ข้อคิดยามเช้า ประจำเดือน มีนาคม 2015

Page 1


enen ข้อคิดยามเช้า วันอาทิตย์ ที่ 1 มีนาคม 2015

หลายคนคงเคยเห็นภาพถ่ายเขตเมืองเก่าของกรุงเยรูซาเล็ม สิ่งที่สะดุดตาเป็นพิเศษคงจะหนีไม่พ้นโดมสีทอง ซึ่งเป็นหลังคาครอบสุเหร่าตั้งอยู่บนเนินเขาสูงซึ่งเป็นสถานที่ศักดิ์สิทธิ์ไม่เพียงสาหรับชาวมุสลิมเท่านัน้ แต่สาหรับ คริสตชน และ ชาวยิวทุกคนด้วย ใต้ฐานของสุเหร่าแห่งนี้เป็นหินใหญ่ก้อนหนึ่ง ซึ่งนักโบราณคดี และ นักพระคัมภีร์ เชื่อว่าบนก้อนหินนี้เอง อับราฮัมได้เตรียมถวายอิสอัคเป็นเครื่องบูชาแด่พระเจ้าใน “ดินแดนโมริยาห์” (ปฐก 22:2) ไม่ไกลจากที่นนั่ เท่าใดนักเป็น “อาสนวิหารแห่งพระคูหาศักดิ์สิทธิ์” ซึ่งตั้งอยู่บนเนินเขากัลวารีโอ สถานที่ซงึ่ พระเจ้า ทรงถวายพระบุตรแต่เพียงองค์เดียวของพระองค์เป็นเครื่องบูชาเพื่อไถ่บาปมวลมนุษย์ ในแง่หนึ่ง “โมริยาห์” และ “กัลวารีโอ” เป็นสัญลักษณ์แห่งความรักที่เสียสละ และ ไร้เงื่อนไขของมนุษย์ที่มี ต่อพระเจ้า และ ของพระเจ้าที่มีต่อมนุษย์ เมื่อพระเจ้าทรงบอกอับราฮัมให้นาอิสอัค บุตรชายสุดที่รักของท่านไปยัง ดินแดนโมริยาห์เพื่อถวายเป็นเครื่องบูชาแด่พระองค์ “การได้เป็นบิดา” ของเด็กคนหนึ่งถือได้ว่าเป็นพระพร และ คาตอบสาหรับคาอธิษฐานภาวนาต่อพระเจ้า ซึ่งอับราฮัมได้ทาเป็นเวลานานมากกว่าแปดสิบปี พระเจ้าสดับฟังคา อธิษฐานภาวนาของท่าน และ ประทานบุตรชายคนหนึ่งแก่ท่าน เมื่อท่าน “มีอายุหนึ่งร้อยปี” (ปฐก 21:5) เวลานี้ พระเจ้าองค์เดียวกันกาลังเรียกร้องท่านให้นาของประทานอันล้าค่านี้ไปคืนพระองค์ อับราฮัมได้ชื่อว่าเป็น “บิดาของผู้มีความเชื่อ” (รม 4:11) ทั้งหลาย เพราะท่านไม่สงสัยในความรักของ พระเจ้า ไม่ตั้งคาถามใด ๆ ทั้งสิน้ ท่านทาตามพระประสงค์ของพระองค์ด้วยความเชื่อมั่นไม่ว่าสิ่งนัน้ จะมีค่ามากแค่ไหน สาหรับผู้อยู่ในวัยชราอย่างท่านด้วยความพอพระทัยในความเชือ่ ที่อับราฮัมแสดงออกมาให้เห็นพระเจ้าทรงส่งทูต สวรรค์ของพระองค์ลงมายับยัง้ การถวายบูชานัน้ และ ทรงอวยพรอับราฮัมอย่างมากโดยให้ท่านมีลูกหลานทวีขึ้นดุจ “ดวงดาวบนท้องฟ้าและเม็ดทรายตามชายทะเล” (ปฐก 22:17)


เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในพันธสัญญาเดิมช่วยเราให้เข้าใจ เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในพันธสัญญาใหม่ในสมัยต่อมาได้ดี ยิ่งขึ้น ความเต็มใจของอับราฮัมที่จะถวายบุตรชายสุดที่รักของตนเป็นเครื่องบูชาในดินแดนโมริยาห์ มีความสัมพันธ์ อย่างใกล้ชิดกับความเต็มพระทัยของพระเจ้าพระบิดาที่จะถวายพระบุตรแต่เพียงองค์เดียวของพระองค์เป็นเครื่องบูชา สาหรับความรอดพ้นของมวลมนุษย์ที่เนินเขากัลวารีโอ “ถ้าพระเจ้าทรงอยู่ข้างเรา ใครจะสู้เราได้?” (รม 8:31)

ขอพระเจ้าอวยพรพี่น้องทุกคน พระสังฆราชยอแซฟ ลือชัย ธาตุวิสัย ประมุขสังฆมณฑลอุดรธานี


enen ข้อคิดยามเช้า วันจันทร์ ที่ 2 มีนาคม 2015 พระเยซูเจ้าทรงตรัสถึง การสิ้นพระชนม์ของพระองค์ และทรงสัญญาว่าจะกลับคืนชีพ ในวันที่สามด้วย แต่การกลับคืน พระชนมชีพของพระองค์ไม่ได้มี ความหมายนัก สาหรับบรรดา ศิษย์ของพระองค์ในขณะนั้น พวกเขารู้เพียงว่าพระอาจารย์ของ พวกเขากาลังจะตาย และ พวกเขาไม่สามารถหยุดยั้ง เหตุการณ์นี้ได้ การแสดงองค์อย่างรุ่งโรจน์จึงเป็นวิธีการหนึ่งที่พระเยซูเจ้าทรงใช้เพื่อทาให้นักบุญเปโตร นักบุญยากอบ และ นักบุญยอห์นมั่นใจ และ เข้าใจความหมายของการสิ้นพระชนม์ของพระองค์ว่า เหตุการณ์นี้เป็นเพียงทางผ่านที่จะนา พระองค์เข้าสู่พระสิริรุ่งโรจน์ที่พระบิดาเจ้าสวรรค์ได้เตรียมไว้สาหรับพระองค์ในการแสดงองค์อย่างรุ่งโรจน์ บรรดา อัครสาวกได้รับเกียรติให้เห็นพระเยซูเจ้าผู้ทรงพระสิริรุ่งโรจน์ เมื่อพระองค์จะทรงกลับคืนพระชนมชีพล่วงหน้า พวกเขาทั้งพิศวง และ ตกใจกลัวในเวลาเดียวกัน แต่การปรากฏตัวของโมเสส และ เอลียาห์ทาให้พวกเขามั่นใจว่า พระเยซูเจ้าทรงเป็นความครบบริบูรณ์ของคาทานายทั้งหลายในพันธสัญญาเดิม ยิ่งกว่านั้น พระบิดาเจ้าตรัสจาก สวรรค์เหมือนที่พระองค์ได้ทรงกระทา ขณะที่พระเยซูเจ้าทรงรับพิธีลา้ งในแม่นาจอร์ ้ แดนพระองค์ทรงบอกพวกเขาว่า “ผู้นี้เป็นบุตรสุดที่รักของเรา จงฟังท่านเถิด” (มก 9:7) แม้บรรดาอัครสาวกอาจยังไม่เข้าใจอย่างเต็มที่ว่าพระเยซูเจ้าทรงเป็นใคร แต่พวกเขาไม่สงสัยว่าพระองค์ทรง เป็นพระบุตรของพระเจ้า เหตุการณ์ครั้งนี้ทาให้ความเชื่อของพวกเขาเข้มแข็งขึ้น เทศกาลมหาพรตจึงเป็นโอกาสดีที่เราจะพิจารณาไตร่ตรองเป็นพิเศษถึงการถวายบูชาบนไม้กางเขนของ พระเยซูเจ้า องค์พระผู้เป็นเจ้า และ พระอาจารย์แต่เพียงผู้เดียวของเรา เหมือนที่นักบุญเปาโลบอกเราว่าพระเจ้า “มิได้ทรงหวงแหนพระบุตรของพระองค์ แต่ทรงมอบพระบุตรเพื่อเราทุกคน” (รม 8:31-32) การมอบพระบุตรเป็นการแสดงความรักยิ่งใหญ่ ไร้เงื่อนไข และไร้ขอบเขตที่พระเจ้าทรงมีต่อเรา แม้ว่าเรายัง เป็นคนบาปก็ตาม ขอพระเจ้าอวยพรพี่น้องทุกคน พระสังฆราชยอแซฟ ลือชัย ธาตุวิสัย ประมุขสังฆมณฑลอุดรธานี


enen ข้อคิดยามเช้า วันอังคาร ที่ 3 มีนาคม 2015 สาหรับพระเยซูเจ้า ความทุกข์ทรมาน และ การสิ้นพระชนม์ เป็นหนทาง นาไปสู่พระสิริรุ่งโรจน์ และ ชีวิตใหม่ พระองค์ทรงยอมรับ ธรรมชาติมนุษย์เหมือนเรา ทุกอย่างยกเว้นบาป และ ทรงดาเนินบนเส้นทางแห่งไม้ กางเขนที่ต้องผ่านความตาย ก่อนเข้าสู่ชีวิตนิรนั ดรเพื่อ ประโยชน์ของเราทุกคน นั่นคือ เพื่อพระองค์จะสามารถทาให้เรารอดพ้นจากความตายซึ่งเป็นผลของบาปไปสูช่ ีวิตที่เต็มไปด้วย สิริรุ่งโรจน์ และ ความบรมสุขตลอดนิรันดร ขอให้การแสดงองค์อย่างรุ่งโรจน์ของพระเยซูเจ้าต่อหน้าอัครสาวกทั้งสาม และ ความครบบริบูรณ์ของเหตุการณ์ยิ่งใหญ่ในการกลับคืนพระชนมชีพของพระองค์เป็นกาลังใจให้เราสามารถ ก้าวเดินบนเส้นทางแห่งไม้กางเขนตลอดเทศกาลมหาพรตนี้ และ เป็นเครื่องหมายของความรุ่งโรจน์ ในอนาคตของเรา แต่ละคน ในฐานะบุตรสุดที่รักของพระเจ้า ขอพระเจ้าอวยพรพี่น้องทุกคน พระสังฆราชยอแซฟ ลือชัย ธาตุวิสัย ประมุขสังฆมณฑลอุดรธานี


enen ข้อคิดยามเช้า วันพุธ ที่ 4 มีนาคม 2015 “บุตรแห่งมนุษย์ จะต้องรับทรมาน เป็นอันมาก จะถูกบรรดาผู้อาวุโส มหาสมณะ และ ธรรมาจารย์ ปฏิเสธไม่ยอมรับ และ จะถูกประหารชีวิต แต่จะกลับคืนชีพ ในวันที่สาม” (ลก 9:22) เรื่องราวที่พระเยซูเจ้าทรงตรัสนี้ทาให้บรรดาศิษย์ของพระเยซูเจ้า รู้สึกเหมือนโดนสายฟ้าผ่าเข้ากลางใจ เพราะพวกเขาคาดหวังว่า พระเยซูเจ้าในฐานะพระเมสสิยาห์ กษัตริย์ผู้ยิ่งใหญ่ของชาวอิสราเอลจะทาลายกองทัพของ ชาวโรมัน และ สถาปนาอาณาจักรอิสราเอลขึ้นมาใหม่ เมื่อได้ยินถ้อยคาเหล่านี้ ศิษย์หลายคนคงเริ่มคิดทบทวนอีกครั้งว่า พระเยซูเจ้าทรงเป็นพระเมสสิยาห์ ที่ทุกคนรอคอยเป็นเวลานานแสนนานจริงหรือเปล่า? พระองค์ทรงเป็นผู้รับเจิมที่พระเจ้าทรงส่งมากอบกู้ประชากรของ พระองค์จริงหรือไม่? พวกเขาควรติดตามพระองค์เข้าไปในกรุงเยรูซาเล็มต่อไปหรือว่าควรถอยกลับก่อนที่ทุกอย่างจะ สายเกินไป? ต่อมา เมื่อพระเยซูเจ้าทรงพาผู้นากลุ่มอัครสาวกขึ้นไปบนภูเขาเพื่ออธิษฐานภาวนา ตาฝ่ายจิตของอัครสาวก ทั้งสามคนได้ถูกเปิดออก และ สามารถมองเห็นสถานภาพที่แท้จริงของพระเยซูเจ้า พวกเขาได้เห็นโมเสส และเอลียาห์ ยืนอยู่เคียงข้างพระองค์ และ ได้ยินเสียงของพระเจ้า ดังออกมาจากเมฆว่า “ท่านผู้นี้เป็นบุตรของเรา ผู้ที่เราได้เลือกสรรจงฟังท่านเถิด” (ลก 9:35) พวกเขาพร้อมที่จะฟังและติดตามพระองค์บนเส้นทางแห่งความทุกข์ยากลาบาก และ ความตาย พวกเขา พร้อมที่จะเผชิญกับทุกสิ่งที่จะเกิดขึ้นเพราะพวกเขามั่นใจว่าพระเจ้าทรงอยู่เคียงข้างพระเยซูเจ้าชัยชนะสุดท้ายจะต้อง เป็นของพระองค์อย่างแน่นอน


ในชีวิตของเรา บางครั้งอาจรู้สึกสับสน หวาดกลัว สงสัย และ ถามตนเองว่า “พระเจ้าทรงอยู่ที่ไหน?” สัตบุรุษหลายคนมีประสบการณ์เกี่ยวกับชีวิตซึ่งเป็นที่สะดุด ความโลภที่ไม่มีสิ้นสุด หรือความไม่ซื่อสัตย์ต่อกระแสเรียก ของพระสงฆ์ นักบวช และผู้นาพระศาสนจักรจานวนมาก “พระเจ้าสามารถประทับอยู่กับบุคคลเช่นนี้หรือประทับอยู่ในสถานที่เช่นนี้ได้อย่างไร?” นี่เป็นคาถามที่ดังก้องอยู่ในหัวใจของคนหลายคนบางคนหมดศรัทธา เลิกเชื่อในพระเจ้า และ หันหลัง ให้วัดไปเลย ถ้าเราเป็นคนหนึ่งที่ยังคงรู้สึกแบบนี้ ถึงเวลาที่เราต้องขึ้นไปบนภูเขาแห่งการอธิษฐานภาวนาวอนขอพระเจ้า ให้เปิดตาของเราเพื่อมองเห็นความจริงว่า เราเลือกที่จะติดตามเป็นศิษย์ของพระเยซูเจ้า ไม่ใช่มนุษย์คนใด เพราะ มนุษย์ทุกคนล้วนอ่อนแอ และ เป็นคนบาปด้วยกันทั้งนั้น ไม่ว่าจะเป็นพระสังฆราช พระสงฆ์ นักบวช ซิสเตอร์ รวมทั้ง เราแต่ละคน ซึ่งล้วนมีข้อผิดพลาดบ่อย ๆ ครั้งในชีวิต พระเจ้าทรงพระทัยดีและเข้าใจความอ่อนแอตามประสามนุษย์ พระองค์ทรงอดทนต่อความผิดพลาดต่าง ๆ ของเราเสมอ แต่สิ่งจาเป็นเร่งด่วนที่ต้องทาสาหรับทุกคนคือ การเป็นทุกข์ กลับใจอย่างแท้จริง มหาพรตจึงเป็นช่วงเวลาแห่งการเดินทางสาหรับทุกคน ไม่มีใครเป็นข้อยกเว้นทั้งสิ้น “จงฉีกใจของท่าน มิใช่ฉีกเสื้อผ้า” (ยอล 2:13) เพื่อก้าวเดินบนเส้นทางแห่งกางเขนของพระคริสตเจ้าจนกระทั่งเราผ่านประตูแห่งความตายและเข้าสู่ชีวิตนิรันดร

ขอพระเจ้าอวยพรพี่น้องทุกคน พระสังฆราชยอแซฟ ลือชัย ธาตุวิสัย ประมุขสังฆมณฑลอุดรธานี


enen ข้อคิดยามเช้า วันพฤหัสบดี ที่ 5 มีนาคม 2015 เมื่อเราถามตนเองว่า “พระเจ้าทรงอยู่ที่ไหน?” ความรู้สึกของเรา มักเต็มไปด้วยความสับสน หวาดกลัว และสงสัยใน เหตุการณ์ต่าง ๆ ของชีวิต นอกจากมองเห็นชีวิตของ ผู้นาพระศาสนจักรซึ่งเป็น ที่สะดุดแล้ว หลายคนตกเป็นเหยื่อของความอยุติธรรมต่าง ๆ ในสังคม บางคนล้มเหลวครั้งแล้วครั้งเล่าในอาชีพการงาน ในขณะที่ผู้คนอีกจานวนหนึ่งมีอานาจ ชื่อเสียง เงินทอง เจริญก้าวหน้า มีฐานะทางสังคม เป็นที่นับหน้าถือตาทั้ง ๆ ที่ หลายครั้งได้มาโดยทางลัดด้วยวิธีการไม่ถูกต้อง และ คดโกง บางคนพยายามทาความดี มีศีลธรรม ตลอดชีวิต แต่กลับ ต้องเผชิญกับปัญหาต่าง ๆ เป็นประจาปัญหาเศรษฐกิจ ปัญหาครอบครัว ปัญหาสุขภาพ เมื่อต้องเผชิญหน้ากับสิ่งต่างๆ เหล่านี้ บางครั้งเรารู้สึกเหมือนโลกกาลังถล่มทับลงบนศีรษะของเรา มองไปทางไหนล้วนไม่พบทางออกแล้ว “พระเจ้าทรงอยู่ที่ไหนล่ะ?” คาแนะนาที่ฟังดูเหมือนกาปั้นทุบดิน แต่จริง ๆ แล้ว ช่วงวิกฤติของชีวิตนี่แหละเป็นเวลาที่เราต้องอธิษฐาน ภาวนามากยิ่งขึ้นเพื่อวอนขอพระเจ้าให้เปิดตาของเรามองเห็นความจริงหลังเหตุการณ์ต่าง ๆ เหล่านั้น เพราะหลาย ครั้งเหตุการณ์เหล่านี้ได้บดบังสายตาของเรา ให้มองเห็นเรื่องของโลกนี้เป็นสิ่งจาเป็นและสาคัญสูงสุด วอนขอพระเจ้า ทรงช่วยให้เรา มองเห็นสิ่งที่กาลังรอคอยในโลกหน้า ความทุกข์ยากลาบากทั้งหลายบนโลกนี้เป็นเพียงแค่ทางผ่านเท่า นั้นเอง ผลที่ตามมาคือ เราจะสามารถยอมรับมรสุมชีวิตที่พัดกระหน่าเข้ามาในชีวิตของเราอย่างไม่หยุดหย่อนได้ โดยตระหนักว่าพระเจ้าทรงอยู่เคียงข้างเราเสมอ เมื่อพระเยซูเจ้าทรงรับทรมาน ถูกตรึงกางเขน และ สิ้นพระชนม์บรรดาศิษย์ผู้ติดตามพระองค์ล้วนรู้สึกว่าโลก ของพวกเขาพังทลายแล้ว แต่การกลับคืนพระชนมชีพของพระเยซูเจ้า คือพระสิริรุ่งโรจน์ ที่พระเยซูเจ้าทรงแสดงให้ อัครสาวกทั้งสามคนได้เห็นล่วงหน้านี่จะเป็นพละกาลังให้เราแบกกางเขนติดตามพระองค์ไปในแต่ละวัน โดยมั่นใจว่า ผ่านทางกางเขนเราจะพบความรอดพ้นที่พระเยซูเจ้าทรงเตรียมไว้สาหรับเราอย่างแน่นอน ขอพระเจ้าอวยพรพี่น้องทุกคน พระสังฆราชยอแซฟ ลือชัย ธาตุวิสัย ประมุขสังฆมณฑลอุดรธานี


enen ข้อคิดยามเช้า วันศุกร์ ที่ 6 มีนาคม 2015 นักบุญออกัสติน พระสังฆราช แห่งเมืองฮิปโป บอกว่า “Ama, et fac quod vis” “รักและทาสิ่งที่ท่านปรารถนาเถิด” นั่นคือ ทาอะไรก็ได้ แต่ขอให้ ทาด้วยความรัก แล้วเราจะรู้สึกว่าสิ่งที่ เรากาลังทานั้นเป็นความสุขอย่างหนึ่ง เมื่อพระเยซูเจ้าทรงพูดถึง “จงรักแอกของเราแบกไว้ และมาเป็นศิษย์ของเรา เพราะเรามีใจสุภาพอ่อนโยน และ ถ่อมตนจิตใจของท่านจะได้รับการพักผ่อน” (มธ 11:29) พระเยซูเจ้าทรงมอบภาระหน้าที่ให้เราแต่ละคน “แอก” ที่เราได้รับอาจจะมีมากหรือน้อยแตกต่างกัน หลายคนอาจโอดครวญว่า ทาไม "แอก” ที่ได้รับช่างหนักเหลือเกิน บางคนมักบ่นว่างานหน้าที่ของตนช่าง หนักหรือน่าเบื่อเสียจริง สาเหตุหนึ่งเป็นเพราะเราไม่ได้รับแบกแอกนั้นไว้ด้วยความรัก เมื่อไม่มีความรัก แอกที่เรา กาลังแบกก็ขาดความหมาย แต่เมื่อเราแบกแอกนั้นไว้ด้วยความรัก เราจะรู้สึกว่ามีความสุขที่มีส่วนร่วมในพันธกิจ เดียวกันกับบุคคลที่เรารัก เราไม่ได้แบกแอกคนเดียว แต่แบกพร้อมกับพระเยซูเจ้า พระองค์ทรงอยู่เคียงข้างเราเสมอ โดยเฉพาะอย่าง ยิ่งในยามที่เราประสบความทุกข์ยากลาบากมากที่สุดในชีวิต คนอื่นอาจทิ้งเราไป แต่พระเยซูเจ้าไม่มีวันทอดทิ้งผู้ที่เป็น ของพระองค์ พระองค์จะประทานพละกาลังแก่เราคอยให้กาลังใจ ร่วมแบกภาระและแอกนั้นไปพร้อมกับเรา

ขอพระเจ้าอวยพรพี่น้องทุกคน พระสังฆราชยอแซฟ ลือชัย ธาตุวิสัย ประมุขสังฆมณฑลอุดรธานี


enen ข้อคิดยามเช้า วันเสาร์ ที่ 7 มีนาคม 2015 “ให้เรารักพระเจ้าด้วย หยาดเหงื่อแรงกายของเรา” เป็นคติพจน์ของ นักบุญวินเซน เดอ ปอล ผู้ซึ่งเป็นองค์อุปถัมภ์งาน ด้านเมตตากิจทุกอย่างใน พระศาสนจักร ท่านไม่ได้ รับใช้คนยากจนเพียงให้ งานที่กาลังทาเสร็จ ๆ ไป แต่ท่านรัก และ รับใช้พวก เขาอย่างสุดความสามารถ ท่านเรียกร้องให้สมาชิกในคณะและผู้ร่วมงานปฏิบัติต่อคนยากจน ประหนึ่งว่าเป็น “เจ้านาย” ของตนเอง โดยชี้ให้เห็นว่าเมื่อใดก็ตามที่พวกเขารับใช้คนยากจน พวกเขากาลังทางานนั้นเพื่อพระเจ้า ท่านบอกว่า “เราต้องทางานของเราเพื่อพบพระเจ้าในงานนั้นมากกว่าที่จะทาเพียงเพื่อให้มันเสร็จ ๆ ไป” สาหรับท่าน ความรักไม่ได้เป็นเพียงคาพูดที่สวยหรู แต่เป็นการกระทามากกว่า นั่นคือ ถ้าเรารักพระเจ้า เราต้องทางานเพื่อพระองค์ งานรับใช้คนยากจนไม่ใช่เรื่องง่าย เพราะเรียกร้องความรักและความเสียสละเป็น อย่างมาก เป็นงานที่ต้องทาด้วยความตั้งใจ และ เอาใจใส่ โดยผ่านการราพึงไตร่ตรอง และ อธิษฐานภาวนา เพื่อให้ สอดคล้องกับพระประสงค์ของพระเจ้า ให้เราอธิษฐานภาวนาต่อพระเจ้า โดยเฉพาะในช่วงเทศกาลมหาพรตนี้เพื่อการแสดงความรักของเราต่อ พระเจ้า ในการรับใช้เพื่อนพี่น้องที่อยู่รอบข้างเราด้วยความเอาใจใส่อย่างสุดความสามารถของเรา จะสอดคล้องกับ พระประสงค์ของพระเจ้าเพื่อพระนามและพระสิริรุ่งโรจน์ของพระองค์

ขอพระเจ้าอวยพรพี่น้องทุกคน พระสังฆราชยอแซฟ ลือชัย ธาตุวิสัย ประมุขสังฆมณฑลอุดรธานี


enen ข้อคิดยามเช้า วันอาทิตย์ ที่ 8 มีนาคม 2015 “ถิ่นทุรกันดาร” เป็นที่ซึ่ง พระเยซูเจ้าเข้าไปโดยการ นาทางของพระจิตเจ้า และ ประทับอยู่ที่นั่น เป็นเวลาสี่สิบวัน (มก 1:12-13) “ภูเขาสูง” เป็นที่ซึ่งพระองค์ทรงแสดง พระองค์อย่างรุ่งโรจน์ต่อ หน้าศิษย์สามคน (มก 9:2-8) “พระวิหาร” ในกรุงเยรูซาเล็มเป็นอีกสถานที่หนึ่งสาหรับการพบปะกับพระเจ้าเป็นพิเศษ แต่วันอาทิตย์นี้ พระพักตร์ของพระเยซูเจ้าไม่ได้สว่างสุกใสเต็มไปด้วยพระสิริรุ่งโรจน์ดั่งพระวารสารในวันอาทิตย์ที่แล้ว แต่พระพักตร์ เต็มไปด้วยความไม่พอพระทัย และ ความโกรธ ความโกรธในตัวมันเองนั้น ไม่ใช่สิ่งที่ชั่วร้ายเสมอไป ถ้าเราโกรธหรือไม่พอใจสิ่งที่ชั่วร้าย หรือ ขัดต่อจริยธรรม อันดีงาม ถือว่าเป็นสิ่งที่ควรทา ถ้าเราเห็นสิ่งไม่ดีหรือความอยุติธรรมเกิดขึ้นต่อหน้าต่อตา แล้วเรารู้สึกเฉย ๆ นั่นแหละ ถือว่าเป็นสิ่งที่ไม่ถูกต้อง พระเยซูเจ้าไม่ทรงพอพระทัยกับสิ่งไม่ถูกต้องซึ่งพระองค์ทรงเห็นในพระวิหาร บรรดาผู้นาศาสนาเน้นการปฏิบัติพิธีกรรมภายนอกมากเกินไปจนลืมจริยธรรมซึ่งเป็นเรื่องภายใน และ สาคัญ มากกว่า พวกเขาปฏิบัติตามกฎระเบียบพิธีกรรมทางศาสนาอย่างเคร่งครัด แต่กลับลืมบทบัญญัติแห่งความรักที่ห้าม ไม่ให้เอารัดเอาเปรียบ และ กอบโกยเอาผลประโยชน์จากเพื่อนพี่น้อง พวกเขาทาลายความเป็นสากลของพระวิหาร ด้วยการทาให้บ้านของพระเจ้าแห่งนี้กลายเป็นสมบัติเฉพาะของชาวอิสราเอลเท่านั้นซึ่งไม่ตรงกับจุดประสงค์ดั้งเดิม ของพระวิหารเพราะนี่ต้องเป็นสถานที่แห่งการอธิษฐานภาวนาสาหรับชนทุกชาติทุกภาษา บรรดาสมณะที่ดูแลเอาใจ ใส่การนมัสการในพระวิหารพยายามจะทาให้ผู้ที่มานมัสการ นาแกะ หรือวัว หรือ นกพิราบที่ได้รับการคัดสรรอย่างดี มาถวายเป็นยัญบูชาแด่พระเจ้าซึ่งหลายครั้งเป็นภาระหนักเกินไปสาหรับคนยากจน


แม้ว่า การค้าขายสัตว์ที่จะนามาประกอบพิธีทางศาสนาในบริเวณที่กาหนดไว้ถือว่าไม่ผิด เพราะจุดประสงค์ หลักของกิจการนี้คือ เพื่ออานวยความสะดวกสาหรับประชาชนที่อาศัยอยู่ห่างไกลจากกรุงเยรูซาเล็ม โดยเฉพาะอย่าง ยิ่งสาหรับชาวอิสราเอลที่อาศัยอยู่นอกประเทศของตน การที่ประชาชนเหล่านี้จะนาสัตว์มาพร้อมกับพวกเขาด้วยนั้น เป็นเรื่องที่ยากลาบากมาก อย่างไรก็ตาม ทีละเล็กละน้อยการอานวยความสะดวกได้กลายเป็นธุรกิจที่สร้างกาไรอย่าง งามให้กับคนบางกลุ่ม รวมทั้งสมณะบางคนด้วย พวกเขาแสวงหาผลประโยชน์จากความเชื่อศรัทธาของคนอื่น พวกเขา เอาศาสนามาบังหน้าเพื่อหาเงินเข้ากระเป๋าตัวเองมากกว่าเพื่อเป็นค่าใช้จ่ายในพระวิหาร สาหรับพวกเขาการทาให้พระ เจ้าทรงพอพระทัย คือ การทาตามข้อกาหนดทางพิธีกรรมอย่างเคร่งครัด ส่วนผลกระทบต่อเพื่อนพี่น้องจะเป็นอย่างไร นั้น ไม่ใช่เรื่องสาคัญ พฤติกรรมแบบนี้เองที่ทาให้พระเยซูเจ้าทรงโกรธและรับไม่ได้ เพราะสาหรับพระองค์ศาสนาเป็น เรื่องของจิตใจภายในมากกว่าพิธีกรรมภายนอก

ขอพระเจ้าอวยพรพี่น้องทุกคน พระสังฆราชยอแซฟ ลือชัย ธาตุวิสัย ประมุขสังฆมณฑลอุดรธานี


enen ข้อคิดยามเช้า วันจันทร์ ที่ 9 มีนาคม 2015 พระเยซูเจ้าไม่ทรงพอพระทัยบรรดา สมณะในพระวิหาร เพราะ พวกเขาทาลาย ความเป็นสากลของพระวิหาร ในสมัยของพระเยซูเจ้าพระวิหาร ในกรุงเยรูซาเล็มแบ่งออก เป็น 5 ส่วน ส่วนที่หนึ่งเรียกว่า “สถานที่ศักดิ์สิทธิ์สูงสุด” ส่วนที่สองเป็น “ลานของบรรดาสมณะ” ส่วนที่สามเป็น “ลานของชาวอิสราเอล” ส่วนที่สี่เป็น “ลานของสตรี” และ ส่วนที่ห้าเป็น “ลานของคนต่างศาสนา” แม้จะมีการแบ่งเขตตามลาดับความศักดิ์สิทธิ์ แต่ก็มีที่สาหรับทุกคนในบ้านของพระเจ้า พระวิหารเป็นบ้าน ของพระเจ้าที่เปิดรับทุกคน ไม่ว่าเชื้อชาติหรือศาสนาใด ไม่ว่าจะเป็นชายหรือหญิง ทุกคนสามารถมาอธิษฐานภาวนา ในสถานที่แห่งนี้ได้ แต่บรรดาสมณะลืมจุดประสงค์ดั้งเดิมอันนี้ พวกเขาทาให้ลานของคนต่างศาสนากลายเป็นตลาด ศักดิ์สิทธิ์สาหรับซื้อขายสัตว์ที่จะนามาถวายเป็นยัญบูชา และ สาหรับการแลกเปลี่ยนเงินตรา ดังนั้น “ลานของคนต่างศาสนา” จึงไม่ได้ถูกถือว่าเป็นส่วนหนึ่งของบ้านของพระเจ้าอีกต่อไป พระองค์จึง ทรงชี้ให้เห็นว่า “ลานของคนต่างศาสนา” เป็นส่วนหนึ่งของบ้านของพระเจ้า และ เป็นสถานที่ศักดิ์สิทธิ์ ไม่ต่างจาก “ลานของชาวอิสราเอล” เนื่องจากพระเจ้าทรงเป็นพระเจ้าของมนุษย์ทุกคนไม่ใช่ของคนกลุ่มใดกลุ่มหนึ่ง ให้เราเปิดใจกว้างต้อนรับเพื่อนพี่น้องทุกคนที่ปรารถนาจะเข้ามาอธิษฐานภาวนา และ สัมผัสความรักของ พระบิดาเจ้าสวรรค์ในอาสนวิหาร หรือในวัดของเราเสมอพระเจ้าทรงรักพวกเขาไม่น้อยกว่าที่พระองค์ทรงรักพวกเรา ผู้ซึ่งเป็นบุตรชายหญิงของพระองค์โดยทางศีลล้างบาป

ขอพระเจ้าอวยพรพี่น้องทุกคน พระสังฆราชยอแซฟ ลือชัย ธาตุวิสัย ประมุขสังฆมณฑลอุดรธานี


enen ข้อคิดยามเช้า วันอังคาร ที่ 10 มีนาคม 2015 “การอธิษฐานภาวนาจากใจจริง และ การให้ทานด้วยใจกว้าง มีค่ามากกว่าความร่​่ารวย ที่ได้มาอย่างอยุติธรรม การให้ทานดีกว่าการสะสมทองค่า การให้ทานช่วยให้พ้นจากความตาย และ ช่วยช่าระบาปทุกชนิด ผู้ที่ให้ทานจะมีชีวิตที่สมบูรณ์” (ทบต 12:8-9) เป็นคากล่าวของอัครเทวดา ราฟาแอลต่อโทบิต และ โทบิยาห์ ซึ่งเป็นข้อคิดที่ดีสาหรับเราทุกคนใน เทศกาลมหาพรตนี้ ถ้าเราทบทวนวันเวลาที่ผ่านมาในชีวิตของเราแต่ละคนเราจะพบว่า มีบุคคลที่รักเรา เอาใจใส่เรา พร้อมและ เต็มใจที่จะช่วยเราในเรื่องต่าง ๆ เสมอ เราต้องรู้จักสานึก และ ขอบคุณพวกเขา รวมทั้งต้องไม่ลืมสรรเสริญ และ ขอบพระคุณพระเจ้าผู้ทรงทางานผ่านทางเครื่องมือที่เป็นมนุษย์เหล่านั้น ยิ่งกว่านั้น เราเองควรจะทามากกว่านั้น ความเมตตากรุณาที่เราได้รับจากคนอื่น ควรเป็นแรงบันดาลใจให้เราแสดงความเมตตากรุณาต่อคนอื่นเช่นกัน การกระทาแบบนี้แหละเป็นการแสดงความกตัญญู ที่พระเจ้าทรงพอพระทัยมากที่สุด กิจการดีต่าง ๆ ที่เรากระทาต่อ คนอื่นแม้เป็นเรื่องเล็กน้อย จะไม่มีวันเล็ดลอดจากสายพระเนตรของพระเจ้า

ขอพระเจ้าอวยพรพี่น้องทุกคน พระสังฆราชยอแซฟ ลือชัย ธาตุวิสัย ประมุขสังฆมณฑลอุดรธานี


enen ข้อคิดยามเช้า วันพุธ ที่ 11 มีนาคม 2015 เมื่อมีสิ่งไม่ดีและไม่ถูกต้องเกิดขึ้น เราควรแสดงจุดยืนของเราอย่างชัดเจน ว่าเรา ไม่เห็นด้วยกับ “การกระทา” นั้น แต่เราไม่ ควรพิพากษาตัดสิน “คนที่กระทา” เช่นนั้น เราสามารถประณาม “บาป” ได้ แต่เราไม่ ควรประณาม “คนบาป” ปล่อยให้เป็นหน้าที่ ของพระเจ้า เพราะพระองค์ทรงรู้จักมนุษย์ ดีกว่าเรา อย่าเป็นเหมือนบรรดา ธรรมาจารย์แ ละ ชาวฟาริสีที่ไร้น้าใจได้ลาก หญิงผู้น่าสงสารที่ถูกจับได้ขณะล่วงประเวณี มาหาพระเยซูเจ้าเพื่อให้พระองค์ตัดสินลงโทษ ซึ่งตามบทบัติญัติของโมเสสแล้ว มีโทษถึงตาย แต่พระองค์กลับตรัสตอบด้วยค้าพูด ที่สร้างความตกตะลึงแก่พวกเขา “ท่านผู้ใดไม่มีบาป จงเอาหินทุ่มนางเป็นคนแรกเถิด” (ยน 8:7) พวกเขาจึง “ค่อยๆ ทยอยออกไปทีละคนเริ่มจากคนอาวุโส จนเหลือแต่พระเยซูเจ้าตามลาพังกับหญิงคนนั้นซึ่งยังคงยืนอยู่ที่ เดิม” (ยน 8:9) ค้าตอบของพระเยซูเจ้าไม่ได้หมายความว่า ทรงมองข้ามหรือเพิกเฉยต่อบาปการผิดประเวณี หรือการกระท้า เช่นนี้ไม่ได้เป็นสิ่งชั่วร้ายหรือเสียหายอะไร ประเด็นที่พระองค์ทรงต้องการชี้ให้เห็นคือ เราไม่มีสิทธิที่จะตัดสินหรือ ประณามเพื่อนมนุษย์ด้วยกัน เพราะเราเองก็มีความผิดบกพร่องและเป็นคนบาปด้วยเหมือนกัน แต่พระเจ้าทรงเป็นผู้ พิพากษาที่เปี่ยมด้วยความรักและความเมตตาต่อคนบาป ทรงปรารถนาที่จะช่วยมนุษย์ทุกคนให้หันหนีจากบาป “ไปเถิด และตั้งแต่นี้ไป อย่าทาบาปอีก” (ยน 8:11) เราควรดีใจที่รู้ว่าผู้พิพากษาที่แท้จริงคือพระเจ้า ไม่ใช่มนุษย์คนใดคนหนึ่ง พระเจ้าทรงเข้าใจธรรมชาติที่ อ่อนแอและเปราะบางของมนุษย์ และ ทรงพร้อมเสมอที่จะให้อภัยทุกคนที่ส้านึกผิด กลับใจ และหันมาพึ่งพระองค์

ขอพระเจ้าอวยพรพี่น้องทุกคน พระสังฆราชยอแซฟ ลือชัย ธาตุวิสัย ประมุขสังฆมณฑลอุดรธานี


enen ข้อคิดยามเช้า วันพฤหัสบดี ที่ 12 มีนาคม 2015 ในชีวิต หลายครั้งหลายหน ที่เราถูกคนอื่นต่อว่า เพราะเราทา ความผิด หรือบาปที่เราได้กระทา แน่นอน เมื่อเราได้กระทาความผิด นั้นจริง เราต้องกล้ายอมรับความผิด นั้น เพราะ พระเจ้าทรงเป็นผู้พากษา ที่พร้อมจะแสดงความเมตตาต่อเรา เสมอ หรือแม้บางครั้งเราอาจถูก กล่าวหาหรือใส่ความอย่างผิด ๆ ซึ่งทาให้เราตกอยู่ในสถานการณ์ที่ เจ็บปวดรวดร้าวใจบางคนอาจดู เหมือนว่าดีใจหรือมีความสุขกับ ความทุกข์ใจของเราในขณะนั้นด้วยซ้า สิ่งที่เราควรทาเป็นอย่างยิ่งคือ หันมาพึ่งความช่วยเหลือจากพระเจ้า และ ไว้วางใจในพลานุภาพของพระองค์ เพราะพระองค์ทรงเฝ้าดูแลเราด้วยความรักตลอดเวลา คนอื่นจะคิดเกี่ยวกับเราอย่างไรไม่สาคัญ พระเจ้าจะทรงอยู่ ฝ่ายเราเสมอ ถ้าเราบริสุทธิ์ และ ถูกต้องจริง ถึงกระนั้น เราเองควรตระหนักอยู่เสมอว่า ความมั่นใจในความรัก และ พระเมตตาของพระเจ้าไม่ควรเป็นข้ออ้างสาหรับเราเพื่อใช้ทาอะไรก็ได้ตามที่เราต้องการ แต่ควรเป็นแรงผลักดันให้เรา พยายามปรับปรุงตนเองให้ดีขึ้นเรื่อย ๆ “พระเจ้าทรงรักโลกอย่างมากจึงประทานพระบุตรเพียงพระองค์เดียวของพระองค์ เพื่อทุกคนที่มีความเชื่อในพระบุตรจะไม่พินาศ แต่จะมีชีวิตนิรันดร เพราะพระเจ้าทรงส่งพระบุตรมาในโลกนี้ มิใช่เพื่อตัดสินลงโทษโลกแต่เพื่อโลกจะได้รับความรอดพ้น เดชะพระบุตรนั้น” (ยน 3:16-17)

ขอพระเจ้าอวยพรพี่น้องทุกคน พระสังฆราชยอแซฟ ลือชัย ธาตุวิสัย ประมุขสังฆมณฑลอุดรธานี


enen ข้อคิดยามเช้า วันศุกร์ ที่ 13 มีนาคม 2015 เราสามารถเดินในหนทาง แห่งความชอบธรรมได้อย่างไร? ศิษย์ของพระเยซูเจ้าต้อง ไม่ปฏิบัติศาสนาแต่เพียงภายนอก แต่ต้องเข้าถึงจิตตารมณ์ของ ข้อกาหนดทางศาสนาเหล่านั้นด้วย เราทากิจศรัทธาต่าง ๆ เพราะ กิจการเหล่านั้นเป็นสิ่งที่ดี และ ควรทา เราทาเพราะเรารักพระเจ้า อยากคืนดีกับพระองค์ และ อยู่ใกล้ชิดกับพระองค์มากยิ่งขึ้น เรารู้ดีว่าเมื่อเราได้รับศีลล้างบาป นั่นคือการเริ่มเดินทางไปสู่จุดหมายคือชีวิตนิรันดร เราได้รับพระหรรษทาน แห่งความเชื่อ ความหวัง และ ความรัก เพื่อช่วยให้การเดินทางฝ่ายจิตของเรามุ่งตรงสู่เป้าหมาย เมื่อเวลาผ่านไป ... หลายครั้งในชีวิต เราทาผิดซ้าแล้วซ้าอีก เป้าหมายสุดท้ายของการเดินทางของเราคลาดเคลื่อน..ลางเลือน การดาเนิน ชีวิตเต็มไปด้วยความเห็นแก่ตัว เย่อหยิ่งจองหอง หลงใหลบูชาด้านวัตถุและเรื่องราวที่เป็นเปลือกนอกของชีวิต แต่พระเจ้าทรงพระทัยดี และ ทรงเข้าใจความอ่อนแอตามประสามนุษย์ พระองค์ทรงอดทนต่อเรา และ ต่อความผิดพลาดของเรา ด้วยเหตุนี้ พระองค์จึงให้โอกาสเราละทิ้งค่านิยมที่ไม่ถูกต้อง และ เลือกแนวทางการดาเนิน ชีวิตที่ถูกต้อง เทศกาลมหาพรตเป็นอีกช่วงเวลาที่เราต้องมองเข้าไปในหัวใจ และ ชีวิต เพื่อให้แน่ใจว่า แต่ละวันที่เรากาลัง เดินบนเส้นทางสายนี้ เราดาเนินชีวิตอย่างถูกต้องชอบธรรมแล้วหรือยัง ไม่ต้องมองไปที่คนอื่น หรือตัดสินพฤติกรรม ของใคร แต่ต้องเตรียมตัวเองให้พร้อมเสมอ เราไม่รู้ว่าพระเจ้าจะทรงเรียกเราไปพบพระองค์เมื่อใด แต่หากเรามีส่วนใน พระทรมานของพระเยซูเจ้าอย่างเต็มที่แล้ว เราจะมีส่วนในพระสิริรุ่งโรจน์แห่งการกลับคืนพระชนมชีพของพระเยซูเจ้า ในวันปัสกาอย่างแน่นอน ขอพระเจ้าอวยพรพี่น้องทุกคน พระสังฆราชยอแซฟ ลือชัย ธาตุวิสัย ประมุขสังฆมณฑลอุดรธานี


enen ข้อคิดยามเช้า วันเสาร์ ที่ 14 มีนาคม 2015 หลายครั้งชีวิตของเราไม่ต่างจาก “ต้นมะเดื่อเทศ” (ลก 13:6) ที่พระเยซูเจ้าทรงกล่าวถึงในพระวรสาร มีชีวิตแต่ไม่เกิดผลจึงสมควรถูกตัดทิ้ง โชคดีที่คนสวนขอโอกาสอีกหนึ่งปี จากเจ้าของสวนเพื่อพรวนดินใส่ปุ๋ย ถ้ายังไม่เกิดผลอีก จึงค่อยโค่นทิ้งทีหลัง เทศกาลมหาพรตเป็นโอกาสดีสาหรับเรา ที่จะพรวนดินใส่ปุ๋ยต้นไม้แห่งชีวิตของเรา เพื่อจะได้เกิดผลเพิ่มขึ้น สาหรับบางคนอาจเป็นโอกาสสุดท้ายที่จะได้ทาเช่นนี้ ถึงกระนั้น จงจาไว้เสมอว่า พระเจ้าคือความรัก พระองค์ไม่ทรงต้องการลงโทษเราหรือโลกที่อยู่รอบข้างเรา พระองค์ทรงให้โอกาส และ พร้อมที่ต้อนรับทุกคน ที่ปรารถนาเข้ามาอยู่ใกล้ชิดกับพระองค์เสมอ เรามีโอกาสแห่งพระพรที่พระเจ้าประทานให้แล้ว จงปรับปรุงและ เปลี่ยนแปลงตนเองให้ดีขึ้น เพื่อว่าชีวิตของเราจะเกิดผลมากที่สุดเท่าที่จะเป็นไปได้ เมื่อนักบุญยอห์น ที่ 23 ได้ทรงรับเลือกให้เป็นพระสันตะปาปา ในปี ค.ศ.1958 พระองค์ทรงทราบดีว่า เวลาแห่งการเป็นประมุขสูงสุดของพระศาสนจักรคงสั้น เพราะขณะนั้นพระองค์มีพระชนมายุ 77 ปีแล้ว แต่พระองค์ ทรงพูดด้วยความมั่นใจว่า “เราจัดเตรียมกระเป๋าของเราไว้เรียบร้อยแล้ว” พระองค์ทรงพร้อมที่จะเดินทางไปสู่ชีวิตนิรันดร เมื่อใดก็ได้ที่พระเจ้าทรงเรียกพระองค์ ถามตัวเองในวันนี้ว่า เราพร้อมแล้วหรือยัง?

ขอพระเจ้าอวยพรพี่น้องทุกคน พระสังฆราชยอแซฟ ลือชัย ธาตุวิสัย ประมุขสังฆมณฑลอุดรธานี


enen ข้อคิดยามเช้า วันอาทิตย์ ที่ 15 มีนาคม 2015 คาว่า “รัก” เป็นคาที่เราใช้กันบ่อย ในความหมายที่แตกต่างกันมาก จนกระทั่ง มันสูญเสียพลังและคุณค่าดั้งเดิมของมันไป คาว่า “รัก” เป็นคาที่ทรงคุณค่า ซึ่งเราควร ใช้อย่างถูกต้อง เจาะจง และตรงความหมาย ใช้อย่างระมัดระวัง และตระหนักถึงคุณค่าที่ แท้จริง ทุกครั้งที่ใช้เราต้องพร้อมยืนยันหรือ สนับสนุนด้วยการกระทาเสมอ ไม่ใช่เพื่อทา ให้อีกฝ่ายหนึ่งพอใจหรือหลงไหลตนเอง เมื่อพระเจ้าทรงบอกว่าพระองค์ ทรงรักเราพระองค์ทรงหมายความเช่นนั้น จริง ๆ เรารู้ว่าพระองค์ทรงรักเราจากการ กระทาของพระองค์วันนี้พระศาสนจักรเชื้อ เชิญเราแต่ละคนให้ไตร่ตรองถึงความรักของ พระเจ้าที่มีต่อโลก และ ให้เรามีความชื่นชม ยินดีเพราะความจริงนี้ พระเจ้าทรงรักเรา แต่ละคนมากจนกระทั่งทรงยอม “ประทานพระบุตร เพียงพระองค์เดียวของพระองค์ เพื่อทุกคนที่มีความเชื่อในพระบุตร จะไม่พินาศ แต่จะมีชีวิตนิรันดร” (ยน 3:16) พระเยซูเจ้าทรงเป็นของประทานที่ล้าค่าที่สุด ที่พระเจ้าทรงสามารถให้กับเราได้ ดังนั้น ขอให้ความรักของ พระเจ้าที่มีต่อเราแต่ละคนเป็นแรงผลักดัน และ พลังขับเคลื่อนให้เรารักซึ่งกันและกัน เราต้องพยายามรักซึ่งกันและ กันเหมือนที่พระเจ้าทรงรักเรา เราต้องเป็นคนแรกที่รักเหมือนที่พระเจ้าทรงรักเราก่อนที่เราจะรักพระองค์ ก่อนที่เรา จะรู้จักพระองค์เสียด้วยซ้าไป เราควรเป็นคนแรกที่จะรัก และ บอกรัก เป็นคนแรกที่กลับมาคืนดี ถ้ามีเรื่องผิดข้อง หมองใจกัน เป็นคนแรกที่มองเห็นความทุกข์ของคนอื่น ความรักของเราต้องเป็นความรักแบบให้เปล่า


พระเจ้าทรงรักเราไม่ใช่เพราะว่าเราน่ารัก ดี เก่ง หรือมีความสามารถสูง แต่เพราะเราเป็นเรา... ก็เท่านั้นเอง ความรักของเราต้องเป็นความรักที่เสียสละ และ ไม่เห็นแก่ตัว พร้อมที่จะให้อภัยและให้ทุกสิ่งแม้แต่ชีวิตสาหรับคน ที่เรารัก แน่นอน ความรักแบบที่พระเจ้าทรงรักเรา เรียกร้องหลายสิ่งหลายอย่างจากเรา อย่างไรก็ตาม ถ้าเราพยายามทาตามแบบอย่างของพระองค์ พระองค์ทรงมีพระพรที่จาเป็นสาหรับเราแต่ละ คน และ สิ่งหนึ่งที่เราควรจาไว้เสมอก็คือ ความรักชนะทุกอย่าง (Amor omina vincit)

ขอพระเจ้าอวยพรพี่น้องทุกคน พระสังฆราชยอแซฟ ลือชัย ธาตุวิสัย ประมุขสังฆมณฑลอุดรธานี


enen ข้อคิดยามเช้า วันจันทร์ ที่ 16 มีนาคม 2015 ในภาษากรีกซึ่งเป็นภาษาที่ใช้ เขียนพระวรสาร มี 3 คาที่ถูกนามาใช้ เพื่ออธิบายความหมายของคาว่า “รัก” คาแรกคือ เอรอส (Eros) เป็นความรักแบบโรแมนติก หรือ แบบหนุ่มสาวที่นาไปสู่การแต่งงาน คาที่สองคือ ฟีเลีย (Philia) เป็นความรักแบบมิตรภาพเหมือน ความรักในกีฬาฟุตบอลที่นาผู้คน มากมายมารวมกัน และ มีการจัดตั้ง สโมสรหรือทีมฟุตบอลขึ้น คาที่สามคือ อากาเป (Agape) เป็นความรักที่บริสุทธิ์ และ เสียสละ เหมือนความรักที่ทาให้แม่เสี่ยงชีวิตเพื่อช่วยลูกของตน ในความรักแบบหนุ่มสาวเราปรารถนาที่จะ “รับ” ในความรักแบบมิตรภาพเราปรารถนาที่จะ “ให้และรับ” แต่ในความรักที่บริสุทธิ์และเสียสละเราปรารถนาที่จะ “ให้” เท่านั้น เมื่อพระเยซูเจ้าทรงบอกเราว่าพระเจ้าทรงรัก เรามาก พระองค์ทรงหมายถึงความรักประการหลังนี้เอง นั่นคือ ความรักที่พระเจ้าทรงมีต่อเรา และ มอบให้เรานั้น เป็นความรักที่บริสุทธิ์ และ เสียสละ เป็นความรักที่ไร้ขอบเขตและไร้เงื่อนไขใด ๆ ทั้งสิ้น ไม่มีคาว่า “ถ้า” หรือ “แต่” ในความรักของพระเจ้า พระองค์ตรัสว่า “พระเจ้าทรงรักโลกอย่างมากจึงประทาน” (ยน 3:16) พระองค์ “ประทานหรือให้” พระเจ้าทรงให้อภัย และ ทรงลืมความผิดบาปของเรา “การให้” เป็น เครื่องหมายหรือคุณลักษณะของความรักที่บริสุทธิ์ และ เสียสละ ซึ่งเป็นความรักของพระเจ้าที่มีต่อมวลมนุษย์ทุกคน และควรเป็นความรักของเราที่มีต่อเพื่อนมนุษย์คนอื่นด้วย ความรักแบบนี้แหละเป็นความรักที่ดารงอยู่ในเมืองสวรรค์ ดังนั้น สถานที่ใดก็ตามปราศจากความรักแบบอากาเปหรือความรักที่บริสุทธิ์และเสียสละ สถานที่นั้นก็ไม่ต่างจากนรก ขอพระเจ้าอวยพรพี่น้องทุกคน พระสังฆราชยอแซฟ ลือชัย ธาตุวิสัย ประมุขสังฆมณฑลอุดรธานี


enen ข้อคิดยามเช้า วันอังคาร ที่ 17 มีนาคม 2015 มีเรื่องเล่าว่า นักบุญองค์หนึ่ง ได้ขอร้องพระเจ้า แสดงให้ท่านเห็น ความแตกต่างระหว่าง สวรรค์ และ นรก พระเจ้าจึงทรงส่งทูตสวรรค์ของ พระองค์ พาท่านไปเที่ยวชมนรก เป็นอันดับแรก ที่นั่นท่านได้เห็นชายและหญิงจานวนหนึ่งกาลังนั่งอยู่รอบโต๊ะขนาดใหญ่ที่เต็มไปด้วยอาหาร ชั้นเลิศนานาชนิด แต่ไม่มีใครสักคนกินอาหารที่อยู่บนโต๊ะนั้น ทุกคนต่างสีหน้าเศร้าหมอง และ กาลังอ้าปากกว้าง นักบุญองค์นั้นจึงถามชายคนหนึ่งที่อยู่ที่นั่นว่า “ทาไมท่านไม่กินอาหารละ?” ชายคนนั้นจึงบอกให้ท่านมองดูที่มือของพวกเขาแต่ละคนซึ่งมีช้อนยาวประมาณ 1 เมตรมัดติดอยู่ ทุกครั้งที่พวกเขาตักอาหารใส่ปากตนเองอาหารเหล่านั้นจึงเลยปากพวกเขาไป และ หกลงพื้นหมด “น่าสงสารจังเลย” นักบุญคนนั้นพูด จากนั้นทูตสวรรค์ได้นาท่านไปเที่ยวชมสวรรค์ ที่นั่นมีทุกอย่างคล้ายกับสิ่งที่ท่านเห็นในนรก นั่นคือ ชายและหญิงจานวนหนึ่งกาลังนั่งรอบโต๊ะขนาดใหญ่ที่เต็มไปด้วยอาหารชั้นเลิศนานาชนิด และ ที่มือของแต่ละคนมี ช้อนยาวประมาณ 1 เมตรมัดติดอยู่ แต่สิ่งที่ไม่เหมือนในนรกก็คือ ทุกคนที่อยู่ที่นั่นต่างมีความสุขและกาลังหัวเราะ อย่างสนุกสนาน นักบุญองค์นั้นจึงถามสตรีคนหนึ่งที่นั่งอยู่ใกล้ ๆ ท่านว่า “นี่มันอะไรกัน ทาไมพวกท่านจึงมีความสุขในสถานการณ์แบบนี้?” สตรีที่อยู่ในสวรรค์คนนั้นจึงตอบท่านว่า “ดังที่ท่านเห็น ที่นี่เราต่างคนต่างช่วยเหลือกัน และ ส่งอาหารให้แก่กันและกันกิน” ถ้าเราสามารถพูดได้ว่านี่คือสิ่งที่ครอบครัวของเราสังคมของเรา ชุมชนวัดของเรา และ โลกของเราทาอยู่ เราที่อยู่ที่นี่คงอยู่ไม่ห่างไกลจากพระอาณาจักรสวรรค์ ขอพระเจ้าอวยพรพี่น้องทุกคน พระสังฆราชยอแซฟ ลือชัย ธาตุวิสัย ประมุขสังฆมณฑลอุดรธานี


enen ข้อคิดยามเช้า วันพุธ ที่ 18 มีนาคม 2015 “แม้ว่าพระองค์ ทรงมีธรรมชาติพระเจ้า พระองค์ก็มิได้ทรงถือว่า ศักดิ์ศรีเสมอพระเจ้านั้น เป็นสมบัติที่จะต้องหวงแหน แต่ทรงสละพระองค์จนหมดสิ้น ทรงรับสภาพดุจทาส เป็นมนุษย์ดุจเรา ทรงแสดงพระองค์ ในพระธรรมชาติมนุษย์ ทรงถ่อมพระองค์จนถึงกับ ทรงยอมรับแม้ความตาย เป็นความตายบนไม้กางเขน” (ฟป 2:6-8) นี่คือ “พระธรรมล้​้าลึกแห่งปัสกา” ซึ่งเป็นเรื่องราวเกี่ยวกับพระมหาทรมาน การสิ้นพระชนม์ การกลับคืน พระชนมชีพ การเสด็จขึ้นสวรรค์อย่างรุ่งโรจน์ และอการส่งพระจิตเจ้ามายังบรรดาศิษย์ของพระเยซูเจ้าเพื่อสานต่อ พระภารกิจที่พระองค์ได้ทรงเริ่มไว้ การสิ้นพระชนม์บนไม้กางเขนของพระเยซูเจ้าสะท้อนให้เห็นถึง “การถ่อมพระองค์จนถึงที่สุด” เป็น “ความนบนอบอย่างสิ้นเชิง” ต่อพระประสงค์ของพระบิดาของพระองค์ และ เพราะเหตุนี้เอง พระบิดาเจ้าสวรรค์ “จึงทรงเทิดทูนพระองค์ขึ้นสูงส่ง” (ฟป 2:9) และ ประทานเกียรติสูงสุดแด่พระนามของพระองค์ (เทียบ ฟป 2:9-11) เราผู้เป็นศิษย์ของพระเยซูเจ้าจึงต้องดาเนินชีวิตตามแบบอย่างของพระองค์ การมีส่วนร่วมในพระมหา ทรมานของพระองค์คือการเลียนแบบท่าทีของพระองค์ด้วยการเป็นคนสุภาพถ่อมตน และ พร้อมที่จะรับใช้ผู้อื่น ไม่ใช่เพียงแค่รักคนอื่นเหมือนที่เรารักตนเองเท่านั้น แต่รักคนอื่นเหมือนที่พระองค์ทรงรักเรา นี่เป็นการเชื้อเชิญ เราแต่ละคนมาสู่ชีวิตแห่งเสรีภาพ สันติ และ ความสุข เป็นหนทางที่นาเราไปสู่ชีวิตนิรันดร ขอพระเจ้าอวยพรพี่น้องทุกคน พระสังฆราชยอแซฟ ลือชัย ธาตุวิสัย ประมุขสังฆมณฑลอุดรธานี


enen ข้อคิดยามเช้า วันพฤหัสบดี ที่ 19 มีนาคม 2015 วันสมโภชนักบุญโยเซฟ ภัสดาของพระนางมารีย์พรหมจารี เมื่อเราอ่านพระวรสารจะพบว่า มีกางเขนมากมาย และ หนักหนาสาหัสที่ สมาชิกในครอบครัวศักดิ์สิทธิ์ต้องแบก ร่วมกัน เมื่อแม่พระทรงตั้งครรภ์ด้วย ฤทธิ์อานาจของพระจิตเจ้า นักบุญโยเซฟ ได้ยอมรับแม่พระเป็นภรรยาโดยเชื่อฟัง ตามคาสั่งของทูตสวรรค์อย่างไม่มีข้อแม้ ใด ๆ ท่านได้ปกป้องดูแลตลอดระยะเวลา ในการเดินทางจากเมืองนาซาเร็ธ จนพระนางมารีย์ให้กาเนิดพระกุมารใน ถ้าเลี้ยงสัตว์ที่เมืองเบธเลเฮม ครอบครัว ศักดิ์สิทธิ์ต้องอพยพหนีตายไปยังประเทศ อียิปต์ เพราะกษัตริย์เฮโรดกาลังสืบหา พระกุมารเพื่อประหารชีวิตทั้งสามต้อง เดินทางผ่านทะเลทรายที่ร้อนระอุในเวลา กลางวันและหนาวเหน็บในเวลากลางคืน ดาเนินชีวิตท่ามกลางคนแปลกหน้าซึ่ง ไม่ใช่เรื่องง่าย เมื่อพระเยซูเจ้าทรงมีอายุได้ 12 พรรษา นักบุญโยเซฟ และ แม่พระได้พาพระองค์ไปร่วมฉลองปัสกาที่กรุง เยรูซาเล็ม แต่ตอนขากลับเกิดพลัดหลงกัน ท่านทั้งสองจึงกลับไปที่กรุงเยรูซาเล็ม และ พบพระองค์ การหายตัวไปของ พระเยซูเจ้าแน่นอนว่าทาให้ท่านทั้งสองเป็นทุกข์ และ กังวลใจเป็นอย่างมากระหว่างที่ตามหาพระองค์ นี่เป็นบางตัวอย่างซึ่งแสดงให้เราเห็นว่าในยามที่ต้องเผชิญหน้ากับความทุกข์ยากลาบากอย่างแสนสาหัส สิ่งที่ยึดครอบครัวศักดิ์สิทธิ์เข้าไว้ด้วยกัน คือ ความรักของพระเยซูเจ้าที่ทรงมีต่อแม่พระ และ นักบุญโยเซฟ และ ความรักของแม่พระ และ นักบุญโยเซฟที่มีต่อพระเยซูเจ้า รวมทั้งความรักของทั้งสามที่มีต่อพระบิดาเจ้า


ในชีวิตครอบครัวของเราแต่ละคน ถ้าเราทาให้ครอบครัวของเราเป็นสถานที่ซึ่งเต็มไปด้วยความรัก เป็นสถานที่ซึ่งสมาชิกแต่ละคนสามารถสัมผัสความห่วงใย ความเห็นอกเห็นใจ และ ความจริงใจ จะทาให้เราสามารถ ฟันฝ่าอุปสรรคที่ทับถมลงมายังครอบครัวได้เสมอ ให้เราเลียนแบบอย่างครอบครัวศักดิ์สิทธิ์ วอนขอพระเยซูเจ้า แม่พระ และ นักบุญโยเซฟ ช่วยครอบครัวเรา แต่ละคนให้สามารถเอาชนะปัญหา และ ความทุกข์ยากลาบากต่าง ๆ โดยอาศัยความรักที่มีต่อกันและกัน และ ความเชื่อในพระเจ้าผู้เปี่ยมด้วยความรักและความเมตตา ขอพระเจ้าอวยพรพี่น้องทุกคน พระสังฆราชยอแซฟ ลือชัย ธาตุวิสัย ประมุขสังฆมณฑลอุดรธานี


enen ข้อคิดยามเช้า วันศุกร์ ที่ 20 มีนาคม 2015 บางครั้งในชีวิตเรา มีข้อสงสัย และ คาตามต่าง ๆ มากมายเกิดขึ้น เราอาจ ประกาศยืนยันความเชื่อ ของเราทุกอาทิตย์ แต่มีหลายสิ่ง หลายอย่างที่เรายังไม่เข้าใจ อย่างถ่องแท้ บางคนยิ่งอ่าน พระคัมภีร์มากขึ้นก็รู้สึกว่า ตนเองสับสนมากยิ่งขึ้น ไม่รู้จะอธิบายให้คนอื่น เข้าใจได้อย่างไร คาสอนหรือข้อเรียกร้องของพระเยซูเจ้า หลายครั้งเป็นคาพูดที่ตรงกันข้ามกับความรู้สึกของคนทั่วไป ตรงกันข้ามกับค่านิยมของโลกสมัยปัจจุบัน บรรดาศิษย์ในสมัยของพระเยซูเจ้าก็เช่นกัน พวกท่านเหล่านั้นติดตาม พระองค์อย่างใกล้ชิดอยู่ตลอดเวลา แต่หลายครั้งก็ไม่เข้าใจตัวตนที่แท้จริงของพระเยซูเจ้ารวมทั้งคาสั่งสอนของ พระองค์ในขณะนั้น แต่พวกท่านพยายามแสวงหาคาตอบ และ ความหมายที่แท้จริงของสิ่งที่ยังไม่รู้อยู่เสมอ และเมื่อเวลาผ่านไปพวกท่านก็สามารถเข้าใจสิ่งนั้นในที่สุด เราแต่ละคนควรจะเป็นเช่นนั้นด้วยเหมือนกัน ในเทศกาลมหาพรตเป็นโอกาสดีที่เราจะได้เรียนรู้จัก พระเยซูเจ้า และ บทบาทของพระองค์ในชีวิตของเราและในพระศาสนจักรมากขึ้น ไตร่ตรองเป็นพิเศษถึงชีวิต ของเราอย่างลึกซึ้ง เพื่อว่าทีละเล็กทีละน้อยเราจะเข้าใจว่าพระเจ้าทรงประทับอยู่กับเราเสมอ

ขอพระเจ้าอวยพรพี่น้องทุกคน พระสังฆราชยอแซฟ ลือชัย ธาตุวิสัย ประมุขสังฆมณฑลอุดรธานี


enen ข้อคิดยามเช้า วันเสาร์ ที่ 21 มีนาคม 2015 พระแม่มารีย์รู้ดีว่าตาม กาลังความสามารถแบบมนุษย์ พระนางไม่สามารถทาพันธกิจ ที่ใหญ่ยิ่งให้สาเร็จลุล่วงไปได้ อย่างแน่นอน ในส่วนลึกของหัวใจ พระนางเชื่อว่าสิ่งที่เป็นไม่ได้ สาหรับเรามนุษย์เป็นไป ได้เสมอสาหรับพระเจ้าเหมือน ที่ทูตสวรรค์กาเบรียลได้ยืนยันว่า “ไม่มีสิ่งใดที่พระเจ้า จะทรงกระทาไม่ได้” (ลก 1:37) พระนางได้ตอบรับพระประสงค์ของพระเจ้าด้วยความเชื่อ มอบตัวเองไว้ในพระหัตถ์ของพระเจ้าด้วย ความมั่นใจ ไม่ว่าอะไรจะเกิดขึ้น จะยากลาบากแค่ไหน พระเจ้าจะหาทางออกและปกป้องคุ้มครองพระนาง คาพูดที่พระแม่มารีย์ตอบกับทูตสวรรค์เป็นแบบอย่างที่ดียิ่งสาหรับเราแต่ละคน “ข้าพเจ้าเป็นผู้รับใช้พระเจ้า ขอให้เป็นไปกับข้าพเจ้าตามวาจาของท่านเถิด” (ลก 1:38) เพราะแม่พระยอมมอบตัวทั้งครบแด่พระเจ้า พระเยซูเจ้าจึงสามารถเสด็จเข้ามาในโลกนี้ ศิษย์ที่แท้จริงของ พระเยซูเจ้า ลูกที่แท้จริงของพระแม่มรีย์ คือผู้ที่มอบตัวเองทั้งครบไว้ในอ้อมพระหัตถ์ของพระเจ้า ผู้ทรงรักเราอย่าง หาที่สุดมิได้

ขอพระเจ้าอวยพรพี่น้องทุกคน พระสังฆราชยอแซฟ ลือชัย ธาตุวิสัย ประมุขสังฆมณฑลอุดรธานี


enen ข้อคิดยามเช้า วันอาทิตย์ ที่ 22 มีนาคม 2015 ชาวกรีกบางคนมาหาฟิลิป และบอกท่านว่า พวกเขาอยาก “เห็น” พระเยซูเจ้า ฟิลิปไปบอกอันดรูว์ จากนั้นทั้งสองจึงไป ทูลพระเยซูเจ้า คาตอบที่ พระเยซูเจ้าตรัสกับบรรดาศิษย์ คือ “ถ้าเมล็ดข้าวไม่ได้ตกลงในดิน และ ตายไปมันก็จะเป็นเพียงเมล็ดเดียวเท่านั้น แต่ถ้ามันตาย มันก็จะบังเกิดผลมากมาย” (ยน 12:24) อันที่จริง เมล็ดข้าวไม่ได้ตาย แต่มันเปลี่ยนแปลงสภาพอย่างสิ้นเชิง กลายเป็นสิ่งใหม่ มีราก ใบ ดอก และ ผล คล้ายกับตัวหนอนผีเสื้อ เมื่อมันโตขึ้น มันจะสลัดคราบเก่าทิ้ง และ กลายเป็นสิ่งใหม่ที่แตกต่างอย่างสิ้นเชิงเป็นผีเสื้อที่ สวยงาม สิ่งที่พระเยซูเจ้ากาลังพูดถึงคือ การเห็นพระองค์ไม่ใช่เป็นเพียงมองดูรูปลักษณ์ภายนอกของพระองค์เท่านั้น ซึ่งเป็นสิ่งที่ชาวกรีกบางคนที่อยากรู้อยากเห็นต้องการ “การเห็น” พระเยซูเจ้าเป็นการเข้าไปในวิถีทางการคิดของพระองค์ เป็นการเข้าใจว่าทาไมพระองค์ต้องทน ทุกข์ทรมานสิ้นพระชนม์ และ กลับคืนพระชนมชีพอีกครั้งหนึ่งเหมือนเมล็ดข้าว พระเยซูเจ้าต้องสละทุกสิ่ง รวมทั้งชีวิต ของพระองค์ เพื่อที่จะนาชีวิตใหม่มาให้พระองค์เองและผู้คนอีกมากมาย และ นี่คือสิ่งที่นักบุญเปาโลเรียกว่า “การสละพระองค์จนหมดสิ้น” หรือ “การทาให้ตนเองว่างเปล่า” (ฟป 2:7) ในกระบวนการนี้ ทั้งพระเยซูเจ้าและเราจะได้รับการเปลี่ยนสภาพ เหมือนเมล็ดข้าวที่ภายนอกเสื่อมสลายไป จากนั้นจึงกลายเป็นบางสิ่งที่ใหม่และยิ่งใหญ่ เป็นประโยชน์กับผู้คนมากมาย ถ้าเราไม่สามารถมองเห็นและยอมรับสิ่งนี้ ในฐานะแก่นแท้ชีวิตของพระเยซูเจ้า เรายังไม่ได้เห็นพระองค์อย่างแท้จริง ขอพระเจ้าอวยพรพี่น้องทุกคน พระสังฆราชยอแซฟ ลือชัย ธาตุวิสัย ประมุขสังฆมณฑลอุดรธานี


enen ข้อคิดยามเช้า วันจันทร์ ที่ 23 มีนาคม 2015 เราต้องมีแนวคิดเกี่ยวกับ ชีวิตดังที่พระเยซูเจ้าตรัสไว้ว่า “ผู้ที่รักชีวิตชีวิตของตน ย่อมจะเสียชีวิตนั้น ส่วนผู้ที่พร้อมจะสละ ชีวิตของตนในโลกนี้ ก็ย่อมจะรักษาชีวิตนั้น ไว้สาหรับชีวิตนิรันดร” (ยน 12:25) พระดารัสตอนนี้สวนทางกับ กระแสความคิดของโลก โลกบอกเราว่าควรสะสมทรัพย์สินเงินทองไว้มาก ๆ เพื่อเป็นหลักประกันชีวิตในอนาคต แต่พระเยซูเจ้ากลับ พูดในสิ่งที่ตรงกันข้าม เมื่อเราพร้อมที่จะสละทุกสิ่งที่เรามี และ เราเป็น เพื่อรัก และ รับใช้ผู้อื่นเท่านั้น เราจึงจะบรรลุ ถึงความมั่นคงที่แท้จริงของชีวิต และ ถ้าเราต้องการรับใช้พระเยซูเจ้าอย่างใกล้ชิด เราต้องเดินในหนทางของพระองค์ “ถ้าผู้ใดรับใช้เรา ผู้นั้นจงตามเรามา เราอยู่ที่ใด ผู้รับใช้ของเราก็จะอยู่ที่นั่นด้วย” (ยน 12:26) สิ่งนี้หมายถึงการก้าวเดินไปพร้อมกับพระเยซูเจ้า บนเส้นทางสู่ไม้กางเขน ซึ่งเราแต่ละคนต้องประสบในชีวิต

ขอพระเจ้าอวยพรพี่น้องทุกคน พระสังฆราชยอแซฟ ลือชัย ธาตุวิสัย ประมุขสังฆมณฑลอุดรธานี


enen ข้อคิดยามเช้า วันอังคาร ที่ 24 มีนาคม 2015 เราพร้อมที่จะการ ก้าวเดินไปกับพระเยซูเจ้า บนเส้นทางสู่ไม้กางเขนแล้ว หรือยัง? เรากลัวที่จะสละ ทุกสิ่งที่เรามีและเราเป็น หรือไม่? พระเยซูเจ้าทรง เรียกร้องจากเรามากเกินไป หรือเปล่า? เราอาจคิดว่าใน ฐานะพระบุตรของพระเจ้า มันเป็นเรื่องง่ายสาหรับ พระองค์ใช่ไหม? เราไม่ควรลืมว่าพระเยซูเจ้า ทรงเป็นเหมือนเราทุกอย่าง ยกเว้นบาป จึงไม่แปลกที่พระเยซูเจ้าจะทรงรู้สึกกลัว และ หวั่นไหว เมื่อทรงคิดถึงสิ่งที่กาลังจะเกิดขึ้นกับพระองค์ “บัดนี้ จิตใจของเราหวั่นไหว เราจะพูดอะไรเล่า จะกล่าวว่า ข้าแต่พระบิดาเจ้า โปรดช่วยข้าพเจ้าให้พ้นจากเวลานี้กระนั้นหรือ?” (ยน 12:27) ผู้เขียนจดหมายถึงชาวฮีบรูบอกเราในทานองเดียวกันว่า “ขณะที่พระเยซูเจ้าทรงพระชนมชีพบนแผ่นดินนี้ พระองค์ทรงอธิษฐาน ทูลอ้อนวอนคร่​่าครวญ และ ร่​่าไห้ต่อพระเจ้า ผู้ทรงสามารถช่วยพระองค์ให้พ้นความตายได้” (ฮบ 5:7)


การสละตนเองอย่างสิ้นเชิงไม่ใช่เรื่องง่ายสาหรับพระเยซูเจ้าเลย มันเกิดขึ้นหลังจากการอธิษฐานภาวนาที่ ยาวนานในสวนเกทเสมนี เหงื่อที่ไหลออกมาเป็นโลหิตและความหวาดกลัวที่เพิ่มขึ้นเรื่อย ๆ ในที่สุด พระองค์จึง สามารถกล่าวว่า “ถ้าเป็นไปไม่ได้ ก็ขออย่าให้เป็นไปตามใจข้าพเจ้า แต่ให้เป็นไปตามพระประสงค์ของพระองค์เถิด” (มธ 26:39) ผู้เขียนจดหมายถึงชาวฮีบรูบอกเราเช่นกันว่า “ถึงแม้ว่าพระเยซูเจ้าทรงเป็นพระบุตร ก็ยังทรงเรียนรู้ที่จะนอบน้อมเชื่อฟังโดยการรับทรมาน” (ฮบ 5: 8) และผลที่ตามมาคือ พระองค์ “ทรงกลับเป็นผู้บันดาลความรอดพ้นนิรันดรแก่ทุกคน ที่ยอมนอบน้อมเชื่อฟังพระองค์” (ฮบ 5:9)

ขอพระเจ้าอวยพรพี่น้องทุกคน พระสังฆราชยอแซฟ ลือชัย ธาตุวิสัย ประมุขสังฆมณฑลอุดรธานี


enen ข้อคิดยามเช้า วันพุธ ที่ 25 มีนาคม 2015 วันสมโภชการแจ้งสารเรื่องพระวจนาตถ์ทรงรับสภาพมนุษย์ “ข้าพเจ้าเป็นผู้รับใช้พระเจ้า ขอให้เป็นไปกับข้าพเจ้า ตามวาจาของท่านเถิด” (ลก 1:38) แม่พระแสดงให้เราเห็นว่า การเป็นศิษย์ที่แท้จริงของพระเยซูเจ้านั้น เป็นอย่างไร ศิษย์ที่แท้จริงของพระเยซู เจ้าคือ ผู้ที่มอบตัวเองทั้งครบไว้ในอ้อม พระหัตถ์ของพระเจ้าผู้ทรงรักเราอย่างหา ที่สุดมิได้ รักเรามากจนกระทั่งยอมส่ง พระบุตรสุดที่รักของพระองค์ลงมาในโลก นี้เพื่อปลดปล่อยเรา ให้รอดพ้นจาก อานาจของบาป และ ความตาย ถ้าเราไม่มั่นใจว่าเราจะสามารถ มีความไว้วางใจ และ มอบตัวเราทั้งครบ ไว้ในพระหัตถ์ของพระเจ้าได้หรือเปล่า เราควรระลึกไว้เสมอว่าเมื่อพระเจ้าทรง เรียกเรา พระองค์ประทานพระหรรษทาน แก่เราด้วยเพื่อเราจะสามารถทาสิ่งที่ พระองค์เรียกร้องจากเรา ดังนั้น เมื่อเราเผชิญหน้ากับสิ่งที่ดูเหมือนว่าจะเป็นไปไม่ได้ ให้เราเชื่อเหมือนแม่พระว่า เมื่อพระเจ้าทรง เรียกเรา พระองค์จะประทานพระหรรษทานช่วยเหลือเราอย่างแน่นอน การมอบตัวเองทั้งครบไว้ในอ้อมพระหัตถ์ของ พระเจ้าไม่ใช่เรื่องง่าย มันหมายถึงการปล่อยให้ทุกสิ่งทุกอย่างดาเนินไปตามพระประสงค์ของพระเจ้า และ พร้อมที่จะ เผชิญหน้ากับอนาคตที่เราไม่รู้จักด้วยความไว้วางใจในความรักที่พระเจ้ามีต่อเรา ขอพระเจ้าอวยพรพี่น้องทุกคน พระสังฆราชยอแซฟ ลือชัย ธาตุวิสัย ประมุขสังฆมณฑลอุดรธานี


enen ข้อคิดยามเช้า วันพฤหัสบดี ที่ 26 มีนาคม 2015 “โปรดทากับข้าพเจ้า ตามที่พระองค์ทรงปรารถนาเถิด” “ข้าพเจ้าพร้อมสาหรับทุกสิ่ง ข้าพเจ้ายอมรับทุกอย่าง” แม้ถ้อยคานี้เป็นเรื่องที่ยากจะ ทาได้ เพราะมันเรียกร้องความเชื่อและ ความไว้วางใจอย่างสิ้นเชิง แต่วันนี้ เรา ควรถามตัวเองว่า ถึงเวลาแล้วหรือยังที่ เราจะยอมมอบตัวทั้งครบแด่พระเจ้า และปล่อยให้พระองค์ทาสิ่งที่จาก มุมมองของมนุษย์ดูเหมือนว่าเป็นไป ไม่ได้ โดยผ่านทางตัวเรา? ถึงเวลาแล้วหรือยังที่เราจะมอบแผนการความประสงค์ และ อาณาจักรของเราแด่พระเจ้า ปล่อยให้แผนการ พระประสงค์และอาณาจักรของพระเจ้ากลายเป็นความจริงขึ้นมา โดยความร่วมมือของเรา? พระเยซูเจ้าไม่สามารถเสด็จมา ถ้าเราไม่ยอมมอบตนเองทั้งครบแด่พระเจ้า พระแม่มารีย์มอบตัวเองทั้งครบ แด่พระเจ้า พระเยซูเจ้าจึงสามารถเสด็จเข้ามาในโลกนี้ เพื่อปลดปล่อยเราให้รอดพ้นจากอานาจของบาปและความตาย ให้เรามอบแผนการ ความประสงค์ และ อาณาจักรของเราแด่พระเจ้าเหมือนที่แม่พระได้ทาเพื่อว่าพระเยซู เจ้าจะมีห้องสาหรับเข้ามาในตัวเราแต่ละคน แล้วชีวิตของเราจะเป็นชีวิตที่บังเกิดผลตามพระประสงค์ของพระเจ้า พระบิดาผู้เปี่ยมไปด้วยความรัก “ข้าแต่พระบิดาเจ้า ข้าพเจ้าขอมอบตัวเองไว้ในพระหัตถ์ของพระองค์ โปรดทากับข้าพเจ้าตามที่พระองค์ทรงปรารถนาเถิด ข้าพเจ้าขอถวายวิญญาณของข้าพเจ้าแด่พระองค์ด้วยใจรัก ข้าพเจ้าขอมอบตัวเองทั้งครบไว้ในพระหัตถ์ของพระองค์ ด้วยความมั่นใจ เพราะพระองค์ทรงเป็นบิดาของข้าพเจ้า” ขอพระเจ้าอวยพรพี่น้องทุกคน พระสังฆราชยอแซฟ ลือชัย ธาตุวิสัย ประมุขสังฆมณฑลอุดรธานี


enen ข้อคิดยามเช้า วันศุกร์ ที่ 27 มีนาคม 2015 “ขณะที่พระเยซูเจ้าทรง พระชนมชีพบนแผ่นดินนี้ พระองค์ทรงอธิษฐาน ทูลอ้อนวอน คร่​่าครวญและร่​่าไห้ต่อพระเจ้า ผู้ทรงสามารถช่วยพระองค์ ให้พ้นความตายได้” (ฮบ 5:7) การสละตนเองอย่างสิ้นเชิง ไม่ใช่เรื่องง่ายสาหรับพระเยซูเจ้าเลย มันเกิดขึ้นหลังจากการอธิษฐานภาวนาที่ ยาวนานในสวนเกทเสมนี เหงื่อที่ไหล ออกมาเป็นโลหิตและความหวาดกลัวที่ เพิ่มขึ้นเรื่อย ๆ ในที่สุด พระองค์จึงสามารถ กล่าวว่า “ถ้าเป็นไปไม่ได้ ก็ขออย่าให้เป็นไปตามใจข้าพเจ้า แต่ให้เป็นไปตามพระประสงค์ของพระองค์เถิด” (มธ 26:39) ผู้เขียนจดหมายถึงชาวฮีบรูบอกเราว่า “ถึงแม้ว่าพระเยซูเจ้าทรงเป็นพระบุตร ก็ยังทรงเรียนรู้ที่จะนอบน้อมเชื่อฟังโดยการรับทรมาน” (ฮบ 5: 8) ในช่วงเวลาแห่งการนบนอบเชื่อฟังอย่างสิ้นเชิงนี้เอง ที่พระสิริรุ่งโรจน์ของพระบิดาเริ่มฉายแสงผ่านทางพระ เยซูเจ้า และ มาถึงจุดสูงสุดเมื่อพระองค์ตรัสจากกางเขนว่า “ส่าเร็จบริบูรณ์แล้ว” (ยน 19:30)


ช่วงเวลาแห่งการสิ้นพระชนม์ เป็นช่วงเวลาแห่งการรับพระสิริรุ่งโรจน์ และ การกลับไปหาพระบิดาของพระ เยซูเจ้า เมล็ดข้าวได้ตายไป มันจึงไม่เป็นเพียงเมล็ดเดียว แต่บังเกิดผลมากมาย พระเยซูเจ้ายังตรัสอีกว่า “เมื่อเราจะถูกยกขึ้นจากแผ่นดินเราจะดึงดูดทุกคนเข้ามาหาเรา” (ยน 12:32) การถูกยกขึ้นนี้หมายถึงทั้งการถูกยกขึ้นบนกางเขน และ การถูกยกขึ้นรับพระสิริรุ่งโรจน์ของพระองค์ สาหรับพระเยซูเจ้า กางเขน และ พระสิริรุ่งโรจน์เป็นสองสิ่งที่ไม่สามารถแยกออกจากกันได้ ขอพระเจ้าอวยพรพี่น้องทุกคน พระสังฆราชยอแซฟ ลือชัย ธาตุวิสัย ประมุขสังฆมณฑลอุดรธานี


enen ข้อคิดยามเช้า วันเสาร์ ที่ 28 มีนาคม 2015 การถูกยกขึ้นบนกางเขน และ การถูกยกขึ้น รับพระสิริรุ่งโรจน์ของพระเยซู เจ้านั้น ทาให้เราเรียนรู้ที่จะ “เห็น” พระเยซูเจ้า ไม่ใช่ เพียงผิวเผิน แต่มองทะลุเข้า ไปภายใน เมื่อเราเข้าใจ ความหมายที่แท้จริงของชีวิต และ สิ่งที่พระองค์ได้ทรง กระทาเพื่อความรอดพ้น ของเรา วิถีทางสู่พระสิริรุ่งโรจน์ของพระองค์จะเป็นวิถีทางของเราแต่ละคนด้วย พระเยซูเจ้าทรงสละทุกสิ่ง แม้แต่ ชีวิตของพระองค์ เพราะทรงรักเรา ในเวลาเดียวกันพระองค์ทรงเชื้อเชิญเราทุกคนให้แสดงความรักต่อผู้อื่นเหมือนที่ พระองค์ได้ทรงกระทาด้วย ให้เราวอนขอความเข้มแข็งและความไว้วางใจจากพระเจ้าพระบิดาเจ้าสวรรค์ของเรา เพื่อเราจะสามารถค้นพบว่าความสุขที่แท้จริงอยู่ที่การสละทุกสิ่ง เพื่อเห็นแก่พระเจ้าและเพื่อนมนุษย์

ขอพระเจ้าอวยพรพี่น้องทุกคน พระสังฆราชยอแซฟ ลือชัย ธาตุวิสัย ประมุขสังฆมณฑลอุดรธานี


enen ข้อคิดยามเช้า วันอาทิตย์ ที่ 29 มีนาคม 2015 วันอาทิตย์ มหาทรมาน วันนี้พระศาสนจักรเชิญ ชวนให้เราแต่ละคนมาต้อนรับ พระเยซูเจ้า ด้วยความชื่นชมยินดี ในฐานะกษัตริย์และวีรบุรุษของเรา กษัตริย์ผู้ยิ่งใหญ่องค์นี้ได้รับชัยชนะ ที่นาความรอดพ้นมาสู่มวลมนุษย์ ผ่านทางไม้กางเขน แม้ว่าเราฉลอง การเสด็จเข้าสู่กรุงเยรูซาเล็มอย่างผู้ มีชัยชนะ พระศาสนจักรยังนาเสนอ เรื่องราวเกี่ยวกับพระทรมาน และ การสิ้นพระชนม์ของพระองค์ใน มิสซาวันนี้ด้วย ในจดหมายถึงชาวฟิลิปปีซึ่งเราได้รับฟังในบทอ่านที่สอง นักบุญเปาโลสรุปความหมายทั้งหมดของสิ่งที่พระ เยซูเจ้าได้ทรงกระทาระหว่างสัปดาห์ศักดิ์สิทธิ์และวันปัสกาไว้ว่า “แม้ว่าพระองค์ทรงมีธรรมชาติพระเจ้า พระองค์ก็มิได้ทรงถือว่าศักดิ์ศรีเสมอพระเจ้านั้น เป็นสมบัติที่จะต้องหวงแหนแต่ทรงสละพระองค์จนหมดสิ้น ทรงรับสภาพดุจทาส เป็นมนุษย์ดุจเรา ทรงแสดงพระองค์ในธรรมชาติมนุษย์ ทรงถ่อมพระองค์จนถึงกับทรงยอมรับแม้ความตาย เป็นความตายบนไม้กางเขน เพราะเหตุนี้ พระเจ้าจึงทรงเทิดทูนพระองค์ขึ้นสูงส่ง และ ประทานพระนามให้แก่พระองค์ พระนามนี้ประเสริฐกว่านามอื่นใดทั้งสิ้น” (ฟป 2:6-9) นักบุญเปาโลยังเกี่ยวกับการดาเนินชีวิตแบบคริสตชนไว้ด้วยว่า “จงมีความรู้สึกนึกคิดเช่นเดียวกับที่พระคริสตเจ้าทรงมีเถิด” (ฟป 2:5)


เราต้องมีท่าทีเดียวกันกับท่าทีของพระเยซูเจ้าต่อพระประสงค์ และแผนการของพระเจ้าที่ทรงกาหนดไว้ สาหรับเราแต่ละคน เพื่อเป็นศิษย์ติดตามพระเยซูเจ้าเราจะต้องยอมรับทุกสิ่งทุกอย่าง ที่มาจากพระหัตถ์ของพระเจ้า ด้วยความสุภาพถ่อมตนและนบนอบเชื่อฟัง รวมทั้งความตายด้วย ถ้าจาเป็น เพราะนี่เป็นวิถีทางเดียวที่จะนาไปสู่ ความสุขที่แท้จริง ศิษย์ และ อาจารย์จะเดินคนละเส้นทางไม่ได้ เพราะศิษย์คือผู้เจริญรอยตามและติดตามอาจารย์ ของตน ถ้าเส้นทางสู่พระสิริรุ่งโรจน์ของพระเยซูเจ้าเป็นเส้นทางแห่งไม้กางเขน เส้นทางสู่ชีวิตนิรันดรของเรา ก็ต้อง เป็นเส้นทางแห่งไม้กางเขนเช่นเดียวกัน

ขอพระเจ้าอวยพรพี่น้องทุกคน พระสังฆราชยอแซฟ ลือชัย ธาตุวิสัย ประมุขสังฆมณฑลอุดรธานี


enen ข้อคิดยามเช้า วันจันทร์ ที่ 30 มีนาคม 2015 คาถามหนึ่ง ที่ค้างคาใจเราบาง คนคือ ทาไมอารมณ์ และ ความรู้สึก ของฝูงชนในกรุง เยรูซาเล็มจึงได้ เปลี่ยนไปแบบ หน้ามือเป็นหลังมือ เพียงแค่ ช่วงเวลาไม่กี่วัน? ทาไมเสียงร้องของพวก เขาที่ว่า "โฮซานนาแด่โอรสของกษัตริย์ดาวิด" (มธ 21:9) ในวันอาทิตย์ใบลานจึงกลายเป็น “เอาเขาไปตรึงกางเขน” (มก 15:13) ในวันศุกร์ศักดิ์สิทธิ?์ สาเหตุประการหนึ่งมาจากความหวังที่พังทลายของพวกเขา ประชาชนในกรุงเยรูซาเล็มคาดหวังว่า พระเยซูเจ้าจะทรงเป็นพระเมสสิยาห์ หรือ ผู้รับเจิมของพระเจ้าเหมือนกษัตริย์ดาวิด พระองค์จะเป็นนักรบผู้กล้า และ นาพวกเขาบดขยี้กองทัพชาวโรมันเพื่อคืนอิสรภาพแก่พวกเขา เมื่อพวกเขาพบว่าพระเยซูเจ้าไม่ได้ทรงเป็น พระเมสสิยาห์ตามแบบที่พวกเขาคิด แต่ทรงเป็นพระเมสสิยาห์ที่สุภาพถ่อมตน และ พร้อมที่จะให้อภัยแก่ทุกคน พวกเขาจึงรู้สึกผิดหวังในตัวพระองค์มาก เมื่อความหวังของพวกเขากลับกลายเป็นความผิดหวัง ความชื่นชมยินดีจึง เปลี่ยนเป็นความคับข้องใจ พวกเขาโกรธที่พระองค์ไม่ได้ทรงเป็นพระเมสสิยาห์ในแบบที่พวกเขาคาดหวังและต้องการ อันที่จริง พระเยซูเจ้าทรงทราบล่วงหน้าถึงผลที่ตามมาของท่าทีที่เปลี่ยนไปของประชาชนที่มีต่อพระองค์เป็น อย่างดี ก่อนหน้านี้พระองค์ทรงพยายามชี้ให้พวกเขาเห็นถึงเรื่องนี้ด้วยการสอนว่าการสิ้นพระชนม์ของพระองค์ เป็นสิ่งจาเป็นสาหรับความรอดพ้นของพวกเขาจาเป็นที่พระองค์ต้องถูกยกขึ้นบนไม้กางเขน


“โมเสสยกรูปงูขึ้นในถิ่นทุรกันดารฉันใด บุตรแห่งมนุษย์ก็จะต้องถูกยกขึ้นฉันนั้น เพื่อทุกคนที่มีความเชื่อในพระองค์จะมีชีวิตนิรันดร” (ยน 3:14-15) พระองค์ยังทรงเปรียบพระองค์เองเหมือนเมล็ดข้าว ที่ต้องตกลงในดินและตายไป “ถ้าเมล็ดข้าวไม่ได้ตกลงในดินและตายไป มันก็จะเป็นเพียงเมล็ดเดียวเท่านั้น แต่ถ้ามันตาย มันก็จะบังเกิดผลมากมาย” (ยน 12:24) พระองค์ยังทรงชี้ให้เห็นว่าเมื่อพระวิหารแห่งพระวรกายของพระองค์ถูกทาลายลงพระองค์จะทรงยกมันขึ้น ใหม่ในวันที่สาม “จงทาลายพระวิหารนี้ แล้วเราจะสร้างขึ้นใหม่ภายในสามวัน” (ยน 2:19) ยิ่งกว่านั้น พระองค์ได้ทรงให้ศิษย์ที่อยู่ใกล้ชิดพระองค์สามคน ได้ชิมลางพระสิริรุ่งโรจน์ของพระองค์ล่วงหน้า ด้วยการแสดงพระองค์อย่างรุ่งโรจน์ให้พวกเขาได้เห็นบนภูเขาสูงตามลาพังอีกด้วย (เทียบ มก 9:2-8) การสิ้นพระชนม์ของพระเยซูเจ้าไม่ใช่จุดหมายปลายทางสุดท้ายของพระองค์ แต่เป็นเพียงทางผ่านเข้า สู่พระสิริรุ่งโรจน์ของพระองค์

ขอพระเจ้าอวยพรพี่น้องทุกคน พระสังฆราชยอแซฟ ลือชัย ธาตุวิสัย ประมุขสังฆมณฑลอุดรธานี


enen ข้อคิดยามเช้า วันอังคาร ที่ 31 มีนาคม 2015 ไม่เพียงประชาชนในกรุง เยรูซาเล็มที่มีท่าทีเปลี่ยนไป พวกเขารู้สึกผิดหวัง โกรธ และ คับข้องใจ ในตัวพระเยซูเจ้า บรรดาศิษย์ และ ผู้ที่ติดตาม พระเยซูเจ้าอย่างชื่นชมบูชาก็ เช่นกัน พวกเขาได้ลืมสิ่งที่ พระองค์ได้ทรงสั่งสอน และ ชี้แนะแนวทางให้พวกเขาได้ เห็นล่วงหน้า ยูดาส หนึ่งในอัครสาวกสิบสองคนได้ทรยศต่อพระองค์ เมื่อพระองค์ทรงถูกจับกุม บรรดาอัครสาวกได้ละทิ้ง พระองค์เพราะความหวาดกลัว เมื่อพระองค์ทรงถูกยกขึ้นบนไม้กางเขน ประชาชนได้เยาะเย้ยพระองค์ เมื่อพระองค์ ทรงถูกฝังไว้ในพระคูหา บรรดาศัตรูของพระองค์ต่างคิดว่าทุกสิ่งทุกอย่างจบลงแล้วสาหรับพระองค์ ดูเหมือนว่าวันศุกร์ ศักดิ์สิทธิ์เป็นวันที่น่าเศร้า และ ขมขื่นสาหรับทุกคนที่มอบความหวังของตนเองไว้ในพระเยซูเจ้าในฐานะพระเมสสิยาห์ ที่พวกเขารอคอยเป็นเวลานานแสนนาน แต่ความจริงคือ การสิ้นพระชนม์ของพระเยซูเจ้าไม่ใช่จุดหมายปลายทาง สุดท้ายของพระองค์ แต่เป็นเพียงทางผ่านเข้าสู่พระสิริรุ่งโรจน์ของพระองค์ สาหรับเราผู้เป็นศิษย์ของพระคริสตเจ้าจาเป็นต้องตระหนักอยู่เสมอว่า เราแต่ละคนสามารถร่วมส่วนในพระ ทรมานของพระบุตรสุดที่รักของพระเจ้า ผ่านทางความยากลาบากที่เราประสบในแต่ละวัน ยืนหยัดมั่นคงในการ ติดตามพระองค์ไม่ว่าจะในยามสุขหรือในยามทุกข์ ถ้าเรามีส่วนร่วมในพระทรมาน และ การสิ้นพระชนม์ของพระองค์ บนโลกนี้เราจะมีส่วนร่วมในพระสิริรุ่งโรจน์ของพระองค์ในสวรรค์อย่างแน่นอน

ขอพระเจ้าอวยพรพี่น้องทุกคน พระสังฆราชยอแซฟ ลือชัย ธาตุวิสัย ประมุขสังฆมณฑลอุดรธานี



Issuu converts static files into: digital portfolios, online yearbooks, online catalogs, digital photo albums and more. Sign up and create your flipbook.