ระบบเทคโนโลยีทีซับซ้อน ระบบเทคโนโลยีของตู้เย็น
ตัวปอน
(input)
พลังงานไฟฟ าให ความเย็น
กระบวนการ (proces)
เปลี่ยนพลังงานไฟฟ า เป็ นพลังงานความเย็น
ข้อมูลย้อนกลับ (feedback)
เป็ นขอมูลเพื่อสงใหระบบการตัด ไฟทํางานเมื่อความเย็นคงที่
ผลผลิต
(output)
ความเย็นอาหาร ที่แช
การเปลี่ยนแปลงของเทคโนโลยี โทรทัศน์
1960s
1970s
1980s
2000s
ปั จจุบัน
ผลกระทบของเทคโนโลยี ผลกระทบของเทคโนโลยีต่อมนุษย์และสังคม
ด้านบวก การผลิตสินคาในปั จจุบันตองการผลิต สินคาจํานวนมาก มีคุรภาพ มีมาตรฐาน ซึ่งในปั จจุบันใชเครื่องจักรทํางานอยา งอัตดนมัติ สามารถทํางานตลอด24 ชม.
ด้านลบ ควันจากโรงงานอุตสาหกรรมทําใหโลก รอน
ไม้(wood)
ประเภทของไม้
คุณสมบัติของไม้
ไม้แบ่งออกได้เปน 3 ประเภท ได้แก่ 1. ไม้เนือแข็ง มีความแข็งแรงสูงกว่า 1000 กิโลกรัมต่อตาราง เซนติเมตร มีความทนทานสูงกว่า 6 ป ได้แก่ ไม้เคียม ไม้แอ๊ก ไม้ หลุมพอ ไม้เสลา 2. ไม้เนือแข็งปานกลาง มีความแข็งแรง 600 ถึง 1000 กิโลกรัม ต่อตารางเซนติเมตร มีความทนทาน 6 ป ได้แก่ ไม้เหียง ไม้รกฟา ไม้ ยูง ไม้มะค่าแต้ 3. ไม้เนืออ่อน มีความแข็งแรงตํากว่า 600 กิโลกรัม ต่อตารางเซนติเมตร มีความทนทานตํากว่า 2 ป ได้แก่ ไม้อินทนิล ไม้สัก ไม้ยางแดง ไม้พะยอ
ไม้เกิดจากต้นไม้หลายชนิด คุณสมบัติในด้าน ต่างๆ ทีจะนํามาใช้ประโยชน์ จึงมีความแตกต่าง กันไป ไม้แต่ละชนิดย่อมเหมาะสมกับงานแต่ละ อย่างมากน้อยไม่เหมือนกัน ในงานก่อสร้าง เรา มักคํานึงถึงความแข็งแรง และความทนทาน ใน ประดิษฐกรรม เครองเรอน หรอส่วนประกอบ เครองจักรกล ซึงต้องการความสวยงาม และแนบ เนียนในการเข้าไม้ เราอาจคํานึงถึงลวดลายในไม้ การหด หรอการพองตัว ความยากง่ายในการไส กบตกแต่ง
ประโยชน์ของไม้ ในแง่ของการใช้ประโยชน์ ไม้ให้ประโยชน์มากมายหลายอย่าง แต่ก่อนทีจะนําไปใช้ประโยชน์ได้จรงๆ มักจะต้องผ่านกรรมวธี ในการแปรรู ปก่อน ดังนัน จึงทําให้เกิดอุตสาหกรรมทีเกียวกับ การแปรรู ปไม้ได้มากมาย ก่อเกิดประโยชน์ในการใช้เปนอเนก ประการ สามารถสร้างทีอยู่อาศัย ทีเปนส่วนประกอบสําคัญ ได้แก่ วงกบ ประตูหน้าต่าง บานประตูหน้าต่าง แม่บันได ขันบันได พืนในร่ม ใช้ทําเครองเรอน และเฟอร์นิเจอร์ต่างๆ
ประเภทหลักของเลือย เลือย ( Saw ) เปนเครืองมือพืนฐานอีกอย่าง หนึงสําหรับงานช่างในบ้าน ประโยชน์หลักๆก็คือ ใช้ตัดหรือซอยชินงานให้ได้ขนาดตามต้องการ
เครืองมือสําหรับการ ตัด
เราจะเห็นเลือยชนิดนีบ่อยทีสุด เปนเลือยทีมีมือจับตอน โคน มีขนาด 22 นิว และ 24 นิว ใช้สําหรับงานตัดไม้ ตัดขวางเนือไม้ เพือให้เกิดรอยตัดทีเรยบ หรอตัดตาม แนวยาวของเนือไม้ ใบเลือยทํามาจากใบเหล็ก
วิธีการเลือย เมือจรดใบเลือยลงตรงจุดทีจะเลือยแล้ว เริมดึงเลือยขึนเข้ามาหาตัวโดยไม่ต้อง ออกแรงมาก - กดใบเลือยลงไปช่วงนีถึงออกแรง เพือให้ ใบเลือยกินเข้าไปในเนือวัตถุทีจะเลือย
ลักษณะการเลือย เลือยตัด คือเลือยสําหรับตัดตามขวางของลายไม้ ทีทางเลือยไม่ยาวมากนัก เช่นการเลือยตัดไม้เปน ท่อนๆ การเลือยตัด ควรจ้บใบเลือยให้ทํามุม ประมาณ 45 องศา กับวัตถุทีจะเลือย 2. เลือยโกรก คือเลือยตามขนานของลายไม้ หรอ เลือยวัตถุทีทางเลือยลึกยาวมากๆ เช่น การเลือย แบ่งไม้อัดเปน 2 แผ่น การเลือยโกรก ควรจ้บใบ เลือยให้ทํามุมประมาณ 60 องศา กับวัตถุทีจะ เลือย
เฟอง(Gears) ชนิดของเฟือง 1. เฟองตรง (Spur Gears) 2. เฟองสะพาน (Rack Gears) 3. เฟองวงแหวน (Internal Gears) 4. เฟองเฉียง (Helical Gears) 5. เฟองเฉียงก้างปลา (Herringbone Gears) 6. เฟองดอกจอก (Bevel Gears) 7. เฟองตัวหนอน (Worm Gears) 8. เฟองเกลียวสกรู (Spiral Gears)
วิธีการผลิตเฟือง
1. การปั มขึนรู ป 2. การทําโมลด์พลาสติก 3. การหล่อ 4. การตัดเลเซอร์
5. การแปรรู ปด้วยเครื่องจักร
อุปกรณไฟฟาและ อิเล็กทรอนิกสมอเตอร ความหมายของเมอเตอร์ มอเตอร์ไฟฟา (electric motor) เปนอุปกรณ์ไฟฟาทีแปลงพลังงาน ไฟฟาเปนพลังงานกลการทํางาน ปกติของมอเตอร์ไฟฟาส่วนใหญ่ เกิดจากการทํางานร่วมกันระหว่าง สนามแม่เหล็กของแม่เหล็กในตัว มอเตอร์ และสนามแม่เหล็กทีเกิด จากกระแสในขดลวดทําให้เกิดแรง ดูดและแรงผลักของสนามแม่เหล็ก ทังสอง ในการใช้งานตัวอย่างเช่น ในอุตสาหกรรมการขนส่งใช้ มอเตอร์ฉด ุ ลากเปนต้น
โครงสร้างมอเตอร์ โรเตอร์ (Rotor) ขดลวด (Windings) สเตเตอร์ (Stator) ตัวสับเปลียน (Commutator)
การนําไปใช้ มอเตอร์ไฟฟา (electric motor) เปน อุปกรณ์ไฟฟาทีแปลงพลังงานไฟฟาเปน พลังงานกล การทํางานปกติของมอเตอร์ไฟฟาส่วน ใหญ่เกิดจากการทํางานร่วมกันระหว่าง สนามแม่เหล็กของแม่เหล็กในตัวมอเตอร์ และสนามแม่เหล็กทีเกิดจากกระแสในขด ลวดทําให้เกิดแรงดูดและแรงผลักของ สนามแม่เหล็กทังสอง ในการใช้งาน ตัวอย่างเช่น ในอุตสาหกรรมการขนส่งใช้ มอเตอร์ฉุดลากเปนต้น
ผลกระทบทางเทคโนโลยี ผลกระทบเทคโนโลยีต่อสิงแวดล้อม ฝนกรด คือ นําฝนทีรวมตัวกันกับแก๊ส ออกไซด์ของvโลหะบางชนิดในอากาศ เกิดเปนสารละลายทีมีสมบัติเปนกรด มีความเปนกรดอยูใ่ นช่วง pH = 3-5 สาเหตุของฝนกรดคือ ก๊าซซัลเฟอร์ไดออกไซด์ (SO2) และ ออกไซด์ของไนโตรเจน (NOx) ซึงเกิดจากการเผาไหม้เชือเพลิงในเครืองยนต์และ โรงงานต่างๆ แล้วถูกปล่อยสูบ ่ รรยากาศ และเกิด การทําปฏิกิรย ิ ากับนํา ออกซิเจน และสารเคมีอืนๆ ก่อให้เกิดสารประกอบทีเปนกรดซัลฟุ รก ิ และกรดไน ตริกซึงมีแสงอาทิตย์เปนตัวเร่งปฏิกิรย ิ า
แนวทางการปองกันฝนกรด 1. ประหยัดและใช้พลังงานให้เกิดประสิทธิภาพ สูงสุด เพือลดปริมาณการผลิตพลังงานโดย ใช้เชือเพลิงฟอสซิล 2. ใช้พลังงานทีไม่ใช้เชือเพลิงฟอสซัล เช่น พลังงานลม แสงอาทิตย์ เปนต้น
3. ใช้เชือเพลิงทีมีการปนเปอนของ ซัลเฟอร์ตํา หรือทําการกําจัดซัลเฟอร์ ก่อนทีนําไปเผาไหม้
4. ติดตังระบบหัวเผาเชือเพลิงทีทําให้เกิด NOx ตํา (Low – NOx Burner)
5. ติดตังระบบบําบัด SOx และ NOx
ผลกระทบของฝนกรด ในปจจุบน ั ปญหาสิงแวดล้อมทีเกิดขึนจากการ ปนเปอนของสารชนิดต่างๆในแหล่งนํา ดิน อากาศ นอกจากจะส่งผลกระทบทําให้สภาพแวดล้อมมี คุณภาพเสือมโทรมลงแล้ว ยังได้สง ่ ผลกระทบต่อ สิงมีชวี ต ิ ทีอาศัยอยูใ่ นสิงแวดล้อมบริเวณดังกล่าว อีกด้วย การแก้ไขและ/หรือการปองกันการปน เปอนของสารต่างๆ ไม่วา่ จะเปนสารอินทรียห ์ รือสา รอนินทรียต ์ ้องอาศัยพืนฐานความรูจ้ ากนัก วิทยาศาสตร์และผูเ้ ชียวชาญในศาสตร์ต่างๆหลาย สาขา เช่น นักเคมี นักชีววิทยา นักจุลชีววิทยา วิศวกร เพือนําความรูแ ้ ละเทคโนโลยีมาผสมผสาน และประยุกต์ใช้เพือการกําจัดหรือลดปริมาณการ ปนเปอนสารต่างๆในสิงแวดล้อม
นางสาว ชลธิชา ไชยสมคุณ ม.4/11 เลขที11ก