ไบเบิลไดอารี่ เดือนพฤษภาคม 2020

Page 1


บทอ่านที่ 1 กจ 9:1-20 ขณะนั้น เซาโลยังคงเคียดแค้นคุกคามจะฆ่าบรรดาศิษย์ขององค์พระผู้เป็นเจ้า... ขณะที่เขาเดินทางใกล้ถึงเมืองดามัสกัส ทันใดนั้นมีแสงสว่างจากท้องฟ้าล้อมรอบตัว เขาไว้ เขาล้มลงที่พื้นดินและได้ยินเสียงกล่าวว่า “เซาโล เซาโล ท่านเบียดเบียนเรา ทำ�ไม” เซาโลจึงถามว่า “พระเจ้าข้า พระองค์คือใคร” พระองค์ตรัสว่า “เราคือเยซู ซึ่ง ท่านกำ�ลังเบียดเบียน ท่านจงลุกขึ้น เข้าไปในเมือง แล้วจะมีคนบอกให้รู้ว่าจะต้องทำ� น.โยเซฟ อะไร” คนที่เดินทางพร้อมกับเซาโลยืนนิ่งพูดไม่ออก เขาได้ยินเสียงพูดแต่ไม่เห็นใคร กรรมกร เลย เซาโลจึงลุกขึ้นจากพื้นดิน ลืมตา แต่ก็มองสิ่งใดไม่เห็น คนอื่นจึงจูงมือเขา พา สดด 117:1-2 เข้าไปในเมืองดามัสกัส เซาโลมองไม่เห็นสิง่ ใดเลยเป็นเวลาสามวัน ไม่ได้กนิ และไม่ได้ดม่ื ทีเ่ มืองดามัสกัสมีศษิ ย์คนหนึง่ ชือ่ อานาเนีย องค์พระผูเ้ ป็นเจ้าทรงเรียกเขาในนิมติ ทำ�วัตรสัปดาห์ที่ 3 ว่า “อานาเนีย” อานาเนียทูลว่า “ข้าแต่องค์พระผู้เป็นเจ้า ข้าพเจ้าอยู่ที่นี่” องค์พระผู้ วันศุกร์ต้นเดือน เป็นเจ้าจึงตรัสกับเขาว่า “จงลุกขึ้นไปที่ถนนซึ่งเรียกว่าถนนตรง จงไปที่บ้านของยูดาส วันแรงงานแห่งชาติ ถามหาชายคนหนึ่งชื่อเซาโลที่มาจากเมืองทาร์ซัส ขณะนี้เซาโลกำ�ลังอธิษฐานภาวนา อยู่ และเห็นชายคนหนึง่ ชือ่ อานาเนียในนิมติ เข้ามาปกมือให้ เพือ่ ให้เขามองเห็นได้อกี ” แต่อานาเนียทูลตอบว่า “ข้าแต่องค์พระผู้เป็นเจ้า ข้าพเจ้าได้ยินหลายคนพูดถึงชายผู้นี้ และได้ยินว่า ที่ กรุงเยรูซาเล็มเขาได้ทำ�ร้ายบรรดาผู้ศักดิ์สิทธิ์ของพระองค์เพียงใด...” แต่องค์พระผู้เป็นเจ้าตรัสตอบ อานาเนียว่า “จงไปเถิด เพราะชายผู้นี้เป็นเครื่องมือที่เราเลือกสรรไว้เพื่อนำ�นามของเราไปประกาศแก่คน ต่างศาสนา บรรดากษัตริย์และลูกหลานของอิสราเอล เราจะแสดงให้เขารู้ว่า เขาจะต้องทนทุกข์ทรมานมาก เท่าใดเพราะนามของเรา” อานาเนียจึงจากไป และเข้าไปในบ้าน ปกมือเหนือเซาโล กล่าวว่า “เซาโลน้องรัก พระเยซูองค์พระผูเ้ ป็นเจ้าซึง่ ทรงสำ�แดงพระองค์แก่ทา่ นกลางทางทีท่ า่ นมานัน้ ทรงส่งข้าพเจ้ามาเพือ่ ท่านจะ มองเห็นได้อีกและได้รับพระจิตเจ้าอย่างเต็มเปี่ยม” ทันใดนั้นมีสิ่งหนึ่งเหมือนเกล็ดตกจากนัยน์ตาของ เซาโล เขามองเห็นได้อีก จึงลุกขึ้นรับศีลล้างบาป เมื่อกินอาหารแล้วก็มีกำ�ลังขึ้น... พระวรสาร ยน 6:52-59 เวลานั้น ชาวยิวจึงเถียงกันว่า “คนนี้เอาเนื้อของตนให้เรากินได้อย่างไร” พระเยซูเจ้าตรัสตอบเขาว่า “เราบอกความจริงแก่ทา่ นทัง้ หลายว่า ถ้าท่านไม่กนิ เนือ้ ของบุตรแห่งมนุษย์ และไม่ดื่มโลหิตของเขา ท่านจะไม่มีชีวิตในตนเอง ผู้ที่กินเนื้อของเรา และดื่มโลหิตของเรา ก็มีชีวิตนิรันดร เราจะทำ�ให้เขากลับคืนชีพในวันสุดท้าย เพราะเนื้อของเราเป็นอาหารแท้ และโลหิตของเราเป็นเครื่องดื่มแท้ ผู้ที่กินเนื้อของเรา และดื่มโลหิตของเรา ก็ดำ�รงอยู่ในเรา และเราก็ดำ�รงอยู่ในเขา พระบิดาผู้ทรงชีวิตทรงส่ง เรามา และเรามีชีวิตเพราะพระบิดาฉันใด ผู้ที่กินเนื้อของเราจะมีชีวิตเพราะเราฉันนั้น นี่คือปังที่ลงมาจาก สวรรค์ ไม่เหมือนปังที่บรรดาบรรพบุรุษได้กินแล้วยังตาย ผู้ที่กินปังนี้จะมีชีวิตอยู่ตลอดไป” พระองค์ตรัส เช่นนี้ขณะที่ทรงสอนในศาลาธรรมที่เมืองคาเปอรนาอุม ชีวติ มีกระบวนการพัฒนาแบบค่อยเป็นค่อยไป สำ�หรับผูม้ คี วามเชือ่ ในองค์พระผูเ้ ป็นเจ้า ต้อง ยอมมอบชีวติ ฝ่ายโลกนี้ เพือ่ องค์พระผูเ้ ป็นเจ้าจะเปลีย่ นแปลงเขา ทัง้ ฝ่ายกายและฝ่ายจิต นักบุญเปาโลเป็น ตัวอย่างการพัฒนาชีวิตคริสตชน เมื่อท่านรับความเชื่อ ความรัก และการหลุดพ้นจากธรรมบัญญัติเดิม มา รับแนวคำ�สอนของพระคริสตเจ้าแบบหมดรูปเก่า เข้าสู่รูปแบบใหม่


บทอ่านที่ 1 กจ 9:31-42 ขณะนั้ น พระศาสนจั ก รมี สั น ติ ภ าพทั่ ว แคว้ น ยู เดี ย กาลิ ลี แ ละสะมาเรี ย พระศาสนจักรเติบโตขึน้ มีความเคารพยำ�เกรงองค์พระผูเ้ ป็นเจ้า และได้รบั กำ�ลังใจจาก พระจิตเจ้าอย่างเต็มเปี่ยม เมือ่ เปโตรเดินทางไปเยีย่ มผูม้ คี วามเชือ่ ในทีต่ า่ งๆ เขาไปเยีย่ มบรรดาผูศ้ กั ดิส์ ทิ ธิท์ ี่ ระลึกถึง อยู่ในเมืองลิดดาด้วย ที่นั่นเขาพบชายคนหนึ่งชื่อไอเนอัส เป็นอัมพาตนอนอยู่บนแคร่ น.อาทานาส มาแปดปีแล้ว เปโตรจึงพูดกับเขาว่า “ไอเนอัสเอ๋ย พระเยซูคริสตเจ้าทรงรักษาท่านให้ พระสังฆราช หาย จงลุกขึ้นและเก็บที่นอนเถิด” เขาก็ลุกขึ้นทันที เมื่อเห็นดังนี้ ทุกคนที่อยู่ในเมือง และนักปราชญ์ ลิดดาและในที่ราบชาโรนก็กลับใจมีความเชื่อในองค์พระผู้เป็นเจ้า สดด 116:12-13, ในบรรดาศิษย์ทเี่ มืองยัฟฟามีหญิงคนหนึง่ ชือ่ ทาบีธา แปลว่า “เนือ้ ทราย” ทำ�ความ 14-16,17 ดีและให้ทานเป็นอันมาก ระหว่างนั้นนางป่วยและถึงแก่กรรม เขาทำ�ความสะอาดศพ ทำ�วัตรสัปดาห์ที่ 3 และตัง้ ศพไว้ในห้องชัน้ บน เมืองลิดดาอยูใ่ กล้กบั เมืองยัฟฟา บรรดาศิษย์รวู้ า่ เปโตรอยู่ ที่เมืองลิดดา จึงส่งชายสองคนไปเชิญเขาว่า “โปรดรีบมาหาเราเถิด” เปโตรไปกับเขาทันที เมื่อไปถึง เขาก็พาเปโตรขึ้นไปยังห้องชั้นบน บรรดาหญิงม่ายมาห้อมล้อม ทุกคน ต่างร้องไห้และชีใ้ ห้เปโตรดูเสือ้ ผ้าทัง้ ชัน้ นอกชัน้ ในทีท่ าบีธาตัดเย็บให้เมือ่ นางยังมีชวี ติ เปโตรจึงสัง่ ให้ทกุ คน ออกไปข้างนอก เขาคุกเข่าอธิษฐานภาวนาแล้วหันมาดูศพ พูดว่า “ทาบีธาเอ๋ย จงลุกขึ้นเถิด” นางก็ลืมตา ขึน้ มองดูเปโตรและลุกขึน้ นัง่ เปโตรจึงยืน่ มือพยุงให้นางยืน แล้วเรียกบรรดาผูศ้ กั ดิส์ ทิ ธิแ์ ละบรรดาหญิงม่าย เข้ามา ชี้ให้เห็นว่านางยังมีชีวิต เรื่องนี้เป็นที่รู้กันทั่วเมืองยัฟฟา หลายคนมีความเชื่อในองค์พระผู้เป็นเจ้า พระวรสาร ยน 6:60-69 เวลานั้น เมื่อศิษย์หลายคนได้ยินพระองค์ตรัสดังนี้ก็กล่าวว่า “ถ้อยคำ�นี้ขัดหูจริง ใครจะฟังได้” พระเยซูเจ้าทรงทราบด้วยพระองค์วา่ บรรดาศิษย์ก�ำ ลังบ่นกันเรือ่ งนี้ จึงตรัสแก่เขาว่า “เรือ่ งนีท้ �ำ ให้ทา่ นเคลือบ แคลงใจหรือ แล้วถ้าท่านจะเห็นบุตรแห่งมนุษย์กลับขึ้นสู่สถานที่ที่เคยอยู่แต่ก่อนเล่า ท่านจะว่าอย่างไร พระจิตเจ้าทรงเป็นผูป้ ระทานชีวติ ลำ�พังมนุษย์ท�ำ อะไรไม่ได้ วาจาทีเ่ รากล่าวแก่ทา่ นทัง้ หลายนัน้ ให้ชวี ติ เพราะ มาจากพระจิตเจ้า แต่บางท่านไม่เชื่อ” พระเยซูเจ้าทรงทราบตั้งแต่แรกแล้วว่าผู้ใดไม่เชื่อ และผู้ใดจะทรยศ ต่อพระองค์ พระองค์ตรัสต่อไปว่า “ดังนั้น เราจึงบอกท่านทั้งหลายว่า ไม่มีผู้ใดมาหาเราได้ เว้นแต่ผู้ที่ พระบิดาประทานให้เขามา” หลังจากนั้น ศิษย์หลายคนเปลี่ยนใจ ไม่ติดตามพระองค์อีกต่อไป พระเยซูเจ้าจึงตรัสกับอัครสาวกสิบสองคนว่า “ท่านทั้งหลายจะไปด้วยหรือ” ซีโมนเปโตรทูลตอบว่า “พระเจ้าข้า พวกเราจะไปหาใครเล่า พระองค์มีพระวาจาแห่งชีวิตนิรันดร พวก เราเชื่อและรู้ว่าพระองค์ทรงเป็นผู้ศักดิ์สิทธิ์ของพระเจ้า” ในการทำ�หน้าที่ผู้แพร่ธรรมต่อจากพระเยซูเจ้า นักบุญเปโตรได้ใช้วิธีการของพระองค์ กล่าว คือ การรักษาความเจ็บป่วยฝ่ายกาย และการบำ�รุงรักษาฝ่ายจิต พระเยซูเจ้าทรงทราบดีวา่ การยอมรับพระ วาจาทีท่ รงประกาศอาจยากสำ�หรับหลายคน เพราะต้องรับความเชือ่ ด้วยความเต็มใจ และต้องแสดงออกใน การดำ�เนินชีวิตใหม่ของพระองค์อย่างซื่อสัตย์ตลอดชีวิตด้วย แม้ต้องพลีชีวิตเพื่อพิสูจน์ก็ตาม


สัปดาห์ที่ 4 เทศกาลปัสกา ทำ�วัตรสัปดาห์ที่ 4

บทอ่านจากหนังสือกิจการอัครสาวก กจ 2:14ก,36-41 เปโตรยืนขึน้ พร้อมกับบรรดาอัครสาวกสิบเอ็ดคน และพูดกับประชาชนด้วยเสียง ดังว่า “ขอให้เผ่าพันธุอ์ สิ ราเอลทัง้ มวลรูแ้ น่เถิดว่า พระเจ้าทรงแต่งตัง้ พระเยซูผนู้ ที้ ที่ า่ น ทั้งหลายนำ�ไปตรึงบนไม้กางเขน ให้เป็นองค์พระผู้เป็นเจ้าและพระคริสตเจ้า” ถ้อยคำ�เหล่านีเ้ สียดแทงใจของทุกคน เขาเหล่านัน้ จึงถามเปโตรและอัครสาวกอื่นๆ ว่า “พี่น้อง พวกเราจะต้องทำ�อย่างไร” เปโตรตอบว่า “ท่านทั้งหลายจงกลับใจเถิด แต่ละคนจงรับศีลล้างบาปเดชะพระนามของพระเยซูคริสตเจ้า เพื่อจะได้รับการอภัย บาป แล้วท่านจะได้รับพระพรของพระจิตเจ้า พระสัญญานี้มีไว้สำ�หรับท่านทั้งหลาย สำ�หรับบุตรหลานของท่านและสำ�หรับทุกคนทีอ่ ยูห่ า่ งไกล ซึง่ องค์พระผูเ้ ป็นเจ้าพระเจ้า ของเราจะทรงเรียก” เปโตรกล่าวถ้อยคำ�อีกมาก อ้อนวอน และตักเตือนเขาว่า “ท่าน ทั้งหลายจงช่วยตนให้รอดพ้นจากคนชั่วร้ายในยุคนี้เถิด” คนเหล่านั้นรับถ้อยคำ�ของ เปโตรและได้รับศีลล้างบาป วันนั้นผู้มีความเชื่อมีจำ�นวนเพิ่มขึ้นอีกประมาณสามพัน คน เพลงสดุดี สดด 23:1-6 ก) องค์พระผู้เป็นเจ้าทรงเลี้ยงดูข้าพเจ้าอย่างผู้เลี้ยงแกะ ข้าพเจ้าจึงไม่ขาดสิ่งใด พระองค์ทรงให้ข้าพเจ้านอนพักอยู่ในทุ่งหญ้าเขียวขจี ทรงนำ�ข้าพเจ้าไปริมสายนทีที่เงียบสงบ เพื่อฟื้นฟูจิตใจของข้าพเจ้า ข) ทรงชี้ทางให้ข้าพเจ้าเดินไปบนมรรคาแห่งความชอบธรรม เพราะเห็นแก่พระนามของพระองค์ แม้ข้าพเจ้าจะต้องเดินไปในหุบเขาที่มืดมิด ข้าพเจ้าก็จะไม่กลัวอันตรายใดๆ เพราะพระองค์ทรงอยู่กับข้าพเจ้า พระคทาและธารพระกรของพระองค์ช่วยให้ข้าพเจ้าอุ่นใจ ค) พระองค์ทรงจัดเตรียมโต๊ะอาหารไว้สำ�หรับข้าพเจ้าต่อหน้าเหล่าศัตรู ทรงเทนํ้ามันเจิมศีรษะของข้าพเจ้า ทรงเทเครื่องดื่มลงในถ้วยของข้าพเจ้าจนล้นปรี่ ง) พระกรุณาและความรักมั่นคงของพระองค์จะติดตามข้าพเจ้าไปทุกวัน ตลอดชีวิต ข้าพเจ้าจะพำ�นักอยู่ในพระเคหาขององค์พระผู้เป็นเจ้าตลอดไปเป็นนิจนิรันดร์ บทอ่านจากจดหมายนักบุญเปโตรอัครสาวก ฉบับที่หนึ่ง 1 ปต 2:20ข-25 ลูกทีร่ กั ยิง่ ถ้าท่านทำ�ความดี แล้วยอมทนทุกข์ จึงจะเป็นพระหรรษทานของพระเจ้า


พระเจ้าทรงเรียกท่านให้ปฏิบัติดังนี้ พระคริสตเจ้าทรง รับทรมานเพื่อท่าน และประทานแบบฉบับไว้ให้ท่านดำ�เนิน ตามรอยพระบาท พระองค์มิได้ทรงกระทำ�บาป มิได้ตรัส หลอกลวงผู้ใด เมื่อเขาดูหมิ่นพระองค์ พระองค์ก็มิได้ทรง โต้ตอบ เมื่อทรงรับทรมาน พระองค์มิได้ทรงข่มขู่จะแก้แค้น แต่ทรงมอบพระองค์ไว้แด่พระผูท้ รงพิพากษาด้วยความเทีย่ ง ธรรม พระองค์ทรงแบกบาปของเราไว้ในพระวรกายบนไม้ กางเขน เพื่อเราจะได้ตายจากบาปและมีชีวิตอยู่เพื่อความ ชอบธรรม รอยแผลของพระองค์รกั ษาท่านให้หาย ท่านเคย เป็นเหมือนแกะทีพ่ ลัดหลงจากฝูง แต่บดั นีก้ ลับมาหาผูเ้ ลีย้ ง และผู้ดูแลวิญญาณของท่านแล้ว

บทอ่านจากพระวรสารนักบุญยอห์น ยน 10:1-10 เวลานั้น พระเยซูเจ้าตรัสว่า “เราบอกความจริงแก่ท่านทั้งหลายว่า ผู้ที่ไม่เข้าคอกแกะทางประตู แต่ปีนเข้าทางอื่น ก็เป็นขโมยและ โจร ผูท้ เี่ ข้าทางประตูกเ็ ป็นผูเ้ ลีย้ งแกะ คนเฝ้าประตูยอ่ มเปิดประตูให้เขาเข้าไป บรรดาแกะก็ฟงั เสียงเขา เขา เรียกชือ่ แกะของตนทีละตัว และพาออกไปข้างนอก เมือ่ เขาพาแกะออกไปหมดแล้ว เขาจะเดินนำ�หน้า และ แกะก็ตามไปเพราะจำ�เสียงของเขาได้ แกะจะไม่ตามคนแปลกหน้าเลย แต่จะหนีจากเขา เพราะไม่รู้จักเสียง ของคนแปลกหน้า” พระเยซูเจ้าตรัสอุปมาเรื่องนี้ให้คนเหล่านั้นฟัง แต่เขาไม่เข้าใจว่าสิ่งที่พระองค์ตรัสนั้นหมายถึงสิ่งใด พระเยซูเจ้ายังตรัสกับเขาอีกว่า “เราบอกความจริงแก่ท่านทั้งหลายว่า เราเป็นประตูคอกแกะ ทุกคน ที่มาก่อนหน้าเรา เป็นขโมยและโจร แต่แกะมิได้ฟังเสียงของเขาเหล่านั้น เราเป็นประตู ผู้ที่เข้ามาทางเราก็ จะรอดพ้น เขาจะเข้าจะออก และจะพบทุ่งหญ้า ขโมยย่อมมาเพื่อขโมย ฆ่าและทำ�ลาย เรามาเพื่อให้แกะมี ชีวิต และมีชีวิตอย่างสมบูรณ์” หนทางที่พระเยซูเจ้าประกาศให้บรรดาอัครสาวกรับไว้ ไม่ใช่ทางสะดวก เพราะทรงทราบ ล่วงหน้าว่า การรับฟังพระวาจาแต่ไม่นำ�ไปปฏิบัติในชีวิต ย่อมทำ�ให้หนทางตีบตันและหาทางออกลำ�บาก นักบุญเปโตรจึงเขียนจดหมายถึงศิษย์ในบทอ่านที่สองของวันนี้ว่า ถ้าทำ�ความดีแล้วยอมทนทุกข์ จะเป็น พระหรรษทานของพระเจ้า จงวางใจในพระเจ้าเสมอ แล้วพระองค์จะเดินนำ�หน้า พาสู่ชีวิตปลอดภัย


บทอ่านที่ 1 กจ 11:1-18 ในครั้งนั้น บรรดาอัครสาวกและพี่น้องที่อยู่ในแคว้นยูเดียรู้ว่าคนต่างศาสนาได้ ยอมรับพระวาจาของพระเจ้าด้วย เมือ่ เปโตรขึน้ ไปทีก่ รุงเยรูซาเล็ม บรรดาผูม้ คี วามเชือ่ ที่เข้าสุหนัตตำ�หนิเขา ถามว่า “ทำ�ไมท่านเข้าไปในบ้านของผู้ที่ไม่ได้เข้าสุหนัตและกิน อาหารร่วมกับเขา” เปโตรจึงเริม่ เล่าเหตุการณ์ทเี่ กิดขึน้ ให้เขาฟังตามลำ�ดับว่า “วันหนึง่ ขณะที่ข้าพเจ้ากำ�ลังอธิษฐานภาวนาอยู่ที่เมืองยัฟฟา ข้าพเจ้าเข้าสู่ภวังค์และเห็นนิมิต สัปดาห์ที่ 4 สิ่งหนึ่งคล้ายผ้าผืนใหญ่ ถูกมัดไว้ทั้งสี่มุมกำ�ลังถูกหย่อนลงจากท้องฟ้ามาที่ข้าพเจ้า เทศกาลปัสกา ข้าพเจ้าจ้องดูสิ่งนั้นอย่างตั้งใจ ก็เห็นสัตว์สี่เท้าของแผ่นดิน สัตว์ป่า สัตว์เลื้อยคลาน สดด 42:2-3,43:3,4 และนกในท้องฟ้า ข้าพเจ้าได้ยินเสียงหนึ่งกล่าวแก่ข้าพเจ้าว่า ‘เปโตรเอ๋ย จงลุกขึ้น ฆ่า สัตว์เหล่านี้กินซิ’ ข้าพเจ้าทูลตอบว่า ‘ทำ�ไม่ได้ พระเจ้าข้า เพราะสิ่งมีมลทินและไม่ ทำ�วัตรสัปดาห์ที่ 4 สะอาดไม่เคยเข้าปากข้าพเจ้าเลย’ เสียงจึงตอบจากท้องฟ้าเป็นครั้งที่สองว่า ‘สิ่งที่ วันฉัตรมงคล พระเจ้าทรงชำ�ระให้สะอาดแล้ว ท่านอย่าเรียกว่ามีมลทินเลย’ เสียงจากท้องฟ้านี้เกิด ขึ้นถึงสามครั้ง แล้วทุกสิ่งก็ถูกดึงขึ้นไปบนท้องฟ้า ทันใดนั้นมีชายสามคนมาหยุดยืนอยู่หน้าบ้านที่ข้าพเจ้า พัก เขาถูกส่งจากเมืองซีซารียามาพบข้าพเจ้า พระจิตเจ้าทรงบอกข้าพเจ้าให้ไปกับเขาโดยไม่ตอ้ งลังเล พีน่ อ้ ง หกคนเหล่านีไ้ ปพร้อมกับข้าพเจ้าด้วย เราเข้าไปในบ้านของโครเนลิอสั เขาเล่าให้เราฟังว่า เขาเห็นทูตสวรรค์ องค์หนึ่งปรากฏมาในบ้านของเขาพูดว่า ‘จงส่งคนไปที่เมืองยัฟฟา ไปเชิญซีโมนที่รู้จักกันในนามว่าเปโตรมา ที่นี่ เขาจะกล่าวถ้อยคำ�ที่จะนำ�ความรอดพ้นมาให้ท่านและทุกคนในครอบครัว’ ขณะที่ข้าพเจ้าเริ่มพูด พระจิตเจ้าก็เสด็จลงมาเหนือเขาเหล่านั้น เหมือนกับที่ได้เสด็จลงมาเหนือเราใน ตอนแรก ข้าพเจ้าจึงระลึกถึงพระวาจาทีอ่ งค์พระผูเ้ ป็นเจ้าตรัสไว้วา่ ‘ยอห์นทำ�พิธลี า้ งด้วยนํา้ แต่ทา่ นทัง้ หลาย จะได้รบั การล้างเดชะพระจิตเจ้า’ ในเมือ่ พระเจ้าประทานพระพรแก่เขาเช่นเดียวกับทีป่ ระทานแก่เราผูเ้ ชือ่ ใน พระเยซูคริสต์องค์พระผู้เป็นเจ้า ข้าพเจ้าเป็นใครเล่าที่จะขัดขวางพระเจ้าได้”... พระวรสาร ยน 10:11-18 เวลานั้น พระเยซูเจ้าตรัสกับบรรดาศิษย์ว่า “เราเป็นผู้เลี้ยงแกะที่ดี ผู้เลี้ยงแกะย่อมสละชีวิตเพื่อแกะของตน ลูกจ้างที่ไม่ใช่ผู้เลี้ยงแกะ และไม่ เป็นเจ้าของแกะ เมื่อเห็นสุนัขป่าเข้ามา ก็ละทิ้งบรรดาแกะและหนีไป สุนัขป่าแย่งชิงแกะ และฝูงแกะก็ กระจัดกระจายไป ลูกจ้างวิ่งหนีเพราะเขาเป็นเพียงลูกจ้าง ไม่มีความห่วงใยฝูงแกะเลย เราเป็นผู้เลี้ยงแกะ ที่ดี เรารู้จักแกะของเรา และแกะของเราก็รู้จักเรา พระบิดาทรงรู้จักเราฉันใด เราก็รู้จักพระบิดาฉันนั้น เรา ยอมสละชีวิตเพื่อแกะของเรา เรายังมีแกะอื่นๆ ซึ่งไม่อยู่ในคอกนี้ เราต้องนำ�หน้าแกะเหล่านี้ด้วย แกะจะ ฟังเสียงของเรา จะมีแกะเพียงฝูงเดียว และผูเ้ ลีย้ งเพียงคนเดียว พระบิดาทรงรักเรา เพราะเราสละชีวติ ของ เรา เพื่อจะเอาชีวิตนั้นคืนมาอีก ไม่มีใครเอาชีวิตไปจากเราได้ แต่เราเองสมัครใจสละชีวิตนั้น เรามีอำ�นาจที่ จะสละชีวิตของเรา และมีอำ�นาจที่จะเอาชีวิตนั้นคืนมาอีก นี่คือพระบัญชาที่เราได้รับจากพระบิดาของเรา” พระศาสนจักร 350 ปีมสิ ซังสยาม ยังคงอยูใ่ นหนทางทีอ่ งค์พระผูเ้ ป็นเจ้าทรงประทานพระพร ผ่านทางพระจิตเจ้า ขณะที่โลกมีการเปลี่ยนแปลงด้วยวิทยาการต่างๆ พระศาสนจักรต้องไม่หยุดนิ่งเช่นกัน เพราะพระจิตเจ้าที่แต่ละคนรับไว้ในชีวิตคริสตชน ต้องแสดงฐานะเป็นประกาศก ประกาศข่าวดี ข่าวความ รอดพ้น จากความมืดของธรรมชาติฝา่ ยตา่ํ สูค่ วามสว่างของความจริง ความรัก และความเชือ่ ในองค์พระผูเ้ ป็น เจ้า โดยไม่เสียดายชีวติ ของโลกนี้


บทอ่านที่ 1 กจ 11:19-26 ในครั้งนั้น การเบียดเบียนที่เกิดขึ้นสมัยสเทเฟนทำ�ให้บรรดาศิษย์กระจัดกระจาย ไปและมาถึงแคว้นฟีนีเซีย เกาะไซปรัสและเมืองอันทิโอก บรรดาศิษย์ประกาศพระ วาจาแก่ชาวยิวเท่านั้น ในบรรดาคนเหล่านี้ บางคนเป็นชาวไซปรัสและชาวไซรีน เขาไป ถึงเมืองอันทิโอก เทศน์สอนชาวกรีกด้วย ประกาศข่าวดีเรื่องพระเยซูองค์พระผู้เป็น เจ้า พระหัตถ์ขององค์พระผูเ้ ป็นเจ้าอยูก่ บั เขา คนจำ�นวนมากเชือ่ และกลับใจมาหาองค์ พระผู้เป็นเจ้า บรรดาศิษย์ในพระศาสนจักรที่กรุงเยรูซาเล็มรู้ข่าวนี้ จึงส่งบารนาบัสไปยังเมือง อันทิโอก เมือ่ บารนาบัสมาถึงและเห็นผลแห่งพระหรรษทานของพระเจ้า ก็มคี วามชืน่ ชม จึงเตือนทุกคนให้มีจิตใจซื่อสัตย์มั่นคงต่อองค์พระผู้เป็นเจ้า บารนาบัสเป็นคนดี เปี่ยมด้วยความเชื่อและพระจิตเจ้า จึงมีผู้คนจำ�นวนมากเข้ามาเป็นศิษย์ขององค์พระ ผู้เป็นเจ้า บารนาบัสเดินทางไปที่เมืองทาร์ซัสเพื่อตามหาเซาโล เมื่อพบแล้ว ก็พามาที่เมือง อันทิโอก ทั้งสองคนอยู่ร่วมกันในพระศาสนจักรที่นั่นเป็นเวลาหนึ่งปีเต็ม สั่งสอนคน จำ�นวนมาก ที่เมืองอันทิโอกนี้เองบรรดาศิษย์ได้รับชื่อว่า “คริสตชน” เป็นครั้งแรก พระวรสาร ยน 10:22-30 ขณะนั้นเป็นเทศกาลฉลองพระวิหารที่กรุงเยรูซาเล็ม และเป็นฤดูหนาว พระเยซู เจ้าทรงพระดำ�เนินอยู่ในพระวิหารที่เฉลียงซาโลมอน ชาวยิวมาล้อมพระองค์ไว้ ทูลว่า “ท่านจะปล่อยให้ใจของพวกเราสงสัยอยูน่ านเท่าใด ถ้าท่านเป็นพระคริสตเจ้า ก็จงบอก พวกเราให้ชัดเจนเถิด” พระเยซูเจ้าตรัสตอบเขาว่า “เราบอกท่านทั้งหลายแล้ว แต่ท่านไม่เชื่อ กิจการที่ เราทำ�ในนามของพระบิดาของเราก็เป็นพยานให้เรา แต่ทา่ นไม่เชือ่ เพราะท่านไม่ใช่แกะ ของเรา แกะของเราย่อมฟังเสียงของเรา เรารูจ้ กั มัน และมันก็ตามเรา เราให้ชวี ติ นิรนั ดร แก่แกะเหล่านั้น และมันจะไม่พินาศเลยตลอดนิรันดร ไม่มีใครแย่งชิงแกะเหล่านั้นไป จากมือเราได้ พระบิดาของเราผู้ประทานแกะเหล่านี้ให้เรา ทรงยิ่งใหญ่กว่าทุกคน และ ไม่มีใครแย่งชิงไปจากพระหัตถ์ของพระบิดาได้ เรากับพระบิดาเป็นหนึ่งเดียวกัน” ความเจริญฝ่ายโลกในรูปของการค้าขายที่สังคมยุคเผยแผ่ข่าวดีของ พระเยซูเจ้าต้องแทรกซึมในสังคมนั้นๆ ด้วย เมืองอันทิโอกที่มีการบันทึกว่า ผู้เชื่อในข่าวดีของพระเยซูเจ้า รับชื่อเป็นทางการ ว่า “คริสตชน” ต้องยึดมั่นแบบทวนกระแสของสังคมยุคนั้น แต่เมื่อเป็นต้นไม้เล็ก ต้น อ่อน บรรดาธรรมทูต เป็นต้น บารนาบัสและเปาโลต้องประคับประคองเพื่อให้เจริญ เติบโต และแผ่กงิ่ ก้านสาขาให้รม่ เงาแก่ผอู้ นื่ ดังทีพ่ ระเยซูเจ้าทรงประกาศวันนีว้ า่ “เรา กับพระบิดาเป็นหนึ่งเดียวกัน แกะจะไม่พินาศแม้แต่ตัวเดียว”

สัปดาห์ที่ 4 เทศกาลปัสกา สดด 87:1-3, 4-5,6-7

ทำ�วัตรสัปดาห์ที่ 4


สัปดาห์ที่ 4 เทศกาลปัสกา สดด 67:1-2,3-7

ทำ�วัตรสัปดาห์ที่ 4 วันวิสาขบูชา

บทอ่านที่ 1 กจ 12:24-13:5ก ในครั้งนั้น พระวาจาของพระเจ้าแผ่ขยายมากขึ้น และผู้มีความเชื่อก็เพิ่มจำ�นวน ขึ้นด้วย บารนาบัสและเซาโลปฏิบัติภารกิจที่กรุงเยรูซาเล็มแล้ว จึงกลับมาที่เมือง อันทิโอก โดยพายอห์น ที่รู้จักในนามว่า มาระโก มาด้วย ในพระศาสนจักรทีเ่ มืองอันทิโอก มีประกาศกและอาจารย์ คือบารนาบัส สิเมโอน ที่เรียกกันว่าคนดำ� ลูสิอัสชาวไซรีน มานาเอนซึ่งได้รับการศึกษาอบรมมาด้วยกันกับ กษัตริย์เฮโรดอันทิปาสและเซาโล ขณะที่เขาร่วมพิธีนมัสการองค์พระผู้เป็นเจ้าและ จำ�ศีลอดอาหาร พระจิตเจ้าตรัสว่า “ท่านทัง้ หลายจงแยกบารนาบัสและเซาโลไว้ปฏิบตั ิ ภารกิจทีเ่ ราเรียกเขาให้มาปฏิบตั เิ ถิด” เมือ่ เขาจำ�ศีลอดอาหารและอธิษฐานภาวนาแล้ว จึงปกมือเหนือบารนาบัสและเซาโล แล้วส่งเขาทั้งสองคนออกไป เมื่อบารนาบัสและเซาโลได้รับมอบภารกิจจากพระจิตเจ้าแล้ว จึงเดินทางไปยัง เมืองเซลูเคีย และจากที่นั่นก็แล่นเรือไปยังเกาะไซปรัส ครั้นถึงเมืองซาลามิส ทั้งสอง คนประกาศพระวาจาของพระเจ้าในศาลาธรรมของชาวยิว พระวรสาร ยน 12:44-50 เวลานั้น พระเยซูเจ้าตรัสเสียงดังว่า “ผู้ที่เชื่อในเรา ไม่ได้เชื่อในเราเท่านั้น แต่ยังเชื่อในพระองค์ผู้ทรงส่งเรามาด้วย ผู้ ที่เห็นเรา ก็เห็นพระองค์ผู้ทรงส่งเรามา เราเข้ามาในโลกเป็นแสงสว่าง เพื่อให้ทุกคนที่ เชื่อในเราไม่อยู่ในความมืด ผู้ใดได้ยินวาจาของเรา แล้วไม่ปฏิบัติตาม เราไม่ตัดสิน ลงโทษเขา เพราะเราไม่ได้มาเพื่อตัดสินลงโทษโลก แต่มาเพื่อช่วยโลกให้รอดพ้น ผู้ที่ ไม่ยอมรับเรา และไม่ยอมรับวาจาของเรา ก็มผี ตู้ ดั สินลงโทษเขาแล้ว วาจาทีเ่ ราได้กล่าว นัน้ จะตัดสินลงโทษเขาในวันสุดท้าย เพราะเรามิได้พดู ตามใจของเรา แต่พระบิดาผูท้ รง ส่งเรามา ได้ทรงบัญชาว่าเราต้องพูดอะไร และพูดอย่างไร เรารู้ว่าพระบัญชาของ พระองค์เป็นชีวิตนิรันดร ดังนั้น สิ่งที่เราพูด เราก็พูดดังที่พระบิดาตรัสกับเรา” พันธกิจการประกาศข่าวดียงั คงดำ�เนินต่อไป และแผ่ขยายกว้างไกลออก ไปแบบเมืองต่อเมือง และปรากฏกลุ่มผู้ประกาศข่าวดีเพิ่มจำ�นวนมากขึ้น ผู้รับความ เชื่อผ่านทางพระจิตเจ้าก็มีเพิ่มขึ้น พระวรสารได้บันทึกจุดยืนของพระเยซูเจ้าคง พันธกิจทีพ่ ระบิดาเจ้าทรงมอบหมายให้กระทำ� คือ “เราไม่ได้มาในโลกเพือ่ ตัดสินลงโทษ แต่มาช่วยโลกให้รอดพ้น” เชิญเราภาวนาให้ผเู้ ชือ่ ปฏิบตั กิ จิ การของความเชือ่ ตลอดชีวติ เพื่อผู้เห็นกิจการดีจะเชื่อต่อๆ ไป


บทอ่านที่ 1 กจ 13:13-25 เปาโลและเพือ่ นร่วมทางแล่นเรือจากเมืองปาโฟสถึงเมืองเปอร์กาในแคว้นปัมฟีเลีย ทีน่ ยี่ อห์นแยกจากเขากลับไปกรุงเยรูซาเล็ม ส่วนคนอืน่ ๆ เดินทางจากเมืองเปอร์กาต่อ ไปถึงเมืองอันทิโอกในแคว้นปิสิเดีย ครั้นถึงวันสับบาโตเขาเข้าไปนั่งในศาลาธรรม เมื่อ อ่านธรรมบัญญัติและหนังสือประกาศกแล้ว บรรดาหัวหน้าศาลาธรรมก็ส่งคนไปเชิญ สัปดาห์ที่ 4 เปาโลและบารนาบัส พูดว่า “พี่น้อง ถ้าท่านมีถ้อยคำ�เตือนใจประชาชน ก็จงพูดเถิด” เทศกาลปั สกา เปาโลยืนขึ้น โบกมือให้คนทั้งหลายเงียบแล้วพูดว่า สดด 89:2-3,21-22, “ชาวอิสราเอล และท่านทัง้ หลายผูย้ �ำ เกรงพระเจ้า จงฟังข้าพเจ้าเถิด พระเจ้าของ 25-26 ประชาชนอิสราเอลนี้ทรงเลือกบรรพบุรุษของเรา และทรงยกย่องประชาชนขณะที่ยัง อยู่ในแผ่นดินอียิปต์ พระองค์ทรงสำ�แดงพระอานุภาพยิ่งใหญ่นำ�เขาออกจากแผ่นดิน ทำ�วัตรสัปดาห์ที่ 4 นั้น และเอาพระทัยใส่ดูแลเขาในถิ่นทุรกันดารเป็นเวลาประมาณสี่สิบปี แล้วพระองค์ ทรงทำ�ลายชนชาติเจ็ดชาติในแผ่นดินคานาอันและประทานแผ่นดินนัน้ ให้เขาเป็นมรดก เหตุการณ์ทั้งหมดนี้เกิดขึ้นในระยะเวลาประมาณสี่ร้อยห้าสิบปี หลังจากนั้น พระเจ้าประทานผู้วินิจฉัยให้ปกครองเขา จนถึงประกาศกซามูเอล เมื่อประชาชนขอให้มี กษัตริย์ พระองค์ก็ประทานซาอูลบุตรของคีช จากตระกูลเบนยามิน ให้เป็นกษัตริย์ปกครองอยู่เป็นเวลาสี่ สิบปี เมื่อทรงปลดกษัตริย์ซาอูลจากตำ�แหน่งแล้ว ก็ทรงแต่งตั้งดาวิดให้เป็นกษัตริย์ปกครองประชากร อิสราเอล ดังที่มีคำ�ยืนยันในพระคัมภีร์ว่า “เราพบดาวิดบุตรของเจสซี เขาเป็นคนที่เราพอใจ เขาจะทำ�ตาม ความประสงค์ของเราทุกประการ” จากเชื้อสายของกษัตริย์ดาวิดนี้ พระเจ้าประทานพระเยซูเจ้าเป็นผู้ช่วย อิสราเอลให้รอดพ้นตามพระสัญญา ยอห์นเตรียมรับเสด็จพระองค์ ประกาศพิธีล้างให้ประชาชนอิสราเอล ทั้งปวงกลับใจ ขณะที่ยอห์นกำ�ลังทำ�ภารกิจของตนให้สำ�เร็จไป เขากล่าวว่า “ข้าพเจ้ามิได้เป็นอย่างที่ท่าน ทัง้ หลายคิด แต่บดั นี้ มีผหู้ นึง่ กำ�ลังมาภายหลังข้าพเจ้า ซึง่ ข้าพเจ้าไม่สมควรแม้แต่จะแก้สายรัดรองเท้าของเขา” พระวรสาร ยน 13:16-20 เมื่อพระเยซูเจ้าทรงล้างเท้าบรรดาอัครสาวกแล้ว พระองค์ตรัสกับพวกเขาว่า “เราบอกความจริงแก่ท่านทั้งหลายว่า ผู้รับใช้ย่อมไม่เป็นใหญ่กว่านายของตน ผู้ถูกส่งไปย่อมไม่เป็น ใหญ่กว่าผู้ที่ส่งเขาไป บัดนี้ ท่านรู้เรื่องนี้แล้ว ถ้าท่านปฏิบัติตาม ท่านย่อมเป็นสุข เราไม่พูดเช่นนี้เพื่อท่านทุก คน เรารู้จักผู้ที่เราเลือกไว้แล้ว แต่พระคัมภีร์จะต้องเป็นความจริงที่ว่า ‘ผู้ที่กินปังของเรา ได้ยกส้นเท้าใส่เรา’ เราบอกท่านทั้งหลายตั้งแต่บัดนี้ ก่อนที่เรื่องนี้จะเกิดขึ้น เพื่อว่าเมื่อเรื่องนี้เกิดขึ้นแล้ว ท่านจะได้เชื่อว่าเรา เป็น เราบอกความจริงกับท่านทัง้ หลายว่า ใครรับผูท้ เ่ี ราส่งไป ก็รบั เรา ใครรับเรา ก็รบั พระองค์ผทู้ รงส่งเรามา” การถ่ายทอดพระวาจาทรงชีวิต ไม่เพียงแค่ใช้คำ�พูดประกาศให้ผู้อื่นรู้เท่านั้น แต่การดำ�เนิน ชีวติ สอดคล้องซึ่งทำ�ยากกว่า แต่เมื่อทำ�ได้ย่อมส่งผลในทางบวก หรือเพิ่มนํ้าหนักของคำ�ประกาศเทศน์สอน มากกว่า นักบุญเปาโลและเพื่อนจำ�เป็นต้องเล่าประวัติศาสตร์แห่งความรอดพ้นให้ผู้มาฟังพระวาจาของ พระเจ้าอย่างต่อเนื่อง เพื่อพิสูจน์ว่า ไม่ใช่เรื่องแต่งปั้นขึ้นเอง พระเยซูเจ้าในพระวรสารวันนี้จึงยํ้าความ ต่อเนื่องว่า พระบิดาเจ้าทรงส่งพระองค์มาเพื่อพิสูจน์ความรักแท้จริงด้วยพระองค์เอง


สัปดาห์ที่ 4 เทศกาลปัสกา สดด 2:6-7,8-9, 10-11

ทำ�วัตรสัปดาห์ที่ 4

บทอ่านที่ 1 กจ 13:26-33 ในครัง้ นัน้ เมือ่ เปาโลมาถึงเมืองอันทิโอกในแคว้นปิสเิ ดีย ท่านกล่าวในศาลาธรรม ว่า “พีน่ อ้ งทัง้ หลาย ผูเ้ ป็นบุตรจากเชือ้ สายของอับราฮัมและท่านทีเ่ คารพยำ�เกรงพระเจ้า พระเจ้าทรงส่งข่าวเรื่องความรอดพ้นนี้แก่เรา ชาวเยรูซาเล็มและบรรดาหัวหน้าไม่ ยอมรับพระเยซูเจ้า จึงตัดสินลงโทษพระองค์ ทำ�ให้ขอ้ ความของบรรดาประกาศกทีอ่ า่ น ทุกวันสับบาโตเป็นจริง แม้ว่าเขาไม่พบเหตุผลที่จะประหารชีวิตพระองค์ได้ เขาก็ยังขอ ปีลาตให้ประหารชีวิตพระองค์ เมื่อทำ�ให้ทุกสิ่งที่เขียนไว้เกี่ยวกับพระองค์เป็นจริงแล้ว เขาจึงปลดพระองค์ลงจากไม้กางเขนและนำ�ไปวางไว้ในพระคูหา แต่พระเจ้าทรงบันดาล ให้พระองค์กลับคืนพระชนมชีพจากบรรดาผู้ตาย ตลอดเวลาหลายวัน พระองค์ทรง แสดงพระองค์แก่ผู้ที่เดินทางจากแคว้นกาลิลีมายังกรุงเยรูซาเล็มพร้อมกับพระองค์ และบัดนี้เขาทั้งหลายเป็นพยานยืนยันถึงพระองค์ต่อหน้าประชาชน เราขอประกาศข่าวดีให้ทา่ นทัง้ หลายรูว้ า่ พระสัญญาทีป่ ระทานแก่บรรดาบรรพบุรษุ นั้น พระเจ้าทรงกระทำ�ให้เป็นจริงสำ�หรับเราทั้งหลายผู้เป็นลูกหลาน โดยทรงบันดาล ให้พระเยซูเจ้ากลับคืนพระชนมชีพจากบรรดาผู้ตาย ดังที่มีเขียนไว้ในเพลงสดุดีบทที่ สองว่า ‘ท่านเป็นบุตรของเรา เราให้กำ�เนิดท่านในวันนี้’” พระวรสาร ยน 14:1-6 เวลานั้น พระเยซูเจ้าตรัสกับบรรดาศิษย์ว่า “ใจของท่านทัง้ หลายจงอย่าหวัน่ ไหวเลย จงเชือ่ ในพระเจ้า และเชือ่ ในเราด้วย ใน บ้านพระบิดาของเรา มีทพี่ �ำ นักมากมาย ถ้าไม่มี เราคงบอกท่านแล้ว เรากำ�ลังไปเตรียม ที่ให้ท่าน และเมื่อเราไป และเตรียมที่ให้ท่านแล้ว เราจะกลับมารับท่านไปอยู่กับเรา ด้วย เพื่อว่าเราอยู่ที่ใด ท่านทั้งหลายจะอยู่ที่นั่นด้วย ที่ที่เราจะไปนั้น ท่านรู้จักหนทาง แล้ว” โทมัสทูลว่า “พระเจ้าข้า พวกเราไม่รวู้ า่ พระองค์จะเสด็จไปทีใ่ ด แล้วจะรูจ้ กั หนทาง ได้อย่างไร” พระเยซูเจ้าตรัสตอบเขาว่า “เราเป็นหนทาง ความจริง และชีวิต ไม่มีใครไปเฝ้า พระบิดาได้นอกจากผ่านทางเรา” บทเรียน บทสอนต่างๆ อาจจำ�เป็นต้องทบทวนบ่อยๆ แต่ตอ้ งทำ�แม้จ�ำ เจ และเกิดผลช้าในชีวิตคริสตชน ความตั้งใจดีหลายครั้งต้องการเวลาฝึกฝน ซึ่งบรรดาผู้ เป็นพ่อแม่ ผู้ปกครอง ครู อาจารย์ หัวหน้าผู้ดูแลหมู่คณะต่างๆ ต้องเพียรทน แม้ชีวิต ของเรามีรูปแบบต่างกัน แต่เป้าหมายต้องไปให้ถึงด้วยกัน พระเยซูเจ้าทรงแจ้งให้บรรดาอัครสาวกทราบว่า พวกเขามีหน้าทีส่ บื งานต่อเนือ่ ง ของพระองค์ แต่ไม่ต้องกลัว พระองค์จะประทับอยู่กับพวกเขาตลอดเวลาในรูปแบบ ของการให้กำ�ลังใจ และรูปแบบของการให้อภัย เมื่อมีความบกพร่องเกิดขึ้นผ่านทาง ศีลมหาสนิท และศีลแห่งการคืนดี – อภัยบาป


บทอ่านที่ 1 กจ 13:44-52 วันสับบาโตต่อมา ชาวเมืองเกือบทั้งหมดมาชุมนุมฟังพระวาจาของพระเจ้า เมื่อ ชาวยิวเห็นประชาชนจำ�นวนมากเช่นนี้ ก็เกิดความอิจฉาอย่างมาก จึงคัดค้านคำ�พูดของ เปาโลและด่าว่าเขา เปาโลและบารนาบัสตอบเขาอย่างกล้าหาญว่า “จำ�เป็นที่เราจะต้องประกาศพระ วาจาของพระเจ้าให้ท่านฟังก่อนผู้อื่น แต่เมื่อท่านปฏิเสธไม่ยอมรับและไม่คิดว่าตน เหมาะสมจะรับชีวิตนิรันดร เราจึงหันไปหาคนต่างศาสนา เพราะองค์พระผู้เป็นเจ้ามี พระบัญชาแก่เราดังนี้ว่า ‘เราแต่งตั้งท่านให้เป็นแสงสว่างส่องนานาชาติ เพื่อท่านจะได้นำ�ความรอดพ้นไปจนสุดปลายแผ่นดิน’” เมื่อคนต่างศาสนาได้ยินดังนี้ ก็มีความยินดีและสรรเสริญพระวาจาของพระเจ้า และทุกคนที่พระเจ้าทรงกำ�หนดไว้สำ�หรับชีวิตนิรันดรก็มีความเชื่อ พระวาจาขององค์พระผู้เป็นเจ้าแผ่ไปทั่วแคว้นนั้น แต่ชาวยิวยุยงบรรดาสตรีชั้น สูงทีเ่ ลือ่ มใสในศาสนายิวและบรรดาผูน้ �ำ ของเมือง ให้เบียดเบียนเปาโลและบารนาบัส และขับไล่ทงั้ สองคนออกไปจากดินแดนของตน เขาทัง้ สองคนจึงสะบัดฝุน่ จากเท้าเป็น เครื่องหมายตัดความสัมพันธ์ แล้วเดินทางต่อไปยังเมืองอิโคนิยุม บรรดาศิษย์ต่างมี ความชื่นชมและได้รับพระจิตเจ้าอย่างเต็มเปี่ยม

สัปดาห์ที่ 4 เทศกาลปัสกา สดด 98:1-2,3-4

ทำ�วัตรสัปดาห์ที่ 4

พระวรสาร ยน 14:7-14 เวลานั้น พระเยซูเจ้าตรัสกับบรรดาศิษย์ว่า “ถ้าท่านทัง้ หลายรูจ้ กั เรา ท่านก็รจู้ กั พระบิดาของเราด้วย บัดนี้ ท่านก็รจู้ กั พระบิดา และเห็นพระองค์แล้ว” ฟีลิปทูลว่า “พระเจ้าข้า โปรดทำ�ให้พวกเราได้เห็นพระบิดาเถิด เท่านี้ก็พอแล้ว” พระเยซูเจ้าตรัสว่า “ฟีลิปเอ๋ย เราอยู่กับท่านมานานเพียงนี้แล้ว ท่านยังไม่รู้จักเราอีกหรือ ผู้ที่เห็นเรา ก็เห็นพระบิดาด้วย ท่านพูดได้อย่างไรว่า ‘โปรดทำ�ให้พวกเราได้เห็นพระบิดาเถิด’ ท่านไม่เชือ่ หรือว่า เราดำ�รง อยู่ในพระบิดา และพระบิดาทรงดำ�รงอยู่ในเรา วาจาที่เราบอกกับท่านทั้งหลายนี้ เรามิได้พูดตามใจของเรา แต่พระบิดาผู้สถิตในเรา ทรงกระทำ�กิจการของพระองค์ ท่านทั้งหลายจงเชื่อเราเถิดว่า เราดำ�รงอยู่ใน พระบิดา และพระบิดาก็ทรงดำ�รงอยู่ในเรา หรืออย่างน้อยท่านทั้งหลายจงเชื่อเพราะกิจการเหล่านี้เถิด เรา บอกความจริงกับท่านทั้งหลายว่า ผู้ที่เชื่อในเรา ก็จะทำ�กิจการที่เรากำ�ลังทำ�อยู่ด้วย และจะทำ�กิจการที่ใหญ่ กว่านั้นอีก เพราะเรากำ�ลังจะไปเฝ้าพระบิดา สิ่งใดที่ท่านทั้งหลายขอในนามของเรา เราจะทำ�สิ่งนั้น เพื่อ พระบิดาจะได้รับพระสิริรุ่งโรจน์ในพระบุตร ถ้าท่านทั้งหลายขอสิ่งใดในนามของเรา เราจะทำ�ให้” บรรดาธรรมทูตเมื่อถูกส่งไปประกาศข่าวดี ย่อมมีความกังวลว่า ผลของงานนั้นจะประสบผล สำ�เร็จมากน้อยเพียงใด แต่เมื่อองค์พระผู้เป็นเจ้าประทับกับพวกเขา ย่อมเป็นหลักประกันว่างานจะสำ�เร็จ และเกิดผลต่อเนื่องด้วย พระเยซูเจ้าจึงตรัสในพระวรสารว่า “เราบอกความจริงกับท่านทั้งหลายว่า ผู้ที่เชื่อ ในเรา จะทำ�กิจการทีเ่ รากำ�ลังทำ�อยู่ และกิจการนัน้ จะเติบโตด้วย เพือ่ พระบิดาเจ้าจะรับสิรริ งุ่ โรจน์ตลอดไป”


สัปดาห์ที่ 5 เทศกาลปัสกา ทำ�วัตรสัปดาห์ที่ 1

บทอ่านจากหนังสือกิจการอัครสาวก กจ 6:1-7 เวลานัน้ ศิษย์มจี �ำ นวนมากขึน้ บรรดาศิษย์ทพี่ ดู ภาษากรีกไม่พอใจศิษย์ทพี่ ดู ภาษา ฮีบรู เพราะในการแจกทานประจำ�วัน บรรดาแม่ม่ายของตนถูกละเลยมิได้รับแจก อัครสาวกสิบสองคนจึงเรียกบรรดาศิษย์มาประชุม กล่าวว่า “ไม่สมควรที่เราจะ ละทิง้ การประกาศพระวาจาของพระเจ้าเพือ่ ไปแจกอาหาร พีน่ อ้ งทัง้ หลาย จงเลือกบุรษุ เจ็ดคนจากกลุ่มของท่านทั้งหลาย เป็นคนที่มีชื่อเสียงดี เปี่ยมด้วยพระจิตเจ้าและ ปรีชาญาณ แล้วเราจะแต่งตั้งเขาให้ทำ�หน้าที่นี้ ส่วนเราจะอุทิศตนอธิษฐานภาวนาและ ประกาศพระวาจา” ทุกคนในทีป่ ระชุมต่างเห็นชอบกับข้อเสนอนี้ จึงเลือกสเทเฟนบุรษุ ผู้เปี่ยมด้วยความเชื่อและพระจิตเจ้า ฟีลิป โปรโครัส นิคาโนร์ ทิโมน ปาร์เมนัส และ นิโคลัสชาวอันทิโอกผู้กลับใจมานับถือศาสนายิว เขานำ�คนทั้งเจ็ดคนมาอยู่ต่อหน้า บรรดาอัครสาวกซึ่งอธิษฐานภาวนาและปกมือเหนือเขา พระวาจาของพระเจ้าแพร่หลายยิ่งขึ้น ศิษย์มีจำ�นวนมากขึ้นในกรุงเยรูซาเล็ม บรรดาสมณะหลายคนยอมรับความเชื่อด้วย เพลงสดุดี สดด 33:1-2,4-5,18-19 ก) ผู้ชอบธรรมทั้งหลาย จงร้องสรรเสริญองค์พระผู้เป็นเจ้า ด้วยความเบิกบานเถิด คำ�สรรเสริญคู่ควรกับผู้สุจริต จงขอบพระคุณองค์พระผู้เป็นเจ้าด้วยเสียงพิณ จงบรรเลงพิณสิบสายถวายพระองค์ ข) พระวาจาขององค์พระผู้เป็นเจ้านั้นเที่ยงตรง พระราชกิจของพระองค์น่าเชื่อถือ พระองค์ทรงรักความชอบธรรมและความยุติธรรม ความรักมั่นคงขององค์พระผู้เป็นเจ้าเปี่ยมล้นทั่วแผ่นดิน ค) แต่องค์พระผู้เป็นเจ้าทรงเฝ้าพิทักษ์ผู้ที่ยำ�เกรงพระองค์ ผู้ที่หวังในความรักมั่นคงของพระองค์ เพื่อจะช่วยชีวิตของเขาให้พ้นจากความตาย และรักษาเขาไว้ในยามอาหารขาดแคลน บทอ่านจากจดหมายนักบุญเปโตรอัครสาวก ฉบับที่หนึ่ง 1 ปต 2:4-9 ลูกที่รักยิ่ง จงเข้าไปเฝ้าพระองค์ผู้ทรงเป็นศิลาทรงชีวิตซึ่งมนุษย์ละทิ้งไป แต่ พระเจ้าทรงเลือกสรรไว้และมีค่าประเสริฐ ท่านเป็นเหมือนศิลาที่มีชีวิตกำ�ลังก่อสร้าง ขึน้ เป็นวิหารของพระจิตเจ้า เป็นสมณตระกูลศักดิส์ ทิ ธิ์ เพือ่ ถวายเครือ่ งบูชาฝ่ายจิตซึง่ เป็นที่สบพระทัยของพระเจ้าเดชะพระเยซูคริสตเจ้า ดังที่มีเขียนไว้ในพระคัมภีร์ว่า “เราเลือกศิลาประเสริฐและวางไว้ในนครศิโยนเป็นศิลาหัวมุม ทุกคนที่มีความเชื่อใน


ศิลานีจ้ ะไม่ตอ้ งอับอายเลย” สำ�หรับท่านผูม้ คี วามเชือ่ ศิลา นี้จึงมีค่าประเสริฐ แต่สำ�หรับผู้ที่ไม่มีความเชื่อ ศิลาที่ช่าง ก่อสร้างละทิง้ ก็กลายเป็นศิลาหัวมุม เป็นศิลาทีท่ �ำ ให้สะดุด และเป็นศิลาที่ทำ�ให้ล้มลง เขาเหล่านั้นสะดุดเพราะไม่ยอม เชื่อฟังพระวาจา นี่เป็นชะตากรรมของพวกเขา ท่านทั้งหลายเป็นชาติที่ทรงเลือกสรรไว้ เป็นสมณราช ตระกูล เป็นชนชาติศกั ดิส์ ทิ ธิ์ เป็นประชากรทีเ่ ป็นกรรมสิทธิ์ พิเศษของพระเจ้า เพื่อจะประกาศพระฤทธานุภาพของ พระองค์ผทู้ รงเรียกท่านจากความมืดสูค่ วามสว่างทีน่ า่ พิศวง ของพระองค์

บทอ่านจากพระวรสารนักบุญยอห์น ยน 14:1-12 เวลานั้น พระเยซูเจ้าตรัสกับบรรดาอัครสาวกว่า “ใจของท่านทั้งหลายจงอย่าหวั่นไหวเลย จงเชื่อในพระเจ้า และเชื่อในเราด้วย ในบ้านพระบิดาของเรา มีที่พำ�นักมากมาย ถ้าไม่มี เราคงบอกท่านแล้ว เรากำ�ลังไปเตรียมที่ให้ท่าน และเมื่อเราไป และเตรียมที่ให้ ท่านแล้ว เราจะกลับมารับท่านไปอยู่กับเราด้วย เพื่อว่าเราอยู่ที่ใด ท่านทั้งหลายจะอยู่ที่นั่นด้วย ที่ที่เราจะไป นั้น ท่านรู้จักหนทางแล้ว” โทมัสทูลว่า “พระเจ้าข้า พวกเราไม่ทราบว่าพระองค์จะเสด็จไปที่ใด แล้วจะรู้จักหนทางได้อย่างไร” พระเยซูเจ้าตรัสตอบเขาว่า “เราเป็นหนทาง ความจริง และชีวิต ไม่มีใครไปเฝ้าพระบิดาได้นอกจาก ผ่านทางเรา ถ้าท่านทั้งหลายรู้จักเรา ท่านก็รู้จักพระบิดาของเราด้วย บัดนี้ ท่านก็รู้จักพระบิดา และเห็น พระองค์แล้ว” ฟีลิปทูลว่า “พระเจ้าข้า โปรดทำ�ให้พวกเราได้เห็นพระบิดาเถิด เท่านี้ก็พอแล้ว” พระเยซูเจ้าตรัสว่า “ฟีลิปเอ๋ย เราอยู่กับท่านมานานเพียงนี้แล้ว ท่านยังไม่รู้จักเราอีกหรือ ผู้ที่เห็นเรา ก็เห็นพระบิดาด้วย ท่านพูดได้อย่างไรว่า ‘โปรดทำ�ให้พวกเราได้เห็นพระบิดาเถิด’ ท่านไม่เชือ่ หรือว่า เราดำ�รง อยู่ในพระบิดา และพระบิดาทรงดำ�รงอยู่ในเรา วาจาที่เราบอกกับท่านทั้งหลายนี้ เรามิได้พูดตามใจของเรา แต่พระบิดาผู้สถิตในเรา ทรงกระทำ�กิจการของพระองค์ ท่านทั้งหลายจงเชื่อเราเถิดว่า เราดำ�รงอยู่ในพระ บิดา และพระบิดาก็ทรงดำ�รงอยู่ในเรา หรืออย่างน้อยท่านทั้งหลายจงเชื่อเพราะกิจการเหล่านี้เถิด เราบอก ความจริงกับท่านทั้งหลายว่า ผู้ที่เชื่อในเรา ก็จะทำ�กิจการที่เรากำ�ลังทำ�อยู่ด้วย และจะทำ�กิจการที่ใหญ่กว่า นั้นอีก เพราะเรากำ�ลังจะไปเฝ้าพระบิดา” บทอ่านจากจดหมายนักบุญเปโตรในวันนี้ ท่านเขียนให้เห็นถึงศักดิ์ศรีที่คริสตชนทุกคนได้รับ และจงภูมิใจว่าการเป็นศิษย์ติดตามพระคริสต์ด้วยความเชื่อที่ต้องพิสูจน์ด้วยชีวิตนั้น ท่ามกลางความทุกข์ ยากลำ�บาก ย่อมส่งผลดีต่อชีวิตนี้ “ท่านทั้งหลายถูกเลือกสรรเป็นสมณราชตระกูล เป็นชนชาติศักดิ์สิทธิ์ เป็นกรรมสิทธิ์พิเศษของ พระเจ้า...” นีเ่ ป็นการบรรยายทีน่ า่ อ่านและภูมใิ จจากการเป็นศิษย์ของพระองค์ จงเจริญชีวติ อย่างมีศกั ดิศ์ รี สมกับที่นักบุญเปโตรสอนไว้


บทอ่านที่ 1 กจ 14:5-18 เมือ่ คนต่างศาสนาและชาวยิวร่วมกับบรรดาผูป้ กครองเมืองวางแผนจะทำ�ร้ายและ ใช้กอ้ นหินขว้างเปาโลและบารนาบัส ทัง้ สองคนรูเ้ รือ่ ง จึงหลบหนีไปทีเ่ มืองลิสตรา เมือง เดอร์บีและชนบทรอบๆ ในแคว้นลิคาโอเนีย ทั้งสองคนประกาศข่าวดีที่นั่นด้วย ที่เมืองลิสตรา ชายคนหนึ่งยืนไม่ได้ เพราะเป็นง่อยมาแต่กำ�เนิด เขานั่งอยู่กับที่ ไม่เคยเดินเลย เขากำ�ลังฟังเปาโลพูด เปาโลจ้องมองดูเขา เห็นว่าเขามีความเชื่อพอจะ สัปดาห์ที่ 5 รับการรักษาให้หายจากโรคได้ จึงพูดเสียงดังว่า “จงลุกขึน้ ยืนเถิด” ชายคนนัน้ ก็กระโดด เทศกาลปัสกา ขึ้นและเริ่มเดินไป สดด 115:1-2,3-4, เมือ่ ประชาชนเห็นสิง่ ทีเ่ ปาโลทำ� จึงร้องเป็นภาษาลิคาโอเนียว่า “พระเจ้าทรงแปลง 15-17 เป็นมนุษย์เสด็จลงมาหาเราแล้ว” เขาเรียกบารนาบัสว่า “พระซุส” และเรียกเปาโลว่า ทำ�วัตรสัปดาห์ที่ 1 “พระเฮอร์เมส” เพราะเปาโลเป็นคนพูดเก่งกว่า สมณะจากพระวิหารของพระซุสทีอ่ ยู่ ใกล้ประตูเมือง จูงวัวหลายตัวประดับพวงมาลัยมาที่ประตูเมือง และพร้อมใจกับ ประชาชนต้องการถวายบูชาแก่เปาโลและบารนาบัส เมื่ออัครสาวกบารนาบัสและเปาโลรู้เช่นนี้ ก็ฉีกเสื้อผ้าของตนวิ่งผลุนผลันเข้าไปกลางกลุ่มชนร้องว่า “เพื่อนเอ๋ย ทำ�ไมท่านจึงทำ�เช่นนี้ เราทั้งสองคนเป็นมนุษย์ธรรมดาเหมือนท่านทั้งหลาย เรากำ�ลังประกาศ ข่าวดีให้ทา่ นทัง้ หลายละทิง้ สิง่ ทีไ่ ร้สาระเหล่านีห้ นั มาหาพระเจ้าผูท้ รงชีวติ ผูท้ รงสร้างฟ้า สร้างแผ่นดิน สร้าง ทะเล และสร้างทุกสิ่งที่อยู่ในนั้น ในอดีต พระเจ้าทรงยอมให้นานาชาติดำ�เนินไปตามทางของตน พระองค์ ทรงแสดงพระองค์ทรงกระทำ�ดีอยูเ่ สมอ ประทานฝนจากฟ้าและประทานพืชผลตามฤดูกาลแก่ทา่ น ประทาน อาหารอย่างอุดมสมบูรณ์และทรงบันดาลให้ใจของท่านเปี่ยมด้วยความยินดี” ทั้งๆ ที่พูดเช่นนี้ บารนาบัส และเปาโลก็ห้ามประชาชนถวายเครื่องบูชาแก่ตนเกือบไม่ได้ พระวรสาร ยน 14:21-26 เวลานั้น พระเยซูเจ้าตรัสกับบรรดาศิษย์ว่า “ผู้ที่มีบทบัญญัติของเรา และปฏิบัติตาม ผู้นั้นรักเรา และ ผู้ที่รักเรา พระบิดาของเราก็จะทรงรักเขา และเราเองก็จะรักเขา และจะแสดงตนแก่เขา” ยูดาส มิใช่ยูดาสอิสคาริโอท ทูลพระองค์ว่า “พระเจ้าข้า ทำ�ไมพระองค์ทรงต้องการแสดงพระองค์แก่ พวกเรา แต่ไม่แสดงพระองค์แก่โลก” พระเยซูเจ้าตรัสตอบเขาว่า “ผู้ใดรักเรา ผู้นั้นจะปฏิบัติตามวาจาของเรา พระบิดาของเราจะทรงรักเขา พระบิดาจะเสด็จพร้อมกับเรามาหาเขา จะทรงพำ�นักอยูก่ บั เขา ผูท้ ไี่ ม่รกั เรา ก็ไม่ปฏิบตั ติ ามวาจาของเรา วาจา ที่ท่านได้ยินนี้ ไม่ใช่วาจาของเรา แต่เป็นของพระบิดา ผู้ทรงส่งเรามา เราบอกสิ่งเหล่านี้ให้ท่านฟัง ขณะที่เรา ยังอยู่กับท่าน แต่พระผู้ช่วยเหลือคือพระจิตเจ้า ที่พระบิดาจะทรงส่งมาในนามของเรานั้น จะทรงสอนท่าน ทุกสิ่ง และจะทรงให้ท่านระลึกถึงทุกสิ่งที่เราเคยบอกท่าน” ความคิดของมนุษย์ที่ติดกับวัตถุธาตุหรือค่านิยมประสาโลก อาจทำ�ให้ผู้ประกาศพระวาจา หรือผู้รับฟังพระวาจาหลงทางที่จะคิดถึงความจริงที่ถูกต้องได้ นักบุญเปาโลจึงพยายามตัดตอนความคิดผิด หลง และกล้าประกาศสิ่งที่ถูกต้อง เพื่อให้ผู้ฟังอยู่ในทางความจริงขององค์พระผู้เป็นเจ้า พระเยซูเจ้าจึงตรัส สอนศิษย์ว่า “ผู้ใดรักเรา จะปฏิบัติตามวาจาของเรา โดยมีพระจิตเจ้าคอยช่วยเหลือมิให้หลงทาง”


บทอ่านที่ 1 กจ 14:19-28 ในเวลานั้น ชาวยิวบางคนมาจากเมืองอันทิโอกและเมืองอิโคนิยุม เกลี้ยกล่อม ประชาชนให้เป็นฝ่ายของตนได้ เขาเหล่านัน้ ใช้กอ้ นหินขว้างเปาโลแล้วลากออกไปนอก เมืองเพราะคิดว่าเปาโลตายแล้ว บรรดาศิษย์มาห้อมล้อมเขา เปาโลลุกขึ้น เข้าไปใน เมือง วันรุ่งขึ้นเปาโลก็ออกเดินทางกับบารนาบัสไปยังเมืองเดอร์บี ทั้งสองคนประกาศข่าวดีที่เมืองนั้น ได้ศิษย์เป็นจำ�นวนมาก แล้วจึงกลับไปเมือง ลิสตรา เมืองอิโคนิยุมและเมืองอันทิโอกแห่งแคว้นปิสิเดีย เขาทั้งสองคนให้กำ�ลังใจ บรรดาศิษย์ ตักเตือนให้มั่นคงอยู่ในความเชื่อ พูดว่า “พวกเราจำ�เป็นต้องฟันฝ่าความ ทุกข์ยากเป็นอันมากจึงจะเข้าสู่พระอาณาจักรของพระเจ้าได้” เปาโลและบารนาบัส แต่งตัง้ ผูอ้ าวุโสในกลุม่ คริสตชนแต่ละกลุม่ เขาอธิษฐานภาวนาพร้อมกับจำ�ศีลอดอาหาร แล้วฝากบรรดาผู้อาวุโสเหล่านี้ไว้กับองค์พระผู้เป็นเจ้า ซึ่งเขาทั้งหลายมีความเชื่อ ทั้ง สองคนเดินทางผ่านแคว้นปิสิเดีย มาถึงแคว้นปัมฟีเลีย ประกาศพระวาจาที่เมือง เปอร์กา แล้วจึงไปยังเมืองอัตตาเลีย จากนั้น เขาลงเรือกลับไปยังเมืองอันทิโอกแห่งซีเรีย ก่อนที่เขาทั้งสองคนจะออก เดินทางจากเมืองอันทิโอก บรรดาคริสตชนเคยฝากเขาไว้กบั พระหรรษทานของพระเจ้า เพื่องานที่เขาเพิ่งทำ�สำ�เร็จ เมื่อไปถึง เปาโลและบารนาบัสก็เรียกประชุมกลุ่มคริสตชน เล่าทุกสิ่งที่พระเจ้าทรงกระทำ�โดยผ่านตนว่าพระเจ้าทรงเปิดประตูแห่งความเชื่อให้คน ต่างศาสนา เขาทั้งสองคนพักอยู่กับบรรดาศิษย์เป็นเวลานาน

น.เนเรโอ อาคิลเล และเพื่อนมรณสักขี และ น.ปันกราส มรณสักขี สดด 145:10-11, 12-13กข,21

ทำ�วัตรสัปดาห์ที่ 1

พระวรสาร ยน 14:27-31ก เวลานั้น พระเยซูเจ้าตรัสกับบรรดาศิษย์ว่า “เรามอบสันติสุขไว้ให้ท่านทั้งหลาย เราให้สันติสุขของเราแก่ท่าน เราให้สันติสุข แก่ท่าน ไม่เหมือนที่โลกให้ ใจของท่านอย่าหวั่นไหว หรือมีความกลัวเลย ท่านได้ยินที่ เราบอกกับท่านแล้วว่า เรากำ�ลังจะไป และเราจะกลับมาหาท่านทั้งหลาย ถ้าท่านรักเรา ท่านคงยินดีที่เรากำ�ลังไปเฝ้าพระบิดา เพราะพระบิดาทรงยิ่งใหญ่กว่าเรา และบัดนี้เรา ได้บอกท่านทั้งหลายก่อนที่เหตุการณ์จะเกิดขึ้น เพื่อว่าเมื่อเหตุการณ์เกิดขึ้นแล้ว ท่าน จะเชื่อ เราจะพูดกับท่านต่อไปอีกไม่นาน เพราะซาตานเจ้านายแห่งโลกนี้กำ�ลังมา มัน ไม่มีอำ�นาจใดเหนือเรา แต่โลกจะต้องรู้ว่าเรารักพระบิดา และรู้ว่าพระบิดาทรงบัญชา ให้เราทำ�อย่างไร เราก็ทำ�อย่างนั้น” ท่ามกลางความทุกข์ยากลำ�บากและอุปสรรคจากมนุษย์ทมี่ อี คติหรืออิจฉาริษยา นักบุญเปาโล และเพื่อนร่วมงานยังคงมั่นใจว่า พันธกิจการประกาศข่าวดีต้องถูกพิสูจน์ กล้าที่จะประกาศพระวาจาให้ ผูอ้ นื่ รูจ้ กั องค์พระผูเ้ ป็นเจ้าด้วย พระเยซูเจ้ายํา้ ในพระวรสาร สิง่ ทีพ่ ระองค์ทรงมอบให้ เป็นสันติสขุ ทีไ่ ม่เหมือน กับโลกให้ กล่าวคือการทำ�งานกับพระองค์ แม้มคี วามทุกข์ แต่ผลเป็นความสุข เพราะทำ�หน้าทีอ่ ย่างซือ่ สัตย์ ซื่อตรง และมั่นคงในความจริงตลอดเวลา


บทอ่านที่ 1 กจ 15:1-6 เวลานั้น คริสตชนชาวยิวบางคนลงมาจากแคว้นยูเดีย และสอนบรรดาพี่น้องว่า “ถ้าท่านทั้งหลายมิได้เข้าสุหนัตตามธรรมประเพณีของโมเสส ท่านจะรอดพ้นไม่ได้” เปาโลและบารนาบัสไม่เห็นด้วย จึงโต้แย้งกับเขาเหล่านั้นอย่างรุนแรง มีการตกลงกัน ให้เปาโลและบารนาบัสพร้อมกับพีน่ อ้ งบางคนขึน้ ไปยังกรุงเยรูซาเล็มเพือ่ ปรึกษาปัญหา พระนางมารีย์ นีก้ บั บรรดาอัครสาวกและบรรดาผูอ้ าวุโส เมือ่ พระศาสนจักรจัดให้เขาเหล่านัน้ ออกเดิน พรหมจารีแห่งฟาติมา ทางไปแล้ว เขาเดินทางผ่านแคว้นฟีนเี ซียและสะมาเรีย เล่าเรือ่ งการกลับใจของคนต่าง สดด 122:1-2,3-5 ศาสนา ทำ�ให้พี่น้องทุกคนชื่นชมอย่างยิ่ง เมื่อมาถึงกรุงเยรูซาเล็มเขาได้รับการต้อนรับ จากพระศาสนจักร บรรดาอัครสาวกและบรรดาผู้อาวุโส บารนาบัสและเปาโลเล่าเรื่อง ทำ�วัตรสัปดาห์ที่ 1 ต่างๆ ที่พระเจ้าทรงกระทำ�โดยผ่านตน วันพืชมงคล ผู้มีความเชื่อบางคนที่เคยอยู่ในกลุ่มชาวฟาริสีลุกขึ้นกล่าวว่า “ต้องให้คนต่าง ศาสนาเข้าสุหนัตและปฏิบัติตามธรรมบัญญัติของโมเสส” บรรดาอัครสาวกและผู้อาวุโสจึงประชุมกันเพื่อพิจารณาปัญหานี้ พระวรสาร ยน 15:1-8 เวลานั้น พระเยซูเจ้าตรัสกับบรรดาศิษย์ว่า “เราเป็นเถาองุ่นแท้ และพระบิดาของเราทรงเป็นชาวสวน กิ่งก้านใดในเราที่ไม่ เกิดผล พระองค์จะทรงตัดทิ้ง กิ่งก้านใดที่เกิดผล พระองค์จะทรงลิด เพื่อให้เกิดผล มากขึ้น ท่านทั้งหลายก็สะอาดอยู่แล้ว เพราะวาจาที่เรากล่าวกับท่าน ท่านทั้งหลายจง ดำ�รงอยูใ่ นเราเถิด ดังทีเ่ ราดำ�รงอยูใ่ นท่าน กิง่ องุน่ เกิดผลด้วยตนเองไม่ได้ ถ้าไม่ตดิ อยู่ กับเถาองุ่นฉันใด ท่านทั้งหลายก็จะเกิดผลไม่ได้ ถ้าไม่ดำ�รงอยู่ในเราฉันนั้น เราเป็นเถา องุ่น ท่านทั้งหลายเป็นกิ่งก้าน ผู้ที่ดำ�รงอยู่ในเรา และเราดำ�รงอยู่ในเขา ก็ย่อมเกิดผล มาก เพราะถ้าไม่มีเรา ท่านก็ทำ�อะไรไม่ได้เลย ถ้าผู้ใดไม่ดำ�รงอยู่ในเรา ก็จะถูกโยนทิ้ง ไปข้างนอกเหมือนกิ่งก้าน และจะเหี่ยวแห้งไป กิ่งก้านเหล่านั้นจะถูกเก็บไปทิ้งในไฟ และถูกเผา ถ้าท่านทัง้ หลายดำ�รงอยูใ่ นเรา และวาจาของเราดำ�รงอยูใ่ นท่าน ท่านอยาก ได้สิ่งใด ก็จงขอเถิด และท่านจะได้รับ พระบิดาของเราจะทรงรับพระสิริรุ่งโรจน์ เมื่อ ท่านเกิดผลมาก และกลายเป็นศิษย์ของเรา”

ความขัดแย้งในความคิดและประเพณีนิยมที่นักบุญเปาโลพบในหมู่ คริสตชนทีเ่ ป็นเชือ้ สายยิวเดิม ทำ�ให้งานแพร่ธรรมของท่านมีอปุ สรรคบ้าง แต่ความเชือ่ ในการเจริญชีวติ ใหม่รบั ศีลล้างบาปแล้ว ทำ�ให้ประเพณีนยิ มกลายเป็นเรือ่ งรอง เพราะ ทุกคนเกิดใหม่ในความเชือ่ ขององค์พระผูเ้ ป็นเจ้าแล้ว จึงต้องกล้าพิสจู น์วา่ “บัดนีไ้ ม่ใช่ ข้าพเจ้าที่เจริญชีวิต แต่เป็นพระคริสต์เจริญชีวิตในข้าพเจ้า”


บทอ่านที่ 1 กจ 1:15-17,20-26 ในระหว่างนั้น เปโตรยืนขึ้นในหมู่พี่น้องที่ชุมนุมกันอยู่ประมาณหนึ่งร้อยยี่สิบคน กล่าวว่า “พี่น้องทั้งหลาย จำ�เป็นที่พระคัมภีร์จะต้องเป็นจริงตามที่พระจิตเจ้าทรงใช้ พระโอษฐ์ของกษัตริย์ดาวิดตรัสล่วงหน้าถึงยูดาส ผู้นำ�คนมาจับกุมพระเยซูเจ้า ยูดาส ผู้นี้เคยเป็นคนหนึ่งในคณะของเราและร่วมภารกิจกับเรา เพราะมีเขียนไว้ในหนังสือเพลงสดุดีว่า ‘ขอให้ที่อยู่ของเขาถูกทิ้งร้าง อย่าให้มีผู้ ใดอาศัยอยู่เลย’ และอีกตอนหนึ่งว่า ‘ขอให้ผู้อื่นรับหน้าที่แทนเขา’ ดังนั้น ในบรรดาคนทั้งหลายซึ่งอยู่กับเราตลอดเวลาที่พระเยซูองค์พระผู้เป็นเจ้า ทรงดำ�เนินชีวติ อยูก่ บั เรา เริม่ ตัง้ แต่พธิ ลี า้ งของยอห์นจนถึงวันทีพ่ ระองค์เสด็จสูส่ วรรค์ นั้น จำ�เป็นที่คนหนึ่งจะต้องเป็นพยานร่วมกับเราถึงการกลับคืนพระชนมชีพของ พระองค์” ผู้ที่มาชุมนุมกันเสนอชื่อชายสองคน คือโยเซฟที่เรียกว่าบารซับบาสหรือยุสทัส และอีกคนหนึ่งชื่อมัทธีอัส เขาทั้งหลายอธิษฐานภาวนาว่า “ข้าแต่องค์พระผู้เป็นเจ้า พระองค์ทรงทราบจิตใจของมนุษย์ทกุ คน ขอทรงแสดงให้ขา้ พเจ้าทัง้ หลายรูว้ า่ พระองค์ ทรงเลือกคนใดในสองคนนี้ ให้รับหน้าที่รับใช้เป็นอัครสาวกแทนยูดาสที่ละทิ้งหน้าที่นี้ เพือ่ ไปยังทีข่ องตน” เขาจึงจับสลากระหว่างสองคนนี้ และจับสลากได้มทั ธีอสั มัทธีอสั จึงได้เข้าร่วมคณะกับอัครสาวกสิบเอ็ดคน

ฉลอง น.มัทธีอัส อัครสาวก สดด 113:1-3,4-6, 7-8

พระวรสาร ยน 15:9-17 เวลานั้น พระเยซูเจ้าตรัสกับบรรดาศิษย์ว่า “พระบิดาของเราทรงรักเราอย่างไร เราก็รักท่านทั้งหลายอย่างนั้น จงดำ�รงอยู่ใน ความรักของเราเถิด ถ้าท่านปฏิบัติตามบทบัญญัติของเรา ท่านก็จะดำ�รงอยู่ในความรัก ของเรา เหมือนกับทีเ่ ราปฏิบตั ติ ามบทบัญญัตขิ องพระบิดาของเรา และดำ�รงอยูใ่ นความ รักของพระองค์ เราบอกเรื่องเหล่านี้แก่ท่านทั้งหลายแล้ว เพื่อให้ความยินดีของเราอยู่กับท่าน และความ ยินดีของท่านจะสมบูรณ์ นี่คือบทบัญญัติของเรา ให้ท่านทั้งหลายรักกัน เหมือนดังที่เรารักท่าน ไม่มีใครมี ความรักยิ่งใหญ่กว่าการสละชีวิตของตนเพื่อมิตรสหาย ท่านทั้งหลายเป็นมิตรสหายของเรา ถ้าท่านทำ�ตาม ทีเ่ ราสัง่ ท่าน เราไม่เรียกท่านว่าเป็นผูร้ บั ใช้อกี ต่อไป เพราะผูร้ บั ใช้ไม่รวู้ า่ นายของตนทำ�อะไร เราเรียกท่านเป็น มิตรสหาย เพราะเราแจ้งให้ท่านรู้ทุกสิ่งที่เราได้ยินมาจากพระบิดาของเรา มิใช่ท่านทั้งหลายได้เลือกเรา แต่ เราได้เลือกท่าน มอบภารกิจให้ทา่ นไปทำ�จนเกิดผล และผลของท่านจะคงอยู่ เพือ่ ว่าท่านจะขอสิง่ ใดจากพระ บิดาในนามของเรา พระบิดาจะประทานแก่ท่าน เราสั่งท่านทั้งหลายดังนี้ว่า ท่านทั้งหลายจงรักกัน” แผนการขององค์พระผูเ้ ป็นเจ้า มนุษย์ไม่สามารถหยัง่ รูไ้ ด้ตลอดเวลา แต่หากเป็นพระประสงค์ และทรงเผยแสดงให้มนุษย์รู้ ทุกอย่างย่อมเกิดผลดี การเลือกนักบุญมัทธีอสั เป็นอัครสาวกแทนยูดาสผูท้ รยศ เป็นการสอนให้รู้ว่าผู้ที่พระเจ้าทรงเลือกสรรเป็นบุตรของพระองค์ ถ้าผู้นั้นไม่รักษาฐานะบุตรไว้ด้วยการนำ� พระธรรมคำ�สอนเข้าสู่ชีวิต การหันเหจากพระองค์ย่อมเกิดขึ้นได้ตลอดเวลา ดังนั้น การภาวนา การรับศีล ศักดิ์สิทธิ์ การรำ�พึงพระวาจาเสมอ จึงเป็นดั่งยาบำ�รุงชีวิตคริสตชนให้เจริญเติบโตในพระองค์ตลอดไป


สัปดาห์ที่ 5 เทศกาลปัสกา สดด 57:8-9,10-11

ทำ�วัตรสัปดาห์ที่ 1

บทอ่านที่ 1 กจ 15:22-31 ในครัง้ นัน้ บรรดาอัครสาวกและผูอ้ าวุโสพร้อมกับคริสตชนทุกคนทีช่ มุ นุมกันตกลง ใจเลือกสมาชิกบางคน เพื่อส่งไปยังเมืองอันทิโอกพร้อมกับเปาโลและบารนาบัส คือ ยูดาส ที่เรียกกันว่าบารซับบัสกับสิลาส ทั้งสองคนนี้เป็นคนเด่นในบรรดาพี่น้อง ที่ ประชุมเขียนจดหมายมอบให้คนเหล่านี้ถือไปใจความว่า “จาก บรรดาอัครสาวก ผู้อาวุโส และบรรดาพี่น้อง ถึง บรรดาพี่น้องซึ่งเคยเป็นคนต่างศาสนาอยู่ที่เมืองอันทิโอก ในแคว้นซีเรีย และ แคว้นซีลีเซีย ขอให้ท่านมีความสุขเถิด เนือ่ งจากเรารูว้ า่ พวกเราบางคนกล่าวถ้อยคำ�ทีท่ �ำ ให้ทา่ นสับสนและวุน่ วายใจ โดย ไม่ได้รับคำ�สั่งจากเราเลย เราจึงตกลงกันเป็นเอกฉันท์เลือกบุรุษบางคนส่งมาพบท่าน พร้อมกับบารนาบัสและเปาโลที่รักยิ่งของเรา ผู้เสี่ยงชีวิตเพื่อพระนามพระเยซูคริสต์ องค์พระผู้เป็นเจ้าของเรา ดังนั้น เราจึงส่งยูดาสและสิลาสมาเล่าเรื่องที่เขียนนี้ให้ท่าน ฟังโดยตรง พระจิตเจ้าและพวกเราตกลงทีจ่ ะไม่บงั คับให้ทา่ นแบกภาระอืน่ อีก นอกจาก สิ่งที่จำ�เป็นต่อไปนี้คือ งดเว้นการกินเนื้อสัตว์ที่ถวายให้รูปเคารพแล้ว งดเว้นการกิน เลือดและเนือ้ สัตว์ทถี่ กู รัดคอตาย และงดเว้นการแต่งงานทีไ่ ม่ถกู ต้องตามกฎหมาย ถ้า ท่านทั้งหลายงดเว้นการกระทำ�เหล่านี้ ก็จะเป็นการดี จงเจริญสุขเถิด” เมื่อรํ่าลากันแล้ว คณะผู้แทนก็เดินทางมาถึงเมืองอันทิโอก เขาเรียกบรรดา คริสตชนมาประชุมกันและมอบจดหมายให้ เมื่ออ่านจดหมายนั้นแล้ว ทุกคนต่างยินดี เพราะได้รับกำ�ลังใจ

พระวรสาร ยน 15:12-17 เวลานั้น พระเยซูเจ้าตรัสกับบรรดาศิษย์ว่า “นี่คือบทบัญญัติของเรา ให้ท่านทั้งหลายรักกัน เหมือนดังที่เรารักท่าน ไม่มีใครมีความรักยิ่งใหญ่กว่า การสละชีวิตของตนเพื่อมิตรสหาย ท่านทั้งหลายเป็นมิตรสหายของเรา ถ้าท่านทำ�ตามที่เราสั่งท่าน เราไม่ เรียกท่านว่าเป็นผู้รับใช้อีกต่อไป เพราะผู้รับใช้ไม่รู้ว่านายของตนทำ�อะไร เราเรียกท่านเป็นมิตรสหาย เพราะ เราแจ้งให้ท่านรู้ทุกสิ่งที่เราได้ยินมาจากพระบิดาของเรา มิใช่ท่านทั้งหลายได้เลือกเรา แต่เราได้เลือกท่าน มอบภารกิจให้ทา่ นไปทำ�จนเกิดผล และผลของท่านจะคงอยู่ เพือ่ ว่าท่านจะขอสิง่ ใดจากพระบิดาในนามของ เรา พระบิดาจะประทานแก่ท่าน เราสั่งท่านทั้งหลายดังนี้ว่า ท่านทั้งหลายจงรักกัน” ความบกพร่องหรือผิดพลาดเป็นวิสยั ของมนุษย์ แต่การแก้ไขหรือปรับปรุงความบกพร่องหรือ ความผิดพลาดเป็นวิสัยของผู้มีความเชื่อและวางใจในพระเมตตา หรือพระหรรษทานขององค์พระผู้เป็นเจ้า พระเยซูเจ้าตรัสให้บรรดาศิษย์ทราบว่าคุณสมบัตขิ องการเป็นศิษย์ ไม่ใช่ฟงั พระวาจาและนำ�ไปปฏิบตั ใิ นชีวติ เท่านัน้ แต่ยงั ยกฐานะจากศิษย์สฐู่ านะมิตรสหาย ซึง่ รูว้ า่ ต้องทำ�อะไร ทำ�ไปทำ�ไม และทำ�แล้วได้อะไรตอบแทน ขอบคุณพระองค์ที่ทรงเลือกเราและส่งเราไปประกาศข่าวดี เพื่อทุกคนจะรู้ว่าเราเป็นพี่น้องกัน มีพระบิดา เจ้าองค์เดียวกัน


บทอ่านที่ 1 กจ 16:1-10 ในครัง้ นัน้ เปาโลเดินทางมาถึงเมืองเดอร์บแี ละเมืองลิสตรา ทีเ่ มืองนีศ้ ษิ ย์คนหนึง่ ชื่อทิโมธี มารดาของเขาเป็นคริสตชนชาวยิว แต่บิดาเป็นชาวกรีก เขาเป็นที่นับถือของ บรรดาพี่น้องคริสตชนที่เมืองลิสตราและเมืองอิโคนิยุม เปาโลต้องการให้เขาร่วม เดินทางไปด้วย จึงให้เขาเข้าสุหนัต เพื่อเอาใจบรรดาชาวยิวที่อยู่ในที่ต่างๆ แถบนั้น เพราะทุกคนรูว้ า่ บิดาของเขาเป็นชาวกรีก เมือ่ คณะของเปาโลผ่านไปตามเมืองต่างๆ ก็ แจ้งให้บรรดาคริสตชนรู้ข้อกำ�หนดที่บรรดาอัครสาวกและผู้อาวุโสตกลงกันที่กรุง เยรูซาเล็ม เตือนเขาให้ปฏิบัติตาม บรรดากลุ่มคริสตชนจึงมีความเชื่อมั่นคงยิ่งขึ้นและ มีจำ�นวนคริสตชนเพิ่มขึ้นทุกวัน พระจิตเจ้าทรงห้ามคณะของเปาโลประกาศพระวาจาในแคว้นเอเชีย เขาจึงเดินทาง ผ่านแคว้นฟรีเจียและแคว้นกาลาเทีย มาถึงแคว้นมิเซีย เขาพยายามเข้าไปในแคว้น บิธีเนีย แต่พระจิตของพระเยซูเจ้าไม่ทรงอนุญาตให้เข้าไป เขาจึงเดินทางผ่านแคว้น มิเซีย ไปถึงเมืองโตรอัส เวลากลางคืนเปาโลเห็นนิมิต ชาวมาซิโดเนียคนหนึ่งยืนอยู่ อ้อนวอนเปาโลว่า “โปรดข้ามมาในแคว้นมาซิโดเนียและช่วยพวกเราด้วยเถิด” เมื่อ เปาโลเห็นนิมิตนี้แล้ว พวกเราก็หาโอกาสที่จะไปยังแคว้นมาซิโดเนียทันที เพราะเชื่อ แน่ว่าพระเจ้าทรงเรียกเราให้ไปประกาศข่าวดีแก่ชาวแคว้นนั้นด้วย

สัปดาห์ที่ 5 เทศกาลปัสกา สดด 100:1-4,5

ทำ�วัตรสัปดาห์ที่ 1

พระวรสาร ยน 15:18-21 เวลานั้น พระเยซูเจ้าตรัสกับบรรดาศิษย์ว่า “ถ้าโลกเกลียดชังท่านทัง้ หลาย ก็จงรูไ้ ว้เถิดว่า โลกเกลียดชังเราก่อนแล้ว ถ้าท่านทัง้ หลายเป็นฝ่ายโลก โลกก็คงรักสิง่ ทีเ่ ป็นของตน แต่เพราะท่านมิได้เป็นฝ่ายโลก และเราเลือกท่านออกมาจากโลก โลกจึงเกลียด ชังท่าน จงจำ�วาจาที่เราบอกแล้วเถิดว่า ผู้รับใช้ย่อมไม่เป็นใหญ่กว่านายของตน ถ้าเขาเบียดเบียนข่มเหงเรา เขาก็จะเบียดเบียนข่มเหงท่านทั้งหลายด้วย ถ้าเขาปฏิบัติตามวาจาของเรา เขาก็จะปฏิบัติตามวาจาของท่าน ด้วย แต่เขาจะทำ�ทุกอย่างเช่นนี้แก่ท่าน ก็เพราะนามของเรา เพราะเขาไม่รู้จักพระองค์ผู้ทรงส่งเรามา” นักบุญเปาโลเป็นธรรมทูตทีเ่ ดินทางอย่างไม่รจู้ กั หยุดหย่อน ท่านต้องทำ�งานหนักจนแทบไม่มี เวลานอน ไม่มีสถานที่ที่จะเรียกว่าบ้าน ปฏิกิริยาของผู้คนที่ท่านไปป่าวประกาศข่าวดีหาใช่ว่าจะต้อนรับ อย่างดีเสมอไป นักบุญเปาโลทำ�ให้พระดำ�รัสของพระเยซูเจ้าในพระวรสารวันนีส้ �ำ เร็จไป “ถ้าเขาเบียดเบียน ข่มเหงเรา เขาก็จะเบียดเบียนข่มเหงท่านทั้งหลายด้วย ถ้าเขาปฏิบัติตามวาจาของเรา เขาก็จะปฏิบัติ ตามวาจาของท่านทั้งหลายด้วย” (ยน 15:20) ไม่ว่าอะไรจะเกิดขึ้น เมื่อนักบุญเปาโลได้เห็นนิมิตเกี่ยวกับ ชาวมาซิโดเนีย ท่านตอบรับทันที เหตุผลคือท่านเชือ่ แน่วา่ พระเจ้าทรงเรียกท่านให้ไปประกาศข่าวดีแก่พวก เขา เรามีความเชื่อเพราะนักบุญเปาโลและบรรดาธรรมทูตที่เหมือนท่าน ตลอดระยะเวลาหลายศตวรรษ คาทอลิกผู้มีใจร้อนรน ทั้งพระสงฆ์และฆราวาสได้ตอบสนองต่อการเรียกให้เป็นธรรมทูต พวกเขาได้ช่วย เผยแผ่ความเชื่อในฐานะพยานถึงพระคริสตเจ้าในกรุงเยรูซาเล็ม ทั่วแคว้นยูเดียและสะมาเรีย และไปจนสุด ปลายแผ่นดิน


สัปดาห์ที่ 6 เทศกาลปัสกา ทำ�วัตรสัปดาห์ที่ 2

บทอ่านจากหนังสือกิจการอัครสาวก กจ 8:5-8,14-17 ฟีลิปไปเมืองหนึ่งในแคว้นสะมาเรียและประกาศเรื่องพระคริสตเจ้าให้ชาวเมือง นั้นฟัง ประชาชนที่ได้ฟังถ้อยคำ�ของฟีลิป และเห็นเครื่องหมายอัศจรรย์ที่เขาทำ� ก็ พร้อมใจกันฟังคำ�สัง่ สอนของเขา คนหลายคนทีถ่ กู ปีศาจชัว่ ร้ายสิงอยูร่ อ้ งเสียงดังแล้ว ปีศาจก็ออกไป คนอัมพาตและคนง่อยจำ�นวนมากหายจากโรค ประชาชนในเมืองนั้น จึงชื่นชมอย่างมาก บรรดาอัครสาวกที่กรุงเยรูซาเล็มส่งเปโตรและยอห์นไปหาชาวสะมาเรียเมื่อรู้ว่า เขาได้รบั พระวาจาของพระเจ้าแล้ว เมือ่ เปโตรและยอห์นไปถึงก็อธิษฐานภาวนาเพือ่ ชาว สะมาเรียเหล่านั้นให้ได้รับพระจิตเจ้า เพราะยังไม่มีผู้ใดได้รับพระจิตเจ้าเลย เขาเพียง แต่ได้รับศีลล้างบาปเดชะพระนามของพระเยซูองค์พระผู้เป็นเจ้าเท่านั้น เปโตรและ ยอห์นจึงปกมือเหนือเขาทั้งหลาย และเขาเหล่านั้นก็ได้รับพระจิตเจ้า เพลงสดุดี สดด 66:1-3,4-5,6-7,16 และ 18-20 ก) แผ่นดินทั้งมวลเอ๋ย จงโห่ร้องสรรเสริญพระเจ้าเถิด จงร้องเพลงสดุดีสรรเสริญพระสิริรุ่งโรจน์แห่งพระนามของพระองค์ จงถวายพระเกียรติแด่พระองค์ด้วยถ้อยคำ�สรรเสริญ จงทูลพระเจ้าเถิดว่า “พระราชกิจของพระองค์ช่างน่าเกรงขาม พระอานุภาพช่างยิ่งใหญ่ แม้กระทั่งศัตรูยังก้มลงเฉพาะพระพักตร์ ข) แผ่นดินทั้งมวลกราบนมัสการพระองค์ ร้องเพลงสดุดีแด่พระองค์ ร้องเพลงสดุดีสรรเสริญพระนามพระองค์” มาเถิด จงดูพระราชกิจของพระเจ้า การกระทำ�ของพระองค์ต่อมนุษย์ช่างน่าพิศวง ค) พระองค์ทรงเปลี่ยนท้องทะเลเป็นแผ่นดินแห้ง ทรงให้เขาทั้งหลายเดินข้ามแม่นํ้าไป ดังนั้น เราจงยินดีในพระเจ้าเถิด พระองค์ทรงปกครองด้วยพระอานุภาพตลอดกาล พระเนตรเฝ้าดูนานาชาติ เพื่อคนกบฏจะไม่ลุกขึ้นต่อสู้กับพระองค์ ง) ท่านทั้งหลายที่ยำ�เกรงพระเจ้า จงมาและจงฟังเถิด ข้าพเจ้าจะบอกเล่าสิ่งที่พระองค์ทรงกระทำ�เพื่อข้าพเจ้า ถ้าข้าพเจ้ามีความชั่วร้ายอยู่ในใจ องค์พระผู้เป็นเจ้าคงไม่ทรงฟังข้าพเจ้า แต่พระเจ้ากลับทรงฟัง


ทรงตั้งพระทัยฟังเสียงข้าพเจ้าอธิษฐานภาวนา ขอถวายพระพรแด่พระเจ้า พระองค์ไม่ทรงปฏิเสธคำ�ภาวนาของข้าพเจ้า ไม่ทรงถอนความรักมั่นคงของพระองค์จากข้าพเจ้า

บทอ่านจากจดหมายนักบุญเปโตรอัครสาวก ฉบับที่หนึ่ง 1 ปต 3:15-18 ลูกที่รัก จงนมัสการองค์พระผู้เป็นเจ้า คือพระคริสต เจ้าในจิตใจของท่าน จงพร้อมเสมอที่จะให้คำ�อธิบายแก่ทุก คนทีต่ อ้ งการรูเ้ หตุผลแห่งความหวังของท่าน จงอธิบายด้วย ความอ่อนโยนและด้วยความเคารพอย่างบริสทุ ธิใ์ จ เพือ่ เมือ่ ท่านถูกใส่ร้าย ผู้ที่กล่าวร้ายความประพฤติดีของท่านตาม คำ�สอนของพระคริสตเจ้า ก็จะต้องประสบความอับอาย หาก เป็นพระประสงค์ของพระเจ้า การทนทุกข์เพราะทำ�ความดี ย่อมดีกว่าการทนทุกข์เพราะทำ�ความชั่ว พระคริสตเจ้าสิน้ พระชนม์เพียงครัง้ เดียวเพราะบาป พระองค์ผทู้ รงชอบธรรมสิน้ พระชนม์เพือ่ คนอธรรม พระองค์จะทรงนำ�เราไปเฝ้าพระเจ้า พระองค์ทรงถูกประหารชีวติ ในสภาพมนุษย์ แต่พระจิตเจ้าประทานชีวติ ให้พระองค์อีก บทอ่านจากพระวรสารนักบุญยอห์น ยน 14:15-21 เวลานั้น พระเยซูเจ้าตรัสกับบรรดาอัครสาวกว่า “ถ้าท่านทั้งหลายรักเรา ท่านจะปฏิบัติตามบทบัญญัติของเรา และเราจะวอนขอพระบิดา แล้วพระองค์ จะประทานผู้ช่วยเหลืออีกองค์หนึ่งให้ท่าน เพื่อจะอยู่กับท่านตลอดไป คือพระจิตแห่งความจริง ซึ่งโลกรับ ไว้ไม่ได้ เพราะมองพระองค์ไม่เห็น และไม่รู้จักพระองค์ แต่ท่านทั้งหลายรู้จักพระองค์ เพราะพระองค์ทรง ดำ�รงอยู่กับท่าน และอยู่ในท่าน เราจะไม่ทิ้งท่านทั้งหลายให้เป็นกำ�พร้า เราจะกลับมาหาท่าน ในไม่ช้า โลก จะไม่เห็นเรา แต่ท่านทั้งหลายจะเห็นเรา เพราะเรามีชีวิต และท่านก็จะมีชีวิตด้วย ในวันนั้น ท่านจะรู้ว่า เรา อยู่ในพระบิดาของเรา ท่านอยู่ในเรา และเราอยู่ในท่าน ผู้ที่มีบทบัญญัติของเรา และปฏิบัติตาม ผู้นั้นรักเรา และผู้ที่รักเรา พระบิดาของเราก็จะทรงรักเขา และเราเองก็จะรักเขา และจะแสดงตนแก่เขา” ก่อนทีพ่ ระเยซูเจ้าจะจากบรรดาศิษย์ พระองค์ทรงสัญญาว่าจะส่ง “ผูช้ ว่ ยเหลืออีกองค์หนึง่ ” (ยน 14:16) หรือ “พระจิตแห่งความจริง” (ยน 14:17) มาหาพวกเขา มาอยู่กับพวกเขา เหมือนนักกีฬาที่ ต้องการโค้ช เราทุกคนล้วนต้องการผู้ช่วยเหลือเช่นกัน ไม่ว่าจะเก่งกล้าสามารถมากขนาดไหน นักกีฬามือ อาชีพทุกคนต้องมีโค้ช อาศัยกำ�ลังและความสามารถตามประสามนุษย์โดยลำ�พัง เรามีโอกาสผิดพลาด การ คิดว่าตนเองไม่ต้องการความช่วยเหลือและพระหรรษทานจากพระเจ้าเพื่อบรรลุถึงความสุขนิรันดร ถือว่า เป็นความคิดที่ผิดพลาดอย่างมหันต์ พระเยซูเจ้าทรงบอกเราอย่างชัดเจนในพระวรสารวันนี้ว่า เราจำ�เป็น ต้องได้รบั ความช่วยเหลือจากพระเจ้าเสมอ เราต้องการผูช้ ว่ ยเหลืออีกองค์หนึง่ หรือพระจิตเจ้า ผูท้ รงอยูเ่ คียง ข้างเรา คอยให้คำ�ปรึกษาแนะนำ�และอ้อนวอนแทนเรา


น.ยอห์น ที่ 1 พระสันตะปาปา และมรณสักขี สดด 149:1-2, 3-4,5-7

ทำ�วัตรสัปดาห์ที่ 2

บทอ่านที่ 1 กจ 16:11-15 ในครั้งนั้น พวกเราแล่นเรือออกจากเมืองโตรอัส มุ่งไปยังเกาะซาโมธรัส วันรุ่งขึ้น ก็เดินทางต่อไปถึงเมืองเนอาบุรี จากเมืองนีเ้ ราเดินทางไปถึงเมืองฟีลปิ ปี อาณานิคมของ ชาวโรมัน เป็นเมืองเอกของแคว้นมาซิโดเนีย เราพักอยู่ที่เมืองนี้หลายวัน วันสับบาโตวันหนึ่ง เราออกนอกประตูเมืองไปยังริมลำ�ธาร เพราะคิดว่าที่นั่นเป็น สถานที่สำ�หรับอธิษฐานภาวนา เรานั่งพูดคุยกับบรรดาสตรีที่มาชุมนุมกันอยู่ที่นั่น สตรี คนหนึ่งชื่อ ลิเดีย มาจากเมืองธิอาทิรา เป็นคนขายผ้ากำ�มะหยี่สีม่วงแดง เป็นคน เลื่อมใสในพระเจ้าฟังเราอยู่ องค์พระผู้เป็นเจ้าเปิดใจนางให้ยอมรับถ้อยคำ�ของเปาโล นางและทุกคนในครอบครัวรับศีลล้างบาป แล้วจึงเชิญเรา พูดว่า “ถ้าท่านคิดว่าดิฉัน เป็นผู้มีความเชื่อในองค์พระผู้เป็นเจ้าแล้ว จงมาพักที่บ้านของดิฉันเถิด” นางเชิญชวน จนเราปฏิเสธไม่ได้ พระวรสาร ยน 15:26-16:4 เวลานั้น พระเยซูเจ้าตรัสกับบรรดาศิษย์ว่า “เมือ่ พระผูช้ ว่ ยเหลือซึง่ เราจะส่งมาจากพระบิดาจะเสด็จมา คือพระจิตแห่งความ จริง ผู้ทรงเนื่องมาจากพระบิดา พระองค์จะทรงเป็นพยานให้เรา ท่านทั้งหลายก็จะเป็น พยานให้เราด้วย เพราะท่านอยู่กับเรามาตั้งแต่แรกแล้ว เราบอกเรือ่ งเหล่านีแ้ ก่ทา่ นทัง้ หลาย เพือ่ ท่านจะไม่แคลงใจ เขาจะขับไล่ทา่ นออก จากศาลาธรรม เวลานั้นกำ�ลังมาถึง เมื่อผู้ที่ฆ่าท่านจะคิดว่าตนกำ�ลังถวายคารวกิจแด่ พระเจ้า เขาจะทำ�เช่นนี้ เพราะเขาไม่รู้จักทั้งพระบิดาและเรา แต่เราบอกเรื่องนี้กับท่าน เพื่อว่าเมื่อเวลานั้นมาถึง ท่านจะระลึกได้ว่าเราบอกท่านแล้ว” เราไม่รวู้ า่ ชาวมาซิโดเนียในนิมติ ทีน่ กั บุญเปาโลเห็นเป็นใคร เป็นพระเยซู เจ้าที่แปลงร่างมาหรือปล่า? ไม่มีใครทราบ แต่สิ่งที่ชัดเจนสำ�หรับเราคือ พระเจ้าทรง สามารถเรียกใครก็ได้ให้มารับใช้พระองค์ในวิถที างทีพ่ ระองค์ทรงพอพระทัย ดังนัน้ ใน การตอบสนองต่อความเดือดร้อนของคนอื่นเป็นการตอบสนองต่อเสียงเรียกของพระ เยซูเจ้าเอง คนยากจนและหิวกระหาย เป็นพระเยซูเจ้าที่กำ�ลังแสวงหาอาหารประทัง ชีวิต คนโดดเดี่ยวที่ต้องการใครสักคนฟังเสียงของเขา เป็นพระเยซูเจ้าที่กำ�ลังแสวงคำ� ปลอบโยนจากมิตรสหาย คนเจ็บป่วยและกำ�ลังทนทรมาน เป็นพระเยซูเจ้ากำ�ลังรับ ทรมาน ในความเดือดร้อนของเพื่อนมนุษย์มีเสียงเรียกของพระเยซูเจ้าที่ให้เราเข้าไป ช่วยเหลือด้วยหัวใจที่เปี่ยมด้วยความรัก ให้เราพยายามตอบรับเสียงเรียกและความ เป็นทุกข์เดือดร้อนของพระเยซูเจ้าที่เราพบในเพื่อนพี่น้องในแต่ละวัน


บทอ่านที่ 1 กจ 16:22-34 ในครัง้ นัน้ ประชาชนกลุม้ รุมกันจะทำ�ร้ายเปาโลและสิลาส บรรดาผูพ้ พิ ากษาจึงสัง่ ให้เปลื้องเสื้อผ้าและเฆี่ยนเขาทั้งสองคน เมื่อได้เฆี่ยนหลายทีแล้ว ก็นำ�ไปขังคุก สั่งให้ ผู้คุมควบคุมไว้อย่างเข้มงวด เมื่อได้รับคำ�สั่งเช่นนี้ ผู้คุมก็นำ�เปาโลและสิลาสไปขังไว้ ในคุกชั้นในสุด และใส่โซ่ตรวนที่เท้าอย่างแน่นหนา เวลาประมาณเทีย่ งคืน เปาโลและสิลาสกำ�ลังอธิษฐานภาวนาและขับร้องสรรเสริญ สัปดาห์ที่ 6 พระเจ้า นักโทษคนอื่นกำ�ลังฟังอยู่ ทันใดนั้น เกิดแผ่นดินไหวอย่างรุนแรง จนฐานคุก เทศกาลปัสกา สัน่ สะเทือน ประตูคกุ ทุกบานเปิดออกทันที โซ่ตรวนของผูถ้ กู จองจำ�ทุกคนก็หลุด ผูค้ มุ สดด 138:1-2ก, ตื่นขึ้น เห็นว่าประตูคุกเปิด จึงชักดาบจะฆ่าตัวตาย เพราะคิดว่าบรรดาผู้ถูกจองจำ�หนี 2ข-3,7ข-8 ไปหมดแล้ว แต่เปาโลร้องตะโกนว่า “อย่าทำ�ร้ายตนเองเลย พวกเรายังอยูท่ น่ี ก่ี นั ทุกคน” ทำ�วัตรสัปดาห์ที่ 2 ผูค้ มุ สัง่ ให้จดุ ตะเกียง กระโดดเข้าไปในคุก ตัวสัน่ กราบลงแทบเท้าของเปาโลและ สิลาส พาคนทั้งสองออกมาข้างนอกพูดว่า “ท่านขอรับ ข้าพเจ้าต้องทำ�อย่างไรจึงจะรอดพ้น” เปาโลและสิลาสตอบว่า “จงเชื่อพระเยซูองค์พระผู้เป็นเจ้าเถิด ท่านและครอบครัวจะได้รอดพ้น” ทั้ง สองคนประกาศพระวาจาขององค์พระผู้เป็นเจ้าให้ผู้คุมและทุกคนในครอบครัวฟัง เวลาดึกคืนนั้น ผู้คุมพา เขาทั้งสองคนแยกไปล้างแผล ทันทีหลังจากนั้น เขาได้รับศีลล้างบาปพร้อมกับทุกคนในครอบครัว เขาเชิญ ทั้งสองคนขึ้นไปบนบ้าน จัดโต๊ะเลี้ยงอาหาร และมีความยินดีพร้อมกันทั้งครอบครัวที่ได้มีความเชื่อใน พระเจ้า” พระวรสาร ยน 16:5-11 เวลานั้น พระเยซูเจ้าตรัสกับบรรดาศิษย์ว่า “บัดนี้เรากำ�ลังไปเฝ้าพระองค์ผู้ทรงส่งเรามา ไม่มีผู้ใดถามเราว่า ‘พระองค์จะเสด็จไปไหน’ แต่เพราะ เราได้บอกเรือ่ งเหล่านีก้ บั ท่าน ใจของท่านจึงมีแต่ความทุกข์ เราบอกความจริงกับท่านทัง้ หลายว่า ทีเ่ ราไปนัน้ ก็เป็นประโยชน์กับท่าน เพราะถ้าเราไม่ไป พระผู้ช่วยเหลือก็จะไม่เสด็จมาหาท่าน แต่ถ้าเราไป เราจะส่ง พระองค์มาหาท่าน เมื่อพระองค์เสด็จมา พระองค์จะทรงแสดงให้โลกเห็นความหมายของบาป ของความ ถูกต้อง และของการตัดสิน บาปของโลกคือ เขาไม่ได้เชื่อในเรา ความถูกต้องคือ เรากำ�ลังไปเฝ้าพระบิดา และท่านจะไม่เห็นเราอีก การตัดสินคือ ซาตานเจ้านายแห่งโลกนี้ถูกตัดสินลงโทษแล้ว” ในคำ�สัญญาของพระเยซูเจ้าที่ให้บรรดาศิษย์ พระจิตเจ้าจะทรงเผยแสดงความจริงเกี่ยวกับ พระองค์แก่พระศาสนจักร การนำ�ทางของพระจิตเจ้าทำ�ให้ค�ำ สัญญาของพระเยซูเจ้าสมบูรณ์ และทรงแสดง ให้โลกเห็นว่าความคิดของพวกเขาเกีย่ วกับพระเยซูเจ้าขัดแย้งกับความเป็นจริง พวกเขาคิดว่าความตายของ พระเยซูเจ้าเป็นความพ่ายแพ้ แต่จริงๆ แล้วเป็นชัยชนะยิง่ ใหญ่ เป็นชัยชนะเหนือบาปและความตาย เพราะ พระเจ้าทรงทำ�ให้พระองค์กลับคืนพระชนมชีพในวันที่สาม ความตายของพระเยซูเจ้านำ�ความรอดพ้นมาสู่ มวลมนุษย์ ในบทอ่านแรกไม่ใช่นักบุญเปาโลและสิลาสที่ถูกจำ�กัดเสรีภาพในคุก แต่เป็นผู้คุมต่างหากที่ถูก บังคับให้ปฏิบตั ติ อ่ ผูบ้ ริสทุ ธิท์ งั้ สองอย่างเหีย้ มโหด อย่างไรก็ตาม พระจิตเจ้าทรงทำ�ให้ทา่ นมองเห็นความจริง ผ่านทางแผ่นดินไหว วิถีทางในการดำ�เนินชีวิตของคริสตชนแตกต่างจากวิถีทางของชาวโลกทั่วไป เพราะใน วิถีทางนี้ คนยากจนเป็นสุข คนโศกเศร้าได้รับความยินดี และคนตายจะกลับเป็นขึ้นมาเพื่อรับชีวิตนิรันดร


บทอ่านที่ 1 กจ 17:15,22-18:1 ในครั้งนั้น เพื่อนร่วมทางพาเปาโลไปถึงกรุงเอเธนส์ แล้วเดินทางกลับพร้อมกับ คำ�สั่งของเปาโลให้สิลาสและทิโมธีรีบเดินทางไปสมทบโดยเร็วที่สุด เปาโลยืนอยู่ตรงกลางที่ประชุมอภิรัฐสภา พูดว่า “ชาวเอเธนส์ทั้งหลาย ข้าพเจ้า พบว่าท่านมีความเลื่อมใสในศาสนามากจริงๆ เมื่อข้าพเจ้าเดินชมเมืองสังเกตเห็น ปูชนียวัตถุตา่ งๆ ของท่าน พบแท่นบูชาแท่นหนึง่ มีค�ำ จารึกว่า “แด่พระเจ้าทีเ่ ราไม่รจู้ กั ” น.เบอร์นาดิน ข้าพเจ้ามาประกาศให้ท่านรู้จักพระเจ้าองค์นี้ที่ท่านเคารพทั้งๆ ที่ท่านไม่รู้จัก แห่งซีเอนา พระองค์คือพระเจ้าผู้ทรงสร้างโลกและทรงสร้างทุกสิ่งที่อยู่ในโลก พระองค์ทรง พระสงฆ์ เป็ น เจ้ านายของสวรรค์และแผ่นดิน พระองค์ไม่สถิตในวิหารที่มือมนุษย์สร้างขึ้น สดด 148:1-14 พระองค์ไม่ทรงต้องการการปรนนิบัติจากมือมนุษย์ ประหนึ่งว่าทรงขาดสิ่งใดสิ่งหนึ่ง ทำ�วัตรสัปดาห์ที่ 2 เพราะพระองค์ทรงเป็นผู้ประทานชีวิต ลมหายใจและทุกสิ่งให้แก่มนุษย์ทุกคน... เราเป็นบุตรของพระเจ้า เราจึงไม่ควรคิดว่า พระเจ้าทรงเป็นเหมือนรูปทองคำ� เงินหรือหิน ซึ่งแกะสลัก อย่างมีศิลปะตามจินตนาการของมนุษย์ บัดนี้ พระเจ้าทรงมองข้ามเวลาในอดีตเมื่อมนุษย์ยังไม่มีความรู้ พระองค์ทรงบัญชาให้มนุษย์ทกุ คนทัว่ ทุกแห่งกลับใจ เพราะพระองค์ทรงกำ�หนดวันหนึง่ ไว้เมือ่ จะทรงพิพากษา โลกด้วยความยุติธรรม โดยผ่านมนุษย์ผู้หนึ่งที่พระองค์ทรงแต่งตั้งและทรงรับรองต่อมนุษย์ทุกคนโดยทรง ทำ�ให้ผู้นี้กลับคืนชีวิตจากบรรดาผู้ตาย” เมือ่ เขาเหล่านัน้ ฟังคำ�พูดเรือ่ งการกลับคืนชีวติ ของบรรดาผูต้ าย บางคนหัวเราะเยาะ บางคนพูดว่า “รอ ไว้ฟงั เรือ่ งนีจ้ ากท่านในคราวหน้าก็แล้วกัน” เปาโลจึงออกไปจากทีป่ ระชุมสภา แม้กระนัน้ บางคนก็ยงั ติดตาม เปาโลและมีความเชือ่ คือ ดีโอนีซอี สั สมาชิกอภิรฐั สภา และสตรีคนหนึง่ ชือ่ ดามาริส รวมทัง้ คนอืน่ อีกจำ�นวน หนึง่ ด้วย... พระวรสาร ยน 16:12-15 เวลานั้น พระเยซูเจ้าตรัสกับบรรดาศิษย์ว่า “เรายังมีอีกหลายเรื่องที่จะบอกท่าน แต่บัดนี้ท่านยังรับไว้ไม่ได้ เมื่อพระจิตแห่งความจริงเสด็จมา พระองค์จะทรงนำ�ท่านไปสูค่ วามจริงทัง้ มวล พระองค์จะไม่ตรัสโดยพระองค์เอง แต่จะตรัสทุกสิง่ ทีท่ รงได้ฟงั มา และจะทรงแจ้งให้ท่านรู้เหตุการณ์ที่จะเกิดขึ้น พระองค์จะทรงให้เราได้รับพระสิริรุ่งโรจน์ เพราะพระองค์ จะทรงแจ้งให้ท่านรู้คำ�สอนที่ทรงได้รับจากเรา ทุกสิ่งที่พระบิดาทรงมีนั้นก็เป็นของเราด้วย ดังนั้น เราจึงบอก ว่า พระจิตเจ้าจะทรงแจ้งให้ท่านรู้คำ�สอนที่ทรงรับจากเรา” การสอนใครสักคนหนึ่งเราต้องดูความรู้พื้นฐานของเขาก่อน เมื่อนักบุญเปาโลเทศน์สอนชาว ยิว ท่านรู้ว่าพวกเขามีความรู้และความเข้าใจเกี่ยวกับพระเจ้าที่ได้รับการถ่ายทอดมาจากบรรพบุรุษ แต่เมื่อ ท่านไปทีก่ รุงเอเธนส์ ท่านเทศน์สอนชาวกรีกด้วยความรูพ้ นื้ ฐานเกีย่ วกับพระเจ้าหนึง่ เดียว ผูท้ รงสร้างสวรรค์ และแผ่นดิน ในทำ�นองเดียวกันพระเยซูเจ้าทรงใช้ความอดทนสูงในการสอนบรรดาศิษย์ ซึ่งส่วนใหญ่มีการ ศึกษาน้อย ในช่วงท้ายของการเทศน์สอนพระองค์ทรงบอกพวกเขาว่า “เรายังมีอกี หลายเรือ่ งทีจ่ ะบอกท่าน แต่บัดนี้ท่านยังรับไว้ไม่ได้” (ยน 16:12) พระดำ�รัสนี้ชี้ให้เห็นเป็นนัยๆ ว่ายังมีความจริงอีกหลายอย่างที่จะ ถูกเปิดเผยให้พวกเขารู้ในอนาคต เมื่อพระจิตเจ้าเสด็จมา พระองค์จะทรงนำ�พวกเขาไปสู่ความจริงทั้งมวล ให้เราเปิดใจรับพระพรและความช่วยเหลือจากพระองค์ เพือ่ เราจะเข้าใจความจริงเกีย่ วกับศาสนาของเรามากขึน้


บทอ่านที่ 1 กจ 18:1-8 หลังจากนั้น เปาโลออกจากกรุงเอเธนส์ไปเมืองโครินธ์ เขาพบชาวยิวคนหนึ่ง ชื่อ อาควิลา ชาวแคว้นปอนทัส เพิ่งมาจากอิตาลีพร้อมกับภรรยาชื่อปริสซิลลา เพราะพระ จักรพรรดิคลาวดิอสั ทรงออกพระราชกฤษฎีกาให้ชาวยิวทุกคนออกจากกรุงโรม เปาโล ไปพบเขาทั้งสองคน พักอยู่และทำ�งานร่วมกัน เพราะมีอาชีพเดียวกันคือเป็นช่างทำ� กระโจม ทุกวันสับบาโตเปาโลถกเถียงในศาลาธรรม พยายามชักชวนชาวยิวและชาว น.คริสโตเฟอร์ กรีกให้มีความเชื่อ มักอัลลาเนส เมื่อสิลาสและทิโมธีกลับมาจากแคว้นมาซิโดเนียแล้ว เปาโลอุทิศตนเต็มที่ในการ พระสงฆ์ ประกาศพระวาจาเป็นพยานยืนยันแก่ชาวยิวว่า พระเยซูเป็นพระคริสตเจ้า แต่เมื่อชาว และเพื่อนมรณสักขี ยิวเหล่านั้นต่อต้านและพูดดูหมิ่นพระเจ้า เปาโลก็สะบัดฝุ่นจากเสื้อผ้าเป็นการตอบโต้ สดด 98:1-2,3-4 พูดกับเขาว่า “ถ้าท่านไม่รอดพ้น ก็เป็นเรื่องของท่าน ข้าพเจ้าไม่รับผิดชอบแล้ว ตั้งแต่ ทำ�วัตรสัปดาห์ที่ 2 นี้ไปข้าพเจ้าจะไปหาคนต่างศาสนา” เปาโลออกจากศาลาธรรมไปยังบ้านของทิธีอัสยุสตัส ผู้เลื่อมใสในพระเจ้า บ้านของเขาอยู่ติดกับศาลา ธรรม คริสปัสหัวหน้าศาลาธรรมและทุกคนในครอบครัวมีความเชื่อในองค์พระผู้เป็นเจ้า ชาวโครินธ์หลาย คนที่ฟังเปาโล ก็มีความเชื่อและรับศีลล้างบาปด้วย พระวรสาร ยน 16:16-20 เวลานั้น พระเยซูเจ้าตรัสกับบรรดาศิษย์ว่า “อีกไม่นาน ท่านทั้งหลายจะไม่เห็นเรา และต่อไปไม่นาน ท่านจะเห็นเราอีก” ศิษย์บางคนจึงถามกันว่า “ทีพ่ ระองค์ตรัสกับเราว่า ‘อีกไม่นาน ท่านจะไม่เห็นเรา แล้วต่อไปไม่นาน ท่าน จะเห็นเราอีก’ หมายความว่าอย่างไร และทีพ่ ระองค์ตรัสว่า ‘เรากำ�ลังไปเฝ้าพระบิดา’ หมายความว่าอย่างไร” เขาพูดกันอีกว่า “ที่พระองค์ตรัสว่า ‘อีกไม่นาน’ นั้นหมายความว่าอย่างไร เราไม่เข้าใจว่าพระองค์กำ�ลังตรัส อะไร” พระเยซูเจ้าทรงทราบว่าบรรดาศิษย์ต้องการทูลถามพระองค์ จึงตรัสว่า “ท่านกำ�ลังถามกันใช่ไหมถึง เรื่องที่เราบอกว่า อีกไม่นานท่านจะไม่เห็นเรา แล้วต่อไปไม่นานท่านจะเห็นเราอีก เราบอกความจริงกับท่านทัง้ หลายว่า ท่านจะร้องไห้คราํ่ ครวญ แต่โลกจะยินดี ท่านจะเศร้าโศก แต่ความ เศร้าโศกของท่านจะเปลี่ยนเป็นความยินดี” พระวรสารวันนีเ้ ป็นพระดำ�รัสของพระเยซูเจ้าระหว่างอาหารคํา่ มือ้ สุดท้าย พระองค์ก�ำ ลังจะ ออกเดินทางและปล่อยบรรดาศิษย์ไว้เบื้องหลัง แต่การเดินทางครั้งนี้มีจุดประสงค์เพื่อความดีของพวกเขา แม้วา่ ในเวลานัน้ พวกเขาไม่เข้าใจทัง้ หมด พระเยซูเจ้าทรงพยายามทำ�ให้พวกเขามัน่ ใจว่าพวกเขาจะโศกเศร้า สักระยะหนึง่ แต่ความเศร้าโศกของพวกเขาจะเปลีย่ นเป็นความยินดีในเวลาต่อมา การเดินทางของพระองค์ จะต้องผ่านประตูแห่งความตายทีน่ า่ เกรงขามเพือ่ เข้าสูค่ วามรุง่ เรืองแห่งชีวติ นิรนั ดร พระองค์ทรงปรารถนา ที่จะแบ่งปันความรุ่งเรืองนี้กับบรรดาศิษย์และเราทุกคน พระองค์เสด็จไปล่วงหน้าเพื่อเตรียมที่สำ�หรับทุก คนที่เชื่อในพระองค์ ชีวิตบนโลกนี้ของเราเป็นการเดินทางไปสู่บ้านแท้นิรันดรในสวรรค์ เหมือนพระเยซูเจ้า ที่ต้องผ่านประตูแห่งความตาย แต่เราก็มั่นใจว่าในฐานะผู้มีความเชื่อในพระองค์ เราจะมีส่วนร่วมในพระสิริ รุ่งโรจน์ของพระองค์ในสวรรค์อย่างแน่นอน


น.ริต้า แห่งคาเซีย นักบวช สดด 47:1-2,3-4,5-7

ทำ�วัตรสัปดาห์ที่ 2

บทอ่านที่ 1 กจ 18:9-18 คืนหนึ่ง องค์พระผู้เป็นเจ้าตรัสแก่เปาโลในนิมิตว่า “อย่ากลัว จงพูดต่อไป อย่า เงียบเลย เพราะเราอยู่กับท่าน ไม่มีใครกล้าทำ�ร้ายท่าน เพราะหลายคนในเมืองนี้เป็น ประชากรของเราแล้ว” เปาโลพักอยูท่ นี่ นั่ และสัง่ สอนพระวาจาของพระเจ้าแก่ชาวเมือง นั้นเป็นเวลาหนึ่งปีหกเดือน ขณะทีก่ ลั ลิโอเป็นผูว้ า่ ราชการแคว้นอาคายา ชาวยิวช่วยกันจูโ่ จมจับเปาโลและนำ� เขาไปขึ้นศาล กล่าวฟ้องว่า “ชายผู้นี้ชักชวนประชาชนให้นมัสการพระเจ้าอย่างผิด กฎหมาย” เปาโลกำ�ลังจะกล่าวตอบ กัลลิโอก็พูดกับชาวยิวว่า “ชาวยิวเอ๋ย ถ้าเป็นเรื่อง อาชญากรรมหรือการฉ้อฉลเลวร้าย ข้าพเจ้ายินดีจะรับฟังคำ�ร้องของท่านอย่างแน่นอน แต่ถ้าเป็นเพียงปัญหาเรื่องคำ�สอน เรื่องถ้อยคำ� เรื่องชื่อ และเรื่องธรรมบัญญัติของ ท่าน ท่านจงไปจัดการกันเองเถิด ข้าพเจ้าไม่ต้องการเป็นผู้พิพากษาตัดสินในเรื่องเช่น นี้” กัลลิโอจึงสั่งชาวยิวเหล่านั้นให้ออกไปจากศาล ทุกคนจับโสสเธเนสหัวหน้าศาลา ธรรม และโบยตีต่อหน้าศาล แต่กัลลิโอมิได้สนใจเลย เปาโลพักอยูใ่ นเมืองโครินธ์อกี หลายวัน กล่าวลาบรรดาพีน่ อ้ ง แล่นเรือไปยังแคว้น ซีเรีย พร้อมกับปริสซิลลาและอาควิลา ก่อนออกเรือที่เมืองเคนเครีย เปาโลโกนศีรษะ เพราะได้บนขอไว้

พระวรสาร ยน 16:20-23ก เวลานั้น พระเยซูเจ้าตรัสกับบรรดาศิษย์ว่า “เราบอกความจริงกับท่านทั้งหลายว่า ท่านจะร้องไห้ ครํ่าครวญ แต่โลกจะยินดี ท่านจะเศร้าโศก แต่ ความเศร้าโศกของท่านจะเปลี่ยนเป็นความยินดี หญิงที่กำ�ลังจะคลอดบุตรย่อมมีความทุกข์ เพราะถึงเวลา ของนางแล้ว แต่เมื่อคลอดบุตรแล้ว นางก็จำ�ความทุกข์ไม่ได้อีกต่อไป เพราะความยินดีที่มนุษย์คนหนึ่งเกิด มาในโลก ท่านทั้งหลายก็เช่นเดียวกัน บัดนี้ท่านมีความทุกข์ แต่เราจะเห็นท่านอีก และใจของท่านจะยินดี ไม่มีใครนำ�ความยินดีไปจากท่านได้ วันนั้น ท่านทั้งหลายจะไม่ถามอะไรจากเราอีก” พระเยซูเจ้าทรงมองหาวิธที จี่ ะทำ�ให้บรรดาศิษย์เข้าใจว่า ความเศร้าโศกเสียใจและความทุกข์ ยากลำ�บากเนือ่ งจากการติดตามพระองค์จะไม่เพียงแค่ถกู ลืมในเวลาต่อมา แต่จะถูกถือว่าเป็นสิง่ ทีท่ รงคุณค่า นี่คือสาเหตุที่ทำ�ให้พระองค์พูดเกี่ยวกับหญิงที่กำ�ลังจะคลอดบุตร การเปรียบเทียบนี้เหมาะสม เพราะความ เจ็บปวดของการคลอดบุตรนำ�ไปสูช่ วี ติ ใหม่ และความทุกข์ทรมานของคริสตชนนำ�ไปสูช่ วี ติ นิรนั ดร พระเยซู เจ้าทรงเป็นตัวอย่างในเรือ่ งนี้ พระองค์ทรงยอมรับความทุกข์ทรมานและความตายด้วยความนบนอบเชือ่ ฟัง ต่อพระบิดา และพระบิดาทรงเทิดทูนพระองค์ขนึ้ สูงเด่น การเป็นศิษย์ตดิ ตามพระเยซูเจ้าหมายถึงการมีสว่ น ร่วมในความทุกข์ทรมานและในพระสิรริ งุ่ โรจน์ของพระองค์ ชีวติ บนโลกนีข้ องเราไม่ตา่ งจากหญิงทีก่ �ำ ลังจะ คลอดบุตร เรามีความทุกข์ยากลำ�บาก ความเศร้าโศกเสียใจ ต่างกันเพียงว่า เมื่อเวลาของเรามาถึง เราจะ ไม่ให้กำ�เนิดชีวิตใหม่ แต่เราจะเป็นผู้เกิดใหม่ในชีวิตนิรันดร


บทอ่านที่ 1 กจ 18:23-28 หลังจากอยู่ในเมืองอันทิโอกระยะหนึ่ง เปาโลออกจากที่นั่น เดินทางไปทั่วแคว้น กาลาเทียและฟรีเจียเพื่อทำ�ให้บรรดาศิษย์มีความเชื่อมั่นคงยิ่งขึ้น ในช่วงเวลานั้น ชาวยิวคนหนึ่งชื่ออปอลโล ชาวเมืองอเล็กซานเดรีย มาที่เมือง เอเฟซัส เขารอบรู้พระคัมภีร์ มีวาทศิลป์ ได้รับการสั่งสอนเรื่องวิถีทางขององค์พระผู้ เป็นเจ้า มีจติ ใจกระตือรือร้นมากในการพูดและการสอนเรือ่ งเกีย่ วกับพระเยซูเจ้าอย่าง ถูกต้อง แต่รจู้ กั เพียงพิธลี า้ งของยอห์นเท่านัน้ เขาเริม่ เทศน์สอนอย่างกล้าหาญในศาลา ธรรม ปริสซิลลาและอาควิลาได้ฟังจึงเชิญเขาไปที่บ้านและอธิบายให้เขาเข้าใจวิถีทาง ของพระเจ้าอย่างละเอียดชัดเจนยิ่งขึ้น อปอลโลต้องการไปยังแคว้นอาคายา บรรดาพีน่ อ้ งก็ให้ก�ำ ลังใจและเขียนจดหมาย ถึงบรรดาศิษย์ที่นั่นให้ต้อนรับเขา เมื่อไปถึง อปอลโลให้ความช่วยเหลืออย่างมากแก่ ผู้ที่พระเจ้าทรงบันดาลให้มีความเชื่อ เขาตอบโต้อย่างแข็งขันกับชาวยิวต่อหน้าคน ทั้งหลาย โดยอ้างข้อความจากพระคัมภีร์พิสูจน์ว่าพระเยซูเจ้าเป็นพระคริสตเจ้า พระวรสาร ยน 16:23ข-28 เวลานั้น พระเยซูเจ้าตรัสกับบรรดาศิษย์ว่า “เราบอกความจริงแก่ท่านทั้งหลายว่า ท่านจะขอสิ่งใดจากพระบิดา พระองค์จะ ประทานให้ท่านในนามของเรา จนถึงบัดนี้ ท่านยังไม่ได้ขอสิ่งใดในนามของเราเลย จง ขอเถิด แล้วท่านจะได้รบั เพือ่ ความยินดีของท่านจะสมบูรณ์ เราใช้อปุ มาบอกเรือ่ งเหล่า นีก้ บั ท่าน จะถึงเวลาทีเ่ ราจะไม่ใช้อปุ มาพูดกับท่านอีก แต่จะบอกถึงพระบิดาของเราให้ ท่านรู้อย่างชัดแจ้ง วันนั้น ท่านจะขอในนามของเรา เราไม่บอกท่านว่า เราจะขอพระ บิดาเพื่อท่าน พระบิดาทรงรักท่าน เพราะท่านรักเรา และเชื่อว่าเรามาจากพระเจ้า เรา มาจากพระบิดา เข้ามาในโลกนี้ บัดนี้ เรากำ�ลังจะละโลกนี้กลับไปเฝ้าพระบิดาอีก” อปอลโลสมควรได้รบั คำ�ชมเชยสำ�หรับความนอบน้อมและการมีจติ ใจที่ เปิดรับ ท่านได้รับการยอมรับจากกลุ่มคริสตชนที่เมืองเอเฟซัสว่าเป็นผู้รอบรู้ด้านพระ คัมภีรแ์ ละได้รบั การสัง่ สอนเรือ่ งวิถที างขององค์พระผูเ้ ป็นเจ้า แต่ความรูข้ องท่านยังไม่ สมบูรณ์ โดยเฉพาะในเรื่องศีลล้างบาป เมื่อปริสซิลลาและอาควิลาเชิญท่านไปที่บ้าน เพื่ออธิบายให้เข้าใจวิถีทางของพระเจ้าอย่างละเอียดมากขึ้น ท่านไม่ได้มีปฏิกิริยา ต่อต้าน ท่านกระหายที่จะเรียนรู้ให้มากที่สุดเท่าที่จะทำ�ได้ เราไม่ควรทึกทักเอาเองว่า เรารูท้ กุ สิง่ ทุกอย่างทีเ่ ราควรรูเ้ กีย่ วกับศาสนา บรรดานักบุญผูย้ ง่ิ ใหญ่ บรรดานักปราชญ์ หรือนักวิชาการทั้งหลายได้ใช้เวลาตลอดชีวิตเพื่อศึกษาและรำ�พึงไตร่ตรองเกี่ยวกับ พระธรรมลํ้าลึกแห่งความเชื่อ แต่การที่จะเข้าใจพระธรรมลํ้าลึกต่างๆ เหล่านั้น ไม่ใช่ ได้มาทางการศึกษาและการรำ�พึงไตร่ตรองเท่านั้น แต่ได้มาทางการสนทนากับบรรดา ผู้มีความเชื่อทั้งหลายและโดยทางการอธิษฐานภาวนา

สัปดาห์ที่ 6 เทศกาลปัสกา สดด 47:1-2,8-9

ทำ�วัตรสัปดาห์ที่ 2


สมโภช พระเยซูเจ้า เสด็จสู่สวรรค์

บทอ่านจากหนังสือกิจการอัครสาวก กจ 1:1-11 เธโอฟีลัสที่รัก ในหนังสือเล่มแรก ข้าพเจ้าเล่าถึงทุกสิ่งที่พระเยซูเจ้าทรงกระทำ� และทรงสั่งสอน เริ่มตั้งแต่ต้น จนกระทั่งถึงวันที่พระองค์ทรงได้รับการยกขึ้นสวรรค์ หลังจากที่ทรงแนะนำ�สั่งสอนบรรดาอัครสาวกที่ทรงเลือกสรรโดยทางพระจิตเจ้า พระ เยซูเจ้าทรงแสดงพระองค์แก่อัครสาวกเหล่านั้น และทรงพิสูจน์ด้วยวิธีการต่างๆ ว่า หลังจากทรงรับทุกข์ทรมานแล้ว พระองค์ยังทรงพระชนม์อยู่ ตลอดเวลาสี่สิบวันที่ พระองค์ทรงแสดงพระองค์แก่เขาทั้งหลาย ทรงกล่าวถึงพระอาณาจักรของพระเจ้า ขณะที่ทรงร่วมโต๊ะกับเขา พระองค์ทรงกำ�ชับว่า “อย่าออกจากกรุงเยรูซาเล็ม แต่จง คอยรับพระพรที่พระบิดาทรงสัญญาไว้ ดังที่ท่านได้ยินจากเรา ยอห์นทำ�พิธีล้างด้วยนํ้า แต่ภายในไม่กี่วัน ท่านจะได้รับพิธีล้างเดชะพระจิตเจ้า” ผู้ที่มาชุมนุมกับพระเยซูเจ้า ทูลถามพระองค์ว่า “พระเจ้าข้า พระองค์จะทรง สถาปนาอาณาจักรอิสราเอลอีกครั้งหนึ่งในเวลานี้หรือ” พระองค์ตรัสตอบว่า “ไม่ใช่ ธุระของท่านที่จะรู้วันเวลาที่พระบิดาทรงกำ�หนดไว้โดยอำ�นาจของพระองค์ แต่พระจิต เจ้าจะเสด็จลงมาเหนือท่านและท่านจะรับอานุภาพเพื่อจะเป็นพยานถึงเราในกรุง เยรูซาเล็ม ทั่วแคว้นยูเดีย แคว้นสะมาเรียจนถึงสุดปลายแผ่นดิน” เมือ่ ตรัสดังนีแ้ ล้ว พระองค์เสด็จสูส่ วรรค์ตอ่ หน้าเขาทัง้ หลาย เมฆบังพระองค์จาก สายตาของเขา เขายังคงจ้องมองท้องฟ้าขณะทีพ่ ระองค์ทรงจากไป ทันใดนัน้ มีชายสอง คนสวมเสื้อขาวปรากฏกับเขา กล่าวว่า “ชาวกาลิลีเอ๋ย ท่านทั้งหลายยืนแหงนมอง ท้องฟ้าอยู่ทำ�ไม พระเยซูเจ้าพระองค์นี้ที่เสด็จสู่สวรรค์ จะเสด็จกลับมาเช่นเดียวกับที่ ท่านทั้งหลายเห็นพระองค์ทรงจากไปสู่สวรรค์” เพลงสดุดี สดด 47:1-2,5-6,7-8 ก) ประชากรทั้งหลาย จงปรบมือเถิด จงเปล่งเสียงโห่ร้องถวายพระเจ้าด้วยความยินดี เพราะองค์พระผู้เป็นเจ้าพระเจ้าสูงสุด ทรงน่าเกรงขาม ทรงเป็นกษัตริย์ผู้ยิ่งใหญ่เหนือทั่วแผ่นดิน ข) พระเจ้าเสด็จขึ้นขณะที่มีเสียงโห่ร้องถวายชัย องค์พระผู้เป็นเจ้าเสด็จไปขณะที่มีเสียงเป่าเขาสัตว์ จงร้องเพลงสรรเสริญพระเจ้า จงร้องเพลงเถิด จงร้องเพลงถวายกษัตริย์ของเรา จงร้องเพลง ค) เพราะพระเจ้าทรงเป็นกษัตริย์ปกครองทั่วแผ่นดิน จงร้องเพลงไพเราะถวายพระองค์เถิด พระเจ้าทรงปกครองเหนือนานาชาติ พระองค์ประทับอยู่บนพระบัลลังก์ศักดิ์สิทธิ์ของพระองค์


บทอ่านจากจดหมายนักบุญเปาโลอัครสาวก ถึงชาวเอเฟซัส อฟ 1:17-23 ขอพระเจ้าแห่งพระเยซูคริสต์องค์พระผูเ้ ป็นเจ้าของเรา พระบิดาผูท้ รงพระสิรริ งุ่ โรจน์ประทานพระพรแห่งปรีชาญาณ และการเปิดเผยให้แก่ท่านเดชะพระจิตเจ้า เพื่อท่านจะได้รู้ ซึ้งถึงพระองค์ยิ่งๆ ขึ้น ขอพระองค์โปรดให้ตาแห่งใจของ ท่านสว่างขึน้ เพือ่ จะรูว้ า่ พระองค์ทรงเรียกท่านให้มคี วามหวัง ประการใด และความรุ่งเรืองที่บรรดาผู้ศักดิ์สิทธิ์จะได้รับ เป็นมรดกนั้นบริบูรณ์เพียงไร อีกทั้งรู้ด้วยว่า พระอานุภาพ ยิ่งใหญ่ของพระองค์ต่อเราผู้มีความเชื่อนั้นลํ้าเลิศเพียงใด พระอานุภาพและพละกำ�ลังนี้ พระองค์ทรงแสดงในองค์พระ คริสตเจ้า เมื่อทรงบันดาลให้พระคริสตเจ้าทรงกลับคืนพระ ชนมชี พ จากบรรดาผู้ ต าย และให้ ป ระทั บ เบื้ อ งขวาของ พระองค์ในสวรรค์ เหนือเทพนิกรเจ้า เทพนิกรอำ�นาจ เทพนิกรฤทธิ์ เทพนิกรนายและเหนือนามทั้งปวงที่ อาจเรียกขานได้ทั้งในภพนี้และในภพหน้า พระเจ้าทรงวางทุกสิ่งไว้ใต้พระบาทของพระคริสตเจ้า และทรง แต่งตั้งพระคริสตเจ้าไว้เหนือสรรพสิ่ง ให้ทรงเป็นศีรษะของพระศาสนจักร ซึ่งเป็นพระวรกายของพระองค์ เป็นความบริบูรณ์ของพระผู้ทรงอยู่ในทุกสิ่งและทรงกระทำ�ให้ทุกสิ่งบริบูรณ์ บทอ่านจากพระวรสารนักบุญมัทธิว มธ 28:16-20 เวลานัน้ บรรดาศิษย์ทงั้ สิบเอ็ดคนได้ไปยังแคว้นกาลิลี ถึงภูเขาทีพ่ ระเยซูเจ้าทรงกำ�หนดไว้ เมือ่ เขาเห็น พระองค์ ก็กราบนมัสการ แต่บางคนยังสงสัยอยู่ พระเยซูเจ้าเสด็จเข้ามาใกล้ ตรัสแก่เขาเหล่านั้นว่า “พระเจ้าทรงมอบอำ�นาจอาชญาสิทธิ์ทั้งหมดใน สวรรค์และบนแผ่นดินให้แก่เรา ดังนัน้ ท่านทัง้ หลายจงไปสัง่ สอนนานาชาติให้มาเป็นศิษย์ของเรา ทำ�พิธลี า้ ง บาปให้เขาเดชะพระนามพระบิดา พระบุตร และพระจิต จงสอนเขาให้ปฏิบตั ติ ามคำ�สัง่ ทุกข้อทีเ่ ราให้แก่ทา่ น แล้วจงรู้เถิดว่าเราอยู่กับท่านทุกวันตลอดไปตราบจนสิ้นพิภพ” ก่อนจะพูดถึงภารกิจสำ�คัญที่บรรดาศิษย์ต้องทำ� พระเยซูเจ้าทรงบอกพวกเขาว่าพระเจ้าทรง มอบอำ�นาจอาชญาสิทธิท์ งั้ หมดทัง้ ในสวรรค์และบนแผ่นดินแก่พระองค์ พระองค์จงึ ทรงมีอ�ำ นาจบนแผ่นดิน เช่นเดียวกับทีท่ รงมีในสวรรค์ เป็นอำ�นาจทีไ่ ม่มขี อบเขตและได้รบั จากพระบิดา จากนัน้ พระองค์ทรงสัง่ พวก เขาให้น�ำ นานาชาติมาเป็นศิษย์ของพระองค์ พระเยซูเจ้าทรงมอบอำ�นาจแห่งการสัง่ สอนแก่บรรดาศิษย์ พวก เขาต้องทำ�สิง่ ทีพ่ ระองค์ได้ทรงเคยทำ� เมือ่ ยังทรงมีพระชนม์อยูบ่ นโลกนี้ พวกเขาจะมีอ�ำ นาจในการทำ�ให้คน บาปคืนดีกับพระเจ้าและเพื่อนพี่น้อง มีอำ�นาจในการตัดสินว่าใครยังไม่พร้อมสำ�หรับการคืนดีและใครยังไม่ พร้อมที่จะมีส่วนร่วมอย่างสมบูรณ์ในกิจการต่างๆ ของพระศาสนจักร พวกเขาต้องเทศน์สอน รักษา และ ทำ�ลายกำ�แพงแห่งการแบ่งแยกทุกชนิดทีเ่ กิดขึน้ ในกลุม่ คริสตชน ศีลล้างบาปในพระนามพระบิดา พระบุตร และพระจิต จะเป็นสัญลักษณ์ของการเป็นศิษย์ของพระองค์ พร้อมกันนี้พระองค์ทรงสัญญาว่าจะอยู่เคียง ข้างพวกเขาตลอดไป เราจึงไม่มีเหตุผลที่จะต้องหวาดกลัวสิ่งชั่วร้ายอีกต่อไป


น.เกรโกรี่ที่ 7 พระสันตะปาปา น.เบดา ผู้น่าเคารพ พระสงฆ์ และนักปราชญ์ แห่งพระศาสนจักร น.มารีย์ มักดาเลนา เด ปัสซี พรหมจารี สดด 68:1-2,3-4,5-6ก

ทำ�วัตรสัปดาห์ที่ 3

บทอ่านที่ 1 กจ 19:1-8 ขณะทีอ่ ปอลโลยังอยูท่ เี่ มืองโครินธ์ เปาโลเดินทางผ่านทีร่ าบสูงมาถึงเมืองเอเฟซัส พบศิษย์บางคน จึงถามว่า “เมื่อท่านทั้งหลายมีความเชื่อนั้น ท่านได้รับพระจิตเจ้าหรือ ไม่” เขาตอบว่า “พวกเรายังไม่เคยได้ยินด้วยซํ้าไปว่ามีพระจิตเจ้า” เปาโลจึงถามว่า “แล้วท่านได้รับพิธีล้างแบบใด” เขาตอบว่า “พิธีล้างของยอห์น” เปาโลจึงกล่าวว่า “ยอห์นทำ�พิธีล้างแสดงการกลับใจ โดยบอกประชาชนให้เชื่อผู้ ที่จะเสด็จมาภายหลังคือพระเยซูเจ้า” เมื่อเขาเหล่านั้นได้ฟังดังนี้ก็ได้รับศีลล้างบาป เดชะพระนามพระเยซูองค์พระผู้เป็นเจ้า เปาโลปกมือเหนือเขา พระจิตเจ้าก็เสด็จลง มาประทับอยู่ด้วย เขาจึงพูดภาษาที่ไม่มีใครเข้าใจและกล่าวคำ�ทำ�นาย คนกลุ่มนี้มี ประมาณสิบสองคน เปาโลเข้าไปในศาลาธรรมและเทศน์สอนอย่างกล้าหาญตลอดเวลาสามเดือน ใช้ เหตุผลหว่านล้อมผู้ฟังให้เชื่อเรื่องพระอาณาจักรของพระเจ้า พระวรสาร ยน 16:29-33 เวลานั้น บรรดาศิษย์ทูลพระเยซูเจ้าว่า “ใช่แล้ว บัดนี้พระองค์ตรัสอย่างชัดแจ้ง มิได้ใช้อุปมาใดๆ บัดนี้พวกเรารู้ว่าพระองค์ทรงทราบทุกสิ่ง และไม่จำ�เป็นที่ใครจะทูล ถามพระองค์อีก ดังนั้น เราจึงเชื่อว่าพระองค์ทรงมาจากพระเจ้า” พระเยซูเจ้าตรัสว่า “บัดนี้ ท่านทั้งหลายเชื่อแล้วหรือ จะถึงเวลา และเวลานั้นก็ มาถึงแล้วที่ท่านทั้งหลายจะกระจัดกระจายไปคนละทิศคนละทาง และจะทิ้งเราไว้คน เดียว แต่เราไม่อยู่คนเดียว เพราะพระบิดาทรงอยู่กับเรา เราบอกเรื่องเหล่านี้กับท่าน แล้ว เพือ่ ท่านจะได้มสี นั ติสขุ ในเรา ในโลกนี้ ท่านจะมีความทุกข์ยาก แต่อย่าท้อแท้ เรา ชนะโลกแล้ว”

ในพิธีล้างของยอห์นบัปติสต์ ผู้รับพิธีล้างแสดงตัวว่าเขาปรารถนาจะกลับใจ เปลี่ยนชีวิตให้ดี ขึ้น ละทิ้งบาปเพื่ออุทิศชีวิตทั้งครบแด่พระเจ้า ศีลล้างบาปของคริสตชนรวมความปรารถนาเหล่านี้เข้าไป ด้วย แต่มีบางอย่างที่มากกว่า ผลของพิธีล้างของยอห์นบัปติสต์ขึ้นอยู่กับนํ้าใจดีของผู้รับ พิธีล้างโดยตัวเอง ไม่มีอำ�นาจเปลี่ยนแปลงชีวิตของผู้รับ พิธีศีลล้างบาปของคริสตชนมีอำ�นาจของพระจิตเจ้าในตัวเองซึ่งให้ เอกลักษณ์ใหม่แก่เราในฐานะสมาชิกของพระศาสนจักร ทำ�ให้เราเป็นส่วนหนึ่งของพระกายทิพย์ของพระ คริสตเจ้า การเปลี่ยนแปลงชีวิตไม่ได้เป็นเงื่อนไขที่เรียกร้องก่อนเพื่อรับศีลล้างบาป แต่เป็นผลที่ตามมา มากกว่า เป็นเอกลักษณ์ใหม่ทเี่ รียกร้องวิถที างการดำ�เนินชีวติ แบบใหม่ เอกลักษณ์ใหม่ควรทำ�ให้เราเข้มแข็ง พระเยซูเจ้าตรัสว่า “อย่าท้อแท้ เราชนะโลกแล้ว” (ยน 16:33) เพราะความเป็นหนึง่ เดียวกับพระคริสตเจ้า เราชนะโลกซึ่งเป็นสัญลักษณ์ของบาปและความตายเช่นเดียวกัน


บทอ่านที่ 1 กจ 20:17-27 ในครัง้ นัน้ เปาโลส่งคนจากเมืองมิเลทัสไปยังเมืองเอเฟซัส เพือ่ เชิญบรรดาผูอ้ าวุโส ของพระศาสนจักรมาพบ เมือ่ เขาเหล่านัน้ มาถึง เปาโลพูดว่า “ท่านทัง้ หลายรูว้ า่ ตลอด เวลาตั้งแต่วันแรกที่ข้าพเจ้าเข้ามาในแคว้นอาเซีย ข้าพเจ้าปฏิบัติตนต่อท่านอย่างไร ข้าพเจ้ารับใช้องค์พระผู้เป็นเจ้าด้วยความถ่อมตนอย่างยิ่ง ข้าพเจ้าต้องรํ่าไห้เป็นทุกข์ และเสีย่ งชีวติ จากการทีช่ าวยิววางแผนปองร้ายข้าพเจ้า ท่านทัง้ หลายรูว้ า่ ข้าพเจ้าไม่เคย ละเลยสิ่งใดที่เป็นประโยชน์ต่อท่าน ไม่เคยหยุดเทศน์ และยังสอนท่านในที่สาธารณะ และตามบ้าน ข้าพเจ้าเชิญชวนทั้งชาวยิวและชาวกรีกอย่างแข็งขันให้กลับใจมาหา พระเจ้าและให้มีความเชื่อในพระเยซูองค์พระผู้เป็นเจ้าของเรา บัดนี้ ข้าพเจ้ากำ�ลังจะไปกรุงเยรูซาเล็มตามพระบัญชาของพระจิตเจ้า ไม่รวู้ า่ สิง่ ใด จะเกิดขึ้นกับข้าพเจ้า ข้าพเจ้ารู้เพียงว่าพระจิตเจ้าทรงเตือนข้าพเจ้าในทุกๆ เมืองว่า โซ่ตรวนและความยากลำ�บากกำ�ลังรอข้าพเจ้าอยู่ แต่ข้าพเจ้าไม่คิดว่าชีวิตของข้าพเจ้า มีค่าสำ�หรับข้าพเจ้าเท่ากับการที่ข้าพเจ้าได้วิ่งถึงปลายทางและทำ�ให้ภารกิจที่ได้รับมอบ หมายจากพระเยซูองค์พระผู้เป็นเจ้าสำ�เร็จไป คือการเป็นพยานประกาศข่าวดีแห่ง พระหรรษทานของพระเจ้า...

ระลึกถึง น.ฟิลิป เนรี พระสงฆ์ สดด 68:9-10,19-20

ทำ�วัตรสัปดาห์ที่ 3

พระวรสาร ยน 17:1-11ก เวลานั้น พระเยซูเจ้าทรงเงยพระพักตร์ขึ้นเบื้องบน ตรัสว่า “ข้าแต่พระบิดา ถึงเวลาแล้ว โปรดประทานพระสิริรุ่งโรจน์แก่พระบุตรของพระองค์เถิด เพื่อพระองค์ จะทรงรับพระสิริรุ่งโรจน์จากพระบุตร ดังที่พระองค์ได้ประทานอำ�นาจแก่พระบุตรเหนือมนุษย์ทั้งมวล เพื่อ พระบุตรจะได้ประทานชีวติ นิรนั ดรแก่ทกุ คนทีพ่ ระองค์ทรงมอบให้ ชีวติ นิรนั ดรคือ การรูจ้ กั พระองค์ พระเจ้า แท้จริงแต่พระองค์เดียว และรู้จักผู้ที่พระองค์ทรงส่งมา คือพระเยซูคริสตเจ้า ข้าพเจ้าทำ�ให้พระองค์ทรงได้ รับพระสิริรุ่งโรจน์ในโลกนี้แล้ว โดยปฏิบัติภารกิจจนสำ�เร็จตามที่ทรงมอบหมายแก่ข้าพเจ้า บัดนี้ พระบิดา เจ้าข้า โปรดประทานพระสิรริ งุ่ โรจน์ให้ขา้ พเจ้า พระสิรริ งุ่ โรจน์ทขี่ า้ พเจ้าเคยมีรว่ มกับพระองค์ตงั้ แต่กอ่ นสร้าง โลก ข้าพเจ้าได้แสดงพระนามของพระองค์แก่มนุษย์ทพี่ ระองค์ทรงนำ�จากโลกมามอบให้ขา้ พเจ้า เขาทัง้ หลาย เป็นของพระองค์ และพระองค์ทรงมอบเขาแก่ข้าพเจ้า เขาได้ปฏิบัติตามพระวาจาของพระองค์ บัดนี้ เขารู้ แล้วว่า ทุกสิง่ ทีพ่ ระองค์ทรงมอบให้ขา้ พเจ้านัน้ มาจากพระองค์ เพราะพระวาจาทีพ่ ระองค์ทรงมอบให้ขา้ พเจ้า นั้น ข้าพเจ้ามอบให้เขาแล้ว เขาได้รับไว้ และรู้แน่นอนว่า ข้าพเจ้ามาจากพระองค์ และเขาก็เชื่อว่า พระองค์ ทรงส่งข้าพเจ้ามา ข้าพเจ้าอธิษฐานภาวนาสำ�หรับเขาเหล่านี้ ข้าพเจ้ามิได้อธิษฐานภาวนาสำ�หรับโลก แต่ส�ำ หรับ ผู้ที่พระองค์ทรงมอบให้ข้าพเจ้า เพราะเขาเป็นของพระองค์ ทุกสิ่งที่เป็นของข้าพเจ้า ก็เป็นของพระองค์ ทุก สิ่งที่เป็นของพระองค์ ก็เป็นของข้าพเจ้า และข้าพเจ้าได้รับสิริรุ่งโรจน์โดยทางเขา...” ชีวติ และภารกิจของพระเยซูเจ้าบนโลกนีเ้ ป็นตัวอย่างทีด่ ที สี่ ดุ ในการดำ�เนินชีวติ ของเราผูเ้ ป็น ศิษย์ติดตามพระองค์ เรื่องราวในพระวรสารวันนี้เป็นตัวอย่างที่โดดเด่น พระเยซูเจ้าทรงอธิษฐานภาวนาต่อ พระบิดา พระบิดาทรงเป็นจุดศูนย์กลางชีวิตของพระองค์ หัวใจและสติปัญญาของพระองค์เต็มไปด้วย พระบิดา แต่ทนี่ า่ ประทับใจมากกว่านัน้ อีกคือ พระเยซูเจ้าทรงกำ�ลังอธิษฐานภาวนาเพือ่ เราผูต้ ดิ ตามพระองค์ ความรักของพระองค์ที่มีต่อพระบิดาแผ่ขยายมายังตัวเรา คงไม่มีคำ�ไหนที่สามารถสรุปคำ�สั่งสอนของ พระเยซูเจ้าได้เท่ากับคำ�ว่า “รัก” จงรักพระเจ้าและจงรักเพื่อนมนุษย์เหมือนที่พระองค์ทรงรัก


บทอ่านที่ 1 กจ 20:28-38 เวลานัน้ เปาโลกล่าวกับบรรดาผูอ้ าวุโสของพระศาสนจักรทีเ่ มืองเอเฟซัสว่า “ท่าน ทัง้ หลายจงดูแลตนเองและฝูงแกะทีพ่ ระจิตเจ้าทรงแต่งตัง้ ท่านให้เป็นผูด้ แู ล เพือ่ เลีย้ ง ดูพระศาสนจักรของพระเจ้าที่พระองค์ทรงได้มาด้วยพระโลหิตของพระบุตร ข้าพเจ้ารู้ ว่าเมื่อข้าพเจ้าจากไปแล้ว สุนัขป่าดุร้ายจะเข้ามาในกลุ่มของท่านและจะทำ�ร้ายฝูงแกะ แม้ในกลุม่ ของท่านก็จะมีบางคนลุกขึน้ กล่าวบิดเบือนความจริงเพือ่ โน้มน้าวบรรดาศิษย์ น.ออกัสติน แห่งแคนเตอร์เบอรี่ ให้ติดตามตน ดังนั้น ท่านทั้งหลายจงเฝ้าระวังไว้เถิด จงระลึกว่าข้าพเจ้าไม่เคยหยุด เตือนท่านแต่ละคนด้วยนํ้าตานองหน้าทั้งกลางวันกลางคืนตลอดเวลาสามปี พระสังฆราช บัดนี้ ข้าพเจ้าฝากท่านทัง้ หลายไว้กบั พระเจ้า และกับพระวาจาแห่งพระหรรษทาน สดด 68:28-29, ของพระองค์ พระวาจานีส้ ร้างพระศาสนจักรและประทานมรดกให้ทา่ นรับร่วมกับบรรดา 32-33,34-35 ผูศ้ กั ดิส์ ทิ ธิท์ งั้ หลายได้ ข้าพเจ้าไม่เคยอยากได้เงินทองหรือเสือ้ ผ้าของผูใ้ ด ท่านก็รแู้ ล้ว ทำ�วัตรสัปดาห์ที่ 3 ว่าข้าพเจ้าทำ�งานด้วยมือทั้งสองนี้เพื่อสนองความต้องการของข้าพเจ้าและของผู้ที่อยู่ ด้วย ข้าพเจ้าแสดงให้ท่านเห็นเสมอมาว่า เราต้องทำ�งานเช่นนี้เพื่อช่วยเหลือผู้อ่อนแอโดยระลึกถึงพระวาจา ของพระเยซูองค์พระผูเ้ ป็นเจ้าทีว่ า่ ‘การให้ยอ่ มเป็นสุขมากกว่าการรับ’”... พระวรสาร ยน 17:11ข-19 เวลานั้น พระเยซูเจ้าทรงเงยพระพักตร์ขึ้นเบื้องบน ตรัสว่า “ข้าแต่พระบิดาผูศ้ กั ดิส์ ทิ ธิ์ โปรดเฝ้ารักษาบรรดาผูท้ ที่ รงมอบให้ขา้ พเจ้าไว้ในพระนามพระองค์ เพือ่ เขา จะได้เป็นหนึ่งเดียวกันเหมือนกับพระองค์และข้าพเจ้า เมื่อข้าพเจ้าอยู่กับบรรดาผู้ที่พระองค์ทรงมอบให้ ข้าพเจ้า ข้าพเจ้าเฝ้ารักษาเขาเหล่านัน้ ไว้ในพระนามของพระองค์ ข้าพเจ้าเฝ้ารักษาไว้ และไม่มผี ใู้ ดพินาศ เว้น แต่ผู้ที่ต้องพินาศ เพื่อให้เป็นจริงตามพระคัมภีร์ แต่บัดนี้ ข้าพเจ้ากำ�ลังกลับไปเฝ้าพระองค์ ข้าพเจ้ากล่าว วาจานี้ขณะที่ยังอยู่ในโลก เพื่อบรรดาผู้ที่พระองค์ทรงมอบให้ข้าพเจ้าจะมีความยินดีของข้าพเจ้าอย่างเต็ม เปี่ยม ข้าพเจ้ามอบพระวาจาของพระองค์ให้เขาเหล่านั้นแล้ว และโลกเกลียดชังเขา เพราะเขาไม่เป็นของ โลก เช่นเดียวกับที่ข้าพเจ้าไม่เป็นของโลก ข้าพเจ้าไม่ได้วอนขอพระองค์ให้ทรงยกเขาออกจากโลก แต่วอน ขอให้ทรงรักษาเขาให้พ้นจากมารร้าย เขาไม่เป็นของโลก เช่นเดียวกับที่ข้าพเจ้าไม่เป็นของโลก โปรดบันดาล ให้เขาศักดิ์สิทธิ์โดยอาศัยความจริง พระวาจาของพระองค์คือความจริง พระองค์ทรงส่งข้าพเจ้ามาในโลก ฉันใด ข้าพเจ้าก็สง่ เขาเข้าไปในโลกฉันนัน้ ข้าพเจ้าถวายตนเป็นบูชาสำ�หรับเขา เพือ่ เขาจะได้รบั ความศักดิส์ ทิ ธิ์ อย่างแท้จริงด้วย” นักบุญเปาโลตระหนักดีว่าหลังจากที่ท่านจากโลกนี้ไป จะมีบางคนบิดเบือนคำ�สอนของพระ ศาสนจักรซึ่งมีพื้นฐานอยู่บนพระคัมภีร์และธรรมประเพณี ท่านเตือนบรรดาผู้นำ�คริสตชนที่เมืองเอเฟซัส เกีย่ วกับปัญหานี้ พระเยซูเจ้าทรงตระหนักถึงปัญหาเดียวกัน พระองค์ทรงทราบดีวา่ เมือ่ จากโลกนีไ้ ปอันตราย จะคืบคลานเข้ามาในพระศาสนจักร ดังนั้น พระองค์จึงทรงอธิษฐานต่อไปอีกว่า “โปรดบันดาลให้เขา ศักดิ์สิทธิ์โดยอาศัยความจริง” (ยน 17:17) คำ�อธิษฐานภาวนาดังกล่าวยังคงมีผลสืบต่อไป พระศาสนจักร โดยรวม โดยเฉพาะอย่างยิ่งพระสันตะปาปา บรรดาพระสังฆราช ได้รับการบันดาลให้ศักดิ์สิทธิ์ก่อนเข้ารับ ตำ�แหน่ง เมือ่ พระสันตะปาปาทรงเทศน์สอนในฐานะประมุขสูงสุดของพระศาสนจักรเกีย่ วกับเรือ่ งความเชือ่ และศีลธรรมถือว่าเป็นสิ่งที่ไม่ผิดพลาด ให้เราขอบคุณพระเจ้าสำ�หรับพระพรยิ่งใหญ่นี้และมั่นใจว่าขณะที่ ติดตามคำ�สั่งสอนของพระศาสนจักร เรากำ�ลังติดตามคำ�สั่งสอนของพระเยซูเจ้าเอง


บทอ่านที่ 1 กจ 22:30,23:6-11 เวลานั้น ผู้บัญชาการกองพันต้องการรู้ให้แน่ชัดว่าเหตุใดชาวยิวจึงกล่าวหาเปาโล วันรุ่งขึ้นเขาจึงสั่งให้แก้โซ่ที่ล่ามเปาโล เรียกบรรดาหัวหน้าสมณะและสมาชิกสภา ซันเฮดรินทุกคนมาประชุม แล้วนำ�เปาโลไปยืนต่อหน้าเขา เปาโลรู้ว่า สมาชิกส่วนหนึ่งของที่ประชุมเป็นชาวสะดูสีและอีกส่วนหนึ่งเป็นชาว ฟาริสี จึงตะโกนขึ้นในสภาว่า “พี่น้องทั้งหลาย ข้าพเจ้าเป็นชาวฟาริสี เป็นบุตรของชาว ฟาริสี ข้าพเจ้าถูกสอบสวนก็เพราะเรื่องความหวังในการกลับคืนชีพของบรรดาผู้ตาย” เมื่อเปาโลกล่าวเช่นนั้น ก็เกิดการถกเถียงกันระหว่างชาวฟาริสีกับชาวสะดูสี ที่ประชุม จึงแตกแยก เพราะชาวสะดูสยี นื ยันว่าไม่มกี ารกลับคืนชีพและไม่มที งั้ ทูตสวรรค์และจิต แต่ชาวฟาริสีเชื่อว่ามี เกิดความโกลาหลอย่างรุนแรงในที่ประชุม ธรรมาจารย์บางคนที่เป็นชาวฟาริสี ลุกขึ้นโต้แย้งว่า “เราไม่พบว่าชายผู้นี้มีความผิดอันใด เป็นไปได้มิใช่หรือ ที่จิตหรือ ทูตสวรรค์ได้พูดกับเขา” ความขัดแย้งรุนแรงมากขึ้น... คืนต่อมา องค์พระผู้เป็นเจ้าเสด็จมาทรงยืนใกล้เปาโล ตรัสว่า “ทำ�ใจดีๆ ไว้ เจ้า ได้เป็นพยานยืนยันถึงเราที่กรุงเยรูซาเล็มอย่างไร เจ้าจะต้องเป็นพยานที่กรุงโรมอย่าง นั้นด้วย”

สัปดาห์ที่ 7 เทศกาลปัสกา สดด 16:1-2,7-8, 9-10,11

ทำ�วัตรสัปดาห์ที่ 3

พระวรสาร ยน 17:20-26 เวลานั้น พระเยซูเจ้าทรงเงยพระพักตร์ขึ้นเบื้องบน ตรัสว่า “ข้าพเจ้าอธิษฐานภาวนามิใช่ส�ำ หรับคนเหล่านีเ้ ท่านัน้ แต่ส�ำ หรับผูท้ จี่ ะเชือ่ ในข้าพเจ้า ผ่านทางวาจาของ เขาด้วย ข้าแต่พระบิดา ข้าพเจ้าอธิษฐานภาวนา เพื่อให้ทุกคนเป็นหนึ่งเดียวกัน เช่นเดียวกับที่พระองค์ทรง อยู่ในข้าพเจ้า และข้าพเจ้าอยู่ในพระองค์ เพื่อให้เขาทั้งหลายอยู่ในพระองค์และในข้าพเจ้า โลกจะได้เชื่อว่า พระองค์ทรงส่งข้าพเจ้ามา พระสิริรุ่งโรจน์ที่พระองค์ประทานให้ข้าพเจ้านั้น ข้าพเจ้าได้ให้แก่เขา เพื่อให้เขา เป็นหนึ่งเดียวกัน เช่นเดียวกับที่พระองค์และข้าพเจ้าเป็นหนึ่งเดียวกัน ข้าพเจ้าอยู่ในเขา และพระองค์ทรง อยู่ในข้าพเจ้า เพื่อเขาจะได้เป็นหนึ่งเดียวกันโดยสมบูรณ์ โลกจะได้รู้ว่าพระองค์ทรงส่งข้าพเจ้ามา และ พระองค์ทรงรักเขาเช่นเดียวกับที่ทรงรักข้าพเจ้า ข้าแต่พระบิดา ผู้ที่พระองค์ประทานให้ข้าพเจ้านั้น ข้าพเจ้า ปรารถนาให้เขาอยู่กับข้าพเจ้าทุกแห่งที่ข้าพเจ้าอยู่ เพื่อเขาจะได้เห็นพระสิริรุ่งโรจน์ ซึ่งพระองค์ประทานแก่ ข้าพเจ้า เพราะพระองค์ทรงรักข้าพเจ้าตัง้ แต่กอ่ นสร้างโลก ข้าแต่พระบิดาผูท้ รงเทีย่ งธรรม โลกไม่รจู้ กั พระองค์ แต่ข้าพเจ้ารู้จักพระองค์ และคนเหล่านี้รู้ว่า พระองค์ทรงส่งข้าพเจ้ามา ข้าพเจ้าบอกให้เขารู้จักพระนามของ พระองค์ และจะบอกให้รู้ต่อไป เพื่อความรักที่พระองค์ทรงรักข้าพเจ้าจะได้อยู่ในเขา และข้าพเจ้าจะได้อยู่ ในเขาด้วยเช่นเดียวกัน” นักบุญเปาโลใช้ความหวังในเรื่องการกลับคืนชีพของบรรดาผู้ตาย ทำ�ให้ชาวสะดูสีและชาว ฟาริสีทะเลาะกัน เราต้องไม่ลืมว่าการกลับคืนชีพ ไม่ว่าจะเป็นของพระเยซูเจ้าและของเรา เป็นหัวใจของ ความเชื่อ นี่คือเหตุผลประการหนึ่งที่พระเยซูเจ้าทรงปรากฏตัวต่อนักบุญเปาโลและตรัสกับท่านว่า “ทำ�ใจ ดีๆ ไว้ เจ้าเป็นพยานยืนยันถึงเราที่กรุงเยรูซาเล็มอย่างไร เจ้าจะต้องเป็นพยานที่กรุงโรมอย่างนั้นด้วย” (ยน 23:11) การเป็นพยานนี้ได้ถูกถ่ายทอดมาถึงเราและเป็นฐานที่มั่นคงในความเชื่อเรื่องการกลับคืนชีพ


บทอ่านที่ 1 กจ 25:13-21 สองสามวันต่อมา กษั ตริ ย์อากริปปาและพระนางเบอร์นิสเสด็จมาถึงเมือง ซีซารียา เพื่อเยี่ยมเยียนแสดงความยินดีต่อเฟสตัส ทั้งสองพระองค์ประทับอยู่ที่นั่น หลายวัน เฟสตัสทูลกษัตริย์เรื่องคดีของเปาโลว่า “เฟลิกส์ทิ้งชายคนหนึ่งให้ถูกจองจำ� ไว้ที่นี่ เมื่อข้าพเจ้าอยู่ที่กรุงเยรูซาเล็ม บรรดาหัวหน้ามหาสมณะและผู้อาวุโสของชาว ยิวได้ฟ้องกล่าวโทษเขาและขอให้ลงโทษด้วย น.เปาโลที่ 6 ข้าพเจ้าตอบว่า “ธรรมเนียมของชาวโรมันจะไม่ตัดสินลงโทษผู้ใดก่อนที่เขาจะมี พระสันตะปาปา โอกาสเผชิญหน้ากับผูก้ ล่าวหาและแก้ขอ้ กล่าวหานัน้ ” บรรดาผูก้ ล่าวหามาพบข้าพเจ้า สดด 103:1-2, ที่นี่ ข้าพเจ้าไม่รีรอ วันรุ่งขึ้นก็นั่งบัลลังก์ สั่งให้นำ�ชายคนนั้นเข้ามา บรรดาผู้กล่าวหามา 11-12,19-20 รุมล้อมเขา แต่ไม่ได้ตั้งข้อกล่าวหาเรื่องความผิดดังที่ข้าพเจ้าคาดไว้ เขาเพียงแต่ ทำ�วัตรสัปดาห์ที่ 3 ถกเถียงปัญหาเรือ่ งศาสนาของเขาและเรือ่ งชายคนหนึง่ ชือ่ เยซูทตี่ ายไปแล้ว แต่เปาโล ยืนยันว่ายังมีชีวิตอยู่ ข้าพเจ้าลังเลใจที่จะตัดสินเรื่องทำ�นองนี้ จึงถามว่า เขาอยากไป กรุงเยรูซาเล็มและรับการพิจารณาคดีทนี่ นั่ ไหม แต่เปาโลอุทธรณ์ขอสงวนคดีไว้ให้พระจักรพรรดิเป็นผูต้ ดั สิน ข้าพเจ้าจึงสั่งให้จองจำ�เขาไว้จนกว่าข้าพเจ้าจะส่งเขาไปเฝ้าพระจักรพรรดิได้ พระวรสาร ยน 21:15-19 เมื่อบรรดาศิษย์กินเสร็จแล้ว พระเยซูเจ้าตรัสกับซีโมนเปโตรว่า “ซีโมนบุตรของยอห์น ท่านรักเรา มากกว่าคนเหล่านีร้ กั เราไหม” เปโตรทูลตอบว่า “ใช่แล้ว พระเจ้าข้า พระองค์ทรงทราบว่าข้าพเจ้ารักพระองค์” พระเยซูเจ้าตรัสกับเขาว่า “จงเลี้ยงลูกแกะของเราเถิด” พระองค์ตรัสถามเขาอีกเป็นครั้งที่สองว่า “ซีโมน บุตรของยอห์น ท่านรักเราไหม” เขาทูลตอบว่า “ใช่แล้ว พระเจ้าข้า พระองค์ทรงทราบว่าข้าพเจ้ารักพระองค์” พระองค์ตรัสกับเขาว่า “จงดูแลแกะของเราเถิด” พระองค์ตรัสถามเป็นครั้งที่สามว่า “ซีโมนบุตรของยอห์น ท่านรักเราไหม” เปโตรรู้สึกเป็นทุกข์ที่พระองค์ตรัสถามตนถึงสามครั้งว่า “ท่านรักเราไหม” เขาทูลตอบว่า “พระเจ้าข้า พระองค์ทรงทราบทุกสิ่ง พระองค์ทรงทราบว่าข้าพเจ้ารักพระองค์” พระเยซูเจ้าตรัสกับเขาว่า “จงเลี้ยงดูแกะของเราเถิด เราบอกความจริงกับท่านว่า เมื่อท่านยังหนุ่ม ท่านคาดสะเอวด้วยตนเอง และ เดินไปไหนตามใจชอบ แต่เมื่อท่านชรา ท่านจะยื่นมือ แล้วคนอื่นจะคาดสะเอวให้ท่าน พาท่านไปในที่ที่ท่าน ไม่อยากไป” พระเยซูเจ้าตรัสเช่นนี้เพื่อแสดงว่าเปโตรจะถวายพระเกียรติแด่พระเจ้าโดยตายอย่างไร เมื่อตรัสดังนี้ แล้ว ทรงเสริมว่า “จงตามเรามาเถิด” ในคืนที่พระเยซูเจ้าทรงถูกทรยศและถูกมอบแก่บรรดาศัตรู นักบุญเปโตรได้ปฏิเสธว่าไม่รู้จัก พระองค์ถงึ สามครัง้ ในพระวรสารพระองค์ทรงถามท่านสามครัง้ เพือ่ จะได้แน่ใจว่าท่านรักพระองค์จริงๆ และ อย่างไร้เงื่อนไข น่าสังเกตว่าเมื่อนักบุญเปโตรยืนยันความรักที่ท่านมีต่อพระองค์ พระเยซูเจ้าไม่ได้ทรงบอก ให้ท่านคุกเข่าลงและนมัสการพระองค์ พระองค์ไม่ได้ทรงเรียกร้องสิ่งใดเพื่อพระองค์เอง แม้ว่าพระองค์ทรง สมควรได้รบั จากสรรพสิง่ ทีม่ ชี วี ติ ทัง้ ในโลกและบนสวรรค์ พระองค์ไม่ได้ทรงคิดถึงพระองค์เอง แต่ทรงคิดถึง เรา เพราะว่าพระองค์เสด็จมาในโลกเพื่อความรอดพ้นของเรา พระองค์ทรงถวายพระองค์เองเป็นยัญบูชา เพื่อว่าโดยการสิ้นพระชนม์ พระองค์จะทรงทำ�ลายความตาย และโดยการกลับคืนพระชนมชีพ พระองค์จะ ทรงทำ�ให้ชีวิตที่มีมลทินเพราะบาปกำ�เนิดของเราได้รับการฟื้นฟูขึ้นใหม่


บทอ่านที่ 1 กจ 28:16-20,30-31 เมื่อมาถึงกรุงโรม เปาโลได้รับอนุญาตให้อยู่ตามลำ�พังโดยมีทหารคนหนึ่งเป็นผู้ ควบคุม สามวันต่อมา เปาโลเรียกบรรดาผู้นำ�ชาวยิวมาพบที่บ้าน เมื่อคนเหล่านี้มาชุมนุม กัน เปาโลพูดกับเขาว่า “พี่น้องทั้งหลาย แม้ว่าข้าพเจ้าไม่ได้ทำ�สิ่งใดผิดต่อประชากร หรือขัดกับธรรมประเพณีของบรรดาบรรพบุรุษ แต่ชาวยิวที่กรุงเยรูซาเล็มก็ยังจับกุม ข้าพเจ้าและมอบตัวให้ชาวโรมัน ชาวโรมันไต่สวนและต้องการจะปล่อยข้าพเจ้า เพราะ ข้าพเจ้าไม่มีความผิดที่สมควรต้องตาย แต่เมื่อชาวยิวคัดค้าน ข้าพเจ้าจำ�เป็นต้องยื่น อุทธรณ์ต่อพระจักรพรรดิ ข้าพเจ้าไม่มีเจตนาที่จะกล่าวหาเพื่อนร่วมชาติของข้าพเจ้า เลย เพราะเหตุนี้ ข้าพเจ้าจึงขอพบเพื่อพูดคุยกับท่านทั้งหลาย ข้าพเจ้าถูกพันธนาการ เช่นนี้ ก็เพราะความหวังของชาวอิสราเอลนั่นเอง” เปาโลพักอยูใ่ นบ้านเช่าเป็นเวลาสองปีเต็ม และต้อนรับทุกคนทีม่ าเยีย่ ม ประกาศ พระอาณาจักรของพระเจ้าและสอนความจริงเรือ่ งพระเยซูคริสต์องค์พระผูเ้ ป็นเจ้าอย่าง กล้าหาญโดยไม่มีอุปสรรคใดๆ

สัปดาห์ที่ 7 เทศกาลปัสกา สดด 11:4-5,6-7

ทำ�วัตรสัปดาห์ที่ 3

พระวรสาร ยน 21:20-25 เวลานั้น เปโตรเหลียวไปดู ก็เห็นศิษย์ที่พระเยซูเจ้าทรงรักตามมา เป็นคนที่เอนกายชิดพระอุระ พระเยซูเจ้าในการเลี้ยงอาหารคํ่า และทูลถามพระองค์ว่า “พระเจ้าข้า ผู้ที่ทรยศพระองค์เป็นใคร” เมื่อ เปโตรเห็นเขา ก็ทูลถามพระเยซูเจ้าว่า “คนนี้จะเป็นอย่างไร พระเจ้าข้า” พระเยซูเจ้าตรัสกับเขาว่า “ถ้าเรา อยากให้เขาอยู่จนกว่าเราจะกลับมา ก็ธุระอะไรของท่าน ท่านจงตามเรามาเถิด” ดังนั้น จึงมีเรื่องที่เล่าลือกัน ไปทั่วในกลุ่มบรรดาพี่น้องว่าศิษย์คนนี้จะไม่ตาย แต่พระเยซูเจ้ามิได้ตรัสว่า “เขาจะไม่ตาย” แต่ตรัสว่า “ถ้า เราอยากให้เขาอยู่จนกว่าเราจะกลับมา ก็ธุระอะไรของท่าน” นี่คือศิษย์ที่เป็นพยานถึงเรื่องราวเหล่านี้ และเขียนบันทึกไว้ พวกเรารู้ว่าคำ�พยานของเขานั้นเป็น ความจริง ยังมีเรื่องราวอื่นๆ อีกมากที่พระเยซูเจ้าทรงกระทำ� ซึ่งถ้าจะเขียนลงไว้ทีละเรื่องทั้งหมด ข้าพเจ้าคิดว่า โลกทั้งโลกคงไม่พอบรรจุหนังสือที่จะต้องเขียนนั้น เหตุการณ์เกีย่ วกับการกลับคืนพระชนมชีพของพระเยซูเจ้า แม้จะผ่านมาแล้วเกือบสองพันปี แต่ไม่ใช่สิ่งที่ล้าสมัยหรือเป็นอดีตที่ผ่านไปแล้ว พระเยซูเจ้าผู้ทรงกลับคืนพระชนมชีพยังคงอยู่กับเรา เทศกาลปัสกาจะสิน้ สุดลงในวันพรุง่ นี้ แต่เรายังคงฉลองปัสกาต่อไปทุกวันอาทิตย์ตลอดทัง้ ปีพร้อมกับพระเจ้า ไม่มีที่สิ้นสุด เพราะพระองค์ดำ�รงอยู่ตลอดนิรันดร ความดีของพระเจ้าไร้ขอบเขตจำ�กัด ความจริงและความ ยิ่งใหญ่ของพระองค์ที่ได้รับการเผยแสดงให้เห็นในพระเยซูคริสตเจ้าไม่มีวันเหือดหายไปจากเรา ในฐานะ เป็นประชากรผู้มีความเชื่อ เราเป็นผู้มีบุญ ในโลกนี้เราได้รับพระเยซูเจ้า ของขวัญที่ลํ้าค่าที่สุดที่พระเจ้า ประทานแก่เรา แต่สิ่งที่เรากำ�ลังรอคอย นั่นคือ ชีวิตนิรันดรในโลกหน้า ก็ยิ่งใหญ่เกินกว่าที่จะจินตนาการได้ เช่นกัน


สมโภช พระจิตเจ้า วันงดสูบบุหรี่โลก

บทอ่านจากหนังสือกิจการอัครสาวก กจ 2:1-11 เมื่อวันเปนเตกอสเตมาถึง บรรดาศิษย์ทุกคนมาชุมนุมในสถานที่เดียวกัน ทันใด นัน้ มีเสียงจากฟ้าเหมือนเสียงลมพัดแรงกล้า ทุกคนทีอ่ ยูใ่ นบ้านได้ยนิ เขาเห็นเปลวไฟ ลักษณะเหมือนลิน้ แยกไปอยูเ่ หนือศีรษะของเขาแต่ละคน ทุกคนได้รบั พระจิตเจ้าเต็ม เปี่ยม และเริ่มพูดภาษาอื่นๆ ตามที่พระจิตเจ้าประทานให้พูด ขณะนัน้ ทีก่ รุงเยรูซาเล็มมีชาวยิวผูเ้ ลือ่ มใสศรัทธาในพระเจ้ามาจากทุกชาติทวั่ โลก เมือ่ ประชาชนได้ยนิ เสียงนี้ จึงมาชุมนุมกันจำ�นวนมาก รูส้ กึ ฉงนสนเท่หเ์ พราะแต่ละคน ได้ยนิ คนเหล่านีพ้ ดู ภาษาของตน และประหลาดใจอย่างยิง่ กล่าวว่า “ทุกคนทีก่ �ำ ลังพูด อยูน่ เี้ ป็นชาวกาลิลมี ใิ ช่หรือ แล้วทำ�ไมเราแต่ละคนจึงได้ยนิ เขาพูดภาษาท้องถิน่ ของเรา เล่า เราชาวปาร์เธีย ชาวมีเดีย และชาวเอลาม บางคนอาศัยอยู่ในเขตเมโสโปเตเมีย แคว้นยูเดีย แคว้นคัปปาโดเซีย แคว้นปอนทัสและแคว้นเอเชีย แคว้นฟรีเจียและแคว้น ปัมฟีเลีย บางคนมาจากอียิปต์และเขตของประเทศลิเบีย รอบๆ เมืองไซรีน บางคนมา จากกรุงโรม ทัง้ ชาวยิวและผูก้ ลับใจเข้านับถือลัทธิยวิ บางคนเป็นชาวเกาะครีตและชาว อาหรับ พวกเราได้ยินคนเหล่านี้ประกาศกิจการอันยิ่งใหญ่ของพระเจ้าเป็นภาษาของ เรา” เพลงสดุดี สดด 104:1-2,28-30,31 และ 33 ก) จิตใจข้าพเจ้าเอ๋ย จงถวายพระพรแด่องค์พระผู้เป็นเจ้าเถิด ข้าแต่องค์พระผู้เป็นเจ้าพระเจ้าของข้าพเจ้า พระองค์ทรงยิ่งใหญ่เหลือล้น พระองค์ทรงความรุ่งเรืองและพระเกียรติยศเป็นเสมือนอาภรณ์ ทรงคลุมพระองค์ด้วยแสงสว่างต่างพระภูษา พระองค์ทรงคลี่ท้องฟ้าให้กางออกดุจกางกระโจม ข) เมื่อพระองค์ประทานอาหาร สิ่งมีชีวิตเหล่านั้นก็เก็บไว้ เมื่อพระองค์ยื่นพระหัตถ์ สิ่งมีชีวิตก็มีของดีๆ กินจนอิ่ม ถ้าพระองค์เบือนพระพักตร์ไปทางทิศอื่น สิ่งมีชีวิตก็ตื่นตระหนก ถ้าพระองค์ทรงเรียกลมปราณกลับคืน สิ่งมีชีวิตก็ตาย และกลับเป็นฝุ่นดิน เมื่อพระองค์ทรงส่งพระจิตของพระองค์ลงมา สิ่งมีชีวิตก็ถูกสร้างขึ้น พระองค์ทรงเปลี่ยนโฉมหน้าของแผ่นดิน ค) พระสิริรุ่งโรจน์จงมีแด่องค์พระผู้เป็นเจ้าตลอดไป ขอองค์พระผู้เป็นเจ้าทรงชื่นชมในพระราชกิจของพระองค์ ข้าพเจ้าจะขับร้องเพลงถวายองค์พระผู้เป็นเจ้าตลอดชีวิต จะร้องเพลงสดุดีถวายพระเจ้าของข้าพเจ้า ตราบเท่าที่ข้าพเจ้ายังมีชีวิตอยู่


บทอ่านจากจดหมายนักบุญเปาโลอัครสาวก ถึงชาวโครินธ์ ฉบับที่หนึ่ง 1 คร 12:3ข-7,12-13 พีน่ อ้ งทัง้ หลาย ไม่มผี ใู้ ดพูดโดยพระจิตเจ้าทรงดลใจว่า “พระเยซูจงถูกสาปแช่ง” และหากพระจิตเจ้ามิได้ทรงดลใจ ก็ไม่มีผู้ใดพูดได้ว่า “พระเยซูคือองค์พระผู้เป็นเจ้า” พระพรพิเศษมีหลายประการ แต่มีพระจิตเจ้าพระองค์ เดียว มีหน้าทีห่ ลายอย่างต่างกัน แต่มอี งค์พระผูเ้ ป็นเจ้าเพียง พระองค์เดียว กิจการมีหลายอย่าง แต่มีพระเจ้าพระองค์ เดียวผู้ทรงกระทำ�ทุกอย่างในทุกคน พระจิตเจ้าทรงแสดง พระองค์ในแต่ละคนเพื่อประโยชน์ส่วนรวม แม้ร่างกายเป็นร่างกายเดียว แต่ก็มีอวัยวะหลายส่วน อวัยวะต่างๆ เหล่านี้แม้จะมีหลายส่วนก็ร่วมเป็นร่างกาย เดียวกันฉันใด พระคริสตเจ้าก็ฉันนั้น เดชะพระจิตเจ้า พระองค์เดียว เราทุกคนจึงได้รับการล้างมารวมเข้าเป็นร่างกายเดียวกัน ไม่ว่าจะเป็นชาวยิวหรือชาวกรีก ไม่ ว่าจะเป็นทาสหรือเป็นอิสระก็ตาม เราทุกคนต่างได้รับพระจิตเจ้าพระองค์เดียวกัน บทอ่านจากพระวรสารนักบุญยอห์น ยน 20:19-23 คํ่าวันนั้นซึ่งเป็นวันต้นสัปดาห์ ประตูห้องที่บรรดาศิษย์กำ�ลังชุมนุมกันปิดอยู่ เพราะกลัวชาวยิว พระเยซูเจ้าเสด็จเข้ามาประทับยืนอยูต่ รงกลาง ตรัสกับเขาทัง้ หลายว่า “สันติสขุ จงสถิตกับท่านทัง้ หลายเถิด” ตรัสดังนี้แล้ว พระองค์ทรงให้บรรดาศิษย์ดูพระหัตถ์และด้านข้างพระวรกาย เมื่อเขาเหล่านั้นเห็นองค์ พระผู้เป็นเจ้า ก็มีความยินดี พระองค์ตรัสกับเขาอีกว่า “สันติสุขจงสถิตกับท่านทั้งหลายเถิด พระบิดาทรงส่งเรามาฉันใด เราก็ส่ง ท่านทั้งหลายไปฉันนั้น” ตรัสดังนี้แล้ว พระองค์ทรงเป่าลมเหนือเขาทั้งหลาย ตรัสว่า “จงรับพระจิตเจ้าเถิด ท่านทั้งหลายอภัยบาปของผู้ใด บาปของผู้นั้นก็ได้รับการอภัย ท่านทั้งหลายไม่อภัยบาปของผู้ใด บาปของ ผู้นั้นก็ไม่ได้รับการอภัยด้วย” เราไม่สงสัยในพลังอำ�นาจของพระจิตเจ้าทีท่ �ำ งานผ่านทางบรรดาอัครสาวกและกลุม่ คริสตชน ในสมัยเริ่มแรก เพราะหลังจากที่พวกเขาได้รับพระองค์แล้ว พวกเขาเริ่มป่าวประกาศข่าวดีอย่างกล้าหาญ เป็นพยานถึงความเชื่อในพระเยซูเจ้าด้วยชีวิตทั้งครบ แม้พวกเขาหลายคนต้องพลีชีวิตตนเองเพื่อพันธกิจนี้ พวกเขายอมสละด้วยความเต็มใจ ในฐานะคริสตชนคนหนึง่ พระจิตเจ้าทรงมีบทบาทต่อชีวติ ของเราอย่างไร? เหมือนที่นักบุญเปาโลบอกเรา พระพรพิเศษของพระจิตเจ้ามีหลายประการ นั่นคือ เราแต่ละคนมีความรู้ และความสามารถแตกต่างกัน แต่เราต้องไม่ลมื ว่าพระพรพิเศษทุกชนิดมีไว้เพือ่ แบ่งปัน เราไม่ควรเก็บความ รูแ้ ละความสามารถของเราไว้เพือ่ ประโยชน์ของเราเองเท่านัน้ แต่เราควรใช้เพือ่ รับใช้ความต้องการของเพือ่ น พีน่ อ้ งทีอ่ ยูร่ อบข้างด้วย จำ�ไว้เสมอว่า ยิง่ เราแบ่งปันความรูแ้ ละความสามารถของเราให้กบั คนอืน่ มากเท่าใด เราก็ยิ่งมีพระพรเหล่านี้มากขึ้น ขอพระจิตเจ้านำ�ทางเราและช่วยเราให้ใช้ศักยภาพที่มีให้เกิดประโยชน์แก่ ส่วนรวมมากที่สุดเท่าที่จะทำ�ได้



Issuu converts static files into: digital portfolios, online yearbooks, online catalogs, digital photo albums and more. Sign up and create your flipbook.