป็ น (transportation) ล้ วนเป็ นความสู ญเปล่ า ทัง้ สิ้น เพราะเป็ นการ สิน้ เปลืองทัง้ แรงงานและเวลาโดยไม่ก่อให้เกิดมูลค่าเพิม่ ใดๆ 3.4 ความสูญเปล่าจากการมีสนิ ค้าคงคลังเกินความจาเป็ น เกิดจากการ ที่องค์การมีการผลิตของเสียเป็ นจานวนมาก ท าให้ต้องส ารอง วัตถุดบิ ไว้เพื่อสต็อกสินค้าเปลี่ยนแทนให้กบั ลูกค้า อีกทัง้ องค์การ มักคิดว่าการซือ้ วัตถุดบิ ในปริมาณมากๆ จะทาให้ได้ราคาวัตถุดบิ ในราคาถูก แต่ไม่ได้คานึงถึงต้นทุนในการเก็บรักษาวัตถุดบิ ว่า คุม้ ค่าหรือไม่


47 3.5 ความสูญเปล่าที่เกิดจากการเคลื่อนไหวของร่างกายที่ไม่จาเป็ น โดยมุง่ เน้นให้องค์การมีการจัดระเบียบการทางาน ณ จุดทางานให้ เหมาะสม เพื่อทาให้ร่างกายเคลื่อนไหวน้ อยที่สุด เกิดความล้า น้ อยที่สุ ด ซึ่งจะท าให้พนักงานสามารถปฏิบ ัติงานได้อย่ างมี ประสิทธิภาพ 3.6 ความสูญเปล่าที่เกิดจากการมีกระบวนการที่ไม่มปี ระสิทธิภาพ ความสูญเปล่าข้อนี้จะไม่เกิดขึ้น หากองค์การมีการพัฒนาอย่าง ต่ อเนื่ อง ซึ่งสิ่งที่ส าคัญที่สุ ดของระบบการผลิตแบบลีนก็ค ือ องค์การต้องไม่กลัวการปรับปรุงเปลี่ยนแปลงสู่กระบวนการที่ม ี ประสิทธิภาพทีด่ ขี น้ึ อย่างต่อเนื่อง 3.7 ความสูญเปล่าจากการผลิตของเสีย องค์การหลายๆ องค์การนัน้ มุ่งเน้นแต่การแก้ไขปญั หาเฉพาะหน้าโดยที่ไม่ได้ให้ความสาคัญ กับการวิเคราะห์ปญั หาเพื่อหาสาเหตุ ดังนัน้ ผู้บริหารจะต้องให้ ความสาคัญกับการวิเคราะห์ปญั หาการผลิตของเสียอย่างเร็วทีส่ ุด เพื่อให้เกิดการผลิตของเสียให้น้อยทีส่ ุด กล่าวโดยสรุปถึงความสัมพันธ์ของความด้อยประสิทธิภาพในเชิงองค์รวม ได้ว่า ของเสียทัง้ 7 ประการสามารถจาแนกออกเป็ น Muri Muda และ Mura สามารถอธิบายความหมายของแต่ละตัวได้ดงั นี้ 1. ความสูญเปล่า (Muda) เกิดได้หลายลักษณะ เช่น ความสูญเปล่าทีเ่ กิด จากการรอคอย การเคลื่อนย้าย การปรับเปลี่ยน การทาใหม่ การ ถกเถียง เป็นต้น ยกตัวอย่างเช่น การประชุมอาจเกิดความสูญเปล่าได้ หากการประชุมนัน้ กลายเป็ นการถกเถียงกัน ทาให้เสียเวลาไปกับการ ประชุมที่ไม่ได้ข้อสรุป หรือในการทากิจ กรรมการขาย ถ้าไม่มกี าร วางแผนในการจัดพื้นที่การไปพบลูกค้า ก็จะเสียเวลาในการเดินทาง และสิน้ เปลืองค่าใช้จา่ ยโดยไม่จาเป็น 2. ความไม่สม่าเสมอ (Mura) งานที่มคี วามไม่สม่าเสมอไม่ว่าจะเป็ นใน เรื่องของปริมาณ วิธกี ารทางาน หรืออารมณ์ในการทางาน ทาให้เกิด ความไม่สม่าเสมอของผลงานตามไปด้วย นัน่ หมายความว่า ผลงานที่ ออกมาไม่เป็นไปตามมาตรฐาน หากทุกคนสามารถรักษามาตรฐานของ งานไว้ได้กจ็ ะทาให้ประสิทธิภาพของงานสูงขึน้ ยกตัวอย่างเช่น ในการ ประชุมไม่เคยมีผู้เข้าร่วมประชุมพร้อมหน้าเลย ครัง้ นี้ขาดคนนัน้ ครัง้ นัน้ ขาดคนนี้ และในการทากิจกรรมการขายก็เช่นเดียวกัน พนักงาน


48 อาจมีความตัง้ ใจในการทางานทีไ่ ม่สม่าเสมอ ถ้าไม่ถงึ ปลายเดือนก็จะ ไม่พยายามขาย เป็นต้น 3. การฝื นทา (Muri) การฝื นทาสิ่งใดๆ ก็ตาม มักทาให้เกิดผลกระทบ บางอย่างในระยะยาว ยกตัวอย่างเช่น การทางานล่วงเวลาเป็ นประจา เป็ นการฝื นร่างกาย ซึ่งไม่เป็ นผลดีในระยะยาว อาจท าให้ร่างกาย อ่อนเพลีย ประสิทธิภาพในการทางานลดลง ในการประชุมหากยังไม่ม ี การปรึกษาหารือที่มากเพียงพอแต่กลับเร่งรัดให้มกี ารลงมติก็จะได้ ข้อสรุปที่ผดิ พลาด ส่วนในด้านการขาย การฝื นลดราคาเพื่อให้ได้รบั ออเดอร์หรือการรับงานทีต่ อ้ งส่งมอบเร็วเกินไปก็ไม่ส่งผลดีเช่นกัน 7 Wastes EMA ABC/ABM Lean 1. over production 2. waiting non-value Muri 3. transportation added Mura 4. inventory 5. motion 6. over processing waste Muda 7. defective units ภำพที่ 2-29 เปรียบเทียบของเสียตำมมุมมองตำมแนวคิดของ ABC, EMA และ Lean ทีม่ ำ: จำกกำรวิเครำะห์รว่ มกันของกลุ่มปญั หำพิเศษ (กำรบริหำรต้นทุน) จากทีก่ ล่าวมาข้างต้นถึงของเสียทัง้ 7 ประเภทนัน้ ตามมุมมองของแนวคิด ABC/ABM เรียก ทัง้ หมดว่า กิจกรรมทีไ่ ม่เพิม่ มูลค่า (non-value added) ส่วนในมุมมองของแนวคิด Lean กลุ่มของเสีย ตัง้ แต่ขอ้ ที่ 1-6 เรียกว่า Muri และ Mura คือ การหยุดการผลิตโดยทันที (Jidoka) ซึง่ สามารถกาจัด ออกไปได้เพียงบางส่วนเท่านัน้ และเหลือแต่เพียงของดีเอาไว้ และของเสียข้อที่ 7 จะเรียกว่า Muda คือ ความสูญเปล่าทีต่ อ้ งกาจัดทิง้ ให้เหลือศูนย์ แต่ตามแนวคิดของ EMA เรียกของเสียข้อที่ 7 ว่า ของ เสีย (waste) ซึง่ เนื่องจาก Muda เป็ นของเสียทีต่ ้องกาจัดให้หมดไป แต่ Muri กับ Mura จะแฝงอยู่ใน รูปของของดีเพียงบางส่วน ดังนัน้ สามารถกาจัดได้เพียงบางส่วนเท่านัน้ และเหลือไว้เพียงของดี เอาไว้ ส่วนวิธกี ารจัดการมีหลากหลายรูปแบบคือ ขายหรือรีไซเคิล และบางส่วนทีจ่ ดั การไม่ได้จะต้อง พยายามลดของเสียนัน้ จนกระทังเหลื ่ อศูนย์ และต้องพยายามลดความสูญเปล่ าหรือความด้อย ประสิทธิภาพประเภทต่างๆ ให้ลดลง


49 ดังนั น้ ธุ รกิจจึงมีแนวทางในการลดหรือขจัดความด้ อยประสิทธิภาพ เพื่อก่ อให้เกิด ประสิทธิภาพสูงสุดคือ การขจัดความสูญเปล่าทีเ่ กิดขึน้ ในทุกๆ กิจกรรมให้หมดไป โดยพืน้ ฐานการ ควบคุมควรเริม่ จากการสังเกตในเรื่องของสถานทีท่ างานว่าอยู่ในสภาพทีป่ กติหรือไม่ อาจมีการติด ป้ายระบุว่าส่วนใดเป็ นพืน้ ทีท่ างาน ทางเดินหรือที่วางสิง่ ของ เพื่อให้เกิดระบบในการใช้พน้ื ทีภ่ ายใน โรงงานให้เป็นสัดส่วนนันเอง ่ ในส่วนของกระบวนการผลิตควรมีบอร์ดควบคุมการผลิต เพื่อดูว่าผลิต ได้แล้วจ านวนเท่ าไหร่ เกิดความล่ าช้าในการผลิต ที่จะส่ งผลกระทบต่ อปริมาณสินค้าหรือไม่ เครื่องจักรมีการด าเนิ นงานเป็ นอย่ างไร รวมถึงควรเปิ ดเผยข้อมูลทัง้ หมดของหน้ างานผลิต สถานการณ์ดา้ นคุณภาพ เพื่อพนักงานจะได้รว่ มกันทาให้บรรลุเป้าหมาย มีการกาหนดมาตรฐานการ ทางาน เพื่อหาความผิดปกติท่จี ะก่อให้เกิดความด้อยประสิทธิภาพในระบบ เพื่อมุ่งค้นหาถึงสาเหตุ อย่างจริงจัง วางแผนหามาตรฐานการปรับปรุง ดาเนินการปรับปรุง ทบทวนงานตามมาตรฐาน และทา ให้สงิ่ เหล่านี้ดาเนินการได้อย่างยังยื ่ นตลอดไป


50 5.2 ระบบการผลิตแบบลีน

วิธีก ำรผลิต ภัณ ฑ์ใ นด้ำ นกำรเงิน มี ควำมเข้ำ ใจที่ออกแบบมำเพื่อเพิ่ม ผลผลิต และผลก ำไรอย่ำ งต่ อ เนื่ อ ง และผลักดันผลกำรดำเนินงำน

People Development กำรเสริมสร้ำง “ทักษะ ทัศนคติ และ ควำมเชื่อ” ซึ่งช่วยให้กำรพัฒนำของ วัฒนธรรมองค์กรของคุณและในที่สุด ก็กลำยเป็นสภำพแวดล้อมระดับโลก

Implementation of Value Management

The 8 Tools of Total Cost Management

The Road Map to Achieve ‘World Class’ Status

Implementation of Lean Manufacturing

กำรพัฒนำฐำนอุปทำนของคุณ เพื่อ กำรปรับปรุง -คุณภำพ - ต้นทุน - กำรจัดส่ง

Lean Manufacturing

Supply chain management

Supply chain management

The 8 Tools Quality of Total Manageme Cost nt Manageme nt The Foundation for Success People Development “Skin, Attibrutes& Benefit”

กำรส่ง มอบคนและกระบวนกำรใน กำรผลิต ที่มีค วำมเหมำะสม เพื่อ สร้ำงควำมมั ่นใจว่ำจะสำมำรถสร้ำง มู ล ค่ ำ เพิ่ ม และก ำจั ด ของเสี ย ใน รูปแบบ 7+1 ได้

Value Management เพื่อให้แน่ ใจว่ำผลิตภัณฑ์ของคุณส่ง มอบคุ ณ สมบัติก ำรท ำงำน “คุ้ม ค่ ำ เงิน” ที่ดีท่สี ุดเพื่อลูกค้ำของคุณ ใน รำคำทีม่ ปี ระสิทธภำพคุม้ ค่ำทีส่ ุด

Quality Management กำรดำเนินกำรตำมระบบคุณภำพที่มี ประสิท ธิภำพจะช่ วยลดควำมเสี่ย ง ของผลิ ต ภัณ ฑ์ ท่ี บ กพร่ อ งเข้ ำ ถึ ง ลูกค้ำของคุณ

ภาพที่ 2-30 องค์กรแห่งลีน ทีม่ า: XR training & consultancy. http://xrtraining.com/main/showpage. (19 March 2012) องค์กรแบบลีน จะสามารถสาเร็จได้ดว้ ยการปฏิบตั ติ าม 6 ขัน้ ตอน ดังต่อไปนี้ 1. Value Management การส่งมอบผลิตภัณฑ์ให้ลกู ค้าด้วยประสิทธิภาพ สูงสุดและราคาทีค่ ุม้ ค่ามากทีส่ ุด


51 2. Quality Management การดาเนินงานตามระบบทีม่ คี ุณภาพลดข้อบกพร่อง ในสินค้าทีจ่ ะส่งมอบ 3. People Development การสร้างทักษะ ทัศนคติ และความเชื่อ เพื่อช่วย พัฒนาวัฒนธรรมภายในองค์กรจนกลายสภาพแวดล้อมระดับโลก 4. The 8 Tools of Total Cost Management เครื่องมือด้านการเงินที่ ออกแบบมาเพื่อเพิม่ ผลผลิตและผลกาไรอย่างต่อเนื่องให้แก่องค์กร 5. Supply chain management การประสานความร่วมมือขององค์กรต่างๆ ภายในห่วงโซ่อุปทานเพื่อนาไปสู่การดาเนินงานที่มปี ระสิทธิภาพและ ลดต้นทุนในการดาเนินงาน 6. Lean Manufacturing การผลิตทีจ่ ะมุ่งเน้นการขจัดความสูญเปล่าที่เกิดขึน้ ในกระบวนการ และยังสามารถสร้างมูลค่าเพิม่ ให้แก่องค์กร เมื่อนา 6 ขัน้ ตอนข้างต้นมาดาเนินงานร่วมกัน โดยทุกขัน้ ตอนมีความ เชื่อมโยงซึง่ กันและกัน เริม่ จากส่งมอบผลิตภัณฑ์ทค่ี ุม้ ค่าเงินให้แก่ลูกค้า ตลอดจน มีการควบคุ มคุ ณภาพสินค้า เพื่อลดความบกพร่องในผลิตภัณฑ์ นาเครื่องมือ ทางการเงินที่สร้างมาเพื่อวัดผลผลิตและก าไรมาใช้ และยังพัฒนาการสร้าง วัฒนธรรมภายในองค์การที่ดี นอกจากนัน้ มีการจัดการภายในห่วงโซ่อุปทานเพื่อ เพิม่ ประสิทธิภาพในการดาเนินงาน และสุดท้ายองค์การมีการนาวิธกี ารผลิตแบบ ลีนมาปรับปรุงในขัน้ ตอนการผลิตโดยขจัดความสูญเปล่าในองค์การ ซึ่งจะทาให้ องค์การประสบความสาเร็จได้ตามต้องการ


52

ภาพที่ 2-31 การขจัดความสูญเปล่าทัง้ 7 ประการ ทีม่ า: สมาคมส่งเสริมเทคโนโลยี (ไทย-ญีป่ นุ่ ). www.tpa.or.th. (23 มีนาคม 2555) ภาณุ บูรณจารุกร (2550) กล่าวว่า ความสูญเสียทีเ่ กิดขึน้ ทัง้ 7 ประการนี้ เป็นความสูญเสียทีแ่ ฝงอยูใ่ นกระบวนการผลิต ซึง่ ทาให้ตน้ ทุนการผลิตสูงเกินกว่าที่ ควรจะเป็น หากบริษทั ทาการขจัดความสูญเปล่าทัง้ 7 ประการนี้ออกไปได้กจ็ ะทาให้ บริษทั สามารถลดต้นทุนได้ โดยการขจัดความสูญเปล่าทัง้ 7 ประการสามารถทาได้ ดังนี้ 1. ความสูญเปล่าจากการผลิตเกินกว่าความจาเป็ น มีแนวทางการขจัด ความสูญเปล่าดังนี้ 1.1 ก าจัดจุดคอขวด โดยท าการศึกษาเวลาการท างานของแต่ ละ ขัน้ ตอนในการผลิตว่าทางานสมดุลกันหรือไม่ หากพบว่าขัน้ ตอน ใดมีการผลิตต่ากว่ามาตรฐานก็ทาการแก้ไข 1.2 ผลิตสินค้าเฉพาะปริมาณทีล่ กู ค้าต้องการเท่านัน้ 1.3 พนักงานต้องดูแลเครือ่ งจักรให้อยูใ่ นสภาพพร้อมใช้งานเสมอ 2. ความสูญเปล่าจากการรอคอย มีแนวทางการขจัดความสูญเปล่าดังนี้ 2.1 บริษทั ควรมีการวางแผนการผลิต เพื่อให้กระบวนการผลิตสามารถ เป็นไปได้อย่างราบรืน่ 2.2 บริษทั ควรมีการรักษาเครือ่ งจักรให้ใช้งานได้อย่างมีประสิทธิภาพ 2.3 บริษทั ควรลดเวลาในการตัง้ เครือ่ งจักรให้น้อยลง 2.4 บริษทั ควรมีการจัดสรรพนักงานให้เหมาะสมในแต่ละส่วนงาน


53 3. ความสูญเปล่าจากการเคลื่อนย้ายและขนย้ายที่ไม่จาเป็ น มีแนวทาง การขจัดความสูญเปล่าดังนี้ 3.1 วางผังเครือ่ งจักรให้ใกล้กบั คลังสินค้า เพื่อให้สามารถขนส่งสินค้า ได้งา่ ยและสะดวก 3.2 พยายามลดการขนส่งทีซ่ ้าซ้อนกัน 3.3 ใช้อุปกรณ์ในการขนส่งทีเ่ หมาะสม 4. ความสูญเปล่าจากวิธกี ารผลิต มีแนวทางการขจัดความสูญเปล่าดังนี้ 4.1 บริษัทควรมีมาตรฐานในการผลิต กาหนดไว้ในแผนแม่บทของ บริษทั เพื่อให้ทุกคนปฏิบตั ติ าม 4.2 อบรมพนักงานให้มคี วามรูค้ วามเข้าใจ และสามารถปฏิบตั งิ านได้ ตรงตามมาตรฐานทีก่ าหนดไว้ 4.3 ดัดแปลงอุปกรณ์ให้สามารถป้องกันความผิดพลาดจากการทางาน ได้ หรือดัดแปลงอุปกรณ์ไม่ให้สามารถทางานได้ หากชิ้นงานนัน้ ไม่สมบูรณ์ 4.4 ตัง้ เป้าหมายให้ผลิตของเสียเป็นศูนย์ 4.5 ลดเวลาการติดตัง้ เครือ่ งจักรให้ใช้เวลาน้อยทีส่ ุด 5. ความสูญเปล่าที่เกิดจากการเคลื่อนไหวของร่างกายที่ไม่จาเป็ นมีแนว ทางการขจัดความสูญเปล่าดังนี้ 5.1 ศึกษาการเคลื่อนที่ เพื่อพัฒนาการเคลื่อนย้ายให้เกิดต้นทุนน้อย ทีส่ ุด 5.2 จัดการสภาพแวดล้อมในการทางานให้เหมาะสม 5.3 ปรับปรุงเครือ่ งมือและอุปกรณ์ให้มขี นาดเหมาะสมกับผูป้ ฏิบตั งิ าน 5.4 ทาอุปกรณ์ในการจับหยิบชิ้นงาน เพื่อให้สามารถทางานได้อย่าง สะดวกรวดเร็วมากขึน้ 6. ความสูญเปล่าทีเ่ กิดจากการมีกระบวนการที่ไม่มปี ระสิทธิภาพมีแนว ทางการขจัดความสูญเปล่าดังนี้ 6.1 ปรับปรุงการออกแบบผลิตภัณฑ์และเลือกใช้ว ัสดุ ท่ีเหมาะสม เพื่อให้งา่ ยต่อการผลิตและการใช้งาน 6.2 ลดเวลาการติดตัง้ เครือ่ งจักรให้น้อยลง 7. ความสูญเปล่าจากการผลิตของเสีย มีแนวทางการขจัดความสูญเปล่า ดังนี้ 7.1 บริษัทควรมีมาตรฐานในการผลิต กาหนดไว้ในแผนแม่บทของ บริษทั เพื่อให้ทุกคนปฏิบตั ติ าม


54 7.2 อบรมพนักงานให้มคี วามรูค้ วามเข้าใจตามมาตรฐานทีก่ าหนดไว้ 1.3 ระบบห่วงโซ่อุปทาน

ภาพที่ 2-32 ห่วงโซ่อุปทาน ทีม่ า: จากการวิเคราะห์รว่ มกันของกลุ่มปญั หาพิเศษ (การบริหารต้นทุน) คานาย อภิปรัชญาสกุล (2553) กล่าวว่า โซ่อุปทาน คือ เครือข่ายของ องค์การธุรกิจซึง่ ประกอบด้วย ผูข้ ายปจั จัยการผลิต ผูผ้ ลิต/บริการ ผูก้ ระจายสินค้า ผู้ค้าปลีก ที่ร่วมกันวางแผนและดาเนินงานกิจกรรมต่างๆ ตัง้ แต่การจัดซื้อจัดหา วัตถุดบิ การผลิต การบริหารสินค้าคงคลัง การขนส่งและกระจายผลิตภัณฑ์ไปยัง ผู้บริโภคคนสุดท้าย ซึ่งต้องอาศัยการไหลของสารสนเทศ (เกี่ยวกับวัตถุดบิ การ ผลิตและผลิตภัณฑ์) การไหลของเงิน และการไหลของวัตถุ ดิบและผลิตภัณฑ์ เรียกว่า กระบวนการโลจิสติกส์ ดังภาพที่ 2-32 โดย ณรัฐ หัสชู (2553) อ้างถึง ปวีณา เชาวลิตวงศ์ (2548) ได้แยกกิจกรรมหลักภายในห่วงโซ่อุปทานเป็ น 4 กิจกรรม ได้แก่ 1. การจัดหา (procurement) เป็นการหาวัตถุดบิ หรือวัสดุ เพื่อทาการป้อนเข้า ไปให้แก่ห่วงโซ่อุปทาน กิจกรรมการจัดหาจะส่งผลต่อคุณภาพและ ต้นทุนในการผลิต 2. การขนส่ ง (transportation) เป็ นกิจกรรมที่เพิ่มให้แก่ส ินค้าในแง่ของการ โยกย้ายสถานที่ของสินค้า ซึ่งหากการขนส่งไม่ดี เช่น เสียหายหรือ ล่าช้า ย่อมทาให้ตน้ ทุนในการผลิตเพิม่ ขึน้


55 3. การจัดเก็บ (warehousing) เป็ นกิจกรรมทีม่ ไิ ด้เพิม่ คุณค่าให้แก่ตวั สินค้า แต่เป็ นกิจกรรมที่จาเป็ นสาหรับการรองรับความต้องการของลูกค้าที่ ไม่คงที่ รวมถึงมีประโยชน์ทางด้านในการผลิตครัง้ ละมากๆ เพื่อต้นทุน รวมทีต่ ่าลง 4. การกระจายสินค้า (distribution) เป็ นกิจกรรมที่ช่วยกระจายสินค้าจากจุด จัดเก็บไปยังร้านค้าปลีก หรือศูนย์กระจายสินค้า หรือตัวลูกค้า โซ่อุปทานที่มปี ระสิทธิภาพสูงย่อมสามารถตอบสนองความต้องการของ ลูกค้าด้วยต้นทุนที่ต่ าสุดและตรงตามเวลาที่ต้องการ ดังนัน้ จึงจาเป็ นที่ต้องมีการ จัดการโซ่อุปทานให้เกิดประสิทธิภาพ เพื่อประสานองค์กร หน่ วยงาน และกิจกรรม ต่างๆ ในห่วงโซ่อุปทานให้มปี ระสิทธิภาพสูงสุด ซึง่ ต้องอาศัยความร่วมมือของทุก ฝ่ายที่เกี่ยวข้อง เพื่อผลประโยชน์ร่วมกันทัง้ ทางด้านการผลิตคือ ช่วยลดต้นทุนใน การเก็บรักษาสินค้าคงคลัง และต้นทุนอันเกิดจากการขาดแคลนสินค้าที่จะจัดส่ง ให้กบั ลูกค้า ด้านการตลาดคือ ทราบถึงปริมาณความต้องการของสินค้าที่แท้จริง ของผู้บริโภค ทาให้การวางกลยุทธ์ทางการตลาดมีประสิทธิภาพและประสิทธิผล การจัดการการบริหารห่ว งโซ่ อุ ปทานเข้ามาช่ วยในการจัดการตัง้ แต่ การสังซื ่ ้อ วัตถุดบิ การผลิต การเก็บรักษาสินค้า การกระจายสินค้า ตลอดจนการบริการหลัง การขายให้เป็ นไปอย่างมีประสิทธิภาพ และด้านการเงินก่อให้เกิดสภาพคล่องของ เงินหมุนเวียนในโซ่อุปทาน อุปสรรคทางการเงินในการดาเนินธุรกิจจึงไม่เกิดขึน้ 1.4 การจัดการสินค้าคงคลัง คานาย อภิปรัชญาสกุ ล (2549) กล่ าวว่า สินค้าคงคลัง (inventory) คือ สินทรัพย์ชนิดหนึ่งที่กิจการต้องมีไว้เพื่อขายหรือผลิต ซึ่งประกอบด้วย วัตถุดบิ งานระหว่างทา วัสดุซ่อมบารุงสินค้าสาเร็จรูป แรงงาน เงินลงทุน เครื่องมือและ อุปกรณ์ เป็นต้น ระบบการควบคุมสินค้าคงคลัง (inventory control system) มี 3 วิธ ี คือ 1. ระบบสินค้าคงคลังอย่างต่อเนื่อง (continuous inventory system perpetual system) เป็ นระบบทีม่ กี ารลงบัญชีทุกครัง้ ทีม่ กี าร รับและจ่าย ทาให้บญ ั ชีคุมยอดแสดงยอดคงเหลือที่แท้จริง ของสินค้าคงคลังอยู่เสมอ ซึ่งจาเป็ นอย่างยิง่ ในการควบคุม สินค้าคงคลังรายการสาคัญทีป่ ล่อยให้ขาดมือไม่ได้ 2. ระบบสินค้าคงคลังเมื่อสิน้ งวด (periodic inventory system) เป็ นระบบที่ม ีการลงบัญชีเฉพาะในช่ วงเวลาที่ก าหนดไว้ เท่านัน้ เมื่อของถูกเบิกไปก็จะมีการสังซื ่ ้อเข้ามาเติมให้เต็ม


56 ระดับที่ตงั ้ ไว้ ซึ่งระบบนี้จะเหมาะกับสินค้าที่มกี ารสังซื ่ ้อและ เบิกใช้เป็นช่วงเวลาทีแ่ น่นอน 3. ระบบการจาแนกสินค้าคงคลังเป็ นหมวดเอบีซี (ABC) โดย ระบบนี้เป็นวิธกี ารจาแนกสินค้าคงคลังออกเป็ นแต่ละประเภท โดยพิจารณาปริมาณและมูลค่าของสินค้าคงคลังแต่ละรายการ เป็ นเกณฑ์ เพื่อลดภาระในการดูแล ตรวจนับ และควบคุ ม สินค้าคงคลังทีม่ อี ยู่มากมาย เพื่อไม่ให้เสียเวลาและค่าใช้จ่าย มากเกินความจาเป็น ประโยชน์ของสินค้าคงคลัง มีดงั นี้ 1. ทาให้สามารถตอบสนองความต้องการของลูกค้าทีป่ ระมาณ การไว้ในแต่ละช่วงเวลาทัง้ ในและนอกฤดูกาล 2. รักษาการผลิตให้มอี ตั ราคงทีส่ ม่าเสมอ เพือ่ รักษาระดับการ ว่าจ้างแรงงาน การเดินเครือ่ งจักรฯลฯ ให้สม่าเสมอได้ โดยจะ เก็บสินค้าทีข่ ายไม่หมดในช่วงขายไม่ดไี ว้ขายตอนช่วงขายดี ซึง่ ช่วงนัน้ อาจจะผลิตไม่ทนั ขาย 3. ทาให้ธุรกิจได้ส่วนลดปริมาณจากการจัดซือ้ จานวนมากต่อ ครัง้ ป้องกันการเปลีย่ นแปลงราคาและผลกระทบจากเงินเฟ้อ เมือ่ สินค้าในท้องตลาดมีราคาสูงขึน้ 4. ป้องกันของขาดมือด้วยสินค้าเผื่อขาดมือ เมือ่ เวลารอคอย ล่าช้าหรือบังเอิญมีคาสังซื ่ อ้ เพิม่ ขึน้ กะทันหัน 5. ท าให้กระบวนการผลิตสามารถด าเนิ นการต่ อเนื่ องอย่าง ราบรื่น ไม่มกี ารหยุดชะงักเพราะของขาดมือจนเกิดความ เสียหายแก่กระบวนการผลิต บทบำทของสินค้ำคงคลังในห่วงโซ่อุปทำน สินค้ำคงคลังมีว ตั ถุ ประสงค์ในกำรสร้ำงควำมสมดุ ลในห่ วงโซ่ อุ ปทำน เพื่อให้ระดับสินค้ำคงคลังต่ ำสุ ดโดยไม่ กระทบต่ อระดับกำร ให้บริกำร โดยปจั จัยนำเข้ำของกระบวนกำรผลิตที่มคี วำมสำคัญอย่ำงยิง่ คือ วัตถุดบิ ชิน้ ส่วนและวัสดุต่ำงๆ ทีเ่ รียกรวมกันว่ำสินค้ำคงคลัง ซึง่ เป็ น องค์ ป ระกอบที่ใ หญ่ ท่ีสุ ด ของต้ น ทุ น กำรผลิต ผลิต ภัณ ฑ์ ห ลำยชนิ ด นอกจำกนัน้ กำรมีสนิ ค้ำคงคลังที่เพียงพอยังเป็ นกำรตอบสนองควำมพึง พอใจของลูกค้ำได้ทนั เวลำ จึงเห็นได้ว่ำสินค้ำคงคลังมีควำมสำคัญต่อกิจกรรม หลักของธุรกิจเป็นอย่ำงมำก ดังนัน้ กำรจัดกำรสินค้ำคงคลังทีม่ ปี ระสิทธิภำพ จึงส่ งผลกระทบต่ อผลก ำไรโดยตรง และในปจั จุบนั นี้ มกี ำรนำเอำระบบ


57 คอมพิวเตอร์มำจัดกำรข้อมูลของสินค้ำคงคลัง เพื่อให้เกิดควำมถูกต้ อง แม่นยำ และทันเวลำมำกยิง่ ขึน้ กำรจัดซื้อสินค้ำคงคลังมำในคุณสมบัตทิ ่ี ตรงตำมควำมต้องกำร ปริมำณเพียงพอ รำคำเหมำะสม ทันเวลำทีต่ ้องกำร โดยซือ้ จำกผูข้ ำยทีไ่ ว้วำงใจได้ และนำส่งยังสถำนทีท่ ถ่ี ูกต้องตำมหลักกำร จัดซือ้ ทีด่ ที ่สี ุด เป็ นจุดเริม่ ต้นของกำรจัดกำรสินค้ำคงคลัง โดยกำรจัดกำร สินค้ำคงคลังมีวตั ถุประสงค์หลักอยู่ 2 ประกำรใหญ่ คือ 1. สำมำรถมีสนิ ค้ำคงคลังบริกำรลูกค้ำในปริมำณทีเ่ พียงพอ และ ทันต่อควำมต้องกำรของลูกค้ำเสมอ เพื่อสร้ำงยอดขำยและ รักษำระดับของส่วนแบ่งตลำดไว้ 2. สำมำรถลดระดับกำรลงทุนในสินค้ำคงคลังต่ ำทีส่ ุดเท่ำทีจ่ ะทำ ได้ เพื่อทำให้ตน้ ทุนกำรผลิตต่ำลงด้วย 1.5 การจัดการโลจิสติกส์ โกศล ดีศีลธรรม (2547) ได้กล่าวว่า การบริหารโลจิสติกส์ (logistics management) ได้ถูกนิยามโดยสภาการจัดการโลจิสติกส์ (Council of Logistics Management: CLM) ซึง่ เกีย่ วข้องกับกระบวนการวางแผน การดาเนินการ และการ ควบคุ ม เพื่อให้ เกิดการไหลของทรัพยากรอย่ างมีประสิทธิภาพ และรวมถึง ประสิทธิผลต้นทุนการจัดเก็บสินค้าคงคลังและการไหลของสารสนเทศ การบริหาร โลจิสติกส์จะเป็นส่วนหนึ่งของการจัดการห่วงโซ่อุปทาน (SCM) ธนิต โสรัตน์ (2550) ได้กล่าวไว้ว่า ในประเทศไทยส่วนใหญ่แล้วยังมีความ เข้าใจว่า โลจิสติกส์เป็ นเรื่องที่เกี่ยวข้องเฉพาะกับระบบการขนส่งสินค้าหรือการ เคลื่อนย้ายคนหรือสิง่ ของ ความหมายของโลจิสติกส์ไม่ใช่เรือ่ งทีเ่ กีย่ วข้องเฉพาะกับ การขนส่งและก็คลังสินค้า โดยกิจกรรมของโลจิสติกส์ครอบคลุมถึงกิจกรรมต่างๆ ในการเพิม่ ขีดความสามารถในการแข่งขัน โดยการลดต้นทุนจากการใช้ประโยชน์ จากอรรถประโยชน์ของเวลา บทบาทและหน้าที่ของกิจกรรมต่างๆ ของโลจิสติกส์ จึงมีพนั ธกิจในการสนับสนุ นและการบูรณาการในการเชื่อมโยงข้อมูลข่าวสารในทุก หน่วยของโซ่อุปทาน โดยมีจดุ ศูนย์กลางในการตอบสนองความพึงพอใจให้กบั ลูกค้า


58 การบริ หารต้นทุนด้วยเครื่องมือการจัดการห่ วงโซ่อปุ ทาน 1. ความหมายการจัดการห่วงโซ่อุปทาน

ภาพที่ 2-33 การจัดการห่วงโซ่อุปทาน ทีม่ า: Jan Dünnebier. http://janduennebier.wordpress.com. (19 March 2012) คานาย อภิปรัชญาสกุล (2553) กล่าวว่า การจัดการห่วงโซ่อุปทาน คือ เครือข่ายขององค์กรธุรกิจซึ่งประกอบด้วย ผู้ขายปจั จัยการผลิต ผู้ผลิต/บริการ ผู้ กระจายสินค้า ผูค้ า้ ปลีก ทีร่ ่วมกันวางแผนและดาเนินงานกิจกรรมต่างๆ ตัง้ แต่การ จัด ซื้อ จัด หาวัต ถุ ดิบ การผลิต การบริห ารสิน ค้า คงคลัง การขนส่ ง และกระจาย ผลิตภัณฑ์ไปยังผูบ้ ริโภคคนสุดท้าย ซึ่งต้องอาศัยการไหลของสารสนเทศ(เกี่ยวกับ วัตถุดิบ การผลิตและผลิตภัณฑ์) การไหลของเงิน และการไหลของวัตถุดิบและ ผลิตภัณฑ์ เรียกว่า กระบวนการโลจิสติกส์ ซึง่ จะก่อให้เกิดความสมดุลระหว่างความพึง พอใจสูงสุดของลูกค้าและต้นทุนต่าทีส่ ุด ดังภาพที่ 2-33


59 2. แนวคิดหลักในการบริหารจัดการห่วงโซ่อุปทาน 2.1 ความสาคัญของการจัดการห่วงโซ่อุปทาน ผูจ้ ดั การรายสัปดาห์ (2549) กล่าวว่า การจัดการห่วงโซ่อุปทาน (Supply Chain Management: SCM) ทาให้เกิดประโยชน์กบั การดาเนินงานและสามารถ สร้างพันธมิตรทางธุรกิจ เพื่อให้การดาเนินธุรกิจมีประสิทธิภาพและสามารถที่ จะตอบสนองความต้องการของลูกค้าได้เป็ นอย่างดี นอกจากนี้การจัดการห่วง โซ่อุปทานยังมีความสาคัญอีก 5 ประการดังนี้ 2.1.1 เสริม สร้า งความสามารถในการบริห ารและการแข่ง ขัน ของ สมาชิกในห่วงโซ่อุปทาน 2.1.2 ส่งเสริมการเติบโตและความยังยื ่ นของธุรกิจ 2.1.3 สมาชิกในห่วงโซ่อุปทานปรับระบบการทางานให้สอดคล้องกัน 2.1.4 แบ่งปนั ข้อมูลทีจ่ าเป็นเพื่อความคล่องตัวในการดาเนินงาน 2.1.5 ใช้ทรัพยากรทีม่ อี ย่างจากัดให้เกิดประโยชน์สงู สุดร่วมกัน 2.2 องค์ประกอบของการจัดการห่วงโซ่อุปทาน สิง่ สาคัญทีข่ าดไม่ได้สาหรับการจัดการห่วงโซ่อุปทาน (SCM) คือ การ สื่อ สารและการดาเนินงานที่ต้อ งสอดประสานกันเพื่อ ที่จะดาเนินกิจกรรมได้ ถู ก ต้อ งเหมาะสมทัง้ ทางด้า นเวลาและสถานที่ สิ่ง เหล่ า นี้ จ ะช่ ว ยเสริม สร้า ง มูลค่าเพิม่ ให้กบั ผลิตภัณฑ์ในแต่ละขัน้ ตอนที่มกี ารเคลื่อนผ่าน โดยมีต้นทุนที่ เหมาะสมและเกิดประโยชน์รว่ มกันในระบบห่วงโซ่อุปทาน นอกจากนัน้ สิง่ ทีเ่ ป็ น ตัวเชื่อมต่อองค์ประกอบต่างๆ ในระบบห่วงโซ่ทเ่ี ราเรียกว่า ความสัมพันธ์ทาง ธุรกิจ (business relationship) อาจจะเป็ นจุดเริม่ ทีด่ ใี นการพัฒนาไปสู่การเป็ น พันธมิตร (business alliance) ซึง่ ยิง่ ส่งผลให้การดาเนินงานในระบบห่วงโซ่อุปทาน มีประสิทธิภาพมากยิง่ ขึน้ ไม่ว่าจะเป็ นในการด้านการลดปริมาณสินค้าคงคลัง หรือ การบริห ารระบบการผลิต และจะนาไปสู่ก ารเพิ่มความสามารถในการ แข่งขันให้แก่องค์กรต่อไป


60

ภาพที่ 2-34 องค์ประกอบของห่วงโซ่อุปทาน ทีม่ า: Adjutant Enterpirse Software. www.metalez.com. (19 March 2012) ชุติระ ระบอบ (2553) ได้กล่าวถึงการดาเนินงานของโซ่อุปทานมี สมาชิกทีเ่ ป็นองค์ประกอบหลักของห่วงโซ่อุปทาน คือ 2.2.1 ผูจ้ ดั หาวัตถุดบิ (suppliers) 2.2.2 ผูผ้ ลิต (manufacturer) 2.2.3 ผูข้ ายส่ง/ผูก้ ระจายสินค้า (wholesalers/distributors) 2.2.4 ผูข้ ายปลีก (retailers) 2.2.5 ลูกค้า (customers) และณรัฐ หัสชู (2553) อ้างถึง ปวีณา เชาวลิต วงศ์ (2548) ได้แยก กิจกรรมหลักภายในห่วงโซ่อุปทานเป็ น 4 กิจกรรม ได้แก่ 1. การจัดหา (procurement) เป็ นการหาวัตถุดิบ หรือวัสดุ เพื่อทาการ ป้อ นเข้าไปให้แ ก่ ห่ ว งโซ่อุ ป ทาน กิจ กรรมการจัด หาจะส่ง ผลต่ อ คุณภาพและต้นทุนในการผลิต 2. การขนส่ง (transportation) เป็นกิจกรรมทีเ่ พิม่ ให้แก่สนิ ค้าในแง่ของการ โยกย้ายสถานที่ของสินค้า ซึ่งหากการขนส่ งไม่ดี เช่น เสียหาย หรือล่าช้า ย่อมทาให้ตน้ ทุนในการผลิตเพิม่ ขึน้ 3. การจัดเก็บ (warehousing) เป็ นกิจกรรมที่มไิ ด้เพิม่ คุณค่าให้แก่ตวั สินค้า แต่เ ป็ นกิจกรรมที่จาเป็ นสาหรับการรองรับความต้อ งการ ของลูกค้าที่ไม่คงที่ รวมถึงมีประโยชน์ ทางด้านในการผลิตครัง้ ละ มากๆ เพื่อต้นทุนรวมทีต่ ่าลง


61 4. การกระจายสินค้า (distribution) เป็ นกิจกรรมทีช่ ่วยกระจายสินค้า จากจุดจัดเก็บไปยังร้านค้า ปลีก หรือ ศูนย์กระจายสินค้า หรือตัว ลูกค้า

ภาพที่ 2-35 ความสัมพันธ์ระหว่างโลจิสติกส์และการจัดการห่วงโซ่อุปทาน ทีม่ า: คานาย อภิปรัชญาสกุล. 2553. ศศิชา สิทธิกุล (2551) กล่าวว่า การทีจ่ ะประยุกต์ใช้การจัดการห่วงโซ่ อุปทาน (SCM) ได้ จะต้องคานึงถึงการจัดการโลจิสติกส์ควบคู่ไปด้วยเสมอ แต่ ในขอบข่ายในการกาหนดแผนงานของโลจิส ติกส์และการจัดการโซ่อุ ปทาน มีความแตกต่างโดยทีเ่ ป็นส่วนทีส่ นับสนุ นต่อกัน คือ การจัดการโซ่อุปทาน เป็ น การจัดการระดับกลยุทธ์ (strategic level) โดยทีม่ โี ลจิสติกส์เป็ นการจัดการใน ระดับยุทธวิธ2ี และการปฏิบตั งิ าน3 (tactical and operational level) ทีก่ าหนด แนวทางการปฏิบตั งิ านให้สอดคล้องและบรรลุต่อทิศทางเป้าหมายในระดับการ จัดการโซ่อุปทาน การจัดการโลจิส ติกส์ เป็ นการไหลของวัต ถุ ดิบและสินค้า ที่เ ป็ นเชิง ั ่ นน้ า หรือ ผู้จดั จาหน่ ายไปยังฝ งปลายน ั่ กายภาพซึ่งไหลจากฝงต้ ้ าหรือลูกค้า 2

3

เป็นระดับทีต่ อ้ งมีการวางแผนตามโครงสร้างทีก่ าหนด เช่น การดาเนินการในห่วงโซ่อุปทาน บทบาทหน้าทีแ่ ต่ละ ฝา่ ยใครรับผิดชอบอะไร เพือ่ ให้งานบรรลุผลตามนโยบายของบริษทั และวัดผลงานด้วยประสิทธิผล การนาห่วงโซ่อุปทานมาใช้ในแต่ละฝา่ ยของบริษทั เพือ่ ให้สอดคล้องกับยุทธวิธี เช่น งานขายต้องสอดคล้องกับงาน ผลิต งานจัดซื้อ คลังสินค้า การบริหารเครือข่าย เป็นต้น และวัดผลการดาเนินงานเป็นเชิงประสิทธิภาพ


62 แตกต่างจากการจัดการห่วงโซ่อุปทาน (SCM) ซึง่ เป็ นการไหลของสารสนเทศ ซึ่ง เป็ น ข้อ มูล ย้อ นกลับ หลัง จากที่ไ ด้ม ีก ารรับ สิน ค้า จากลู ก ค้า ในแต่ ล ะช่ ว ง เพื่อให้เกิดความรวดเร็วในการดาเนินงาน ซึง่ ความสัมพันธ์ระหว่างโลจิสติกส์และ การจัดการห่วงโซ่อุปทาน แสดงได้ดงั ภาพที่ 2-35 ซึง่ จะพบว่า การดาเนินงานทุก กิจกรรม ต้องประสานกันอย่างสอดคล้องกัน โดยโลจิสติกส์แบ่งเป็ น 2 ส่วน คือ การจั ด การเพื่ อ สนั บ สนุ นการผลิ ต หรื อ การจั ด การวั ต ถุ ดิ บ (material management) ประกอบด้วยกิจกรรมการพยากรณ์ยอดขาย การจัดซือ้ การบรรจุ ภัณฑ์ การวางแผนการผลิต การขนส่งสินค้าและการกาจัดของเสีย ส่วนสนับสนุ น การตลาดหรือการกระจายสินค้า (distribution management) ประกอบด้วย กิจกรรม การเคลื่อนย้ายและขนส่ง การสนับสนุ นการขาย การดาเนินการค าสังซื ่ ้อ การ วางแผนเครือข่าย การจัดส่งสินค้าให้ลูกค้า ตลอดจนการให้บริการลูกค้า การ ไหลของวัต ถุ ดิบ ผ่ านการผลิต จนถึง การกระจายสิน ค้า ส าเร็จ รูป ผ่ า นไปยัง ผู้ บ ริ โ ภคอย่ า งต่ อ เนื่ องและรวดเร็ ว จะสามารถด าเนิ น การได้ อ ย่ า งมี ประสิท ธิภาพและประสิท ธิผ ล ต่ อ เมื่อ มีก ารจัดการห่ว งโซ่ อุ ปทาน โดยการ นาเอาระบบเทคโนโลยีส ารสนเทศ ซึ่งประกอบด้ว ยคอมพิว เตอร์ ฮาร์ดแวร์ ซอฟแวร์ มาประยุกต์ใ ช้ในทุกกิจกรรม ทัง้ ภายในองค์กรและการเชื่อมต่อกับ บริษทั ภายนอก เพื่อสร้างความถูกต้องและรวดเร็ว โดยซอฟแวร์ทใ่ี ช้คอื ระบบ การวางแผนทรัพยากรองค์กร (Enterprise Resource Planning: ERP) ดังนัน้ สามารถสรุปได้ว่า การจะประยุกต์ใช้การจัดการห่วงโซ่อุปทาน ได้นนั ้ ควรต้องปรับปรุงระบบโลจิสติกส์ในแต่ละบริษทั ทีเ่ กี่ยวข้องกันในห่วงโซ่ อุปทานให้มปี ระสิทธิภาพทีด่ กี ่อน จึงจะทาให้ผลการดาเนินงานตลอดห่วงโซ่ม ี ประสิทธิผล 3. การนาเอาการจัดการห่วงโซ่อุปทานมาใช้ในกระบวนการดาเนินงาน ในการบริหารกลยุทธ์นัน้ ผู้บริหารหรือองค์การสามารถเลือกใช้กลยุทธ์ได้ หลายวิธที งั ้ นี้ควรพิจารณาความเหมาะสม และสภาพธุรกิจขององค์การ การนาการ จัดการห่วงโซ่อุปทาน (SCM) มาประยุกต์ใช้ในเชิงกลยุทธ์ สามารถแบ่งประเด็น สาคัญๆ ได้ดงั นี้ 3.1 ความยืดหยุ่นในระบบ ผูบ้ ริหารมีความมุ่งมั ่นในการปรับปรุง ระบบ การใช้พ นัก งาน ชั ่วคราว การใช้อุปกรณ์ทีท่ างานได้หลากหลาย การจ้างหน่ วยงานภายนอกทางาน การปรับปรุงกระบวนการให้ลด รอบเวลา


63 3.2 องค์ก ารควรมีก ารออกแบบระบบให้เ หมาะสมโดยเน้น สิน ค้า ช่องทาง หรือตลาดให้สอดคล้องกับความต้องการของลูกค้า 3.3 มีก ารจัด แบ่ง ลูก ค้า และสิน ค้า การปฏิบ ตั ติ ่อ ลูก ค้า แต่ล ะรายตาม ระดับ ประโยชน์ทีไ่ ด้ร บั จากลูก ค้า การแยกประเภทลูก ค้า อย่า ง เหมาะสม องค์การควรมีการมองภาพรวม มีการกาหนดมาตรฐาน ของกระบวนการข้อมูล วัตถุดบิ และปจั จัยพืน้ ฐาน การใช้ระบบงาน ร่วมกันทัวโลก ่ เช่น การใช้แหล่งผลิตร่วมกัน การใช้ชน้ิ ส่วนร่วมกัน เป็ นต้น 3.4 การบริห ารการพัฒนาผลิต ภัณ ฑ์ การบริห ารต้นทุนเป้าหมายของ ผลิตภัณฑ์ (target costing) การบริหารต้นทุนของผลิตภัณฑ์ตลอด ช่วงอายุ (life cycle costing) 3.5 การผลิต ผลิต ภัณ ฑ์เ ฉพาะลูก ค้า การสร้า งความแตกต่า งของ ผลิต ภัณ ฑ์ใ กล้จ ุด ส่ง มอบที ส่ ุด การผล กั ภาระให้ล ูก ค้า ท าให้ ผลิตภัณฑ์เหมาะกับตนมากทีส่ ุด การออกแบบให้ผลิตภัณฑ์ใช้วสั ดุ หรือชิน้ ส่วนร่วมกัน การทาให้ผลิตภัณฑ์มคี วามแตกต่างตามลูกค้า เกิดขึน้ ทีโ่ รงงาน โกดัง หรือจุดส่ งมอบ 3.6 การใช้ขอ้ มูลอย่างเหมาะสม การปรับระบบข้อมูลให้ส่งเสริม การลด ต้น ทุน การสร้า งความยืด หยุ่น และความสามารถในการแข่ง ขัน อาทิ ระบบบัญ ชีต้นทุนตามกิจกรรม (Activity Based Costing: ABC) การเชื่อ มโยงระบบกับคู่ค า้ การลดรอบเวลาในการจัดหา ข้อ มูล จนถึง การใช้ประโยชน์ การปรับปรุง คุณ ภาพของข้อ มูล ให้ เน้นทีล่ ูกค้า 3.7 การลดความสูญเสีย การใช้มาตรฐานข้อมูลหรือสัญลักษณ์ การลด ความซับซ้อนของผลิตภัณฑ์ กระบวนการผลิต การส่งมอบ การลด จ านวนผู ส้ ่ง มอบ การบริห ารความต้อ งการและการตอบสนอง ผลิตภัณฑ์ให้เกิดการหมุนเวียนสินค้าคงคลังมากทีส่ ุด 3.8 การสร้า งพัน ธมิต ร การใช้ห น่ ว ยงานทางานแทนบางอย่า ง การ ประสานงานระหว่า งคู่ค า้ ผู ส้ ่ง มอบ ผูใ้ ห้บ ริก าร และลูก ค้า การ พัฒนาการจัดการในด้านนี้ 3.9 การใช้ประโยชน์จากพาณิชย์อ เิ ล็ก ทรอนิกส์ การพัฒนาเครือ ข่า ย จากผูส้ ่งมอบ เพื่อร่วมจัดทาแผนการผลิตและส่งมอบอย่างทันเวลา 3.10 การพ ฒ ั นาบุค ลากร การมีม ุม องหลากหลายบนพื น้ ฐานของ วัฒ นธรรมทีแ่ ตกต่า งกัน การทางานหลากหลายเพื่อ สร้า งความ


64 เข้าใจในงานทุกระบบ การมีความรูถ้ งึ ระดับภาคปฏิบตั ิ การพัฒนา ให้มคี วามสามารถหลากหลาย ความสามารถในการแก้ไ ขปญั หา ความสามารถทางด้านเทคโนโลยีสารสนเทศ และธนิต โสรัตน์ (2550) กล่าวว่า ลาดับขัน้ ในการประยุกต์ใช้โซ่อุปทานใน องค์กร มีดงั นี้ 1. ขจัดโครงสร้างและสังงานเป็ ่ นไปตามลาดับชัน้ (hierarchical structures) 2. การจัดโครงสร้างแบบแบนราบ (flat structure) ก่อให้เกิดความยืดหยุ่น ต่อความเปลีย่ นแปลง 3. นโยบายกาหนดการผลิต ขจัดการผลิตแบบผลัก (push production) มุง่ การผลิตแบบดึง (pull production) 4. นาระบบสารสนเทศโลจิสติกส์มาใช้ในโซ่อุปทานอย่างเป็นบูรณาการ 5. ระบบการผลิตบนฐานแห่งความรวดเร็ว (speed base production) มุ่ง แนวการประหยัดจากความเร็วมุ่งความต้องการของลูกค้าเป็ นสาคัญ เพื่อสร้างความสามารถการแข่งขันในระยะยาว ประกอบด้วย 5.1 ใช้ระบบการผลิตแบบลีน (lean production) เป็ นการผลิต โดยให้ม ี สินค้าคงคลังน้อยทีส่ ุด 5.2 การผลิตแบบเพื่อผูบ้ ริโภค (consumption base) คือเป็ นการผลิต เมื่อมีใ บสังซื ่ ้อ และกาหนดระยะเวลาส่ งมอบที่แน่ นอน ไม่ใ ช่การ ผลิตประเภท การผลิตเพื่อเก็บเป็นสินค้าคงคลัง (make to stock) 5.3 การผลิตโดยการที่นาระบบโซ่อุปทานที่เป็ นเลิศ (best practice) มาใช้ จะส่งผลให้ทุกธุรกิจทีอ่ ยู่ในกระบวนการโซ่อุปทานโลจิสติกส์ ได้ประโยชน์ทุกฝา่ ย 5.4 การผลิตบนฐานแห่งความรวดเร็ว จะเกิดขึน้ ได้จริงและนาไปสู่การ ผลิตทีไ่ ม่มสี นิ ค้าคงคลัง เมื่อพิจารณากลยุทธ์และวิธกี ารดังกล่าว จะเห็นได้ว่าองค์กรต้องมีความ เข้าใจและมีค วามรู้ใ นหลาย ๆ ด้าน ได้แก่ การจัดการกลยุทธ์ธุ รกิจ การจัดการ กระบวนการเทคโนโลยีส ารสนเทศ และการพัฒนาองค์การ เป็ นต้น และควรมี แผนงานในด้า นต่ า ง ๆ อย่างชัดเจน เริ่ม ตัง้ แต่ ก ารกาหนดออกแบบโครงสร้า ง ตลอดจนกระบวนการต่ า ง ๆ ภายในห่ว งโซ่ อุ ป ทานอย่างเหมาะสม ครอบคลุ ม กระบวนการหรือการไหลของสินค้าบริการ ข้อมูล ตลอดจนลาดับของกระบวนการ เพื่อการกาหนดกระบวนการทีส่ อดคล้องกับกลยุทธ์ แล้วจึงทาการระบุประเภทของ เทคโนโลยี ส่ ง เสริม การด าเนิ น งานในแต่ ล ะกระบวนการ รวมทัง้ การพิจ ารณา


65 บุคลากรให้มลี กั ษณะทีส่ อดคล้องกับงานในแต่ละกระบวนการ วิธกี ารดังกล่าวนี้จงึ ช่วยให้ผปู้ ฏิบตั งิ านสามารถมองของห่วงโซ่อุปทานได้ทงั ้ ระบบอย่างแท้จริง 4. ประโยชน์ของการนาจัดการห่วงโซ่อุปทานมาประยุกต์ใช้ในองค์กร ธนิต โสรัตน์ (2550) ได้กล่าวถึงประโยชน์ของโซ่อุปทาน ไว้ดงั นี้ 4.1 เพิม่ ความรวดเร็วและว่องไวให้กบั ธุรกิจ เกิดความสะดวกรวดเร็วและ เพิ่ม ประสิท ธิภ าพในกระบวนการต่ า งๆของห่ ว งโซ่ อุ ป ทาน ท าให้ สามารถลดระยะเวลาในการส่งมอบสินค้า ทาให้การตลาดและการผลิต เป็ นแบบระบบการผลิตแบบทันเวลาพอดี (just in time) ทีม่ ผี ลต่อการ ส่งมอบวัตถุดบิ และการบริการต่างๆได้อย่างทันเวลา ซึง่ จะส่งผลทีด่ ตี ่อ การนาสินค้าใหม่ๆเข้าสู่ตลาด 4.2 การเพิ่มผลตอบแทนจากการลงทุน เนื่อ งจากสามารถลดต้นทุนการ ผลิตและต้นทุนโลจิสติกส์ได้อย่างมีประสิทธิผลและเพิม่ ผลตอบแทนใน รูปของกาไรให้กบั ธุรกิจ เนื่องจากการลดสินค้าคงคลัง ทาให้ต้นทุนของ การดาเนินธุรกิจในกระบวนการห่วงโซ่อุปทานมีต้นทุนโดยรวมลดลง เช่ น ต้ น ทุ น การขนส่ ง , ต้ น ทุ น ดอกเบี้ย และต้ น ทุ น ในการลงทุ น ใน สินทรัพย์ถาวร (fixed asset) โดยทาให้สามารถขายสินค้าได้มากขึน้ และจะทาให้ผลตอบแทนจากการลงทุน กิจกรรมได้เร็ว เนื่อ งจากทุก กระบวนการมุง่ ไปสู่การเพิม่ ยอดขายและลดต้นทุน 4.3 การตัดสินใจทางธุ รกิจตัง้ อยู่บนฐานของข้อ มูล และข่าวสารที่ถูกต้อ ง แม่ น ย า และมีเ ครือ ข่ า ยไปยัง ส่ ว นต่ า งๆของโลก โดยผ่ า นระบบ เทคโนโลยีสารสนเทศ ทาให้การตัดสินใจทางธุรกิจ ตัง้ อยู่บนฐานของ ข้อมูลอิเล็กทรอนิกส์ ซึง่ มีความรวดเร็วแม่นยา 4.4 เป็นการเพิม่ เครือข่ายเชื่อมโยงระดับโลก ทาให้แต่ละกระบวนการในโซ่ อุปทานเชื่อมต่อปฏิสมั พันธ์กบั หน่ วยงานต่างตัง้ แต่ผู้จดั หาวัตถุดบิ ไป จนถึงลูกค้า มีผลทาให้อุปสงค์อุปทานสามารถเชื่อมโยงกันได้ในระดับ โลกเป็ นการเพิม่ ผลผลิตยอดขาย เพิม่ ส่วนแบ่ งการตลาดและกาไรได้ อย่างมันคง ่ 4.5 เพิม่ ประสิทธิภาพของธุรกิจไปสู่การประหยัดจากการที่มขี อบเขตของ ตลาดและผู้ จ ัด จ าหน่ า ยกว้ า งไกลและพัฒ นาไปสู่ ก ารแข่ ง ขัน ใน ตลาดโลก ส่งผลต่อประสิทธิภาพในการสามารถแข่งขันกับทุกประเทศ ให้สนิ ค้ารุ่นเดียวกันสามารถผลิตให้กบั ลูกค้าหลากหลายราย ซึ่งที่สุด


66 การผลิตแบบตามคาสังซื ่ อ้ (make to order) ในปริมาณมากก็ส่งผลต่อ การประหยัด จากรอบความเร็ว ที่เ ป็ น การประหยัด ด้ ว ยความเร็ว (economies of speed) 4.6 สร้างความพอใจให้กบั ลูกค้า โดยกระบวนการต่างๆในห่วงโซ่อุปทาน สามารถสนองต่อ ความต้อ งการของลูก ค้าได้ต รงเป้าหมาย ซึ่งทาให้ ขจัดอุปสรรคการดาเนินงานได้อย่างมีประสิทธิภาพ เนื่อ งจากแต่ล ะ กระบวนการสามารถเชื่อมต่อผสมผสานกันแบบปฏิสมั พันธ์ คือ มีการ ประสานสัมพันธ์เป็นบูรณาการ 4.7 สามารถพัฒนาไปสู่การตลาดแบบบูรณาการ ซึ่งจะมีการปรับองค์ กร ไปสู่การดาเนินงานทีล่ ูกค้าเป็ นศูนย์กลาง (customers base) และทาให้ การตลาดมีการขับเคลื่อนแบบพลวัต (market dynamic) เป็ นการตลาดเพื่อ ลูกค้าอย่างแท้จริง 4.8 ดัชนีชว้ี ดั การดาเนินงาน (Key Performance Indicator: KPI) ในทุก กระบวนการสามารถ ที่จะทาดัชนีชว้ี ดั ประสิทธิภาพได้อย่างเที่ยงตรง โดยสามารถเลือกรูปแบบของดัชนีช้วี ดั การดาเนินงาน และบาลานซ์ สกอร์การ์ด (balance scorecard) ให้ตรงกับลักษณะของธุรกิจ 4.9 เป็ นการพัฒนาธุรกิจไปสู่การเติบโตบนความยังยื ่ น ซึ่งประโยชน์ ข้อนี้ จะเป็นหัวใจของการนาโซ่อุปทานโลจิสติกส์มาใช้และเป็ นหัวใจของการ ท าธุ ร กิจ เนื่ อ งจากการเติบ โตของธุ ร กิจ บนฐานของการจัด การโซ่ อุปทาน ตัง้ อยูบ่ นฐานขององค์ความรูแ้ ละการจัดการทีเ่ ป็ นวิทยาศาสตร์ ทัง้ ในด้านการตัดสินใจและที่เกี่ยวกับด้านต้นทุนการผลิต กาลังเป็ น เครือข่าย ก่อให้เกิดความเข้มแข็งของธุรกิจ ซึง่ อยูใ่ นโซ่อุปทานเป็ นการ เติบโตแบบคุณภาพและยังยื ่ น 5. ระบบบัญชีทต่ี อ้ งนามาประยุกต์ใช้ให้เหมาะสมกับการจัดการห่วงโซ่อุปทาน ชาคริยา ธาระรูป (2553) อ้างถึง อนุ รกั ษ์ ทองสุโขวงศ์ (2548) กล่าวว่า การบัญชีต้นทุนฐานกิจกรรม (Activity-Based Costing : ABC) เป็ นแนวคิดของ ระบบการบริหารต้นทุนทีเ่ กิดขึน้ ระหว่างปี 1988-1990 โดย Robin Cooper, Robert Kaplan และ H. Thomas Johnson ซึง่ เป็ นกลุ่มนักวิจยั จาก Harvard Business School ซึ่งถือว่ าเป็ นแนวคิดของระบบการบริหารต้นทุ นแบบใหม่ซ่ึงมี จุด มุ่ง หมายให้ผู้ท่ี เกี่ย วข้อ งกับ ต้ น ทุ น หัน มาให้ ค วามสนใจกับ การบริห ารกิจ กรรมและต้ น ทุ น ที่ เกี่ยวข้อง โดยการแบ่งกิจกรรมต่างๆ ที่ก่อให้เกิดผลิตภัณฑ์ออกมา ซึ่งกิจกรรม ต่างๆ นัน้ เป็ นสิง่ ที่ก่อให้เกิดต้นทุนที่แท้จริง โดยกิจกรรม คือ การกระทาที่เปลี่ยน


67 ทรัพ ยากรขององค์ก ร เช่น วัต ถุ ดิบ แรงงาน และเทคโนโลยีต่ างๆ ออกมาเป็ น ผลผลิตได้ และ อนุ รกั ษ์ ทองสุโขวงศ์ (2548) สรุปว่า การบัญชีต้นทุนกิจกรรม นอกจากเน้นการระบุกจิ กรรมของกิจการแล้ว ยังพยายามระบุต้นทุนของกิจกรรม เพื่อ ใช้ ใ นการค านวณต้ น ทุ น ผลิต ภัณ ฑ์ และเพื่อ เป็ น แนวทางในการพัฒ นา ประสิทธิภาพในการดาเนินงาน ซึ่ง ในการด าเนิ นงานภายในห่วงโซ่ อุ ปทานนัน้ จะประกอบด้วยกิจกรรม หลักๆ ตัง้ แต่ การจัดซื้อจัดหา การผลิต การบริหารคลังสินค้า การขนส่ งและการ กระจายสินค้าไปยังผู้บริโภคคนสุดท้าย และในกิจกรรมหลักเหล่านี้จะประกอบด้วย กิจกรรมย่อยต่างๆ อีกหลายกิจกรรม เพื่อให้การดาเนินงานตลอดห่วงโซ่เป็ นไปอย่าง สมบูรณ์ หรือเรียกรวมๆ ว่า กิจกรรมโลจิสติกส์ ดังนัน้ ในการคานวณค่าใช้จ่ายหรือ ต้นทุ นที่เกิดขึ้นตลอดทัง้ ห่ วงโซ่ นัน้ จึงจ าเป็ นที่จะต้องน าระบบบัญชีต้นทุ นฐาน กิจกรรม (ABC) เข้ามาประยุกต์ใช้ในองค์กร เพื่อสามารถสะท้อนถึงต้นทุนทีแ่ ท้จริงที่ เกิดขึ้นได้ดีกว่ าระบบบัญชีแบบอื่น โดยอนุ รกั ษ์ ทองสุ โขวงศ์ (2548) อธิบายว่ า ระบบบัญชีตน้ ทุนฐานกิจกรรม (ABC) เป็ นระบบบัญชีทม่ี กี ารคานวณต้นทุนทีเ่ น้นการ บริหารจัดการ โดยแบ่งการดาเนินงานออกเป็ นกิจกรรมต่างๆ และปนั ส่วนต้นทุนไป ยังกิจกรรมต่างๆ ตามปริมาณกิจกรรมทีใ่ ช้ โดยมีตวั ผลักดันต้นทุนก่อให้เกิดผลผลิต หรือ ผลิต ภัณ ฑ์เ ป็ นเกณฑ์ใ นการป นั ส่ ว น และสามารถน าไปใช้ก ับกิจกรรมที่ไ ม่ เกีย่ วข้องกับการผลิตได้ เช่น กิจกรรมทางการตลาด กิจกรรมทางด้านการเงิน เป็ นต้น นอกจากนี้ ร ะบบบัญ ชีต้ น ทุ น ฐานกิจ กรรมยัง แบ่ ง แยกต้ นทุ น ออกเป็ น ต้ น ทุ น ที่ ก่อให้เกิดประโยชน์หรือมูลค่าแก่องค์กรและต้นทุนทีไ่ ม่ก่อให้เกิดประโยชน์หรือมูลค่า แก่องค์กร ซึ่งเป็ นต้นทุนที่สามารถขจัดออกไปได้โดยปราศจากผลกระทบต่อมูลค่า ของผลิตภัณฑ์ เช่น การรอคอยการผลิต การจัดเก็บสินค้า การเคลื่อนย้ายสินค้า เป็ น ต้น ซึ่งการจาแนกต้นทุนเช่นนี้ เป็ นประโยชน์ในการจัดการห่วงโซ่อุปทาน เพราะทา ให้เข้าใจความเกี่ยวเนื่องและความสัมพันธ์กนั ระหว่างกิจกรรมต่างๆ และข้อมูลที่ได้ สามารถไปใช้ในการวางแผน ควบคุม และตัดสินใจในเชิงกลยุทธ์ในเรื่องต่างๆ เช่น การตัง้ ราคา การออกแบบหรือปรับเปลีย่ นผลิตภัณฑ์ และเป็ นแนวทางในการลดความ สูญเปล่าทีเ่ กิดขึน้ ให้น้อยทีส่ ุดหรือหมดไป ช่วยให้องค์กรสามารถลดต้นทุนตลอดห่วง โซ่ อุ ป ทานให้ ต่ า ที่ สุ ด ได้ อี ก ทัง้ สามารถเป็ น เครื่อ งมือ ส าคัญ ที่ก่ อ ให้ เ กิ ด การ เปลี่ยนแปลงเชิงพฤติกรรมของพนักงานเพื่อเพิม่ ประสิทธิภาพในการดาเนินงานเพื่อ ลดต้นทุนได้เช่นกัน


68 การจัดการสายธารคุณค่า 1. ความหมายของการจัดการสายธารคุณค่า เจษฎา ศรีรกั ษา (2551) กล่าวว่า สายธารแห่งคุณค่า (value stream) คือ การแสดงขัน้ ตอน กระบวนการทัง้ หมด โดยเริม่ ตัง้ แต่การรับวัตถุดบิ จนกระทังแปร ่ รู ป เป็ น ผลิต ภัณ ฑ์ แ ละส่ ง มอบให้ ลู ก ค้ า ซึ่ง มีก ารวิเ คราะห์ ก ารไหลตลอดทัง้ กระบวนการ เพื่อระบุความสูญเปล่าในกระบวนการหรือขัน้ ตอนที่ไม่สร้างคุณค่า เพิม่ และหาแนวทางปรับปรุงกระบวนการ ดังนัน้ แนวคิดสายธารแห่งคุณค่า จึงมัก ถูกใช้ในกระบวนการยกเครือ่ ง และแสดงการไหลด้วยแผนภูมสิ ายธารแห่งคุณค่า การจัดการสายธารคุณค่า (Value Stream Management: VSM) ทาหน้าที่ รวบรวมความสัมพันธ์ทงั ้ ด้านหน้าทีแ่ ละด้านการปฏิบตั กิ ารทีม่ อี ยู่ในสายธารคุณค่าเข้า ไว้ด้วยกันทัง้ หมด จัดการผลกระทบด้านธุ รกิจที่เกิดจากการแปลงสภาพไปสู่ ล ีน ส่ งเสริมความร่ วมมือระหว่ างสหภาพแรงงานกับฝ่ายผู้บริหาร และท าให้เข้าใจถึง ความหมายของลีนในองค์ประกอบทีแ่ ตกต่างกันได้อย่างชัดเจน 2. แผนผังสายธารคุณค่า

ภาพที่ 2-36 ตัวอย่างแผนผังสายธารคุณค่า ทีม่ า: Technical Change Associates. www.technicalchange.com. (19 March 2012)


69 ณัฏฐรินดา ฐิติเจริญพงษ์ (2552) กล่าวว่า หลังจากทาการวิเคราะห์กจิ กรรม ต่างๆในห่วงโซ่อุปทานแล้ว จะทาการจาแนกกิจกรรมทีไ่ ม่จาเป็ นและไม่ก่อให้เกิดคุณค่า ออกจากกิจกรรมที่เพิม่ คุณค่าให้กบั ผลิตภัณฑ์ โดยเครื่องมือที่จะนามาใช้ในขัน้ ตอนนี้ คือ แผนผัง สายธารคุ ณ ค่ า ซึ่ง เป็ น เครื่อ งมือ หนึ่ ง ของแนวคิ ด การผลิต แบบลี น มีรายละเอียดดังนี้ 2.1 ลักษณะของแผนผังสายธารคุณค่า แผนผังสายธารคุณค่า (Value Stream Mapping: VSM) คือ เครื่องมือ ที่ใ ช้ใ นการเขีย นแผนภาพที่แ สดงถึง เส้น ทางการผลิต ของผลิต ภัณ ฑ์ ซึ่ง แผนภาพจะแสดงทัง้ การไหลของวัตถุดบิ และข้อมูลในการผลิตนัน้ มีประโยชน์ ในการใช้จาแนกหรือระบุถึงขัน้ ตอนที่เป็ นการเพิม่ คุณค่าและที่ไม่เพิม่ คุณค่ า ให้ก ับผลิต ภัณ ฑ์หรือ ที่เ รียกว่า ความสูญ เปล่ า แล้ว จึงหาวิธ ีการเพื่อ ทาการ ก าจัด ความสู ญ เปล่ า นั ้น ออกไป ลัก ษณะของแผนผัง สายธารคุ ณ ค่ า เป็ น เครื่องมือง่ายๆ คือ ใช้เพียงกระดาษกับดินสอเท่านัน้ ก็ทาให้มองเห็นกิจกรรม การไหลทัง้ หมดในการเคลื่อ นผลิต ภัณ ฑ์ ตัง้ แต่ ว ตั ถุ ดิบจนไปสู่ผู้บ ริโภคขัน้ สุ ด ท้า ย เพื่อ ความสะดวกและง่า ยต่ อ การพิจารณาแผนภาพนัน้ ได้มกี ารใช้ คอมพิวเตอร์เข้ามาช่วยในการวาดแผนภาพนี้ ดังแสดงในภาพที่ 2-36 แผนผัง สายธารคุณค่าถือเป็ นเครื่องมือพื้นฐานในการที่จะพยายามผลักดันองค์กรให้ เข้าสู่การผลิตแบบลีนก่อนทีจ่ ะไปใช้เครือ่ งมืออื่นๆต่อไป

ภาพที่ 2-37 การไหลของวัตถุดบิ และข้อมูลในโซ่คุณค่า ทีม่ า: ณัฏฐรินดา ฐิตเิ จริญพงษ์. (2552) การไหลของวัตถุดบิ และข้อมูลทีแ่ ผนผังสายธารคุณค่าสามารถแสดงให้เห็น ได้ดงั ภาพที่ 2-37 คือ การไหลของวัตถุดบิ จะเริม่ จากผูจ้ ดั จาหน่ าย (supplier) ส่งมา


70 ให้โรงงานผูผ้ ลิต และเมื่อได้ผลิตภัณฑ์สาเร็จรูปแล้วโรงงานผูผ้ ลิตจะส่งให้ตวั แทน จาหน่ าย (distributor) เป็ นผู้จาหน่ ายออกไปจนถึงมือ ผู้บริโภคขัน้ สุ ดท้าย ในขณะที่ก ารไหลของข้อ มูลจะมีทศิ ทางกลับกันกับการไหลของวัต ถุดิบ คือ ผูแ้ ทนจาหน่ ายจะได้รบั ข้อมูลความต้องการของลูกค้าโดยตรงและข้อมูลความ ต้อ งการนั น้ จะถู ก ใช้ร่ว มกัน ทัง้ ผู้แ ทนจ าหน่ า ย โรงงานที่ผ ลิต และผู้จ ดั ส่ ง วัตถุดบิ ณัฏฐรินดา ฐิตเิ จริญพงษ์ (2552) อ้างถึง Hines and Rich (1997) อธิบายไว้ว่า ลักษณะของงานในการผลิตโดยทัวไปประกอบด้ ่ วย กิจกรรม การ ไหลของผลิตภัณฑ์ และข้อมูล สามารถแบ่งลักษณะของงานได้ 3 แบบ ดังนี้ 1. ลักษณะงานที่เป็ นการสร้างมูลค่าเพิม่ ให้กบั ผลิตภัณฑ์และลูกค้า คือกิจกรรมที่มคี ุณค่าต่อการดาเนินงานและตัวผลิตภัณฑ์ โดยเริม่ ตัง้ แต่ขนั ้ ที่เ ป็ นวัต ถุดบิ หรือชิ้นส่ว นที่ใช้ใ นการผลิต ว่าใช้แรงงาน หรือ เครื่อ งจัก รในการผลิต จนกะทัง่ กระบวนการสุ ด ท้า ยที่ไ ด้ ผลิตภัณฑ์ล กั ษณะงานเหล่านี้จะต้องอาศัยข้อมูลในการตัดสินใจ เป็นจานวนมาก 2. ลักษณะงานทีไ่ ม่สามารถสร้างมูลค่าเพิม่ ได้แต่เป็น คือ ลักษณะงาน ที่เ ป็ น ความสู ญ เปล่ า แต่ อ าจจ าเป็ น ต้ อ งยอมให้เ กิด ขึ้น ในการ ดาเนินงานลักษณะงานสูญ เปล่ าเหล่ า นี้อ าจจะไม่ส ามารถกาจัด ออกไปได้ แต่สามารถทาให้ลดลงได้ 3. ลักษณะงานที่ไม่ก่อให้เกิดมูลค่าเพิม่ กับผลิตภัณฑ์และลูกค้ า คือ ลักษณะงานที่เป็ นความสูญเปล่าและเป็ นกิจกรรมทีไ่ ม่จาเป็ น ควร กาจัดลักษณะงานเหล่านี้ออกไปจากการดาเนินงาน เช่น เวลาใน การรอคอย การทางานหรือกิจกรรมเดียวกันซ้าๆ เป็นต้น โกศล ดีศลี ธรรม (2548) ได้สรุปว่า สายธารแห่งคุณค่าจะแสดงภาพรวม ของสถานะกระบวนการปจั จุบนั ซึ่งถูกใช้เ ป็ นแนวทางปรับปรุงการด้วยการ กาหนดสถานะทีค่ วรจะเป็นในอนาคต ตลอดจนการจาแนกความสูญเปล่าต่างๆ ที่เ กิด ขึ้นในกระบวนการปจั จุบนั โดยมุ่งปรับปรุงการไหลของงานตลอดทัง้ กระบวนการและลดความผิดพลาดในกระบวนการ รวมทัง้ การเพิม่ คุณค่าของ แต่ละกิจกรรมซึง่ ส่งผลต่อการสร้างความพึงพอใจให้กบั ลูกค้า 2.2 ข้อดีของแผนผังสายธารคุณค่า 2.2.1 แสดงให้เห็นถึงความสัมพันธ์ของกระบวนการผลิตกับโซ่อุปทาน ช่อง ทางการจาหน่ายและการไหลของข้อมูล 2.2.2 รวมการไหลของข้อมูล และวัตถุดบิ ให้อยูใ่ นแผนภาพเดียวกัน


71 2.2.3 สร้างภาษาพืน้ ฐานสาหรับความเข้าใจเกีย่ วกันในกระบวนการผลิต 2.2.4 ทาให้มองเห็นความสูญเปล่าทีม่ อี ยูใ่ นกระบวนการและแหล่งทีม่ าของ ความสูญเปล่านัน้ 2.2.5 ช่วยในการตัดสินใจออกแบบการไหลทีเ่ หมาะสม 2.3 ข้อจากัดของแผนผังสายธารคุณค่า ข้อจากัดของแผนผังสายธารคุณค่า คือ ไม่สามารถทาการวัดผลทาง เศรษฐศาสตร์ เช่น กาไร ค่าใช้จา่ ยในการปฏิบตั งิ าน หรือการเก็บวัสดุคงคลังได้ นพดล อิม่ เอม (2548) ได้สรุปว่า การใช้แผนผังสายธารคุณค่านัน้ จะช่วย ให้เราสามารถมองเห็นภาพรวมของความสูญเปล่าทัง้ หมดและทาให้สามารถจาแนก ลักษณะความสูญเปล่าทัง้ หมด และทาให้สามารถจาแนกลักษณะความสูญเปล่าแต่ ละแบบ เพื่อกาหนดแผนการขจัดทิง้ ทีส่ ามารถเห็นผลให้ผลผลิตตรงกับความเร็วที่ ลูกค้าต้องการ และนาไปสู่การลดคงคลังและลดคนต่อกระบวนการลง เพื่อให้ต้นทุน ต่อผลิตภัณฑ์ดา้ นแรงงานและโสหุย้ ลดลง รวมถึงส่งผลต่อการลดต้นทุนด้านวัตถุดบิ ทีส่ ญ ู เปล่าอีกด้วย ซิกซ์ ซิกมา 1. ความหมายของซิกซ์ซกิ มา กรมนักเรียนนายเรืออากาศ (2547) กล่าวว่า ซิกซ์ซกิ มา (six sigma) เป็ นการ บริหารทีม่ งุ่ เน้นในการลดความผิดพลาด ลดความสูญเปล่า และลดการแก้ไขตัวชิน้ งาน และสอนให้พนักงานรู้แนวทางในการทาธุ รกิจอย่างมีหลักการ และจะไม่พยายาม ั หาแต่ จะพยายามก าจัดป ญ ั หาทิ้ง ซิกซ์ซิกมาจะดีท่ีสุดเมื่อทุ กคนใน จัดการกับป ญ องค์การร่วมมือกันตัง้ แต่ ประธานบริษัทไปจนถึงบุคลากรทัวไปในองค์ ่ การ ซึ่งซิกซ์ ซิกมาเป็ นการรวมกันระหว่างอานุ ภาพแห่งคน (power of people) และอานุ ภาพแห่ง กระบวนการ (process power) ซึง่ ถ้าตัวซิกซ์ซกิ มามีค่าสูงหรือมีความผันแปรมากขึน้ เท่ าไร ก็ เ ปรีย บเสมือ นมีการท าข้ อ ผิด พลาดมากขึ้นเท่ านั ้น ซึ่ ง โอกาสที่จ ะเกิ ด ข้อผิดพลาดตัวนี้เรียกว่า โอกาสการเกิดข้อบกพร่อง/ของเสีย ของการผลิตหรือการ ปฏิบตั งิ านใดๆ ใน 1 ล้านครัง้ (Defects Per million Opportunities: DPMO) ซิกซ์ซกิ มาจึงถูกนามาใช้เป็ นชื่อเรียกของวิธกี ารปรับปรุงประสิทธิภาพใน ขบวนการใด ๆ โดยมุ่งเน้นการลดความไม่แน่ นอน (variation) และการปรับปรุงขีด ความสามารถในการทางานให้ได้ตามเป้าหมายที่กาหนด เพื่อนามาซึง่ ความพอใจ


72 ของลูกค้า และผลทีไ่ ด้รบั สามารถวัดเป็นจานวนเงินได้อย่างชัดเจน ไม่ว่าจะเป็ นการ เพิม่ รายได้ หรือลดรายจ่ายก็ตาม 2. เป้าหมายสาคัญ 3 ส่วนทีเ่ ป็นความพยายามของ ซิกซ์ซกิ มา คือ 2.1 ปรับปรุงการสร้างความพึงพอใจให้แก่ลกู ค้า 2.2 การลดรอบเวลา (cycle time) 2.3 การลดข้อบกพร่องต่างๆ ทีเ่ กิดขึน้ 3. กระบวนการมาตรฐานของซิกซ์ซกิ มา

ภาพที่ 2-38 กระบวนการมาตรฐานของซิกซ์ซกิ มา ทีม่ า: Lean Sigma Institute. www.sixsigmainstitute.com. (19 March 2012) กระบวนการมาตรฐานของ ซิกซ์ซกิ มาประกอบด้วย 5 ขัน้ ตอนสาคัญ คือ 3.1 D : define 3.2 M : measure 3.3 A : analyze 3.4 I : improve 3.5 C : control


73 ซึ่งเรียกย่อๆ ว่า DMAIC โดย วชิรพงษ์ สาลีสงิ ห์ (2548) ได้อธิบาย รายละเอียดในแต่ละขัน้ ตอน สรุปได้ดงั นี้ 1. ขัน้ ตอนการระบุและคัดเลือกหัวข้อ (define) เพื่อการดาเนินการตาม โครงการซิกซ์ซกิ มาในองค์กร โดยมีขนั ้ ตอนการคัดเลือกโครงการ ดังนี้ 1.1 ขัน้ ตอนที่ 1 โครงการนัน้ ต้องสอดคล้องกับเป้าหมายหลักขององค์กร (business goal) 1.2 ขัน้ ตอนที่ 2 มอบหมายให้ฝา่ ยต่างๆ ทีเ่ สนอโครงการไปพิจารณาหากล ยุทธ์ (strategy) ในการดาเนินงานที่สอดคล้องกับเป้าหมายหลักของ องค์กร (ตามขัน้ ตอนที่ 1) 1.3 ขัน้ ตอนที่ 3 แต่ละฝ่ายนาเสนอกลยุทธ์ในการดาเนินการให้ผู้บริหาร ทราบ และเมื่อผู้บริหารเห็นชอบแล้ว ให้กลับไปก าหนดพื้นที่ท่ีจะ ดาเนินงาน (high potential area) 1.4 ขัน้ ตอนที่ 4 ซึ่งเป็ นขัน้ ตอนสุ ดท้าย หลังจากก าหนดพื้นที่ท่ีจะ ดาเนินการได้แล้ว ให้แต่ละฝ่ายกลับไปพิจารณาหัวข้อย่อยทีจ่ ะใช้ใน การดาเนินการ 2. เป็ นขัน้ ตอนการวัดความสามารถของกระบวนการ (measure) ทีเ่ ป็ น จริง ในป จั จุ บ ัน ขัน้ ตอนการวัด จะแบ่ ง การด าเนิ น งานออกเป็ น 5 ขัน้ ตอน คือ 2.1 ขัน้ ตอนการวางแผนและดาเนินการคัดเลือกตัวชีว้ ดั ทีเ่ หมาะสมในการ ดาเนินการโครงการ (plan project with metric) 2.2 ขัน้ ตอนการวัดค่าความสามารถของกระบวนการ (baseline project) ที่ เป็ นจริงในป จั จุ บ ัน โดยวัดผ่ านตัวชี้ว ัดต่ างๆ ที่เลือกสรรมาจาก ขัน้ ตอนที่ 1 2.3 ขัน้ ตอน consider lean tools คือ วิธกี ารปรับปรุงกระบวนการด้วยการ ใช้เทคนิคต่างๆ ของวิศวกรรมอุตสาหการ 2.4 ขัน้ ตอนการวิเคราะห์ระบบการวัด (Measurement System Analysis: MSA) ขัน้ ตอนนี้เป็ นขัน้ ตอนทีส่ าคัญมาก เป็ นขัน้ ตอนการตรวจสอบ เครื่องมือหรืออุปกรณ์ในการทางานว่ามีความปกติหรือไม่ ก่อนจะลง มือปฏิบตั งิ าน 2.5 ขัน้ ตอนการน าประสบการณ์ ท่ีผ่ า นมาขององค์ ก ร (organization experience) จะช่วยคิดในการแก้ไขปญั หา 3. ขัน้ ตอนนี้คอื การวิเคราะห์(analyze) สาเหตุของปญั หาหลัก ซึง่ เป็ นการ วิเคราะห์ในเชิงสถิติเพื่อระบุสาเหตุหลักที่ส่งผลโดยตรงต่อปญั หานัน้


74 ซึง่ เรียกสาเหตุหลักนี้ว่า (Key Process Input Variable: KPIV) ซึง่ ต้อง สามารถระบุให้ชดั เจนว่า อะไรคือ KPIV ของปญั หาและต้องสามารถ เชื่อมโยงกับ ตัวหลักของกระบวนการ หรือทีเ่ รียกว่าตัววัดในกระบวนการ ผลิตทีต่ ้องการปรับปรุง (Key Process Output Variable: KPOV) ให้ได้ หลัก การสถิติ ท่ีใ ช้ ใ นการวิเ คราะห์ ได้ แก่ การตรวจสอบสมมติฐาน (hypothesis testing) ผังการกระจาย (scattering diagram) การวิเคราะห์ การถดถอย (regression analysis) เป็นต้น 4. ขัน้ ตอนนี้คอื การปรับ (improve) ตัง้ ค่าสาเหตุหลัก KPIV โดยมีจุดประสงค์ เพื่อให้ผลลัพธ์ของกระบวนการเป็ นไปตามต้องการ ด้วยการใช้เทคนิคการ ออกแบบทดลอง (Design Of Experiment: DOE) เพื่อปรับตัง้ ค่าสภาวะ ต่างๆของกระบวนการให้เป็นไปตามความต้องการ 5. ขัน้ ตอนนี้เป็ นขัน้ ตอนสุดท้าย ซึ่งต้องดาเนินการออกแบบระบบควบคุณ (control) คุณภาพของกระบวนการเพื่อให้เกิดความมันใจว่ ่ ากระบวนการจะ ย้อนไปมีปญั หาเหมือนเดิมอีก 4. ประโยชน์ของซิกซ์ซกิ มา ไพโรจน์ บาลัน (2549) กล่าวว่า หากองค์กรได้ตดิ ตัง้ กระบวนการคุณภาพ ซิก ซ์ ซิก มาแล้ ว จะท าให้ ส ามารถตอบค าถามที่ส าคัญ ต่ า งๆ ขององค์ ก รได้ ตลอดเวลา เช่น 4.1 อะไรมีความสาคัญต่อลูกค้าและผูม้ สี ่วนได้ส่วนเสียทีส่ าคัญรายอื่นๆ 4.2 กระบวนการขององค์กร สามารถตอบสนองต่อความต้องการของลูกค้า และผูม้ สี ่วนได้ส่วนเสียทีส่ าคัญรายอื่นๆ ได้อย่างสมบูรณ์หรือไม่ 4.3 องค์กรควรจะทาโครงการอะไรบ้าง และจัดลาดับก่อนหลังอย่างไร 4.4 องค์กรจะรูไ้ ด้อย่างไรว่า ความพยายามขององค์กร ก่อให้เกิดคุณค่าที่ เป็นรูปธรรมและมีความยังยื ่ น


75 การวิ เคราะห์สินค้าคงคลังแบบ ABC

ภาพที่ 2-39 การจัดการสินค้าคงคลังแบบ ABC ทีม่ า: มหาวิทยาลัยแม่ฟ้าหลวง. http://e-learning.mfu.ac.th. (19 มีนาคม 2555) บรรหาญ ลิลา (2553) กล่าวว่าการวิเคราะห์สนิ ค้าคงคลังแบบ ABC เป็ นการแบ่งแยก กลุ่มของผลิตภัณฑ์ ตามเกณฑ์ท่กี าหนดขึ้น โดยเกณฑ์เ หล่านี้จะเป็ นเกณฑ์ท่มี ผี ลสาคัญต่ อ องค์กร โดยทัวไปแล้ ่ วจะอยู่ในรูปของมูลค่าของผลิตภัณฑ์นนั ้ ๆทีม่ ตี ่อองค์กร เช่น กาไร ต้นทุน หรือยอดขาย เป็นต้น ทัง้ นี้เนื่องจากมีชนิดของของในคลังสินค้าจานวนมาก อาจเป็ นจานวนร้อย หรือ พัน หรือ มากกว่าก็ได้ ของเหล่านัน้ ไม่ได้มคี วามสาคัญต่ อองค์กรเท่ากัน บางประเภทมี ความสาคัญมาก บางประเภทมีความสาคัญน้อย เช่น อาจมีของในคลังสินค้าจานวน 5-10 % ของทุกชนิดทีม่ อี ยู่ มีมลู ค่า 70-80 % ของมูลค่าของทัง้ หมด ทีเ่ หลือมีมลู ค่าลดลงไปตามลาดับ การแบ่งประเภทของของคงคลังออกเป็น 3 ประเภทหลัก (A, B และ C) จะช่วยให้องค์กรทาการ ควบคุมได้เหมาะสมมากยิง่ ขึน้ กฎเกณฑ์ในการแบ่งประเภทของพัสดุคงคลังนัน้ ไม่มกี ฎเกณฑ์ท่ี ตายตัว องค์กรต้องปรับให้เหมาะสมกับสถานการณ์ อย่างไรก็ตาม Ballou (1999) ได้แนะนาให้ใช้กฎเกณฑ์ 80-20 (80-20 Principle) ใน การแบ่งแยกประเภทของสินค้าตามยอดขาย โดยมีแนวคิดว่า ผลิตภัณฑ์จานวน 20 % ของ ทัง้ หมดส่งผลต่อยอดขาย 80 % ซึง่ กฎเกณฑ์น้ีกเ็ ช่นเดียวกัน ไม่ใช่กฎทีถ่ ูกต้องเสมอไป เพียง เป็นคาแนะนาเบือ้ งต้นเท่านัน้ เกณฑ์ทแ่ี นะนาไว้น้ีเป็ นเพียงเกณฑ์ทน่ี ิยม และได้รบั การกล่าวถึง


76 ไว้ในหนังสือทีเ่ กี่ยวข้องกับระบบการควบคุมของคงคลังทัวไป ่ ในทางปฏิบตั ิ ตัวเลขที่ใช้ในการ แบ่งกลุ่มอาจไม่ลงตัวเหมือนกับทีแ่ นะนาไว้น้ี ก็ให้ปรับไปตามความเหมาะสม นอกจากด้านมูลค่าแล้ว โดยปกติผลิตภัณฑ์ในกลุ่ม A จะเป็ นผลิตภัณฑ์ทม่ี กี ารใช้มาก ระดับในคลังสินค้าจะมีการเคลื่อนไหวอยู่เสมอ ดังนัน้ ของที่อยู่ในกลุ่ม A จึงต้องมีการควบคุม อย่างเข้มงวดมากทีส่ ุด จัดให้มสี นิ ค้าสารองน้อยทีส่ ุด เพราะมีมูลค่าสูง ความต้องการต้องมีการ พยากรณ์อย่างแม่นยา นอกจากนี้ยงั ต้องควบคุมไปถึงระบบและกระบวนการจัดซือ้ การตรวจรับ และสัญญาผูกพัน ทัง้ ด้านผู้ขายที่ซ้อื มาและลูกค้าที่จะขายให้ต่อไป ระบบที่ใช้ควรเป็ นระบบ ต่อเนื่องหรือปริมาณการสังคงที ่ ่ ในขณะทีก่ ลุ่ม B และ C จะมีการเคลื่อนไหวน้อยกว่าตามลงมา ในขณะทีก่ ลุ่ม B และ C อาจยอมให้มกี ารละเลยได้บ้าง จานวนทีเ่ ก็บไว้ในคลังสินค้ายอมให้ม ี จานวนสูงกว่าในกลุ่ม A ระบบทีใ่ ช้อาจเป็นระบบช่วงเวลา เพื่อประหยัดค่าใช้จา่ ย งานวิ จยั ที่เกี่ยวข้อง จากการศึกษางานวิจยั ทีเ่ กีย่ วข้องมีดงั นี้ 1. การศึ ก ษาเรื่อ ง การประยุ ก ต์ ใ ช้ ก ารจัด การสายธารคุ ณ ค่ า ในการปรับ ปรุ ง ประสิท ธิภ าพ กระบวนการบริห ารจัด การค าสัง่ ซื้อ กรณี ศึก ษา บริษัท ผู้ ผ ลิต แผ่นวงจรอิเล็กทรอนิกส์ โดย กัลยกร เกษกมล (2552) พบว่า 1.1 มีวตั ถุประสงค์เพื่อศึกษา การลดต้นทุนการบริหารจัดการองค์กรในด้านการลด เวลาการทางาน และการปรับปรุงเพื่อเพิม่ ประสิทธิภาพกระบวนการทางานของ การจัดการคาสังซื ่ อ้ ของบริษทั กรณีศกึ ษา และเพื่อทบทวนกระบวนการจัดการ คาสังซื ่ ้อปจั จุบนั (AS IS Model) ภายใต้แนวทางการจัดการสายธารคุณค่า (Value Stream Management) และจัดการปรับปรุง ออกแบบกระบวนการ จัดการใหม่ (TO BE Model) โดยกาจัดกิจกรรมที่ไม่จาเป็ นในการจัดการ ออกไป เพื่อทาให้เวลาในการจัดการ ลดลงตามแนวคิดลีน 1.2 วิธ ีก ารศึก ษาประกอบด้ว ย การคัด เลือ กผลิต ภัณ ฑ์ท่ีเ ป็ น เป้ า หมายในการ ปรับปรุง การรวบรวมข้อ มูลเชิงลึกของกระบวนการทางานแล้วสร้างแผนผัง กระบวนการทางานด้วย Process Flow Chart สร้างแผนภาพการจัดการสาย ธารคุณค่าของกระบวนการจัดการปจั จุบนั (AS IS Model) และศึกษาประสิทธิภาพ ของกระบวนการจัดการปจั จุบนั รวมถึงวิเคราะห์ว่ากิจกรรมใดเหมาะสมทีจ่ ะทาการ ปรับปรุง ทาการประเมินและระบุความสูญเปล่าและปรับปรุงกระบวนการจัดกร ออกแบบและสร้างแผนผังกระบวนการจัดการใหม่ โดยสร้า งแผนภาพการ จัดการสายธารคุณค่าของกระบวนการจัดการใหม่ (TO BE Model) และวิเคราะห์


77 เปรียบเทียบระหว่างกระบวนการจัดการปจั จุบนั (AS IS Model) และกระบวนการ จัดการใหม่ (TO BE Model) 1.3 ผลการศึกษา พบว่า หลังจากที่ได้ทาการประยุกต์ใช้การจัดการสายธารคุณค่า ในการปรับ ปรุง ประสิท ธิภ าพ ท าให้บ ริษัท กรณีศึก ษาสามารถลดเวลาการ ทางานรวมของกระบวนการจัดการคาสังซื ่ อ้ ได้จาก 1,821 นาที เหลือเพียง 661 นาที ซึง่ ลดลง 1,160 นาที หรือคิดเป็น 64% 2. การศึกษาเรื่องปจั จัยความสาเร็จของเกษตรกรชาวนาจังหวัดฉะเชิงเทราในการ จัดการโซ่อุปทาน โดยสิรณ ิ ฐั ควรประกอบกิจ (2553) พบว่า 2.1 วัตถุประสงค์ เพื่อศึกษาการจัดการโซ่อุปทานข้าวของเกษตรกรชาวนา จังหวัด ฉะเชิงเทรา ความสัม พันธ์ระหว่า งการจัดการโซ่อุ ป ทานข้า วของเกษตรกร ชาวนากับ ผลสัม ฤทธิท์ ่ีเ กิด ขึ้น จากการน าแนวคิด การจัด การโซ่ อุ ป ทานมา ประยุกต์ใช้ และศึกษาปญั หาและอุปสรรคทีเ่ กิดขึน้ ในโซ่อุปทานข้าวของเกษตร ชาวนา 2.2 วิธกี ารศึกษา ใช้ระเบียบวิธวี จิ ยั ทัง้ เชิงปริมาณและเชิงคุณภาพ โดยใช้การ ส ารวจความคิด เห็น ด้ ว ยแบบสอบถาม โดย าจั ด ท าขึ้น ตามกระบวนการ ดาเนินงานของการบริหารโซ่ อุปทาน คือ การวางแผน แหล่งจัดหา การจัดทา การส่ ง มอบ และการส่ ง คืน และสัม ภาษณ์ แบบไม่ม ีโครงสร้างกับ เกษตรกร ชาวนา 2.3 ผลการศึกษา พบว่า การจัดการโซ่อุปทานมีความสัมพันธ์เชิงบวกกับผลสัมฤทธิ ์ ทีเ่ กิดขึน้ ทัง้ ในด้านการลดต้นทุนในการดาเนินงานได้อย่างมีประสิทธิภาพ การ เพิม่ ความสามารถในการผลิตได้สูงขึน้ ตอบสนองความต้องการของลูกค้าได้ รวดเร็ว และมีก าไรและผลประกอบการดีข้นึ แสดงให้เ ห็นว่า การจัดการโซ่ อุปทานก่อให้เกิดประโยชน์และสร้างความได้เปรียบในเชิงแข่งขัน ส่วนปญั หา และอุปสรรคพบว่า การจัดกาโซ่อุปทานข้าว ด้านการวางแผนคือ ไม่สามารถ วางแผนการเพราะปลูกได้ ด้านแหล่งจัดหาคือ แหล่งวัตถุดบิ มีน้อยราย ขาด ความน่ าเชื่อถือ และอยู่ไกล ด้านการจัดทาคือ ปจั จัยการผลิตมีราคาสูง ด้าน การส่งมอบคือ ค่าใช้จ่ายในการขนส่งสินค้าและวัตถุดบิ มีราคาสูง รถขนส่งไม่ เพียงพอในช่ว งฤดูกาล ส่ วนด้านส่ งคืน ไม่มกี ารจัดทาตารางการคืนสินค้าที่ ชารุด มีตน้ ทุนเพิม่ ขึน้ จากค่าขนส่ง ค่าเสียโอกาส ค่าติดต่อสื่อสาร และไม่มกี าร ทาสัญญาหรือกาหนดเงือ่ นไขการรับคืน 2.4 ข้อกาจัดการศึกษา พบว่าไม่สามารถศึกษาสมาชิกทุกหน่ วยภายในเครือข่ายโซ่ อุปทานได้ทงั ้ หมด แต่ได้ศกึ ษาเฉพาะเกษตรกรขาวนาที่ทาหน้าที่ในการผลิต เท่านัน้ และสารวจในพืน้ ทีท่ ม่ี กี ารผลิตข้าวมากทีส่ ุดในจังหวัดฉะเชิงเทรา


78 3. การศึกษาเรื่อง การปรับปรุงประสิทธิภาพการดาเนินการด้านห่วงโซ่อุปทานของ โรงงานอาหารสัตว์ โดย สุวภัทร รักเสรี (2552) พบว่า 3.1 มีว ตั ถุ ประสงค์เ พื่อ ประเมินและกาจัดกิจกรรมที่ไม่เกิดคุ ณค่ าต่อ โซ่อุ ปทาน โรงงานอาหารสัตว์และทาการหาแนวทางแก้ไขปญั หารวมถึงปรับปรุงปรับปรุง ประสิทธิภาพด้านการจัดการโซ่อุปทาน และการจัดการโลจิสติกส์ 3.2 วิธ ีก ารศึก ษา ได้ป ระยุกต์น าเอาแบบจาลองอ้างอิง การด าเนิน งาน (SCOR model), quick scan, value stream analysis and mapping และการจาลอง สถานการณ์ มาประยุกต์ใช้กบั การออกแบบประเมินกรณีศกึ ษาโรงงานอาหาร สัตว์ โดยได้ใช้การวิเคราะห์สายธารคุณค่า (value steam mapping) เข้ามา ช่วยระบุกจิ กรรมต่างๆ ว่ากิจกรรมใดที่มคี ุณค่าเพิม่ กิจกรรมที่ไม่เพิม่ มูลค่า และกิจกรรมที่ไม่มมี ูลค่าเพิม่ แต่จาเป็ น และนาตัวแบบ SCOR model มาใช้ จัดทาดัชนีช้วี ดั ประสิทธิภาพการดาเนินงานของโรงงานกรณีศึกษา ใช้แนว คาถามของวิธ ี quick scan เพื่อให้ทราบถึงการดาเนินงานของโรงงานกรณีศกึ ษา และปญั หาทีเ่ กิดขึน้ 3.3 ผลการวิจยั พบว่า เมื่อนาแบบประเมินประสิทธิภาพการดาเนินงานทีพ่ ฒ ั นาขึน้ มาจากหลักการของ SCOR model มาทาการประเมินทัง้ หมด 5 ด้าน ผลการ วิเคราะห์พบว่าถ้าผูป้ ระกอบการปรับโครงสร้างการทางานใหม่ตามแนวทางการ ปฏิบตั ทิ เ่ี ป็นเลิศจะทาให้รอบระยะเวลาในการทางานของผูส้ ่งมอบวัตถุดบิ ลดลง จากงานวิจยั ทีเ่ กี่ยวข้องข้างต้น จะพบว่าในการศึกษาการนาระบบห่วงโซ่อุปทานมาใช้ เพื่อ บริห ารต้นทุ นให้ม ีมูล ค่ า ต่ า ที่สุ ด และเพื่อ ให้ก ระบวนการต่ า งๆในแต่ ล ะกิจ กรรม มีการ ดาเนินงานเป็ นไปอย่างต่อเนื่องและลื่นไหล โดยมีทาให้กาจัดกิจกรรมทีไ่ ม่จาเป็ นในการจัดการ ออกไป ทาให้เวลาในการจัดการกระบวนการต่างๆ ลดลงส่งผลให้มกี ารผลิตได้ในปริมาณมาก ขึ้น และตอบสนองลู ก ค้ า ได้ ร วดเร็ว มากยิ่ง ขึ้น ดัง นั ้น ผู้ ท าการศึก ษาจึง มีค วามสนใจที่จ ะ ทาการศึกษาการนาระบบห่วงโซ่อุปทานมาประยุกต์ใช้เพื่อการลดต้นทุน โดยมีวธิ กี ารศึกษาคือ จะมีการรวบรวมข้อมูลขัน้ ปฐมภูมจิ ากการสัมภาษณ์พนักงานในแผนกทีเ่ กี่ยวข้องในองค์กร และ ศึกษาข้อมูลทุตยิ ภูมจิ ากทฤษฎีต่าง ๆและงานวิจยั ทีเ่ กี่ยวข้อง อีกทัง้ ยังมีใช้การแนวคาถามของ วิธ ี quick scan เพื่อให้ทราบถึงการดาเนินงานขัน้ ต้นของบริษทั กรณีศกึ ษา และปญั หาทีเ่ กิดขึน้ ก่อนการทีจ่ ะนาระบบห่วงโซ่อุปทานมาใช้


79 กรอบแนวคิ ดการศึกษา

ปัจจัยที่ส่งผลต่อการบริหารต้นทุนโดยใช้ เครือ่ งมือการจัดการห่วงโซ่อปุ ทาน 1. หลักแนวคิดและทฤษฎีทน่ี ามาใช้ 2. การวัดผลการดาเนินงานทางด้าน ประสิทธิภาพ ดังนี้ 2.1 การติดต่อระหว่างหน่วยงานภายใน องค์กร 2.2 เวลาทีใ่ ช้กระบวนการในการจัดหาวัตถุดบิ 2.3 กาลังการผลิต 2.4 ของเสียในกระบวนการผลิต 2.5 ต้นทุนการผลิต 2.6 ความพึงพอใจภายในองค์กร 2.7 ความพึงพอใจของลูกค้า 3. การบริหารการจัดการห่วงโซ่อุปทานเพื่อการ พัฒนาอย่างยังยื ่ น

ผลในการบริหารต้นทุน โดยเลือกระบบการ จัดการห่วงโซ่อปุ ทานมาใช้ 1. การดาเนินงานในแต่ละกระบวนการตาม หลักการจัดการห่วงโซ่อุปทาน 2. การวัดผลการดาเนินงานทางด้าน ประสิทธิภาพดังนี้ 2.1 การติดต่อระหว่างหน่วยงานภายใน องค์กร 2.2 เวลาทีใ่ ช้กระบวนการในการจัดหา วัตถุดบิ 2.3 กาลังการผลิต 2.4 ของเสียในกระบวนการผลิต 2.5 ต้นทุนการผลิต 2.6 ความพึงพอใจภายในองค์กร 2.7 ความพึงพอใจของลูกค้า

ภาพที่ 2-40 กรอบแนวคิดการศึกษา การศึกษาการบริหารต้นทุนโดยใช้เครื่องมือการจัดการห่วงโซ่อุปทาน ของบริษัท กขค จากัด ทาการศึกษาดังนี้ 1. หลักแนวคิดและทฤษฎีท่นี ามาใช้ การวัดผลการดาเนินงานทางด้านประสิทธิภาพ และการบริห ารการจัดการห่ ว งโซ่อุ ปทานเพื่อ การพัฒนาอย่างยังยื ่ น โดยใช้ว ิธ ี การศึกษาเป็ นการเปรียบเทียบผลการดาเนินทางด้านประสิทธิภาพกิจกรรมและ ผลกระทบต่างๆ ก่อนและหลังการนาการจัดการห่วงโซ่อุปทานมาใช้ 2. วิธกี ารศึกษา 2.1 การวิเคราะห์งบการเงิน 2.2 การเยีย่ มชมโรงงานและการสัมภาษณ์ เกี่ยวกับแนวคิดและหลักการการจัดการ ห่วงโซ่อุปทาน


80 3. เครือ่ งมือทีใ่ ช้ในการศึกษา 3.1 การวิเคราะห์งบการเงินแบบแนวตัง้ 3.1.1 งบแสดงฐานะการเงิน กาหนดให้สนิ ทรัพย์รวม และหนี้สนิ และส่วนของผูถ้ อื หุน้ เท่ากับ 100% รายการสินทรัพย์ หรือ รายการหนี้สนิ และส่วนของผูถ้ อื หุน้ สินทรัพย์รวม หรือหนี้สนิ และส่วนของผูถ้ หิ นุ้ 3.1.2 งบกาไรขาดทุน กาหนดให้รายได้จากการดาเนินงาน เท่ากับ 100% รายการรายได้หรือค่าใช้จ่าย รายได้จากการดาเนินงาน 3.2 การวิเคราะห์งบการเงินแบบแนวนอน งบแสดงฐานะการเงินและงบกาไรขาดทุน กาหนดให้ปีใดปีหนึ่งเป็นปีฐาน รายการปีที n อัตราร้อยละ รายการปีฐาน


บทที่ 3 กรณี ศึกษา ประวัติของบริ ษทั บริ ษทั กขค จากัด บริษ ั ท กขค จำกั ด ประกอบกิ จ กำรผลิต และจัด จำหน่ ำ ยหลอดไฟฟ้ ำฟลู อ อ เรสเซนต์ สตำร์ทเตอร์ และอุปกรณ์ให้แสงสว่ำงเพื่อผลิตสินค้ำส่งขำยใน ประเทศและ ต่ำงประเทศ ผลิ ตภัณฑ์ของบริ ษทั ผลิตภัณฑ์ของบริษทั กขค จำกัด ได้แก่ หลอดจำปำ หลอดไส้ หลอดตะเกียบ หลอดไฟ ฟลูออเรสเซนต์ชนิดตรงและชนิดวงแหวน และสตำร์ทเตอร์ดงั ภำพที่ 3-1

ภำพที่ 3-1 ผลิตภัณฑ์ของบริษทั ทีม่ ำ: บริษทั ลีก้ จิ เจริญแสง จำกัด. 2555.


82 กระบวนการผลิ ตหลอดไฟ หลอดไฟฟลูออเรสเซนต์แบบตรง (fluorescent lamp)

ภำพที่ 3-2 กระบวนกำรผลิตหลอดไฟฟลูออเรสเซนต์แบบตรง ทีม่ ำ: บริษทั กขค จำกัด. 2555. ขัน้ ตอนการผลิ ต 1. นำหลอดแก้วใสมำล้ำงทำควำมสะอำดด้วยน้ำแล้วเปำ่ ให้แห้ง ั๊ 2. เคลือ บหลอดแก้ว ด้ว ยสำรเคลือ บหลอดจำกนั น้ ก็จ ะป มตรำสิ น ค้ำ ที่ ด้ำนข้ำงของหลอดแก้ว 3. เผำไฟทีด่ ำ้ นหัวและท้ำยของหลอดแก้ว 4. ปำดสี (end cleaning) ทีห่ วั และท้ำยหลอด 5. อบหลอดแก้ว (baking) ทีอ่ ุณหภูม ิ 600 – 700 องศำเซลเซียส 6. สำยพำนจะลำเลียงหลอดแก้วเข้ำเครื่องใส่ไส้หลอด และผนึกหัวท้ำย (sealing) 7. หลอดไฟจะถูกส่งไปยังเครือ่ งไล่อำกำศ เพื่อให้เกิดภำวะสุญญำกำศ และ บรรจุก๊ำซเฉื่อยและสำรปรอท เพื่อให้เกิดสถำนะทำงไฟฟ้ำ 8. ประกอบขัว้ หลอดที่ด้ำนหัว และท้ำยหลอด แล้ว อบส่ ว นหัว และท้ำ ย หลอด เพื่อให้ขวั ้ ยึดติดกับหลอด 9. กระตุ้นหลอดไฟ (aging) เพื่อ ให้หลอดเริม่ ท ำงำน และหลอดไฟทุ ก หลอดจะได้รบั กำรตรวจสอบจำกเครือ่ งตรวจสอบอัตโนมัติ 10. บรรจุหบี ห่อและส่งไปยังลูกค้ำ


83 และก่อ นที่บริษัทจะนำหลักกำรบริหำรห่ว งโซ่อุปทำนมำปรับใช้นัน้ ทำงบริษัทได้ใ ช้ หลัก กำรจัดกำรสำยธำรคุ ณค่ ำในกระบวนกำรดำเนินงำนโดยมีรำยละเอียดตำมแผนผังกำร ดำเนินงำนของกิจกำรตำมสำยธำรคุณค่ำดังแสดงในภำพที่ 3-3

ภำพที่ 3-3 แผนผังกำรดำเนินงำนของกิจกำรตำมสำยธำรคุณค่ำ ทีม่ ำ: บริษทั กขค จำกัด. 2555.


84 คาอธิ บายแผนผังการดาเนิ นงานของกิ จการตามสายธารคุณค่า 1. ฝำ่ ยขำยจะทำกำรพยำกรณ์ยอดขำยไว้ท่ี 1,000 ล้ำนหลอด/ปี 2. ลูกค้ำจะทำกำรสังซื ่ อ้ สินค้ำกับพนักงำนฝำ่ ยขำย 3. จำกนั น้ ฝ่ ำ ยขำยจะท ำกำรตรวจสอบกับ ฝ่ ำ ยวำงแผนว่ ำ สิน ค้ำ มีเ พีย งพอที่จ ะ สำมำรถส่งให้ลกู ค้ำหรือไม่ ภำยใน 3วัน 4. ฝ่ำยวำงแผนจะทำกำรเช็ค สต๊อกสินค้ำ ว่ำมีสนิ ค้ำเพียงพอต่อ ควำมต้อ งกำรของ ลูกค้ำหรือไม่ ภำยใน 3 วัน 4.1 หำกมีจำนวนสินค้ำเพียงพอ (ต้องแจ้งให้ฝ่ำยขำยทรำบ เพื่อทีฝ่ ่ำยขำยจะได้ทำ กำรติดต่อกลับไปยังลูกค้ำในกำรยืนยันคำสังซื ่ อ้ สินค้ำ) 4.1.1 ฝำ่ ยคลังสินค้ำ จะทำกำรจัดสินค้ำตำมทีล่ กู ค้ำต้องกำร 4.1.2 ฝำ่ ยขนส่ง จะทำหน้ำทีส่ ่งสินค้ำไปยังลูกค้ำตำมคำสังซื ่ อ้ 4.2 หำกมีจำนวนสินค้ำไม่เพียงพอ 4.2.1 ฝ่ ำ ยวำงแผนจะท ำกำรตรวจสอบกับ ฝ่ ำ ยคลัง วัต ถุ ดิบ ว่ ำ มีว ัต ถุ ดิบ เพียงพอหรือไม่ ภำยใน 3วัน 1) หำกมีว ัต ถุ ดิบ ไม่เ พีย งพอฝ่ ำ ยวำงแผนจะท ำกำรติด ต่ อ กับ ฝ่ ำ ย จัดซื้อ เพื่อให้ฝ่ำยจัดซื้อทำกำรสังซื ่ ้อวัตถุดบิ ต่อไป โดยหำกเป็ น กำรซือ้ วัตถุดบิ กับผู้จดั จำหน่ ำยในประเทศ จะใช้เวลำในกำรนำส่ง วั ต ถุ ดิ บ ภำยใน 10 วั น แต่ ห ำกซื้ อ วั ต ถุ ดิ บ กั บ ผู้ จ ัด จ ำหน่ ำย ต่ำงประเทศ จะใช้เวลำในกำรนำส่งวัตถุดบิ ภำยใน 60 วันจำกนัน้ ผูจ้ ดั จำหน่ำยก็จะทำกำรส่งวัตถุดบิ ให้กบั ฝำ่ ยคลังวัตถุดบิ 2) หำกมีวตั ถุดบิ เพียงพอ ฝ่ำยผลิตสำมำรถทำเรื่องเกี่ยวกับกำรขอ เบิกใช้วตั ถุดบิ ที่ใช้ในกระบวนกำรผลิตจนกระทังได้ ่ รบั วัตถุดบิ ซึ่ง กระบวนดังกล่ำวสำมำรถดำเนินกำรภำยใน 3 วัน 5. เมื่อฝ่ำยผลิต ผลิตเสร็จ จะทำกำรส่งสินค้ำสำเร็จรูป (finish goods) มำทีค่ ลังสินค้ำ เพื่อขำยให้แก่ลกู ค้ำต่อไป งบการเงิ นเปรียบเทียบของบริ ษทั กขค จากัด งบกำรเงินทีน่ ำมำแสดงเปรียบเทียบในปี 2551 2552 และ 2553 ประกอบด้วย งบแสดง ฐำนะทำงกำรเงิน และงบกำไรขำดทุน (กรมพัฒนำธุรกิจกำรค้ำฯ. 2555.)


85 บริษทั กขค จำกัด งบกำไรขำดทุน สำหรับปี สิน้ สุดวันที่ วันที่ 31 ธันวำคม 2551 2552 2553 2551

หน่วย : บำท

2552

2553

808,157,560.29

992,033,458.64

901,312.57

683,514.79

8,525,384.17

14,574,705.76

14,714,145.67

807,611,324.61

823,633,578.62

1,007,431,119.10

68,355,774.17 314,221,352.35

- 11,585,105.69 382,878,068.48

ค่ำใช้จำ่ ยพนักงำน

98,130,430.59

70,394,080.73

81,750,864.62

ค่ำเสื่อมรำคำ

44,414,273.27

35,431,609.80

34,872,559.19

ซือ้ สินค้ำ(สุทธิ)

97,008,666.37

173,757,383.60

368,918,196.28

ค่ำบรรจุหบี ห่อ

35,838,987.58

43,647,104.50

68,268,943.79

ค่ำใช้จำ่ ยอื่นๆ

128,768,740.94

110,616,504.60

170,638,646.13

786,738,225.27

805,139,646.02

989,184,340.07

กำไร(ขำดทุน)ก่อนต้นทุนทำงกำรเงินและภำษีเงินได้

20,873,099.34

18,493,932.60

18,246,779.03

ต้นทุนทำงกำรเงิน

14,715,793.01

10,837,842.36

9,433,076.99

กำไร(ขำดทุน)ก่อนภำษีเงินได้

6,157,306.33

7,656,090.24

8,813,702.04

ภำษีเงินได้

2,175,465.60

2,322,120.90

3,008,555.47

กำไร(ขำดทุน)สุทธิ

3,981,840.73

5,333,969.34

5,805,146.57

กำไรต่อหุน้

0.10

0.13

0.15

รำยได้ รำยได้จำกกำรขำยสินค้ำ

799,085,940.44

รำยได้จำกกำรให้บริกำร รำยได้อ่นื รวมรำยได้ ค่ำใช้จำ่ ย กำรเปลีย่ นแปลงในสินค้ำและงำนระหว่ำงทำ วัตถุดบิ และวัสดุสน้ิ เปลืองใช้ไป

-

66,995,044.93 331,730,174.99

ค่ำใช้จำ่ ยอื่น

รวมค่ำใช้จำ่ ย

ภำพที่ 3-4 งบกำไรขำดทุน บริษทั กขค จำกัด ทีม่ ำ: กรมพัฒนำธุรกิจกำรค้ำฯ. 2555.


86 บริษทั กขค จำกัด งบดุล ณ วันที่ 31 ธันวำคม 2551 2552 2553 2551

สินทรัพย์

หน่วย : บำท

2552

2553

สินทรัพย์หมุนเวียน เงินสดและรำยกำรเทียบเท่ำเงินสด ลูกหนี้กำรค้ำ

1,408,397.61

617,387.02

10,039,782.85

225,955,025.67

224,930,340.44

203,196,683.93

-

-

200,000.00

289,702,256.68

192,137,098.61

285,381,157.05

4,327,135.80

5,731,723.79

9,261,251.17

521,392,815.76

423,416,549.86

508,078,875.00

633,285,918.07

599,517,937.03

575,331,993.06

117,178.00

98,568.34

197,517.79

633,403,096.07

599,616,505.37

575,529,510.85

1,154,795,911.83

1,023,033,055.23

1,083,608,385.85

เงินให้กยู้ มื ระยะสัน้ แก่บุคคลทีเ่ กีย่ วข้อง สินค้ำคงเหลือ สินทรัพย์หมุนเวียนอืน่ รวมสินทรัพย์หมุนเวียน สินทรัพย์ไม่หมุนเวียน ทีด่ นิ อำคำร และอุปกรณ์-สุทธิ สินทรัพย์ไม่หมุนเวียนอืน่ รวมสินทรัพย์ไม่หมุนเวียน รวมสินทรัพย์

ภำพที่ 3-5 งบดุล บริษทั กขค จำกัด ทีม่ ำ: กรมพัฒนำธุรกิจกำรค้ำฯ. 2555.


87 บริษทั กขค จำกัด งบดุล (ต่อ) ณ วันที่ 31 ธันวำคม 2551 2552 2553 หนี้สนิ หนี้สนิ หมุนเวียน เงินเบิกเกินบัญชีและเงินกูย้ มื ระยะสัน้ จำกสถำบัน กำรเงิน เจ้ำหนี้กำรค้ำ

2551

หน่วย : บำท 2552

2553

514,039,574.54

377,448,913.92

371,000,000.00

111,049,431.28

189,652,073.16

243,600,950.15

16,543,026.33

14,677,901.23

20,748,433.17

641,632,032.15

581,778,888.31

635,349,383.32

77,950,000.00

-

-

-

706,317.90

1,906,006.94

77,950,000.00

706,317.90

1,906,006.94

719,582,032.15

582,485,206.21

637,255,390.26

400,000,000.00

400,000,000.00

400,000,000.00

400,000,000.00

400,000,000.00

400,000,000.00

35,213,879.68

40,547,849.02

46,352,995.59

รวมส่วนของผูถ้ อื หุน้

435,213,879.68

440,547,849.02

446,352,995.59

รวมหนี้สนิ และส่วนของผูถ้ อื หุน้

1,154,795,911.83

1,023,033,055.23 1,083,608,385.85

หนี้สนิ หมุนเวียนอื่น รวมหนี้สนิ หมุนเวียน หนี้สนิ ไม่หมุนเวียน เงินกูย้ มื ระยะยำวจำกบุคคลทีเ่ กีย่ วข้องกัน เจ้ำหนี้ซ้อื ทรัพย์สนิ รวมหนี้สนิ ไม่หมุนเวียน รวมหนี้สนิ ส่วนของผูถ้ อื หุน้ ทุนเรือนหุน้ ทุนจดทะเบียน หุน้ สำมัญ 400,000,000 หุน้ มูลค่ำหุน้ ละ 10 บำท ทุนทีช่ ำระแล้ว หุน้ สำมัญ 400,000,000 หุน้ มูลค่ำหุน้ ละ 10 บำท กำไร(ขำดทุน) สะสม ยังไม่จดั สรร

ภำพที่ 3-6 งบดุล (ต่อ) บริษทั กขค จำกัด ทีม่ ำ: กรมพัฒนำธุรกิจกำรค้ำฯ. 2555.


บทที่ 4 ผลการศึกษา จากการศึกษาข้อมูลเบือ้ งต้นบริษทั กรณีศกึ ษาบริษทั กขค จากัด พบว่า 1. ปัญหาของบริ ษทั ก่อนการนาการบริ หารจัดการห่ วงโซ่ อุปทานมาประยุกต์ใช้ ในองค์กร 1.1 ปญั หาเกีย่ วกับผูจ้ ดั หาวัตถุดบิ จากการทาสัญญาระหว่างบริษทั กับ ผู้จดั หาวัตถุดบิ ยังไม่ครอบคลุมในเรื่อง ของระยะเวลาในการส่งมอบและคุณภาพของสินค้า โดยไม่มกี ารระบุขอ้ กาหนด ไว้อย่างชัดเจน สามารถแบ่งได้เป็น 1.1.1 คุณภาพของวัตถุดบิ เนื่องจากวัต ถุดบิ ที่บริษัทสังซื ่ ้อมีคุณภาพต่ ากว่า มาตรฐานทีบ่ ริษทั กาหนดไว้ ส่งผลเกิดให้ของเสียระหว่างการผลิต 1.1.2 การส่งมอบวัตถุดบิ ทางด้านผูจ้ ดั หาวัตถุดบิ ส่งมอบวัตถุดบิ ล่าช้า ไม่ตรง ตามเวลาทีก่ าหนดไว้ ทาให้การส่งมอบสินค้าให้ลูกค้าล่าช้าและต้องเลื่อน ออกไป 1.2 ปญั หาในกระบวนการผลิตและการจัดเก็บสินค้า ั หาในสายการผลิต พบว่ า ปริม าณของเสีย เพิ่ม มากขึ้น จากการที่ 1.2.1 ป ญ คุณภาพวัตถุดบิ ไม่ตรงตามมาตรฐานทีต่ งั ้ ไว้ ทาให้เปอร์เซ็นต์ในการผลิต ไม่ได้ตามเป้าหมายที่กาหนด ส่งผลให้บริษทั ต้องมีการผลิตเพิม่ มากขึน้ เพื่อให้เป็ นไปตามเป้าหมาย ต้นทุนการผลิตจึงสูงขึน้ และเมือ่ บริษทั ได้ทา การวิเคราะห์และพบว่า ส่วนใหญ่เป็ นผลมาจากปญั หาของเครื่องจักรใน ระหว่างการผลิต เนื่องจากเครือ่ งจักรมีอะไหล่ทไ่ี ม่ได้คุณภาพ และชัวโมง ่ การทางานของชิน้ ส่วนอะไหล่ต่างๆ สูงเกินไป รวมถึงช่างทีด่ ูแลเกี่ยวกับ ตัวเครือ่ งไม่ได้ผ่านการอบรม และมีการเปลีย่ นช่างใหม่บ่อยครัง้ ทาให้ช่าง ทีด่ ูแลเครื่องจักรขาดความชานาญ จึงทาให้เกิดของเสียในปริมาณทีเ่ พิม่ มากขึน้ ส่งผลกระทบต่อเปอร์เซ็นต์การผลิตทีล่ ดลง ั หาการจัด เก็บ พบว่ า มีส ิน ค้า บางส่ ว นค้ า งอยู่ ใ นคลัง สิน ค้า เป็ น 1.2.2 ป ญ ระยะเวลานาน เนื่องจากลูกค้าได้มกี ารเปลีย่ น/ยกเลิกคาสังซื ่ อ้ หรือคาสัง่ ในการผลิต ทาให้บริษัทต้อ งเก็ บ สิน ค้า ชนิ ดนัน้ ไว้ใ นคลัง สิน ค้า ต่ อ ไป ต้นทุนในการจัดเก็บสินค้าจึงเพิม่ มากขึน้


89 1.3 ปญั หาการกระจายสินค้าไปยังผูบ้ ริโภค ปญั หาดังกล่ าวสืบเนื่อ งมาจากการรับวัต ถุ ดิบที่ใ ช้ ใ นการผลิต ล่ า ช้าและ วัต ถุ ดบิ ไม่มคี ุ ณ ภาพ ทาให้มขี องเสียเกิดขึ้น ในการผลิต ส่ งผลให้มสี ินค้าไม่ เพียงพอต่อความต้องการของลูกค้า รวมไปถึงเกิดจากปญั หาการส่งมอบสินค้า ของฝ่ายจัดส่งล่าช้า อีกทัง้ ลูกค้ามีการเปลี่ยนแปลงสินค้าที่ต้ องการก่อนวันส่ง มอบ ทาให้บริษทั ประสบปญั หาการจัดเก็บสินค้าไว้ในคลังนานกว่ากาหนด ต้อง เสียเวลาในการผลิตสินค้าใหม่ ลูกค้าจึงได้รบั สินค้าช้ากว่าทีต่ อ้ งการ 2. แนวคิ ดทางการบริ หารจัดการห่วงโซ่อปุ ทานที่นามาประยุกต์ใช้ ทางบริษทั ได้นาหลักการจัดการห่วงโซ่อุปทาน (Supply Chain Management: SCM) มาประยุกต์ใช้ โดยใช้ผงั สายธารคุณค่า (Value Stream Mapping: VSM) มา เป็ นเครื่องมือในการแสดงให้เห็นถึงกระบวนการด าเนิ นงานในทุ กกระบวนการที่ เกีย่ วข้องกับการผลิตสินค้า ตัง้ แต่ การจัดหาวัตถุดบิ การผลิต และการส่งมอบสินค้าให้ ลูกค้า 3. การประยุกต์ใช้ 3.1 ทางบริ ษั ท มี ก ารขอรับ บริ ก ารปรึ ก ษาและค าแนะน าจากกรมส่ ง เสริ ม อุ ต สาหกรรมตามโครงการพั ฒ นาอุ ต สาหกรรมการผลิ ต เพื่ อ ยกระดั บ ความสามารถการแข่งขัน ในการวางแผนเพื่อปรับปรุงการบริหารการจัดการ ห่วงโซ่อุปทานภายในโรงงานให้มปี ระสิทธิภาพและวิธกี ารทางานทีด่ ขี น้ึ โดยทา การวิเคราะห์ในเรือ่ งต่างๆ ดังนี้ 3.1.1 วิเคราะห์สภาพปญั หาในปจั จุบนั แบ่งเป็นประเด็นต่างๆ ดังนี้ 1) ปญั หาของตนเอง คือปญั หาทีเ่ กิดในแต่ละแผนก 2) ปญั หาระหว่างหน่วยงานหรือแผนก เกิดความผิดพลาดในการสื่อสาร และส่งผ่านข้อมูลระหว่างหน่วยงาน 3) ปญั หาระหว่างองค์กรทีเ่ กิดขึน้ กับผูจ้ ดั จาหน่ ายและลูกค้า ระยะเวลา ในการติดต่อแลกเปลีย่ นข้อมูล 3.1.2 แนวทางในการดาเนินงานสถาบันวิทยาการโซ่อุปทาน มหาวิทยาลัยศรีปทุม ได้ออกแบบขัน้ ตอนในการดาเนินงานให้กบั องค์กรดังนี้


90

ภาพที่ 4-1 ขัน้ ตอนการดาเนินงานในการวางแผน ทีม่ า: บริษทั กขค จากัด. 2555. 1) ปรับเปลีย่ นแนวคิดด้านการจัดการโซ่อุปทานสร้างความรูค้ วามเข้าใจ เกี่ย วกับ หลัก การและแนวคิด การจัด การโซ่ อุ ป ทาน ให้ทุ ก คนใน องค์กรทราบ ตัง้ แต่กระบวนการจัดซื้อ จนกระทังการจั ่ ดส่งสินค้าให้ ลูกค้า และผลักดันให้แต่ละหน่วยงานเกิดการทางานร่วมกัน 2) การประเมินสมรรถนะโซ่อุปทาน ประเมินความสามารถขององค์กร ทัง้ ในระดับกลยุทธ์และการปฏิบตั งิ าน 3) จัด ท าแผนผัง สถานะป จั จุ บ ัน ของกระบวนการธุ ร กิจ ท าแผนผัง กระบวนการธุ รกิจตัง้ แต่ แผนกจัดซื้อ จนกระทังถึ ่ งการจัดส่ งสินค้า ให้กบั ลูกค้าเพื่ออธิบายความสัมพันธ์ภายในห่วงโซ่อุปทาน 4) จัดทาแผนผังสถานะอนาคตของกระบวนการธุรกิจ 5) ปรับ ปรุ ง กระบวนการธุ ร กิจ ท าการปรับ ปรุ ง ในกระบวนการที่ม ี จุดบกพร่องจากการวิเคราะห์ขนั ้ ตอนดาเนินงาน 3.2 การวางแผน (Plan: P) ทางบริษทั ได้มกี ารแบ่งออกเป็ นแผนกหรือหน่ วยงาน เพื่อความสะดวก ในการด าเนิ น งาน โดยทุ ก หน่ ว ยงานจะมีก ารวางแผนการด าเนิ น งานให้ สอดคล้องกับวิสยั ทัศน์และพันธกิจของบริษทั แบ่งออกเป็นดังนี้ 3.2.1 การวางแผนทางด้านการจัดซือ้ แผนกจัดซื้อ ได้มกี ารวางแผนการสังซื ่ ้อ วัต ถุ ดิบที่ใ ช้ใ นการผลิต ตามการพยากรณ์ยอดขายของฝ่ายการตลาด โดยจะมีการกาหนดจุด สังซื ่ ้อไว้ เมื่อสินค้าลดลงถึงระดับที่กาหนดแผนกจัดซื้อจะทาการจัดซื้อ


91 วัตถุดบิ ในการสังซื ่ ้อแต่ละครัง้ จะคานึงถึงเวลาที่ใช้ในการส่งมอบสินค้า ภายในประเทศจะใช้เวลา 7 วัน และต่างประเทศจะใช้เวลา 45 วัน 3.2.2 กระบวนการผลิต ในแผนกการผลิต ได้มกี ารวางแผนการผลิตไว้ท่ี 200,000 หลอดต่อ วัน เพื่อรองรับคาสังซื ่ อ้ ทีเ่ ข้ามาของลูกค้า 3.2.3 การพัฒนาบุคลากร บริษัทได้มกี ารจัดตัง้ สถาบันฝึ กอบรมพนักงานขึ้นภายในบริษัท เพื่อส่งเสริมให้พนักงานในทุกแผนกเกิดการพัฒนาอย่างต่อเนื่องทางด้าน ทักษะความชานาญในการทางาน และสร้างภาวะการเป็นผูน้ า 3.2.4 การจัดการสินค้าคงคลัง แผนกคลังสินค้าได้ม ีนโยบายในการบริการจัดหารคลังสินค้าตาม หลักการรวิเคราะห์แบบเอบีซี (ABC analysis) แยกสินค้าออกเป็ น 3 ระดับ ตาม คือ สินค้าที่มมี ูลค่าสูงหรือมีส่วนแบ่งกาไรสูงได้แก่หลอดไฟฟลูออเรส เซนต์ สินค้าที่ม ีมูลค่ าปานกลางได้แก่ หลอดจาปาและหลอดไฟไส้ และ สินค้าทีม่ มี ลู ค่าต่าสุด ได้แก่ บลาส สตาร์ทเตอร์ 3.2.5 การส่งมอบสินค้า ในแผนกจัดส่งสินค้ามีการวางแผนในการดาเนินการจัดส่งสินค้า ให้กบั ลูกค้า โดยจะคานึงถึงความพึงพอใจของลูกค้า และระยะเวลาใน การส่งมอบสินค้าทีร่ วดเร็ว 3.3 การปฏิบตั งิ าน (Do: D) ขัน้ ตอนในการดาเนินงานกระบวนการผลิตสินค้าของบริษทั ตัง้ แต่การ พยากรณ์ยอดขาย การจัดหาวัตถุดบิ การผลิต และการส่งมอบสินค้า หลังจาก การนาการจัดการห่วงโซ่อุปทาน (SCM) มาประยุกต์ใช้โดยมีรายละเอียดในแต่ ละกระบวนการดังภาพทีแ่ สดงในหน้าถัดไป


92

ภาพที่ 4-2 แผนผังการดาเนินงานตามสายธารคุณค่า ทีม่ า: บริษทั กขค จากัด. 2555. จากรูปดังกล่าวเป็นขัน้ ตอนในการดาเนินงานกระบวนการผลิตสินค้า ตัง้ แต่การ พยากรณ์ยอดขาย การจัดหาวัตถุ ดบิ การผลิต และการส่งมอบสินค้า หลังจากการนา การจัดการห่วงโซ่อุปทาน (SCM) มาประยุกต์ใช้โดยมีรายละเอียดในแต่ละกระบวนการ ดังนี้ 3.3.1 ฝา่ ยขายจะทาการพยากรณ์ยอดขาย (forecasting) ไว้ท่ี 2,000 ล้านหลอดต่อ ปี โดยทาการพยากรณ์จากยอดขายของปีก่อนเป็นเกณฑ์ 3.3.2 ลูกค้าจะทาการสังซื ่ อ้ สินค้ากับพนักงานฝา่ ยขาย 3.3.3 ภายใน 24 ชัวโมงฝ ่ า่ ยขายจะทาการตรวจสอบกับฝ่ายวางแผนว่าสินค้ามี เพียงพอทีจ่ ะสามารถส่งให้ลกู ค้าหรือไม่ 3.3.4 ฝ่ายวางแผนจะทาการเช็คคลังสินค้า ว่ามีสนิ ค้าเพียงพอต่อความต้องการ ของลูกค้าหรือไม่ ภายใน 24 ชัวโมงโดยบริ ่ ษทั ได้ใช้ทฤษฎีต้นทุนตาม กิจกรรม (Activity Based Costing: ABC) ในการบริหารจัดการคลังสินค้า 1) หากมีจานวนสินค้าเพียงพอ ต้องแจ้งให้ฝ่ายขายทราบ เพื่อที่ฝ่ายขายจะได้ทาการติดต่อกลับไป ยังลูกค้าในการยืนยันการสังสิ ่ นค้า ก. ฝา่ ยคลังสินค้า จะทาการจัดสินค้าตามทีล่ กู ค้าต้องการ


93 ข. ฝา่ ยขนส่ง จะทาหน้าทีส่ ่งสินค้าไปยังลูกค้าตามคาสังซื ่ อ้ 2) หากมีจานวนสินค้าไม่เพียงพอ ภายใน 24 ชัว่ โมง ฝ่ า ยวางแผนจะท าการตรวจสอบกับ ฝ่ า ยคลัง วัตถุดบิ ว่ามีวตั ถุดบิ เพียงพอหรือไม่ ก. หากมีวตั ถุ ดบิ ไม่เพียงพอฝ่ายวางแผนจะทาการติดต่อกับฝ่าย จัดซือ้ เพื่อให้ฝ่ายจัดซือ้ ทาการสังซื ่ อ้ วัตถุดบิ ต่อไป โดยหากเป็ น การซื้อ วัต ถุ ดิบ กับ ผู้จ ดั จาหน่ า ยในประเทศ จะใช้เ วลาในการ นาส่งวัตถุดบิ ภายใน 7 วันแต่หากซือ้ วัตถุดบิ กับ ผู้จดั จาหน่ าย ต่างประเทศ จะใช้เวลาในการนาส่งวัตถุดบิ ภายใน 45 วันจากนัน้ ผูจ้ ดั จาหน่ายก็จะทาการส่งวัตถุดบิ ให้กบั ฝา่ ยคลังวัตถุดบิ ข. หากมีวตั ถุดบิ เพียงพอ ฝ่ายผลิตสามารถทาเรื่องเกี่ยวกับการขอ เบิกใช้วตั ถุดบิ ที่ใช้ในกระบวนการผลิตจนกระทังได้ ่ รบั วัตถุดบิ ซึง่ กระบวนดังกล่าวสามารถดาเนินการภายใน 24 ชัวโมง ่ 3.3.5 เมื่อฝ่ายผลิต ผลิตเสร็จ จะทาการส่งสินค้าสาเร็จรูป (finish goods) มาที่ คลังสินค้า เพื่อขายให้แก่ลกู ค้าต่อไป 3.4 ตรวจสอบ (Check: C) การวัดผลการดาเนินงานจะดูต ามแผนที่ได้ว างไว้ซ่งึ จากการนาการ จัดการห่วงโซ่อุปทานมาใช้ สามารถวัดผลการดาเนินงานในด้านต่างๆ ได้ดงั นี้ 3.4.1 การติดต่อระหว่างหน่วยงาน การจัดทาผังสายธารคุณค่า (Value Stream Mapping: VSM) ช่วยลด ระยะเวลาในการทางานระหว่างหน่ วยงานต่างๆ ภายในบริษัทให้มกี าร ประสานงานกัน มากขึ้น เช่ น เมื่อ ก่ อ นการเบิก วัต ถุ ดิบจากคลังสินค้า จะต้อ งทาเรื่อ งเบิก ก่ อ นล่ ว งหน้ า 3 วัน แต่ ใ นปจั จุบนั การทาเรื่อ งเบิก วัต ถุ ดิบ เหลือ เพีย ง 24 ชัว่ โมง ทาให้ก ารผลิต สิน ค้า ให้ลูกค้า สามารถ ดาเนินได้อย่างต่อเนื่อง 3.4.2 เวลาทีใ่ ช้ในกระบวนการจัดหาวัตถุดบิ บริษทั สามารถลดระยะเวลาในการติดต่อกับผูจ้ ดั จาหน่ ายภายในประเทศ ตัง้ แต่ก ารสังซื ่ ้อจนกระทังการส่ ่ งมอบวัตถุ ดบิ ให้กบั บริษัท เหลือ 7 วัน จาก 10 วัน และสาหรับผู้จดั จาหน่ ายต่างประเทศนัน้ ทางบริษทั ได้ทา การสัญญากับผูจ้ ดั จาหน่ายโดยตรง ช่วยเข้าไปดูงานในกระบวนการผลิต ว่ากระบวนการใดสามารถลดระยะเวลาในการดาเนินงานได้ จึงทาให้ ระยะเวลาในการจัดหาวัตถุดบิ ลดลงจาก 60 วัน เป็ น 45 วันดังตารางที่ 4-1


94 ตารางที่ 4-1 ระยะเวลาในการจัดหาวัตถุดบิ supplier ก่อนการใช้ SCM ในประเทศ 10 วัน ต่างประเทศ 60 วัน ทีม่ า: บริษทั กขค จากัด. 2555.

หลังการใช้ SCM 7 วัน 45 วัน

3.4.3 กาลังการผลิต บริษทั สามารถเพิม่ รอบกาลังการผลิตให้เพิม่ ขึน้ จาก 1,850 หลอด/ชัวโมง ่ เป็ น 2,000 หลอด/ชัวโมง ่ เนื่องจากได้มกี ารพัฒนาเครื่องจักรใหม่ให้ม ี ประสิทธิภาพในการผลิตมากขึน้ เพื่อให้สามารถผลิตได้ตามเป้าหมายที่ กาหนดดังตารางที่ 4-2 ตารางที่ 4-2 กาลังการผลิต ก่อนการใช้ SCM 1,850 หลอด/ชัวโมง ่ ทีม่ า: บริษทั กขค จากัด. 2555.

หลังการใช้ SCM 2,000 หลอด/ชัวโมง ่

3.4.4 ของเสียในกระบวนการผลิต ทางบริษทั ไม่มกี ารลดของเสียที่เกิดจากกระบวนการผลิต แต่จะ เพิม่ รอบการผลิตให้มากขึน้ 3.4.5 ต้นทุนการผลิต เนื่องจากบริษทั ได้เริม่ นาการจัดการห่วงโซ่อุปทานมาประยุกต์ใช้ เมื่อประมาณเดือนมีนาคม 2553 ดังนัน้ จึงนาข้อมูลในเดือนธันวาคมของ ปี 2553 มาเปรียบเทียบกับปี 2554 จากการนาการบริหารห่วงโซ่อุปทาน มาประยุกต์ใช้ พบว่าทางฝ่ายผลิตสามารถลดต้นทุนในการผลิตจากปี ก่อนจาก 165.39 ล้านบาท เป็ น 177.10 ล้านบาท ซึง่ คิดเป็ น 6.61%ดัง ตารางที่ 4-3 ทีแ่ สดงในหน้าถัดไป


95 ตารางที่ 4-3 ต้นทุนการผลิต ก่อนการใช้ SCM เดือนธันวาคม 2553 177.10 ต้นทุนการผลิ ต ทีม่ า: บริษทั กขค จากัด. 2555.

หน่วย : ล้านบาท หลังการใช้ SCM เดือนธันวาคม 2554 165.39

3.4.6 ความพึงพอใจภายในองค์กร บริษทั ไม่ได้มกี ารจัดทาแบบประเมินความพึงพอใจภายในองค์กร เป็นลายลักษณ์อกั ษรแต่จากการสอบถามผูบ้ ริหารพบว่า ผูบ้ ริหารมีความ พึงพอใจในผลการดาเนินงานของบริษทั หลังจากมีการนาการบริหารห่วง โซ่อุปทานมาใช้ในการดาเนินงาน เนื่องจากมียอดขายทีเ่ พิม่ ขึน้ ได้รบั เงิน จากการขายสินค้าเร็วขึน้ 3.4.7 ความพึงพอใจของลูกค้า จากการนาการบริการจัดการห่วงโซ่อุปทาน (SCM) มาประยุกต์ พบว่าลูกค้ามีความพึงพอใจ เนื่องจากได้รบั สินค้าเร็วขึน้ 3.5 การปรับปรุงแก้ไข (Act: A) 3.5.1 การปรับปรุงระยะเวลาการติดต่อระหว่างหน่ วยงานในองค์กรให้สนั ้ ลง ทา ให้การปฏิบตั ิงานในผังคุ ณค่ าไหลลื่นขึ้น จึงกาหนดเป็ นมาตรฐานการ ทางานใหม่ 3.5.2 ปรับปรุงการติดต่อผูจ้ ดั จาหน่ายทัง้ ภายในประเทศและต่างประเทศ ตัง้ แต่ การสัง่ ซื้อ จนกระทัง่ การส่ ง มอบวัต ถุ ดิบ ให้กับ บริษัท ซึ่ง สามารถลด ระยะเวลาให้การจัดซือ้ และขนส่งวัตถุดบิ ได้ 3.5.3 บริษทั ควรมีการปรับปรุงการผลิตเพื่อจัดการกับของเสีย เนื่องจากบริษทั ไม่มกี ารลดของเสียทีเ่ กิดขึน้ ทาให้เกิดต้นทุนทีม่ ากเกินความจาเป็น 4. ประสิ ทธิ ภาพที่เกิ ดจากการนาการจัดการห่วงโซ่อปุ ทานมาประยุกต์ใช้ จากการนาหลักการดังกล่าวมาใช้ ทาให้ผลการดาเนินงานหลังการนาการ จัดการห่วงโซ่อุปทานมาประยุกต์ใช้มแี นวโน้มดีขน้ึ โดยสามารถวิเคราะห์งบการเงิน ของกิจการได้ ดังนี้


96 4.1 วิเคราะห์งบการเงินโดยวิธแี นวตัง้ บริษทั กขค จากัด งบกาไรขาดทุน ณ วันที่ 31 ธันวาคม 2551 2552 2553 2551 2552

รายได้ รายได้จากการขายสินค้า รายได้จากการให้บริการ รายได้อน่ื

หน่วย : บาท 2553

799,085,940.44 98.9% 808,157,560.29 98.1% 992,033,458.64 98.5% 901,312.57 0.1% 683,514.79 0.1% 8,525,384.17 1.1% 14,574,705.76 1.8% 14,714,145.67 1.5%

รวมรายได้ 807,611,324.61 100% 823,633,578.62 ค่าใช้จ่าย การเปลีย่ นแปลงในสินค้าและงานระหว่างทา 68,355,774.17 8.5% - 11,585,105.69 วัตถุดบิ และวัสดุสน้ิ เปลืองใช้ไป 314,221,352.35 38.9% 382,878,068.48 ค่าใช้จ่ายพนักงาน 98,130,430.59 12.2% 70,394,080.73 ค่าเสือ่ มราคา 44,414,273.27 5.5% 35,431,609.80 ค่าใช้จ่ายอืน่ ซือ้ สินค้า(สุทธิ) 97,008,666.37 12.0% 173,757,383.60 ค่าบรรจุหบี ห่อ 35,838,987.58 4.4% 43,647,104.50 ค่าใชจ่ายอืน่ ๆ 128,768,740.94 15.9% 110,616,504.60 รวมค่าใช้จ่าย 786,738,225.27 97.4% 805,139,646.02 กาไร(ขาดทุน)ก่อนต้นทุนทางการเงินและภาษีเงินได้20,873,099.34 2.6% 18,493,932.60 ต้นทุนทางการเงิน 14,715,793.01 1.8% 10,837,842.36 กาไร(ขาดทุน)ก่อนภาษีเงินได้ 6,157,306.33 0.8% 7,656,090.24 ภาษีเงินได้ 2,175,465.60 0.3% 2,322,120.90 กาไร(ขาดทุน)สุทธิ 3,981,840.73 0.5% 5,333,969.34 ภาพที่ 4-3 งบกาไรขาดทุนของบริษทั กขค จากัด ทีม่ า: กรมพัฒนาธุรกิจการค้าฯ. 2555.

100% 1,007,431,119.10 100% -1.4% 46.5% 8.5% 4.3%

66,995,044.93 331,730,174.99 81,750,864.62 34,872,559.19

-6.7% 32.9% 8.1% 3.5%

21.1% 368,918,196.28 36.6% 5.3% 68,268,943.79 6.8% 13.4% 170,638,646.13 16.9% 97.8% 989,184,340.07 98.2% 2.2% 18,246,779.03 1.8% 1.3% 9,433,076.99 0.9% 0.9% 8,813,702.04 0.9% 0.3% 3,008,555.47 0.3% 0.6% 5,805,146.57 0.6%


97 บริ ษทั กขค จากัด งบดุล ณ วันที่ 31 ธันวาคม 2551 2552 2553 สิ นทรัพย์ สิ นทรัพย์หมุนเวี ยน เงินสดและรายการเทียบเท่าเงินสด ลูกหนี้การค้า เงินให้กยู้ ื มระยะสั้นแก่บคุ คลทีเ่ กีย่ วข้อง สิ นค้าคงเหลือ สิ นทรัพย์หมุนเวี ยนอืน่ รวมสิ นทรัพย์หมุนเวี ยน สิ นทรัพย์ไม่หมุนเวี ยน ทีด่ ิน อาคาร และอุปกรณ์ -สุ ทธิ สิ นทรัพย์ไม่หมุนเวี ยนอืน่ รวมสิ นทรัพย์ไม่หมุนเวี ยน รวมสิ นทรัพย์

2551 1,408,397.61 225,955,025.67 289,702,256.68 4,327,135.80 521,392,815.76

2552 0.1% 19.6% 0.0% 25.1% 0.4% 45.2%

633,285,918.07 54.8% 117,178.00 0.01% 633,403,096.07 54.8% 1,154,795,911.83 100.0%

หนี้สินหมุนเวี ยน เงินเบิกเกินบัญชีและเงินกูย้ ื มระยะสั้นจากสถาบันการเงิน 514,039,574.54 44.5% เจ้าหนี้การค้า 111,049,431.28 9.6% หนี้สินหมุนเวี ยนอืน่ 16,543,026.33 1.4% รวมหนี้สินหมุนเวี ยน 641,632,032.15 55.6% หนี้สินไม่หมุนเวี ยน เงินกูย้ ื มระยะยาวจากบุคคลทีเ่ กีย่ วข้องกัน 77,950,000.00 6.8% เจ้าหนี้ซ้ือทรัพย์สิน 0.0% รวมหนี้สินไม่หมุนเวี ยน 77,950,000.00 6.8% รวมหนี้สิน 719,582,032.15 62.3% ส่ วนของผูถ้ ือหุน้ ทุนเรื อนหุน้ ทุนจดทะเบียน หุน้ สามัญ 400,000,000 หุน้ มูลค่าหุน้ ละ 10 บาท 400,000,000.00 ทุนทีช่ าระแล้ว หุน้ สามัญ 400,000,000 หุน้ มูลค่าหุน้ ละ 10 บาท 400,000,000.00 กาไร(ขาดทุน) สะสม ยังไม่จดั สรร 35,213,879.68 3.0% รวมส่ วนของผูถ้ ือหุน้ 435,213,879.68 37.7% รวมหนี้สินและส่ วนของผูถ้ ือหุน้ 1,154,795,911.83 100.0%

ภาพที4่ -4 งบดุลของบริษทั กขค จากัด ทีม่ า: กรมพัฒนาธุรกิจการค้าฯ. 2555.

หน่วย : บาท

617,387.02 224,930,340.44 192,137,098.61 5,731,723.79 423,416,549.86

2553 0.1% 22.0% 0.0% 18.8% 0.6% 41.4%

10,039,782.85 203,196,683.93 200,000.00 285,381,157.05 9,261,251.17 508,078,875.00

0.9% 18.8% 0.02% 26.3% 0.9% 46.9%

599,517,937.03 58.6% 98,568.34 0.01% 599,616,505.37 58.6% 1,023,033,055.23 100.0%

575,331,993.06 197,517.79 575,529,510.85 1,083,608,385.85

53.1% 0.02% 53.1% 100%

377,448,913.92 189,652,073.16 14,677,901.23 581,778,888.31

36.9% 18.5% 1.4% 56.9%

371,000,000.00 243,600,950.15 20,748,433.17 635,349,383.32

34.2% 22.5% 1.9% 58.6%

706,317.90 706,317.90 582,485,206.21

0.0% 0.1% 0.1% 56.9%

1,906,006.94 1,906,006.94 637,255,390.26

0.0% 0.2% 0.2% 58.8%

400,000,000.00

400,000,000.00

400,000,000.00

400,000,000.00

40,547,849.02 4.0% 440,547,849.02 43.1% 1,023,033,055.23 100.0%

46,352,995.59 4.3% 446,352,995.59 41.2% 1,083,608,385.85 100.0%


98 4.1.1 งบกาไรขาดทุน สามารถวิเคราะห์ได้ดงั นี้ 1) รายได้ รายได้หลักของบริษทั คือ การขายหลอดฟลูออเรสเซนซ์ หลอด ไฟฟ้า และอุปกรณ์แสงสว่าง โดยคิดเป็ น 94.0%, 98.9% และ98.5% ใน ปี 2551 2552 และ2553 ตามลาดับ ซึ่งการเพิม่ ของรายได้ดงั กล่าวมา จากการทีล่ กู ค้าทาการสังซื ่ อ้ สินค้าเพิม่ มากขึน้ 2) ค่าใช้จ่ายของบริษทั ในปี 51 คิดเป็ น 97.4% ในปี 52 มีค่าใช้จ่ายเพิม่ ขึน้ เป็น 97.8% ซึง่ เพิม่ ขึน้ เพียงเล็กน้อย เนื่องมาจากในปี 52 มีการผลิตมาก ขึน้ จึงทาให้มกี ารใช้วสั ดุและวัตถุดบิ เพิม่ ขึน้ จากปี 51 38.9% เป็ น 46.5% ส่งผลให้ค่าใช้จา่ ยโดยรวมของปี 52 เพิม่ ขึน้ และสาหรับปี 53 นัน้ คิดเป็น 98.2% ซึง่ เพิม่ ขึน้ จากปี 52 และ53 เพียงเล็กน้อย เนื่องจากเมื่อ ประมาณกลางปีบริษทั ได้นาการจัดการห่วงโซ่อุปทานมาประยุกต์ใช้ ทา ให้สามารถควบคุมต้นทุนทีเ่ กิดได้ 3) กาไรสุทธิในในปี 53 เพิม่ ขึน้ จากปี 52 471,177.23 บาท คิดเป็ น8.11% เป็นผลมาจากในปี 2553 นัน้ บริษทั ขายสินค้าเพิม่ ขึน้ จากปี 2552 จานวน 183.79 ล้านบาท คิดเป็น 18.24% ทาให้กาไรสุทธิเพิม่ ขึน้ และกาไรสุทธิ ในปี 52 ได้เพิม่ ขึน้ จากปี 51 1,352,128.61 บาท คิดเป็น 25.35 % 4.1.2 งบดุลข้างต้น สามารถวิเคราะห์ได้ดงั นี้ 1) เงินสดและรายการเทียบเท่าเงินสด ในปี 2553 เพิม่ จากขึ้นเป็ น 0.1% จากปี 2551 และ 2552 เป็ น 0.9% คิดเป็ น 70.37% ของปีก่อน จากการ สัมภาษณ์ ผู้บริหารพบว่า การที่บริษัทมีเงินสดและรายการเทียบเท่า เพิม่ ขึน้ เป็ นผลมาจากยอดขายทีเ่ พิม่ ขึน้ และลูกหนี้การค้ามีการชาระเงิน เร็วขึน้ 2) ลูกหนี้การค้าในปี 2553 ลดลงจากปี 2551 2552 จาก 19.6% 22.0% เป็น 18.8% โดยคิดเป็น 9.66% จากปี 2552 เนื่องจากยอดขายทีเ่ พิม่ ขึน้ และลูกหนี้การค้ามีการชาระหนี้ทเ่ี ร็วขึน้ ทาให้ยอดลูกหนี้ลดลงจากปีก่อน 3) สินค้าคงเหลือ ในปี 2552 นัน้ ปริมาณสินค้าคงเหลือลกลงจากปี 2551 จาก 25.1% เป็ น 18.8% เนื่องจากจัดเก็บวัตถุดบิ ทีใ่ ช้ในการผลิตลดลง จากปี2551 คิดเป็น 76.38% และสาหรับปี 2553 นัน้ บริษทั จัดเก็บสินค้า สาเร็จรูปไว้ในคลังสินค้าในปริมาณที่มากกว่าปี 2552 จานวน 64.34 ล้านบาท ซึง่ เพิม่ ขึน้ จากปี 2552 เป็น 26.3% 4) เจ้าหนี้การค้า ในปี 2552 เพิม่ ขึน้ เป็ น 18.5% จากปี 2551 9.6% และปี 2553 เพิ่มขึ้นจากปี 2552 เป็ น 22.5 % เนื่องจากในปี 2553 นัน้ ทาง บริษัทมีการขายสินค้าเพิม่ ขึ้นจากปี 2552 ส่งผลให้บริษัทต้องทาการ


99 เพิ่มก าลังผลิตและสังซื ่ ้อวัตถุ ดิบเพื่อใช้ในการผลิตเพิ่มขึ้น จึงทาให้ เจ้าหนี้การค้าเพิม่ ขึน้ จากสาเหตุดงั กล่าว 4.2 วิเคราะห์งบการเงินโดยวิธแี นวนอน บริษทั กขค จากัด งบกาไรขาดทุน ณ วันที่ 31 ธันวาคม 2551 2552 2553 2551 รายได้ รายได้จากการขายสิ นค้า รายได้จากการให้บริการ รายได้อนื่ รวมรายได้ ค่าใช้จ่าย การเปลีย่ นแปลงในสิ นค้าและงานระหว่างทา วัตถุดิบและวัสดุสิ้นเปลืองใช้ไป ค่าใช้จ่ายพนักงาน

ผลต่ าง

หน่วย : บาท 2552

ผลต่ าง

2553

799,085,940.44 9,071,619.85 901,312.57

1.14% 808,157,560.29 183,875,898.35 22.75% 901,312.57 (217,798) -24.16%

992,033,458.64 683,514.79

8,525,384.17 6,049,321.59 807,611,324.61 16,022,254.01

70.96% 14,574,705.76 139,439.91 0.96% 14,714,145.67 1.98% 823,633,578.62 183,797,540.48 22.32% 1,007,431,119.10

68,355,774.17 (79,940,880) -116.95% (11,585,106) 314,221,352.35 68,656,716.13 21.85% 382,878,068.48

(55,409,939) 478.29% (51,147,893) -13.36%

(66,995,045) 331,730,174.99

98,130,430.59 44,414,273.27

(11,356,784 16.13% (559,051) -1.58%

81,750,864.62 34,872,559.19

79.12% 173,757,383.60 195,160,812.68 112.32% 21.79% 43,647,104.50 24,621,839.29 56.41%

368,918,196.28 68,268,943.79

128,768,740.94 (18,152,236) -14.10% 110,616,504.60 60,022,141.53 54.26% 786,738,225.27 18,401,420.75 2.34% 805,139,646.02 184,044,694.05 22.86% กาไร(ขาดทุน)ก่อนต้นทุนทางการเงินและภาษีเงินได้ 20,873,099.34 (2,379,167) -11.40% 18,493,932.60 (247,154) -1.34% ต้นทุนทางการเงิน 14,715,793.01 (3,877,951) -26.35% 10,837,842.36 (1,404,765) -12.96%

170,638,646.13 989,184,340.07 18,246,779.03 9,433,076.99

ค่าเสื่อมราคา ค่าใชจ่ายอืน่ ซื้อสิ นค้า(สุทธิ) ค่าบรรจุหีบห่อ

(27,736,350) -28.26% 70,394,080.73 (8,982,663) -20.22% 35,431,609.80

97,008,666.37 76,748,717.23 35,838,987.58 7,808,116.92

ค่าใชจ่ายอืน่ ๆ รวมค่าใช้จ่าย

กาไร(ขาดทุน)ก่อนภาษีเงินได้ ภาษีเงินได้ กาไร(ขาดทุน)สุทธิ

6,157,306.33 1,498,783.91 2,175,465.60 146,655.30 3,981,840.73 1,352,128.61

ภาพที่ 4-5 งบกาไรขาดทุนของบริษทั กขค จากัด ทีม่ า: กรมพัฒนาธุรกิจการค้าฯ. 2555.

24.34% 6.74% 33.96%

7,656,090.24 2,322,120.90 5,333,969.34

1,157,611.80 15.12% 686,434.57 29.56% 471,177.23 8.83%

8,813,702.04 3,008,555.47 5,805,146.57


100

สิ นทรัพย์ 2551 สิ นทรัพย์หมุนเวี ยน เงินสดและรายการเทียบเท่าเงินสด 1,408,397.61 ลูกหนี้การค้า 225,955,025.67 เงินให้กยู้ ื มระยะสั้นแก่บคุ คลทีเ่ กีย่ วข้อง สิ นค้าคงเหลือ 289,702,256.68 สิ นทรัพย์หมุนเวี ยนอืน่ 4,327,135.80 รวมสิ นทรัพย์หมุนเวี ยน 521,392,815.76 สิ นทรัพย์ไม่หมุนเวี ยน ทีด่ ิน อาคาร และอุปกรณ์ - สุ ทธิ 633,285,918.07 สิ นทรัพย์ไม่หมุนเวี ยนอืน่ 117,178.00 รวมสิ นทรัพย์ไม่หมุนเวี ยน 633,403,096.07 รวมสิ นทรัพย์ 1,154,795,911.83 หนี้สินหมุนเวี ยน เงินเบิกเกินบัญชีและเงินกูย้ ื มระยะสั้น514,039,574.54 เจ้าหนี้การค้า 111,049,431.28 หนี้สินหมุนเวี ยนอืน่ 16,543,026.33 รวมหนี้สินหมุนเวี ยน 641,632,032.15 หนี้สินไม่หมุนเวี ยน เงินกูย้ ื มระยะยาวจากบุคคลทีเ่ กีย่ วข้องกั 77,950,000.00 น เจ้าหนี้ซ้ือทรัพย์สิน รวมหนี้สินไม่หมุนเวี ยน 77,950,000.00 รวมหนี้สิน 719,582,032.15 ส่ วนของผูถ้ ือหุน้ ทุนเรื อนหุน้ ทุนจดทะเบียน หุน้ สามัญ 400,000,000 หุน้ มูลค่400,000,000.00 าหุน้ ละ 10 บาท ทุนทีช่ าระแล้ว หุน้ สามัญ 400,000,000 หุน้ มูลค่400,000,000.00 าหุน้ ละ 10 บาท กาไร(ขาดทุน) สะสม ยังไม่จดั สรร 35,213,879.68 รวมส่ วนของผูถ้ ือหุน้ 435,213,879.68 รวมหนี้สินและส่ วนของผูถ้ ือหุน้ 1,154,795,911.83

บริ ษทั กขค จากัด งบดุล ณ วันที่ 31 ธันวาคม 2551 2552 2553 ผลต่าง 2552 (791,011) -56.16% (1,024,685) -0.45%

617,387.02 224,930,340.44

(97,565,158.07) -33.68% 1,404,587.99 32.46% (97,976,266) -18.79%

192,137,098.61 5,731,723.79 423,416,549.86

หน่วย : บาท 2553

ผลต่าง 9,422,395.83 1526.17% (21,733,657) -9.66% 200,000.00 0.00% 93,244,058.44 48.53% 3,529,527.38 61.58% 84,662,325.14 20.00%

10,039,782.85 203,196,683.93 200,000.00 285,381,157.05 9,261,251.17 508,078,875.00

(33,767,981) -5.33% 599,517,937.03 (18,610) -15.88% 98,568.34 (33,786,591) -5.33% 599,616,505.37 (131,762,857) -11.41% 1,023,033,055.23

(24,185,944) -4.03% 575,331,993.06 98,949.45 100.39% 197,517.79 (24,086,995) -4.02% 575,529,510.85 60,575,330.62 5.92% 1,083,608,385.85

(136,590,661) -26.57% 78,602,641.88 70.78% (1,865,125) -11.27% (59,853,144) -9.33%

377,448,913.92 189,652,073.16 14,677,901.23 581,778,888.31

(6,448,914) 53,948,876.99 6,070,531.94 53,570,495.01

-1.71% 28.45% 41.36% 9.21%

371,000,000.00 243,600,950.15 20,748,433.17 635,349,383.32

(77,950,000) -100.00% 706,317.90 0.00% (77,243,682) -99.09% (137,096,826) -19.05%

706,317.90 706,317.90 582,485,206.21

1,199,689.04 1,199,689.04 54,770,184.05

169.85% 169.85% 9.40%

1,906,006.94 1,906,006.94 637,255,390.26

400,000,000.00

400,000,000.00

400,000,000.00

400,000,000.00

5,333,969.34 15.15% 40,547,849.02 5,333,969.34 1.23% 440,547,849.02 (131,762,857) -11.41% 1,023,033,055.23

ภาพที่ 4-6 งบดุลของบริษทั กขค จากัด ทีม่ า: กรมพัฒนาธุรกิจการค้าฯ. 2555.

5,805,146.57 5,805,146.57 60,575,330.62

14.32% 46,352,995.59 1.32% 446,352,995.59 5.92% 1,083,608,385.85


101 4.2.1 งบกาไรขาดทุนข้างต้น สามารถวิเคราะห์ได้ดงั นี้ 1) รายได้ของบริษัทมีแนวโน้ มเพิ่มมากขึ้นในแต่ ล ะปี โดยในปี 2552 เพิม่ ขึน้ 16,022,254.01 บาท จากในปี 2551 คิดเป็ น 1.98% และใน ปี 2553 เพิม่ ขึน้ 183,797,540.48 บาท จากในปี 2552 คิดเป็ น 22.32% ซึง่ การทีร่ ายได้รวมในปี 2553 เพิม่ ขึน้ เป็ นอย่างมากเนื่องมาจาก บริษทั ได้มกี ารนาเอาระบบห่วงโซ่อุปทานมาประยุกต์ใช้ในปี 2553 ส่งผลให้ บริษทั มีกาลังการผลิตในแต่ละรอบเพิม่ สูงขึน้ ทาให้ให้มกี ารผลิตและมี การขายเพิม่ มากขึน้ ในปี 2553 จึงส่งผลให้อตั ราการเพิม่ ขึน้ ของรายได้ รวมในปี 2553 เพิม่ สูงขึน้ กว่าอัตราการเพิม่ ของรายได้รวมในปี 2552 2) ค่าใช้จา่ ย ค่าใช้จา่ ยรวมของบริษทั มีแนวโน้มเพิม่ มากขึน้ ในแต่ละปี โดย ในปี 2552 เพิม่ ขึน้ 18,401,420.75 บาท จากในปี 2551 คิดเป็ น 2.34% ซึง่ เพิม่ ขึน้ เพียงเล็กน้อย อาจเนื่องมาจากเป็ นต้นทุนที่เกิดจากการผลิต มากขึน้ ตามความต้องการของลูกค้า และในปี 2553 บริษทั ได้มคี ่าใช้จ่าย รวมเพิม่ ขึน้ 184,044,694.05 บาท จากในปี 2552 คิดเป็ น 22.86% ซึ่ง เพิม่ ขึน้ ในอัตราทีม่ ากกว่าในปี ก่อน เนื่องจากบริษทั มีการผลิตเพิม่ มาก ขึน้ ซึง่ จะเห็นว่าต้นทุนในการซือ้ สินค้าเพิม่ สูงขึน้ จากปี 2552 โดยคิด เป็ น 112.32% จึงส่งผลให้ค่าใช้จ่ายโดยรวมของบริษทั ในปี 2553 นัน้ เพิม่ สูงขึน้ 3) กาไรสุทธิ กาไรสุทธิของบริษทั มีแนวโน้มเพิม่ มากขึน้ ในแต่ละปี โดยในปี 2552 เพิม่ ขึน้ 1,352,128.61 บาท จากในปี 2551 คิดเป็ น 33.96% เนื่องมาจากมีการขายที่เพิม่ มากขึน้ และมีรายได้รวมสูงขึน้ โดยมีรายได้ จากการขายเพิม่ ขึน้ 1.14% รวมถึงยังมีรายได้จากการให้บริการเพิม่ ขึ้น จากปี ก่ อนท าให้บริษัทมีก าไรสุ ทธิเพิ่มขึ้นในปี 2552 และในปี 2553 บริษทั ยังคงมีกาไรสุทธิเพิม่ ขึน้ 471,177.23 บาท จากในปี 2552 คิดเป็ น 8.83% ซึ่งเพิม่ ขึน้ ในอัตราที่ลดลง เนื่องจากในปี 2553 ถึงแม้บริษัทมี รายได้เพิ่มขึ้น แต่ ก็มกี ารผลิตเพิ่มมากขึ้น จึงส่ งผลให้มตี ้นทุนสูงขึ้น ตามมา จึงทาให้กาไรสุทธิเพิม่ ขึน้ ในอัตราทีล่ ดลง แต่บริษทั ก็ยงั คงมีกาไร สุทธิทเ่ี พิม่ ขึน้ ในแต่ละปีอย่างต่อเนื่อง 4.2.2 งบดุลข้างต้น สามารถวิเคราะห์ได้ดงั นี้ 1) เงินสดและรายการเทียบเท่าเงินสดในปี 2552 นัน้ มีเงินสดและรายการ เทียบเท่าลดลงจากปี 2551 791,011 บาท คิดเป็ น 56.16% และในปี 2553 นัน้ เพิ่มขึ้นจากปี 2552 จ านวน 9,422,395.83 บาท คิดเป็ น 1,526.17% เนื่องจากในปี 2552 หนี้สนิ ของบริษทั นัน้ มีจานวนลดลงโดย


102 บริษัทได้มกี ารจ่ายชาระเงินกู้ยมื ไป จึงอาจจะเป็ นสาเหตุทาให้เงินสด และรายการเทียบเท่าลดลง และสาหรับปี 2553นัน้ อาจจะเป็ นผลมาจาก ลูกหนี้การค้าที่ลดลงเนื่องจากลูกหนี้การค้าได้ท าการชาระหนี้ให้แก่ บริษทั จึงทาให้เงินสดและรายการเทียบเท่าเพิม่ ขึน้ จากสาเหตุดงั กล่าว 2) ลูกหนี้การค้า ในปี 2552 นัน้ ลดลงจากปี 2551 จานวน 1,024,685 บาท คิดเป็ น 0.45% และส าหรับปี 2553 นัน้ ได้ลดลงอย่างต่ อเนื่ องจากปี 2552 จานวน 21,733,657 บาท คิดเป็น 9.66% เนื่องจากในปี 2553 นัน้ ลูกหนี้การค้าที่ลดลงนัน้ เป็ นผลมาจากการจ่ายชาระหนี้ท่รี วดเร็ว ตรง เวลา ซึ่งสอดคล้องกับเงินสดและรายการเทียบเท่าที่เพิม่ ขึ้น จึงทาให้ ลูกหนี้การค้าลดลงจากสาเหตุดงั กล่าว 3) สินค้าคงเหลือ ในปี 2552 สินค้าคงเหลือลดลงจากปี 2551 จานวน 97,565,158.07 บาท คิดเป็ น 33.68% และสาหรับในปี 2553นัน้ สินค้า คงเหลือเพิม่ ขึน้ 93,244,058.44 บาท จากปี 2552 โดยคิดเป็ น 48.53% จานวนสินค้าคงเหลือลดลงในปี 2552 นัน้ อาจจะมาจากการสังขายสิ ่ นค้า ที่มจี านวนมากในช่วงต้นปี และกลางปี เป็ นจานวนมากทาให้มกี ารนา วัตถุดบิ เพื่อไปใช้ในการผลิตเป็ นจานวนมากทาให้สนิ ค้าคงเหลือลดลง และสาหรับในปี 2553 เพิม่ ขึน้ อาจจะเป็นสาเหตุมาจากการสังขายสิ ่ นค้า ทีม่ จี านวนมากในช่วงปลายปี ทาให้บริษทั ไม่สามารส่งมอบสินค้าได้ทนั ในช่วงปีเดียวกัน ทาให้จานวนสินค้าจึงเพิม่ ขึน้ จากปีก่อน 4) เจ้าหนี้การค้า ปี 2552 นัน้ เพิม่ ขึน้ จากปี 2551 จานวน 78,602,641.88 บาท คิดเป็ น 70.78% และสาหรับปี 2553 นัน้ จานวนเจ้าหนี้การค้าได้ เพิม่ ขึน้ จากปี 2552 เป็ นจานวน 53,948,876.99 บาท คิดเป็ น 28.45% โดยเป็นผลมาจากบริษทั ได้มขี ายสินค้าเป็ นจานวนเพิม่ ขึน้ อย่างต่อเนื่อง ตัง้ แต่ปี 2551,2552 และ 2553 ทาให้ต้องมีการสังซื ่ อ้ วัตถุดบิ ทีใ่ ช้ในการ ผลิตเพิ่มมากขึ้นเพื่อรองรับการขายที่เพิ่มขึ้นจึงทาให้เจ้าหนี้ การค้า เพิม่ ขึน้ จากสาเหตุดงั กล่าว


103 5. ความเป็ นไปได้ ใ นการน าการจัด การห่ ว งโซ่ อุป ทานมาประยุก ต์เ พื่ อ การ นาไปสู่การพัฒนาอย่างยังยื ่ น

ภาพที่ 4-7 ความเป็นไปได้ในการนาไปสู่การพัฒนาอย่างยังยื ่ นของบริษทั ทีม่ า: จากการวิเคราะห์รว่ มกันของกลุ่มปญั หาพิเศษ (การจัดการห่วงโซ่อุปทาน). 2555. การทีอ่ งค์กรจะเกิดการพัฒนาอย่างยังยื ่ นได้ จะต้องมีการวิเคราะห์ปจั จัยภายในและ ภายนอกองค์กรที่ส่งผลต่อการพัฒนาขององค์กร โดยปจั จัยภายนอกประกอบด้วย ความ เจริญ เติบ โตทางการตลาด เศรษฐกิจ สิ่ง แวดล้อ ม นโยบายรัฐ บาล และป จั จัย ภายใน ประกอบด้วยแผนกต่างๆ เช่น ฝ่ายจัดซื้อ ฝ่ายผลิต เทคโนโลยี ฝ่ายบุคคล ฝ่ายบัญชีและ การเงิน ฝา่ ยการตลาด และระบบสารสนเทศ จะเป็นส่วนสนับสนุ นและส่งเสริมให้องค์กรเกิด การพัฒนาอย่างยังยื ่ น


104 5.1 ปจั จัยภายนอก 5.1.1 ความเจริญเติบโตการตลาด 1) ประชาชาติธุรกิจ (2554) กล่าวว่า ส่วนแบ่งทางการตลาดในปี 2554 อุ ต สาหกรรมการผลิต หลอดไฟมีมูล ค่ า การเติบ โตประมาณ 6.5 พันล้านบาทมีสดั ส่วนทางการตลาดประมาณร้อยละ 40 และมีอตั รา การเติบโตลดลงประมาณร้อยละ 4 ซึ่งเป็ นผลมาจากการชะลอตัว ทางด้านเศรษฐกิจ 2) ความรุนแรงทางการแข่งขันในอุตสาหกรรมในปจั จุบนั การแข่งขันเริม่ มีความรุนแรงขึน้ มีผู้ประกอบการรายใหม่ภายในประเทศเข้ามาใน อุ ต สาหกรรมมากขึ้น เนื่ อ งจากมองเห็น ส่ ว นแบ่ง ทางการตลาดที่ เหลืออยู่ รวมทัง้ ผู้ประกอบรายใหญ่ท่มี อี ยู่ก่อนได้เพิม่ สายการผลิต ให้หลากหลายมากขึน้ 3) ประชาชาติธุรกิจ (2554) อ้างถึง นายประกรณ์ เมฆจาเริญ ประธาน คณะกรรมการบริ ห ารและกรรมการผู้ จ ัด การ บริ ษั ท ฟิ ล ิ ป ส์ อิเ ล็ก ทรอนิกส์ (ประเทศไทย) จากัด (2554) ได้กล่ าวถึงจานวนคู่ แข่งขันในอุตสาหกรรมไว้ว่า ปจั จุบนั บริษัทที่เคยเป็ นผู้รบั จ้างผลิต ให้กบั ตราสินค้าต่างประเทศ ได้หนั มาผลิตผลิตภัณฑ์เป็ นตราของ ตัว เอง เนื่ อ งจากมองช่ อ งว่ า งของตลาดที่เ หลือ อยู่ป ระมาณ 6-7 พันล้านบาทต่อปี 5.1.2 บริษัท ไทยวิจยั และฝึ กอบรม จากัด (2555) กล่าวว่า เศรษฐกิจไทยในปี 2555 จะถูกกระทบด้วย 3 ปจั จัยหลัก ประการแรกเหตุการณ์มหาอุทกภัยใน ปลายปี 2554 ซึง่ กระทบฐานการผลิตของประเทศอย่างรุนแรง ประการทีส่ อง การชะลอตัวของเศรษฐกิจโลก ซึ่งกระทบทัง้ การส่งออกและการไหลเข้าของ เงินทุน และประการสุดท้ายนโยบายรัฐบาลที่มแี นวปฏิบตั ชิ ดั เจนที่จะระดม เม็ดเงินเข้าสู่ ระบบเศรษฐกิจจ านวนมากจากเหตุ การณ์ น้ าท่ ว มท าให้ ประชาชนต้องมีการซ่อมแซมบ้านเรือนที่เสียหาย ดังนัน้ ผู้บริโภคมีความ จ าเป็ นที่จะต้ องมีการซื้ออุ ปกรณ์ เครื่องใช้ไฟฟ้ าใหม่ ความต้ องการใช้ หลอดไฟจึงอัตราการเพิม่ ขึน้ แบบก้าวกระโดด 5.1.3 สิ่ ง แวดล้ อ ม ในป จั จุ บ ัน กระแสสัง คมทัว่ โลกได้ ใ ห้ ค วามส าคัญ กั บ สิง่ แวดล้อมและภาวะโลกร้อนเพิม่ มากขึน้ เนื่องจากมีผลกระทบกับคนทุก ระดับและทุกหน่ วยงาน ส่ งผลให้มกี ารสนับสนุ นการประหยัดพลังงาน มากยิง่ ขึน้ เพื่อลดมลภาวะและของเสียทีอ่ าจะเกิดขึน้ ด้วยเหตุน้ี จึงทาให้ม ี


105 เทคโนโลยีและกฎหมายใหม่เกิดขึน้ เพื่อรองรับกับกับปญั หาสิง่ แวดล้อม เหล่านี้ 5.1.4 นโยบายของรัฐบาล 1) การส่งเสริมของภาครัฐในปจั จุบนั ทัวโลกก ่ าลังประสบกับปญั หาภาวะ โลกร้อน ทาให้ทุกประเทศหันมาให้ความสนใจและสนับสนุ นธุรกิจที่ ก่อให้เกิดการประหยัดพลังงานและอนุ รกั ษ์สงิ่ แวดล้อม โดยรัฐบาลมี นโยบายที่สนับสนุ นให้ภาครัฐและเอกชนเปลี่ยนมาใช้หลอดไฟฟ้า แบบประหยัดพลังงาน 2) กฎหมายข้อบังคับ ศูนย์เทคโนโลยีโลหะและวัสดุแห่งชาติ สานักงาน พัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ (2553) กล่าวถึงกฎหมาย และข้อ ก าหนดเกี่ย วกับอุ ต สาหกรรมว่ า ในประเทศไทยมีการตัง้ ข้อ ก าหนดที่เ กี่ ย วข้ อ งกับ อุ ต สาหกรรมหลอดไฟทัง้ ในด้ า นความ ปลอดภั ย เช่ น มาตรฐานผลิ ต ภั ณ ฑ์ อุ ต สาหกรรม บั ล ลาสต์ อิเล็กทรอนิกส์ใช้กบั ไฟฟ้ากระแสสลับสาหรับหลอดฟลูออเรสเซนซ์ เฉพาะด้านความปลอดภัยมาตรฐานผลิตภัณฑ์อุต สาหกรรมโกลว์ สตาร์ต เตอร์สาหรับ หลอดฟลูอ อเรสเซนซ์และด้า นมาตรฐานของ ผลิตภัณฑ์ รวมถึงกฎหมายที่ส่งเสริมให้คานึงถึงของเสียที่จะเกิดต่อ สภาพแวดล้อม โดยในปจั จุบนั เริม่ มีการให้ความสนใจกับกฎหมาย Ecodesign ซึ่งเป็ นการออกแบบผลิตภัณฑ์เชิงนิเวศน์เศรษฐกิจเพื่อ ความยังยื ่ น เป็นการสนับสนุนในของเรื่องสิง่ แวดล้อม และนอกจากนี้ ยังมีการประกาศเลิกใช้หลอดไฟบางประเภทที่มผี ลกระทบต่อภาวะ โลกร้อน 3) ประชาคมเศรษฐกิจอาเซียน (ASEAN Economic Community : AEC) ฝ่ายวิจยั ธุรกิจธนาคารเพื่อการส่งออกและนาเข้าแห่งประเทศ ไทย ได้กล่าวไว้ว่า ประชาคมเศรษฐกิจอาเซียน คือ การเคลื่อนย้าย อย่างเสรีใน 5 สาขาประกอบด้วยสินค้าบริการการลงทุนแรงงานฝีมอื และเงิน ทุน ซึ่งการเปิ ดเสรีด ังกล่ าวทาให้เ กิดความได้เ ปรียบและ เสียเปรียบมากน้อยแตกต่างกันตามศักยภาพของผู้ประกอบการใน แต่ละประเทศโดยอุตสาหกรรมหลอดไฟนัน้ ข้อดีของการเข้าร่วมเป็ น สมาชิก คือ ทาให้มกี ารขยายตัวทางการตลาด ผลิตภัณฑ์เป็ นทีร่ จู้ กั มากขึน้ เกิดการประหยัดต่อขนาด ในทางตรงกันข้าม การแข่งขันจะ มีความรุนแรงมากขึน้ ผู้ประกอบการที่มศี กั ยภาพทางการแข่งขันใน ด้า นต่ า งๆ เช่ น ต้น ทุ น ต่ า การขนส่ ง การตลาด และการบริห าร


106 จัดการองค์กร เป็ นต้น ทาให้ผู้ประกอบการรายย่อยไม่สามารถทา การแข่งขันได้ นาไปสู่การผูกขาดทางการค้า 5.2 ปจั จัยภายในองค์กร 5.2.1 ฝา่ ยจัดซือ้ มีการคัดเลือกผูจ้ ดั หาทีม่ ปี ระสิทธิภาพ สามารถส่งมอบวัตถุดบิ ทีม่ คี ุณภาพตามมาตรฐาน ได้อย่างทันเวลาและเพียงพอต่อความต้องการ ในการผลิตสินค้าของบริษทั เพื่อให้การผลิตเป็นไปอย่างต่อเนื่อง 5.2.2 ฝา่ ยผลิต มีการพัฒนาและปรับปรุงกระบวนการผลิตอย่างต่อเนื่อง ทาให้ เกิดการประหยัดต่อ ขนาด ซึ่งจะสามารถสร้างความได้เปรียบทางการ แข่งขันได้ในอนาคต 5.2.3 เทคโนโลยี เทคโนโลยีท่ีใ ช้ ใ นการผลิต นั ้น เป็ น ส่ ว นที่ช่ ว ยส่ ง เสริม ศักยภาพทางการแข่งขันให้เหนือคู่แข่งในอุตสาหกรรม ซึ่งทางบริษทั มี การคิดค้นเทคโนโลยีทใ่ี ช้ผลิตหลอดไฟฟลูออเรสเซนต์ที 5 ทีม่ คี ุณสมบัติ ในเรื่อ งของการประหยัด ไฟ มีอ ายุ ก ารใช้ง านที่ย าวนานถึง 22,000 ชัวโมงเพื ่ ่อสร้างความได้เปรียบทางการแข่งขัน 5.2.4 ฝ่ายบุคคล ในการคัดเลือกบุคคลเข้าทางานในแผนกต่างๆ จะคัดเลือก ตามระดับการศึกษาให้เหมาะสมกับ ลักษณะงานเพื่อให้การทางานเกิด ประสิทธิภาพสูงสุ ดและได้มกี ารร่ว มมือ กับมหาวิทยาลัยเกษมบัณฑิต พัฒนาหลักสูตรมินิเอ็มบีเอ (MINI MBA.LKS academy) เพื่อส่งเสริมให้ เกิดองค์กรแห่งการเรียนรูใ้ นการพัฒนาทักษะ ความรูข้ องพนักงานให้เกิด ความชานาญในการทางาน 5.2.5 ฝ่ายการเงินและบัญ ชีมกี ารนาโปรแกรมบัญ ชีมาประยุกต์ใ ช้ในองค์กร เพื่อให้เกิดความรวดเร็ว ในการติดต่ อแลกเปลี่ยนข้อ มูล ทาให้ข้อมูล ที่ นามาใช้ในการคิดต้นทุนนัน้ เป็นไปอย่างถูกต้องแม่นยาและทันเวลา 5.2.6 ฝ่ายการตลาด ได้มกี ารโฆษณาประชาสัมพันธ์อย่างต่อเนื่อง เพื่อสร้าง การรับรูใ้ ห้กบั ผูบ้ ริโภค และได้มบี ริการทีเ่ รียกว่า การบริการทางด้านแสง สว่างครบวงจร (one stop lighting service) ซึง่ เป็ นการให้บริการอย่าง ครบวงจรสาหรับกลุ่ มธุรกิจโดยจะเริม่ ตัง้ แต่การออกแบบผลิต ภัณฑ์ท่ี ประหยัดพลังงานอย่างครบวงจร พร้อมบริการติดตัง้ และบริการหลังการ ขาย 5.2.7 ระบบสารสนเทศ หลัง ที่บ ริษั ท ได้ น าการจัด การห่ ว งโซ่ อุ ป ทานมา ประยุกต์ใช้ ทาให้การติดต่อสื่อสารทัง้ ภายในและภายนอกองค์กรมีความ รวดเร็ว สามารถแลกเปลีย่ นข้อมูลได้อย่างทันเวลา ลดข้อผิดพลาดในการ ส่งต่อของข้อมูล


107 ตารางที่ 4-4 การวัดผลการพัฒนาธุรกิจอย่างยังยื ่ น ที่ รายการ 1. องค์กรแห่งการเรียนรู้ 2. ความรับผิดชอบต่อสังคมและสิง่ แวดล้อม 3. การใช้ระบบบัญชีตามต้นทุนกิจกรรม 4. การนาระบบการจัดการห่วงโซ่อุปทานมาใช้ 5. การพึง่ พาตนเองในกระบวนการผลิต 6. การจัดการของเสีย 7. การระบุความสูญเปล่า 8. การใช้ระบบการผลิตแบบลีนและการบัญชีแบบลีน ทีม่ า: จากการวิเคราะห์รว่ มกันของกลุ่มปญั หาพิเศษ (การจัดการห่วงโซ่อุปทาน)

มี ไม่ม ี ✓ ✓ ✓ ✓ ✓ ✓ ✓ ✓

จากปจั จัยที่กล่าวมา ในการระบุถงึ ความเป็ นไปได้ในการพัฒนาธุรกิจอย่างยังยื ่ นของ บริษัท กขค จากัด นัน้ คิดเป็ นร้อยละ 42.86 เนื่องจากบริษัทยังไม่ได้ดาเนินการเกี่ยวกับการ จัด การความสูญ เปล่ า ที่เ กิด จากกระบวนด าเนิน งาน ไม่ม ีก ารจัด การกับ ของเสีย ที่เ กิด จาก กระบวนการผลิต หากบริษัท ต้อ งการที่จ ะท าให้ก ารบริห ารต้ น ทุ น เกิด ประสิท ธิภ าพสูง สุ ด เพื่อทีจ่ ะนาไปสู่การพัฒนาธุรกิจอย่างยังยื ่ น จะต้องมีการจัดการกับของเสียและความสูญเปล่าที่ เกิดขึน้ โดยการนาระบบการผลิตแบบลีนและการบัญชีแบบลีนมาประยุกต์ใช้ควบคู่ไปกับการใช้ การจัดการห่วงโซ่อุปทาน


บทที่ 5 สรุปผลการศึกษาและข้อเสนอแนะ สรุปผลการศึกษา การศึก ษาการบริห ารต้นทุ นโดยใช้เ ครื่อ งมือ การจัด การห่ว งโซ่อุ ปทาน กรณีศึกษา บริษทั กขคจากัด ซึ่งมีวตั ถุประสงค์เพื่อ ศึกษาถึงสาเหตุของปญั หาก่อนการนาการจัดการห่วง โซ่อุปทานมาใช้ แนวคิดทางการบริหาร การนามาประยุกต์ใช้ และคุณประโยชน์ทไ่ี ด้รบั รวมไป ถึงศึก ษาถึงการประยุก ต์ใ ช้แ ละ ประสิทธิภาพของการนาการจัดการห่ว งโซ่อุ ปทานมาใช้ใ น องค์กร โดยการศึกษาครัง้ นี้ ผลการศึกษาพบว่า 1. สาเหตุของการนาการจัดการห่วงโซ่อปุ ทาน มาใช้ในบริ ษทั กขคจากัด ปญั หาของบริษัท กขคจากัด ก่ อ นการน าการจัด การห่ ว งโซ่ อุ ป ทานมา ประยุกต์ใช้ มี 3 สาเหตุ คือ ปญั หาเกี่ยวกับผู้จดั จาหน่ ายวัตถุดบิ ในเรื่องของ คุณภาพวัตถุดบิ ทีต่ ่ากว่ามาตรฐาน และการส่งมอบวัตถุดบิ ทีล่ ่าช้า เนื่องมาจากการ ั หาถัด มา คือ ป ญ ั หาใน สัญ ญาระหว่ า งกั น ไม่ ค รอบคลุ ม และไม่ ช ัด เจน ป ญ กระบวนการผลิตและการจัดเก็บสินค้า โดยในกระบวนการผลิต เกิด วัตถุดิบและ เครื่องจักรที่ใช้ผลิตสินค้าไม่ได้คุณภาพ ประกอบกับช่างขาดความชานาญในการ ดูแลและซ่อมแซมเครื่องจักร จึงทาให้ปริมาณของเสียในกระบวนการผลิตเพิม่ ขึ้ น สาหรับปญั หาการจัดเก็บสินค้านัน้ เกิดจากการเปลี่ยนแปลงและยกเลิกคาสังซื ่ ้อ ของลูกค้า จึงทาให้บริษัทต้องจัดเก็บสินค้าบางชนิดค้างไว้ในคลังสินค้านานกว่า ปกติ ปญั หาสุดท้ายคือ ปญั หาการกระจายสินค้าไปยังผูบ้ ริโภค โดยสืบเนื่องมาจาก ั หาที่ก ล่ าวไว้ ส่ ง ผลให้ส ินค้าไม่เ พียงพอต่ อ ความต้อ งการของลูก ค้า ทัง้ สองป ญ ประกอบกับความล่าช้าในการส่งมอบของฝา่ ยจัดส่ง (หน้า 2, 88) 2. แนวคิ ดและคุณประโยชน์ที่จะได้รบั จากการนาการบริ หารจัดการต้นทุนและ การบริ หารองค์กรมาประยุกต์ใช้ จากการที่บ ริษัท ได้เ ข้า ร่ ว มโครงการพัฒ นาอุ ต สาหกรรมการผลิต เพื่อ ยกระดับความสามารถในการแข่งขัน จึงทาให้บริษัทฯ ได้นาการจัดการห่ว งโซ่ อุปทาน (SCM) มาใช้เป็ นหลักการในการบริหารจัดการต้นทุนในทุกกระบวนการ ตลอดห่วงโซ่อุปทาน ตัง้ แต่กระบวนการจัดหาและจัดซื้อวัตถุดบิ การผลิ ต และการ ส่งมอบสินค้า เพื่อแก้ไขปญั หาต่างๆ ที่ได้เกิดขึน้ ตามที่ได้กล่าวไว้ในข้อ 1 และ เสริมสร้างความสามารถในการบริหารและแข่งขันของสมาชิกในห่วงโซ่อุปทาน มี การประสานงานร่วมกันทัง้ ภายในและภายนอกองค์กร เพื่อความพึงพอใจสูงสุดของ


109 ผู้บริโภค และช่วยให้องค์กรใช้ทรัพยากรที่มอี ยู่อย่างจากัดให้เกิดประโยชน์สูงสุด ร่วมกัน ส่งเสริมให้ธุรกิจเติบโตไปอย่างยังยื ่ น (หน้า 2, 89) 3. การประยุกต์ใช้การจัดการห่วงโซ่อปุ ทานในบริ ษทั กขคจากัด บริษัทเริม่ ต้นโดยการวิเ คราะห์ส ภาพปญั หาปญั หาในปจั จุบนั ทัง้ ปญั หา ภาย ในองค์ ก ร และระหว่ า งองค์ ก ร จากนั ้น สถานบัน วิ ท ยาการโซ่ อุ ป ทาน มหาวิทยาลัยศรี ปทุมได้ออกแบบขัน้ ตอนในการดาเนินงานให้แก่องค์กร โดยใช้ผงั สายธารคุณค่า (Value Steam Mapping: VSM) เป็ นเครื่องมือในการแสดงให้เห็น ถึงกระบวนการการดาเนินงานทุกกระบวนการในห่วงโซ่อุปทาน โดยแบ่งเป็ น 6 ขัน้ ตอน คือ 1.การปรับเปลี่ยนแนวคิดการจัดการโซ่อุปทาน 2.การประเมินสถานะ โซ่ อุ ป ทานและความสามารถขององค์ก ร 3.จัด ท าแผนผัง สถานะป จั จุ บ ัน ของ กระบวนการธุรกิจ 4.จัดทาแผนผังสถานะอนาคตของกระบวนการธุรกิจ 5.ปรับปรุง กระบวนการธุรกิจ 6.ปรับปรุงแผนผังสถานะของกระบวนการธุรกิจ จากนัน้ ทาการ วิเคราะห์จดุ แข็ง จุดอ่อน โอกาส และอุปสรรค (SWOT Analysis) ของบริษทั ฯ เพื่อ นาการจัดการห่วงโซ่อุปทานมาประยุกต์ใช้ให้เหมาะสมกับองค์กรมากขึน้ หลังจาก การวางแผนและวิเคราะห์ปจั จัยต่างๆ บริษทั ฯ ได้นาหลักการจัดการห่วงโซ่อุปทาน ประยุกต์ใช้ โดยอธิบายได้ตามวงจรการบริหารงานคุณภาพ (PDCA) (หน้า 2, 89) 4. การศึ กษาประสิ ทธิ ภาพของการนาการจัดการห่ วงโซ่ อุปทานมาใช้ใน บริ ษัท กขคจากัด หลังจากที่ทางบริษัทได้นาการจัดการห่วงโซ่อุปทานมาประยุกต์ใช้ ทาให้ บริษทั สามารถเห็นถึงการเปลีย่ นแปลงในด้านต่างๆทางการผลิตโดยเริม่ ตัง้ แต่การ ติดต่อประสานงานภายในองค์กร ระยะเวลาในการรอคอยวัตถุดบิ กาลังการผลิตที่ เพิม่ ขึน้ และความพึงพอใจของลูกค้า เป็นต้น ซึง่ มีรายละเอียดดังต่อไปนี้ การติดต่อ ประสานงานระหว่างหน่ วยงานมีการกาหนดขอบเขตหน้ าที่การทางาน แบ่งแยก หน้า ที่กนั อย่างชัดเจน ทาให้การประสานข้อมูลระหว่างหน่ วยงานมีความรวดเร็ว และแต่ละหน่วยงานสามารถดาเนินการได้ทนั เวลา ระยะเวลาในการส่งมอบวัตถุดบิ ทีใ่ ช้ในการผลิตนัน้ มีระยะเวลาทีส่ นั ้ ลง สาหรับผู้จดั หาวัตถุดบิ จากต่างประเทศนัน้ ทางบริษทั ได้มกี ารเข้าไปมีส่วนร่วมในการวางแผนการผลิตวัตถุดบิ เพื่อให้สามารถ ส่งมอบให้บริษัทได้ทนั เวลาที่ต้อ งการจะใช้ผ ลิต และผู้จดั หาภายในประเทศนัน้ บริษัทได้ดาเนินการลดระยะเวลาในการส่งมอบสินค้าของบริษัทผู้จดั หาให้สนั ้ ลง เพื่อให้การผลิตสามารถผลิตได้อย่างต่อเนื่อ งและสอดคล้องกับการนาเข้าวัตถุดบิ จากต่างประเทศ และสาหรับการจัดการความสัมพันธ์กบั ลูกค้านัน้ ทางบริษทั ได้ม ี การดาเนินการติดตามสินค้าให้ลูกค้าอย่างทันทีทล่ี ูกค้ามีคาสังซื ่ อ้ เข้ามาและบริหาร


110 จัดการเวลาส่งมอบสินค้าให้รวดเร็วตามทีล่ ูกค้าต้องการ การเพิม่ รอบการผลิตเป็ น ผลมาจากการพัฒนาและปรับปรุงประสิทธิภาพของเครื่องจักรเพื่อให้สามารถผลิต ได้ตามความต้องการของลูกค้า ผลจากการเพิม่ รอบของการผลิตทาให้ต้นทุนต่อ หน่วยของสินค้าทีผ่ ลิตต่าลงส่งผลให้ตน้ ทุนทีเ่ กิดขึน้ ลดลงจากปีก่อนเมื่อมีการวัดผล ในเรือ่ งของความพึงพอใจไม่ว่าจะเป็นภายในองค์กร ผูบ้ ริหารนัน้ มีความพอใจอย่าง มากใน ผลการดาเนินงานทีดขี น้ึ อัตราการหมุนเวียนการชาระหนี้ของลูกค้ารวดเร็ว มากขึน้ และลูกค้ามีความพึงพอใจมากในเรื่องของการได้รบั สินค้าทีร่ วดเร็ว สาหรับ การจัดการของเสียจากกระบวนการผลิต บริษัทยังไม่มวี ิธจี ดั การที่เ ป็ นรูปธรรม เนื่องจาก ของเสียทีเ่ กิดจะมีการทดแทนด้วยการผลิตทีเ่ พิม่ ขึน้ (หน้า 2, 95) 5. การนาการจัดการห่ วงโซ่อปุ ทานไปใช้เพื่อนาไปสู่การพัฒนาธุรกิ จอย่างยังยื ่ น จากวิเ คราะห์ทงั ้ ปจั จัยภายในและภายนอกองค์ก ร เพื่อ ศึก ษาว่า การนา หลักการจัดการห่ ว งโซ่อุปทานมาประยุกต์ใช้ใ นองค์กรนัน้ ก่ อ ให้เกิด การพัฒนา อย่ า งยัง่ ยืน แก่ อ งค์ ก รหรือ ไม่ โดยได้ ท าการวิเ คราะห์ ถึง ป จั จัย ภายนอก ซึ่ง ประกอบด้วย ความเจริญเติบโตทางการตลาด ภาวะเศรษฐกิจ สิง่ แวดล้อม และ นโยบายรัฐบาล ส่วนปจั จัยภายในได้วเิ คราะห์ แผนกต่างๆ ทีจ่ ะเป็ นส่วนสนับสนุ น และส่ ง เสริม ให้อ งค์ก รเกิด การพัฒ นาอย่ า งยัง่ ยืน ได้แ ก่ ฝ่ า ยจัด ซื้อ ฝ่ า ยผลิต เทคโนโลยี ฝ่ า ยบุ ค คล ฝ่ า ยการเงิน และบัญ ชี และฝ่ า ยการตลาด และระบบ สารสนเทศ พบว่า บริษัท ฯ ไม่มกี ารจัดการของเสียที่เ กิดจากกระบวนการผลิต ส่งผลให้การบริหารต้นทุ นโดยใช้การจัดการห่วงโซ่อุปทานมีประสิทธิภาพไม่เพียง พอทีจ่ ะนาไปสู่การพัฒนาธุรกิจอย่างยังยื ่ นได้ (หน้า 2, 103)


111 ข้อเสนอแนะ 1. จากผลการศึก ษาการจัดการห่ว งโซ่อุ ปทานที่นามาใช้ภายในบริษัท พบว่า ทาง บริษัทมีการเพิม่ การผลิตให้เพียงพอต่อความต้องการลูกค้า ซึ่งการเพิม่ รอบการ ผลิตดังกล่าวนัน้ เป็ นผลเนื่องมาจากของเสียทีเ่ กิดจากการผลิตนัน้ ทีเ่ กิดขึน้ อยู่เสมอ โดยทางบริษทั ไม่ได้มกี ารหาวิธปี ้ องกัน หรือเพิม่ ความระมัดระวังในการผลิตของ พนัก งาน และไม่ไ ด้มมี าตรการในการจัดการเรื่อ งดังกล่ า ว บริษัทจึงควรมีการ จัดการของเสียโดยใช้วกี ารจัดการแบบซิกซ์ซกิ ม่า ( Six Sigma) ในการจัดการกับ ปญั หาดัง กล่ าว เพื่อ ลดของเสียจากกระบวนการผลิต และผลิต สินค้าได้ทนั ตาม ความต้องการของลูกค้า อันเป็นผลให้ตน้ ทุนของกิจการจะลดลง เนื่องจากของเสียก็ จัดเป็นต้นทุนของสินค้าเช่นกัน (หน้า 42-44) 2. จากผลการศึกษาการจัดการห่วงโซ่อุปทานภายในบริษทั ควรจะนาระบบการผลิต แบบลีนและการบัญชีแบบลีนมาประยุกต์ใช้ใ นกระบวนการผลิตควบคู่ไปกับการใช้ การจัดการห่วงโซ่อุปทานเนื่องจากทางบริษัทไม่มรี ะบบการจัดการกับของเสียที่ เกิดขึน้ จากกระบวนการผลิต ทาให้เกิดความสูญเปล่าในการผลิต ต้นทุนในการผลิต สินค้าเพิม่ ขึน้ ดังนัน้ หากทางบริษทั นาหลักการดังกล่าวมาประยุกต์ใช้ร่วมกับการ จัดการห่วงโซ่อุปทานจะทาให้มศี กั ยภาพ และประสิทธิภาพทางการแข่งขันเพิม่ มาก ขึน้ และจะนาไปสู่การพัฒนาอย่างยังยื ่ น


บรรณานุกรม กรมเจรจาการค้าระหว่างประเทศ. 2553. “เขตการค้าเสรี.” [เข้าถึงได้จาก]. http://www.thaifta.com. (19 มีนาคม 2555). กรมนักเรียนนายเรืออากาศ. 2547. “Six sigma.” [เข้าถึงได้จาก]. http://www.aircadetw ing.com/Index.php?lay=show&ac=article&Id=5376370&Ntype=4. (19 มีนาคม 2555). กรมพัฒนาธุรกิจการค้าฯ. 2555. กัลยกร เกษกมล. 2552. การประยุกต์ใช้การจัดการสายธารคุณค่าในการปรับปรุง ประสิ ทธิ ภาพกระบวนการบริ หารจัดการคาสังซื ่ ้อ กรณี ศึกษาบริ ษทั ผูผ้ ลิ ต แผ่นวงจรอิ เล็กทรอนิ กส์. วิทยานิพนธ์วศิ วกรรมศาสตรมหาบัณฑิต สาขาวิชา วิศวกรรมอุตสาหการ, มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์. เกรียงศักดิ ์ เจริญวงศ์ศกั ดิ ์. 2546. ภาพอนาคตและคุณลักษณะของคนไทยที่พึงประสงค์. กรุงเทพมหานคร: ห้างหุน้ ส่วนจากัด วี. ที. ซี. คอมมิวนิเคชัน. ่ เกียรติขจร โฆมานะสิน. 2550. LEAN: วิ ถีแห่งการสร้างคุณค่าสู่องค์กรที่เป็ นเลิ ศ. กรุงเทพมหานคร: บริษทั อมรินทร์พริน้ ติง้ แอนด์พบั ลิชชิง่ จากัด (มหาชน). แก้วตา ไทรงามและคณะ. 2548. ผูน้ าเชิ งกลยุทธ์เพื่อสร้างองค์การแห่งการเรียนรู้. กรุงเทพมหานคร: สถาบันพัฒนาผูบ้ ริหารการศึกษา. โกศล ดีศลี ธรรม. 2547. เทคนิ คการจัดการโลจิ สติ กส์ และซัพพลายเชนในโลกธุรกิ จยุค ใหม่. กรุงเทพมหานคร: อินฟอร์มเี ดีย บุ๊คส์. _______. 2548. “บทบาทสายธารแห่งคุณค่ากับการสนับสนุ นองค์กรแห่งลีน.” วารสารเพื่อ คุณภาพ (For quality) 12: 70-74.


_______. 2549. “การจัดการห่วงโซ่อุปทานแห่งโลกธุรกิจใหม่.” อิ นเตอร์เน็ต แมกะซีน (Internet magazine) 9: 97-99. คณะบริหารธุรกิจ. วิทยาลัยนอร์ท-เชียงใหม่. 2546. “เทคโนโลยีสารสนเทศเบือ้ งต้น.” [เข้าถึงได้จาก]. http://elearning.northcm.ac.th. (19 มีนาคม 2555). คานาย อภิปรัชญาสกุล. 2549. โลจิ สติ กส์เพื่อการผลิ ต และการจัดการดาเนิ นงาน. กรุงเทพมหานคร: ซี.วาย.ซิซเทิม พริน้ ติง้ จากัด. _______. 2553. โลจิ สติ กส์ และโซ่อปุ ทาน (Logistics and Supply Chain). กรุงเทพมหานคร: โฟกัสมีเดีย แอนด์ พับลิชชิง่ . เจษฎา นกน้อย และคณะ. 2552. นานาทรรศนะการจัดการความรู้และการสร้างองค์การ แห่งการเรียนรู้. กรุงเทพมหานคร: สานักพิมพ์แห่งจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย. ฉัตรแสง ธนารักษ์โชค. ม.ป.ป. “พฤติ กรรมผู้บริ โภคในระบบทุนนิ ยม.” [เข้าถึงได้จาก]. http://www.thaifactory.com/Person/Behavior.htm. (21 มีนาคม 2555). ชาคริยา ธาระรูป. 2553. การวิ เคราะห์ต้นทุนและการลดต้นทุนโลจิ สติ กส์ในคลังสิ นค้า กรณี ศึกษา: บริ ษทั กาวอุตสาหกรรม. วิทยานิพนธ์วทิ ยาศาสตร์มหาบัณฑิต สาขาการจัดการโลจิสติกส์, มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีพระจอมเกล้าธนบุร.ี ชุตริ ะ ระบอบ. 2553. การจัดการโลจิ สติ กส์และโซ่ อปุ ทาน = Logistics and supply chain management. สมุทรปราการ: คณะบริหารธุรกิจ มหาวิทยาลัยหัวเฉียวเฉลิม พระเกียรติ. ฐานเศรษฐกิจ. 2554. “ธุรกิ จไทยพร้อมแค่ไหนสู่ประชาคมอาเซียน.” [เข้าถึงได้จาก]. http://www.thanonline.com. (19 มีนาคม 2555). ณัฏฐรินดา ฐิตเิ จริญพงษ์. 2552. การประเมิ นประสิ ทธิ ภาพห่วงโซ่อปุ ทานข้าวโพด กระป๋อง. วิทยานิพนธ์วศิ วกรรมศาสตรมหาบัณฑิต สาขาวิชาวิศวกรรมอุตสาหการ, มหาวิทยาลัยเชียงใหม่.


ดังตฤณ. 2554. “ธรรมะใกล้ตวั .” [เข้าถึงได้จาก]. http://www.prd.go.th/ewt_news.php? nid =16945. (19 มีนาคม 2555). ดวงมณี โกมารทัต. 2538. “หลักการบัญชีเพื่อสิง่ แวดล้อม : มิตหิ นึ่งของระบบบริหาร สิง่ แวดล้อม.” จุฬาลงกรณ์ ธรุ กิ จปริ ทศั น์ . ดอกไม้ปลายปืน. 2553. “ผลกระทบของการเมืองต่ อเศรษฐกิ จไทย.” [เข้าถึงได้จาก]. http://www.manager.co.th. (18 มีนาคม 2555). ไทยพลับลิกา้ . 2554. “การควบคุมมลพิ ษเผยสถานการณ์มลพิ ษปี 2554 ขยะน่ าห่วงทัง้ ปี 16 ล้านตัน.” [เข้าถึงได้จาก]. http://thaipublica.org/2011/12/report-pollution-2554 (19 มีนาคม 2555). ธนาคารแห่งประเทศไทย. 2554. “ภาวะเศรษฐกิ จไทย 2554.” [เข้าถึงได้จาก]. http://www.bot.or.th. (19 มีนาคม 2555). ธนิต โสรัตน์. 2546. การจัดการห่วงโซ่ อปุ ทานในยุคโลกาภิ วฒ ั น์ = What is logistics..?? and supply chain management. กรุงเทพมหานคร: ประชุมทอง พริน้ ติง้ กรุป๊ . _______. 2550. การประยุกต์ใช้โลจิ สติ กส์และโซ่อปุ ทาน. กรุงเทพมหานคร: ประชุมทอง พริน้ ติง้ กรุป๊ . ธีรพล แซ่ตงั ้ . 2550. “อย่าทาแค่ลดต้นทุน แต่ต้องบริ หารต้นทุน.” [เข้าถึงได้จาก], http://www.arip.co.th. (19 มีนาคม 2555). นพดล อิม่ เอม. 2548. “Value Stream Mapping.” วารสารเพื่อคุณภาพ (For quality) 12: 48-52. นาตยา ตรีรตั น์ดลิ กกุล. 2550. หลักการบัญชีเพื่อการจัดการ. พิมพ์ครัง้ ที่ 2. กรุงเทพมหานคร: มหาวิทยาลัยธุรกิจบัณฑิตย์.


นิฐนิ ันท์. 2553. “พีระมิ ด แห่งระบบ 'ทุนนิ ยม'.” [เข้าถึงได้จาก]. http://nithinannote.exteen.com/20100308/entry-1. (21 มีนาคม 2555). นิรนาม. 2549. “เขตการค้าเสรี.” [เข้าถึงได้จาก]. http://www.okmd.or.th/th/knowledge _detail.asp?id=190. (22 มีนาคม 2555). _______. 2552. “ถาม – ตอบเรื่องหลอดไฟ.” [เข้าถึงได้จาก]. http://www.greenpeace. org/seasia/th/ campaigns/climate-and-energy/solutions/energy-efficiency/lightbulb s-q-and-a/. (19 มีนาคม 2555). นิสดารก์ เวชยานนท์. 2541. “แนวคิดการสร้างองค์การแห่งการเรียนรู.้ ” การจัดการภาครัฐ และเอกชน 7 (1): 1-22. บรรหาญ ลิลา. 2553. การวางแผนและควบคุมการผลิ ต (Production Planning and Control) กรุงเทพมหานคร: ท้อป. บุณกิ า จันทร์เกตุ. ม.ป.ป. “การสร้างจิ ตสาธารณะในสังคมไทย.” [เข้าถึงได้จาก]. http://www.stou.ac.th/study/sumrit/8-54(500)/page1-8-54(500).html. (17 มีนาคม 2555). บริษทั ไทยวิจยั และฝึกอบรม จากัด. 2555. “แนวโน้ มเศรษฐกิ จปี 2555.” [เข้าถึงได้จาก]. http://www.oknation.net/blog/thaitraining/2012/01/31/entry-1. (20 มีนาคม 2555). บริษทั กขค จากัด. 2554. เยีย่ มชมโรงงาน LKS. [เทปบันทึกภาพ]. บริษทั กขค จากัด. 2555. ประชาชาติธุรกิจ. 2554. “ไทย-เทศ"ชิ งเค้กหลอดไฟ6.5พันล. ตลาดเปิ ดกว้าง"ฟิ ลิ ปส์" สปี ดหนี ส่งแอลอีดียา้ แชมป์ .” [เข้าถึงได้จาก]. http://www.prachachat.net/ news_ detail. php? newsid = 13047 58118&grpid=no&catid=11. (20 มีนาคม 2555).


ปาริฉตั ต์ ศังขะนันทน์ . 2548. “องค์กรอัจฉริ ยะ: องค์กรแห่งการเรียนรู้” [เข้าถึงได้จาก]. แหล่งทีม่ า http://www.km.kmutt.ac.th (21 มีนาคม 2555). ปิยาภรณ์ อาสาทรงธรรม. 2552. “การลดต้นทุนเพื่อความยังยื ่ นของธุรกิจ.” วารสารนัก บริ หาร 29 (1): 51-55. ฝา่ ยวิจยั ธุรกิจ ธนาคารเพื่อการส่งออกและนาเข้าแห่งประเทศไทย. มปป. “ไทยกับ AEC ใน ยุคสมัยแห่งเอเชีย.” [เข้าถึงได้จาก]. http ://www.google.co.th/url?sa=t&rct=j&q =&esrc=s&s ource =web&cd=3&ved=0CEY QFjAC&url=http%3A% 2F%2F www. dip .go.th%2FPortals% 2F0%2FTipmontha%2FAEC%2F%25E0%25B8% 259A %25E 0%25B8%2597%25E0%25B8%2584%25E0%25B8%25A7%25E0% 25B8%25B2%25E0%25B8%25A1AEC.pdf&ei=R3hoT_bXC8utrAfkn8HbBw&usg= AFQjCNGXkimP0v1JIGPNtzgkxOf8dKJJYA. (20 มีนาคม 2555). พรรณี บัวเล็ก. ม.ป.ป. “พัฒนาการทุนนิ ยมในประเทศไทย พัฒนาการทุนนิ ยมใน ประเทศไทย.” [เข้าถึงได้จาก]. http://research.krirk.ac.th/pdf. (21 มีนาคม 2555). พัชนิจ เนาวพันธ์. 2552. บัญชีเพื่อการบริ หารธุรกิ จตามแนวคิ ดกระบวนการจัดการ เชิ งกลยุทธ์. พิมพ์ครัง้ ที่ 2. กรุงเทพมหานคร: สานักพิมพ์มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์. พิชานัน อินโปธา. 2554. “บุกรุกป่ าวังน้าเขียว “เพิ่ มศักดิ์ ” สะท้อนรัฐทางานล้มเหลว.” [เข้าถึงได้จาก]. http://www.thaireform.in.th/2011-12-30-06-57-30/item/6223-201108-06-05-11-56.html. (19 มีนาคม 2555). พิชติ เทพวรรณ์. 2548. “องค์การแห่งการเรียนรู้: แนวปฏิ บตั ิ ที่เป็ นเลิ ศสาหรับ นวัตกรรม” วารสารมหาวิทยาลัยนเรศวร [เข้าถึงได้จาก]. http://www.chiangrai.ru.ac.th. (21 มีนาคม 2555). พิพฒ ั น์ นนทนาธรณ์. 2553. การจัดการความรับผิ ดชอบต่อสังคมขององค์กร การสร้าง ข้อได้เปรียบในการแข่งขันอย่างยังยื ่ น. กรุงเทพมหานคร: บริษทั ธิงค์ บียอนด์ บุ๊คส์ จากัด.


ภัคฐากูร ธรรมคีร ี และโสภาภรณ์ เอีย่ วศิร.ิ 2551. กลยุทธ์การจัดการโซ่อปุ ทานของ ผลิ ตภัณฑ์ปรุงรส กรณี ศึกษาบริ ษทั ซุปเปอร์ทีฟดู้ จากัด. วิทยานิพนธ์บริหารธุรกิจ มหาบัณฑิต สาขาการบริหารธุรกิจ, มหาวิทยาลัยนเรศวร. มหาวิทยาลัยแม่ฟ้าหลวง. 2545. “ระบบการควบคุมสิ นค้าคงคลัง.” [เข้าถึงได้จาก]. http://e- learning.mfu.ac.th/mflu/1301312/IM/chapter3_4.htm. (19 มีนาคม 2555). มังกร โรจน์ประภากร. 2552. ระบบการผลิ ตแบบโตโยต้า (TOYOTA Production System). พิมพ์ครัง้ ที่ 4. กรุงเทพมหานคร: สมาคมส่งเสริมเทคโนโลยี (ไทยญีป่ นุ่ ). แปลจาก Toyota Seisan Houshiki wo Kangaeru Kai. n.d. Tokoton Yasashii Toyota Seisan Houshiki no Hon. Japan: THE NIKKAN KOGYO SHIMBUN LTD. ระบบฐานข้อมูลด้านสังคมและคุณภาพชีวติ . 2554. “ค่าสถิ ติภาวะสังคม.” [เข้าถึงได้จาก]. http://social.nesdb.go.th/social/. (18 มีนาคม 2555). วชิรพงษ์ สาลีสงิ ห์. 2548. ปฏิ วตั ิ กระบวนการทางานด้วยเทคนิ ค Six Sigma ฉบับ Champion และ Black Belt. กรุงเทพมหานคร: ซีเอ็ดยูเคชัน. ่ วรศักดิ ์ ทุมมานนท์. 2544. ระบบการบริ หารต้นทุนกิ จกรรม. กรุงเทพมหานคร: สานักพิมพ์ไอโอนิค. วลัยลักษณ์ อัตธีรวงศ์ และวัชรวี จันทรประกายกุล. 2549. การจัดการและออกแบบโซ่ อุปทาน designing & managing the supply chain. กรุงเทพมหานคร: ท้อป. วิจารย์ สิมาฉายา. 2554. “กรมควบคุมมลพิ ษเผยสถานการณ์ มลพิ ษปี 2554 ขยะน่ าห่วง ทัง้ ปี 16 ล้านตัน.” [เข้าถึงได้จาก]. http://thaipublica.org/2011/12/report-pollution2554/. (18 มีนาคม 2555). วิชยั ไชยมี. 2547. การบริ หารการผลิ ตและควบคุมสิ นค้าคงคลัง. กรุงเทพมหานคร: ซีเอ็ดยูเคชัน. ่


วิทยา สุหฤทดารง และยุพา กลอนกลาง. 2549. การบ่งชี้ “ความสูญเปล่า” (Identifying Waste on the Shopfloor). กรุงเทพมหานคร: อี.ไอ.สแควร์ พับลิชชิง่ . แปลจาก Productivity Press Development Team. 2006. Identifying Waste on the Shopfloor. English: The Kraus Organization, Ltd. ศศิชา สิทธิกุล. 2551. การลดต้นทุนโลจิ สติ กส์ระหว่างผู้ผลิ ตชิ้ นส่วนและผูป้ ระกอบยาน ยนต์ในโซ่อปุ ทานอุตสาหกรรมยานยนต์. วิทยานิพนธ์วศิ วกรรมศาสตรมหาบัณฑิต สาขาวิศวกรรมระบบการผลิต, มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีพระจอมเกล้าธนบุร.ี ศักดิ ์ชัย ภู่เจริญ. 2553. “หลักธรรมาภิ บาล.” [เข้าถึงได้จาก]. http://www.ocn.ubu.ac.th. (18 มีนาคม 2555). ศิรขิ วัญ ขุนรัตนโรจน์. 2551. การศึกษากระบวนการห่วงโซ่ อปุ ทานของบริ ษทั จอลลี่ เท็กไทล์ อิ นดัสตรี จากัด. วิทยานิพนธ์บริหารธุรกิจมหาบัณฑิต สาขาวิทยาการ จัดการ, มหาวิทยาลัยสุโขทัยธรรมาธิราช. ศูนย์เทคโนโลยีโลหะและวัสดุแห่งชาติ สานักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ. 2551. “สาระสาคัญของ (ร่าง) กฎหมาย Ecodesign สาหรับหลอดไฟ.” [เข้าถึงได้ จาก]. http://www.thairohs.org/index.php?option=com_content&task=view&id=354 &Itemid=84&PHPSESSID=75f757b54375a9a9a603dcda740adf95. (19 มีนาคม 2555). สมหวัง วิทยาปญั ญานนท์. 2547. “การพัฒนาอย่างยังยื ่ นกลุ่มธุรกิ จปูนซีเมนต์.” [เข้าถึง ได้จาก]. http://www.budmgt.com. (20 มีนาคม 2555). สมาพันธ์โลจิสติกส์ไทย. 2554. “ประชาคมเศรษฐกิ จอาเซียน (AEC).” [เข้าถึงได้จาก]. http://www.thailog.org/wikilog/home.html. (19 มีนาคม 2555). สยามอินเทลลิเจนท์ยนู ิต. 2554. “องค์กรเพื่อความโปร่งใสจัดอันดับไทยโกงกระฉูดจาก 78 สู่ 80ของโลก.” [เข้าถึงได้จาก]. www.siamintelligence.com (18 มีนาคม 2555).


สรรค์ชยั เตียวประเสริฐกุล. 2549. “Contract Manufacturing ความท้าทายใหม่ของการ แข่งขันและความอยู่รอดของธุรกิ จ.” [เข้าถึงได้จาก]. http://www.brandage.com /Modules/DesktopModules/Article/ArticleDetail.aspx? tabID=2&ArticleID =1277&ModuleID=21&GroupID=567 (21 มีนาคม 2555). สฤณี อาชวานันทกุล. 2554. “ความตกตา่ ของการศึกษาไทย: O-NET และ PISA บอก อะไรกับเรา.” [เข้าถึงได้จาก]. http://www.tcijthai.com/column-article/721. (21 มีนาคม 2555). สานักงานคณะกรรมการพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ. 2544. “แผนพัฒนาเศรษฐกิ จ และ สังคมแห่งชาติ ฉบับที่ 11.” [เข้าถึงได้จาก]. http://www.nesdb.go.th. (19 มีนาคม 2555). _______. 2554. “รายงานสรุปสภาวะของประเทศ.” [เข้าถึงได้จาก]. http://www.nesdb.go.th/Portals/0/home/interest/11/data_0344110811.pdf. (22 มีนาคม 2555). _______. 2555. “ภาวะสังคมไทยไตรมาสสี่และภาพรวมปี 2555.” [เข้าถึงได้จาก]. http://social.nesdb.go.th. (19 มีนาคม 2555). สานักงานนโยบายและแผนทรัพยากรธรรมชาติและสิง่ แวดล้อม. 2553. “รายงานสถานการณ์ คุณภาพสิ่ งแวดล้อม พ.ศ.2553.” [เข้าถึงได้จาก]. http://www.onep.go.th. (21 มีนาคม 2555). _______. 2554. รายงานการสัมมนา เชิ งปฏิ บตั ิ การ ยุทธศาสตร์เศรษฐกิ จ หลังวิ กฤต น้าท่วม. กรุงเทพมหานคร. สานักงานเศรษฐกิจเกษตร. 2552. “ตารางแสดงผลการเจรจาเกษตร.” [เข้าถึงได้จาก]. http://www.oae.go.thwww.oae.go.th. (19 มีนาคม 2555). สานักงานสถิตแิ ห่งชาติ. 2553. “การมีใช้เทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสารใน ครัวเรือน.” [เข้าถึงได้จาก]. http://www.nso.go.th. (19 มีนาคม 2555).


สิรณ ิ ฏั ฐ์ ควรประกอบกิจ. 2553. ปัจจัยความสาเร็จของเกษตรกรขาวนาจังหวัด ฉะเชิ งเทรา. วิทยานิพนธ์บริหารธุรกิจมหาบัณฑิต สาขาการจัดการทัวไป, ่ มหาวิทยาลัยรามคาแหง. สุขสรรค์ กันตะบุตร. 2551. “ปรัชญาเศรษฐกิ จพอเพียงกับความยังยื ่ นขององค์กร.” [เข้าถึงได้จาก]. http://www.sanook.com. (19 มีนาคม 2555). สุจติ ต์ ปุคะละนันท์. 2548. “นักบริหารทรัพยากรมนุษย์กบั องค์การแห่งการเรียนรู้.” การบริ หารฅน 26 (1): 10-18. สุเมธ ตันติเวชกุล. 2554. “ประสบการณ์ การประยุกต์ใช้ปรัชญาเศรษฐกิ จพอเพียงด้าน การบริ หารองค์กร.” [เข้าถึงได้จาก]. http://www.social.nesdb.th (19 มีนาคม 2555). สุวภัทร รักเสรี. 2552. การปรับปรุงประสิ ทธิ ภาพการดาเนิ นการด้านห่ วงโซ่ อปุ ทานของ โรงงานอาหารสัตว์. วิทยานิพนธ์วศิ วกรรมศาสตรมหาบัณฑิต สาขาวิศวกรรม อุตสาหการ, มหาวิทยาลัยเชียงใหม่. เสกสิทธิ คูณศรี. ม.ป.ป. “ความสาคัญของการพัฒนาองค์กรด้วยเทคโนโลยี สารสนเทศ.” [เข้าถึงได้จาก]. http://www.chanthaburi.go.th/redcross/ article/IT.htm. (21 มีนาคม 2555). เสาวนิต คาจันทา. 2549. “องค์การแห่งการเรียนรู้.” [เข้าถึงได้จาก]. http://www.songthai. com. (18 มีนาคม 2555). อนุธดิ า ประเสริฐศักดิ ์. 2554. “การลดต้นทุนเพื่อความยังยื ่ นของธุรกิ จ.” [เข้าถึงได้จาก]. http://kmctuaccounting.wordpress.com. (18 มีนาคม 2555). อนุรกั ษ์ ทองสุโขวงศ์. 2548. “การบัญชีต้นทุน.” [เข้าถึงได้จาก]. http://home.kku.ac.th. (19 มีนาคม 2555). Adjutant. n.d. “Supply Chain Management (SCM).” [Available]. http://www.metalez.com/Supply-Chain-Management-SCM.cfm. (19 March 2012).


Chartered Institute of Management Accountants. 2011. “HOWMANAGEMENT ACCOUNTING DRIVES SUSTAINABLE SUCCESS.” [Available]. http://www.cgma.org/BecomeACGMA/WhyCGMA/Pages/CGMA-aspx (21 March 2012). Gladstone Thurston. 2010. "Bahamas World Trade Organisation (WTO) accession talks start" [Available]. http://www.thebahamasweekly.com/publish/bis-newsupdates/World_Trade_Organisation_WTO12423.shtml. (23 March 2012). Jan Dünnebier. 2009. “SCM or how to manage complexity successfully” [Available]. http://janduennebier.wordpress.com/2009/01 /05/supply-chain-management/. (19 March 2012). Lean Sigma Institute. 2004. “Lean Six Sigma DMAIC Integration Model.” [Available]. http://www.sixsigmainstitute.com/leansigma/index_leansigma.shtml. (19 March 2012). Market Manipulation. 2011. “WTO : Why is it BAD for you?.” [Available]. http://breakthematrix.com. (19 March 2012). Nithinan-note. 2553. “พีระมิ ด แห่งระบบ 'ทุนนิ ยม'.” [เข้าถึงได้จาก]. http://nithinannote.exteen.com/20100308/entry-1. (21 มีนาคม 2555). Rowland Hayler and Michael Nichols. 2549. การจัดการกระบวนการตามหลัก Six Sigma . (ไพโรจน์ บาลัน. ผูแ้ ปล). กรุงเทพมหานคร: อี.ไอ.สแควร์ พับลิซซิง่ . Sesame. 2550. “การนาเอาหลักการเศรษฐกิ จพอเพียงมาใช้กบั องค์กรเราได้อย่างไร.” [เข้าถึงได้จาก]. http://www.oknation.net. (19 มีนาคม 2555). Technical Change Associates. n.d. “VALUE STREAM MAPPING.” [Available]. http://www.technicalchange.com/value-stream-mapping.html. (19 March 2012).


XR training & consultancy. 2012. “The Lean Enterprise.� [Available] http://xrtraining.com/main/showpage.php?tier1=lean+enterprise&path=leanenterpr iseoverview&page=gtwp_section_leader.htm. (19 March 2012).


ภาคผนวก

cvcvvcv

cv

































Issuu converts static files into: digital portfolios, online yearbooks, online catalogs, digital photo albums and more. Sign up and create your flipbook.