Intizar-vol1

Page 1

¨ØÅÊÒÃÍÔ¹µÔ«ÍÃÚ »‚·Õè 1 ©ºÑº·Õè 1 Á¡ÃÒ¤Á 2556

µÒÂ

âÅ¡ËÅѧ¤ÇÒÁ

4o ÍÑúÐÍÕ¹

1


2


จุลสาร “อินติซอรฺ” มีวัตถุประสงค์ เพื่อเผยแพร่และปลูกฝังวัฒนธรรมแห่งการรอคอยท่านอิมามมะฮ์ดี (อ) และนำ�เสนอเรื่องราวต่างๆ ของศาสนาอิสลามและอะห์ลุลบัยตฺ (อ) สู่สังคม และเพื่อถ่ายทอดคำ�บรรยายของ ท่าน “ฮุจญะตุลอิสลาม ซัยยิด สุไลมาน ฮูซัยนี” ในวาระต่างๆ

3


ที่ปรึกษา ฮุจญะตุลอิสลาม ซัยยิด สุไลมาน ฮูซัยนี บรรณาธิการ เชค อิบรอฮีม อาแว กองบรรณาธิการ เชค มาลีกี ภักดี มะนาเซ หะยีซอ ซัยยิด มุฮัมหมัด อัลอิดรุส ฮาซานะฮ์ สาเมาะ วันฟาซียะฮ์ ศรีตุลาการ จัดพิมพ์ บริษัท อัลมะฮ์ดี พับลิเคชั่น จำ�กัด ๕๒๒ / ๑๖๒ ม.๗ ถ.พนาสนฑ์ ต.โคกเคียน อ.เมือง จ.นราธิวาส ๙๖๐๐๐ สนใจสมัครสมาชิก โทร. 090-162-6241

4


บทบรรณาธิการ แม้วา่ การพูดถึง “ความตาย” อาจเป็นเรือ่ งทีไ่ ม่นา่ ฟังหรือน่าสนทนาสัก เท่าไหร่นัก นั่นอาจเป็นเพราะคนส่วนมากมักคิดว่าความตายเป็นปรากฏการณ์ ที่น่ากลัว ทว่าในมุมมองและกรอบแนวคิดของอัลกุรอานนัน้ กลับเป็นเรือ่ งทีน่ า่ สืบค้น และควรแก่การศึกษาอย่างยิ่ง เหตุเพราะความตาย คือ...การเปลีย่ นแปลง... คือ...การย่อยสลาย... คือ การเดินทาง.... คือ...การเคลื่อนย้ายจากโลกหนึ่ง สู่อีกโลกหนึ่งอัน “นิรันดร์” ดังนัน้ สารัตถะทีแ่ ท้จริงของคำ�ว่า “ตาย” และ “มนุษย์ตอ้ งตายจริงหรือ?” ...เป็นประเด็นที่ทุกคนต้องทำ�ความเข้าใจ ซึ่งในความเป็นจริงนั้น ความตายคือ “สัจธรรม” ที่มนุษย์ไม่อาจปฏิเสธหรือหลีกหนีจากมันได้ ไม่ว่าเราจะเป็นฝ่ายเดินไป หามัน หรือมันจะเป็นฝ่ายเข้ามาหาเรา ซึ่งอัลกุรอานได้กล่าวว่า “ทุกๆ ชีวิตต้อง ลิ้มรสแห่งความตาย” แต่เนือ้ หาสาระสำ�คัญทีเ่ กีย่ วข้องกับมนุษย์โดยตรงนัน้ อยูใ่ นประเด็น โจทย์ และคำ�ถามที่ว่า “เมื่อมนุษย์ได้ตายลงแล้วทุกอย่างก็จะจบสิ้นลงกระนั้นหรือ???” คำ�ถามนี้ต่างหากที่มนุษย์ต้องค้นหา !! และไม่ยากเกินไปสำ�หรับมนุษย์ทจี่ ะค้นหาคำ�ตอบทีส่ �ำ คัญเช่นนี้ หากได้ ศึกษาทำ�ความเข้าใจในหลักธรรมคำ�สอนของศาสนาอิสลาม และหลักคำ�สอนอัน บริสุทธิ์ที่ถูกถ่ายทอดโดยบรรดาอะห์ลุลบัยต์ (อ.) ขอสดุดีแด่องค์อัลเลาะฮ์ (ซบ.) ที่พระองค์ทรงประทานโอกาสให้ กองบรรณาธิการของ สำ�นักพิมพ์ อัลมะฮฺดี พับลิเคชั่น ได้ผลิตจุลสาร “อินติซอรฺ” ฉบับปฐมฤกษ์เล่มนี้ขึ้นมา ทั้งนี้การนำ�คำ�ว่า “อินติซอรฺ” มาใช้เป็นชื่อจุลสารนั้น

5


เหตุเพราะทางกองบรรณาธิการต้องการเผยแพร่และปลูกฝังวัฒนธรรมแห่งการ รอคอยท่านอิมามมะฮ์ดี (อ) สู่สังคมอิมามียะห์ของเรา คำ�ว่า “อินติซอรฺ” นัน้ แปลว่า “การรอคอย” อันมีนยั ไปถึงการรอคอยการ ปรากฏตัวของท่าน “อิมามมะฮ์ดี (อ)” ซึ่งด้วยความจำ�เริญและสิริมงคลของชื่อ ดังกล่าว กองบรรณาธิการหวังว่าจะเป็นจุลสารที่สามารถนำ�เสนอเรื่องราวต่างๆ ของศาสนาอิสลามและอะห์ลุลบัยตฺ (อ) สู่สังคมของเราได้ไม่มากก็น้อย สำ�หรับเนือ้ หาในจุลสารฉบับนี้ กองบรรณาธิการได้น�ำ เสนอคำ�บรรยายของ ท่าน ฮุจญะตุลอิสลาม ซัยยิด สุไลมาน ฮูซัยนี ในวาระที่ท่านได้กล่าวบรรยายในวัน อัรบาอีน ฮูซัยนี, และงานทำ�บุญสี่สิบวัน ของ มัรฮูมฮารูน ส่วนช่วงท้ายของจุลสาร นั้นจะเป็นการสรุปรายงานสถานการณ์เด่นในรอบเดือนที่ผ่านมา ท้ายสุดนี้ คณะผูจ้ ดั ทำ� หวังใน “ดุอาอฺ” ของพีน่ อ้ งผูศ้ รัทธาทุกท่าน เพือ่ เป็นกำ�ลังใจในการจรรโลงจุลสารเล่มนี้ให้สามารถรับใช้แนวทางอิสลาม และ อะห์ลุลบัยตฺ (อ) ตลอดไปด้วยเถิด

ด้วยสลามและดุอาอฺ เชค อิบรอฮีม อาแว บรรณาธิการ

6


อัรบะอีน

บรรยายโดย ซัยยิด สุไลมาน ฮูซัยนี 20 ศอฟัร ปี 2553 ณ มัสยิดรูฮุลลอฮ์ นครศรีธรรมราช

7


“อัรบะอีน” 40 วันนั้น เป็นวัน ที่เกี่ยวข้องกับบทบาทการเป็น ชะฮีดของท่านอิมามฮุเซน (อ.) ซึ่งแน่นอนย่อมมีคำ�ถามว่า ทำ�ไม “อัรบะอีนรำ�ลึก” นั้นจึงไม่เลือก การเป็นชะฮีดของบุคคลอื่น??? ทำ�ไมไม่เลือกการเป็นชะฮีดของ อิมามอะลี (อ.)??? ทำ�ไมไม่เลือก การเป็นชะฮีดของอิมามฮะซัน อัลมุจตะบา (อ.) ??? ทำ�ไมไม่ เลือกการเป็นชะฮีดของท่านหญิง ฟาติมะฮ์ (อ.)???

8


อัลฮัมดุลลิ ละฮ์​์ ขอขอบคุณยังเอกองค์อลั เลาะฮ์ (ซบ.) ทีท่ รงประทาน เตาฟีกให้กับพวกเราทุกท่าน โดยเฉพาะเตาฟีกในค่�ำ คืนนี้เตาฟีกทีท่ �ำ ให้พวกเรานัน้ ได้สวมวิญญาณในการ ร่วมรำ�ลึก อันเป็นการรำ�ลึกที่จะนำ�มนุษย์ผู้ศรัทธาไปสู่ความเข้าใจในศาสนา... ความ เข้าใจในอุดมการณ์ของศาสนา... ความเข้าใจในเป้าหมายของศาสนา... และนำ�สิ่ง ต่างๆ เหล่านี้มาปรับปรุงวิถีการดำ�เนินชีวิตของเรา เพราะสิ่งนี้คือเป้าหมายอัน ยิ่ ง ใหญ่ ข องการรำ � ลึ ก และนี่ คื อ เป้ า หมายที่ เราได้ เ สี ย สละเวลาในการเดิ น ทาง เสียสละเงินทองต่างๆ เพื่อทำ�ให้เกิดมัจลิสนี้ ดังนัน้ เมือ่ พวกเราได้มาร่วมมัจลิสแล้ว หากไม่ได้รบั เป้าหมายทีแ่ ท้จริง หรือ ไม่ได้ไตร่ตรองเป้าหมายต่างๆ มาปรับปรุงวิถีชีวิตของเราแล้ว การจัดมัจลิสและ ความเหน็ดเหนื่อยต่างๆ ก็จะมิเกิดประโยชน์อันใด และบางครั้งก็อาจจะเป็นโทษแก่ พวกเราก็เป็นได้ “อัรบะอีน” คือการรำ�ลึก 40 วันแห่งอิสลามทีจ่ ดั ขึน้ ครัง้ แรกและจัดขึน้ ใน เรื่องราวที่เกี่ยวกับท่านอิมามฮุเซน (อ) ซึ่งก่อนหน้านี้มีบุคคลมากมายได้เสียชีวิต...มี คนดีมากมายได้จากโลกนี้ไป ทั้งบรรดาศาสดาและเอาลิยาอ์ของอัลเลาะฮ์ (ซบ.) แต่ เราจะไม่พบว่า มี “อัรบะอีน” หรือการจัดรำ�ลึก 40 วันของบุคคลเหล่านั้นเลย แม้ กระทั่งการจากไปของท่านศาสดามุฮัมมัด (ศ.) ก็ตาม?? แน่นอนว่า การจากไปของท่านศาสดามุฮมั มัด (ศ.) ถือเป็นการสูญเสียที่ ยิ่งใหญ่ เป็นมุซีบัต (ความเศร้าโศก) ที่ยิ่งใหญ่สำ�หรับอุมมัต (ประชาชาติ) อิสลาม

9


การจากไปของรอซูลุลเลาะฮ์คือการตัดขาดของวะห์ยูจากอัลเลาะฮ์ (ซบ) ที่มีมายัง มนุษยชาติ อันเป็นวะห์ยูโดยตรงและเป็นวะห์ยูที่ลงมาทั้งหมดเพื่อประกาศให้กับ มนุษยชาติได้รับรู้พร้อมๆ กัน ถึงแม้ว่าในความเชื่อของสายธารแห่งอิมามียะฮ์ เชื่อ ว่า หลังจากนั้นยังมีวะห์ยูจากอัลเลาะฮ์ (ซบ.) ลงมายังเอาลิยาอ์ต่างๆ ของพระองค์ แต่เป็นเรื่องพิเศษเรื่องเฉพาะ เป็นสิทธิของเอาลิยาอ์เท่านั้นที่จะบอกกล่าวหรือไม่ บอกกล่าว แต่วะห์ยูที่ท่านนบีมุฮัมมัด (ศ) นำ�มานั้นเป็นหน้าที่ของท่านต้องประกาศ ทุกๆคำ�พูดและทุกๆ ตัวอักษร อะไรที่อัลเลาะฮ์ (ซบ) ตรัสมานั้น ท่านนบีมุฮัมมัด (ศ) ก็ต้องพูดทุกคำ� แม้แต่บางครั้งคำ�ต่างๆ เหล่านั้นอาจจะไม่มีความจำ�เป็น อย่าง เช่น คำ�ว่า “กุล” ที่อัลเลาะฮ์พูดกับนบี ที่มีความหมายว่า “มุฮัมมัดจงประกาศเถิด” ถ้าเราพินิจพิจารณาแล้ว ท่านนบี (ศ) ก็สามารถที่จะกล่าวว่า “อัลเลาะฮุอะฮัด” ก็ได้ โดยไม่ต้องกล่าวคำ�ว่า “กุล” แต่เมื่ออัลเลาะฮ์พูดกับนบีว่า “กุล” ท่านนบีมุฮัมมัด (ศ) ก็ต้องถ่ายทอดคำ�ว่า “กุล” ด้วย นั่นชี้ให้เห็นถึงภาระหน้าที่ในการเผยแผ่วะห์ยู หน้าที่ในการประกาศวะห์ยูของท่านนบีมุฮัมมัด (ศ) ทุกครั้งที่อัลเลาะฮ์ (ซบ) ตรัสกับ ท่านนบี (ศ) ทุกคำ� ที่ท่านได้รับมานั้น ท่านนบีก็จะถ่ายทอดมายังมวลมนุษยชาติ ดังนัน้ เราจะเห็นว่าบรรดาผูศ้ รัทธา บรรดาเอาลิยาอ์ บรรดาอุลามาอ์ จึง ถื อ ว่ า การจากไปของท่ า นนบี มุ ฮั ม มั ด (ศ.) คื อ มุ ซี บั ต ที่ ยิ่ ง ใหญ่ เพราะสื่ อ ของ พระเจ้า....สื่อทางด้านรูปแบบของพระองค์ได้สิ้นสุดลง หากแต่เมื่อท่านนบีจากไป ก็ ไม่มีริวายัต.... ไม่หลักฐานใดๆ ที่ชี้ให้เห็นถึงการรำ�ลึกถึง 40 วัน ?? แต่ตรงนีไ้ ม่ได้บอกว่านบีไม่ยงิ่ ใหญ่นะพีน่ อ้ ง!! อันทีจ่ ริงแล้วนบีนนั้ ยิง่ ใหญ่ เหนือทุกสรรพสิ่ง ... เหนือผู้ใดทั้งหมดที่ถูกสร้างมาในโลกนี้......หากแต่มันมีเรื่องที่ ยิ่งใหญ่กว่า!!! โดยทีท่ า่ นนบีเป็นผูป้ ระกาศและสนับสนุนในเรือ่ งราวความยิง่ ใหญ่อนั นี้ !! นั่นคือ... เรื่องราวของ อิมามฮุเซน (อ) นั่นเอง !! “อัรบะอีน” 40 วันนัน้ เป็นวันทีเ่ กีย่ วข้องกับบทบาทการเป็นชะฮีดของท่าน อิมามฮุเซน (อ.) ซึ่งแน่นอนย่อมมีคำ�ถามว่า ทำ�ไม “อัรบะอีนรำ�ลึก” นั้นจึงไม่เลือก

10


การเป็น “ชะฮีด” ของบุคคลอื่น??? ทำ�ไมไม่เลือกการเป็นชะฮีดของอิมามอาลี (อ.)??? ทำ�ไมไม่เลือกการเป็น ชะฮี ด ของอิ ม ามฮะซั น อั ล มุ จ ตาบา (อ.)??? ทำ � ไมไม่ เ ลื อ กการเป็ น ชะฮี ด ของ ท่านหญิงฟาติมะฮ์ (อ)??? แน่นอนว่าเรื่องนี้ย่อมมี “ฮิกมัต”... มีเรือ่ งสำ�คัญอย่างหนึง่ ของการเป็นชะฮีดของท่านอิมามฮุเซน (อ.) และนีค่ อื ความสำ�คัญในตัวเลข “40” หลังจากท่าน อิมามฮุเซน (อ) แล้ว เราก็ยงั มีอมิ ามอีก 7 ท่าน ซึง่ ได้เป็น ชะฮีด หลังจากอิมามฮุเซน (อ.) แต่ก็ไม่มีคำ�สั่งใดๆ ในการรำ�ลึก 40 วันของบรรดา อิมามเหล่านั้น แต่ทั้งนี้ทั้งนั้นเรามีแต่คำ�สั่งให้รำ�ลึกถึงวันการเป็นชะฮาดัดของอิมาม ฮุเซน (อ.) บรรดาอิมาม ท่านนบี และอะฮ์ลลุ บัยต์ (อ) ก็สงวนให้จดั อัรบะอีนเพือ่ การ รำ�ลึกถึงอิมามฮุเซน (อ.) เท่านั้น เพื่อต้องการชี้ถึงความยิ่งใหญ่ของท่านอิมามฮุเซน (อ.) แต่ว่าทำ�ไมไม่มีการจัดการรำ�ลึกถึงอิมามท่านอื่นๆ และอิมามท่านอื่นๆ นั้นก็มี ความยิ่งใหญ่เหมือนกันท่านอิมามฮุเซน (อ.) ????? การรำ�ลึกอย่างเป็นทางการตัง้ แต่วนั ที่ 1-10 มุฮรั รอม และวันสุดท้ายของการ รำ�ลึกคือวันที่ 40... คือวันนี้ อันเป็นวันแห่งการสรุป ว่าอะไรคือเป้าหมายของการ ของการรำ�ลึก???? จริงๆ แล้ว เรามีค�ำ สัง่ เสียต่างๆ มากมาย ในประเด็นความสำ�คัญของการ รำ�ลึกถึงอัรบะอีน และการรำ�ลึกถึง 40 วันนั้น เป็นหนึ่งในคุณสมบัติที่แท้จริงของผู้ ศรัทธา มีฮะดิษบทหนึง่ ของท่านอิมามมูซา กาซิม (อ) ได้กล่าวเอาไว้วา่ คุณลักษณะ ของผู้ศรัทธาที่แท้จริง มีอยู่ 5 ประการ ผู้ใดที่อยากจะเป็นผู้ศรัทธาที่แท้จริงเขาจะ ต้องมีคุณสมบัติ 5 ประการดังนี้ 1 การอ่าน “บิสมิลลาฮ์” เสียงดังในทุกนมาซของเขา และยังเป็น

11


คุณลักษณะพิเศษของชีอะฮ์ 2 บุคคลที่นมาซครบ 51 รอกะอัต 3 การสวมแหวน อะกี๊ก (เป้าหมายคือสร้างสัญลักษณ์ ให้กับชีอะฮ์) 4 สุญูดบนดินกัรบาลา 5 บุคคลที่อ่านซิยารัต “อัรบะอีน” ตลอดเวลา นีค่ อื 5 ประการ ในการจะสร้างให้เป็นผูศ้ รัทธาอย่างแท้จริง และการเป็น มุอ์มิน ที่แท้จริงนั้นมันเกี่ยวข้องโดยตรงในเรื่องราวที่เกี่ยวข้องกับอิมามฮุเซน (อ.) ดังนั้นการร่วมรำ�ลึกอย่างเป็นทางการให้กับท่านอิมามฮุเซน (อ.) ก็คือ 50 วัน ตั้งแต่ วันที่ 1 มุฮัรรอม จนถึง 20 ศอฟัร เป็นเวลา 50 วัน ส่วนในวันที่ 1-10 มุฮัรรอมนั้น แน่นอนการรำ�ลึกจะมีอยู่ในทุกที่ทุกแห่ง แต่หลังจากนั้นบางที่ก็อาจจะมี....หรือไม่มี ก็แล้วแต่ละพื้นที่ แต่การรำ�ลึกถึงอิมามฮุเซน (อ) ต้องให้ครบ 40 วัน ส่วนการรำ�ลึกตัง้ แต่วนั ที่ 10 มุฮรั รอม จนถึง อัรบะอีน นัน้ ก็มรี วิ ายะฮ์ จาก บรรดาอิมาม (อ) ที่กล่าวไว้ ซึ่งอย่างน้อยที่สุดให้เราอ่าน ซิยารัตอาชูรอ 40 วัน กล่าวคือ ถึงแม้นว่าเราจะไม่ได้ร่วมรำ�ลึกตลอดสี่สิบวัน แต่ก็ให้อ่านซิยารัตอาชูรอ โดยมีเป้าหมายที่สำ�คัญที่สุด คือ ผูกจิตวิญญาณของเราให้อยู่กับเรื่องราวของ อิมามฮุเซน (อ.) ให้มากที่สุด ให้เรารักกับวีรกรรมอันนี้ และยังมีนัยยะต่างๆ อีก มากมาย ในการให้อ่านซิยารัตอาชูรอ เพื่อให้เป็นนักต่อสู้ เป็นนักเสียสละ เพื่อให้มี จิ ต วิ ญ ญาณแห่ ง กั ร บาลา ชี วิ ต และจิ ต วิ ญ ญาณแบบนี้ ก็ จ ะเข้ า มาในชี วิ ต ของเรา เพราะเรื่องราวในลักษณะนี้มีเพียงเรื่องราวของอิมามฮุเซน (อ) เท่านั้น !! จุดประสงค์และเป้าหมายของการปฏิวตั เิ ลือดของอิมามฮุเซน (อ) นัน้ มัน ยิ่งใหญ่... ยิ่งใหญ่ถึงขั้นที่สามารถนำ�ไปสู่การปฏิวัติโลก!!!!! บางครั้งท่านอิมามได้ ชโลมเลื อ ดที่ ห ลั่ ง ไหลออกมาด้ ว ยความภาคภู มิ ใจ... บางครั้ ง สาดเลื อ ดขึ้ น สู่ ท้องฟ้า.... บางครั้งเอามือรองเลือดแล้วลูบบนใบหน้า... นั่นคือความหมายของ คำ�ว่า “การปฏิวัติเลือด” และเป็นการปฏิวัติเดียวเท่านั้นที่ให้ความสมบูรณ์แบบ

12


ในบทซิยารัต ทีม่ กี ารให้สลามถึงอิมามฮุเซน (อ) จะกล่าวให้สลามว่า “ยา ซารัลลอฮ” อันมีความหมายว่า “โอ้หนี้เลือด ของอัลเลาะฮ์” บรรดาอิมามทั้งหมดได้มอบความยิ่งใหญ่ให้กับอิมามฮุเซน (อ) เพราะ เป็นการปฏิวัติเลือด มุ่งสู่การปฏิวัติโลก!!!! สัจธรรมอันหนึ่งที่ได้รับการยืนยันจาก ทุกๆ ศาสดาว่า วันหนึ่งโลกนี้จะต้องถูกปฏิวัติโดยอิสลาม... ซุนนะฮ์ของท่านนบี (ศ) ที่แท้จริงจะต้องเกิดขึ้นทั้งโลก.... มีฮะดิษบทเดียวที่ท่านนบี (ศ) กล่าวว่า ท่าน อิมามมะฮ์ดี (อ) จะมาเติมเต็มโลกนี้ด้วยความสันติและความยุติธรรม หลังจากที่มัน เต็มไปด้วยความอยุติธรรม และการกดขี่ นี่คือการปฏิวัติโลกพี่น้อง !!!!! ทว่า การปฏิวตั โิ ลกได้มาจากไหนพีน่ อ้ ง !!!!! ก่อตัวจากแหล่งใด????? พลัง ของมันคืออะไร????? เรามีฮะดิษมากมายกล่าวว่า การปฏิวัติโลกจะไม่มีวันเกิดขึ้นถ้าไม่มี กัรบาลา!!!! นี่คือพลังที่ยิ่งใหญ่ และเมื่อสองสิ่งนี้ถูกนำ�เสนอ และทำ�ความเข้าใจได้ อย่างถูกต้องสมบูรณ์ให้กับมนุษยชาติแล้ว ก็จะไม่มีใครสามารถขัดขวางการปฏิวัติ อันนี้ได้.... ไม่มีพลังใดๆ อีกที่สามารถทำ�ลายได้ ซึ่งเหตุการณ์และวันเวลาเป็นตัว พิสูจน์ นั่นคือการปฏิวัติอิสลามแห่งอิหร่าน ...คือบทพิสูจน์ว่า เมื่อความเชื่อว่าการ ปฏิวัติโลกมีอยู่เต็มหัวใจ บวกกับความเข้าใจในการปฏิวัติเลือด รัฐอิสลามอันบริสุทธิ์ ก็จะเกิดขึ้น เมือ่ ชีอะฮ์เพียงน้อยนิด ลุกขึน้ ต่อสูภ้ ายใต้ชอื่ “ฮิซบุลเลาะฮ์” โดยทำ�ความเข้า ใจกับอุมมะฮ์ของเขาถึงสองสิ่งนี้ คือ “การปฏิวัติโลก” และ “การปฏิวัติเลือด” ความยิ่งใหญ่จึงเกิดขึ้น ชัยชนะของฮิซบุลเลาะฮ์เหนืออิสราเอลก็เกิดขึ้น.... หลังจาก ชัยชนะของสาธารณรัฐอิสลามแห่งอิหร่าน และฮิซบุลเลาะฮ์แล้ว สองเหตุการณ์นี้ ก็ได้ทำ�ลายขวัญของศัตรูเป็นอย่างมาก ศัตรูไม่สามารถทีจะสู้และต่อกรกับอิสลาม ตามวิถีทางธรรมชาติของมันได้ต่อไปอีกแล้วพี่น้อง !!! ดังนัน้ จึงต้องหาการขจัด... ต้องหาแผนการในการทำ�ลาย ให้สองสิง่ นีอ้ อกไป จากชีอะฮ์ให้ได้ ...มติของศัตรูเป็นเอกฉันท์ว่า เราจะไม่ปล่อยไปตามวิถีทางนี้...

13


ตามความเชื่อ ความศรัทธา ที่มีในกุรอาน ที่พระองค์ทรงสัญญาวันหนึ่งผู้ที่ถูกกดขี่ จะต้องเป็นอิมาม เป็นผู้นำ�บนหน้าแผ่นดินนี้ ดังนัน้ บรรดาศัตรูจงึ ตระเตรียมสารพัดวิธใี นการทำ�ลายหลักความเชือ่ ในเรื่องนี้ นั่นคือทำ�ลาย การปฏิวัติเลือด (ขบวนการของท่านอิมามฮุเซน (อ) และขบวนการปฏิวัติโลกของท่านอิมามมะฮ์ดี (อ)!!

14


ตาย

โลกหลังความ

15


ความตายไม่ได้มีความน่ากลัวใดๆ สำ�หรับ คนที่เข้าใจอย่างแท้จริง ปัญหาของมนุษย์มี อยู่ว่า ทำ�ไมมนุษย์กลัวความตาย? ซึ่งมี หลายๆ สาเหตุ และหลายๆ ปัจจัย หนึ่งใน เหตุผลก็เพราะมนุษย์ไม่เข้าใจเป้าหมายใน การสร้างมนุษย์ เรามิได้ถูกสร้างขึ้นมาเพื่อ ให้อยู่บนโลกนี้อย่างจีรัง แต่ต้องกลับสู่อีก ชีวิตหนึ่งที่นิรันดร์ และเป็นชีวิตที่อมตะ หลังจากอาลัมบัรซัค มนุษย์จะไม่มีความ ตายอีกแล้ว มนุษย์จะเข้าสู่โลกแห่งนิรันดร์ อย่างสมบูรณ์ โดยมีความแตกต่างที่ว่า ใน ความเป็นนิรันดร์ของมนุษย์นั้น จะมีสอง นิรันดร์ คือความสุขที่เป็นนิรันดร์ กับ ความทุกข์ที่เป็นนิรันดร์

16


ِ ‫ﺲ َذاِﺋَﻘُﺔ اَْﳌْﻮ‬ ‫ت‬ ٍ ‫ﻞ َﻧْﻔ‬ ‫ُﻛ ﱡ‬ “ทุกชีวิตนั้น จะต้องลิ้มรสแห่งความตาย”

เบือ้ งต้นก่อนทีเ่ ราจะเข้าสูเ่ นือ้ หาว่าด้วยการ “ทำ�บุญสีส่ บิ วัน” นัน้ เราจะ มาทำ�ความเข้าใจในฮะดีษบทหนึ่งที่ท่านศาสดา (ศ.) ได้กล่าวว่า “ถ้าดุนยานี้ ในทัศนะของพระเจ้านั้น มีค่าเท่ากับปีกของแมลงวันหรือ แมลงหวี่แล้วไซร้ แน่นอนอัลเลาะฮ์ (ซบ.) จะไม่ทรงให้กาเฟรได้ดื่มน้ำ�เลยแม้แต่หยด เดียวในโลกนี้” แต่เนือ่ งจากในทัศนะขององค์อลั เลาะฮ์ (ซบ.) ดุนยาไม่มคี า่ แม้เพียงเท่ากับ ปีกของแมลงวันหรือแมลงหวี่ ด้วยเหตุนี้คนกาเฟรหรือคนชั่วจึงได้รับสิ่งต่างๆ ใน ดุนยาอย่างมากมาย ดังนัน้ เมือ่ เราเห็นมนุษย์ในโลกนีด้ �ำ เนินชีวติ อย่างสุขสบาย มีทกุ สิง่ ทุกอย่าง ตามที่เขาต้องการ อัลเลาะฮ์ (ซบ.) ก็จะทรงให้เขาได้ลิ้มรสกับสิ่งนี้เหล่านี้ เพราะโลก นี้มันไม่มีค่าใดๆ สำ�หรับพระองค์ ดังนัน้ การทีม่ นุษย์คนหนึง่ คนใดร่�ำ รวยมหาศาลมีเงินทองทรัพย์สมบัตอิ ย่าง มากมาย มีความสุขความสบายในทุกด้าน แต่นั่นก็ไม่ได้หมายความว่าอัลเลาะฮ์ (ซบ.) ทรงรักมนุษย์คนนั้น !!!! ในด้านตรงกันข้ามก็เช่นกัน ไม่ได้หมายความว่า คนทีย่ ากจน คนทีข่ น้ แค้น คนที่ดำ�เนินชีวิตอย่างยากลำ�บาก คนที่ทำ�งานหาเช้ากินค่ำ�นั้น จะเป็นคนที่อัลเลาะฮ์ (ซบ.) ไม่รัก จะเป็นคนที่อัลเลาะฮ์ (ซบ.) ไม่ต้องการ หรือเป็นคนที่อัลเลาะฮ์ไม่ ยอมรับเขา ซึง่ สิง่ ต่างๆ เหล่านีห้ าใช่วา่ เป็นสัจธรรมอันใดในอิสลาม ในความเป็นจริงแล้ว

17


มันไม่ใช่ทั้งสองอย่าง ในเบือ้ งต้นเราต้องสร้างทัศนะคติทถี่ กู ต้องและสมบูรณ์เสียก่อนว่า เรามีชวี ติ ในโลกนี้เพื่ออะไร? เพื่อสิ่งใด? เกิดมาทำ�ไม? ซึ่งอัลเลาะฮ์ (ซบ.) ได้บอกกล่าวตั้งแต่ แรกแล้วว่า อย่าเข้าใจผิดในการใช้ชีวิตบนโลกดุนยานี้ อย่าได้คิดว่า เมื่อขออะไรแล้ว ได้ นั่นแสดงว่าพระองค์รัก และอย่าคิดว่าเมื่อขออะไรแล้วไม่ได้ แสดงว่าพระองค์ เกลียด ...เพราะอัลเลาะฮ์ (ซบ.) ทรงตรัสว่า ไม่ใช่เช่นนั้น !!!!!

“ส่วนมนุษย์นนั้ เมือ่ พระเจ้าของเขาทรงทดสอบเขา โดยทรงให้เกียรติเขาและ ทรงโปรดปรานเขา เขาก็จะกล่าวว่าพระเจ้าของฉันทรงยกย่องฉัน แต่ครั้นเมื่อ พระองค์ทรงทดสอบเขาทรงให้การครองชีพของเขา เป็นที่คับแคบแก่เขา เขาก็จะ กล่าวว่า พระเจ้าของฉันทรงเหยียดหยามฉัน” (ซูเราะฮ์ฟัจร์ โองการที่ 15-16) กล่าวคือ มนุษย์สว่ นหนึง่ เมือ่ อัลเลาะฮ์ ทำ�ให้เขามีเกียรติ หรือให้เขาได้รบั “เนี๊ยะมัต” ต่างๆ เขาจะกล่าวในทันทีว่า อัลเลาะฮ์ทรงรักฉัน แต่เมื่อพระองค์ ต้องการจะทดสอบเขา ด้วยการกำ�หนดและควบคุมจำ�กัดริซกีของเขา เขาก็จะกล่าว ว่า อัลเลาะฮ์ (ซบ.) ไม่ทรงรักฉันแล้ว อัลเลาะฮ์ (ซบ.) ทรงเกลียดฉันแล้ว และมนุษย์มักจะมีความคิดเช่นนี้อยู่เสมอ!! แต่ทว่าอัลเลาะฮ (์ ซบ.) กล่าวว่า มันไม่ใช่ทงั้ สองอย่าง ความสุขบนโลกนี้ ความสบายในโลกนี้ ความทุกข์ในโลกนี้นั้น มันไม่ใช่ตัวชี้วัด มันไม่ใช่เครื่องพิสูจน์ว่า อัลเลาะฮ์(ซบ.) ทรงรัก หรืออัลเลาะฮ์(ซบ.) ทรงเกลียด มันไม่ใช่มาตรวัดอย่างที่ เราคิด

18


ดุนยาคือคุกสำ�หรับผู้ศรัทธา

ทำ�ไมมันไม่ใช่มาตรวัด? นัน่ ก็เพราะมนุษย์มไิ ด้ถกู ส่งลงมาเพือ่ สิง่ เหล่านี้ มนุษย์มิได้ถูกส่งลงมาเพื่อหาความสุขในโลกดุนยานี้ แต่ในมุมมองที่ตรงกันข้ามนั้น จริงๆ แล้วผู้ที่จะประสบความสำ�เร็จในโลกนี้ เขาจะต้องอยู่ในโลกนี้อย่างยากลำ�บาก เราส่วนมากเคยได้ยินฮะดีษบทหนึ่งที่ท่านศาสดามุฮัมมัด (ศ.) กล่าวว่า

‫ﻜﺎِﻓِﺮ‬ َ ‫ﻦ َوَﺟﱠﻨُﺔ اْﻟ‬ ِ ‫ﻦ اُْﳌْﺆِﻣ‬ ُ ‫ﺠ‬ ْ ‫ﺳ‬ ِ ‫اﻟﱡﺪْﻧَﻴﺎ‬ “โลกดุนยานี้เป็นคุกของผู้ศรัทธา (มุอ์มิน) และเป็นสวรรค์ของผู้ปฏิเสธ (กาฟิร)” ในฮะดีษนีท้ า่ นศาสดามุฮมั มัดไม่ได้บอกว่าโลกดุนยานีเ้ ป็น “นรก” แต่กลับ บอกว่าเป็น “คุก” สำ�หรับผู้ศรัทธา ดังนั้นอะไรคือนัยยะของฮะดีษดังกล่าว ที่ว่าโลก ดุนยาเปรียบเสมือนคุกสำ�หรับผู้ศรัทธา? ซึง่ จริงๆ แล้วในคุก ก็มอี าหาร มีเครือ่ งดืม่ ให้ดมื่ กิน แต่ทว่าในสภาพนัน้ มัน ไม่มีอิสระเสรี และนี่คือหนึ่งในความหมายของคำ�ว่า “คุกในโลกนี้” กล่าวคือไม่มี อิสรภาพ จะเลือกปฏิบัติเกินขอบเขตที่ถูกกำ�หนดไม่ได้ ซึ่งผู้ศรัทธาในโลกนี้ก็เหมือนกัน แต่ทว่าคุกตรงนี้ มันคือกฎเกณฑ์แห่ง ศาสนา มันคือกฎเกณฑ์แห่งการดำ�เนินชีวิตที่มีขอบเขต (เช่นหากเราเป็นผู้หญิง ไม่ใช่ว่าเรามีอิสระที่จะสวมใส่เสื้อแบบไหน จะไม่สวมฮิญาบก็ได้ ซึ่งหากเป็นเช่นนี้ แสดงว่าเราไม่ได้อยู่ในคุก เพราะเรามีอิสระ) คำ�ว่า “คุก” ในศาสนาและสำ�หรับผูศ้ รัทธานัน้ มันครอบคลุมทุกสิง่ ทุกอย่าง ในวิ ถี แ ห่ ง การดำ � เนิ น ชี วิ ต ทุ ก เรื่ อ งของมนุ ษ ย์ ต้ อ งอยู่ ใ นคุ ก แต่ มั น เป็ น คุ ก ของ อัลเลาะฮ์ (ซบ.) คุกของนบี (ศ.) คุกที่ชะรีอะฮ์ ได้วางเอาไว้ อยูใ่ นโลกนีเ้ ราไม่สามารถทีจ่ ะพูดอะไรก็ได้ ดังนัน้ แสดงว่าเราไม่เป็นอิสระ ส่วนคำ�พูดที่เป็นคำ�นินทา คำ�พูดที่เป็นการให้ร้ายนั้น ศาสนาก็ไม่อนุญาต เพราะ

19


มันมีความผิด มันมีบทลงโทษ หรือแม้แต่ในเรื่องอาหารการกินก็ตาม หากเราจะกิน อะไรก็ได้ตามใจชอบ แสดงว่าเราไม่ได้อยู่ในคุกในมุมมองศาสนา ดังนัน้ คำ�ว่า “คุก” จึงหมายความว่า นัฟซูของมนุษย์ไม่มอี สิ ระอย่างเต็มที่ นัฟซูของเขาบางส่วนจะต้องถูกขัง นัฟซูที่จะทำ�ให้เขามุ่งสู่ความชั่วต่างๆนาๆ จะ ต้องถูกขังเอาไว้ และนัฟซูที่จะกระทำ�ในสิ่งที่ฮะลาล ถูกอนุญาตและอนุมัติ หากเราตามนัฟซู เมือ่ จะกินอะไรก็กนิ เมือ่ จะทำ�อะไรก็ท�ำ นัน่ เสมือนสวรรค์ ของเขา ซึ่งในฮะดีษกล่าวว่า มันเป็นสวรรค์สำ�หรับผู้ปฏิเสธ... ...ปฏิเสธอะไร ...ปฏิเสธสิ่งใด? คือการปฏิเสธ “ฮุกมุ ” ปฏิเสธชะรีอะฮ์ของอัลเลาะฮ์ (ซบ.) ปฏิเสธคำ�สัง่ ปฏิเสธหลักคำ�สอนของท่านนบีมุฮัมมัด (ศ.) ดังนัน้ เราถูกสร้างขึน้ มาบนโลกนีอ้ ย่างมีเป้าหมาย มีกฎเกณฑ์ กฎระเบียบ มี ผู้บังคับกฎ และมีบทลงโทษ

ดุนยาคือโลกแห่งการจดบันทึก

ในวันนี้ ไม่วา่ เราจะทำ�อะไร เช่น เราไม่ท�ำ นมาซ อัลเลาะฮ์ (ซบ.) ก็ไม่ทรง ลงโทษทันทีทันใด ไม่ส่งหินไฟลงมาทำ�ลายล้าง ไม่ส่งมะลาอิกัตลงมาทุบตีเรา ไม่เอา น้ำ�ทะเลมาจมเรา เหมือนกับอุมมัตของนบีท่านอื่นๆ ในอดีต เพราะสิ่งนี้ท่านนบี มุฮัมมัด (ศ.) ได้ทรงขอจากพระองค์ให้ทรงคิดบัญชีพวกเขาในโลกหน้า แต่เราอย่าได้คดิ ว่าการดำ�เนินชีวติ ในโลกนีไ้ ม่มกี ารคิดบัญชี มันมีบญ ั ชี มันมี การจดบันทึกทุกสิ่งทุกอย่างที่มนุษย์กระทำ� มีบัญชีทุกการงานที่บันทึกในสิ่งที่มนุษย์ กระทำ� (กิรอมันกาตีบีน) มีผู้จดบันทึกในทุกการเคลื่อนไหว ทุกอิริยะบทของการ ดำ�เนินชีวิตของมนุษย์ และทุกการเคลื่อนไหวของมนุษย์ ซึ่งในภาษาอาหรับได้ใช้คำ� ว่ามี “ฮิซาบ” มี “กิตาบ” เมื่อถูกสร้างขึ้นมาแล้วมิได้ถูกปล่อยให้มีความอิสระเสรี ในการจะดำ�เนินชีวิตแบบไหนก็ได้

20


มันไม่ใช่แบบนั้นพี่น้อง !!!! ดังนัน้ ในกุรอาน จึงสอนให้กบั มนุษย์วา่ การใกล้ชดิ กับความรูน้ นั่ คือวิธกี าร อันหนึ่งที่จะทำ�ให้มนุษย์รอดพ้นจากการถูกลงโทษอันเจ็บปวด ดังนั้นมนุษย์ที่เกิดมา ทุกคนต้องเผชิญอยู่เสมอ จะต้องพบกับกลไกอันหนึ่งอยู่เสมอ ซึ่งเป็นกลไกที่ศาสนา ได้วางไว้ เมื่อสร้างมนุษย์ขึ้นมา อะไรที่จะเป็นปัจจัยที่คอยย้ำ�เตือนมนุษย์อยู่ตลอด เวลา อย่าให้เลยเถิด อย่าให้ลืมตัวเอง อย่าให้ลืมหน้าที่ อย่าให้ลืมเป้าหมายที่ อัลเลาะฮ์ (ซบ.) ทรงสร้างเขาขึ้นมา เพราะอัลเลาะฮ์ (ซบ.) ก็ได้สร้าง “ความตาย” ควบคูก่ บั การสร้างมนุษย์ขนึ้ มา ด้วยเช่นกัน!!

มนุษย์คือสรรพสิ่งที่จีรัง

บางคนอาจมีค�ำ ถามว่าทำ�ไมอัลเลาะฮ์ (ซบ.) จึงไม่สร้างมนุษย์ให้มชี วี ติ อย่าง ยั่งยืนจีรัง? และในความเป็นจริงแล้ว มนุษย์คือสิ่งถูกสร้างที่จีรังและนิรันดร์ เราถูก บังเกิดขึ้นมาจากไม่มี แล้วกลายเป็นมี (เมาญูด) แล้วจะไม่มีวันไม่มี มนุษย์ตอนที่ ไม่มี คือไม่มี แต่มนุษย์เมื่อเกิดขึ้นมาแล้ว ไม่มีวันที่จะไม่มี ไม่มีวันที่จะดับสูญ ต้อง อยู่ตลอดไป ซึง่ หมายความว่า จริงๆ แล้วเราไม่มวี นั ตาย แต่ตายในเชิงของความหมายว่า “ดั บ สู ญ ” หรื อ หายไป และเมื่ อ เกิ ด ขึ้ น มาแล้ ว จะต้ อ งมี แ ละเกิ ด ตลอดไป นี่ คื อ สัจธรรมอันหนึ่ง แต่การมีอยู่ของมนุษย์จะต้องเปลี่ยนไปตามวัฎจักร คือเปลี่ยนภพ เปลี่ยนอาลัม เปลี่ยนที่อยู่ไปเรื่อยๆ ดังนัน้ ในวันนีเ้ รามาทำ�บุญ 40 วัน กรณีทญ ี่ าติพนี่ อ้ งของเรา (มัรฮูม ฮารูน) ได้จากโลกนี้ไป ซึ่งเราทุกคนรู้ว่า เขาได้ไปอยู่ในอาลัมบัรซัค (โลกหลังความตาย) และคำ�ว่าตายนั้น มันไม่ได้ตายจริงๆ พี่น้อง!!! เพียงแต่ถูกตัดความสัมพันธ์ระหว่าง เรากับเขาเท่านั้น และไม่ได้เป็นการตัดความสัมพันธ์อย่างร้อยเปอร์เซ็นต์ซึ่งสำ�หรับ

21


บุคคลที่พัฒนาตนเองไปถึงระดับจุดๆหนึ่งซึ่งเราเรียกว่า วะลียุลเลาะฮ์​์ ซึ่งมีจิตใจ สะอาดบริสุทธิ์นั้น เขาสามารถสัมผัสกับโลกแห่งจิตวิญญาณ ก็ได้สัมผัสเห็นใน สัจธรรมของสิ่งนี้ และในหลักคำ�สอนของอิสลามก็พยายามที่จะวางกลไกเพื่อสิ่ง เหล่านี้ ดังนัน้ หากเราสังเกตและทำ�การไตร่ตรองแล้ว ก็จะพบว่าในคำ�สัง่ สอนของ อิสลามนั้นได้ซ่อนสิ่งต่างๆ เหล่านี้เอาไว้ เช่น เมื่อเขาตายแล้ว ทำ�ไมต้องอาบน้ำ� ฆุซุล? ทำ�ไมต้องหุ้มห่อด้วยผ้าขาว? ทำ�ไมเลือกผ้าสีขาวที่สะอาดบริสุทธิ์? แม้แต่ การอาบน้ำ�มัยยิต ก็ได้มีคำ�สั่งอย่าได้กระทำ�อย่างรุนแรงต่อผู้ตาย หลังจากนั้นก็ต้อง ทำ�พิธีนมาซ ซึ่งทุกคนต้องมาร่วมนมาซญะนาซะห์ สำ�หรับคนที่สามารถนมาซได้ ซึ่ง การนมาซดังกล่าวเป็นฟัรฎูกิฟายะห์ (ความหมายฟัรฎูกิฟายะห์ คือ หากในสังคมนั้น ไม่มีผู้ทำ� ความผิดบาปจะตกยังมาถึงพี่น้องในสังคมนั้นทั้งหมด และหากว่ามีผู้หนึ่ง ผู้ใดได้ปฏิบัติ คนอื่นๆ ก็ถือว่าหมดภาระหน้าที่) สิง่ นีแ้ สดงว่า คนตายไม่ได้ตาย และไม่ใช่เป็นท่อนไม้ ไม่ใช่เป็นหนอนทีอ่ ยู่ ในดินที่เน่าเปื่อย ส่วนสิ่งที่ถูกกัดกินนั้นคือเสื้อผ้า คือเนื้อหนังมังสา มันคือเสื้อที่อยู่ ในโลกนี้ และมันคือหุ่นของเราที่อยู่ในโลกนี้ ซึ่งเราต้องใช้หุ่นตัวนี้เมื่ออยู่ในโลกนี้ แต่เมื่อได้ย้ายไปอีกโลกหนึ่งเราก็ต้องใช้เสื้ออีกตัวหนึ่ง แสดงว่ามนุษย์ไม่ได้ตัดขาด จากสิ่งเหล่านี้อย่างสิ้นเชิง แต่เขาจะต้องรู้ว่า เขาจะต้องค่อยๆ จากโลกนี้ไป ดังนั้น เมื่อเกิดขึ้นมาในโลกใบนี้ เมื่ออัลเลาะฮ์ (ซบ.) สร้างความเป็น (การมีอยู่) ขึ้นมา พระองค์ก็จะสร้างความตายขึ้นมาควบคู่ทันที ‫ﻦ َﻋَﻤﻼ‬ ُ ‫ﺴ‬ َ ‫ﻜْﻢ َأْﺣ‬ ُ ‫ﳊَﻴﺎَة ﻟَِﻴْﺒُﻠَﻮُﻛْﻢ َأﱡﻳ‬ َْ ‫ت َوا‬ َ ‫ﻖ اَْﳌْﻮ‬ َ ‫اﱠﻟِﺬي َﺧَﻠ‬

“พระผูท้ รงให้มคี วามตายและให้มคี วามเป็น เพือ่ จะทดสอบพวกเจ้าว่า ผูใ้ ด บ้างในหมู่พวกเจ้าที่มีผลงานดียิ่ง และพระองค์เป็นผู้ทรงอำ�นาจ ผู้ทรงให้อภัยเสมอ” (ซูเราะฮ์ อัลมุลก์ โองการที่ 2)

22


ถามว่า เมือ่ อัลเลาะฮ์สร้างความเป็นและสร้างชีวติ ขึน้ มา แล้วทำ�ไมต้องสร้าง ความตายด้วย? ** ซึ่งอันนี้มันเป็นโจทย์สำ�หรับพวกเราทุกคน อัลกุรอานก็ได้ตอบใน เรื่องนี้มาแล้วเป็นพันๆ ปี แต่ทว่าชีวติ ของพวกเรานัน้ ห่างไกลจากอัลกุรอาน จึงทำ�ให้เราไม่รถู้ งึ คำ�ตอบ ดังกล่าวที่สมบูรณ์ ดังนั้นมนุษย์คนหนึ่งเมื่อพูดถึงความตายแล้ว เขาจะมีความโกรธ จะมีความกลัวขึ้นมาทันที ซึ่งระดับขั้นของความกลัวอันนี้มันจะขึ้นอยู่กับสถานภาพ ของแต่ละคน ในอัลกุรอานได้กล่าวว่า เมือ่ สร้างให้เกิดขึน้ มาบนโลกนีแ้ ล้ว เพือ่ จะทำ�การ ทดสอบว่าในหมู่สูเจ้านั้นใครมีอะมั้ล (การงาน) ที่ดีที่สุด นั่นหมายถึงเพื่อทดสอบ มนุษย์! ดังนั้นหากมนุษย์ไม่มีความตาย ชีวิตของมนุษย์ก็จะเลยเถิด เพราะไม่ต้อง เจอกับอะไร ไม่ต้องเจอกับสิ่งใดๆ ซึ่งแน่นอนโลกนี้จะเป็นสถานที่ซึ่งไม่น่าอยู่ สำ�หรับมนุษย์อย่างแน่นอน หากอัลเลาะฮ์ (ซบ.) ไม่ทรงสร้างความตายขึ้นมา มนุษย์ ก็จะไม่มีใครกลัวใครเป็นอันขาด เพราะไม่มีความตาย ถามว่าเมื่อเป็นเช่นนี้แล้วโลก ยังน่าอยู่อีกไหม? ดังนั้นเป้าหมายในการสร้างความตายขึ้นมาก็เพื่อจะดูว่า ใครคือ คนดีที่จะกลับคืนสู่พระองค์ ทันทีทสี่ ร้างให้เกิดขึน้ มา อัลเลาะฮ์ (ซบ.) ก็จะทรงสร้างความตายขึน้ มาทันที โดยสามารถนับถอยหลังสู่ความตายได้เลย และทำ�ไมเราต้องกล่าวตามด้วยประโยค ว่า ‫ِإﱠﻧﺎ ِﻟﱠﻠِﻪ َوِإﱠﻧﺎ ِإَﻟْﻴِﻪ َراِﺟُﻌﻮَن‬

“แท้จริงพวกเราเป็นกรรมสิทธิข์ องอัลเลาะฮ์ และแท้จริงพวกเราจะกลับไปยัง พระองค์” (ซูเราะฮ์ อัลบากอเราะห์ โองการที่ 156) กล่าว (อินนาลิลลาฮ์ วะอินนาอิลยั ฮิรอญิอนู ) อยูเ่ สมอเมือ่ ได้ยนิ ว่ามีคน ُ‫ﻜْﻢ َأﺣْﺴَﻦ‬ ُ ‫ ﻟَِﻴْﺒُﻠ**َﻮُﻛْﻢ َأﱡﻳ‬คำ‫ﳊَﻴ�ﺎَة‬ َْว่า‫ت َوا‬ َ ‫ﻖ اَْﳌْﻮ‬ َ ถู‫َﻠ‬ก‫َﺧ‬กล่ ‫ِﺬي‬า‫ﱠﻟ‬วไว้ ‫ ا‬ในอัลกุรอาน

ُ ‫ﺴ‬ ‫ﻦ‬ َ ้ง‫ َأْﺣ‬ส่‫ْﻢ‬ว‫ﻜ‬ ُ นคำ ‫ُﻛ�ْﻢ َأﱡﻳ‬ว่‫َﻮ‬า‫ﳊَﻴﺎَة ﻟَِﻴ ْﺒُﻠ‬ َْ ‫َوا‬ถู‫ت‬ َ ก‫ْﻮ‬กล่ ‫ﻖ اَْﳌ‬ َ าวถึ ‫ي َﺧَﻠ‬ ถึง ‫ﻼ‬35‫ َﻋَﻤ‬ครั ง ‫ِﺬ‬71‫ اﱠﻟ‬ครั้ง)

23


ตาย? ซึ่งต้องการให้รู้ว่า เราไม่ได้เป็นเจ้าของ “ตนเอง” และเราต้องคืนกลับสู่ พระองค์ พระองค์ได้เลือกใช้คำ�ว่า กลับคืนสู่พระองค์ ซึ่งหมายความว่า เมื่อมนุษย์ เกิดมาแล้วต้องมุ่งสู่พระองค์ ความตายทีเ่ ราเรียกนัน้ ความตายทีเ่ ราถือว่าต้องสละทุกอย่างนัน้ มันคือ ความตาย ซึ่งจริงๆ แล้วความตายไม่ใช่เป็นการดับสูญ และมนุษย์ไม่ได้หายไปไหน ไม่ได้ดับ มีแล้วกลายเป็นสิ่งไม่มี ซึ่งมันหาใช่สิ่งนี้ไม่ แม้แต่ในอัลกุรอานยังได้ใช้ภาษา ที่ ส ละสลวยเป็ น อย่ า งมาก ใช้ อ ย่ า งมี นั ย ยะที่ ส มบู ร ณ์ ข องมั น โดยได้ ใช้ ภ าษาที่ สมบูรณ์ด้วยการกล่าวว่า

ِ ‫ﺲ َذاِﺋَﻘُﺔ اَْﳌْﻮ‬ ‫ت‬ ٍ ‫ﻞ َﻧْﻔ‬ ‫ُﻛ ﱡ‬ “ทุกชีวติ จะต้องลิม้ รสแห่งความตาย” (ซูเราะฮ์อาลิอมิ รอน โองการที่ 185) ** ตามหลักไวยกรณ์ภาษาอาหรับ คำ�ว่า “ซาอิก” (ลิ้มรส) เป็น “ฟาอีล” (ประธาน) คือ เราเป็นประธาน เราเป็นผู้กิน เราเป็นผู้ชิม เราเป็นผู้ลิ้มรส ไม่ใช่ความ ตายกินเรา แต่เรากินความตาย อัลกุรอานได้เลือกใช้ค�ำ ทีส่ ละสลวยโดยไม่ได้เลือกใช้ค�ำ ว่า “กิน” เพราะกิน นั้นมันดูมากไป มันน่ากลัว มันเจ็บปวด แต่ได้เลือกใช้คำ�ว่า “ชิม” จริงๆ แล้วความตายในทัศนะของอัลกุรอานนัน้ ได้กล่าวว่ามนุษย์ได้ลมิ้ รส แห่งความตาย ซึ่งเมื่อได้ชิมแล้วก็ต้องมีการย้ายสถานที่ ซึ่งเปรียบได้กับการที่คนไข้ เข้าห้องผ่าตัด ซึ่งหมอได้ฉีดยาสลบ เมื่อสลบแล้ว ก็แล้วแต่หมอจะปฏิบัติต่อเราซึ่ง เราเองก็ไม่รู้สึกเจ็บปวดแต่อย่างใดอีกแล้ว ไม่ว่าจะผ่าสมอง จะเอากะโหลกออกมา หรือ ฯลฯ.... ดังนัน้ เมือ่ มนุษย์จะเปลีย่ นทีอ่ ยู่ ซึง่ ในริวายะฮ์ ได้กล่าวว่า การย้ายทีอ่ ยูห่ รือ ** โองการในลักษณะเช่นนี้ถูกกล่าวในอัลกุรอานถึงสามครั้งด้วยกัน คือใน ซูเราะห์ อาลิอิมรอน โองการ ที่ 185, ซูเราะห์ อันนิซาอฺ โองการที่ 35 และซูเราะห์ อัล อังกะบูต โองการที่ 57

24


ย้ายมิตินั้นเป็นเรื่องที่หนักและเจ็บปวดมาก โดยจะต้องสลบก่อนจึงจะย้ายมิติได้ ซึ่ง เหมือนกับเป็นการย่อยสลาย เหมือนกับสิ่งที่มนุษย์กินเข้าไปแล้วนั้นก็ย่อมย่อย สลายไป แล้วต่อไปมันก็ไม่มีแล้ว และเมื่อจากโลกนี้ไปแล้วก็จะอยู่ในอีกมิติหนึ่ง ซึ่ง ในหลักคำ�สอนของอิสลามก็จะมีการอธิบายในลักษณะเช่นนี้ โดยความตายนั้นไม่ เป็นการตายแบบสิ่งอื่นๆ เช่น หมู หมา แต่การตายของมนุษย์คือการเปลี่ยนที่อยู่ และการย้ายสถานที่ อันเป็นการตัดสัมพันธ์ที่ไม่สามารถจะสื่อกันได้เท่านั้นเอง

ไฉนมนุษย์กลัวความตาย

ความตายไม่ได้มคี วามน่ากลัวใดๆ สำ�หรับคนทีเ่ ข้าใจอย่างแท้จริง ปัญหา ของมนุษย์มีอยู่ว่า ทำ�ไมมนุษย์กลัวความตาย? ซึ่งมีหลายๆ สาเหตุ และหลายๆ ปัจจัย หนึ่งในเหตุผลก็เพราะมนุษย์ไม่เข้าใจเป้าหมายในการสร้างมนุษย์ เรามิได้ถูก สร้างขึ้นมาเพื่อให้อยู่บนโลกนี้อย่างจีรัง แต่ต้องกลับสู่อีกชีวิตหนึ่งที่นิรันดร์ และเป็น ชีวิตที่อมตะ หลังจากอาลัมบัรซัค มนุษย์จะไม่มคี วามตายอีกแล้ว มนุษย์จะเข้าสูโ่ ลกแห่ง นิรันดร์อย่างสมบูรณ์ โดยมีความแตกต่างที่ว่า ในความเป็นนิรันดร์ของมนุษย์นั้น จะมีสองนิรันดร์ คือความสุขที่เป็นนิรันดร์ กับความทุกข์ที่เป็นนิรันดร์ ซึ่งอัลกุรอาน ก็ได้ตรัสในเรื่องนี้ว่า

“และส่วนผูไ้ ด้ศรัทธาต่ออัลเลาะฮ์ และกระทำ�ความดี พระองค์จะทรงลบล้าง ความชั่วทั้งหลายของเขาออกไปจากเขา และจะทรงให้เขาเข้าสวนสวรรค์หลากหลาย

25


ณ เบื้องล่างของสวนสวรรค์นั้นมีลำ�น้ำ�หลายสายไหลผ่านพวกเขาเป็นผู้พำ�นักอยู่ใน นั้นตลอดการ นั่นคือความสำ�เร็จอันยิ่งใหญ่ ส่วนบรรดาผู้ปฏิเสธศรัทธา และปฏิเสธ ต่อสัญญาณต่าง ๆ ของเขา ชนเหล่านั้นคือชาวนรก พวกเขาเป็นผู้พำ�นักอยู่ในนั้น และมันเป็นทางกลับที่ชั่วช้ายิ่ง” (ซูเราะฮ์ อัตตะฆอบูน โองการที่ 9-10) “ญันนาติลคอลีดนี าฟีฮา” คือ สวรรค์ทเี่ ขาจะพำ�นักอยูใ่ นนัน้ ชัว่ นิจนิรนั ดร์ หรือ “ญาฮันนามัลคอลีดียนาฟีฮา” หรือนรกที่เขาจะได้อยู่อย่างนิจนิรันดร์ กล่าวคือ มนุษย์จะไม่ตายทัง้ ในนรกและในสวรรค์ กุรอานยืนยันชัดเจนว่า หลังจากจากโลกนี้ไปแล้ว ไม่มีใครตาย มนุษย์จะมีชีวิตที่นิรันดร์ แต่ปญ ั หาว่า จะนิจนิรนั ดร์ในนรก หรือนิรนั ดร์ในสวรรค์เท่านัน้ แหละ!!! ในบางฮะดีษและในบางริวายะฮ์ จะมีการเปรียบเทียบความตายในลักษณะ ต่างๆ โดยฮะดีษบทหนึ่งได้กล่าวว่า “ความตายเปรียบเสมือนสะพาน ที่จะข้ามจาก โลกนี้ไปสู่อีกโลกหนึ่ง” ซึง่ มันเป็นทางข้าม แต่ส�ำ หรับบางคนข้ามไปเพือ่ จะเข้าสูส่ วรรค์ และบางคน ข้ามไปเพื่อจะไปสู่นรก ซึ่งทั้งสองอย่างนี้จะต้องผ่านความตายเท่านั้น!!!!! ดังนัน้ มันจึงเป็นหนึง่ ในเหตุผลทีม่ นุษย์กลัวความตาย เพราะมนุษย์สว่ นมาก รู้ตัวเอง คนที่กลัวตายจริงๆ แล้วรู้ตัวเอง ตรงนี้หากข้าพเจ้าชี้ไปยังคนใดคนหนึ่งว่า คุณได้เข้าสวรรค์อย่างแน่นอน นางฟ้ารออยู่ ธารน้ำ�นมรออยู่ ธารน้ำ�ผึ้งรออยู่ ถาม ว่ามีใครไหมที่ไม่ไป? หากบอกว่า คุณตายวันนี้ และสวรรค์กำ�ลังรอคุณอยู่ มี นางฟ้ากำ�ลังรอคุณอยู่ มีอาหารการกินที่เอร็ดอร่อย มีความสุขสบายอย่างมากมาย รอคุณอยู่ เช่นในอัลกุรอานกล่าวว่า

26


“ในสวนสวรรค์หลากหลายแห่งความสุขสำ�ราญโดยอยูบ่ นเตียงทีป่ ระดับด้วย ทองคำ� พวกเขานอนเอกเขนกอยู่บนนั้น โดยผินหน้าเข้าหากัน มีเด็กๆ ที่มีอายุเช่น นั้น วนเวียนรับใช้พวกเขาตลอดไป ถ้วยภาชนะใหญ่ และแก้วที่มีหู และจอกใส่สุราที่ ไหลรินมา พวกเขาจะไม่มึนศีรษะ และไม่หมดสติ เมื่อดื่มสุรานั้น และผลไม้หลาก ชนิด ตามแต่พวกเขาจะเลือกกิน และเนื้อนกที่พวกเขาอยากรับประทาน และหญิง สาวที่มีนัยน์ตาคมสวยงาม ประหนึ่งไข่มุกที่ถูกพิทักษ์รักษาไว้อย่างดี ทั้งนี้เป็นการ ตอบแทนเนื่องจากความดีที่พวกเขากระทำ�ไว้ ในสวนสวรรค์นั้นพวกเขาจะไม่ได้ยิน คำ � พู ด ที่ ไร้ ส าระ และเป็ น บาป เว้ น แต่ คำ � กล่ า วที่ ว่ า ศานติ ศานติ ” (ซู เราะฮ์ อัลวากีอะห์ โองการที่ 15-26 ) ถามว่า ใครบ้างไม่อยากตาย??? แน่นอนมีแต่คนบ้าเท่านัน้ ทีไ่ ม่ยอมตาย พี่น้อง !!!! สิ่งที่เรากลัวตายนั้น เพราะเราไม่รู้ว่าเมื่อตายไปแล้วเราจะไปไหน??? ตาย แล้วเมื่อถึงทางแยก จะต้องเลี้ยวซ้ายหรือเลี้ยวขวา??? นี่แหละคือปัญหาหลักของเรา!!! เหตุผลเพราะมันเสีย่ ง หนทางมันเสีย่ ง ดังนัน้ จริงๆ แล้วมนุษย์ไม่ได้กลัว ความตาย แต่มนุษย์กลัวผลที่จะติดตามมาหลังจากความตายต่างหาก... ซึ่งในบางฮะดีษได้กล่าวว่า “มันเหมือนกับสะพาน” ซึ่งสมมุติว่าเรารู้ว่า สะพานนี้จะเดินไปสู่นรก แน่นอนย่อมไม่มีใครกล้าเหยียบไปบนสะพานนั้นอย่างเด็ด ขาด แต่ถ้ารู้ว่าเมื่อเหยียบบนสะพานนี้แล้วจะนำ�พาเขาเข้าสู่สวรรค์ มีใครอีกหรือที่ จะไม่วิ่งเข้าหาสะพานนี้ ดังนั้นจริงๆ แล้วสิ่งที่มนุษย์กลัว คือกลัวในชะตากรรมของ

27


ตัวเอง กลัวในสิ่งที่เขาได้ทำ�เอาไว้ ไม่มั่นใจในวิถีแห่งการดำ�เนินชีวิตของเขา และ จริงๆ มันก็เป็นเช่นนั้น บอกแล้วว่าอัลเลาะฮ์ (ซบ.) มิได้สร้างมนุษย์อย่างไร้สาระ แต่ มีฮซิ าบ มี กิตาบ (มีการคิดบัญชี และมีการจดบันทึก) ทุกๆ คำ�พูด ทุกๆ การกระทำ� ทุกๆ การ ปฏิบัติ หรือทุกสิ่งทุกอย่างที่มนุษย์ปฏิบัติ ทุกเสื้อผ้าที่เขาเลือกใส่ ทุกสิ่งที่เขากระทำ� โดยในอัลกุรอานได้กล่าวว่า

“ดังนัน้ ผูใ้ ดกระทำ�ความดีหนักเท่าละอองธุลี เขาก็จะเห็นมัน และส่วนผูใ้ ด กระทำ � ความชั่ ว หนั ก เท่ า ละอองธุ ลี เขาก็ จ ะเห็ น มั น ” (ซู เราะฮ์ อั ซ -ซั ล ซะละฮฺ โองการที่ 7-8) กล่าวคือ ใครก็ตามทีก่ ระทำ�ความดีแม้แต่อณูเดียว ก็จะได้เห็นกัน (จะต้อง เจอแน่) และความชั่วแม้แต่ อณูเดียวก็จะได้เห็น ก็จะได้เจอเช่นกัน คำ�ว่า “ซัรรอ” ในภาษาอาหรับ บ่งชีถ้ งึ สิง่ ทีเ่ ล็กทีส่ ดุ ทีม่ นุษย์มองไม่เห็น ตรงนี้ ที่ความตายมันน่ากลัว คือ บางครั้งความจริงความดี ความชั่ว แม้แต่สิ่งที่เราคิด ซึ่ง ถ้าเรามองอย่างพินิจพิเคราะห์แล้วมันคือความผิดที่เราทำ�ไปโดยไม่รู้สึกตัว และ อัลเลาะฮ์ทรงกล่าวว่า ย่อมเจอกัน บทลงโทษหรือไม่มีบทลงโทษนั้นพระองค์ไม่ได้ กล่าว..... แต่กล่าวว่า แล้วจะได้เห็นกัน การสอบสวนที่หนักหน่วงและยิ่งใหญ่ในวัน กียามัตมันเกิดขึ้นอย่างแน่นอน สำ�หรับบางคนทีโ่ ชคดีไม่ตอ้ งรอถึงวันกียามัต ในอาลัมบัรซัคนีแ้ หละ เมือ่ เข้า หลุมศพ พอหลุมถูกปิดปับ... พอคนสุดท้ายออกจากกูโบร์ บัญชีของเขาก็จะถูกเปิด ในทันที ในฮะดีษหรือริวายะฮ์ได้กล่าวว่า สำ�หรับบางคนนั้นไม่ต้องรอให้ถึง อาลัมบัรซัค เมื่ออาญัลมาถึง มาลิกุลเมาต์มายืนตรงหน้า นั่นก็คือการลงโทษแล้ว

28


พี่น้อง !!!! มีรวิ ายัตกล่าวว่าการเอาชีวติ ของมนุษย์บางคนนัน้ เหมือนกับการเอากรรไกร มาตัดเนื้อออกทีละชิ้นๆ ให้เป็นชิ้นเล็กๆ !!! กล่าวคือถ้าตัดให้มนั ขาด ตัดคอให้ขาด ตัดขาให้ขาด มันก็ดสู บายไป แต่การ ที่เอากรรไกรมาเล็มเนื้อของมนุษย์ ค่อยๆ เล็มนั่นคือเป็นการปลิดวิญญาณของคน บางคนเท่านั้น ลองคิดดูซิ ถ้ามาลิกุลเมาต์ (ทูตผู้ปลิดวิญญาณ) มาถึง ก็ฟันคอให้ ขาดทันที เราว่าน่าจะจบและสบายกว่า แต่ในความเป็นจริงแล้วหาใช่เช่นนั้นไม่ การเอาชีวติ ของมาลิกลุ เมาต์ส�ำ หรับคนบางนัน้ คือเหมือนกับเฉือนเนือ้ ไก่ให้ เป็นชิ้นเล็กๆทีละนิดๆ ลองคิดดูว่ามันจะเจ็บปวดสักขนาดไหน แต่การเอาชีวิต สำ�หรับคนบางคนก็มี ริวายะฮ์ ที่แตกต่างกัน ซึง่ จริงๆ แล้วทัง้ หมดนีเ้ ป็นเพียงแค่การอุปมาอุปไมยทีศ่ าสนาต้องการ อธิบายว่า คนส่วนหนึ่งคนกลุ่มหนึ่งจากโลกไปอย่างสุขสบายโดยไม่รู้ตัว ส่วนอีกกลุ่ม หนึ่งจากโลกนี้ไปด้วยความทุกข์ทรมาน ฮะดีษบอกว่าเหมือนกับเอาดอกไม้มายื่น มอบให้ โดยที่เขายังไม่รู้สึกตัวว่าอะไรเป็นอะไร กำ�ลังเบลอๆอยู่ เขาเรียกว่า “ซักกะ รอตุ้ลเมาต์” มนุษย์จะมีช่วงหนึ่งที่วิญญาณมนุษย์จะมีความเบลอๆ ซึ่งระหว่างนั้น เขาจะเห็นคนหนึ่งเอาดอกไม้มาให้เขา ให้เขาได้ดมดอกไม้อันหอมหวนและเมื่อเขา สูดดมดอกไม้นั้นแล้ววิญญาณของเขาก็ค่อยๆออกจากร่าง และมารู้สึกอีกครั้งหนึ่ง ก็ต่อเมื่อได้อยู่อีกสถานที่หนึ่งแล้ว พร้อมอุทานว่า โอ้ตายแล้วหรือ? ตกใจ!! แต่ สำ�หรับบางคนไม่ต้องรออาลัมบัรซัค บัญชีจะถูกคิดตรงนี้เลย บัญชีถูกคิด นั่น หมายความว่าโดนตั้งแต่โลกนี้เลย โดนตั้งแต่วันที่ลากให้ลงในหลุมศพ ท่านนบีบอกว่า อาลัมบัรซัคนัน้ ครึง่ หนึง่ ของมันคือนรกและอีกครึง่ หนึง่ ของ มันคือสวรรค์ กล่าวคือจะถูกลงโทษทุกอย่างทุกเรื่อง ถ้าไม่นมาซก็จะถูกทุบตี ทุก ครั้งที่ถึงเวลานมาซ สมมุติเราเป็นคนไม่นมาซศุบฮฺ พอถึงเวลาศุบฮฺ มาลาอิกัตก็จะ เข้ามาตีช่วงเวลาศุบฮฺ จนหมดเวลานมาซศุบฮฺ ก็อาจจะให้เราพักบ้าง..... การลงโทษ นั้นมันมีมากมายหลายรูปแบบซึ่งไม่สามารถจะสรุปได้ เมื่อคนที่ไม่ทำ�นมาซซุฮรีย์

29


อัศรีย์ ก็ถึงเวลาอะซานซุฮรีย์ อัศรีย์ ตอนที่กำ�ลังนอนอยู่ในหลุมฝังศพ รอวันกียามัต รอวันตัดสินครั้งใหญ่นั้น มาลาอิกัตก็จะมาทุบตีเขา ทุบแบบไหน???? ตีแบบ ไหน???? แทงแบบไหน????เลือดออกมามากมายขนาดไหน???? คนที่ไม่นมาซ มัฆริบอีชาอฺ เมื่อถึงเวลาอะซานมัฆริบดังขึ้น มาลาอิกัตก็จะเข้ามาตีเขาตั้งแต่นมาซ มัฆริบจนหมดเวลาอิชาอฺ นี่เป็นเพียงแค่การคิดบัญชีในเรื่องนมาซเท่านั้น อย่าคิดว่า พอหมดเวลานมาซแล้ว ก็หมดเวลาการถูกลงโทษ ซึ่งมันไม่ใช่อย่างที่คิด พอเรื่อง นมาซจบ..... พอผ่านไปสักพัก... มาลาอิกัตชุดอื่นก็มาอีก บัญชีอื่นๆ ของเราก็จะถูก คิดตามมาที่ละเรื่องๆ บัญชีไม่ถือศีลอด บัญชีไม่คลุมฮิญาบ และอื่นๆ อีกมากมาย ก่ายกอง มีอุลามาอฺท่านหนึ่งในระดับสูงบอกว่า “ถ้าให้ฉันพูดถึงวันกียามัตแล้ว แน่นอนมนุษย์นั้นจะไม่ต้องทำ�อะไรเลย จะอยู่แต่บนเสื่อนมาซอย่างเดียว ฉันก็เลย ไม่อยากพูดในประเด็นนี้ เดี๋ยวฉันอาจจะอดข้าวไปด้วย” อุลามาอฺทา่ นหนึง่ บอกว่าถ้าจะให้พดู ถึงวันกียามัต มนุษย์จะไม่กล้าทำ�อะไร อีกเลย เพราะอัลเลาะฮ์ (ซบ.) ทรงเอาจริงกับเรื่องเหล่านี้ ถึงขั้น (มาฟิซซุดูด) หาก มนุษย์ยังมิได้กระทำ� แม้เพียงการคิดเท่านั้น ก็จะต้องถูกคิดบัญชี ไม่ได้บอกว่าจะ ถูกลงโทษ แต่บอกว่าจะต้องถูกคิดบัญชี เพราะฮิซาบและกิตาบของมนุษย์รุนแรง หนักหน่วง และการลงโทษนั้นเจ็บปวดเป็นอย่างมาก พีน่ อ้ ง!!! เรากำ�ลังสรุปและจะเข้าเนือ้ หาว่ามันรุนแรง มันเจ็บปวดมากขนาด ไหน แต่ความเมตตาของพระองค์นั้นทรงยิ่งใหญ่เหลือล้น โดยให้โอกาสกับมนุษย์ ทุกๆ คนมี “บาบุ้ลเตาบะฮ์” ประตูการขออภัยโทษ ซึ่งการเตาบะฮ์บางครั้งของ มนุษย์นั้นจะมีความแตกต่างกัน บางคนได้ทำ�ชั่วมาสามสิบกว่าปี หลังจากครบ สามสิบปีเกิดความสำ�นึกขึ้นมา (อัซตัฆ ฟิรุลลอฮฺ ฮะร็อบบี วะอะตูบูอิลัย) เราพลาด มาเป็นเวลาสามสิบปีแล้ว โอ้พระองค์...... เราจะไม่ขอกลับไปทำ�สิ่งเหล่านี้อีก..... ยา อัลเลาะฮ์ .... โปรดอภัยให้กับเราด้วยเถิด สามสิบปีนั้นเป็นศูนย์ ถ้าไม่กลับไป ทำ�ความผิดอีกพี่น้อง!!!!! นี่คือความเมตตาอันหนึ่งของอัลเลาะฮ์​์ (ซบ.)

30


มนุษย์คือประติมากรรมชิ้นเอกของอัลลอฮ์(ซบ.)

เราคือประติมากรรมของอัลเลาะฮ์ (ซบ.) พีน่ อ้ งเข้าใจไหม? ถ้าพีน่ อ้ งเป็นนัก ศิลปะ ถ้าพี่น้องปั้นรูปเหมือนคนจริงๆ เหมือนทุกอย่างเลย แต่มันเคลื่อนไหวไม่ได้ เท่านั้น แต่ใครๆมาก็บอกว่าปั้นได้อย่างไร ประติมากรรมอันนี้มันยิ่งใหญ่ หากถาม ว่าเราจะรักรูปปั้นอันนี้มากสักขนาดไหน เราในฐานะนักปั้นมัน จะรักรูปปั้นอันนี้มาก สักขนาดไหน เป็นประติมากรรมที่ยิ่งใหญ่ เราลองดู ภาพโมนาลิซ่าไม่เห็นมีชีวิต ชีวาอะไรสักเท่าไรหรอก แต่มันมีค่าสักขนาดไหนสำ�หรับคนบางคน ดังนั้นเราคือ ประติมากรรมของอัลเลาะฮ์ (ซบ.) เราคือสิ่งถูกสร้างที่ย่ิงใหญ่ของอัลลอฮ์ (ซบ.) มนุษย์คือสิ่งถูกสร้างยิ่งใหญ่ของพระองค์ นีค่ อื อีกมุมหนึง่ ..... มุมแห่งความเมตตา แห่งความยิง่ ใหญ่ของมนุษย์ สิง่ ที่ อั ล ลอฮ์ ( ซบ.)รั ก ที่ สุ ด คื อ มนุ ษ ย์ ดั ง นั้ น เท่ า ที่ เ ป็ น ไปได้ พ ระองค์ จ ะไม่ ทำ � ลาย ประติมากรรมอันนี้ ถึงแม้นว่า มนุษย์จะดื้อดึง มนุษย์จะเกเร มนุษย์จะมีความด่าง พร้อย มีอะไรต่อมิอะไรก็ตามที แต่ทว่าพระองค์อัลลอฮ์ (ซบ.) ก็จะทรงเปิดช่องทาง เพื่อจะให้ประติมากรรมของพระองค์เหล่านี้รอดพ้นจากไฟนรกเพราะสถานะของ ประติมากรรมเหล่านี้ไม่ใช่ที่สิ่งที่ถูกสร้างมาให้อยู่ในนรก แต่ มันเป็นมัคลูกที่ถูก สร้างขึ้นมาอย่างเลอเลิศและประเสริฐที่สุด ดั่งที่ อัลกุรอานกล่าวว่า

“โดยแน่นอนเราได้บงั เกิดมนุษย์มาในรูปแบบทีส่ วยงามยิง่ ” (ซูเราะฮ์ อัตตีน โองการที่ 4) อัลลอฮ์ (ซบ.) ทรงสร้างมนุษย์ขนึ้ มาในรูปแบบทีป่ ระเสริฐทีส่ ดุ ไม่มสี งิ่ ถูก สร้างสิ่งใดๆ อีกแล้วที่จะประเสริฐไปกว่าความเป็นมนุษย์ แน่นอนสิ่งที่พระองค์ สร้างมานั้นมันมีสรรพสิ่งอื่นๆ อีกมากมาย แต่ทว่าพระองค์บอกว่าอันนี้คือสิ่งที่ ประเสริฐที่สุด นี่คือผลงานที่ดีที่สุดของฉัน ถ้าไม่จำ�เป็นพระองค์ก็จะไม่ทำ�ลาย นั่น

31


เป็นประตูแห่งความเมตตาต่างๆ ที่เปิดขึ้นมาอย่างมากมาย ดังนั้นสำ�หรับมนุษย์ทุก คนในเบื้องต้นนั้น เมื่อยังมีชีวิตในโลกนี้ ก็จงเตาบะฮฺเสีย กลับตัวกลับใจเสีย ใน ความผิดบาปทุกสิ่งทุกอย่างที่เราฝ่าฝืนคำ�สั่งอัลลอฮ์ (ซบ.) พีน่ อ้ งต้องทำ�ความเข้าใจนิดหนึง่ ว่า ศาสนานีไ้ ม่ใช่ศาสนาทีเ่ ป็นเรือ่ งแค่ ประเพณี พิธีกรรม และไม่ใช่ศาสนาเฉพาะในเรื่องนมาซในสุเหร่า ถือบวช ซึ่งเมื่อ ปฏิบัติภารกิจเสร็จแล้วก็จบ แต่ศาสนานี้เป็นศาสนาแห่งวิถีชีวิต ทุกย่างก้าวในชีวิต ของมนุษย์มีกฎมีระเบียบ มีกฎเกณฑ์ ซึ่งกฎระเบียบอันนี้นั้น อัลลอฮ์ (ซบ.) เป็นผู้ วางและกำ�หนด และมีท่านนบีมุฮัมมัด (ศ.) เป็นผู้แสดงแบบ มีกฎ มีระเบียบ มีวิถี ชีวิต มีระบอบเศรษฐกิจ มีกฎระเบียบในการทำ�สงคราม จะทำ�การค้าก็มีกฎว่าด้วย การค้า อัลลอฮ์ (ซบ.) ประสงค์ให้เข้าใจศาสนานี้ เมื่อพี่น้องเดินไปในตลาด สมมุติ ให้ทำ�ความเข้าใจแบบง่ายๆ ถ้าพี่น้องเดินเข้าไปในตลาดหรือพี่น้องกำ�ลังจะไป ทำ�การค้าขาย สมมุติเมื่อนึกถึงศาสนานี้หนึ่งในความวิบัติของมนุษย์ คือ พระองค์ ทรงกล่าวว่า

“ความวิบตั จิ งมีแด่ผทู้ โี่ กงตาชัง่ ” (ซูเราะฮ์อลั มุเฏาะฮ์ฟฟี นี โองการที่ 1) แปลง่ายๆ คือศาสนานีม้ คี �ำ สัง่ ให้เข้าไปในตลาด (วัยลุลลิล มุเฏาะฮ์ฟฟิ นี ) แต่ ไม่ใช่ศาสนาอยู่สุเหร่า...อยู่วัด... อยู่ในกุฏิเท่านั้น ศาสนานี้เกี่ยวข้องกับวิถีชีวิตของ มนุษย์ทั้งหมด เมือ่ อยูใ่ นตลาดสำ�หรับพ่อค้าทีโ่ กงตาชัง่ พระองค์กท็ รงกล่าวว่า พวกเขาอยู่ ในนรก กุรอานมีบทบัญญัติครบสูตร ที่เกี่ยวกับการค้า เกี่ยวกับการขาย เกี่ยวกับ การชั่ง เกี่ยวกับการตวง

32


“คือบรรดาผูท้ เี่ มือ่ พวกเขาตวงเอาจากคนอืน่ ก็ตวงเอาเต็ม และเมือ่ พวกเขา ตวงหรือชั่งให้คนอื่นก็ทำ�ให้ขาด” นอกจากนั้น ศาสนานี้ก็มีคำ�สั่งในเรื่องการเดินบนถนน

“และจงกล่าวเถิดมุฮมั มัดแก่บรรดามุอม์ นิ ะฮ์ให้พวกเธอลดสายตาของพวก เธอลงต่ำ�” (ซูเราะฮ์ อัล นูร โองการที่ 31) กล่าวคือ เมือ่ ผูห้ ญิงเดินบนถนน จงกล่าวกับหญิงผูศ้ รัทธาว่า ให้นางลด สายตาของนางให้ต่ำ�ลง แม้แต่เดินบนถนนก็มีคำ�สั่ง เมื่อผู้หญิงกับผู้ชายต้องปะปน ต้องสวนทางกัน ก็มีคำ�สั่งอีกเช่นกันว่า สายตาสมควรอยู่อย่างไร สายตาสมควรอยู่ ลักษณะไหน และไม่ใช่บอกเพียงเท่านี้ แต่ใน (ซูเราะฮฺอัลอะซาบ) ยังบอกด้วยว่า ยุค หนึ่งสมัยหนึ่งแฟชั่นสมัยนั้นผู้หญิงจะใส่กำ�ไลเท้าเหมือนกับแมวสมัยนี้สมมุติ และ สมัยโน้น แฟชั่นของสมัยโน้น พอเดินแล้วกรุ๊งกริ๊งๆ ผู้ชายก็จะรู้เลยว่าผู้หญิงกำ�ลัง มา อัลลอฮ์ (ซบ.) จึงทรงตรัสว่า จงอย่าให้เสียงจากการเดินเท้าของเจ้าดังขึ้น นี่ กำ�ลังอธิบายให้เห็นว่าศาสนานี้มันเกี่ยวข้องกับทุกย่างก้าวในวิถีชีวิตของมนุษย์ ศาสนานี้ถูกส่งลงมาแบบนี้ แม้แต่ผู้หญิง(กุลลิล มุมินีน) จงกล่าวกับหญิงผู้ศรัทธา จง ปกปิ ด หน้ า อกของนาง กุ ร อานก้ า วก่ า ย(อธิ บ ายการวางตั ว ของสตรี ) แม้ แ ต่ เรื่ อ ง หน้าอกของผู้หญิง อัลกุรอานกล่าวว่า

“และให้พวกเธอรักษาพรหมจรรย์ของพวกเธอ และอย่าเปิดเผยเครื่อง

33


ประดับของพวกเธอ เว้นแต่สิ่งที่พึงเปิดเผยได้ และให้เธอปิดด้วยผ้าคลุมศีรษะของ เธอลงมาถึงหน้าอกของเธอ และอย่าให้เธอเปิดเผยเครื่องประดับของพวกเธอ เว้น แต่แก่สามีของพวกเธอ” หมายความว่า จงอย่าเผยโฉม จงอย่าโชว์สดั ส่วน ซึง่ อัลกุรอานพูดอย่าง ละเอียดมาก ไม่ใช่ว่ามีคำ�สั่งแค่ลดสายตาเพียงอย่างเดียว แต่ทั้งหมดนั้นก็เพื่อ ป้องกันและระมัดระวัง เรื่องชู้สาวที่จะตามมา คือเมื่อมีโอกาสเราจะต้องสร้างวิถี ชีวิตของเราและสังคมของพวกเรา ให้ดำ�เนินไปตามวิถีชีวิตของอัลกุรอาน และเมื่อ นั้นสังคมของมุสลิมก็จะเป็นสังคมที่บริสุทธิ์ จะเป็นสังคมตัวอย่างและเป็น สังคม แบบอย่างสำ�หรับมนุษยชาติ สำ�หรับมนุษย์โลกทั้งปวง อัลเลาะฮ์(ซบ.)ส่งสิ่งดีที่สุดให้กับมนุษย์ แล้วกล่าวว่า

“พวกเจ้านั้น เป็นประชาชาติที่ดียิ่งซึ่งถูกให้อุบัติขึ้นสำ�หรับมนุษย์ชาติ” (ซูเราะฮ์อาลิอิมรอน โองการที่ 110) พวกเจ้านีแ่ หละ คือประชาชาติทปี่ ระเสริฐทีส่ ดุ ทีจ่ ะปรากฏต่อมนุษยชาติ ซึง่ ความประเสริฐอันนี้ ฉันได้วางระเบียบแบบแผนที่ประเสริฐสุดสำ�หรับพวกเจ้าไว้ให้ แล้ว เมื่อจะดื่มกินและรับประทานอาหาร ก็มีบทบัญญัติว่าด้วยการดื่มกิน ศาสนานี้ ไม่ได้ห้ามให้กินเหล้าเพียงอย่างเดียว ห้ามร่วมวงเหล้า.... ห้ามยกเหล้า.... ห้ามขาย เหล้า.... ห้ามซื้อเหล้า.... ห้ามรินเหล้าให้ นั่นหมายถึงทุกสิ่งทุกอย่างที่เกี่ยวพันกับ เรื่องเหล้า ซึ่งอัลฮัมดุลิลละฮ ในยุคสมัยนี้เป็นเครื่องพิสูจน์ เป็นที่สรรเสริญเยินยอ สำ�หรับคนต่างศาสนิกว่า มุสลิมยึดปฏิบัติจริงๆ มีแต่ร้านมุสลิมเท่านั้นที่บอกว่าห้าม นำ�สุรามาดื่ม ซึ่งตรงนี้บ่งชี้ว่าการยืนหยัดในอุดมการณ์เหล่านี้นั้นเป็นหน้าที่สำ�หรับ พี่น้องมุสลิมทุกคน

34


เตาบะห์คือประตูแห่งความเมตตาของพระองค์

มนุษย์ไม่ได้ถกู สร้างมาในรูปแบบปล่อยทาส คือไม่ได้สนใจใยดีใดๆ แต่ทว่า เมื่อมนุษย์คืนกลับยังพระองค์แล้ว จะต้องตอบทุกคำ�ถามว่า ทำ�ไมฝืนคำ�สั่งของฉัน เมื่อจบประเด็นนี้ ก็จะทรงถามว่า ทำ�ไมคิดอย่างนี้???? ตรงนี้ทำ�ไมคิดอย่าง นั้น???? แม้แต่การคิด แม้แต่การมองการเห็นและสิ่งที่มีอยู่ในใจ ฉันจะถามทั้งหมด โอกาสที่มนุษย์จะรอดพ้นจากการลงโทษมันไม่ใช่ง่าย พี่น้อง ! ดังนัน้ อัลเลาะฮ์ (ซบ.) จึงเปิดประตูแห่งความเมตตา ประตูแห่งการเตาบะฮ์ ประตูแห่งการอิสติฆฟาร ประตูแห่งการขออภัยโทษ อาจจะมีบางคนตั้งใจจะเป็นคน ดีหรือกำ�ลังเป็นคนดีอยู่ แต่ยังมีความผิดพลาด เกิดรถชนไม่ทันที่จะได้เตาบะฮ์ ไม่ทันได้กลับตัว หรือเป็นลมเป็นอะไรก็แล้วแต่ หรือ เกิดอุบัติเหตุเพราะมนุษย์ไม่มี ใครรู้ว่าจะตายวันไหน ตายเมื่อไร ประตูแห่งเราะฮฺมัตก็ยังไม่ได้ปิดทั้งหมดพี่น้อง!!!! ตรงไหนที่บอกว่าประตูเราะห์มัตยังเปิดเสมอและไม่ถูกปิด???? กรณี ตัวอย่างเช่น การนมาซญะนาซะฮ์ ถ้าเราดูความหมายของมัน คือการขออภัยโทษ ให้กับคนตาย ซึ่งในความเป็นจริงแล้ว นมาซญะนาซะฮ์ ที่เรียกว่านมาซ จริงๆ แล้ว มันไม่ใช่การนมาซ แต่มันเป็นการขอดุอาอ์ เพราะมันไม่มีรูกูอฺ (การโค้ง) ไม่มี ซูญูด เป็นเพียงแค่ดุอาอ์ แต่เรียกว่านมาซญะนาซะฮ์ เพราะนมาซญะนาซะฮ์ แปล ว่า คนเป็น (คนที่มีชีวิตอยู่) มาขอพรจากอัลเลาะฮ์ (ซบ.) ให้ทรงอภัยโทษให้กับคน ตาย และไม่ใช่ว่าเป็นสิ่งที่มนุษย์กำ�หนดขึ้นเอง มันเป็นกฎข้อบังคับที่เป็นวาญิบที่ อัลเลาะฮ์ (ซบ.) ทรงกำ�หนดขึ้นมา ส่วนผลบุญจะได้หรือไม่ได้ ถึงหรือไม่ถึงไม่ใช่เรื่อง ของเรา!!!!! แต่มันเป็นคำ�สั่งที่อัลเลาะฮ์ (ซบ.) ใช้ให้เราทำ� บัญชีของมนุษย์มนั จะมีความแตกต่างกัน บางคนอาจจะได้รบั ผลบุญ หรือ บางคนผลบุญอาจไม่ถึง แต่ว่ามนุษย์ไม่มีสิทธิ์ไปบอกว่า ไหน ใครที่นมาซสมบูรณ์ แล้ว อัลลอฮ์(ซบ.) ยอมรับแล้ว ไหนลองยกมาสักคนหนึ่ง ที่นั่งตรงนี้คนไหน หรือมี ใครกล้ายกมือบ้าง นมาซสมบูรณ์แล้ว และก็อัลเลาะฮ์ยอมรับแล้ว ดังนั้นเมื่อไม่รู้ ว่าอัลลอฮ์ (ซบ.) ทรงรับหรือไม่ แล้วทำ�ไมถึงได้ปฏิบัติล่ะ?? เราต้องทำ�ตามหน้าที่

35


แม้แต่คนที่บอกถึงไม่ถึง ถามว่านมาซที่คุณทำ�ไปนั้นมันถึงหรือเปล่า ถ้าแค่เราสังเกต นิดหนึ่งว่า ถ้าพี่น้องจะตอบพวกที่ต่อต้านการทำ�บุญ ตอบแบบง่ายๆ นั่นคือ การน มาซญะนาซะฮ์จริงๆ แล้วคือการขอให้อัลลอฮ์ (ซบ.) ทรงอภัยโทษให้แก่ผู้ตาย และ มันเป็นฟัรฎูกิฟาญะฮ์ (คือเบื้องต้นเป็นหน้าที่ของทุกคนในหมู่บ้านนั้นที่ทราบข่าว ต้องมาร่วมนมาซ ถ้าไม่มีใครมาทำ�สักคนหนึ่งถือว่าบาปทั้งหมด แต่ถ้ามีคนมาทำ� ส่วนที่เหลือก็ถือว่าไม่เป็นวาญิบแล้วสำ�หรับเขา) แสดงว่าอัลลอฮ์ (ซบ.) ให้คนกลุ่ม หนึ่งมาขออภัยโทษให้กับคนตาย ตรงนี้มันค้านกันไหมกับที่เขาบอกว่าตายไปแล้ว ตัดขาดไม่มีอะไรผูกพันอีก ค้านกันไหม มันค้านกันอยู่แล้ว พี่น้อง!!!!! เรามาทำ�ความเข้าใจในเบือ้ งต้นก่อนว่า มันค้าน แสดงว่าคนตายกับคนเป็น ไม่ได้ขาดจากกัน หลังจากนั้นเรามีตัลกีน สอนจริงๆจะพิสูจน์หลายสิ่งหลายอย่าง ในฮะดีษบทหนึ่งในหนังสือของติรมีซีย์ ที่ท่านนบี(ศ.)บอกว่า จงสอนคนตายของเจ้า แต่พวกบิดเบือนพยายามจะบิดเบือนว่า จงสอนคนใกล้ตาย

การสอน “ตัลกีน” เพื่อย้ำ�เตือนมนุษย์

ทำ�ไมต้องสอนตัลกีนให้กบั คนตาย? เพราะเขากำ�ลังจะย้ายสถานทีใ่ หม่ หรือประตูใหม่ที่จะเข้าไปนั้นจะต้องตอบคำ�ถามให้ได้ คือถ้าตอบผิดประตูนี้ จะต้อง ไปอีกประตูหนึ่ง ซึ่งมีประตูเจ็บกับประตูไม่เจ็บ ซึ่งการย้ายโลกการย้าย อลัม (ภพ) นั้น จะต้องย้ายพร้อมกับการตอบ เหตุผลที่เราฟังกันมา ว่า เมื่อมาลิกุนเมาต์ ถาม ว่า (มา ร็อบบุกา) ใครคือพระผู้อภิบาลของเจ้า???? แต่ถ้าไม่สามารถตอบได้ พระผู้ อภิบาลตรัสว่า คนนี้ต้องถูกส่งไปประตูโน้น..... ประตูที่ มีไฟ... มีงู... มีแมลงป่อง..... มีอะไรต่างๆนาๆที่รออยู่ และใครที่ตอบว่า ( อัลลอฮุร็อบบี) พระองค์คือพระผู้ อภิบาลของฉัน ก็จะถูกถามต่อไปอีกว่า (มันนะบียุก่า) ใครคือนบีของเจ้า? ใครคือ กิตาบของเจ้า? ใครคืออิมามของเจ้า???? ซึ่งสิ่งนี้มันมีอยู่ในตัลกีนที่สอนให้กับคน ตาย เพื่อให้เขาพร้อมที่จะตอบ โดยในความเป็นจริงแล้วมนุษย์ไม่ได้ตาย เพียงแต่

36


ว่าเราสื่อเขา เขาได้ยินเรา.... เราพูดเขาได้ยิน แต่เขาพูดเราไม่ได้ยินเท่านั้นเอง!!!!!!

การทำ�บุญอุทิศส่วนกุศลเป็นภาระหน้าที่ของเรา

ในศาสนานี้ ได้มกี ารวางกลไกอย่างมากมายให้กบั มนุษย์ จริงๆ แล้วมันมี รายละเอียดอย่างมากมาย บางคนครึ่งๆ กลางๆ คนดี ถ้าคนดี ต้องรอผลบุญจาก โลกนี้ที่ส่งไป คนชั่วสุดๆ ไม่ต้องรอ ใครทำ�อะไรให้ก็ไม่ถึง อันนั้นแน่นอน แต่เราไม่มี สิทธิ์ที่จะบอกว่าคนนี้ชั่วสุดๆ คนนี้คนดีสุดๆ เมื่อมีคนตายจะชั่วหรือจะดี เรามีหน้า ที่ในการส่งความเมตตาให้กับพวกเขาเท่านั้น ไม่ว่าจะอย่างไรก็แล้วแต่ แต่มีกรณี ยกเว้นว่า เมื่อเป็นมุนาฟิกถึงขั้นทำ�ลายศาสนา ซึ่งศาสนาเองก็ไม่อนุญาต...... อัลลอฮ์ (ซบ.) ก็ไม่อนุญาตให้ท่านนบี (ศ.) ยืนอยู่บนหลุมศพของพวกมุนาฟิก ... อย่าไปยืน.... อย่าไปขอพรให้พวกมันเป็นอันขาด!!!!! แต่ถา้ มุสลิมทัว่ ไปมีความผิดพลาด เป็นหน้าทีข่ องเราทีจ่ ะต้องปลดเปลือ้ งให้ กับเขา บางคนโชคดี มีริวายัต บอกว่าบางคนโชคดีได้พ้นโทษด้วยกับการ “ดุอาอฺ” ด้วยกับความดีของคนที่ยังมีชีวิตอยู่ ด้วยกับผลบุญที่เขาทำ�และฮาดียะฮ์ให้กับคน ตาย ซึ่งรูปแบบต่างๆเหล่านี้นั้นมันมีมากมายหลายประเภท เช่น การฮาดียะฮ์ การ ทำ�บุญให้กับคนตาย การอ่านกุรอาน การบริจาคให้ “ฟะกีร มิสกีน” คนยากคนจน โดยตั้งเจตนา เนียตผลบุญอุทิศส่วนกุศลให้กับคนตาย การเลี้ยงอาหาร ก็คือการ ทำ�ความดีชนิดหนึ่งที่ให้กับคนตายนั่นเอง มีวนั หนึง่ ท่านนบีมฮุ มั มัด (ศ.) เดินผ่านกูโบร์แห่งหนึง่ ซึง่ ท่านเดินไปกับ บรรดาศอฮาบะฮ์จำ�นวนหนึ่ง นบี (ศ.) เดินผ่านไปอย่างรวดเร็วเป็นอย่างมาก ศอฮาบะฮ์ก็วิ่งตามไม่ทัน พอนบี (ศ.) เดินผ่านมาอีกครั้งหนึ่ง ท่านนบี (ศ.) เดินผ่าน อย่างสงบเยือกเย็นเป็นอย่างมาก จึงทำ�ให้ศอฮาบะฮฺดงั กล่าวเอ่ยถามว่า ยารอซุลลุ เลาะฮ์ ทำ�ไมการผ่านของ ท่านสองรอบจึงไม่เหมือนกัน? ช่วงเวลาแรกที่ท่านเดินผ่าน ท่านถึงเดินอย่างรวดเร็ว

37


แล้วช่วงกลับท่านได้เดินอย่างสงบเยือกเย็น? ท่านนบี (ศ.) บอกว่า ตอนทีฉ่ นั เดินผ่านมานัน้ ชายคนหนึง่ กำ�ลังถูกลงโทษใน หลุมฝังศพ ฉันกลัว ฉันก็กลัวกับการได้ยินการลงโทษ เสียงมันน่ากลัวอย่างมาก เสียงกรีดร้องมันทุกข์ทรมาน ฉันก็ต้องรีบเดินผ่านไปอย่างรวดเร็ว แต่เมื่อฉันเดิน กลับมา กลับพบว่าเขาได้รับความสงบสุขเล็กน้อย” ศอฮาบะฮ์ก็ถามว่า”ยารอซุลุลเลาะฮ์ ทำ�ไมเป็นอย่างนี้? ท่านนบี (ศ.) บอกว่า พอดีตอนนี้ ตอนทีเ่ ขาได้รบั ความสงบสุขนัน้ ลูกๆ ของ เขากำ�ลังเรียนอัลกุรอานอยู่ ลูกๆ ของเขาที่อยู่ในโลกนี้กำ�ลังเรียนอัลกุรอานอยู่ อัลลอฮ์ (ซบ.) ก็เลยให้อานิสงส์ ของการอ่านอัลกุรอานของลูกๆ ของเขา ไปถึงเขา ถึงแม้ว่าเขาจะมีความผิดที่จะต้องถูกลงโทษก็ตามที แต่ในช่วงที่ลูกๆ กำ�ลังเรียน อัลกุรอาน กำ�ลังอ่านอัลกุรอานนั้น อัลเลาะฮ์ (ซบ.) ทรงให้อภัยโทษกับเขาชั่วคราว ซึง่ ฮะดีษในรูปลักษณะนี้ มีอย่างมากมายหลายรูปแบบ ทัง้ ทีว่ า่ ด้วย การอ่าน กุรอานและการทำ�บุญให้กับผู้ตาย แต่สิ่งที่ดีที่สุดคือความดีที่ลูกๆ ทำ�ไว้นั้นคือสิ่งที่ดี ที่สุดสำ�หรับเขา ทุกคนล้วนมีสิทธิ์ที่จะทำ�และอุทิศผลบุญให้กับคนตาย ข้อพิสูจน์ที่ดี ที่สุดในเรื่องนี้คือการนมาซญะนาซะฮ์ นี่แหละพี่น้อง!!!!!

ทำ�บุญ 40 วัน เป็นบิดอะห์จริงหรือ????

นอกจากนัน้ ก็มเี รือ่ งมากมายหลายรูปแบบ บางคนอาจจะไม่ถกู ลงโทษเลย อัลเลาะฮ์ (ซบ.) ทรงประวิงเวลา คือให้โอกาส 40 วัน ดูว่าในช่วง 40 วันนี้จะมีใคร มาช่วยเขา ในความจริงแล้วนั้น ที่มาของการทำ�บุญ 40 วัน ท่านนบี (ศ.) เป็นผู้สั่ง ให้ทำ�บุญ 40 วันเอง และตัวเลข 40 นั้นเป็นตัวเลขที่สำ�คัญตัวเลขหนึ่งในอิสลาม สำ�คัญเป็นอย่างมาก มีฮะดีษต่างๆ มากมากมายเกี่ยวข้องกับตัวเลข 40 เพราะบาง คนยังมีโอกาสที่จะได้รับการอภัยโทษ โดยดูไปที่ความดีของคนที่อยู่ในโลกนี้ที่จะส่ง มาให้กับเขา

38


ความดีทลี่ กู หลานทำ�ให้ สมมุตคิ อื อ่านอัลกุรอานทุกวันให้ครบ 40 วัน เพือ่ ให้ อั ล กุ ร อานนี้ เ ป็ น ตั ว ช่ ว ยในการปลดเปลื้ อ งการลงโทษของผู้ ที่ ไ ด้ จ ากโลกนี้ ไ ป สำ�หรับคนที่ว่าเป็นคนดีในมุมมองของเรานั้น ล้วนแล้วต้องการตัวช่วยทั้งนั้น ไม่มี มนุษย์คนหนึ่งคนใดในโลกนี้ที่จากโลกนี้ไปแล้วก็จะได้เข้าสวรรค์แน่นอน ซึ่งจะมี เพียงน้อยนิดเป็นอย่างมาก จะดีสักขนาดไหนก็ จะต้องมีตัวช่วยจากโลกนี้ เพราะเรา ไม่มีสิทธิ์ที่จะบอกว่าคนนี้เป็นคนดีแล้ว ตายไปแล้ว ไม่ต้องทำ�อะไรอีก คนดีทไี่ ด้ตายไปหรือคนไม่ดที ไี่ ด้ตายไปนัน้ เราก็จะต้องช่วยกันทำ�บุญ ช่วย กันอุทิศส่วนกุศลให้กับพวกเขา เพราะสิ่งนี้เรียกว่าเป็นอีกหนึ่งใน “บาบุรเราะมะฮ์” ประตูแห่งความเมตตาของอัลเลาะฮ์(ซบ.) คนจำ�นวนมากหลุดพ้นจากการลงโทษ จากบุญเหล่านี้ และหลักฐานมีชดั แจ้งแม้แต่พวกทีต่ อ่ ต้านสิง่ เหล่านีก้ ร็ ายงาน เช่น เมือ่ ท่าน ซัยยิดินาฮัมซะฮ์ ซึ่งเป็นชะฮีดในสงครามอุฮุด ในความเป็นจริงแล้วชะฮีดต้องขึ้น สวรรค์เลยใช่ไหม? แต่ทำ�ไมท่านนบีถึงนมาซให้กับท่านลุงฮัมซะฮ์ ถึง 70 ครั้ง? นมาซแล้วนมาซอีก ซึ่งแน่นอนมันไม่ใช่นมาซญะนาซะฮ์ เพราะมีหลักฐานเป็น เอกฉันท์ที่ทุกคนรายงานเหมือนกันหมด นมาซแล้วนมาซอีกๆ ถึง 70 ครัง้ เพือ่ อะไรพีน่ อ้ ง?? เพือ่ จะเพิม่ พูนความดี ให้กับท่านซัยยิดีนาฮัมซะฮ์ ดังนั้นคนดีก็ต้องเพิ่มความดีให้กับเขา แล้วก็มันเป็น เครื่องพิสูจน์ว่าคนตายกับคนเป็นนั้นมันไม่ได้ถูกตัดขาดอย่างสิ้นเชิง โดยท่านนบี (ศ.) พิสูจน์ให้เห็นในสิ่งนี้ ซึ่งแสดงว่าการนมาซของเราก็ไปถึง นี่คือรูปแบบหนึ่งใน การทำ�ความดีให้กับผู้ตาย สมมุตถิ า้ เราเป็นลูก ในยามว่างๆ ก็นมาซสองรอกะอัต ฮะดียะฮ์ให้กบั บิดา และ นมาซสองรอกะอัตฮะดียะฮ์ให้กับมารดา อ่านกุรอานหนึ่งจบฮะดียะฮ์ให้กับ บิดาและมารดา อ่านยาซีนหนึ่งจบฮะดียะฮ์ให้กับพ่อ ไม่มีเวลาอ่านฟาติฮะห์หนึ่งจบ ก็อ่าน กุลฮูวัลลอฮ์ สามครั้งฮะดียะฮ์ให้กับแม่ กล่าวคือสามารถทำ�ความดีได้ทุก ประเภทในการที่จะส่งผลบุญให้กับผู้ตาย

39


ถามว่า ทำ�ไม ? เพราะบัญชีของอัลลอฮ์ (ซบ.) นัน้ ยากลำ�บากเป็นอย่างมาก อัลเลาะฮ์ไม่ได้คิดบัญชีแบบที่พวกเราคิด ถ้าเราดำ�เนินชีวิตในโลกนี้นั้นเราคิดบัญชี แบบที่ใช้กัน คิดเอง สรุปเอง ลบเอง บวกเอง ลบเอง แต่อัลลอฮ์ (ซบ.) ทรงคิดอีก แบบหนึ่ง อัลลอฮ์ (ซบ.) คิดบัญชีทุกอย่างตรงตามความเป็นจริง เพราะฉะนั้นมี บรรดาอะลิมอุลามาอ์ หรือกัลยาณชนชั้นสูงหรือแม้แต่ท่านนบีเอง ขอดุอาอฺว่า “ยา อัลลอฮ์ อย่าลงโทษฉันตามความยุติธรรมของพระองค์เลย” “ยา อัลลอฮ์ อย่าคิด บัญชีฉันตามความยุติธรรมของพระองค์เลย” เพราะถ้าพระองค์คิดบัญชีตามความ ยุติธรรมของพระองค์แล้วไซร้ แน่นอนยิ่งไม่มีมนุษย์คนใดในโลกนี้ที่จะรอดพ้นจาก การลงโทษของพระองค์” ท่านนบี(ศ.) ทรงขอว่า “จงคิดบัญชีของพวกเราจากความเมตตาของ พระองค์” เพราะด้วยความเมตตาแล้วโอกาสที่จะอภัยโทษนั้นมันมีสูง”

“ซึง่ พระองค์จะทรงอภัยโทษแก่ผทู้ พี่ ระองค์ทรงประสงค์และจะลงโทษแก่ผทู้ ี่ พระองค์ทรงประสงค์” (ซูเราะฮ์อัลมาอีดะห์ โองการที่ 18 ) กล่าวคือ พระองค์จะอภัยให้ใครก็ตาม ตามทีพ่ ระองค์ทรงประสงค์ และจะ ลงโทษใครก็ ต ามที่ พ ระองค์ ท รงประสงค์ หมายความว่ า เป็ น การคิ ด บั ญ ชี อ ย่ า ง สมบูรณ์ อย่างละเอียด คิดอย่างละเอียด คิดอย่างสมบูรณ์ ในอัลกุรอาน กล่าวอีกว่า ในวันกิยามัต มนุษย์บางคนจะบอกว่า

“โอ้..ถ้าฉันเป็นฝุ่นดินเสียก็จะดี” (ซูเราะฮ์นะบาอฺ โองการที่ 40) กล่าวคือ ช่างอนิจจา!!! ข้าไม่นา่ เกิดเป็นคนเลย! น่าจะเกิดเป็นดินเสียมาก

40


กว่า ตอนนี้เรามีความภาคภูมิใจที่เราเกิดมาเป็นคน แต่เมื่ออัลลอฮ์ (ซบ.) ทรงคิด บัญชีกับเราแล้ว ในกุรอานบอกว่า มนุษย์กลุ่มหนึ่งบอกว่า (ยาลัยตะนา กุนตุนตูรอบา) โอ้!!!ไม่น่าเกิดเป็นคนเลย น่าจะเป็นดินเสียดีกว่า!!!!! คือไม่น่าเป็นคนเลย เพราะเกิด เป็นคนนั้นมันลำ�บากเป็นอย่างมาก ลำ�บากตอนไหน ? ลำ�บากตอนที่อัลลอฮ์ (ซบ.) ทรงคิดบัญชี บางคนบอกว่า

“โอ้ความวิบตั แิ ก่ฉนั ! หากฉันไม่คบคนนัน้ เป็นเพือ่ น” (ซูเราะฮ์ อัลฟุรกอน โองการที่ 28) กล่าวคือ โอ้!!! ไม่นา่ คบคนนัน้ เป็นเพือ่ นเลย เราเลยกลายเป็นชาวนรก สิง่ นี้ มันมีจริงในอัลกุรอาน เมื่อเห็นอัลลอฮ์ (ซบ.) ทรงคิดบัญชี บางครั้งมนุษย์เสียดาย โดยมีหลายรูปแบบในลักษณะเป็นการแก้ตัวหลายๆ รูปแบบ ข้อแก้ตัวบางคำ�ก็มี บันทึกในพระมหาคัมภีร์อัลกุรอาน ที่เขาก็จะกล่าวขึ้นว่า

“ข้าแต่พระเจ้าของข้าพระองค์ขอพระองค์ทรงให้ขา้ พระองค์กลับไปมีชวี ติ อีก ครั้งหนึ่งเถิด” กล่าวคือ ยาอัลเลาะฮ์ (ซบ.)..... ขอฉันกลับไปบนโลกดุนยาสักชัว่ ครู่ กลับไป ทำ�ไม พี่น้อง ? “เพือ่ ข้าพระองค์จะได้กระทำ�ความดีในสิง่ ทีข่ า้ พระองค์ปล่อยทิง้ ไว้” (ซูเราะฮ์ อัลมุอฺมีนูน โองการที่ 100 )

41


กล่าวคือ กลับไปเพือ่ ทำ�อามัลศอและฮ์ สักหนึง่ อย่าง ในวันนัน้ เพิง่ รูว้ า่ ถ้ามี อามัลศอและฮ์อีกสักอย่างหนึ่ง สามารถหลุดจากการลงโทษอันแสนสาหัสแต่เรา มองข้าม ภาษาอาหรับแปลว่ากลับไปทำ�อามัลศอและฮ์อกี สักหนึง่ อย่าง แล้วขอกลับไปทำ�อะไร ? ไม่ใช่กลับไปทำ�นมาซสักร้อยปี ไม่ใช่จะกลับไป บริจาค แต่ทว่าจะกลับไปทำ�อามัลศอและฮ์สักหนึ่งอย่าง บางคนบอกว่าจะกลับไป ทำ�อันนี้ รู้ว่า ถ้ามีอีกหนึ่งอามัลศอและฮ์ ก็จะรอด บางคนกลับไปทำ�อะไร ?

“พวกเราจะบริจาคทานและแน่นอนพวกเราจะได้เป็นผูอ้ ยูใ่ นหมูค่ นดี” (ซู เราะฮ์ อัตเตาบะห์ โองการที่ 75) จะกลับไปศอดาเกาะฮ์ เพิ่งรู้ว่า ถ้ามีหนึ่งศอดาเกาะฮ์ อีกหนึ่งตัวช่วย ต้องการอีกหนึ่งศอดาเกาะฮ์ เท่านั้นเองก็จะรอด แต่เพราะขาดหนึ่งศอดาเกาะฮ์จึง ไม่รอด ดังนั้นในวันนี้ ในวันที่ยังมีโอกาส จงทำ�การศอดาเกาะฮ์ จงทำ�การช่วยเหลือ สังคม จงรับผิดชอบโดยเฉพาะในหมู่บ้านของเรา ซึ่งในหมู่บ้านนี้มีปอเนาะ และเป็น สิ่งหนึ่งที่เราจะต้องดูแล ทีจ่ ริงแล้วปอเนาะเป็นสถานศึกษาศาสนา อันเป็นหน้าทีข่ องประชาชนทีจ่ ะ ต้องดูแล อันนี้แหละที่จะรักษาศาสนา ตรงนี่แหละที่จะทำ�ให้คนในสังคมจะเป็นชาว นรกหรือชาวสวรรค์ อยู่ที่ปอเนาะนี่แหละ ถ้าปอเนาะอยู่ได้ ปอเนาะสามารถผลิต บุคลากรที่มีคุณภาพ บุคคลเหล่านี้ที่จะมาเป็นอิมาม จะมาเป็นคอติบ จะมาสั่งสอน พวกเรา จะมาทำ�ให้เรารักอัลลอฮ์ (ซบ.) จะมาทำ�ให้เรารำ�ลึกถึงอัลลอฮ์ (ซบ.) มากยิ่ง ขึ้น ดังนั้นมนุษย์อย่าได้ใช้ชีวิตอย่างเพลิดเพลินไร้สาระ บางคนขึ้นสวรรค์ด้วยกับ การช่วยเหลือ ฟะกีร มีสกีน บางคนลงนรกกับ ฟะกีร มีสกีน บางคนขึ้นสวรรค์ เพราะการช่วยเหลือ บางคนลงนรกเพราะไม่ช่วยเหลือ ความวิบัติของผู้นมาซ ใน

42


กุรอานก็ได้อธิบายอย่างชัดแจ้ง “ความวิบัติจงมีแด่ผู้นมาซ” ทำ�ไมคนนมาซจึงถูกสาปแช่ง ? ดังนัน้ จงอย่าภูมใิ จในนมาซของเราเพียง อย่างเดียว เหมือนกับที่ข้าพเจ้าบอกในช่วงตอนต้นแล้วว่า ศาสนานี้ไม่ใช่มีแต่เรื่อง นมาซเรื่องเดียว เมื่อนมาซจนเริ่มจะหลงตัวเอง อัลลอฮ์ (ซบ.) ตรัสว่า “ความวิบัติจงมีแด่ผู้นมาซ” (ซูเราะฮ์ อัลมาอูน โองการที่ 4) ทำ�ไม? ความวิบัติจึงมีแด่ผู้นมาซ

“ผู้ที่พวกเขาละเลยต่อการนมาซของพวกเขา” เพราะนมาซแบบไม่รเู้ รือ่ ง คำ�ว่า (ซาฮูน) คือไม่รเู้ รือ่ ง นมาซไปอย่างนัน้ นมาซแบบไม่รู้

“ผู้ที่พวกเขาโอ้อวดกัน” นมาซเพื่อจะอวดกับพระองค์ว่าฉันนมาซแล้ว

4-7)

“และพวกเขาหวงแหนเครือ่ งใช้เล็กๆ น้อยๆ” (ซูเราะฮ์ อัลมาอูน โองการที่ พวกทีน่ มาซแล้วปฏิเสธการช่วยเหลือ ซึง่ การช่วยเหลือตรงนีค้ อื ทุกสิง่ ทุก

43


อย่าง เพราะคำ�ว่า (อัลมาอูน) คือ การช่วยเหลือทุกประเภท ถ้าเรามีความสามารถ ช่วยเหลือฟะกีร มีสกีน เราต้องช่วยเหลือเขา ถ้าเรามีความสามารถช่วยในด้านการ ศึกษา ช่วยศาสนาเรา ก็ต้องช่วยศาสนา...... ถ้าเรามีความสามารถจะสร้างสุเหร่าก็ ต้องช่วย คือทุกอย่าง (อัลมาอูน) ผู้ที่นมาซแต่ปฏิเสธในการที่จะช่วยเหลือสังคมใน รูปแบบต่างๆนั้น คือผู้ที่ถูกสาปแช่ง ( ) นมาซแล้วแต่ก็ลงนรก นมาซแล้วก็ลงนรกได้อีกเช่นกัน พี่น้อง!!! เพราะศาสนานี้ไม่ใช่เป็นศาสนาเฉพาะเรื่องเดียว แต่เป็นศาสนาที่สอนทุก สิ่งทุกอย่าง กล่าวคือมนุษย์จะต้องมีความสมบูรณ์ก่อนที่จะกลับไปสู่พระองค์ แต่ถ้า การดำ�เนินชีวิตในบางสิ่งบางอย่างของเขาผิดพลาด ให้เขาแก้ไขด้วยตัวเอง เมื่ออา ญัลของเขามาถึง ยังแก้ไขไม่หมดก็เป็นโอกาสของลูกหลาน ของพรรคพวก ของพี่ น้อง ของเพื่อนฝูง ทุกคนมีสิทธิ์ที่จะปลดเปลื้องภาระของผู้ตาย ถ้าไม่หนักคือถ้าผู้ ตายไม่ใช่คนที่บาปหนัก เพราะถ้าคนบาปที่หนักหน่วงทำ�อะไรให้ก็ไม่มีประโยชน์ แต่ก็ยังต้องทำ�เพื่อลดโทษ ดังนัน้ การทำ�บุญให้คนตาย การรำ�ลึกถึงคนตายในรูปแบบต่างๆ เหล่านี้ ไม่ ว่าการให้อาหารกับคนยากจน การช่วยทำ�อะไรก็ได้ที่เป็นความดีและเนียตอุทิศ ความดีอันนี้ให้กับผู้ตายและกับคนที่เรารัก ซึ่งเรามีตัวอย่างมากมายในศาสนา คือใน เมื่อคนตายตัดขาดจากมนุษย์นบี (ศ.) จะไม่นมาซถึง 70 ครั้งให้กับศพของท่าน ซัยยิดินาฮัมซะฮ์ นบี (ศ.) จะไม่บอกว่า เมื่อสักครู่เดินผ่านไปกำ�ลังมีคนถูกลงโทษ ตอนนี้หยุดลงโทษเพราะลูกของเขากำ�ลังเรียนอัลกุรอาน อัลลอฮ์ (ซบ.) บอกแล้วว่า ความดี ข องลู ก ในโลกนี้ ก็ ช่ ว ยหยุ ด การลงโทษของพ่ อ ที่ กำ � ลั ง ถู ก ลงโทษอยู่ ใ น อาลัมบัรซัค ดังนัน้ การทำ�บุญการอุทศิ ส่วนกุศลหรือทีเ่ ราเรียกว่าการฮะดียะฮ์ให้กบั ผูต้ าย นั้นเป็นอีก “บาบุรเราะมะฮ์” เป็นประตูแห่งความเมตตาอันหนึ่งที่อัลเลาะฮ์ (ซบ.) เปิดให้กับมนุษย์ทุกคน เว้นแต่ว่าคนนั้นจะโชคร้ายกล่าวคือการดำ�เนินชีวิตของเขาใน โลกนี้ เขาไม่ได้สร้างอะไรไว้เลยเพื่อสิ่งนี้ คือเขาไม่ได้สร้างลูกที่ว่าถ้าเราตายไปแล้ว

44


ลูกคนนี้จะอ่านอัลกุรอานให้กับเรา เพราะเราไม่ได้ส่งลูกไปเรียนอัลกุรอาน สมมุติ เขาไม่ได้สร้างเอาไว้เลยว่า ถ้าเราเกิดตายไปแล้วลูกคนนี้จะทำ�บุญให้กับเรา เพราะ เขาไม่ได้สร้างสิ่งเหล่านี้เอาไว้เลย นี่คือความโชคร้ายของผู้ตายอันนี้ค่อยว่ากันในวัน กียามัต ในวันแห่งการตัดสิน และวันแห่งการตอบแทน อัลลอฮุมมา ศอลลิอะลามุฮัมมัด วะอาลิมุฮัมมัด

45


4 ตัวบ่งชี้ถึงความ“พ่ายแพ้” ของไซออนิสต์ในสงครามฉนวนกาซา ฟาร์สนิวส์ - หนังสือพิมพ์เลบานอนฉบับหนึง่ ได้ชถี้ งึ 4 สัญญาณบ่งชีค้ วาม พ่ า ยแพ้ ข องรั ฐ บาลไซออนิ ส ต์ ไ ว้ ใ นบทความหนึ่ ง ว่ า กองกำ � ลั ง ต้ า นทานของ ปาเลสไตน์ได้ทำ�ลายเส้นแดงต่างๆ ของไซออนิสต์ลงแล้วในสงครามครั้งนี้ หนังสือพิมพ์อลั -นะฮาร ของเลบานอน ในบทความทีเ่ ขียนโดย “รอญิห์ อัลเคารอ” ได้วิเคราะห์ตรวจสอบกรณีต่างๆ ที่แตกต่างกันระหว่างสองสงครามของฉนวน กาซาที่เกิดขึ้นในปี 2009 และในปี 2012 และได้วิเคราะห์ถึงแง่มุมต่างๆ ของความพ่าย แพ้ของรัฐบาลไซออนิสต์ในสงครามที่กำ�ลังดำ�เนินอยู่ในขณะนี้ ในบทความนีไ้ ด้เขียนว่า อิสราเอลนัน้ ติดนิสยั ทีจ่ ะประกาศเงือ่ นไขต่างๆ ของ ตนเองโดยผ่านสื่อกลางอียิปต์สำ�หรับการหยุดยิง แต่ประเด็นที่น่าสนใจก็คือ ตัวแทนของ อิสราเอลได้เผชิญหน้ากับเงื่อนไขสามประการของกลุ่มฮามาสสำ�หรับการหยุดยิง คือ 1- การยุติการรุกรานต่างๆ ของอิสราเอล 2- การยุติการปิดล้อมฉนวนกาซา และ 3- การยุติการลอบสังหารบรรดาแกนนำ�ของกองกำ�ลังต้านทาน นีค่ อื เงือ่ นไขสามประการของกลุม่ ฮามาสสำ�หรับการหยุดยิงแต่อย่างไรก็ดตี ามข้อ ตกลงคือการให้รัฐบาลอเมริกาเป็นผู้รับผิดชอบในการค้ำ�ประกันการดำ�เนินตามเงื่อนไข ทั้งหมดเหล่านี้ ในทางตรงข้าม อิสราเอลกำ�ลังมุง่ หาทางทีจ่ ะบังคับการหยุดยิงเป็นระยะเวลา ยาวนานบนพื้นฐานของการยับยั้ง กล่าวคืออิสราเอลต้องการที่จะยับยั้งกลุ่มฮามาสจาก การยิงขีปนาวุธทุกชนิดไปสู่แผ่นดินต่างๆ ภายใต้การยึดครองของตน (อิสราเอล) ซึ่งเป้า หมายของสงครามฉนวนกาซาในปี 2008 ก็คือเรื่องนี้เช่นเดียวกัน แต่ขณะนี้ได้เป็นที่เปิด เผยแล้วว่า ขีปนาวุธเหล่านี้ได้ทำ�ลายการปิดล้อมฉนวนกาซาลงแล้ว และแม้กระทั่งว่า มัน ได้ถูกยิงไปถึงกรุงเทลอาวีฟแล้วด้วยซ้ำ� ด้วยเหตุผลดังกล่าวนี้เอง กลุ่มฮามาสได้ประสบ ความสำ�เร็จในการสร้างการเปลี่ยนแปลงขั้นพื้นฐานให้เกิดขึ้นในดุลอำ�นาจแล้ว และถึงขั้น

46


ที่ว่าได้ทำ�ให้บรรดาผู้นำ�กองบัญชาการในกรุงเทลอาวีฟและจำ�นวนมากกว่าครึ่งของชาว อิสราเอลต้องเผ่นหนีเข้าไปอยู่ในที่หลบภัยต่าง ๆ ผูเ้ ขียนได้อธิบายต่อไปถึงความพ่ายแพ้ตา่ ง ๆ ของนายเบนจามิน เนทันยาฮู ใน สงครามครั้งนี้ และได้ชี้ให้เห็นถึงบางกรณีเกี่ยวกับเรื่องนี้ ประการแรก : จรวดขีปนาวุธต่างๆ ของนักรบชาวปาเลสไตน์ ด้วยการกำ�หนดเป้า หมายการโจมตีไปยังกรุงเทลอาวีฟ อัลกุดส์ (เยรูซาเล็ม) ที่ถูกยึดครอง ไอแลต อุสดูด อิสกิ ลาน บิอ์รุซซะบะอ์ และบิอ์รุฏเฏาฟิยานั้น ได้ทำ�ลายเส้นแดงต่างๆ ของอิสราเอลลงแล้ว และได้ทำ�ให้ความรู้สึกถึงความปลอดภัยในแผ่นดินที่ถูกยึดครอง (อิสราเอล) ต้องเผชิญกับ ความเสียหาย ประการทีส่ อง : การสูญเสียความเชือ่ มัน่ ของบรรดาผูเ้ ข้ามาตัง้ ถิน่ ฐานทีม่ ตี อ่ โดม เหล็ก (ระบบป้องกันขีปนาวุธ) ซึ่งพวกเขาเคยคิดว่า มันจะสามารถปกป้องพวกเขาจาก ขีปนาวุธต่างๆ ได้ ในการโจมตีครั้งนี้เป็นที่ชัดเจนแล้วว่า ร้อยละ 70 ของขีปนาวุธที่ถูกยิง ออกไป (จากฉนวนกาซา) นั้นได้ลงสู่เป้าหมายต่าง ๆ ของตนในอิสราเอล และได้ข้ามผ่าน โดมเหล็กของไซออนิสต์ไป โดยที่ในสงครามครั้งนี้มันได้กลายเป็นเหมือนม่านบังแดดที่มีรู รั่ว ประการทีส่ าม : ท่าทีตา่ งๆ ของนานาประเทศทีไ่ ด้ท�ำ การประณามอิสราเอล และได้เตือนรัฐบาลนี้จากการเข้าสู่สงครามทางภาคพื้นดิน ท่าทีดังกล่าวนี้ชี้ให้เห็นถึงการ เปลี่ยนแปลงต่างๆ ทางยุทธศาสตร์ในภูมิภาคตะวันออกกลางที่สวนทางกลับผลประโยชน์ ต่างๆ ของรัฐบาลไซออนิสต์และอเมริกา โดยเฉพาะอย่างยิ่งในยุคการเปลี่ยนแปลงของ โลกอาหรับ ประการทีส่ ี่ : บรรดาบุคคลทีไ่ ด้อา่ นคำ�เตือนของนาย "คาร์ล เลวิน" (Carl Levin) วุฒิสมาชิกของสหรัฐเกี่ยวกับการระเบิดในภูมิภาคตะวันออกกลาง พวกเขาก็จะได้รับบท สรุปว่า อเมริกาถือว่าการปูพรมทิ้งขีปนาวุธของอิสราเอลลงในฉนวนกาซานั้น ไม่เพียงแต่ ทำ�ให้เด็ก ๆ ชาวปาเลสไตน์เสียชีวิตเพียงเท่านั้น แต่อเมริกาเชื่อว่าการปูพรมทิ้งขีปนาวุธ เหล่านี้จะทำ�ให้ข้อตกลงการประนีประนอมต่าง ๆ ในภูมิภาคจะต้องเผชิญกับความเสีย หายด้วยเช่นกัน (ที่มา Sahibzaman.com)

47


ปาเลสไตน์ “ขึ้นป้ายขอบคุณและยกย่องอิหร่าน” ในเขตฉนวนกาซ่า ชาวปาเลสไตน์ในเขตฉนวนกาซ่า ได้ขนึ้ ป้ายขนาดใหญ่กลางเมืองใน เขตฉนวนกาซ่า ขอบคุณและยกย่องสาธารณรัฐอิสลามแห่งอิหร่านมากถึง 4 ภาษา ในฐานะผู้ปกป้อง ผู้ช่วยเหลือ เบื้องหลังชัยชนะในสงคราม 8 วัน ที่ผ่าน มาล่าสุด ในการต่อสู้กับการบุกโจมตีอย่างหนักของรัฐเถื่อนอิสราเอลในเขต ฉนวนกาซ่า สำ�นักข่าวเพรสทีวี PRESS TV รายงานว่า ชาวปาเลสไตน์ในเขตฉนวนกาซ่า ได้ขึ้นป้ายขนาดใหญ่กลางเมืองในเขตฉนวนกาซ่า ขอบคุณและยกย่องสาธารณรัฐ อิสลามแห่งอิหร่าน 4 ภาษา ในฐานะผู้ปกป้อง ผู้ช่วยเหลือ เบื้องหลังชัยชนะใน สงคราม 8 วัน ที่ผ่านมาล่าสุด ในการต่อสู้กับการบุกโจมตีอย่างหนักของรัฐบาล เถื่อนอิสราเอลในเขตฉนวนกาซ่า หลังจากการผ่านพ้นมาหลายวันจากการตอบโต้แบบตาต่อตาและฟันต่อฟัน ของกองชาวปาเลสไตน์ต่อการโจมตีของรัฐบาลไซออนิสต์อิสราเอลในสงคราม 8 วัน ประชาชนชาวปาเลสไตน์ได้ขึ้นป้ายขนาดใหญ่ตามจุดต่างๆ ทั่วเขตฉนวนกาซ่าเพื่อ แสดงการขอบคุณ และยกย่องต่อการสนับสนุนของสาธารณรัฐอิสลามแห่งอิหร่าน ต่อปาเลสไตน์ในสงครามครั้งล่าสุด ซึ่งมีข้อความบนป้ายว่า “เราขอขอบคุณอิหร่าน และขอยกย่องอิหร่าน” 4 ภาษาด้วยกัน คือภาษาอาหรับ ภาษาเปอร์เซีย ภาษา อังกฤษ และภาษาฮิบรู สาธารณรัฐอิสลามแห่งอิหร่านได้สนับสนุนชาวปาเลสไตน์ในการต่อสูก้ บั การ โจมตีในสงคราม 8 วันล่าสุด โดยการสนับสนุนอาวุธยุทโธปกรณ์เป็นจรวดขีปนาวุธที่ มี เ ทคโนโลยี ล้ำ � สมั ย ผลิ ต ขึ้ น โดยวิ ศ วกรชาวอิ ห ร่ า น ในสาธารณรั ฐ อิ ส ลามแห่ ง อิหร่านนามว่า “ฟะญัร 5” โดยขบวนการต่อสู้ชาวปาเลสไตน์ได้ใช้จรวดดังกล่าวยิง ตอบโต้รัฐบาลอิสราเอลไปในใจกลางกรุงเทลอาวีฟ สร้างความหวาดผวาให้กับ

48


รัฐบาลอิสราเอลเป็นอย่างยิ่ง สงคราม 8 วันระหว่างรัฐบาลเถือ่ นอิสราเอลกับปาเลสไตน์ เริม่ ขึน้ เมือ่ 14 พ.ย. 55 และยุติลงเมื่อ 21 พ.ย. 55 โดยมีการยิงโจมตีไปยังเขตฉนวนกาซ่าโดย รัฐบาลอิสราเอลมากถึง 1500 ครั้ง ส่งผลให้มีประชาชนชาวปาเลสไตน์เสียชีวิต 166 คน และบาดเจ็บอีกกว่า 1200 คน และส่วนมากของผู้เสียชีวิตและผู้ได้รับบาดเจ็บ เป็นสตรี และเด็กๆ ชาวปาเลสไตน์ สงคราม 8 วันดังกล่าว ยุติสงบศึกลงเมื่อวันที่ 21 พ.ย. 2555 โดยการผลักดันของประเทศอียิปต์ รายงานข่าวเมือ่ วันที่ 28/11/55 มูลนิธิ “ฮิลาลอะฮ์มรั ” ของสาธารณรัฐ อิสลามแห่งอิหร่านได้เริ่มส่งความช่วยเหลือด้านมนุษยธรรมไปยังเขตฉนวนกาซ่า แล้วขบวนแรกทางทะเล และจะมีการส่งความช่วยเหลือตามไปอีกหลายขบวนโดย สาธารณรัฐอิสลามแห่งอิหร่าน (ที่มา สำ�นักข่าว IMM )

49


บทสรุปเหตุการณ์ในซีเรีย ทฤษฎี “Butterfly effect” เหตุการณ์รา้ ยและการเข่นฆ่าทีเ่ กิดขึน้ ในซีเรีย คือเหตุการณ์ทรี่ ฐั บาล วอชิงตัน และพันธมิตรผู้ชั่วร้ายของมันคือขบวนการไซออนิสต์อิสราเอล วะฮา บีย์ซาอุดี้ได้ร่วมกันวางแผนสร้างความวุ่นวายในซีเรีย เพื่อสร้างปฏิกิริยาแบบ ทฤษฎี Butterfly effect ด้วยแผนการและเป้าหมายเพื่อล้มล้างสาธารณรัฐ อิสลามแห่งอิหร่าน ทัง้ หมดเกิดจากการสมคบคิดของขบวนการยิวไซออนิสต์และขบวนการวะฮา บีย์ โดยมีรัฐบาลซาอุดี้ฯ อิสราเอลและอเมริกาคอยบัญชาการ เหตุการณ์ร้ายและการเข่นฆ่าที่เกิดขึ้นในซีเรีย คือเหตุการณ์ที่รัฐบาล วอชิงตัน และพันธมิตรผู้ชั่วร้ายของมันคือขบวนการไซออนิสต์อิสราเอล วะฮาบีย์

50


ซาอุดี้ได้ร่วมกันวางแผนสร้างความวุ่นวายในซีเรีย เพื่อสร้างปฏิกิริยาแบบทฤษฎี Butterfly effect ด้วยแผนการและเป้าหมายเพื่อล้มล้างสาธารณรัฐอิสลามแห่ง อิหร่าน ซีเรียคือจุดยุทธศาสตร์สำ�คัญในแผนการนี้ พวกยิวจึงเริ่มต้นด้วยการ สนับสนุนพวกลัทธิวะฮาบีย์ให้ก่อการจลาจลต่อต้านรัฐบาลซีเรียซึ่งจะเห็นได้จากข่าว อย่างมากมาย ที่สำ�นักข่าวที่เป็นเครือข่ายของตะวันตกได้โหมกระพือข่าวสารด้าน เดียว Propaganda เพื่อให้ชาวโลกได้ชิงชังรัฐบาลซีเรีย (เพราะรัฐบาลซีเรียนั้นเป็น พันธมิตรที่ดีกับอิหร่านและฮิซบุลลอฮ์เลบานอน) โดยเฉพาะลัทธิวะฮาบียท์ น่ี ยิ มผูก้ อ่ การร้ายอัลกออิดะฮ์ ในไทย ได้ท�ำ การยุแยง ให้พี่น้องมุสลิมในไทยเกลียดชังมุสลิมชีอะฮ์ โดยนำ�ภาพตัดแต่งต่างๆ มาใส่ร้าย มุสลิมชีอะฮ์ เพื่อให้เกิดความเกลียดชังระหว่างกัน ทั้งที่ในประเทศไทยระหว่างสุนนี่ และชีอะฮ์อยูอ่ ย่างรักใคร่กลมเกลียวกันพึง่ พาอาศัยกันและกันมานานนับกว่า 500 ปี ตะวันตกและพันธมิตรต้องการทีจ่ ะทำ�ลายรัฐบาลสาธารณรัฐอิสลามแห่ง อิหร่าน โดยการเริ่มต้นทำ�ลายพันธมิตรของอิหร่าน คือซีเรีย ทั้งๆ ที่กลุ่มวะฮาบีย์ เองก็รู้ดีว่าชีอะฮ์ในสาธารณรัฐอิสลามแห่งอิหร่าน และซีเรียมันคนละนิกายกัน อิหร่านเป็นชีอะฮ์ นิกายอิมามียะฮ์ อิษนาอะชารียะฮ์ ส่วนซีเรียเป็นชีอะฮ์ นิกาย อะลีย์วียะฮ์ หรือ อะลาวีย์ แต่กลุ่มวะฮาบีย์ ก็ยังทำ�การโฆษณาชวนเชื่อโดยการผูก โยงว่า ชีอะฮ์ทั้งสองนิกายเป็นชีอะฮ์เหมือนกัน ทั้งๆ ที่ทั้งสองนิกายมีความแตกต่าง กันในความเหมือน ซึ่งก็เหมือนกับกลุ่มวะฮาบีย์ กับกลุ่มพี่น้องสุนนี่ 4 มัซฮับ ที่มี ความแตกต่างในเหมือนในรายละเอียดปลีกย่อย การทีร่ ฐั บาลไซออนิสต์อสิ ราเอลได้ท�ำ การสนับสนุนกลุม่ วะฮาบียใ์ นซีเรีย ที่ เข้าไปยุยงปลุกปั่นประชาชนชาวซีเรียให้ลุกขึ้นต่อต้านรัฐบาลซีเรีย โดยการส่งเงิน และอาวุธ ส่งหน่วยก่อการร้าย ฝึกฝนผู้ต่อต้านในการใช้อาวุธเช่นการใช้ปืนอูซี่ (ผลิต ในอิสราเอล) และวางแผนอย่างแยบยล โดยไปฆ่าประชาชนผู้บริสุทธิ์แล้วโยนความ ผิดให้รัฐบาล ทำ�ให้ประชาชนยิ่งเกลียดรัฐบาลมากขึ้น ซึ่งแท้จริงแล้วประชาชนส่วน

51


ใหญ่ของประเทศนี้นั้นสนับสนุนรัฐบาลซีเรียอยู่ พร้อมกันนั้นขบวนการผู้เสื่อมใสในลัทธิวาฮาบีย์เอง ก็ได้ออกโรงเพื่อ สนับสนุนการต่อต้าน และโยนความผิดต่างๆ นานา รวมถึงการตัดต่อภาพให้กับ มุสลิมชีอะฮ์ สร้างภาพว่ามีการบังคับให้สูญูดต่อภาพของประธานาธิบดีซีเรีย และ พวกวะฮาบีย์ในต่างประเทศรวมถึงในประเทศไทยพยายามโฆษณาชวนเชื่อว่า ชี อะฮ์กำ�ลังสังหารสุนนี่ในซีเรีย ทั้งๆ ที่วะฮาบีย์เหล่านี้เองที่กำ�ลังเข่นฆ่าพี่น้องสุนนี่ใน ซีเรีย ซึ่งเป็นการใส่ร้ายร้ายป้ายสีที่น่าชิงชังรังเกียจมาก ซึง่ ถ้าเราพิจารณาเหตุการณ์ในตะวันออกกลางให้ดีเราก็จะเห็นว่าในประเทศ บาห์เรนนั้น ประชาชนทั้งพี่น้องสุนนี่ และชีอะฮ์ ก็ถูกรัฐบาลบาห์เรน และทหารซา อุดี้และคูเวตเข้าไปเข่นฆ่าประชาชนชาวบาห์เรนให้ล้มตายเป็นจำ�นวนมาก ทั้งอาวุธ ในประเทศและอาวุธยุทโธปกรณ์มากมายที่ขนมาจากประเทศวะฮาบีย์เพื่อทำ�การ กดขี่พี่น้องสุนนี่และชีอะฮ์ในบาห์เรน แต่ทำ�ไมพวกลัทธิวะฮาบีย์จึงเงียบเหมือนเป่า สากไม่เป็นเดือดเป็นร้อนเลย นั่นหมายความว่าลัทธิวะฮาบีย์กำ�ลังเป็นเครื่องมือของ ยิวไซออนิสต์เพื่อสร้างความแตกแยกในสังคมมุสลิม ที่ทั้งก่อนหน้านี้พี่น้องสุนนี่และ ชีอะฮ์นั้นอ ยู่ร่วมกันอย่างสงบมาเป็นเวลาช้านาน หากแผนการ Butterfly effect ครัง้ นี้ สามารถขยายได้ส�ำ เร็จ อเมริกาและ อิสราเอลก็จะเริ่มทำ�สงครามโจมตีสาธารณรัฐอิสลามแห่งอิหร่านด้วยอาวุธมหาปะ ลัยทันทีเพื่อขจัดเสี้ยนหนามการครองโลก แต่อเมริกาและวะฮาบีย์หารู้ไม่ว่า...นั่น คือสัญญาณแห่งการล้มสลายของทำ�เนียบดำ� และรัฐบาลวะฮาบียท์ มี่ กี องทหารอเมริกาคุม้ กะลาหัวอยูใ่ นซาอุด.ี้ ..คิดว่า ราชวงศ์กบฏของตัวเองจะรอดพ้นจากภัยพิบัตินี้...ขอบอกว่าไม่มีทาง...เมื่ออเมริกา ลูกพี่ใหญ่ของซาอุดี้ล้มสลาย...ราชวงศ์ที่ทำ�ลายเกียรติของอิสลามด้วยการเอาทหาร ครูเสดแห่งยุคสมัยไปคุ้มครองแผ่นดินหะรอม...ก็จะต้องชดใช้ด้วยโทษทัณฑ์ที่ใหญ่ หลวงจากพระผู้เป็นเจ้า (ที่มา สำ�นักข่าว IMM )

52


“สถาปนารัฐวะฮาบีย์” คือเป้าหมายหลักของกบฏซีเรีย ดร. อิสมาอีล สลามีย์ นักวิเคราะห์สถานการณ์การเมืองโลก และ อาจารย์ ม หาวิ ท ยาลั ย ท่ า นหนึ่ ง ได้ เขี ย นบทวิ เ คราะห์ ส ถานการณ์ ใ นซี เรี ย ว่ า “ซีเรีย ถ้าปราศจากนายบาชัร อัลอัซซาด นั่นหมายถึงประเทศซีเรียจะตกอยู่ใน เงื้อมมือของกลุ่มลัทธิวะฮาบีย์ ซึ่งจะกลายเป็นแหล่งซ่องสุมของผู้ก่อการร้าย และเป็นภัยคุกคามในภูมิภาคอย่างแน่นอน” สำ�นักข่าวเพรสทีวี PRESS TV รายงานว่า ดร. อิสมาอีล สลามีย์ นัก วิเคราะห์สถานการณ์การเมืองโลก และอาจารย์มหาวิทยาลัยท่านหนึ่งได้เขียนบท วิเคราะห์สถานการณ์ในซีเรียว่า “ซีเรีย ถ้าปราศจากนายบาชัร อัลอัซซาด นั่นหมาย ถึงประเทศซีเรียจะตกอยู่ในเงื้อมมือของกลุ่มลัทธิวะฮาบีย์ ซึ่งจะกลายเป็นแหล่ง ซ่องสุมของผู้ก่อการร้าย และเป็นภัยคุกคามในภูมิภาคอย่างแน่นอน” ดร. อิสมาอีล สลามีย์ ได้วเิ คราะห์ตอ่ ไปอีกว่า “ในความเป็นจริงทีไ่ ม่สามารถ ปฏิเสธได้คือ กลุ่มญิฮาสลาฟีย์ หรือกลุ่มวะฮาบีย์ คือกลุ่มที่อยู่ในเครือข่ายของ ขบวนการก่อการร้ายอัลกออิดะฮ์ ที่กำ�ลังกรูเข้าก่อสงครามล้มล้างรัฐบาลนายบาชัร อัลอัซซาดในเวลานี้” ดร. อิสมาอีล สลามีย์ ได้ชไี้ ปยังความปรารถนาหนึง่ ของนาย อัยมัน อัลซะ วาฮีรีย์ ผู้นำ�ขบวนการก่อการร้ายอัลกออิดะฮ์ ที่เขาได้เคยเรียกร้องไปยังบรรดาสมุน

53


ของเขาให้ทำ�สงครามกับนายบาชัร อัลอัซซาดในเดือนกุมภาพันธ์ที่ผ่านมาว่า “เป้า หมายที่แท้จริงของการทำ�สงครามในครั้งนี้ของเรา คือเราต้องการเปลี่ยนประเทศ ซีเรียให้เป็นสวรรค์แห่งความมั่นคงให้กับบรรดาวะฮาบีย์ทั้งหลาย” ดร. อิสมาอีล สลามีย์ ได้วเิ คราะห์เสริมอีกว่า “เมือ่ เดือนตุลาคมทีผ่ า่ นมา ทา งกลุ่มญิฮาดสลาฟีย์ หรือวะฮาบีย์ ได้เผยแพร่คลิปวีดีโอความยาวกว่าสองชั่วโมง และในวีดีโอดังกล่าวผู้นำ�อัลกออิดะฮ์ก็ได้ยืนยันจุดประสงค์เดิมของเขาอีกครั้ง และ ยังได้กล่าวอีกว่า “ข้าพเจ้าขอร้องจากมวลมุสลิมทั่วทั้งโลก โดยเฉพาะมวลมุสลิมที่ เป็นเพื่อนบ้านของประเทศซีเรีย จงให้การสนับสนุนพี่น้องมุสลิมซีเรียอย่างสุดความ สามารถเท่าที่จะทำ�ได้ และจงอย่าได้เพิกเฉยต่อการช่วยเหลือในครั้งนี้” ดร. อิสมาอีล สลามีย์ ได้ชไี้ ปยังวีดโี อทีก่ ลุม่ ญิฮาดสลาฟีย์ หรือกลุม่ วะฮาบีย์ สลาฟีย์ ที่ได้เผยแพร่คลิปวีดีโอการตัดคอเจ้าหน้าที่รัฐบาลซีเรีย และพลเรือนอย่าง เลือดเย็นของพวกเขา ซึ่งสร้างความเกลียดชังแก่องค์กรสิทธิมนุษยชนเป็นที่สุด และ องค์ ก รสิ ท ธิ ม นุ ษ ยชนได้ ข นานนามการกระทำ � ครั้ ง นี้ ข องกลุ่ ม ญิ ฮ าดสลาฟี ย์ ว่ า “อาชญากรรมสงคราม” พร้อมทั้งประณามการกระทำ�ครั้งนี้ของกลุ่มลัทธิวะฮาบีย์ อย่างรุนแรง ดร. อิสมาอีล สลามีย์ ได้วเิ คราะห์เสริมอีกว่า “องค์การนิรโทษกรรมสากลได้ ออกแถลงการณ์ประณามการกระทำ�นี้ของกลุ่มก่อการร้ายญิฮาดสลาฟีย์ กบฏซีเรีย ว่า วีดีโอดังกล่าวเป็นสิ่งที่สะเทือนขวัญอย่างรุนแรง เป็นการกระทำ�อาชญากรรม สงครามที่เลือดเย็นที่สุด สิ่งนี้ชี้ให้เห็นว่ากบฏซีเรีย หรือกลุ่มญิฮาด สลาฟีย์ กลุ่มนี้ ไม่เคารพในสิทธิมนุษยชนระหว่างประเทศเลยแม้แต่น้อย” ดร. อิสมาอีล สลามีย์ ได้วเิ คราะห์ตอ่ อีกว่า “ภูมภิ าคตะวันออกกลางจะต้อง ย่อยยับ คือแผนการที่ถูกวางไว้อย่างแยบยลด้วยความตั้งใจ โดยการลงมือปฏิบัติ การของกลุ่มลัทธิวะฮาบีย์ ที่มีกรุงวอชิงตัน และราชวงศ์อาหรับบางราชวงศ์เป็นผู้ สนับสนุนเงินทุน” (ที่มา สำ�นักข่าว IMM )

54


55


¤ÇÒÁµÒ¤×Í “ÊѨ¸ÃÃÁ” ·ÕèÁ¹ØÉ äÁ‹ÍÒ¨»¯ÔàʸËÃ×ÍËÅա˹ըҡÁѹ䴌 äÁ‹Ç‹ÒàÃÒ¨Ð໚¹½†ÒÂà´Ô¹ä»ËÒÁѹ ËÃ×ÍÇ‹Ò Áѹ¨Ð໚¹½†ÒÂࢌÒÁÒËÒàÃÒ «Öè§ÍÑÅ¡ØÃÍÒ¹ ä´Œ¡Å‹ÒÇÇ‹Ò “·Ø¡æ ªÕÇÔµµŒÍ§ÅÔéÁÃÊáË‹§ ¤ÇÒÁµÒ” ᵋà¹×éÍËÒÊÒÃÐÊÓ¤ÑÞ·Õè à¡ÕèÂÇ¢ŒÍ§Á¹ØÉ â´ÂµÃ§¹Ñé¹ ÍÂً㹠⨷ áÅФӶÒÁ·ÕèÇ‹Ò “àÁ×èÍÁ¹ØÉ 䴌µÒÂŧáÅŒÇ ·Ø¡Í‹ҧ¡ç¨Ð¨ºÊÔé¹Å§ ¡ÃйÑé¹ËÃ×Í???” ¤Ó¶ÒÁ¹Õ鵋ҧËÒ¡ ·ÕèÁ¹ØÉ µŒÍ§¤Œ¹ËÒ !!

บริษัท อัลมะฮดี พับลิเคชั่น จำกัด ๕๒๒ / ๑๖๒ ม.๗ ถ.พนาสนฑ ต.โคกเคียน อ.เมือง จ.นราธิ 56 วาส ๙๖๐๐๐


Issuu converts static files into: digital portfolios, online yearbooks, online catalogs, digital photo albums and more. Sign up and create your flipbook.