
3 minute read
บัญชี Raw Spread กับ Zero: บัญชี Exness แบบใดดีที่สุด?
from Exness
by Exness_Blog
การเลือกบัญชีซื้อขายที่เหมาะสมเป็นหนึ่งในปัจจัยสำคัญที่ส่งผลต่อความสำเร็จในการเทรด Forex และเครื่องมือทางการเงินอื่น ๆ โดยเฉพาะเมื่อพูดถึงโบรกเกอร์ชั้นนำอย่าง Exness ซึ่งมีบัญชีหลากหลายประเภทให้เลือกใช้ เช่น บัญชี Raw Spread กับ Zero ซึ่งทั้งสองประเภทนี้ได้รับความนิยมอย่างมากในหมู่เทรดเดอร์ชาวไทย ในบทความนี้ เราจะเจาะลึกถึงความแตกต่าง ข้อดี ข้อเสีย และความเหมาะสมของบัญชี Raw Spread และ Zero เพื่อช่วยให้คุณตัดสินใจเลือกบัญชีที่เหมาะสมที่สุดสำหรับสไตล์การเทรดและเป้าหมายทางการเงินของคุณ

✅ เปิดบัญชี Exness Raw Spread ตอนนี้! 👈
💥 เปิดบัญชี Exness Zero ตอนนี้! 👈
1. ทำความรู้จักกับ Exness และประเภทบัญชี
Exness เป็นโบรกเกอร์ Forex และ CFD ที่ได้รับความนิยมอย่างมากในประเทศไทยและทั่วโลก ด้วยการให้บริการที่มีความโปร่งใส ฝาก-ถอนเงินรวดเร็ว และแพลตฟอร์มที่ทันสมัยอย่าง MetaTrader 4 และ MetaTrader 5 นอกจากนี้ Exness ยังมีใบอนุญาตจากหน่วยงานกำกับดูแลที่มีชื่อเสียง เช่น FCA (สหราชอาณาจักร) และ CySEC (ไซปรัส) ซึ่งเพิ่มความน่าเชื่อถือให้กับโบรกเกอร์นี้
Exness มีบัญชีหลายประเภทเพื่อตอบสนองความต้องการของเทรดเดอร์ทุกระดับ ตั้งแต่มือใหม่ไปจนถึงมืออาชีพ โดยบัญชีที่อยู่ในกลุ่มมืออาชีพ (Professional Accounts) เช่น Raw Spread และ Zero เป็นตัวเลือกยอดนิยมสำหรับเทรดเดอร์ที่มีประสบการณ์ เนื่องจากมีสเปรดต่ำและเงื่อนไขการเทรดที่ยืดหยุ่น แต่ทั้งสองบัญชีนี้มีความแตกต่างกันในหลายด้าน ซึ่งเราจะเปรียบเทียบอย่างละเอียดในหัวข้อถัดไป
2. บัญชี Raw Spread กับ Zero: ภาพรวม
ก่อนที่จะเปรียบเทียบทั้งสองบัญชี มาดูภาพรวมของบัญชี Raw Spread กับ Zero กันก่อน
2.1 บัญชี Raw Spread
· สเปรด: เริ่มต้นที่ 0.0 pips (สเปรดลอยตัว)
· ค่าคอมมิชชัน: คงที่ที่ 7 USD ต่อล็อต (รวมการเปิดและปิดออเดอร์)
· เงินฝากขั้นต่ำ: 1,000 USD
· เลเวอเรจ: สูงสุด 1:ไม่จำกัด
· ค่าสวอป: ฟรี (Swap-Free) สำหรับบางประเทศหรือตามเงื่อนไข
· เหมาะสำหรับ: เทรดเดอร์มืออาชีพที่ต้องการสเปรดต่ำและคงที่ ไม่มีรีโควต และใช้กลยุทธ์การเทรดที่หลากหลาย เช่น Scalping หรือ Day Trading
บัญชี Raw Spread เป็นตัวเลือกที่เหมาะสำหรับเทรดเดอร์ที่มีประสบการณ์และต้องการควบคุมต้นทุนการเทรดให้ต่ำที่สุด สเปรดที่เริ่มต้นจาก 0.0 pips ทำให้เหมาะสำหรับการเทรดคู่สกุลเงินที่มีสภาพคล่องสูง เช่น EUR/USD หรือ GBP/USD รวมถึงการเทรดทองคำ (XAU/USD)
2.2 บัญชี Zero
· สเปรด: 0.0 pips สำหรับคู่สกุลเงินหลัก 30 คู่ใน 95% ของช่วงเวลาการซื้อขาย
· ค่าคอมมิชชัน: เริ่มต้นที่ 0.05 USD ต่อล็อต (ต่อด้าน) และอาจสูงถึง 3.5-4.5 USD ต่อล็อตสำหรับคู่สกุลเงินหลัก คู่เงินรองและคู่เงิน Exotic อาจมีค่าคอมมิชชันสูงกว่า
· เงินฝากขั้นต่ำ: 1,000 USD
· เลเวอเรจ: สูงสุด 1:ไม่จำกัด
· ค่าสวอป: ฟรี (Swap-Free) สำหรับบางประเทศหรือตามเงื่อนไข
· เหมาะสำหรับ: เทรดเดอร์ที่เน้นการเทรดคู่สกุลเงินหลักและต้องการสเปรดที่เกือบเป็นศูนย์ โดยเฉพาะการเทรดด้วยระบบอัตโนมัติ (EA) หรือ Scalping ในช่วงเวลาข่าว
บัญชี Zero โดดเด่นด้วยสเปรดที่ต่ำมากหรือเป็นศูนย์ในคู่สกุลเงินหลักถึง 30 คู่ ซึ่งเหมาะสำหรับเทรดเดอร์ที่ต้องการประหยัดต้นทุนในช่วงเวลาที่มีการซื้อขายสูง
3. เปรียบเทียบจุดเด่นและจุดด้อยของทั้งสองบัญชี
เพื่อให้เห็นภาพชัดเจนยิ่งขึ้น มาดูการเปรียบเทียบจุดเด่นและจุดด้อยของบัญชี Raw Spread กับ Zero ในมิติต่าง ๆ
3.1 สเปรด
· Raw Spread: มีสเปรดลอยตัวที่เริ่มต้นจาก 0.0 pips ซึ่งขึ้นอยู่กับสภาพคล่องของตลาด โดยทั่วไปสเปรดจะต่ำมากในคู่สกุลเงินหลัก แต่ในช่วงเวลาที่มีความผันผวนสูง เช่น ช่วงข่าวเศรษฐกิจ สเปรดอาจขยับขึ้นเล็กน้อย
· Zero: เสนอสเปรด 0.0 pips สำหรับคู่สกุลเงินหลัก 30 คู่ใน 95% ของช่วงเวลาการซื้อขาย และสำหรับคู่สกุลเงินรองหรือ Exotic ใน 50% ของช่วงเวลา อย่างไรก็ตาม ในช่วงที่มีความผันผวนสูง เช่น การประกาศข่าวเศรษฐกิจ สเปรดอาจไม่เป็นศูนย์
ผู้ชนะ: บัญชี Zero ดีกว่าสำหรับเทรดเดอร์ที่เน้นคู่สกุลเงินหลัก เนื่องจากสเปรดเป็นศูนย์ในเกือบทุกช่วงเวลา แต่สำหรับคู่สกุลเงินรองหรือ Exotic บัญชี Raw Spread อาจให้ความยืดหยุ่นมากกว่า
3.2 ค่าคอมมิชชัน
· Raw Spread: ค่าคอมมิชชันคงที่ 7 USD ต่อล็อต (รวมเปิด-ปิดออเดอร์) ซึ่งทำให้ง่ายต่อการคำนวณต้นทุนการเทรด
· Zero: ค่าคอมมิชชันเริ่มต้นที่ 0.05 USD ต่อล็อต (ต่อด้าน) แต่สำหรับคู่สกุลเงินหลักอาจสูงถึง 3.5-4.5 USD ต่อล็อต (ต่อด้าน) และคู่เงิน Exotic อาจสูงกว่านี้
ผู้ชนะ: บัญชี Raw Spread มีความได้เปรียบในแง่ของค่าคอมมิชชันที่คงที่และคาดเดาได้ง่ายกว่า ในขณะที่บัญชี Zero มีค่าคอมมิชชันที่แปรผันตามประเภทของเครื่องมือทางการเงิน
3.3 เงินฝากขั้นต่ำ
ทั้งสองบัญชีมีเงินฝากขั้นต่ำที่ 1,000 USD ซึ่งถือว่าสูงเมื่อเทียบกับบัญชี Standard หรือ Pro ของ Exness (เริ่มต้นที่ 200 USD หรือต่ำกว่าในบางระบบชำระเงิน) ดังนั้น เทรดเดอร์ที่มีเงินทุนจำกัดอาจต้องพิจารณาความพร้อมทางการเงินก่อนเลือกบัญชีทั้งสองประเภทนี้
ผู้ชนะ: เสมอกัน เนื่องจากทั้งสองบัญชีมีเงินฝากขั้นต่ำเท่ากัน
3.4 เหมาะกับกลยุทธ์การเทรด
· Raw Spread: เหมาะสำหรับเทรดเดอร์ที่ใช้กลยุทธ์หลากหลาย เช่น Scalping, Day Trading หรือการเทรดด้วย EA เนื่องจากสเปรดต่ำและไม่มีรีโควต
· Zero: เหมาะสำหรับเทรดเดอร์ที่เน้น Scalping หรือการเทรดในช่วงข่าว เนื่องจากสเปรดที่เกือบเป็นศูนย์ในคู่สกุลเงินหลักช่วยลดต้นทุนในระยะสั้น
ผู้ชนะ: ขึ้นอยู่กับกลยุทธ์การเทรด หากคุณเน้น Scalping ในคู่สกุลเงินหลัก บัญชี Zero อาจเหมาะกว่า แต่สำหรับกลยุทธ์ที่หลากหลายและการเทรดเครื่องมือทางการเงินหลายประเภท บัญชี Raw Spread จะยืดหยุ่นกว่า

✅ เปิดบัญชี Exness Raw Spread ตอนนี้! 👈
💥 เปิดบัญชี Exness Zero ตอนนี้! 👈
3.5 ความเหมาะสมกับเครื่องมือทางการเงิน
ทั้งสองบัญชีรองรับการเทรดเครื่องมือทางการเงินหลากหลาย เช่น ฟอเร็กซ์, โลหะ, คริปโตเคอร์เรนซี, พลังงาน, หุ้น และดัชนี อย่างไรก็ตาม:
· Raw Spread: ให้สเปรดต่ำในเครื่องมือทางการเงินที่หลากหลาย ไม่จำกัดเฉพาะคู่สกุลเงินหลัก
· Zero: เน้นสเปรด 0.0 pips สำหรับคู่สกุลเงินหลัก 30 คู่ แต่สำหรับเครื่องมืออื่น ๆ เช่น คริปโตหรือดัชนี สเปรดอาจไม่เป็นศูนย์และค่าคอมมิชชันอาจสูงกว่า
ผู้ชนะ: บัญชี Raw Spread เหมาะกว่าสำหรับเทรดเดอร์ที่ต้องการเทรดเครื่องมือทางการเงินหลากหลายประเภท
4. ตัวอย่างการคำนวณต้นทุนการเทรด
เพื่อให้เห็นภาพชัดเจนยิ่งขึ้น มาดูตัวอย่างการคำนวณต้นทุนการเทรดของทั้งสองบัญชี:
สมมติว่า: เทรดคู่สกุลเงิน EUR/USD ขนาด 1 ล็อต
· Raw Spread:
· สเปรดเฉลี่ย: 0.3 pips (สมมติว่าค่าสเปรด = 3 USD)
· ค่าคอมมิชชัน: 7 USD (คงที่)
· ต้นทุนรวม: 3 + 7 = 10 USD
· Zero:
· สเปรด: 0.0 pips
· ค่าคอมมิชชัน: 3.5 USD ต่อด้าน (รวม 7 USD สำหรับการเปิด-ปิด)
· ต้นทุนรวม: 7 USD
ผลลัพธ์: ในกรณีนี้ บัญชี Zero มีต้นทุนต่ำกว่าเล็กน้อยสำหรับคู่สกุลเงินหลัก แต่ถ้าเทรดคู่สกุลเงินรองหรือ Exotic ค่าคอมมิชชันของบัญชี Zero อาจสูงขึ้น ทำให้ Raw Spread อาจคุ้มค่ากว่า
5. กลยุทธ์การเทรดที่เหมาะสม
5.1 Scalping
· Raw Spread: เหมาะสำหรับ Scalping เนื่องจากสเปรดต่ำและค่าคอมมิชชันคงที่ช่วยให้ควบคุมต้นทุนได้ง่าย
· Zero: เหมาะสำหรับ Scalping ในคู่สกุลเงินหลัก โดยเฉพาะในช่วงที่มีสภาพคล่องสูง เนื่องจากสเปรดเป็นศูนย์
5.2 Day Trading
· Raw Spread: เหมาะสำหรับการเทรดภายในวัน เนื่องจากไม่มีรีโควตและสเปรดต่ำในเครื่องมือทางการเงินหลากหลาย
· Zero: เหมาะสำหรับการเทรดคู่สกุลเงินหลักในช่วงที่มีการเคลื่อนไหวของราคาไม่รุนแรง
5.3 การเทรดด้วย EA
ทั้งสองบัญชีรองรับการเทรดด้วย Expert Advisor (EA) แต่บัญชี Zero อาจได้เปรียบในคู่สกุลเงินหลักที่มีสเปรดเป็นศูนย์ ซึ่งช่วยลดต้นทุนสำหรับระบบเทรดอัตโนมัติ
6. ข้อพิจารณาอื่น ๆ
· สภาพคล่องของตลาด: บัญชี Zero มีข้อได้เปรียบในช่วงที่มีสภาพคล่องสูง แต่ในช่วงที่มีความผันผวน เช่น การประกาศข่าวเศรษฐกิจ สเปรดอาจขยับขึ้น ในขณะที่ Raw Spread มีสเปรดลอยตัวที่ยืดหยุ่นกว่า
· ความน่าเชื่อถือของ Exness: ทั้งสองบัญชีได้รับการสนับสนุนจากโครงสร้างพื้นฐานที่แข็งแกร่งของ Exness รวมถึงการดำเนินการคำสั่งซื้อขายที่รวดเร็วและไม่มีรีโควต
· การฝาก-ถอนเงิน: Exness มีระบบฝาก-ถอนที่รวดเร็วและรองรับช่องทางที่หลากหลาย รวมถึงการฝากผ่านธนาคารไทย ซึ่งเหมาะสำหรับเทรดเดอร์ชาวไทย
7. บัญชีไหนดีที่สุดสำหรับคุณ?
การเลือกบัญชี Raw Spread หรือ Zero ขึ้นอยู่กับปัจจัยหลายประการ เช่น กลยุทธ์การเทรด, เครื่องมือทางการเงินที่คุณเลือก, และงบประมาณของคุณ
· เลือกบัญชี Raw Spread หาก:
· คุณต้องการสเปรดต่ำและค่าคอมมิชชันคงที่
· คุณเทรดเครื่องมือทางการเงินหลากหลาย เช่น คริปโต, ดัชนี, หรือทองคำ
· คุณใช้กลยุทธ์ที่หลากหลาย เช่น Scalping, Day Trading หรือ Swing Trading
· เลือกบัญชี Zero หาก:
· คุณเน้นเทรดคู่สกุลเงินหลัก 30 คู่ที่มีสเปรดเป็นศูนย์
· คุณใช้กลยุทธ์ Scalping หรือเทรดด้วย EA ในช่วงที่มีสภาพคล่องสูง
· คุณต้องการลดต้นทุนในคู่สกุลเงินหลัก
8. คำแนะนำสำหรับเทรดเดอร์ชาวไทย
สำหรับเทรดเดอร์ชาวไทยที่กำลังพิจารณาเลือกบัญชี Exness ขอแนะนำให้:
· ทดลองใช้บัญชีทดลอง: Exness มีบัญชีทดลองฟรีที่ช่วยให้คุณทดสอบเงื่อนไขการเทรดของทั้งบัญชี Raw Spread และ Zero โดยไม่ต้องเสี่ยงเงินจริง
· พิจารณางบประมาณ: เงินฝากขั้นต่ำ 1,000 USD อาจสูงสำหรับเทรดเดอร์บางคน หากงบจำกัด อาจพิจารณาบัญชี Standard หรือ Pro
· ติดตามข่าวสาร: สเปรดและค่าคอมมิชชันอาจเปลี่ยนแปลงตามสภาวะตลาด ดังนั้นควรตรวจสอบข้อมูลล่าสุดจากเว็บไซต์ Exness
· ใช้เครื่องมือคำนวณ: Exness มีเครื่องคิดเลขการเงินที่ช่วยคำนวณต้นทุนการเทรด เพื่อให้คุณเปรียบเทียบความคุ้มค่าระหว่างบัญชีได้ง่ายขึ้น
9. สรุป
ทั้งบัญชี Raw Spread กับ Zero ของ Exness มีข้อดีที่โดดเด่นและเหมาะสมกับเทรดเดอร์ที่มีประสบการณ์ โดยบัญชี Raw Spread เหมาะสำหรับเทรดเดอร์ที่ต้องการความยืดหยุ่นและสเปรดต่ำในเครื่องมือทางการเงินที่หลากหลาย ส่วนบัญชี Zero เหมาะสำหรับเทรดเดอร์ที่เน้นคู่สกุลเงินหลักและต้องการสเปรดที่เกือบเป็นศูนย์เพื่อลดต้นทุนในระยะสั้น
การเลือกบัญชีที่ดีที่สุดขึ้นอยู่กับสไตล์การเทรด เป้าหมายทางการเงิน และเครื่องมือที่คุณเลือกเทรด หากคุณยังไม่แน่ใจ เริ่มต้นด้วยการทดลองใช้บัญชีทดลองของ Exness เพื่อเปรียบเทียบทั้งสองบัญชี และอย่าลืมตรวจสอบข้อมูลล่าสุดจากเว็บไซต์ Exness หรือติดต่อฝ่ายสนับสนุนลูกค้าที่ให้บริการเป็นภาษาไทยเพื่อขอคำแนะนำเพิ่มเติม
✅ เปิดบัญชี Exness Raw Spread ตอนนี้! 👈
💥 เปิดบัญชี Exness Zero ตอนนี้! 👈
อ่านเพิ่มเติม: