ไบเบิลไดอารี่ เดือนมีนาคม 2020

Page 1


สัปดาห์ที่ 1 เทศกาลมหาพรต ทำ�วัตรสัปดาห์ที่ 1

บทอ่านจากหนังสือปฐมกาล ปฐก 2:7-9; 3:1-7 องค์พระผู้เป็นเจ้าพระเจ้าทรงเอาฝุ่นจากพื้นดินมาปั้นมนุษย์และทรงเป่าลมแห่ง ชีวิตเข้าในจมูกของเขา มนุษย์จึงเป็นผู้มีชีวิต องค์พระผูเ้ ป็นเจ้าพระเจ้าทรงปลูกสวนขึน้ ทางทิศตะวันออกในแคว้นเอเดน และ ทรงนำ�มนุษย์ทที่ รงปัน้ มาไว้ทนี่ นั่ องค์พระผูเ้ ป็นเจ้าพระเจ้าทรงบันดาลให้ตน้ ไม้ทกุ ชนิด งอกขึ้นจากดิน ต้นไม้เหล่านี้งดงามชวนมองและมีผลน่ากิน มีต้นไม้แห่งชีวิตต้นหนึ่ง อยู่ที่กลางสวน และมีต้นไม้แห่งความรู้ดีรู้ชั่ว งูเป็นสัตว์เจ้าเล่ห์ที่สุดในบรรดาสัตว์ป่าที่องค์พระผู้เป็นเจ้าพระเจ้าทรงสร้าง มัน ถามหญิงว่า “จริงหรือที่พระเจ้าตรัสห้ามว่าอย่ากินผลจากต้นไม้ใดๆ ในสวนนี้” หญิง จึงตอบงูว่า “ผลของต้นไม้ต่างๆ ในสวนนี้ เรากินได้ แต่ผลของต้นไม้ที่อยู่กลางสวน เท่านั้น” พระเจ้าตรัสห้ามว่า “อย่ากินหรือแตะต้องเลย มิฉะนั้นท่านจะต้องตาย” งู บอกกับหญิงว่า “ท่านจะไม่ตายดอก พระเจ้าทรงทราบว่า ท่านกินผลไม้นั้นวันใด ตา ของท่านจะเปิดในวันนั้น ท่านจะเป็นเหมือนพระเจ้า คือรู้ดีรู้ชั่ว” หญิงเห็นว่าต้นไม้นั้น มีผลน่ากิน งดงามชวนมอง ทั้งยังน่าปรารถนาเพราะให้ปัญญา นางจึงเด็ดผลไม้มากิน แล้วยังให้สามีซงึ่ อยูก่ บั นางกินด้วย เขาก็กนิ ทันใดนัน้ ตาของทัง้ สองคนก็เปิดและเห็น ว่าตนเปลือยกายอยู่ จึงเอาใบมะเดื่อมาเย็บเป็นเครื่องปกปิดร่างไว้ เพลงสดุดี สดด 51:1-2,3-5,10-12ก,12ข,15 ก) ข้าแต่พระเจ้า โปรดเมตตาข้าพเจ้าตามความรักมั่นคงของพระองค์เถิด โปรดทรงลบล้างการล่วงละเมิดของข้าพเจ้าเพราะพระกรุณาของพระองค์ โปรดทรงล้างข้าพเจ้าให้สะอาดหมดจดจากความผิดของข้าพเจ้า โปรดชำ�ระข้าพเจ้าให้บริสุทธิ์จากบาปที่ข้าพเจ้าได้ทำ� ข) เพราะข้าพเจ้าตระหนักดีถึงการล่วงละเมิดของตน บาปของข้าพเจ้าอยู่ต่อหน้าข้าพเจ้าเสมอ ข้าพเจ้าทำ�บาปผิดต่อพระองค์ ต่อพระองค์เพียงผู้เดียว บทอ่านจากจดหมายนักบุญเปาโลอัครสาวกถึงชาวโรม รม 5:12-19 พี่น้อง บาปเข้ามาในโลกเพราะมนุษย์คนเดียว และความตายเข้ามาเพราะบาป ฉันใด ความตายก็แพร่กระจายไปถึงมนุษย์ทุกคนเพราะทุกคนทำ�บาปฉันนั้น ก่อนที่จะ มีธรรมบัญญัติ บาปมีอยู่ในโลกแล้ว แต่เมื่อยังไม่มีธรรมบัญญัติก็ไม่นับว่าเป็นบาป ถึง กระนั้น ความตายก็มีอานุภาพเหนือมนุษยชาติตั้งแต่อาดัมมาจนถึงโมเสส มีอานุภาพ เหนือแม้คนที่ไม่ได้ทำ�บาปเหมือนกับอาดัมที่ได้ล่วงละเมิด อาดัมเป็นรูปแบบล่วงหน้า ของผู้ที่จะมาในภายหลัง แต่การล่วงละเมิดต่างกับของประทานให้เปล่า ถ้ามวลมนุษย์ต้องตายเพราะการ ล่วงละเมิดของมนุษย์คนเดียว พระหรรษทานของพระเจ้าและของประทานโดยทาง


พระหรรษทานจากมนุษย์คนเดียว คือพระเยซูคริสตเจ้า ก็ยงิ่ สมบูรณ์ขนึ้ สำ�หรับมวลมนุษย์ ของประทานต่าง กับการล่วงละเมิดของมนุษย์คนเดียวที่ทำ�บาป บาปของมนุษย์คนเดียวเป็นเหตุให้มนุษยชาติถูกพระเจ้า ลงโทษ แต่เมื่อมนุษย์ทำ�บาปมากแล้ว ของประทานที่ให้เปล่านั้นกลับนำ�ความชอบธรรมมาให้ ถ้ามนุษย์คน เดียวล่วงละเมิด ทำ�ให้ความตายมีอำ�นาจปกครองเหนือมนุษยชาติเพราะการล่วงละเมิดของมนุษย์คนเดียว นัน้ เดชะพระเยซูคริสตเจ้าพระองค์เดียว ทุกคนทีไ่ ด้รบั พระหรรษทานอย่างสมบูรณ์และความชอบธรรมเป็น ของประทาน ก็ยิ่งจะมีชีวิตและมีอำ�นาจปกครองมากขึ้น ด้วยเหตุนี้ การล่วงละเมิดของมนุษย์คนเดียวเป็น เหตุให้มนุษย์ทุกคนถูกลงโทษฉันใด กิจการชอบธรรมของมนุษย์คนเดียวก็นำ�ความชอบธรรมที่บันดาลชีวิต มาให้มนุษย์ทุกคนฉันนั้น มวลมนุษย์กลายเป็นคนบาปเพราะความไม่เชื่อฟังของมนุษย์คนเดียวฉันใด มวล มนุษย์ก็จะเป็นผู้ชอบธรรม เพราะความเชื่อฟังของมนุษย์คนเดียวฉันนั้น

บทอ่านจากพระวรสารนักบุญมัทธิว มธ 4:1-11 เวลานั้น พระจิตเจ้าทรงนำ�พระเยซูเจ้าไปในถิ่นทุรกันดาร เพื่อให้ปีศาจมาผจญพระองค์ เมื่อทรงอดอาหารสี่สิบวันสี่สิบคืนแล้ว ทรงหิว ปีศาจผู้ผจญจึงเข้ามาใกล้ ทูลว่า “ถ้าท่านเป็นบุตร พระเจ้า จงสั่งก้อนหินเหล่านี้ให้กลายเป็นขนมปังเถิด” แต่พระองค์ตรัสตอบว่า “มีเขียนไว้ในพระคัมภีร์ว่า มนุษย์มิได้ดำ�รงชีวิตด้วยอาหารเท่านั้น แต่ดำ�รงชีวิตด้วยพระวาจาทุกคำ�ที่ออกจากพระโอษฐ์ของพระเจ้า” ต่อจากนั้น ปีศาจอุ้มพระองค์ไปยังนครศักดิ์สิทธิ์ วางพระองค์ลงที่ยอดพระวิหาร แล้วทูลว่า “ถ้าท่าน เป็นบุตรพระเจ้า จงกระโดดลงไปเบื้องล่างเถิด เพราะมีเขียนไว้ในพระคัมภีร์ว่า พระเจ้าทรงสั่งทูตสวรรค์ เกี่ยวกับท่าน ให้คอยพยุงท่านไว้ มิให้เท้ากระทบหิน” พระเยซูเจ้าตรัสตอบว่า “ในพระคัมภีร์ยังมีเขียนไว้ด้วยว่า อย่าท้าทายองค์พระผู้เป็นเจ้าพระเจ้าของ ท่านเลย” อีกครั้งหนึ่ง ปีศาจนำ�พระองค์ไปบนยอดเขาสูงมาก ชี้ให้พระองค์ทอดพระเนตรอาณาจักรรุ่งเรืองต่างๆ ของโลก แล้วทูลว่า “เราจะให้ทุกสิ่งนี้แก่ท่าน ถ้าท่านกราบนมัสการเรา” พระเยซูเจ้าจึงตรัสว่า “เจ้าซาตาน จงไปให้พ้น ยังมีเขียนไว้ในพระคัมภีร์ว่า จงกราบนมัสการองค์พระผู้เป็นเจ้า พระเจ้าของท่าน และรับใช้ พระองค์แต่ผู้เดียวเท่านั้น” ปีศาจจึงได้ละพระองค์ไป แล้วทูตสวรรค์ก็เข้ามาปรนนิบัติรับใช้พระองค์ “Devils are not so black as are painted.” แปลว่า “ปีศาจไม่ด�ำ อย่างทีเ่ ขาวาดไว้ในภาพ” นี่เป็นคำ�พูดของ ลอด์จ โทมัส ซึ่งมีชีวิตอยู่ในระหว่างปี 1558 – 1625 ปีศาจนั้นน่ากลัวมาก (ใครๆ ก็ รู้) แต่ไม่ใช่น่ากลัวเพราะรูปปรากฏที่น่าเกลียด เพราะถ้าปีศาจมองดูน่าเกลียด มนุษย์เราคงไม่อยากอยู่ใกล้ และไว้ใจ แต่ปศี าจน่ากลัว เพราะมันจะมาในรูปปรากฏทีน่ า่ เชือ่ และยอมรับง่าย ปีศาจมักมาหาเราในจังหวะ เวลาที่เราอ่อนแอ บ่อยๆ มันไม่มาหาเราโดยตรง แต่ให้การประจญของมันผ่านมาทาง “จินตนาการ” ที่ งดงาม เต็มไปด้วยเหตุผลและความหวัง และเพื่อล่อหลอกเรา มันยังสามารถอ้างพระคัมภีร์อีกด้วย หาก ปราศจาก “การไตร่ตรอง” ที่ดี และ “ความหนักแน่น” ในจิตวิญญาณแล้ว เราอาจพลาดท่าเสียทีได้โดย ง่าย ฉะนัน้ บางทีอาจจะเป็น “ความมักง่าย” กระมังทีเ่ ป็นศัตรูตวั ร้ายทีซ่ อ่ นอยูภ่ ายในตัวของเรามนุษย์เอง บางทีอาจมิใช่ปีศาจที่น่ากลัว แต่เป็นความหละหลวมในหลักการที่ดีและถูกต้องของเรามนุษย์ต่างหาก


สัปดาห์ที่ 1 เทศกาลมหาพรต สดด 19:7-8,10, 13,14

บทอ่านที่ 1 ลนต 19:1-2,11-18 องค์พระผู้เป็นเจ้าตรัสสั่งโมเสส ให้บอกชุมชนชาวอิสราเอลทั้งปวงว่า “ท่าน ทัง้ หลายจงเป็นผูศ้ กั ดิส์ ทิ ธิ์ เพราะเรา องค์พระผูเ้ ป็นเจ้าพระเจ้าของท่านเป็นผูศ้ กั ดิส์ ทิ ธิ์ ท่านจะต้องไม่ลักขโมย ฉ้อโกง หรือพูดเท็จต่อกัน ท่านจะต้องไม่สาบานเท็จโดย ใช้นามของเรา มิฉะนั้นท่านจะลบหลู่พระนามพระเจ้าของท่าน... ท่านจะต้องยำ�เกรง พระเจ้าของท่าน เราคือองค์พระผูเ้ ป็นเจ้า ท่านจะต้องไม่ตดั สินคดีอย่างอยุตธิ รรม ท่าน จะต้องไม่ล�ำ เอียงเข้าข้างคนยากจนหรือคนมีอ�ำ นาจ แต่จงตัดสินคดีของเพือ่ นบ้านอย่าง ยุติธรรม... ท่านจะต้องไม่แก้แค้น หรืออาฆาตชนชาติเดียวกับท่าน แต่จงรักเพื่อนบ้าน เหมือนรักตนเอง เราคือองค์พระผู้เป็นเจ้า”

ทำ�วัตรสัปดาห์ที่ 1 พระวรสาร มธ 25:31-46 เวลานั้น พระเยซูเจ้าตรัสกับบรรดาศิษย์ว่า “เมื่อบุตรแห่งมนุษย์จะเสด็จมาในพระสิริรุ่งโรจน์พร้อมกับ บรรดาทูตสวรรค์... พระองค์จะทรงแยกเขาออกเป็นสองพวก ดังคนเลี้ยงแกะแยกแกะออกจากแพะ ให้ แกะอยูเ่ บือ้ งขวา ส่วนแพะอยูเ่ บือ้ งซ้าย แล้วพระมหากษัตริยจ์ ะตรัสแก่ผทู้ อี่ ยูเ่ บือ้ งขวาว่า ‘เชิญมาเถิด ท่าน ทัง้ หลายทีไ่ ด้รบั พระพรจากพระบิดาของเรา เชิญมารับอาณาจักรเป็นมรดกทีเ่ ตรียมไว้ให้ทา่ นแล้วตัง้ แต่สร้าง โลก เพราะว่า เมื่อเราหิว ท่านให้เรากิน เรากระหาย ท่านให้เราดื่ม เราเป็นแขกแปลกหน้า ท่านก็ต้อนรับ เราไม่มีเสื้อผ้า ท่านก็ให้เสื้อผ้าแก่เรา เราเจ็บป่วย ท่านก็มาเยี่ยม เราอยู่ในคุก ท่านก็มาหา’ บรรดาผู้ชอบธรรมจะทูลถามว่า ‘พระเจ้าข้า เมื่อใดเล่าข้าพเจ้าทั้งหลายเห็นพระองค์ทรงหิว... หรือ ทรงกระหาย... ทรงเป็นแขกแปลกหน้า... หรือทรงไม่มีเสื้อผ้า... เมื่อใดเล่าข้าพเจ้าทั้งหลายเห็นพระองค์ ประชวรหรือทรงอยู่ในคุกแล้วไปเยี่ยม’ พระมหากษัตริย์จะตรัสตอบว่า ‘เราบอกความจริงแก่ท่านทั้งหลาย ว่า ท่านทำ�สิ่งใดต่อพี่น้องผู้ตํ่าต้อยที่สุดของเราคนหนึ่ง ท่านก็ทำ�สิ่งนั้นต่อเรา’ แล้วพระองค์จะตรัสกับพวกทีอ่ ยูเ่ บือ้ งซ้ายว่า ‘ท่านทัง้ หลายทีถ่ กู สาปแช่ง จงไปให้พน้ ลงไปในไฟนิรนั ดร ที่ได้เตรียมไว้ให้ปีศาจและบริวารของมัน เพราะว่า เมื่อเราหิว ท่านไม่ให้อะไรเรากิน เรากระหาย ท่านไม่ให้ อะไรเราดื่ม เราเป็นแขกแปลกหน้า ท่านก็ไม่ต้อนรับ เราไม่มีเสื้อผ้า ท่านก็ไม่ให้เสื้อผ้า เราเจ็บป่วยและอยู่ ในคุก ท่านก็ไม่มาเยี่ยม’ พวกนั้นจะทูลถามว่า ‘พระเจ้าข้า เมื่อใดเล่าที่ข้าพเจ้าทั้งหลายเห็นพระองค์ทรงหิว ทรงกระหาย ทรงเป็นแขกแปลกหน้า หรือไม่มีเสื้อผ้า เจ็บป่วย หรืออยู่ในคุก และไม่ได้ช่วยเหลือ’ พระองค์ จะตรัสตอบว่า ‘เราบอกความจริงแก่ท่านทั้งหลายว่า ท่านไม่ได้ทำ�สิ่งใดต่อผู้ตํ่าต้อยของเราคนหนึ่งท่านก็ไม่ ได้ทำ�สิ่งนั้นต่อเรา’... “ท่านทั้งหลายจงเป็นผู้ศักดิ์สิทธิ์” เกณฑ์การตัดสินความศักดิ์สิทธิ์ ทั้งในหนังสือเลวีนิติและ พระวรสารประจำ�วันนี้ คือ ความรักต่อเพื่อนมนุษย์ และเป็นความรักที่มิใช่อยู่แต่เพียงในใจ แต่เป็นกิจการ ที่เป็นรูปธรรม จับต้องได้ ตรงตามสภาพและสถานการณ์ที่เป็นจริงของบุคคลต่างๆ ที่อยู่รอบตัวเรา ไม่ว่า เขาเหล่านั้นจะเป็นใครก็ตาม ในพระวรสารใช้คำ�ว่า “บรรดาประชาชาติ” ซึ่งหมายถึง เพื่อนมนุษย์ทุกชาติ ทุกภาษา ไม่เว้นแม้แต่ “พีน่ อ้ งผูต้ าํ่ ต้อยทีส่ ดุ ” สิง่ ทีม่ นุษย์เราพึงระวังคือความโกรธ เกลียดและรังเกียจผูค้ น ที่อาจเกิดขึ้นได้ในจิตใจ ซึ่งจะทำ�ให้เราขาดความรักต่อเพื่อนมนุษย์ และยิ่งทียิ่งจะเลวร้ายลง จนเป็นสิ่งที่ กฎหมายในเลวีนิติสั่งห้าม ตัวอย่างที่น่าสังเกตคือ “ท่านต้องไม่สาปแช่งคนหูหนวก” นี่เป็นความเลวร้าย ตกตํ่าของมนุษย์ เพราะเมื่อมีความโกรธเกลียดในจิตใจ ถึงขั้นที่ว่า แม้เขาจะไม่ได้ยิน เพราะหูหนวก ก็ยัง สะใจที่จะสาปแช่งเขาอยู่ดี


บทอ่านที่ 1 อสย 55:10-11 พระเจ้าตรัสว่า “สวรรค์อยู่สูงกว่าแผ่นดินฉันใด ทางของเราก็อยู่สูงกว่าทางของ ท่าน และความคิดของเราก็อยู่เหนือความคิดของท่านฉันนั้น ฝนและหิมะลงมาจาก ท้องฟ้า และไม่กลับไปทีน่ นั่ ถ้าไม่ได้รดแผ่นดิน ทำ�ให้แผ่นดินอุดม ทำ�ให้พชื งอกขึน้ เพือ่ ให้ผู้หว่านมีเมล็ดพันธุ์ และให้ผู้กินมีอาหารฉันใด ถ้อยคำ�ที่ออกจากปากของเรา จะไม่ กลับมาหาเราโดยไม่เกิดผล ไม่ทำ�ตามที่เราปรารถนา และไม่บรรลุจุดประสงค์ที่เราส่ง มาฉันนั้น”

สัปดาห์ที่ 1 เทศกาลมหาพรต สดด 34:4-7,16-18

พระวรสาร มธ 6:7-15 ทำ�วัตรสัปดาห์ที่ 1 เวลานั้น พระเยซูเจ้าตรัสกับบรรดาศิษย์ว่า “เมื่อท่านอธิษฐานภาวนา จงอย่าพูดซํ้าเหมือนคนต่างศาสนา เขาคิดว่าถ้าเขาพูด มากพระเจ้าจะทรงสดับฟัง อย่าทำ�เหมือนเขาเลย เพราะพระบิดาของท่านทรงทราบ แล้วว่าท่านต้องการอะไร ก่อนทีท่ า่ นจะขอเสียอีก ดังนัน้ ท่านทัง้ หลายจงอธิษฐานภาวนา ดังนี้ ‘ข้าแต่พระบิดาของข้าพเจ้าทั้งหลาย พระองค์สถิตในสวรรค์ พระนามพระองค์จงเป็นที่สักการะ พระอาณาจักรจงมาถึง พระประสงค์จงสำ�เร็จในแผ่นดินเหมือนในสวรรค์ โปรดประทานอาหารประจำ�วันแก่ข้าพเจ้าทั้งหลายในวันนี้ โปรดประทานอภัยแก่ข้าพเจ้า เหมือนข้าพเจ้าให้อภัยแก่ผู้อื่น โปรดช่วยข้าพเจ้าไม่ให้แพ้การผจญ แต่โปรดช่วยให้พ้นจากความชั่วร้ายเทอญ’ เพราะถ้าท่านให้อภัยผูท้ �ำ ความผิด พระบิดาของท่านผูส้ ถิตในสวรรค์ ก็จะประทานอภัยแก่ทา่ นด้วย แต่ ถ้าท่านไม่ให้อภัยผู้ทำ�ความผิด พระบิดาของท่านก็จะไม่ประทานอภัยแก่ท่านเช่นเดียวกัน” บทภาวนาที่พระเยซูเจ้าทรงสอนเต็มไปด้วยความหมายและความรู้สึก ในทุกคำ�พูด ทุกวลี และทุกประโยคก็ว่าได้ เริ่มต้นด้วยคำ�พูดที่เลือกสรรเพื่อขานเรียกองค์พระผู้เป็นเจ้าว่า “บิดา” อันที่จริง ชาวยิวก็ได้รับการสอนให้เรียกขานพระเจ้าว่าบิดาเหมือนกัน แต่เป็นคำ�เรียกบิดา ในฐานะผู้ให้กำ�เนิด ประชาชาติ ซึง่ ยังให้ความรูส้ กึ ถึงบิดาทีย่ งิ่ ใหญ่และยังอยูห่ า่ งไกล คำ�พูดทีพ่ ระเยซูเจ้าเลือกสรรเพือ่ ขานเรียก พระเจ้า คือ อับบา (ภาษาไทยใช้คำ�แปลที่สูงหน่อย คือ พระบิดา เพราะมีข้อจำ�กัดด้านวัฒนธรรม) กลับให้ ความรู้สึกที่ใกล้ชิด เหมือนลูกๆ เรียกพ่อของตนในครอบครัว และยังสร้างความรู้สึกระหว่างผู้ที่เรียกขาน บิดานีว้ า่ เป็นพีน่ อ้ งในครอบครัวเดียวกันอีกด้วย ซึง่ ควรส่งผลให้พๆี่ น้องๆ กัน หากมีอะไรหนักนิดเบาหน่อย ก็ควรอภัยต่อกันไป บทภาวนาบทนีม้ คี วามพิเศษทีว่ า่ ไม่วา่ เราจะอยูใ่ นสถานการณ์ใดแห่งชีวติ หากสวดบท ภาวนานี้ด้วยความเชื่อแล้ว เราจะพบคำ�ตอบเสมอ


น.กาสิมีร์ สดด 51:1-2,10-11, 16-17

ทำ�วัตรสัปดาห์ที่ 1

บทอ่านที่ 1 ยนา 3:1-10 องค์พระผู้เป็นเจ้าตรัสกับโยนาห์อีกครั้งหนึ่งว่า “จงลุกขึ้นไปยังกรุงนีนะเวห์นคร ใหญ่ และประกาศเรือ่ งทีเ่ ราจะบอกท่านแก่เมืองนัน้ ” โยนาห์กล็ กุ ขึน้ ไปยังกรุงนีนะเวห์ ตามพระวาจาขององค์พระผูเ้ ป็นเจ้า กรุงนีนะเวห์เป็นนครใหญ่มาก ถ้าจะเดินข้ามเมือง ก็กินเวลาสามวัน โยนาห์เริ่มเดินเข้าไปในเมืองเป็นระยะทางเดินหนึ่งวัน ร้องประกาศ ว่า “อีกสี่สิบวัน กรุงนีนะเวห์จะถูกทำ�ลาย” ชาวกรุงนีนะเวห์เชื่อฟังพระเจ้า และ ประกาศให้อดอาหาร สวมผ้ากระสอบทุกคน ตั้งแต่คนยิ่งใหญ่ที่สุดจนถึงคนตํ่าต้อย ทีส่ ดุ ข่าวนีล้ อื ไปถึงกษัตริยก์ รุงนีนะเวห์ พระองค์ทรงลุกขึน้ จากพระบัลลังก์ ทรงเปลือ้ ง ฉลองพระองค์ออก ทรงสวมผ้ากระสอบและประทับนั่งบนกองขี้เถ้า กษัตริย์ทรง ประกาศกฤษฎีกาในกรุงนีนะเวห์พร้อมกับข้าราชบริพารชัน้ สูงว่า “ทัง้ คนและสัตว์ไม่วา่ ใหญ่หรือเล็กอย่ากินสิ่งใด อย่ากินหญ้าหรือดื่มนํ้าเลย ทั้งคนและสัตว์จงสวมผ้า กระสอบและร้องหาพระเจ้าสุดกำ�ลัง แต่ละคนจงกลับใจจากความประพฤติชวั่ และเลิก ใช้การกระทำ�ที่รุนแรง ใครจะรู้ได้ พระเจ้าอาจทรงเปลี่ยนพระทัย ทรงพระเมตตา และ คลายพระพิโรธที่รุนแรง เพื่อเราจะไม่ต้องพินาศ” พระเจ้าทอดพระเนตรเห็นความ พยายามของเขา ที่จะกลับใจไม่ประพฤติชั่วอีกต่อไป พระเจ้าทรงพระเมตตาไม่ลงโทษ ตามที่ตรัสไว้ว่าจะทรงลงโทษเขา

พระวรสาร ลก 11:29-32 เวลานั้น เมื่อประชาชนมาชุมนุมกันมากขึ้น พระเยซูเจ้าตรัสว่า “คนยุคนี้เป็นคนชั่วร้าย อยากเห็น เครื่องหมาย แต่จะไม่มีเครื่องหมายใดให้เห็น นอกจากเครื่องหมายของประกาศกโยนาห์เท่านั้น โยนาห์เป็น เครื่องหมายสำ�หรับชาวนีนะเวห์ฉันใด บุตรแห่งมนุษย์ก็จะเป็นเครื่องหมายสำ�หรับคนยุคนี้ฉันนั้น ในวัน พิพากษา พระราชินีแห่งทิศใต้จะทรงลุกขึ้นและทรงกล่าวโทษคนยุคนี้ เพราะพระนางเสด็จมาจากสุดปลาย แผ่นดิน เพื่อฟังพระปรีชาสุขุมของกษัตริย์ซาโลมอน แต่ที่นี่มีผู้ยิ่งใหญ่กว่ากษัตริย์ซาโลมอนอีก ในวัน พิพากษา ชาวนีนะเวห์จะลุกขึ้นและกล่าวโทษคนยุคนี้ เพราะชาวนีนะเวห์ได้กลับใจเมื่อได้ฟังคำ�เทศน์ของ ประกาศกโยนาห์ แต่ที่นี่มีผู้ยิ่งใหญ่กว่าโยนาห์อีก” “เครื่องหมายของประกาศกโยนาห์” ที่พระเยซูเจ้าตรัสถึงนั้นคืออะไร บางทีเราอาจคิดถึง การที่ประกาศกโยนาห์อยู่ในท้องปลาเป็นเวลาสามวัน ซึ่งเป็นเหมือนคำ�ทำ�นายถึงการที่พระองค์เองจะ สิ้นพระชนม์และกลับคืนพระชนมชีพในวันที่สาม แต่คำ�อธิบายที่มีความหมายมากกว่าคือ หมายถึงการที่ พระองค์เสด็จมาเตือนสอนให้กลับใจจากหนทางทีผ่ ดิ เหมือนทีป่ ระกาศกโยนาห์เตือนสอนชาวนีนะเวห์ ทัง้ นี้ เพราะ “คนยุคนี้เป็นคนชั่วร้าย” หมายถึง พวกเขามาชุมนุมกันมากขึ้น เพียงเพื่ออยากเห็นสิ่งอัศจรรย์ แต่ ใจไม่เปิดกว้างสำ�หรับการเชื่อฟังคำ�เตือนสอน พวกเขาไม่ต้องการการกลับใจ ความชั่วร้ายคือพวกเขาไม่ ต้องการฟัง พวกเขาจึงจะต้องรับโทษหนักยิ่งกว่าชาวนีนะเวห์ เพราะคำ�เตือนสอนนั้นมาจาก “บุตรแห่ง มนุษย์” หรือจากพระเมสสิยาห์เอง มหาพรตจึงเป็นเวลาที่เราควรต้องฟังคำ�เตือนสอน และกลับใจในชีวิต ของเรานั่นเอง


บทอ่านที่ 1 อสธ 4:17K-17M,17R-17U พระราชิ นี เ อสเธอร์ ท รงเป็ นทุ ก ข์ แทบจะสิ้ น พระชนม์ จึ ง ทรงแสวงหาความ ช่วยเหลือจากองค์พระผู้เป็นเจ้า พระนางทรงเปลื้องฉลองพระองค์ที่หรูหราออก แล้ว ทรงชุดไว้ทุกข์แสดงความโศกเศร้า... แล้วทรงอธิษฐานต่อองค์พระผู้เป็นเจ้าพระเจ้า แห่งอิสราเอลว่า สัปดาห์ที่ 1 “ข้าแต่องค์พระผู้เป็นเจ้าของข้าพเจ้า ข้าแต่พระมหากษัตริย์ของข้าพเจ้าทั้งหลาย เทศกาลมหาพรต พระองค์เพียงพระองค์เดียวเท่านั้นทรงเป็นพระเจ้า โปรดทรงช่วยเหลือข้าพเจ้าเถิด ข้าพเจ้าอยู่คนเดียว ไม่มีผู้ใดช่วยเหลือข้าพเจ้านอกจากพระองค์เท่านั้น ข้าพเจ้ากำ�ลัง สดด 138:1-2ก, 2ข-3,7ข-8 เผชิญอันตรายเสี่ยงชีวิต ตั้งแต่เป็นเด็ก ข้าพเจ้าเคยได้ยินจากบุคคลในครอบครัวเล่า ว่าพระองค์ ข้าแต่องค์พระผู้เป็นเจ้า ทรงเลือกสรรชาวอิสราเอลจากชนชาติทั้งหลาย ทำ�วัตรสัปดาห์ที่ 1 ทรงเลือกบรรพบุรุษของข้าพเจ้าจากบรรพบุรุษของเขาเป็นมรดกถาวรของพระองค์ พระองค์ทรงกระทำ�ตามที่ทรงสัญญาไว้กับเขาทุกประการ ข้าแต่องค์พระผู้เป็นเจ้า โปรดทรงระลึกถึงข้าพเจ้าทั้งหลายเถิด โปรดทรงสำ�แดงพระองค์ในเวลาที่ ข้าพเจ้าทั้งหลายมีความทุกข์ โปรดให้ข้าพเจ้ามีความกล้าหาญเถิด... โปรดทรงใส่ถ้อยคำ�จูงใจไว้ในปากของ ข้าพเจ้า เมือ่ ต้องเผชิญกับสิงโต โปรดทรงเปลีย่ นใจของเขาให้เกลียดชังศัตรูที่ตอ่ สูก้ ับข้าพเจ้าทั้งหลาย เพือ่ เขากับพวกจะพินาศ โปรดทรงช่วยข้าพเจ้าทัง้ หลายให้รอดพ้นอันตรายด้วยพระหัตถ์ของพระองค์ โปรดทรง ช่วยเหลือข้าพเจ้า เพราะข้าพเจ้าอยู่คนเดียว ไม่มีผู้ใดช่วยเหลือนอกจากพระองค์... พระวรสาร มธ 7:7-12 เวลานั้น พระเยซูเจ้าตรัสกับบรรดาศิษย์ว่า “จงขอเถิด แล้วท่านจะได้รับ จงแสวงหาเถิด แล้วท่านจะ พบ จงเคาะประตูเถิด แล้วเขาจะเปิดประตูรับท่าน เพราะคนที่ขอย่อมได้รับ คนที่แสวงหาย่อมพบ คนที่ เคาะประตูย่อมมีผู้เปิดประตูให้ ท่านใดที่ลูกขออาหาร แล้วจะให้ก้อนหิน ถ้าลูกขอปลา ท่านจะให้งูหรือ แม้แต่ทา่ นทัง้ หลายทีเ่ ป็นคนชัว่ ยังรูจ้ กั ให้ของดีๆ แก่ลกู แล้วพระบิดาของท่านผูส้ ถิตในสวรรค์จะไม่ประทาน ของดีๆ แก่ผู้ที่ทูลขอพระองค์มากกว่านั้นหรือ ท่านอยากให้เขาทำ�กับท่านอย่างไร ก็จงทำ�กับเขาอย่างนัน้ เถิด นีค่ อื ธรรมบัญญัตแิ ละคำ�สอนของบรรดา ประกาศก” “จงขอเถิด แล้วท่านจะได้รับ” คำ�สอนของพระเยซูเจ้านี้อาจเป็นข้อขัดแย้งของบางคนที่ดู เหมือนว่าขอเท่าไร พระเจ้าไม่เห็นตอบสนอง ลืมคิดไปว่า บางทีเราอาจขอไม่ถูกต้อง หรือสิ่งที่ขอไม่เป็น ประโยชน์ต่อวิญญาณ และลืมขอให้สิ่งต่างๆ ให้เป็นไปตามพระประสงค์ ด้วยความไว้ใจว่าพระองค์จะจัด เตรียมสิ่งที่ดีที่สุดให้แก่เรา หรือเราคาดหวังสิ่งที่จะได้รับการตอบสนองแต่เพียงสิ่งที่อยู่ภายนอก แต่ไม่ได้ คิดถึงสิง่ ทีไ่ ด้รบั ภายในจากการสวดภาวนา ซึง่ จะทำ�ให้เรามีพลังในการทำ�หน้าทีต่ า่ งๆ จนกว่าจะบรรลุความ ต้องการ การภาวนาเป็นสิ่งที่จำ�เป็นในชีวิตของเรา “จงสวดภาวนาราวกับว่าทุกสิ่งขึ้นอยู่กับพระเจ้า (ไว้วางใจ) แล้วจงทำ�หน้าที่ของคุณราวกับว่าทุกสิ่งขึ้นอยู่กับคุณ” (Martin Luther) “จงแสวงหา” คือ แสวงหาพระประสงค์ “จงเคาะ” คือการออกแรงและพากเพียร คำ�ภาวนาที่ถูกต้อง ต้องมีความรักอยู่ด้วย เสมอ


บทอ่านที่ 1 อสค 18:21-28 พระเจ้าตรัสดังนี้ว่า “แต่ถ้าคนชั่วร้ายกลับใจไม่ทำ�บาปทุกอย่างที่เขาเคยทำ� แล้ว กลับมารักษาข้อกำ�หนดทุกข้อของเรา ปฏิบัติความถูกต้องและความยุติธรรม เขาจะมี ชีวติ อยูแ่ น่นอน เขาจะไม่ตอ้ งตาย การล่วงละเมิดใดๆ ทีเ่ ขาเคยทำ�จะไม่ถกู จดจำ�ไว้เพือ่ เอาโทษเขา เขาจะมีชวี ติ อยูเ่ พราะความชอบธรรมทีเ่ ขาได้ท�ำ เราพอใจในความตายของ คนอธรรมหรือ องค์พระผูเ้ ป็นเจ้าพระเจ้าตรัส เราพอใจทีเ่ ขากลับใจจากความประพฤติ สัปดาห์ที่ 1 ชั่วของเขาและมีชีวิตอยู่มิใช่หรือ เทศกาลมหาพรต แต่ถ้าผู้ชอบธรรมละทิ้งความชอบธรรมของตนไปทำ�ความชั่ว ประพฤติตามการ สดด 130:1-4,5-6, กระทำ �น่าสะอิดสะเอียนทุกอย่างที่คนชั่วทำ� ผู้นั้นจะมีชีวิตอยู่ได้หรือ การกระทำ�ชอบ 7-8 ธรรมทั้งหมดที่เขาได้ทำ�มาแล้วจะไม่ถูกจดจำ�ไว้อีกเลย เขาจะต้องตายเพราะความผิด ทำ�วัตรสัปดาห์ที่ 1 ที่เขาไม่ได้ซื่อสัตย์ และเพราะบาปที่เขาได้ทำ� วันศุกร์ต้นเดือน ท่านพูดว่า ‘วิธีการขององค์พระผู้เป็นเจ้าไม่ยุติธรรม’ พงศ์พันธุ์อิสราเอลเอ๋ย จง ฟังเถิด วิธีการของเราไม่ยุติธรรม หรือวิธีการของท่านไม่ยุติธรรม เมื่อผู้ชอบธรรม เปลี่ยนใจไม่ปฏิบัติความชอบธรรมมาทำ�ผิด เขาจะต้องตายเพราะการนี้ เขาจะต้องตายเพราะความผิดที่เขา ได้ทำ� ถ้าคนชั่วร้ายเลิกทำ�ความชั่วร้ายที่เขาได้ทำ� มาปฏิบัติความยุติธรรมและความชอบธรรม เขาก็จะรักษา ชีวติ ของตนไว้ เขาเลือกจะเลิกการล่วงละเมิดทัง้ หมดทีเ่ คยทำ� เขาจะมีชวี ติ อย่างแน่นอน เขาจะไม่ตอ้ งตาย” พระวรสาร มธ 5:20-26 เวลานั้น พระเยซูเจ้าตรัสกับบรรดาศิษย์ว่า “เราบอกท่านทัง้ หลายว่า ถ้าความชอบธรรมของท่านไม่ดไี ปกว่าความชอบธรรมของบรรดาธรรมาจารย์ และชาวฟาริสีแล้ว ท่านจะเข้าอาณาจักรสวรรค์ไม่ได้เลย” “ท่านได้ยินคำ�กล่าวแก่คนโบราณว่า อย่าฆ่าคน ผู้ใดฆ่าคนจะต้องขึ้นศาล แต่เรากล่าวแก่ท่านว่า ทุก คนที่โกรธเคืองพี่น้อง จะต้องขึ้นศาล ผู้ใดกล่าวแก่พี่น้องว่า ‘ไอ้โง่’ ผู้นั้นจะต้องขึ้นศาลสูง ผู้ใดกล่าวแก่ พีน่ อ้ งว่า ‘ไอ้โง่บดั ซบ’ ผูน้ นั้ จะต้องถูกปรับโทษถึงไฟนรก ดังนัน้ ขณะทีท่ า่ นนำ�เครือ่ งบูชาไปถวายยังพระแท่น ถ้าระลึกได้ว่าพี่น้องของท่านมีข้อบาดหมางกับท่านแล้ว จงวางเครื่องบูชาไว้หน้าพระแท่น กลับไปคืนดีกับ พี่น้องเสียก่อน แล้วจึงค่อยกลับมาถวายเครื่องบูชานั้น จงคืนดีกับคู่ความของท่านขณะที่กำ�ลังเดินทางไป ศาลด้วยกัน มิฉะนั้น คู่ความจะมอบท่านแก่ผู้พิพากษา และผู้พิพากษาจะมอบท่านให้ผู้คุม ซึ่งจะขังท่านใน คุก เราบอกความจริงแก่ท่านว่า ท่านจะออกจากคุกไม่ได้ จนกว่าท่านจะชำ�ระหนี้จนเศษสตางค์สุดท้าย” “ความชอบธรรมของบรรดาธรรมาจารย์และชาวฟาริสี” มีมาตรฐานอยู่ที่การปฏิบัติตาม กฎบัญญัติของโมเสส ที่จริงการปฏิบัติตามกฎหมายของโมเสสก็ยังถือเป็นความชอบธรรมได้ ซึ่งเป็นสิ่งที่ดี แต่ยังดีไม่พอ เพราะพวกเขาปฏิบัติตามกฎหมายแต่เพียงภายนอกเท่านั้น แต่ปราศจากความศรัทธาและ ความรักต่อเพื่อนมนุษย์ที่ต้องมีอยู่ในหัวใจ พระองค์จึงตรัสสอนว่า “ความชอบธรรมของท่าน” ต้องดีกว่า พวกเขา คือต้องออกมาจากหัวใจ ความชอบธรรมก็คอื สิง่ ทีอ่ อกมาจากหัวใจ ความรักต่อเพือ่ นมนุษย์นนั้ จึง มิใช่เพียงแค่การถือกฎหมาย ฉะนั้น จงเป็นทาสของความชอบธรรม อย่าเป็นทาสของกฎหมายเลย เพราะ สิ่งที่ทำ�โดยปราศจากหัวใจย่อมไร้ค่า และสิ่งที่ทำ�ด้วยหัวใจ แม้เล็กน้อย ก็มีค่ายิ่งใหญ่ ในความรู้สึกของผู้ กระทำ� และในสายพระเนตรของพระเจ้า


บทอ่านที่ 1 ฉธบ 26:16-19 โมเสสกล่าวกับประชาชนว่า “ในวันนีอ้ งค์พระผูเ้ ป็นเจ้าพระเจ้าของท่าน ทรงบัญชาให้ทา่ นปฏิบตั ติ ามข้อกำ�หนด และกฎเกณฑ์เหล่านี้อย่างเคร่งครัดสุดจิตใจ และสุดวิญญาณ ในวันนี้ ท่านได้ยินองค์พระผู้เป็นเจ้าทรงประกาศว่า พระองค์ทรงเป็นพระเจ้าของ ท่าน ถ้าท่านดำ�เนินตามหนทางของพระองค์ ปฏิบัติตามข้อกำ�หนด บทบัญญัติและกฎ เกณฑ์ของพระองค์ ทัง้ เชือ่ ฟังพระสุรเสียงของพระองค์ ในวันนี้ องค์พระผูเ้ ป็นเจ้าทรง บัญชาให้ท่านประกาศว่า ท่านจะเป็นประชากรของพระองค์ เป็นกรรมสิทธิ์พิเศษของ พระองค์ดงั ทีต่ รัสไว้ และท่านจะปฏิบตั ติ ามบทบัญญัตขิ องพระองค์ทกุ ประการ พระองค์ จะทรงบันดาลให้ท่านมีศักดิ์ศรี มีชื่อเสียงและมีเกียรติยศเหนือชนชาติอื่นๆ ทั้งปวงที่ ทรงสร้างขึ้นมา และท่านจะเป็นประชากรศักดิ์สิทธิ์ถวายแด่องค์พระผู้เป็นเจ้าพระเจ้า ของท่านดังที่ทรงสัญญาไว้” พระวรสาร มธ 5:43-48 เวลานั้น พระเยซูเจ้าตรัสกับบรรดาศิษย์ว่า “ท่านทั้งหลายได้ยินคำ�กล่าวว่า จงรักเพื่อนบ้าน จงเกลียดศัตรู แต่เรากล่าวแก่ ท่านว่า จงรักศัตรู จงอธิษฐานภาวนาให้ผู้ที่เบียดเบียนท่าน เพื่อท่านจะได้เป็นบุตรของ พระบิดาเจ้าสวรรค์ พระองค์โปรดให้ดวงอาทิตย์ของพระองค์ขึ้นเหนือคนดีและคนชั่ว โปรดให้ฝนตกเหนือคนชอบธรรมและคนอธรรม ถ้าท่านรักแต่คนที่รักท่าน ท่านจะได้ บำ�เหน็จรางวัลอะไรเล่า บรรดาคนเก็บภาษีมิได้ทำ�เช่นนี้ดอกหรือ ถ้าท่านทักทายแต่ พี่น้องของท่านเท่านั้น ท่านทำ�อะไรพิเศษเล่า คนต่างศาสนามิได้ทำ�เช่นนี้ดอกหรือ ฉะนัน้ ท่านจงเป็นคนดีอย่างสมบูรณ์ ดังทีพ่ ระบิดาเจ้าสวรรค์ของท่าน ทรงความดีอย่าง สมบูรณ์เถิด” ครั้งหนึ่ง พระสันตะปาปาฟรังซิสทรงเทศน์สอนว่า ความเกลียดชังคือ บาปทีท่ �ำ ร้ายหัวใจมนุษย์ให้เกิดบาดแผล และความรักศัตรูคอื การเยียวยารักษา ความ รักศัตรูในแง่หนึ่ง จะเกิดผลที่พึงหวังได้กับศัตรู อย่างเช่น เขาจะกลับใจ เปลี่ยนแปลง ความประพฤติหรือไม่นั้นก็ไม่แน่ แต่ผลที่หวังได้นั้นเกิดกับตนเองอย่างแน่นอน นั่นคือ ความสงบในจิตวิญญาณ และความคู่ควรกับการเป็นศิษย์ของพระคริสตเจ้า ความ รักศัตรูมิใช่การส่งเสริมความเลวหรือความผิดที่เขากระทำ� แต่เป็นความรักที่ให้กับผู้ที่ กระทำ�ผิดนั้น สอดคล้องกับคำ�สอนที่ว่า พระเจ้าทรงเกลียดบาป แต่ทรงรักคนบาป พระเยซูเจ้าทรงให้คำ�สอนเรื่องความรักศัตรูนี้ก่อนที่จะสรุปว่า “ท่านจงเป็นคนดีอย่าง สมบูรณ์ ดังที่พระบิดาของท่านทรงความดีอย่างสมบูรณ์” เหมือนกับเป็นนัยว่า ความ รักศัตรูนั้นยากก็จริง แต่เป็นเงื่อนไขที่จำ�เป็นและบางทีเป็นเงื่อนไขสุดท้ายสำ�หรับเรา มนุษย์ผู้อ่อนแอ เพื่อจะเป็น “คนดีอย่างสมบูรณ์”

ระลึกถึง น.แปร์เปตูอา และ น.เฟลีซีตัส มรณสักขี สดด 119:1-2, 3-6,7-8

ทำ�วัตรสัปดาห์ที่ 1


สัปดาห์ที่ 2 เทศกาลมหาพรต ทำ�วัตรสัปดาห์ที่ 2 วันสตรีสากล

บทอ่านจากหนังสือปฐมกาล ปฐก 12:1-4ก องค์พระผูเ้ ป็นเจ้าตรัสแก่อบั รามว่า “จงออกจากแผ่นดินของท่าน จากญาติพนี่ อ้ ง จากบ้านของบิดา ไปยังแผ่นดินที่เราจะชี้ให้ท่าน เราจะทำ�ให้ท่านเป็นชนชาติใหญ่ จะ อวยพรท่าน จะทำ�ให้ทา่ นมีชอื่ เสียงเลือ่ งลือ ท่านจะนำ�พระพรมาให้ผอู้ นื่ เราจะอวยพร ผู้ที่อวยพรท่าน เราจะสาปแช่งผู้ที่สาปแช่งท่าน บรรดาเผ่าพันธุ์ทั้งสิ้นทั่วแผ่นดิน จะ ได้รับพรเพราะท่าน” อับรามจึงออกเดินทางตามที่องค์พระผู้เป็นเจ้าตรัส เพลงสดุดี สดด 33:4-5,18-19,20-22 ก) พระวาจาขององค์พระผู้เป็นเจ้านั้นเที่ยงตรง พระราชกิจของพระองค์น่าเชื่อถือ พระองค์ทรงรักความชอบธรรมและความยุติธรรม ความรักมั่นคงขององค์พระผู้เป็นเจ้าเปี่ยมล้นทั่วแผ่นดิน ข) แต่องค์พระผู้เป็นเจ้าทรงเฝ้าพิทักษ์ผู้ที่ยำ�เกรงพระองค์ ผู้ที่หวังในความรักมั่นคงของพระองค์ เพื่อจะช่วยชีวิตของเขาให้พ้นจากความตาย และรักษาเขาไว้ในยามอาหารขาดแคลน ค) จิตใจของเราทั้งหลายกำ�ลังรอคอยองค์พระผู้เป็นเจ้า พระองค์ทรงเป็นความช่วยเหลือและทรงเป็นโล่ป้องกันภัยของเรา ใช่แล้ว จิตใจของเราชื่นชมในพระองค์ เพราะเราวางใจในพระนามศักดิ์สิทธิ์ของพระองค์ ข้าแต่องค์พระผู้เป็นเจ้า ขอความรักมั่นคงของพระองค์ สถิตกับข้าพเจ้าทั้งหลาย เพราะข้าพเจ้าทั้งหลายมีความหวังในพระองค์ บทอ่านจากจดหมายนักบุญเปาโลอัครสาวกถึงทิโมธี ฉบับที่สอง 2 ทธ 1:8ข-10 พี่น้อง จงเข้ามามีส่วนร่วมทนทุกข์ทรมานกับข้าพเจ้าเพื่อข่าวดีโดยพระอานุภาพ ของพระเจ้า ผู้ทรงช่วยเราให้รอดพ้น และทรงเรียกเราให้เป็นผู้ศักดิ์สิทธิ์ ไม่ใช่เพราะ สิง่ ทีเ่ รากระทำ� แต่เพราะพระประสงค์และพระหรรษทานของพระองค์ พระองค์ประทาน พระหรรษทานนีแ้ ก่เราแล้วในพระคริสตเยซูกอ่ นกาลเวลา แต่บดั นีท้ รงเปิดเผยโดยการ แสดงพระองค์ของพระผู้ไถ่คือพระคริสตเยซู ผู้ทรงทำ�ลายความตาย และทรงนำ�ชีวิต และความไม่รู้จักตายให้ปรากฏอย่างชัดแจ้งโดยทางข่าวดี


บทอ่านจากพระวรสารนักบุญมัทธิว มธ 17:1-9 ต่อมาอีกหกวัน พระเยซูเจ้าทรงพาเปโตร ยากอบ และ ยอห์นน้องชายไปบนภูเขาสูงที่ปราศจากผู้คน แล้วพระ วรกายของพระองค์ก็เปลี่ยนไปต่อหน้าเขา พระพักตร์เปล่ง รัศมีดุจดวงอาทิตย์ ฉลองพระองค์กลับมีสีขาวดุจแสงสว่าง โมเสสและประกาศกเอลี ย าห์ สำ � แดงตนสนทนาอยู่ กั บ พระองค์ เปโตรจึงทูลพระเยซูเจ้าว่า “พระเจ้าข้า ทีน่ สี่ บายน่าอยู่ จริงๆ ถ้าพระองค์มีพระประสงค์ ข้าพเจ้าจะสร้างเพิงขึ้น สามหลัง หลังหนึ่งสำ�หรับพระองค์ หลังหนึ่งสำ�หรับโมเสส อีกหลังหนึ่งสำ�หรับเอลียาห์” ขณะที่เปโตรกำ�ลังพูดอยู่นั้น มีเมฆสว่างจ้าก้อนหนึ่งปกคลุมพวกเขาไว้ เสียงหนึ่งดังจาก เมฆนั้นว่า “ท่านผู้นี้เป็นบุตรสุดที่รักของเรา เราพึงพอใจยิ่งนัก จงฟังท่านเถิด” เมื่อได้ยินดังนั้น ศิษย์ทั้งสามคนซบหน้าลงกับพื้นดิน มีความกลัวอย่างยิ่ง พระเยซูเจ้าเสด็จเข้ามาใกล้ ทรงสัมผัสเขา ตรัสว่า “จงลุกขึ้นเถิด อย่ากลัวเลย” เมื่อเงยหน้าขึ้น เขาไม่เห็นผู้ใด นอกจากพระเยซูเจ้า เท่านั้น ขณะที่กำ�ลังลงจากภูเขา พระเยซูเจ้าทรงกำ�ชับศิษย์ทั้งสามคนว่า “อย่าเล่านิมิตที่ได้เห็นนี้ให้ผู้ใดฟัง จนกว่าบุตรแห่งมนุษย์จะกลับคืนชีพจากบรรดาผู้ตาย” มหาพรตยังมีความหมายอีกประการหนึง่ คือ เป็นช่วงเวลาแห่งการเดินทาง “ออกจากตัวเอง” เหมือนอับรามที่ออกเดินทาง “ออกจากแผ่นดินของท่าน จากญาติพี่น้อง จากบ้านบิดา” หรือตาม ความหมายที่พระสันตะปาปาฟรังซิสเคยสอนว่า ให้เราออกจาก comfort zone หรือชีวิตที่เอาแต่ใฝ่ หาความสุขสบายเพื่อตนเอง เพื่อแสวงหาพระประสงค์ของพระเจ้า เหมือนที่โมเสสเดินทางขึ้นไปบนภูเขา ซีนาย เพื่อรับพระบัญญัติจากพระเจ้า ภูเขาสูงจึงเป็นเครื่องหมายถึงการต่อสู้ที่ยากลำ�บาก แต่สิ่งสำ�คัญคือ เราได้พบพระประสงค์ เราได้ฟังเสียงหรือพระบัญชาของพระเจ้า เหมือนที่พระเจ้าตรัสจากเมฆว่า “ท่านผู้ นี้เป็นบุตรสุดที่รักของเรา จงฟังท่านเถิด” แม้ชีวิตแห่งพระประสงค์จะยากลำ�บาก แต่เราก็ไม่ต้อง “กลัว” เพราะที่สุดแล้ว พระเยซูเจ้าทรงกลับคืนพระชนมชีพฉันใด เราก็จะได้รับความรุ่งโรจน์ฉันนั้น ฉะนั้น “จง ลุกขึ้นเถิด อย่ากลัวเลย”


น.ฟรังซิสกา ชาวโรม นักบวช สดด 79:8,9,11 และ 13

ทำ�วัตรสัปดาห์ที่ 2

บทอ่านที่ 1 ดนล 9:4ข-10 “ข้าแต่องค์พระผูเ้ ป็นเจ้า พระเจ้าผูย้ งิ่ ใหญ่และน่าสะพรึงกลัว พระองค์ทรงรักษา พันธสัญญาและความรักมัน่ คงต่อผูท้ รี่ กั พระองค์และปฏิบตั ติ ามบทบัญญัตขิ องพระองค์ ข้าพเจ้าทั้งหลายได้ทำ�บาป ทำ�ผิด ประพฤติชั่วร้าย เป็นกบฏ หันเหไปจากบทบัญญัติ และกฎเกณฑ์ของพระองค์ ข้าพเจ้าทั้งหลายมิได้เชื่อฟังบรรดาประกาศกผู้รับใช้ของ พระองค์ ซึง่ พูดในพระนามพระองค์ตอ่ บรรดากษัตริย์ บรรดาเจ้านาย บรรดาบรรพบุรษุ ของข้าพเจ้าทั้งหลาย และต่อประชากรทั้งมวลของแผ่นดิน ข้าแต่องค์พระผู้เป็นเจ้า ความเทีย่ งธรรมเป็นของพระองค์ ส่วนความอับอายเป็นของข้าพเจ้าทัง้ หลาย ดังทีเ่ ป็น อยู่ทุกวันนี้ เป็นของชาวยูดาห์ ชาวกรุงเยรูซาเล็ม และชาวอิสราเอลทั้งมวล ทั้งเป็น ของผู้ที่อยู่ใกล้และอยู่ไกล ผู้ที่อยู่ในแผ่นดินที่พระองค์ทรงบันดาลให้เขาไปอยู่อย่าง กระจัดกระจาย เพราะความทรยศซึ่งเขาได้ทำ�ต่อพระองค์ ข้าแต่องค์พระผู้เป็นเจ้า ความอับอายเป็นของข้าพเจ้าทัง้ หลาย เป็นของบรรดากษัตริย์ บรรดาเจ้านายและบรรดา บรรพบุรุษของข้าพเจ้าทั้งหลาย เพราะข้าพเจ้าทั้งหลายได้ทำ�บาปผิดต่อพระองค์ ส่วน พระกรุณาและการอภัยโทษเป็นขององค์พระผู้เป็นเจ้าของข้าพเจ้าทั้งหลาย ที่ได้กบฏ ต่อพระองค์ มิได้เชื่อฟังพระสุรเสียงขององค์พระผู้เป็นเจ้า ไม่ปฏิบัติตามธรรมบัญญัติ ที่พระองค์ประทานให้โดยบรรดาประกาศกผู้รับใช้ของพระองค์” พระวรสาร ลก 6:36-38 เวลานั้น พระเยซูเจ้าตรัสกับบรรดาศิษย์ว่า “จงเป็นผูเ้ มตตากรุณาดังทีพ่ ระบิดาของท่านทรงพระเมตตากรุณาเถิด อย่าตัดสิน เขา แล้วพระเจ้าจะไม่ทรงตัดสินท่าน อย่ากล่าวโทษเขา แล้วพระเจ้าจะไม่ทรงกล่าว โทษท่าน จงให้อภัยเขา แล้วพระเจ้าจะทรงให้อภัยท่าน จงให้ แล้วพระเจ้าจะประทาน แก่ท่าน ท่านจะได้รับเต็มสัดเต็มทะนานอัดแน่นจนล้น เพราะว่าท่านใช้ทะนานใดตวง ให้เขา พระเจ้าก็จะทรงใช้ทะนานนั้นตวงตอบแทนให้ท่านด้วย”

มหาพรตเป็นเวลาของการพิจารณาตนเองอย่างจริงจังเป็นสำ�คัญ เป็นเวลาแห่งการนำ�พระพร ทีไ่ ด้รบั มาจากองค์พระผูเ้ ป็นเจ้าไปแบ่งปันแก่เพือ่ นมนุษย์ จึงเป็นเวลาของการแสดงตนเป็น “ผูเ้ มตตากรุณา ดังที่พระบิดาของท่านทรงพระเมตตากรุณา” และไม่ใช่เวลาที่จะไปตัดสินหรือนินทาว่าร้ายผู้ใด นักบุญ เทเรซาแห่งกัลกัตตา หรือคุณแม่เทเรซาเคยสอนว่า “ถ้าท่านติฉินนินทาผู้อื่น ท่านก็ไม่มีเวลาที่จะรัก” มิหนำ�ซํ้า ยังอาจนำ�พาให้เรากระทำ�สิ่งที่ขัดต่อความรักกับผู้ที่ถูกนินทาด้วย นั่นคือการดูหมิ่นและเกลียดชัง และนัน่ คือผลอันเลวร้ายทีจ่ ะย้อนกลับมาหาตนเอง เมือ่ เราต้องได้รบั การตัดสินจากพระเจ้า มีภาษิตสอนว่า “ท่านไม่ได้สงู ขึน้ เพราะท่านเหยียบคนอืน่ อยู”่ การนินทาว่าร้ายคนอืน่ ก็ไม่ได้ท�ำ ให้ทา่ นดีขนึ้ แต่จะทำ�ให้ ท่านมีความหยิ่งยโสจองหองมากขึ้น นักบุญเอากุสตินสอนว่า “พระเจ้าได้ทรงถ่อมพระองค์ลง แต่มนุษย์ ยังคงจองหองอยู่อีก”


บทอ่านที่ 1 อสย 1:10,16-20 ท่านทั้งหลายผู้มีอำ�นาจปกครองเมืองโสโดมเอ๋ย จงฟังพระวาจาขององค์พระผู้ เป็นเจ้าเถิด ประชาชนแห่งเมืองโกโมราห์เอ๋ย จงเงี่ยหูฟังคำ�สอนของพระเจ้าของเรา เถิด จงล้าง จงชำ�ระตนให้สะอาด จงนำ�กิจการชัว่ ร้ายของท่านออกไปให้พน้ จากสายตา เรา จงเลิกทำ�ความชั่ว จงเรียนรู้ที่จะทำ�ความดี จงแสวงหาความยุติธรรม จงช่วยเหลือ ผู้ถูกข่มเหง จงให้ความเป็นธรรมแก่ลูกกำ�พร้า จงปกป้องสิทธิของหญิงม่าย องค์พระผู้เป็นเจ้าตรัสว่า “มาเถิด มาพิจารณาความด้วยกันกับเรา แม้บาปของ ท่านเป็นสีแดงเหมือนผ้าสีเลือดหมู ก็จะขาวอย่างหิมะ แม้บาปของท่านจะเป็นสีแดง เหมือนผ้าสีแดงเข้ม ก็จะขาวเหมือนขนแกะ ถ้าท่านทั้งหลายยอมเชื่อฟัง ท่านจะได้กิน ผลดีของแผ่นดิน แต่ถ้าท่านดื้อรั้นและเป็นกบฏ ท่านจะเป็นเหยื่อของคมดาบ เพราะ พระโอษฐ์ขององค์พระผู้เป็นเจ้าตรัสดังนี้”

สัปดาห์ที่ 2 เทศกาลมหาพรต สดด 50:8-9,16ขค-17, 21 และ 23

ทำ�วัตรสัปดาห์ที่ 2

พระวรสาร มธ 23:1-12 ครั้งนั้น พระเยซูเจ้าตรัสแก่ประชาชนและบรรดาศิษย์ว่า “พวกธรรมาจารย์และ ชาวฟาริสีนั่งบนธรรมาสน์ของโมเสส ถ้าเขาสั่งสอนเรื่องใด ท่านจงปฏิบัติตามเถิด แต่ อย่าปฏิบัติตามพฤติกรรมของเขา เพราะเขาพูด แต่ไม่ปฏิบัติ เขามัดสัมภาระหนักวาง บนบ่าคนอื่น แต่เขาเองไม่ปรารถนาแม้แต่จะขยับนิ้วไปยกขึ้น เขาทำ�กิจการทุกอย่าง เพือ่ ให้คนเห็น เช่น เขาขยายกลักบรรจุพระวาจาให้ใหญ่ขนึ้ ผ้าคลุมของเขามีพยู่ าวกว่า ของคนอื่น เขาชอบที่นั่งมีเกียรติในงานเลี้ยง ชอบนั่งแถวหน้าในศาลาธรรม ชอบให้ ผู้คนคำ�นับตามลานสาธารณะ ชอบให้ทุกคนเรียกว่า ‘รับบี’ ส่วนท่านทัง้ หลายอย่าให้ผใู้ ดเรียกว่า ‘รับบี’ เพราะอาจารย์ของท่านมีเพียงผูเ้ ดียว และทุกคนเป็นพี่น้องกัน ในโลกนี้อย่าเรียกผู้ใดว่า ‘บิดา’ เพราะว่าพระบิดาของท่านมี เพียงพระองค์เดียวคือพระบิดาในสวรรค์ อย่าให้ผู้ใดเรียกท่านว่า ‘อาจารย์’ เพราะพระอาจารย์ของท่านมี เพียงพระองค์เดียวคือพระคริสตเจ้า ในกลุ่มของท่าน ผู้ใดเป็นใหญ่จะต้องเป็นผู้รับใช้ผู้อื่น ผู้ใดที่ยกตนขึ้น จะถูกกดให้ตํ่าลง ผู้ใดถ่อมตนลง จะได้รับการยกย่องให้สูงขึ้น” “อย่าให้ผู้ใดเรียกว่า รับบี...อย่าเรียกผู้ใดว่า บิดา...อย่าให้ผู้ใดเรียกท่านว่า อาจารย์” พระ วาจานีฟ้ งั ดูจะเข้าใจยาก เพราะดูเหมือนจะขัดแย้งกับวัฒนธรรมการให้ความเคารพนับถือและความกตัญญู ที่ควรมีในสังคม แต่เบื้องหลังพระวาจานี้คือ พระองค์กำ�ลังตรัสถึงพวกคัมภีราจารย์และพวกฟาริสี ซึ่ง อวดอ้างตนเองต่างๆ เพื่อจะได้รับการเรียกขานจากชาวบ้านด้วยคำ�เรียกว่า บิดา รับบี หรือ อาจารย์ พวก เขาเหล่านี้ไม่สมควรกับชื่อเรียกขานเหล่านี้เลย เพราะ “เขาสอน แต่ไม่ปฏิบัติ” มิหนำ�ซํ้า ยังปฏิบัติสิ่ง ตรงข้ามกับที่สอนด้วย โดยเฉพาะการแสวงหาผลประโยชน์อย่างผิดยุติธรรม ซึ่งทำ�ให้พระองค์ตำ�หนิพวก เขาอยู่บ่อยๆ ว่า “หน้าซื่อใจคด” อย่างไรก็ตาม สิ่งที่เขาสอนนั้นยังเป็นสิ่งที่ดีที่ควรต้องปฏิบัติตาม การไม่ เรียกพวกเขาว่าบิดา หรืออาจารย์จึงหมายถึง การไม่ปฏิบัติตามสิ่งที่พวกเขาประพฤติ


สัปดาห์ที่ 2 เทศกาลมหาพรต สดด 31:4-5,13,14-15

ทำ�วัตรสัปดาห์ที่ 2

บทอ่านที่ีื 1 ยรม 18:18-20 ชาวยิวที่คิดร้ายต่อประกาศกเยเรมีย์กล่าวกันว่า “มาเถิด เราจงวางแผนปองร้ายประกาศกเยเรมีย์ เพราะว่าธรรมบัญญัติจะไม่ สูญหายไปจากบรรดาสมณะ คำ�ปรึกษาย่อมไม่ขาดไปจากบรรดาผู้มีปรีชา และการ ประกาศพระวาจาไม่ขาดไปจากบรรดาประกาศก มาเถิด เราจงพูดใส่ร้ายเขา อย่าไป สนใจฟังคำ�พูดของเขาเลย” “ข้าแต่องค์พระผูเ้ ป็นเจ้า โปรดทรงสนพระทัยข้าพเจ้า โปรดทรงฟังเสียงคูอ่ ริของ ข้าพเจ้าเถิด ความชัว่ เป็นการตอบแทนความดีหรือ เขากำ�ลังขุดหลุมไว้ดกั ข้าพเจ้า โปรด ทรงระลึกว่าข้าพเจ้าเคยยืนเฉพาะพระพักตร์ เพือ่ ทูลขอความดีให้เขา เพือ่ หันพระพิโรธ ของพระองค์ไปจากเขา”

พระวรสาร มธ 20:17-28 เวลานัน้ พระเยซูเจ้ากำ�ลังเสด็จขึน้ ไปยังกรุงเยรูซาเล็ม พระองค์ทรงพาเฉพาะอัครสาวกสิบสองคนออก ไป แล้วตรัสแก่เขาขณะเดินทางว่า “บัดนี้ พวกเรากำ�ลังขึ้นไปยังกรุงเยรูซาเล็ม บุตรแห่งมนุษย์จะถูกมอบ แก่บรรดาหัวหน้าสมณะและบรรดาธรรมาจารย์ เขาจะถูกตัดสินประหารชีวิต และจะถูกมอบให้คนต่างชาติ สบประมาทเยาะเย้ย โบยตีและนำ�ไปตรึงกางเขน แต่ในวันที่สามบุตรแห่งมนุษย์จะกลับคืนชีพ” มารดาของบุตรเศเบดีเข้ามาเฝ้าพระองค์พร้อมกับบุตร นางกราบลงทูลขอสิง่ หนึง่ จากพระองค์ พระองค์ จึงตรัสถามนางว่า “ท่านต้องการอะไร” นางทูลว่า “ขอพระองค์ทรงอนุญาตให้บุตรทั้งสองคนของข้าพเจ้า นั่งข้างขวาคนหนึ่ง นั่งข้างซ้ายคนหนึ่งในพระอาณาจักรของพระองค์” พระเยซูเจ้าตรัสตอบว่า “ท่านไม่รู้ว่า กำ�ลังขออะไร ท่านดื่มถ้วย ซึ่งเราจะดื่มได้หรือไม่” เขาทั้งสองคนทูลตอบว่า “ได้ พระเจ้าข้า” พระองค์ตรัส กับเขาว่า “ท่านจะดื่มถ้วยของเรา แต่การที่จะนั่งข้างขวาหรือข้างซ้ายของเรานั้นไม่ใช่หน้าที่ของเราที่จะให้ แต่สงวนไว้สำ�หรับผู้ที่พระบิดาของเราทรงจัดเตรียมไว้” เมื่อได้ยินดังนั้น อัครสาวกอีกสิบคนรู้สึกโกรธพี่น้องสองคนนั้น พระเยซูเจ้าจึงทรงเรียกทุกคนมาพบ ตรัสว่า “ท่านทั้งหลายย่อมรู้ว่าในหมู่คนต่างชาติ ผู้ปกครองย่อมเป็นเจ้านายเหนือผู้อื่น และผู้ใหญ่ย่อมใช้ อำ�นาจบังคับ แต่ทา่ นทัง้ หลายไม่ควรเป็นเช่นนัน้ ผูท้ ปี่ รารถนาจะเป็นใหญ่ จะต้องทำ�ตนเป็นผูร้ บั ใช้ผอู้ นื่ และ ผูใ้ ดทีป่ รารถนาจะเป็นคนทีห่ นึง่ ในบรรดาท่านทัง้ หลาย ก็จะต้องทำ�ตนเป็นผูร้ บั ใช้ เหมือนกับทีบ่ ตุ รแห่งมนุษย์ มิได้มาเพื่อให้ผู้อื่นรับใช้ แต่มาเพื่อรับใช้ผู้อื่น และมอบชีวิตของตนเป็นสินไถ่เพื่อมวลมนุษย์ทั้งหลาย” ยากอบและยอห์นในพระวรสารวันนี้เป็นตัวอย่างหนึ่งของผู้คนที่อยู่ในภาษิตที่ว่า “ได้ยิน เฉพาะสิ่งที่ต้องการได้ยิน” คือเอาแต่อยากให้ทุกสิ่งเป็นไปตามใจของตน ทั้งๆ ที่พระเยซูเจ้าเพิ่งตรัสถึง ความตายของพระองค์ทจี่ ะเกิดขึน้ ในกรุงเยรูซาเล็มในอีกไม่ชา้ พวกเขาทัง้ สองยังไม่เข้าใจและยังหวังถึงความ ยิง่ ใหญ่ของตน อย่างไรก็ตาม พระเยซูเจ้าทรงเตือนพวกเขาว่า ไม่วา่ จะอย่างไร มีเงือ่ นไขทีพ่ วกเขาต้องยอมรับ คือ “การดืม่ ถ้วย” ซึง่ ในพันธสัญญาเดิมจะหมายถึงความทุกข์ทรมานและความตาย และเป็นถ้วยทีพ่ ระองค์ เองกำ�ลังจะดื่มด้วย ในตอนท้ายพระวรสารวันนี้ พระองค์ให้คำ�ตอบว่าความตายของพระองค์เพื่ออะไร นั่น คือ เพื่อ “เป็นสินไถ่เพื่อมวลมนุษย์”


บทอ่านที่ 1 ยรม 17:5-10 องค์พระผู้เป็นเจ้าตรัสดังนี้ว่า “คนที่วางใจในมนุษย์ย่อมถูกสาปแช่ง เขาพึ่งพลัง ของมนุษย์ ใจของเขาหันออกจากองค์พระผู้เป็นเจ้า เขาเป็นเหมือนพุ่มไม้ในถิ่น ทุรกันดาร ไม่เห็นความดีใดๆ ทีม่ าถึง เขาจะอาศัยอยูใ่ นทีแ่ ห้งแล้งของถิน่ ทุรกันดาร ใน แผ่นดินเค็มที่ไม่มีผู้คนอาศัย” “คนทีว่ างใจในองค์พระผูเ้ ป็นเจ้าย่อมได้รบั พระพร องค์พระผูเ้ ป็นเจ้าทรงเป็นความ หวังของเขา เขาจะเป็นเหมือนต้นไม้ทปี่ ลูกไว้รมิ นํา้ ซึง่ หยัง่ รากออกไปทีล่ �ำ นาํ้ เมือ่ ความ ร้อนมาถึง เขาก็ไม่กลัว ใบของเขาคงเขียวอยูเ่ สมอ เขาจะไม่กงั วลใจในปีทแี่ ห้งแล้ง จะ ไม่หยุดออกผล” “จิตใจหลอกลวงมากกว่าสิ่งอื่นทั้งหมด ไม่อาจแก้ไข ผู้ใดจะรู้จักใจได้ เรา องค์ พระผู้เป็นเจ้า สำ�รวจจิต และทดสอบใจ เพื่อจะตอบแทนแต่ละคนตามความประพฤติ ของเขา”

สัปดาห์ที่ 2 เทศกาลมหาพรต สดด 1:1-2,3, 4 และ 6

ทำ�วัตรสัปดาห์ที่ 2

พระวรสาร ลก 16:19-31 เวลานั้น พระเยซูเจ้าตรัสกับพวกฟาริสีว่า “เศรษฐีผู้หนึ่ง แต่งกายหรูหราด้วยเสื้อผ้าเนื้อดีราคาแพง จัดงานเลี้ยงใหญ่ทุกวัน คนยากจนผู้หนึ่งชื่อ ลาซารัส นอนอยู่ที่ประตูบ้านของเศรษฐีผู้นั้น เขามีบาดแผลเต็มตัว อยากจะกินเศษอาหารที่ตกจากโต๊ะของ เศรษฐี มีแต่สุนัขมาเลียแผลของเขา วันหนึ่ง คนยากจนผู้นี้ตาย ทูตสวรรค์นำ�เขาไปอยู่ในอ้อมอกของ อับราฮัม เศรษฐีคนนั้นก็ตายเช่นเดียวกัน และถูกฝังไว้ เศรษฐีซึ่งกำ�ลังถูกทรมานอยู่ในแดนผู้ตาย แหงน หน้าขึ้น มองเห็นอับราฮัมแต่ไกล และเห็นลาซารัสอยู่ในอ้อมอก จึงร้องตะโกนว่า “ท่านพ่ออับราฮัม จง สงสารลูกด้วย กรุณาส่งลาซารัสให้ใช้ปลายนิว้ จุม่ นาํ้ มาแตะลิน้ ให้ลกู สดชืน่ ขึน้ บ้าง เพราะลูกกำ�ลังทุกข์ทรมาน อย่างสาหัสในเปลวไฟนี้” แต่อับราฮัมตอบว่า “ลูกเอ๋ย จงจำ�ไว้ว่า เมื่อยังมีชีวิต ลูกได้รับแต่สิ่งดีๆ ส่วน ลาซารัสได้รับแต่สิ่งเลวๆ บัดนี้เขาได้รับการบรรเทาใจที่นี่ ส่วนลูกต้องรับทรมาน ยิ่งกว่านั้น ยังมีเหวใหญ่ ขวางอยู่ระหว่างเราทั้งสอง จนใครที่ต้องการจะข้ามจากที่นี่ไปหาลูก ก็ข้ามไปไม่ได้ และผู้ที่ต้องการจะข้าม จากด้านโน้นมาหาเรา ก็ข้ามมาไม่ได้ด้วย” เศรษฐีจงึ พูดว่า “ท่านพ่อ ลูกอ้อนวอนให้ทา่ นส่งลาซารัสไปยังบ้านบิดาของลูก เพราะลูกยังมีพนี่ อ้ งอีก ห้าคน ขอให้ลาซารัสเตือนเขาอย่าให้มายังสถานที่ทรมานแห่งนี้เลย” อับราฮัมตอบว่า “พี่น้องของลูกมี โมเสสและบรรดาประกาศกอยู่แล้ว ให้เขาเชื่อฟังท่านเหล่านั้นเถิด” แต่เศรษฐีพูดว่า “มิใช่เช่นนั้น ท่านพ่อ อับราฮัม ถ้าใครคนหนึง่ จากบรรดาผูต้ ายไปหาเขา เขาจึงจะกลับใจ” อับราฮัมตอบว่า “ถ้าเขาไม่เชือ่ ฟังโมเสส และบรรดาประกาศก แม้ใครที่กลับคืนชีวิตจากบรรดาผู้ตายเตือนเขา เขาก็จะไม่เชื่อ” “ชีวติ หลังความตายเป็นผลของชีวติ ในปัจจุบนั ” นีค่ งเป็นข้อสรุปเตือนใจทีพ่ ระเยซูเจ้าทรง ต้องการนำ�เสนอ โดยเล่าเรือ่ งเศรษฐีกบั ลาซารัส ขณะทีย่ งั มีชวี ติ แม้ลาซารัสจะอยูใ่ กล้แค่ “นอนอยูท่ ปี่ ระตู บ้านของเศรษฐี” แต่เศรษฐีก็ปฏิบัติต่อเขาเหมือนอยู่ไกลคือ ไม่รู้จัก ไม่สนใจ น่าสังเกตว่า หลังความตายมี “เหวใหญ่” ขวางอยูร่ ะหว่างเขาทัง้ สอง สอดคล้องกับความห่างเหิน ความไม่สนใจของเศรษฐีนนั่ เอง ในโลก นี้ เราห่างจากเพื่อนมนุษย์เพียงใด ในโลกหน้าเราก็พบความเลวร้ายจากการห่างไกลมากเพียงนั้น อันที่จริง เรือ่ งนี้ พระเยซูเจ้ามิได้พดู ถึงความราํ่ รวยว่าดีหรือเลว แต่พระองค์พดู ถึงโอกาสและความสามารถของมนุษย์ ที่จะรับใช้กัน ช่วยเหลือกัน “ยิ่งได้รับมาก ก็ต้องคืนมาก”


บทอ่านที่ 1 ปฐก 37:3-4,12-13ก,17ข-28 ยาโคบรักโยเซฟมากกว่าบุตรคนอื่นๆ เพราะโยเซฟเกิดมาเมื่อยาโคบชราแล้ว ยาโคบตัดเสื้อยาวที่สวยเป็นพิเศษให้โยเซฟ เมื่อพี่ชายเห็นว่าบิดารักโยเซฟมากกว่า บุตรคนอื่นๆ ต่างก็เกลียดชังเขามากจนไม่ยอมพูดดีด้วย... พี่ชายเห็นโยเซฟแต่ไกลก่อนที่โยเซฟจะมาถึง จึงวางแผนจะฆ่าเสีย... รูเบนได้ยินเข้าก็หาทางจะช่วยโยเซฟให้พ้นจากมือน้องๆ ของตน จึงพูดว่า “อย่า สัปดาห์ที่ 2 เทศกาลมหาพรต ถึงกับเอาชีวติ กันเลย...อย่าหลัง่ เลือดเลย เพียงแต่โยนมันทิง้ ไว้ในบ่อ ในถิน่ ทุรกันดาร ก็พอแล้ว อย่าทำ�ร้ายมันเลย” รูเบนแนะนำ�เช่นนีเ้ พือ่ ช่วยโยเซฟให้พน้ จากมือของพีช่ าย... สดด 105:16-17, ทันใดนั้น เขาเงยหน้าขึ้น เห็นกองคาราวานของชาวอิชมาเอลกำ�ลังเดินทางมา 18-19,20-21 จากแคว้นกิเลอาดจะไปอียิปต์ มีอูฐบรรทุกยางสน เครื่องเทศ และยางไม้หอมมาด้วย ทำ�วัตรสัปดาห์ที่ 2 ยูดาห์จงึ แนะนำ�พีน่ อ้ งว่า “ถ้าเราฆ่าน้อง และกลบเลือดไว้ จะได้อะไรขึน้ มาเล่า เราจงขาย น้องแก่ชาวอิชมาเอล ดีกว่า เราจะได้ไม่ต้องทำ�ร้ายเขา เพราะเขาก็ยังเป็นน้องและเป็นสายเลือดเดียวกันกับ เรา” พี่น้องทุกคนก็เห็นด้วย... พ่อค้าเหล่านี้จึงพาโยเซฟไปอียิปต์ พระวรสาร มธ 21:33-43,45-46 เวลานั้น พระเยซูเจ้าตรัสว่า “ท่านทั้งหลายจงฟังอุปมาอีกเรื่องหนึ่งเถิด คหบดีผู้หนึ่งปลูกองุ่นไว้สวน หนึ่ง ทำ�รั้วล้อม ขุดบ่อยํ่าองุ่น สร้างหอเฝ้า ให้ชาวสวนเช่า แล้วก็ออกเดินทางไปต่างเมือง เมื่อใกล้ถึงฤดู เก็บผล เจ้าของสวนจึงให้ผู้รับใช้ไปพบคนเช่าสวนเพื่อรับส่วนแบ่งจากผลผลิต แต่คนเช่าสวนได้จับคนใช้ ทุบตีคนหนึ่ง ฆ่าอีกคนหนึ่ง เอาหินทุ่มอีกคนหนึ่ง เจ้าของสวนจึงส่งผู้รับใช้จำ�นวนมากกว่าพวกแรกไปอีก คนเช่าสวนก็ทำ�กับพวกนี้เช่นเดียวกัน ในที่สุด เจ้าของสวนได้ส่งบุตรชายของตนไปพบคนเช่าสวน คิดว่า ‘คนเช่าสวนคงจะเกรงใจลูกของเราบ้าง’ แต่เมื่อคนเช่าสวนเห็นบุตรเจ้าของสวนมา ก็พูดกันว่า ‘คนนี้เป็น ทายาท เราจงฆ่าเขาเถิด เราจะได้มรดกของเขา’ เขาจึงจับบุตรเจ้าของสวน นำ�ตัวออกไปนอกสวนแล้วฆ่าเสีย ดังนี้ เมือ่ เจ้าของสวนมา เขาจะทำ�อย่างไร กับคนเช่าสวนพวกนั้น” บรรดาผู้ฟังตอบว่า “เจ้าของสวนจะกำ�จัดพวกใจอำ�มหิตนี้อย่างโหดเหี้ยม และจะ ยกสวนให้คนอื่นเช่า ซึ่งจะแบ่งผลคืนให้เขาตามกำ�หนดเวลา” พระเยซูเจ้าจึงตรัสว่า “ท่านมิได้อ่านใน พระคัมภีร์หรือว่า ‘หินที่ช่างก่อสร้างทิ้งเสียนั้น ได้กลายเป็นศิลาหัวมุม องค์พระผู้เป็นเจ้าได้ทรงกระทำ�เช่น นั้น เป็นที่น่าอัศจรรย์แก่เรายิ่งนัก’ ดังนั้น เราบอกท่านว่า พระอาณาจักรของพระเจ้าจะถูกยกจากท่าน ทั้งหลาย ไปมอบให้แก่ชนชาติอื่นที่จะทำ�ให้บังเกิดผล”... “หินที่ช่างก่อสร้างทิ้งเสียนั้น ได้กลายเป็นศิลาหัวมุม” โลกตั้งแต่อดีตจนถึงปัจจุบันนี้ และ โดยเฉพาะเราคริสตชนได้เรียนรูอ้ ะไรทีม่ คี ณ ุ ค่าต่อการดำ�เนินชีวติ มากมาย จากการเสียสละชีวติ ของพระเยซู เจ้า บุคคลที่ครั้งหนึ่งโลกได้ปฏิเสธอย่างไม่เห็นคุณค่า นี่เป็นตัวอย่างที่ยอดเยี่ยมของผู้มั่นคงในการรับใช้ พระเจ้าและเพือ่ นมนุษย์ สิง่ ทีค่ วรเตือนใจเราคริสตชนจากเรือ่ งอุปมาในพระวรสารวันนีค้ อื พระผูเ้ ป็นเจ้าได้ มอบหมายหน้าที่ให้แก่เราแต่ละคน พระองค์ให้พระพรและความสามารถทุกอย่างที่จำ�เป็นและเพียงพอ เหมือนกับการมอบสวนองุ่นให้ พร้อมทั้งทำ�รั้วล้อม ขุดบ่อยํ่าองุ่น สร้างหอเฝ้า ทุกอย่างพร้อมแล้ว ไม่มี เหตุผลใดที่เราจะไม่ทำ�งานให้เกิดผล นั่นคือ การสร้างพระอาณาจักรของพระเจ้า


บทอ่านที่ 1 มคา 7:14-15,18-20 โปรดทรงใช้ไม้ขอของผูเ้ ลีย้ งแกะเลีย้ งดูประชากร คือฝูงแพะแกะทีเ่ ป็นมรดกของ พระองค์ ซึ่งอาศัยโดดเดี่ยวอยู่ในป่า ที่มีแผ่นดินอุดมสมบูรณ์อยู่โดยรอบ... เทพเจ้าใดเล่าเป็นเหมือนพระองค์ ผู้ทรงให้อภัยความผิด และทรงมองข้ามการ ล่วงละเมิดแก่ผู้ที่เหลืออยู่เป็นมรดกของพระองค์ พระองค์ไม่ทรงเก็บพระพิโรธไว้ ตลอดไป แต่พอพระทัยแสดงความรักมั่นคง ขอพระองค์ทรงพระเมตาต่อข้าพเจ้า ทัง้ หลายอีกครัง้ หนึง่ โปรดทรงเหยียบยาํ่ ความผิดของข้าพเจ้าทัง้ หลาย พระองค์จะทรง เหวี่ยงบาปของข้าพเจ้าทั้งหลายลงไปในทะเลลึก...

สัปดาห์ที่ 2 เทศกาลมหาพรต สดด 103:1-2,3-4, 9-10,11-12

พระวรสาร ลก 15:1-3,11-32 ทำ�วัตรสัปดาห์ที่ 2 เวลานั้น บรรดาคนเก็บภาษีและคนบาปเข้ามาใกล้เพื่อฟังพระเยซูเจ้า...พระองค์ จึงตรัสอุปมาเรื่องนี้ให้เขาฟังว่า “ชายผู้หนึ่งมีลูกสองคน ลูกคนเล็กพูดกับบิดาว่า ‘พ่อครับ โปรดให้ทรัพย์ สมบัติส่วนที่เป็นมรดกแก่ลูกเถิด’ บิดาก็แบ่งทรัพย์สมบัติให้แก่ลูกทั้งสองคน ต่อมาไม่นาน ลูกคนเล็ก รวบรวมทุกสิ่งที่มีแล้วเดินทางไปยังดินแดนห่างไกล ที่นั่นเขาประพฤติเสเพลผลาญเงินทองจนหมดสิ้น เมื่อเขาหมดตัว ก็เกิดกันดารอาหารอย่างหนักทั่วดินแดนนั้น... เขาจึงรู้สำ�นึก...และกลับไปหาพ่อ ขณะที่เขายังอยู่ไกล พ่อมองเห็นเขา รู้สึกสงสาร จึงวิ่งไปสวมกอดและจูบเขา ลูกจึงพูดกับพ่อว่า ‘พ่อ ครับ ลูกทำ�บาปผิดต่อสวรรค์และต่อพ่อ ลูกไม่สมควรได้ชื่อว่าเป็นลูกของพ่ออีก’ แต่พ่อพูดกับผู้รับใช้ว่า ‘เร็วเข้า จงไปนำ�เสื้อสวยที่สุดมาสวมให้ลูกเรา นำ�แหวนมาสวมนิ้ว นำ�รองเท้ามาใส่ให้ จงนำ�ลูกวัวที่ขุนอ้วน แล้วไปฆ่า แล้วกินเลี้ยงฉลองกันเถิด เพราะลูกของเราผู้นี้ตายไปแล้วกลับมีชีวิตอีก หายไปแล้ว ได้พบกัน อีก’ แล้วการฉลองก็เริ่มขึ้น ส่วนลูกคนโต อยูใ่ นทุง่ นา เมือ่ กลับมาใกล้บา้ น ได้ยนิ เสียงดนตรีและการร้องรำ� จึงเรียกผูร้ บั ใช้คนหนึง่ มาถามว่าเกิดอะไรขึ้น ผู้รับใช้บอกเขาว่า ‘น้องชายของท่านกลับมาแล้ว พ่อสั่งให้ฆ่าลูกวัวที่ขุนอ้วนแล้ว เพราะเขาได้ลูกกลับคืนมาอย่างปลอดภัย’ ลูกคนโตรู้สึกโกรธ ไม่ยอมเข้าไปในบ้าน พ่อจึงออกมาขอร้องให้ เข้าไป... พ่อพูดว่า ‘ลูกเอ๋ย ลูกอยูก่ บั พ่อเสมอมา ทุกสิง่ ทีพ่ อ่ มีกเ็ ป็นของลูก แต่จ�ำ เป็นต้องเลีย้ งฉลองและชืน่ ชม ยินดี เพราะน้องชายคนนี้ของลูกตายไปแล้ว กลับมีชีวิตอีก หายไปแล้ว ได้พบกันอีก’” มหาพรตเป็นเวลาของ “การกลับใจ” เรื่องลูกล้างผลาญในพระวรสาร ในแง่มุมหนึ่งเราเรียน รูว้ า่ ลักษณะของการกลับใจมีอะไรบ้าง (1) การสารภาพบาป “ฉันจะกลับไปหาพ่อ พูดกับพ่อว่า ลูกทำ�บาป” การสารภาพบาปเป็นเงื่อนไขอันจำ�เป็นเพื่อความสงบในมโนธรรมและเพื่อการได้รับอภัย (2) ตระหนักถึง ความร้ายแรงของบาปที่ยังเป็นการขัดสู้กับสวรรค์หรือพระเจ้าด้วย “ลูกทำ�บาปผิดต่อสวรรค์และต่อพ่อ” (3) ตัดสินและลงโทษตัวเองก่อนแล้ว “ลูกไม่สมควรได้ชื่อว่าเป็นลูกของพ่ออีก” (4) ร้องขอที่จะกลับเข้า มาเป็นส่วนหนึง่ ของครอบครัวหรือหมูค่ ณะอีก แม้จะต้องอยูใ่ นตำ�แหน่งทีต่ าํ่ ต้อยทีส่ ดุ ก็ตาม “โปรดนับลูก เป็นผู้รับใช้คนหนึ่งของพ่อเถิด” (5) มองดูผู้ที่เขาเรียกว่าพ่อ ด้วยความรู้สึกว่าเป็น “พ่อ” ของเขา “ฉัน จะลุกขึ้น กลับไปหาพ่อ พูดกับพ่อ”


สัปดาห์ที่ 3 เทศกาลมหาพรต ทำ�วัตรสัปดาห์ที่ 3

บทอ่านจากหนังสืออพยพ อพย 17:3-7 วันหนึ่ง ประชาชนกำ�ลังกระหายนํ้ามาก จึงบ่นตำ�หนิโมเสสว่า “ทำ�ไมท่านจึงพา พวกเราออกจากอียิปต์ จะให้พวกเรา ลูก ๆ และฝูงสัตว์ของเราอดนํ้าตายหรือ” โมเสสก็ออ้ นวอนขอความช่วยเหลือจากองค์พระผูเ้ ป็นเจ้า “ข้าพเจ้าจะทำ�อย่างไร กับประชากรนี้ เขาเกือบจะเอาหินขว้างข้าพเจ้าอยู่แล้ว” องค์พระผู้เป็นเจ้าตรัสตอบ โมเสสว่า “จงเดินไปข้างหน้าประชาชน จงนำ�ผู้อาวุโสชาวอิสราเอลบางคนไปกับท่าน เอาไม้เท้าที่ท่านใช้ตีนํ้าในแม่นํ้าไนล์ไปด้วย เราจะยืนอยู่ต่อหน้าท่านที่หน้าผา บนภูเขา โฮเรบ จงตีหนิ จะมีนาํ้ ไหลออกมาให้ประชาชนดืม่ ” โมเสสทำ�ดังนีต้ อ่ หน้าผูอ้ าวุโสชาว อิสราเอล สถานที่แห่งนั้นจึงได้ชื่อว่ามัสสาห์และเมรีบาห์ เพราะชาวอิสราเอลได้ต่อว่าและ ทดลององค์พระผู้เป็นเจ้าโดยถามว่า “องค์พระผู้เป็นเจ้าสถิตกับเราหรือไม่” เพลงสดุดี สดด 95:1-2,6-7ข,7ค-9 ก) มาเถิด เราจงสรรเสริญองค์พระผู้เป็นเจ้าด้วยความยินดี เราจงโห่ร้องสรรเสริญพระองค์ผู้ทรงเป็นหลักศิลาที่ช่วยเราให้รอดพ้น เราจงเข้ามาเฝ้าเฉพาะพระพักตร์เพื่อขอบพระคุณ เราจงโห่ร้องเพลงสดุดีถวายพรพระองค์ด้วยความยินดี ข) มาเถิด เราจงกราบนมัสการพระองค์ เราจงคุกเข่าลงเฉพาะพระพักตร์องค์พระผู้เป็นเจ้าผู้ทรงสร้างเรา เพราะพระองค์ทรงเป็นพระเจ้าของเรา และเราเป็นประชากรที่ทรงเลี้ยงดูดุจฝูงแกะที่ทรงนำ�ไปยังทุ่งหญ้า ค) ท่านทั้งหลายจงฟังพระสุรเสียงของพระองค์ในวันนี้เถิด “ท่านอย่าทำ�ใจให้แข็งกระด้างเหมือนกับที่เกิดขึ้นที่เมรีบาห์ เหมือนในวันนั้นที่มัสสาห์ในถิ่นทุรกันดาร” บทอ่านจากจดหมายนักบุญเปาโลอัครสาวกถึงชาวโรม รม 5:1-2,5-8 พี่น้อง เมื่อได้เป็นผู้ชอบธรรมด้วยความเชื่อแล้ว เราย่อมมีสันติกับพระเจ้า เดชะ พระเยซูคริสต์องค์พระผู้เป็นเจ้าของเรา โดยทางพระองค์ เราจึงเข้าถึงพระหรรษทาน และกำ�ลังดำ�รงอยู่ในพระหรรษทานนี้ เราภูมิใจในความหวังที่จะได้รับพระสิริรุ่งโรจน์ ของพระเจ้า ความหวังนีไ้ ม่ท�ำ ให้เราผิดหวัง เพราะพระจิตเจ้าซึง่ พระเจ้าประทานให้เรา ทรงหลัง่ ความรักของพระเจ้าลงในดวงใจของเรา ขณะทีเ่ รายังอ่อนแอ พระคริสตเจ้าสิน้ พระชนม์ เพือ่ คนบาปตามเวลาทีก่ �ำ หนด ยากทีจ่ ะหาคนทีย่ อมตายเพือ่ คนชอบธรรม บางครัง้ อาจ จะมีคนยอมตายแทนคนดีจริงๆ ได้ แต่พระเจ้าทรงพิสจู น์วา่ ทรงรักเรา เพราะพระคริสต เจ้าสิ้นพระชนม์เพื่อเราขณะที่เรายังเป็นคนบาป


บทอ่านจากพระวรสารนักบุญยอห์น ยน 4:5-15,19ข-26,39ก,40-42 เวลานั้น พระเยซูเจ้าเสด็จมาถึงเมืองหนึ่งในแคว้นสะมาเรียชื่อสิคาร์ ใกล้ที่ดินที่ยาโคบยกให้โยเซฟ บุตรชาย ที่นั่นมีบ่อนํ้าของยาโคบ พระเยซูเจ้าทรงเหน็ดเหนื่อยจากการเดินทาง จึงประทับที่ขอบบ่อ ขณะ นั้นเป็นเวลาประมาณเที่ยงวัน หญิงชาวสะมาเรียคนหนึ่งมาตักนํ้า พระเยซูเจ้าตรัสกับนางว่า “ขอนํ้าดื่มสัก หน่อยเถิด” บรรดาศิษย์ของพระองค์ไปซื้ออาหารในเมือง หญิงชาวสะมาเรียทูลถามพระองค์ว่า “ท่านเป็น ชาวยิว ทำ�ไมจึงขอนํ้าดื่มจากดิฉันซึ่งเป็นชาวสะมาเรีย” เพราะชาวยิวไม่ติดต่อกับชาวสะมาเรียเลย พระเยซูเจ้าตรัสตอบนางว่า “หากท่านรูจ้ กั ของประทานของพระเจ้า และรูจ้ กั ผูท้ บี่ อกท่านว่า ‘ขอนาํ้ ดืม่ สักหน่อยเถิด’ ท่านคงกลับเป็นผู้ขอ และผู้นั้นจะให้ ‘นํ้าที่ให้ชีวิต’ แก่ท่าน” นางจึงทูลว่า “นายเจ้าข้า ท่านไม่มีถังตักนํ้า และบ่อก็ลึกมาก ท่านจะเอานํ้าที่ให้ชีวิตมาจากไหน ท่าน ยิ่งใหญ่กว่ายาโคบบรรพบุรุษของเราหรือ ยาโคบให้บ่อนํ้านี้แก่เรา ยาโคบ ลูกหลานและฝูงสัตว์ก็ได้ดื่มนํ้า จากบ่อนี้” พระเยซูเจ้าตรัสตอบว่า “ทุกคนทีด่ มื่ นํา้ นี้ จะกระหายอีก แต่ผทู้ ดี่ มื่ นาํ้ ซึง่ เราจะให้นนั้ จะไม่กระหายอีก เลย นํ้าที่เราจะให้เขา จะกลายเป็นธารนํ้าในตัวเขา ไหลรินเพื่อชีวิตนิรันดร” หญิงนั้นจึงทูลว่า “นายเจ้าขา โปรดให้นํ้านั้นแก่ดิฉันบ้าง เพื่อดิฉันจะไม่ต้องกระหายหรือต้องมาตักนํ้า ที่นี่อีก ดิฉันเห็นแล้วว่าท่านเป็นประกาศก บรรพบุรุษของเราเคยนมัสการพระเจ้าบนภูเขานี้ แต่ท่านพูดว่า สถานที่สำ�หรับนมัสการพระเจ้าคือกรุงเยรูซาเล็ม” พระเยซูเจ้าตรัสกับนางว่า “นางเอ๋ย เชื่อเราเถิด ถึงเวลาแล้วที่ท่านทั้งหลายจะนมัสการพระบิดาเจ้า ไม่ใช่เฉพาะบนภูเขานี้ หรือที่กรุงเยรูซาเล็ม ท่านนมัสการพระเจ้าที่ท่านไม่รู้จัก แต่เรานมัสการพระเจ้าที่เรา รู้จัก เพราะความรอดพ้นมาจากชาวยิว แต่จะถึงเวลา คือเวลานี้ เมื่อผู้นมัสการแท้จริงจะนมัสการพระบิดา เจ้าเดชะพระจิตเจ้า และตามความจริง เพราะพระบิดาทรงแสวงหาผูน้ มัสการพระองค์เช่นนี้ พระเจ้าทรงเป็น จิต ผู้ที่นมัสการพระองค์ จะต้องนมัสการเดชะพระจิตเจ้าและตามความจริง” หญิงผู้นั้นจึงทูลว่า “ดิฉันรู้ว่าพระเมสสิยาห์คือพระคริสต์กำ�ลังจะเสด็จมา และเมื่อเสด็จมา พระองค์ จะทรงแจ้งทุกเรื่องให้เรารู้” พระเยซูเจ้าตรัสว่า “เราที่กำ�ลังพูดอยู่กับเธอคือพระเมสสิยาห์” ชาวสะมาเรียหลายคนจากเมืองนัน้ มีความเชือ่ ในพระองค์ เมือ่ ชาวสะมาเรียมาเฝ้าพระองค์แล้ว ก็วอน ขอให้ประทับอยูก่ บั เขา พระองค์ประทับอยูท่ นี่ นั่ สองวัน คนทีม่ คี วามเชือ่ เพราะพระวาจาของพระองค์มจี �ำ นวน มากขึ้น เขากล่าวกับหญิงผู้นั้นว่า “เรามีความเชื่อไม่ใช่เพราะคำ�พูดของท่านอีกแล้ว เราเองได้ยินและรู้ว่า พระองค์เป็นพระผู้ไถ่ของโลกโดยแท้จริง” การได้พบกับพระเยซูเจ้าในวันนัน้ คงเป็นจุดเปลีย่ นในชีวติ ทีส่ �ำ คัญยิง่ ของหญิงชาวสะมาเรีย คนนั้น ซึ่งควรต้องทำ�ให้เราคนบาปปรารถนาที่จะพบกับพระองค์จริงๆ ในชีวิตคริสตชนของเราด้วย แม้จะ ไม่ใช่ในทางกายภาพก็ตาม หญิงชาวสะมาเรียประหลาดใจทีพ่ ระเยซูเจ้าซึง่ เป็นชาวยิวจะสมาคมกับเธอ เพราะ ชาวยิวรังเกียจชาวสะมาเรียในฐานะคนบาป และไม่คบค้าสมาคมด้วย แต่พระเยซูเจ้ากลับยอมรับเธอ ยัง เตือนเธอให้กลับใจจากชีวิตที่ผิดพลาด สอนเธอให้รู้จักนํ้าทรงชีวิต และการนมัสการพระเจ้าด้วยพระจิต และความจริง แทนที่จะติดยึดอยู่กับสถานที่ใดๆ แท้ที่จริงแล้ว พระเจ้าไม่รังเกียจผู้ใด มีแต่มนุษย์ที่รังเกียจ กันเอง โดยแบ่งแยกเชือ้ ชาติ ศาสนา วัฒนธรรม รวมถึงประณามความผิดบาปของกันด้วย มหาพรตควรเป็น จุดเปลี่ยนในชีวิตของเราเช่นกัน เป็นเวลาที่เราได้พบกับพระเยซูเจ้า โดยผ่านทางคำ�สอนและความดีงาม ต่างๆ เป็นเวลาที่เราจะยอมรับเพื่อนมนุษย์ทุกคนของเรา ซึ่งเป็นการนมัสการและรักพระเจ้าอย่างถูกต้อง


บทอ่านที่ 1 2 พกษ 5:1-15 ในครั้งนั้น นาอามานผู้บัญชาการกองทัพของกษัตริย์แห่งอารัม เป็นคนสำ�คัญที่ กษัตริย์ทรงยกย่องนับถืออย่างยิ่ง เพราะองค์พระผู้เป็นเจ้าประทานชัยชนะแก่ชาว อารัมโดยทางเขา แต่ชายฉกรรจ์ผู้น้ีป่วยเป็นโรคผิวหนังร้ายแรง ครั้งหนึ่ง เมื่อชาว อารัมออกไปปล้นแผ่นดินอิสราเอล เขาจับเด็กหญิงคนหนึ่งมาด้วย เด็กหญิงคนนัน้ มา เป็นสาวใช้ของภรรยานาอามาน เธอบอกนายหญิงว่า “ถ้าเจ้านายผู้ชายเพียงแต่ไปหา สัปดาห์ที่ 3 ประกาศกที่กรุงสะมาเรีย ประกาศกคงจะรักษาเจ้านายให้หายจากโรคได้” นาอามาน เทศกาลมหาพรต ไปเฝ้ากษัตริย์ทูลว่า เด็กหญิงจากแผ่นดินอิสราเอลบอกอย่างนี้ กษัตริย์แห่งอารัมตรัส สดด 42:1-2,43:3,4 ตอบว่า “ไปเถิด เราจะส่งสารไปถวายกษัตริยแ์ ห่งอิสราเอล” นาอามานจึงออกเดินทาง ทำ�วัตรสัปดาห์ที่ 3 ไป... เขานำ�สารไปถวายกษัตริย์แห่งอิสราเอล...เมื่อกษัตริย์แห่งอิสราเอลทรงอ่านสาร นั้นแล้ว ก็ทรงฉีกฉลองพระองค์... เมือ่ เอลีชาคนของพระเจ้าได้ยนิ ว่ากษัตริยท์ รงฉีกฉลองพระองค์ ก็สง่ คนไปทูลกษัตริยว์ า่ “พระองค์ทรง ฉีกฉลองพระองค์ทำ�ไม ขอพระองค์ทรงส่งชายคนนั้นมาหาข้าพเจ้า แล้วเขาจะรู้ว่ามีประกาศกในอิสราเอล” นาอามานจึงขึ้นรถม้าไปหยุดที่ประตูบ้านของเอลีชา เอลีชาใช้คนไปบอกเขาว่า “จงไปชำ�ระตัวในแม่นํ้า จอร์แดนเจ็ดครั้ง แล้วเนื้อหนังของท่านจะหายจากโรคและสะอาดเหมือนเดิม” นาอามานโกรธมากจึงจาก ไป... เขาหันหลังกลับไปด้วยความโกรธ บรรดาผู้รับใช้ของเขาเข้ามาเตือนว่า “นายขอรับ ถ้าประกาศกบอก ท่านให้ทำ�สิ่งยาก ท่านก็คงจะทำ�ตามไม่ใช่หรือ บัดนี้ เขาบอกแต่เพียงว่า จงไปชำ�ระตัว แล้วท่านจะหายจาก โรค” นาอามานจึงลงไปจุม่ ตัวในแม่นาํ้ จอร์แดนเจ็ดครัง้ ตามทีค่ นของพระเจ้าบอก แล้วเนือ้ หนังของเขาก็หาย จากโรค สะอาดเหมือนผิวของเด็กเล็กๆ... พระวรสาร ลก 4:24-30 เวลานั้น พระเยซูเจ้าเสด็จมาถึงเมืองนาซาเร็ธ พระองค์ตรัสกับประชาชนในศาลาธรรมว่า “เราบอกความจริงแก่ทา่ นทัง้ หลายว่า ไม่มปี ระกาศกคนใดได้รบั การต้อนรับอย่างดีในบ้านเมืองของตน เราบอกความจริงอีกว่าในสมัยประกาศกเอลียาห์ เมื่อฝนไม่ตกเป็นเวลาสามปีหกเดือน และเกิดความ อดอยากครั้งใหญ่ทั่วแผ่นดิน มีหญิงม่ายหลายคนในอิสราเอล แต่พระเจ้ามิได้ทรงส่งประกาศกเอลียาห์ไป หาหญิงม่ายเหล่านี้ นอกจากหญิงม่ายที่เมืองศาเรฟัทในเขตเมืองไซดอน ในสมัยประกาศกเอลีชา มีคน โรคเรือ้ นหลายคนในอิสราเอล แต่ไม่มใี ครได้รบั การรักษาให้หายจากโรค นอกจากนาอามานชาวซีเรียเท่านัน้ ” เมื่อคนที่อยู่ในศาลาธรรมได้ยินเช่นนี้ ทุกคนโกรธเคืองยิ่งนัก จึงลุกขึ้นขับไล่พระองค์ออกไปจากเมือง นำ�ไปที่หน้าผาของเนินเขาที่เมืองตั้งอยู่ ตั้งใจจะผลักพระองค์ลงไป แต่พระองค์ทรงดำ�เนินฝ่ากลุ่มคนเหล่า นั้น แล้วเสด็จจากไป นาอามานหายจากโรค นาอามานป่วยเป็นโรคผิวหนังร้ายแรง (คงไม่ใช่โรคเรื้อน เพราะไม่ห้ามติดต่อกับคนอื่นในสังคม ต่าง จากโรคเรื้อน) เมื่อเขาเชื่อเด็กหญิงชาวอิสราเอลที่ถูกจับมาเป็นสาวใช้ของภรรยาของตน เมื่อบรรดา ผู้รับใช้เตือนใจ ให้ข้อคิด...นาอามานจึงเชื่อ และไปจุ่มตัวในแม่นํ้าจอร์แดนเจ็ดครั้งตามที่ประกาศกบอก นาอามานจึงหายจากโรค พระเจ้ามีเมตตาต่อทุกคนที่เชื่อคนของพระเจ้า ไม่ว่าเป็นประกาศกหรือคนรับใช้... จึงหายจากโรค


บทอ่านที่ 1 ดนล 3:25,34-43 อาซาริยาห์ยืนอธิษฐานภาวนาเสียงดังอยู่กลางไฟว่าดังนี้ “ขออย่าทรงละทิ้งข้าพเจ้าทั้งหลายตลอดไป เพราะเห็นแก่พระนามพระองค์ ขอ อย่าทรงทำ�ลายพันธสัญญาของพระองค์เลย ขออย่าทรงเพิกถอนพระกรุณาไปจาก ข้าพเจ้าทั้งหลาย เพราะเห็นแก่อับราฮัมมิตรสหายของพระองค์ เพราะเห็นแก่อิสอัค ผูร้ บั ใช้ของพระองค์ และเพราะเห็นแก่อสิ ราเอลผูศ้ กั ดิส์ ทิ ธิข์ องพระองค์ พระองค์ทรง น.ปาตริก สัญญาแก่เขาเหล่านี้ว่า จะให้เขามีลูกหลานจำ�นวนมากดุจดวงดาวในท้องฟ้า ดุจ พระสังฆราช เม็ดทรายบนชายทะเล ข้าแต่องค์พระผูเ้ ป็นเจ้า บัดนีข้ า้ พเจ้าทัง้ หลายกลายเป็นชนชาติ สดด 25:4-5กข,6 และ 7, เล็กน้อยที่สุด วันนี้ ข้าพเจ้าทั้งหลายต้องอับอายทั่วแผ่นดินเพราะบาปของข้าพเจ้า 8-9 ทั้งหลาย... ขอให้จิตที่ตรมตรอมและใจที่ถ่อมตนเป็นที่พอพระทัย เป็นคนสำ�คัญที่ ทำ�วัตรสัปดาห์ที่ 3 กษัตริย์ทรงยกย่องนับถืออย่างยิ่ง เพราะองค์พระผู้เป็นเจ้าประทานชัยชนะแก่ชาว อารัมโดยทางเขา... แล้วข้าพเจ้าทั้งหลายจะติดตามพระองค์ต่อไป เพราะผู้ที่วางใจใน พระองค์ย่อมไม่ได้รับความอับอาย...” พระวรสาร มธ 18:21-35 เวลานัน้ เปโตรเข้ามาทูลถามพระเยซูเจ้าว่า “พระเจ้าข้า ถ้าพีน่ อ้ งทำ�ผิดต่อข้าพเจ้า ข้าพเจ้าต้องยกโทษ ให้เขาสักกี่ครั้ง ถึงเจ็ดครั้งหรือไม่” พระเยซูเจ้าตรัสตอบว่า “เราไม่ได้บอกท่านว่าต้องยกโทษให้เจ็ดครั้ง แต่ ต้องยกโทษให้เจ็ดคูณเจ็ดสิบครั้ง อาณาจักรสวรรค์เปรียบได้กับกษัตริย์พระองค์หนึ่ง ทรงประสงค์จะตรวจบัญชีหนี้สินของผู้รับใช้ ขณะ ทีท่ รงเริม่ ตรวจบัญชีนนั้ มีผนู้ �ำ ชายผูห้ นึง่ เข้ามา ชายผูน้ เี้ ป็นหนีอ้ ยูเ่ ป็นพันล้านบาท เขาไม่มสี งิ่ ใดจะชำ�ระหนี้ ได้ กษัตริย์จึงตรัสสั่งให้ขายทั้งตัวเขา บุตรภรรยาและทรัพย์สินทั้งหมดเพื่อใช้หนี้ ผู้รับใช้กราบพระบาททูล อ้อนวอนว่า ‘ขอทรงพระกรุณาผัดหนี้ไว้ก่อนเถิด แล้วข้าพเจ้าจะชำ�ระหนี้ให้ทั้งหมด’ กษัตริย์ทรงสงสารจึง ทรงปล่อยเขาไปและทรงยกหนี้ให้ ขณะที่ผู้รับใช้ออกไป ก็พบเพื่อนผู้รับใช้ด้วยกันซึ่งเป็นหนี้เขาอยู่ไม่กี่พัน บาท เขาเข้าไปคว้าคอบีบไว้แน่น พูดว่า ‘เจ้าเป็นหนี้ข้าอยู่เท่าไร จงจ่ายให้หมด’ เพื่อนคนนั้นคุกเข่าลงอ้อนวอนว่า ‘กรุณาผัดหนี้ไว้ก่อนเถิด แล้วข้าพเจ้าจะชำ�ระหนี้ให้’ แต่เขาไม่ยอม ฟัง นำ�ลูกหนี้ไปขังไว้จนกว่าจะชำ�ระหนี้ทั้งหมด เพื่อนผู้รับใช้อื่นๆ เห็นดังนั้นต่างสลดใจมาก จึงนำ�ความ ทั้งหมดไปทูลกษัตริย์ พระองค์จึงทรงเรียกชายผู้นั้นมา ตรัสว่า ‘เจ้าคนสารเลว ข้ายกหนี้สินของเจ้าทั้งหมด เพราะเจ้าขอร้อง เจ้าต้องเมตตาเพื่อนผู้รับใช้ด้วยกัน เหมือนกับที่ข้าได้เมตตาเจ้ามิใช่หรือ’ กษัตริย์กริ้วมาก ตรัสสั่งให้นำ�ผู้รับใช้นั้นไปทรมานจนกว่าจะชำ�ระหนี้ทั้งหมด พระบิดาของเราผู้สถิตในสวรรค์จะทรงกระทำ� ต่อท่านทำ�นองเดียวกัน ถ้าท่านแต่ละคนไม่ยอมยกโทษให้พี่น้องจากใจจริง” ภาวนาเสียงดังกลางไฟ ดาเนียลและเพื่อนชาวฮีบรู 3 คน ถูกส่งไปอยู่ในราชสำ�นักของกษัตริย์แห่งบาบิโลน ถูกบังคับให้กราบ ไหว้รปู ปัน้ ทองคำ� แต่พวกเขาไม่ยอม จึงถูกมัดโยนเข้าไปในเตาไฟ อาซารียาห์ยนื อธิษฐานภาวนาเสียงดังอยู่ กลางไฟ พระเจ้าทรงกระทำ�อัศจรรย์ให้พวกเขาปลอดภัย ทำ�ให้กษัตริย์ยอมรับพระเจ้า วันนี้ถ้าฉันอยู่กลางไฟ ความทุกข์รุมเร้า ขอให้ฉันภาวนาเสียงดังจนพระเจ้าทรงช่วยเหลือ


น.ซีริล แห่งกรุงเยรูซาเล็ม พระสังฆราช และนักปราชญ์ แห่งพระศาสนจักร สดด 147:12-13,15-16, 19-20

ทำ�วัตรสัปดาห์ที่ 3

บทอ่านที่ 1 ฉธบ 4:1,5-9 โมเสสกล่าวกับประชาชนว่า “บัดนี้ ชาวอิสราเอลเอ๋ย จงฟังข้อกำ�หนดและ กฎเกณฑ์ที่ข้าพเจ้าสอนท่านทั้งหลายให้ปฏิบัติ แล้วท่านจะมีชีวิต และเข้ายึดครอง แผ่นดินซึ่งองค์พระผู้เป็นเจ้า พระเจ้าของบรรพบุรุษของท่านทรงมอบให้ท่าน ดูซิ ข้าพเจ้าสอนท่านให้รจู้ กั ข้อกำ�หนดและกฎเกณฑ์ดงั ทีอ่ งค์พระผูเ้ ป็นเจ้าพระเจ้า ของข้าพเจ้าทรงบัญชา เพือ่ ท่านจะได้ปฏิบตั ติ ามในแผ่นดินทีท่ า่ นกำ�ลังจะเข้าไปยึดครอง ท่านจะต้องปฏิบัติตามอย่างซื่อสัตย์ เพื่อชนชาติอื่นๆ จะได้เห็นว่าท่านมีความเข้าใจ และปรีชาญาณ เมื่อเขาได้ยินคำ�พูดถึงข้อกำ�หนดเหล่านี้ เขาจะพูดว่า ชนชาติยิ่งใหญ่ นี้เท่านั้นเป็นประชากรที่มีความเข้าใจและปรีชาญาณ เพราะไม่มีชนชาติใดแม้ยิ่งใหญ่ เพียงใดก็ตามจะมีพระเจ้าอยู่ใกล้ชิด ดังที่องค์พระผู้เป็นเจ้าพระเจ้าของเราสถิต ใกล้ชิดเรา ทุกครั้งที่เราร้องทูลพระองค์ ไม่มีชนชาติยิ่งใหญ่ชาติใดมีข้อกำ�หนดและ กฎเกณฑ์เที่ยงธรรมเท่ากับธรรมบัญญัตินี้ที่ข้าพเจ้ากำ�ลังสอนท่านอยู่ในวันนี้ จงจำ�ใส่ใจ จงทำ�ทุกอย่างเพือ่ จะไม่ลมื เหตุการณ์ทที่ า่ นได้เห็นกับตาตราบทีท่ า่ นยัง มีชีวิตอยู่ อย่าให้เหตุการณ์เหล่านี้เลือนไปจากใจ ท่านจะต้องเล่าให้บุตรหลานทุกรุ่น ของท่านฟัง” พระวรสาร มธ 5:17-20 เวลานั้น พระเยซูเจ้าตรัสกับบรรดาศิษย์ว่า “จงอย่าคิดว่าเรามาเพือ่ ลบล้างธรรมบัญญัตหิ รือคำ�สอนของบรรดาประกาศก เรา มิได้มาเพื่อลบล้าง แต่มาเพื่อปรับปรุงให้สมบูรณ์ เราบอกความจริงแก่ท่านทั้งหลายว่า ตราบใดทีฟ่ า้ และดินยังไม่สญ ู สิน้ ไป แม้แต่ตวั อักษรหรือจุดเพียงจุดเดียวจะไม่ขาดหาย ไปจากธรรมบัญญัติจนกว่าทุกอย่างจะสำ�เร็จไป ดังนั้น ผู้ใดละเมิดธรรมบัญญัติเพียง ข้อเดียว แม้เล็กน้อยที่สุดและสอนผู้อื่นให้ละเมิดด้วย จะได้ชื่อว่าเป็นผู้ตํ่าต้อยที่สุด ในอาณาจักรสวรรค์ ส่วนผู้ที่ปฏิบัติและสอนผู้อื่นให้ปฏิบัติด้วย จะได้ชื่อว่าเป็นผู้ ยิ่งใหญ่ในอาณาจักรสวรรค์ เราบอกท่านทั้งหลายว่า ถ้าความชอบธรรมของท่านไม่ดีไปกว่าความชอบธรรม ของบรรดาธรรมาจารย์และชาวฟาริสีแล้ว ท่านจะเข้าอาณาจักรสวรรค์ไม่ได้เลย” จงจำ�ใส่ใจ โมเสสเป็นผู้นำ�ชาวอิสราเอลออกจากแผ่นดินอียิปต์ (แดนเนรเทศ) กำ�ลังอยู่ใน ถิ่นทุรกันดาร ยึดครองแผ่นดินทางตะวันออกของแม่นํ้าจอร์แดน โมเสสได้เตือน ประชาชนให้เชื่อฟังพระเจ้า ผู้เป็นปรีชาญาณ และทรงอยู่ใกล้ชิดเรา - ใครเป็นผู้นำ�ฉันมาพบพระเจ้า สอนคำ�สอนให้ จนได้รับศีลศักดิ์สิทธิ์ - ฉันจะต้องเล่าประสบการณ์นี้ให้ใครฟังดี


บทอ่านที่ 1 2 ซมอ 7:4-5ก,12-14ก,16 ในคืนนั้น องค์พระผู้เป็นเจ้าตรัสแก่นาธันว่า “จงไปบอกดาวิดผู้รับใช้ของเราว่า ‘องค์พระผู้เป็นเจ้าตรัสดังนี้ เมื่อท่านสิ้นชีวิต ในวัยชรา และถูกฝังไว้กับบรรพบุรุษแล้ว เราจะตั้งเชื้อสายคนหนึ่งของท่าน ซึ่งเป็น บุตรของท่าน ให้เป็นกษัตริย์ต่อจากท่าน เราจะพิทักษ์รักษาอาณาจักรของเขาให้มั่นคง เขาจะเป็นผู้สร้างวิหารให้แก่นามของเรา เราจะดูแลให้ลูกหลานของเขาเป็นกษัตริย์ ครองราชย์ตลอดไป เราจะเป็นบิดาของเขา และเขาจะเป็นบุตรของเรา...’” บทอ่านที่ 2 รม 4:13,16-18,22 พี่น้อง พระสัญญาที่ประทานให้อับราฮัมและลูกหลานที่ว่าเขาจะได้รับโลกเป็น มรดกนั้นไม่ได้เกิดขึ้นโดยธรรมบัญญัติ แต่เกิดขึ้นโดยความชอบธรรมอันเนื่องมาจาก ความเชื่อ เพราะเหตุนี้ การรับมรดกโดยอาศัยพระสัญญาจึงมาจากความเชื่อ เพื่อให้ พระสัญญาเป็นของประทานที่ให้เปล่า และประทานให้เชื้อสายทั้งหมดของอับราฮัม มิใช่เพียงให้ผทู้ ปี่ ฏิบตั ติ ามบทบัญญัตเิ ท่านัน้ แต่รวมถึงเชือ้ สายทุกคนทีม่ คี วามเชือ่ เช่น เดียวกับอับราฮัมซึง่ เป็นบิดาของเราทุกคนด้วย ดังทีพ่ ระคัมภีรบ์ นั ทึกไว้วา่ เราได้ตงั้ เจ้า ให้เป็นบิดาของประชาชาติจำ�นวนมาก...

สมโภช น.โยเซฟ ภัสดาของพระนาง มารีย์พรหมจารี สดด 89:1-2,3-4, 26 และ 28

วันคล้ายวันสมณภิเษก สมเด็จพระสันตะปาปา ฟรังซิส

พระวรสาร ลก 2:41-51ก โยเซฟพร้อมกับพระมารดาของพระเยซูเจ้าเคยขึ้นไปยังกรุงเยรูซาเล็มในเทศกาลปัสกาทุกปี เมื่อ พระองค์มีพระชนมายุสิบสองพรรษา โยเซฟพร้อมกับพระมารดาก็ขึ้นไปกรุงเยรูซาเล็มตามธรรมเนียมของ เทศกาลนั้น เมื่อวันฉลองสิ้นสุดลง ทุกคนก็เดินทางกลับ แต่พระเยซูเจ้ายังประทับอยู่ที่กรุงเยรูซาเล็มโดยที่ บิดามารดาไม่รู้ เพราะคิดว่า พระองค์ทรงอยูใ่ นหมูผ่ รู้ ว่ มเดินทาง เมือ่ เดินทางไปได้หนึง่ วันแล้ว โยเซฟพร้อม กับพระนางมารีย์ตามหาพระองค์ในหมู่ญาติและคนรู้จัก เมื่อไม่พบจึงกลับไปกรุงเยรูซาเล็ม เพื่อตามหา พระองค์ที่นั่น ในวันทีส่ าม โยเซฟพร้อมกับพระนางมารียพ์ บพระองค์ในพระวิหารประทับนัง่ อยูใ่ นหมูอ่ าจารย์ ทรงฟัง และทรงไต่ถามพวกเขา ทุกคนที่ได้ฟังพระองค์ต่างประหลาดใจในพระปรีชาที่ทรงแสดงในการตอบคำ�ถาม เมื่อโยเซฟพร้อมกับพระนางมารีย์เห็นพระองค์ก็รู้สึกแปลกใจ พระมารดาจึงตรัสถามพระองค์ว่า “ลูกเอ๋ย ทำ�ไมจึงทำ�กับเราเช่นนี้ ดูซิ พ่อกับแม่ต้องกังวลใจตามหาลูก” พระองค์ตรัสตอบว่า “พ่อกับแม่ตามหาลูก ทำ�ไม พ่อแม่ไม่รู้หรือว่า ลูกต้องอยู่ในบ้านของพระบิดาของลูก” โยเซฟพร้อมกับพระนางมารีย์ไม่เข้าใจที่ พระองค์ตรัส พระเยซูเจ้าเสด็จกลับไปที่เมืองนาซาเร็ธกับบิดามารดาและเชื่อฟังท่านทั้งสองคน ภัสดาของพระนางมารีย์ นักบุญโยเซฟเป็น “บุรุษผู้ชอบธรรม” (มธ 1:19 ) หลังจากพระวรสารตอนที่เราฟังวันนี้แม้เวลาที่ พระเยซูเจ้ารับพิธีล้าง ไม่มีกล่าวถึงนักบุญโยเซฟอีกเลย จึงไม่รู้ว่าท่านสิ้นใจเมื่อไหร่ และฝังศพไว้ที่ไหน แต่ พระศาสนจักรคาทอลิกศรัทธาต่อท่าน (รองจากพระนางมารีย์) ตั้งแต่แรก เป็นพิเศษในศตวรรษที่ 4 สมเด็จพระสันตะปาปาปีโอที่ 9 ปิดการประชุมสภาสังคายนาวาติกนั ครัง้ แรกเมือ่ วันที่ 8 ธันวาคม 1870 ประกาศให้นักบุญโยเซฟเป็นองค์อุปถัมภ์พระศาสนจักรสากล


สัปดาห์ที่ 3 เทศกาลมหาพรต สดด 81:5ค-7ก,7ข-8, 9-10ข,13 และ 16

ทำ�วัตรสัปดาห์ที่ 3

บทอ่านที่ 1 ฮชย 14:2-10 องค์พระผูเ้ ป็นเจ้าตรัสว่า “อิสราเอลเอ๋ย จงกลับมาเฝ้าองค์พระผูเ้ ป็นเจ้าพระเจ้า ของท่านเถิด ท่านได้สะดุดล้มลงเพราะความผิดของท่าน จงเตรียมถ้อยคำ�ที่จะพูดมา ด้วย และกลับมาเฝ้าองค์พระผู้เป็นเจ้า ทูลพระองค์ว่า ‘โปรดทรงลบล้างความผิด ทั้งหมด และทรงรับสิ่งที่ดี...’” องค์พระผู้เป็นเจ้าตรัสว่า “เราจะรักษาเขาให้หายจากความไม่ซื่อสัตย์ของเขา เรา จะรักเขาด้วยใจจริง เพราะเราจะไม่โกรธเขาอีกแล้ว เราจะเป็นเหมือนนํ้าค้างสำ�หรับ อิสราเอล เขาจะผลิดอกเหมือนดอกลิลลี่ เขาจะหยั่งรากเหมือนต้นสนสีดาร์แห่ง เลบานอน กิ่งก้านของเขาจะแผ่ขยาย เขาจะงดงามเหมือนต้นมะกอกเทศ และจะมี กลิ่นหอมเหมือนเลบานอน เขาทั้งหลายจะกลับมานั่งอยู่ใต้ร่มเงาของเรา เขาจะปลูก ข้าวสาลีอกี จะทำ�ให้เถาองุน่ ผลิตผลอุดม มีชอื่ เสียงเหมือนเหล้าองุน่ แห่งเลบานอน... ผู้มีปรีชาพึงเข้าใจเรื่องเหล่านี้ ผู้ใดฉลาดก็จงรู้ เพราะหนทางทั้งหลายขององค์ พระผูเ้ ป็นเจ้าล้วนเทีย่ งธรรม ผูช้ อบธรรมย่อมเดินตามทางนี้ แต่ผลู้ ว่ งละเมิดจะสะดุด ล้ม”

พระวรสาร มก 12:28-34 เวลานั้น ธรรมาจารย์คนหนึ่งเข้ามาเฝ้าพระเยซูเจ้า ได้ฟังการโต้เถียงเรื่องนี้ และ เห็นว่าพระองค์ทรงตอบได้ดี จึงทูลถามพระองค์ว่า “บทบัญญัติข้อใดเป็นเอกกว่า บทบัญญัติข้ออื่นๆ” พระเยซูเจ้าตรัสตอบว่า “บทบัญญัติเอกก็คือ อิสราเอลเอ๋ย จงฟังเถิด องค์พระ ผู้เป็นเจ้าพระเจ้าของเรา ทรงเป็นองค์พระผู้เป็นเจ้าแต่เพียงพระองค์เดียว ท่านจะต้อง รักองค์พระผู้เป็นเจ้าพระเจ้าของท่านสุดจิตใจ สุดวิญญาณ สุดสติปัญญาและสุดกำ�ลัง ของท่าน บทบัญญัติประการที่สองก็คือ ท่านจะต้องรักเพื่อนมนุษย์เหมือนรักตนเอง ไม่มีบทบัญญัติข้อใดยิ่งใหญ่กว่าบทบัญญัติสองประการนี้” ธรรมาจารย์คนนั้นทูลว่า “พระอาจารย์ ท่านตอบได้ดี จริงทีเดียวที่ท่านกล่าวว่า พระเจ้ามีแต่เพียง พระองค์เดียวและนอกจากพระองค์แล้วไม่มพี ระเจ้าอืน่ เลย การจะรักพระองค์สดุ จิตใจ สุดความเข้าใจและ สุดกำ�ลัง และรักเพื่อนมนุษย์เหมือนรักตนเองนี้มีคุณค่ามากกว่าเครื่องเผาบูชา หรือเครื่องสักการบูชาใดๆ ทั้งสิ้น” พระเยซูเจ้าทรงเห็นว่าเขาพูดอย่างเฉลียวฉลาด จึงตรัสว่า “ท่านอยู่ไม่ไกลจากพระอาณาจักรของ พระเจ้า” หลังจากนั้น ไม่มีผู้ใดกล้าทูลถามพระองค์อีกเลย เราจะรักเขาด้วยใจจริง ประกาศกโฮเชยาทำ�พันธกิจในอิสราเอล (อาณาจักรเหนือ) ประมาณ 750 - 724 ก่อนคริสตกาล เตือน ประชาชนที่ได้รับเลือกสรรให้เปลี่ยนวิถีดำ�เนินชีวิต เป็นเรื่องเดียวกันกับที่พระเยซูเจ้าทรงตอบธรรมาจารย์ ว่า “ท่านต้องรักพระเจ้า สุด... สุด... สุด... สุด..” และ “รักเพื่อนมนุษย์ เหมือนรักตนเอง” แม้ฉันไม่สามารถร่วมมิสซาวันนี้ แต่การ “รักเพื่อนมนุษย์ ...มีคุณค่ามากกว่าสักการบูชาใดๆ ทั้งสิ้น”


บทอ่านที่ 1 ฮชย 6:1-6 องค์พระผูเ้ ป็นเจ้าตรัสว่า “มาเถิด พวกเราจงกลับไปหาองค์พระผูเ้ ป็นเจ้า พระองค์ ทรงฉีก และจะทรงรักษาเราให้หาย พระองค์ทรงโบยตี และจะทรงพันบาดแผลให้เรา อีกสองวันพระองค์จะทรงให้เราฟื้น วันที่สามจะทรงทำ�ให้เราลุกขึ้น แล้วเราจะมีชีวิต อยู่เฉพาะพระพักตร์ พวกเราจงรู้จัก จงรีบรู้จักองค์พระผู้เป็นเจ้าเถิด พระองค์จะเสด็จ มาอย่างแน่นอนเหมือนรุ่งอรุณ จะเสด็จมาหาเราเหมือนฝน เหมือนฝนต้นฤดูใบไม้ผลิ ที่รดพื้นแผ่นดิน” “เอฟราอิมเอ๋ย เราจะทำ�อย่างไรดีกับท่าน ยูดาห์เอ๋ย เราจะทำ�อย่างไรดีกับท่าน ความรักของท่านเป็นเหมือนเมฆในยามเช้า เหมือนนํ้าค้างที่หายไปตั้งแต่เช้าตรู่ ดังนั้น เราจึงใช้บรรดาประกาศกให้ทุบเขาทั้งหลายจนแหลกลาญ เราใช้คำ�พูดจากปากของเรา ฆ่าเขา คำ�พิพากษาของเราจะออกมาเหมือนแสงสว่าง เพราะเราต้องการความรักมัน่ คง ไม่ประสงค์การถวายบูชา เราต้องการการรู้จักพระเจ้า มากกว่าเครื่องเผาบูชา” พระวรสาร ลก 18:9-14 เวลานั้น พระเยซูเจ้าตรัสเล่าอุปมาเรื่องนี้ให้บางคนที่ภูมิใจว่าตนเป็นผู้ชอบธรรม และดูหมิ่นผู้อื่นฟังว่า “มีชายสองคนขึ้นไปอธิษฐานภาวนาในพระวิหาร คนหนึ่งเป็น ชาวฟาริสี อีกคนหนึ่งเป็นคนเก็บภาษี ชาวฟาริสียืนอธิษฐานภาวนาในใจว่า ‘ข้าแต่ พระเจ้า ข้าพเจ้าขอบพระคุณพระองค์ทขี่ า้ พเจ้าไม่เป็นเหมือนมนุษย์คนอืน่ ทีเ่ ป็นขโมย อยุติธรรม ล่วงประเวณี หรือเหมือนคนเก็บภาษีคนนี้ ข้าพเจ้าจำ�ศีลอดอาหารสัปดาห์ ละสองวัน และถวายหนึ่งในสิบของรายได้ทั้งหมดของข้าพเจ้า’ ส่วนคนเก็บภาษียืนอยู่ห่างออกไป ไม่กล้าแม้แต่จะเงยหน้าขึ้นมองท้องฟ้า ได้แต่ ข้อน-อก พูดว่า ‘ข้าแต่พระเจ้า โปรดทรงพระกรุณาต่อข้าพเจ้าคนบาปด้วยเถิด’ เรา บอกท่านทั้งหลายว่าคนเก็บภาษีกลับไปบ้าน ได้รับความชอบธรรม แต่ชาวฟาริสีไม่ได้ รับ เพราะว่าผู้ใดที่ยกตนขึ้นจะถูกกดให้ตํ่าลง ผู้ใดที่ถ่อมตนลง จะได้รับการยกย่องให้ สูงขึ้น”

เราต้องการความรักมั่นคง กิจการในอดีตที่พระเจ้าทรงรักษา ทรงโบยตี ทรงพันบาดแผลให้... แต่เอฟราอิม ก็มิได้ตอบสนองความรักมั่นคงของพระเจ้า บางครั้งจึงโดนทุบจนแหลกลาญ โดน คำ�พูด โดนพิพากษา ทำ�ไมการกลับใจของเราไม่เกิดผล เพราะเราเน้นพิธกี รรมภายนอก ปราศจากการ อ่อนน้อมต่อพระบัญญัติ พระเจ้ามิได้ปฏิเสธการจำ�ศีลและเครื่องบูชา พระองค์ทรง ต้องการความรักมั่นคง

สัปดาห์ที่ 3 เทศกาลมหาพรต สดด 51:1-2,16-17, 18-19ข

ทำ�วัตรสัปดาห์ที่ 3


สัปดาห์ที่ 4 เทศกาลมหาพรต ทำ�วัตรสัปดาห์ที่ 4

บทอ่านจากหนังสือซามูเอล ฉบับที่หนึ่ง 1 ซมอ 16:1ข,6-7,10-13ก องค์พระผู้เป็นเจ้าตรัสแก่ซามูเอลว่า “จงเอานํ้ามันมะกอกบรรจุใส่ขวดเขาสัตว์ จนเต็ม และออกเดินทาง เราส่งท่านไปที่เมืองเบธเลเฮม ไปหาเจสซี เพราะเราเลือก บุตรคนหนึ่งของเขาเป็นกษัตริย์” เมือ่ เจสซีกบั บุตรมาถึง ซามูเอลเห็นเอลีอบั ก็คดิ ว่า “ผูท้ อี่ ยูเ่ ฉพาะพระพักตร์องค์ พระผู้เป็นเจ้า ผู้นคี้ ือผู้ทจี่ ะต้องรับเจิม” แต่องค์พระผูเ้ ป็นเจ้าตรัสกับซามูเอลว่า “อย่า สนใจมองแต่รูปร่างหน้าตา หรือความสูงของเขา เพราะเราไม่เลือกเขา องค์พระผู้เป็น เจ้าไม่ทรงมองอย่างมนุษย์มอง มนุษย์มองแต่รปู ร่างภายนอก แต่องค์พระผูเ้ ป็นเจ้าทรง มองจิตใจ” เจสซีพาบุตรทัง้ เจ็ดคนมาพบซามูเอลทีละคน แต่ซามูเอลกล่าวแก่เจสซีวา่ “องค์ พระผู้เป็นเจ้าไม่ทรงเลือกคนเหล่านี้เลย” ซามูเอลถามเจสซีว่า “บุตรชายของท่านมา หมดแล้วหรือ” เจสซีตอบว่า “ยังมีคนสุดท้องอีกคนหนึง่ แต่ขณะนีเ้ ขากำ�ลังเลีย้ งแกะ อยู่” ซามูเอลสั่งเจสซีว่า “จงส่งคนไปตามเขามาเถิด เราจะไม่นั่งกินอาหารจนกว่าเขา จะมา” เจสซีจงึ ส่งคนไปตามมา เด็กหนุม่ นัน้ มีผมแดง ดวงตางดงาม และรูปร่างดี องค์ พระผู้เป็นเจ้าตรัสว่า “จงลุกขึ้น เจิมเขาเถอะ เป็นคนนี้แหละ” ซามูเอลก็เอาขวดเขา สัตว์ที่บรรจุนํ้ามันมะกอกเทศมาเจิมดาวิดต่อหน้าบรรดาพี่ชาย พระจิตขององค์พระผู้ เป็นเจ้าสถิตกับดาวิดตั้งแต่วันนั้นเป็นต้นมา เพลงสดุดี สดด 23:1-3ก,3ข,4,5,6 ก) องค์พระผู้เป็นเจ้าทรงเลี้ยงดูข้าพเจ้าอย่างผู้เลี้ยงแกะ ข้าพเจ้าจึงไม่ขาดสิ่งใด พระองค์ทรงให้ข้าพเจ้านอนพักอยู่ในทุ่งหญ้าเขียวขจี ทรงนำ�ข้าพเจ้าไปริมสายนทีที่เงียบสงบ เพื่อฟื้นฟูจิตใจของข้าพเจ้า ข) ทรงชี้ทางให้ข้าพเจ้าเดินไปบนมรรคาแห่งความชอบธรรม เพราะเห็นแก่พระนามของพระองค์ แม้ข้าพเจ้าจะต้องเดินไปในหุบเขาที่มืดมิด ข้าพเจ้าก็จะไม่กลัวอันตรายใดๆ เพราะพระองค์ทรงอยู่กับข้าพเจ้า พระคทาและธารพระกรของพระองค์ช่วยให้ข้าพเจ้าอุ่นใจ ค) พระองค์ทรงจัดเตรียมโต๊ะอาหารไว้สำ�หรับข้าพเจ้าต่อหน้าเหล่าศัตรู ทรงเทนํ้ามันเจิมศีรษะของข้าพเจ้า ทรงเทเครื่องดื่มลงในถ้วยของข้าพเจ้าจนล้นปรี่ พระกรุณาและความรักมั่นคงของพระองค์จะติดตามข้าพเจ้าไปทุกวันตลอดชีวิต


บทอ่านจากจดหมายนักบุญเปาโลอัครสาวกถึงชาวเอเฟซัส อฟ 5:8-14 พี่น้อง ในอดีตท่านเคยเป็นความมืด แต่บัดนี้ท่านเป็นความสว่างในองค์พระผู้เป็นเจ้า จงดำ�เนินชีวิต เช่นบุตรแห่งความสว่างเถิด ผลแห่งความสว่างคือความดี ความชอบธรรมและความจริงทุกประการ จง แสวงหาสิ่งที่องค์พระผู้เป็นเจ้าพอพระทัย จงอย่าเกี่ยวข้องกับกิจการแห่งความมืดซึ่งไร้ผล ตรงกันข้าม จง ประณามกิจการเหล่านั้น เพราะสิ่งต่างๆ ที่กระทำ�กันอย่างปิดบังซ่อนเร้นนั้น แม้เพียงพูดถึงก็น่าละอายแล้ว ทุกสิ่งที่ถูกประณามนั้นย่อมปรากฏชัดในความสว่าง และทุกสิ่งที่ปรากฏชัดนั้นคือความสว่าง จึงมีคำ�กล่าว ไว้ว่า “ผู้หลับใหล จงตื่นเถิด จงลุกขึ้นจากบรรดาผู้ตาย และพระคริสตเจ้าจะทรงส่องสว่างเหนือท่าน” บทอ่านจากพระวรสารนักบุญยอห์น ยน 9:1,6-9,13-17,34-38 เวลานั้น ขณะที่พระเยซูเจ้าทรงพระดำ�เนินผ่านไป พระองค์ทอดพระเนตรเห็นคนตาบอดแต่กำ�เนิดคน หนึ่ง พระองค์ทรงถ่มพระเขฬะลงบนพื้นผสมกับดิน ป้ายตาคนตาบอด แล้วตรัสกับเขาว่า “จงไปล้างตาที่ สระสิโลอัมเถิด” “สิโลอัม” หมายความว่า “ถูกส่งไป” คนตาบอดจึงไปล้างตา แล้วกลับมามองเห็น เพื่อน บ้านและคนที่เคยเห็นเขาเป็นขอทานมาก่อน พูดว่า “คนนี้เป็นคนที่เคยนั่งขอทานอยู่มิใช่หรือ” บางคนพูด ว่า “ใช่แล้ว” บางคนพูดว่า “ไม่ใช่ แต่เป็นคนอื่นที่คล้ายคลึงกัน” แต่คนที่เคยตาบอดพูดว่า “ใช่แล้ว เป็น ฉันเอง” คนเหล่านั้นจึงพาคนที่เคยตาบอดไปหาชาวฟาริสี วันที่พระเยซูเจ้าทรงถ่มพระเขฬะผสมดิน และทรง รักษาตาของคนตาบอดนั้นเป็นวันสับบาโต ชาวฟาริสีได้ถามเขาอีกว่า เขามองเห็นได้อย่างไร เขาจึงตอบว่า “คนนั้นเอาโคลนป้ายตาของฉัน ฉันไปล้างตาแล้วก็มองเห็น” ชาวฟาริสีบางคนพูดว่า “คนนั้นไม่ได้มาจาก พระเจ้า เขาไม่ถอื วันสับบาโต” แต่บางคนแย้งว่า “คนบาปจะทำ�เครือ่ งหมายอัศจรรย์อย่างนีไ้ ด้อย่างไร” ชาว ฟาริสเี หล่านัน้ มีความคิดเห็นแตกต่างกัน จึงถามคนทีเ่ คยตาบอดอีกว่า “ท่านล่ะ ท่านคิดอย่างไรเกีย่ วกับคน นั้น ที่เขาทำ�ให้ตาของท่านกลับมองเห็น” เขาตอบว่า “คนนั้นเป็นประกาศก” คนเหล่านั้นตอบว่า “ท่านเกิดมาในบาปทั้งตัว แล้วยังกล้ามาสั่งสอนพวกเราอีกหรือ” แล้วจึงขับไล่เขา ออกไป พระเยซูเจ้าทรงได้ยินว่าชาวฟาริสีขับไล่คนที่ตาบอดออกไปจากศาลาธรรม เมื่อทรงพบเขา จึงตรัสถาม ว่า “ท่านเชื่อในบุตรแห่งมนุษย์หรือ” เขาทูลถามว่า “บุตรแห่งมนุษย์คือใคร พระเจ้าข้า ข้าพเจ้าจะได้เชื่อใน พระองค์” พระเยซูเจ้าตรัสตอบว่า “ท่านได้เห็นแล้ว เป็นผู้ที่กำ�ลังพูดอยู่กับท่านนี้แหละ” เขาจึงทูลว่า “ข้าพเจ้าเชื่อ พระเจ้าข้า” แล้วกราบลงนมัสการพระองค์ คนขอทานตาบอดกราบนมัสการพระเยซูเจ้า ชาวยิวในสมัยพระเยซูเจ้าเชื่อว่าความยากจน และโรคภัยไข้เจ็บของมนุษย์ เป็นการถูกพระเจ้าลงโทษ เพราะกระทำ�บาป พระเยซูเจ้าทรงช่วยพวกเขาให้เป็นอิสระ พระองค์พร้อมทีจ่ ะให้อภัย พระองค์ทรงเมตตา กรุณา จึงทรงรักษาชายตาบอดให้กลับมีศักดิ์ศรีของความเป็นมนุษย์ เขาได้รับพระพรแห่งความเชื่อ ฉันไม่ควรตำ�หนิใคร แต่จะช่วยให้ใครคนหนึ่งได้รับพระพรความรักของพระเจ้า


น.ตูรีบิโอ แห่งมอนโกรเวโย พระสังฆราช สดด 30:1 และ 3,4-5, 10-11ก, และ 12 ข

บทอ่านที่ 1 อสย 65:17-21 พระเจ้าตรัสดังนี้ว่า “ดูซิ เราจะสร้างฟ้าใหม่และแผ่นดินใหม่ จะไม่มีผู้ใดคิดถึงและจดจำ�เรื่องราวใน อดีตอีก แต่จงร่าเริงและยินดีเสมอในสิง่ ซึง่ เรากำ�ลังจะสร้างขึน้ เพราะเรากำ�ลังจะสร้าง กรุงเยรูซาเล็มให้เป็นความยินดี และสร้างประชากรของเมืองนั้นให้เป็นความชื่นบาน เราจะยินดีเพราะกรุงเยรูซาเล็ม และร่าเริงเพราะประชากรของเรา จะไม่มีผู้ใดได้ยิน เสียงร้องไห้ และเสียงครํา่ ครวญในเมืองนัน้ อีก ทีน่ นั่ จะไม่มที ารกทีม่ ชี วี ติ เพียงสองสาม วัน หรือคนชราที่ตายก่อนถึงกำ�หนด เพราะคนหนุ่มที่สุดจะตายเมื่อมีอายุหนึ่งร้อยปี ผู้ที่มีอายุไม่ถึงหนึ่งร้อยปีจะนับได้ว่าเป็นผู้ถูกสาปแช่ง เขาจะสร้างบ้านและจะเข้ามา อาศัย จะปลูกสวนองุ่นและจะกินผล”

ทำ�วัตรสัปดาห์ที่ 4

พระวรสาร ยน 4:43-54 หลังจากนั้นสองวัน พระเยซูเจ้าทรงออกเดินทางต่อไปยังแคว้นกาลิลี พระองค์ เคยทรงประกาศไว้วา่ ประกาศกมักไม่ได้รบั เกียรติในบ้านเมืองของตน แต่เมือ่ พระองค์ เสด็จมาถึงแคว้นกาลิลี ชาวกาลิลีต้อนรับพระองค์อย่างดี เพราะเห็นการกระทำ�ต่างๆ ของพระองค์ที่กรุงเยรูซาเล็มในระหว่างวันฉลองที่เขาไปร่วมด้วย พระเยซูเจ้าเสด็จกลับมาที่หมู่บ้านคานาในแคว้นกาลิลีอีกครั้งหนึ่ง พระองค์เคยทรงเปลี่ยนนํ้าเป็น เหล้าองุ่นที่นั่น ข้าราชการคนหนึ่งมีบุตรป่วยหนักอยู่ที่เมืองคาเปอรนาอุม เขาได้ยินว่าพระเยซูเจ้าเสด็จจาก แคว้นยูเดียมายังแคว้นกาลิลีแล้ว จึงมาเฝ้าพระองค์และทูลขอให้เสด็จไปรักษาบุตรของเขา ซึ่งใกล้จะสิ้น ชีวิต พระเยซูเจ้าตรัสกับเขาว่า “ถ้าท่านทั้งหลายไม่เห็นเครื่องหมายอัศจรรย์และปาฏิหาริย์แล้ว ท่านจะไม่ เชื่อเลย” ข้าราชการผู้นั้นทูลว่า “พระเจ้าข้า โปรดเสด็จไปก่อนที่บุตรของข้าพเจ้าจะสิ้นใจเถิด” พระเยซูเจ้า ตรัสกับเขาว่า “ไปเถิด บุตรของท่านพ้นอันตรายแล้ว” ชายผู้นั้นเชื่อพระวาจาที่พระเยซูเจ้าตรัสกับเขา จึง เดินทางจากไป ขณะที่เขากำ�ลังเดินทางกลับ ผู้รับใช้ของเขาออกมาพบ บอกว่าบุตรของเขาพ้นอันตรายแล้ว เขาซักถามถึงเวลาที่บุตรมีอาการดีขึ้น ผู้รับใช้ตอบว่า “เมื่อวานนี้เวลาบ่ายโมงอาการไข้ก็หาย” บิดาจึงรู้ว่า นั่นเป็นเวลาที่พระเยซูเจ้าตรัสว่า “บุตรของท่านพ้นอันตรายแล้ว” เขากับทุกคนในครอบครัวจึงมีความเชื่อ พระเยซูเจ้าทรงกระทำ�เครื่องหมายอัศจรรย์ครั้งที่สองนี้หลังจากเสด็จกลับจากแคว้นยูเดียมายังแคว้น กาลิลี ทุกคนในครอบครัวจึงมีความเชื่อ คนส่วนมากต้องการเครื่องหมายอัศจรรย์และปาฏิหาริย์ จึงจะเชื่อ เรื่องเครื่องหมายอัศจรรย์ครั้งที่ 2 ที่หมู่บ้านคานา ข้าราชการผู้นั้นทูลขอพระเยซูเจ้าให้ทรงรักษาบุตรชายของตนซึ่งป่วยหนักอยู่ที่เมือง คาเปอรนาอุม ห่างกัน 16.47 ไมล์ (26.51 กิโลเมตร) พระเยซูเจ้าก็รักษา (ทางไกล) ให้หาย ทำ�ให้เขากับทุก คนในครอบครัวมีความเชื่อ - ฉันเคยขอพระเยซูเจ้ารักษาใครไหม - ทุกคนในครอบครัวของฉันมีความเชื่อในพระเยซูหรือไม่


บทอ่านที่ 1 อสค 47:1-9,12 ในครั้งนั้น เขานำ�ข้าพเจ้ากลับมาที่ประตูพระวิหาร ข้าพเจ้าเห็นนํ้าไหลออกมาจาก ใต้ธรณีประตูพระวิหารด้านตะวันออก เพราะพระวิหารหันหน้าไปทางทิศตะวันออก... เขานำ�ข้าพเจ้าออกไปทางประตูด้านเหนือ และพาข้าพเจ้าอ้อมภายนอกจนถึงประตูชั้น นอกซึ่งหันหน้าไปทางทิศตะวันออก... เขานำ�ข้าพเจ้าลุยนํ้าข้ามไป นํ้าลึกเพียงตาตุ่ม เขาวัดระยะทางอีกหนึ่งพันศอกแล้วนำ�ข้าพเจ้าลุยนํ้าข้ามไป นํ้าลึกถึงเข่า เขาวัดระยะ ทางอีกหนึ่งพันศอกแล้วนำ�ข้าพเจ้าลุยนํ้าข้ามไป นํ้านั้นลึกถึงบั้นเอว เขาวัดระยะทาง อีกหนึง่ พันศอก บัดนีเ้ ป็นแม่นาํ้ ทีข่ า้ พเจ้าลุยข้ามไม่ได้ เพราะนํา้ สูงขึน้ เป็นนาํ้ ทีต่ อ้ งว่าย ข้าม เป็นแม่นํ้าที่ลุยข้ามไม่ได้ เขาถามข้าพเจ้าว่า “บุตรแห่งมนุษย์เอ๋ย ท่านเห็นไหม” เขาจึงนำ�ข้าพเจ้ากลับมาที่ฝั่งแม่นํ้า เมื่อข้าพเจ้ากลับมาแล้ว ข้าพเจ้าก็เห็นต้นไม้จำ�นวน มากบนฝั่งแม่นํ้าทั้งสองฟาก เขาบอกข้าพเจ้าว่า “นํ้านี้ไหลไปทางทิศตะวันออก ลงไป ถึงลุ่มแม่นํ้าจอร์แดน เข้าไปในทะเล เมื่อไหลเข้าไปในทะเล ก็ทำ�ให้นํ้าทะเลจืด แม่นํ้า นีไ้ ปถึงทีใ่ ด สิง่ มีชวี ติ ทีเ่ คลือ่ นไหวในนัน้ ก็จะมีชวี ติ จะมีปลาจำ�นวนมาก เพราะนาํ้ นีไ้ หล ไปถึงที่ใด นํ้าทะเลก็จืด แม่นํ้าไหลไปถึงที่ใด ทุกสิ่งก็มีชีวิต... ”

สัปดาห์ที่ 4 เทศกาลมหาพรต สดด 46:1-2,4-5,7-8,

ทำ�วัตรสัปดาห์ที่ 4

พระวรสาร ยน 5:1-3ก,5-16 หลังจากเหตุการณ์เหล่านี้ ก็ถึงวันฉลองวันหนึ่งของชาวยิว พระเยซูเจ้าเสด็จขึ้นไปยังกรุงเยรูซาเล็ม ที่ กรุงเยรูซาเล็ม ใกล้กับประตูแกะ มีสระชื่อเป็นภาษาฮีบรูว่าเบเธสดา มีระเบียงล้อมรอบอยู่ห้าด้าน ตาม ระเบียงเหล่านี้ มีผู้เจ็บป่วยนอนอยู่เป็นจำ�นวนมาก เช่น คนตาบอด คนง่อย และคนเป็นอัมพาต ทีน่ นั่ มีชายคนหนึง่ ป่วยมาสามสิบแปดปีแล้ว พระเยซูเจ้าทอดพระเนตรเห็นเขานอนอยู่ และทรงทราบ ว่าเขาป่วยมานาน จึงตรัสกับเขาว่า “ท่านอยากจะหายป่วยไหม” ผู้ป่วยนั้นตอบว่า “ท่านขอรับ ไม่มีใครช่วย จุ่มข้าพเจ้าลงในสระเมื่อนํ้ากระเพื่อม พอข้าพเจ้ามาถึง คนอื่นก็ลงไปก่อนแล้ว” พระเยซูเจ้าจึงตรัสกับเขา ว่า “จงลุกขึน้ ยกแคร่ทน่ี อนและเดินไปเถิด” ชายผูน้ น้ั ก็หายเป็นปกติทนั ที เขายกแคร่ทน่ี อนและเริม่ เดินไป วันนัน้ เป็นวันสับบาโต ชาวยิวจึงพูดกับชายทีห่ ายป่วยนัน้ ว่า “วันนีเ้ ป็นวันสับบาโต ท่านแบกแคร่ทนี่ อน ไม่ได้” เขาจึงตอบว่า “คนที่รักษาข้าพเจ้าให้หายป่วยบอกข้าพเจ้าว่า ‘จงยกแคร่ที่นอนและเดินไปเถิด’” เขา เหล่านั้นถามว่า “คนนั้นเป็นใคร คนที่บอกท่านให้ยกแคร่ที่นอนและเดินไป” แต่ชายที่หายป่วยไม่รู้ว่าเป็น ใคร เพราะพระเยซูเจ้าเสด็จเข้าไปในหมู่ประชาชนที่อยู่ที่นั่นแล้ว ต่อมา พระเยซูเจ้าทรงพบชายผู้นั้นอีกใน พระวิหาร จึงตรัสกับเขาว่า “ท่านหายเป็นปกติแล้ว อย่าทำ�บาปอีก มิฉะนัน้ เหตุรา้ ยกว่านีจ้ ะเกิดขึน้ แก่ทา่ น” ชายผู้นั้นจากไปแล้วบอกชาวยิวว่าพระเยซูเจ้าทรงเป็นผู้รักษาเขาให้หายป่วย ด้วยเหตุนี้ ชาวยิวจึงเริ่ม เบียดเบียนพระเยซูเจ้า เพราะพระองค์ทรงกระทำ�การนี้ในวันสับบาโต พุนํ้าจากในพระวิหาร ประกาศกเอเสเคียล บทที่ 40 - 46 บรรยายเกี่ยวกับอาณาเขต และพิธีในพระวิหารกรุงเยรูซาเล็ม บท ที่ 47 กล่าวถึงวิสัยทัศน์ อำ�นาจที่ให้ชีวิต นํ้าไหลออกจากพระวิหารไปทางตะวันออก และทิศใต้ ผ่านหุบเขา ขิดโรน ไปทะเลตาย จากนํ้าเค็มไม่มีสิ่งมีชีวิต กลายเป็นสถานที่ที่มีปลา และต้นไม้อุดมสมบูรณ์ พระเยซูเจ้ามีอำ�นาจรักษาชายที่ป่วยเป็นเวลา 38 ปี ให้หายป่วย และสอนว่า “อย่าทำ�บาปอีก”


สมโภชการแจ้งสาร เรื่องพระวจนาตถ์ ทรงรับสภาพมนุษย์ สดด 40:6,7-8,9,10

บทอ่านที่ 1 อสย 7:10-14 องค์พระผู้เป็นเจ้าตรัสกับกษัตริย์อาคัสอีกว่า “จงขอองค์พระผูเ้ ป็นเจ้าพระเจ้าของพระองค์ ให้ทรงส่งเครือ่ งหมายจากทีล่ กึ ของ แดนผู้ตาย หรือจากที่สูงเบื้องบนเถิด”... ประกาศกอิสยาห์จงึ ทูลว่า “ราชวงศ์กษัตริยด์ าวิดเอ๋ย จงฟังเถิด... องค์พระผูเ้ ป็น เจ้าจะประทานเครื่องหมายให้ท่านด้วยพระองค์เอง หญิงสาวผู้หนึ่งจะตั้งครรภ์และให้ กำ�เนิดบุตรชายและนางจะเรียกเขาว่า ‘อิมมานูเอล’ แปลว่า ‘พระเจ้าสถิตกับเรา’” บทอ่านที่ 2 ฮบ 10:4-10 เพราะเลือดโคเพศผู้และเลือดแพะชำ�ระบาปให้หมดสิ้นไปไม่ได้ ดังนั้น เมื่อ พระคริสตเจ้าเสด็จมาในโลก จึงตรัสว่า “พระองค์ไม่มพี ระประสงค์เครือ่ งบูชาและของถวายอืน่ ใด พระองค์จงึ ทรงเตรียม ร่างกายไว้ให้ขา้ พเจ้า พระองค์ไม่พอพระทัยในเครือ่ งเผาบูชาและเครือ่ งบูชาชดเชยบาป ข้าพเจ้าจึงทูลว่า ข้าแต่พระเจ้า ข้าพเจ้าอยู่ที่นี่ ในม้วนหนังสือมีข้อความเขียนเกี่ยวกับ ข้าพเจ้าไว้ว่า ข้าพเจ้ามาเพื่อปฏิบัติตามพระประสงค์ของพระองค์”...

พระวรสาร ลก 1:26-38 เมือ่ นางเอลีซาเบธตัง้ ครรภ์ได้หกเดือนแล้ว พระเจ้าทรงส่งทูตสวรรค์กาเบรียลมายังเมืองหนึง่ ในแคว้น กาลิลีชื่อเมืองนาซาเร็ธ มาพบหญิงพรหมจารีคนหนึ่งซึ่งหมั้นอยู่กับชายชื่อโยเซฟ ในราชวงศ์ของกษัตริย์ ดาวิด หญิงพรหมจารีผู้นั้นชื่อมารีย์ ทูตสวรรค์เข้าในบ้านกล่าวกับพระนางว่า “จงยินดีเถิด ท่านผู้ที่พระเจ้าโปรดปราน องค์พระผู้เป็นเจ้าสถิตกับท่าน” เมื่อทรงได้ยินถ้อยคำ�นี้ พระนางมารีย์ทรงวุ่นวายพระทัยมากทรงถามพระองค์เองว่า คำ�ทักทายนี้ หมายความว่ากระไร... พระนางมารีย์จึงทรงถามทูตสวรรค์ว่า “เหตุการณ์นี้จะเป็นไปได้อย่างไรเพราะข้าพเจ้าตั้งใจจะเป็น พรหมจารี” ทูตสวรรค์ตอบว่า “พระจิตเจ้าจะเสด็จลงมาเหนือท่านและพระอานุภาพของพระผู้สูงสุดจะ แผ่เงาปกคลุมท่าน เพราะฉะนั้น บุตรที่เกิดมาจะเป็นผู้ศักดิ์สิทธิ์และจะรับนามว่าบุตรของพระเจ้า ดูซิ เอลีซาเบธญาติของท่าน ทั้งๆ ที่ชราแล้ว ก็ยังตั้งครรภ์บุตรชาย ใครๆ คิดว่านางเป็นหมัน แต่นางก็ตั้งครรภ์ ได้หกเดือนแล้ว เพราะไม่มีสิ่งใดที่พระเจ้าจะทรงกระทำ�ไม่ได้” พระนางมารีย์จึงตรัสว่า “ข้าพเจ้าเป็นผู้รับใช้ ขององค์พระผู้เป็นเจ้า ขอให้เป็นไปกับข้าพเจ้าตามวาจาของท่านเถิด” แล้วทูตสวรรค์ก็จากพระนางไป สมโภชการแจ้งสาร... วันสมโภชการแจ้งสารเรือ่ งพระวจนาตถ์ทรงรับสภาพมนุษย์ เป็นวันฉลองสำ�คัญทีส่ ดุ ในประวัตศิ าสตร์ มนุษยชาติว่า “พระเจ้าสถิตกับเรา” เราฉลองวันที่ 25 มีนาคม (9 เดือน) ก่อนสมโภชพระคริสตสมภพ ซึ่งเป็นการตอบรับของพระบุคคล ที่ 2 ในพระตรีเอกภาพ และของพระนางมารีย์ ในการน้อมรับพระประสงค์ของพระเจ้า “ขอให้เป็นไปกับ ข้าพเจ้าตามวาจาของท่านเถิด (ลก 1:38 )


บทอ่านที่ 1 อพย 32:7-14 องค์พระผู้เป็นเจ้าตรัสกับโมเสสว่า “จงรีบลงไปข้างล่างเถิด เพราะประชากรของ ท่านซึง่ ท่านได้น�ำ ออกมาจากแผ่นดินอียปิ ต์ได้ท�ำ ผิดอย่างสาหัส เขาเปลีย่ นวิถที างอย่าง รวดเร็วออกจากทางที่เราได้สั่งให้เขาเดิน เขาหล่อรูปลูกโคขึ้น แล้วกราบนมัสการ ทั้ง ยังถวายบูชาแก่รูปนั้น พร้อมกับกล่าวว่า ชาวอิสราเอลทั้งหลาย นี่แหละเป็นพระเจ้า ของท่านผู้ทรงนำ�ท่านออกมาจากแผ่นดินอียิปต์” องค์พระผู้เป็นเจ้าตรัสกับโมเสสต่อ ไปว่า “เรารู้จักคนเหล่านี้ดี เขาดื้อดึงเหลือเกิน อย่าห้ามเราเลย ความโกรธของเราจะ เผาผลาญเขาทั้งหลาย และเราจะทำ�ลายเขา เราจะทำ�ให้ท่านเป็นชนชาติใหญ่” โมเสสอ้อนวอนองค์พระผู้เป็นเจ้าพระเจ้าของตนว่า “ข้าแต่องค์พระผู้เป็นเจ้า ทำ�ไมพระองค์ทรงปล่อยให้พระพิโรธเผาผลาญประชากรของพระองค์ ที่พระองค์ได้ ทรงนำ�ออกมาจากแผ่นดินอียปิ ต์ดว้ ยอานุภาพยิง่ ใหญ่และด้วยพระหัตถ์ทรงฤทธิ์ ทำ�ไม จะให้ชาวอียิปต์เยาะเย้ยได้ว่า ‘พระองค์ทรงนำ�เขาออกมาด้วยความประสงค์ร้าย จะ ฆ่าเสียที่ภูเขา จะทำ�ลายให้หมดสิ้นจากแผ่นดิน’ ขอทรงระงับพระพิโรธเถิด ขอทรง เปลี่ยนพระทัยอย่าทำ�ร้ายประชากรของพระองค์เลย ขอทรงระลึกถึงอับราฮัม อิสอัค และยาโคบผู้รับใช้พระองค์เถิด พระองค์ทรงสัญญากับเขาโดยทรงสาบานอาศัย พระนามพระองค์ว่า เราจะให้ลูกหลานของท่านมีจำ�นวนมากมายเหมือนดาวในท้องฟ้า เราจะให้แผ่นดินที่เราสัญญาไว้นี้ทั้งหมดแก่ลูกหลานของท่าน และเขาจะครอบครอง เป็นมรดกตลอดไป” องค์พระผู้เป็นเจ้าจึงทรงเปลี่ยนพระทัยไม่ทรงลงโทษประชากร ของพระองค์

สัปดาห์ที่ 4 เทศกาลมหาพรต สดด 106:19-20, 21-22,23

ทำ�วัตรสัปดาห์ที่ 4

พระวรสาร ยน 5:31-47 เวลานั้น พระเยซูเจ้าตรัสกับชาวยิวว่า “ถ้าเราเป็นพยานยืนยันให้ตนเอง คำ�ยืนยันของเราก็ใช้ไม่ได้ แต่ยังมีอีกผู้หนึ่งที่เป็นพยานยืนยันให้เรา และเรารู้ว่าคำ�ยืนยันของเขาถึงเรานั้นเป็นความจริง ท่านทั้งหลายได้ส่งคนไปถามยอห์น และยอห์นก็ได้เป็น พยานยืนยันถึงความจริง เราไม่ตอ้ งการคำ�ยืนยันจากมนุษย์ แต่เรากล่าวเช่นนัน้ เพือ่ ท่านทัง้ หลายจะได้รอดพ้น ยอห์นเป็นเหมือนตะเกียงสว่างไสวทีจ่ ดุ อยู่ ท่านทัง้ หลายก็พอใจทีจ่ ะชืน่ ชมกับแสงสว่างของเขาอยูช่ วั่ ระยะ หนึ่งเท่านั้น แต่เรามีคำ�ยืนยันที่ยิ่งใหญ่กว่าคำ�ยืนยันของยอห์น คืองานที่พระบิดาทรงมอบหมายให้เราทำ�จน สำ�เร็จ งานที่เรากำ�ลังทำ�อยู่นี้ เป็นพยานถึงเราว่าพระบิดาทรงส่งเรามา พระบิดาผู้ทรงส่งเรามา ยังทรงเป็น พยานถึงเราอีกด้วย ท่านทัง้ หลายไม่เคยได้ยนิ พระสุรเสียงของพระองค์ ทัง้ ไม่เคยเห็นพระพักตร์ของพระองค์ คำ�อ้อนวอนของโมเสส ชาวยิวสมัยโมเสสเห็นว่าโมเสสอยู่บนภูเขานานแล้วยังไม่ลงมา จึงบอกอาโรนให้สร้างรูปเคารพ (ลูกโค ทองคำ�) พระเจ้าจึงทรงเตือนโมเสส (อพย 32:7-10) ว่าชาวยิวดื้อเหลือเกิน โมเสสจึงอ้อนวอนพระเจ้า (อพย 32 :11-14) ให้ใจเย็นๆ และระลึกพระสัญญา... พระเจ้าจึงทรงเปลีย่ น พระทัย ไม่ทรงลงโทษ ฉันเคยอ้อนวอนพระเจ้าแบบโมเสสไหม


สัปดาห์ที่ 4 เทศกาลมหาพรต สดด 34:16-17,18-19, 20 และ 22

ทำ�วัตรสัปดาห์ที่ 4

บทอ่านที่ 1 ปชญ 2:1ก,12-22 ผู้ไม่ยำ�เกรงพระเจ้าใช้เหตุผลผิดๆ คิดว่า “เราจงดักซุ่มทำ�ร้ายผู้ชอบธรรม เพราะเขาทำ�ให้เรารำ�คาญใจ เขาต่อต้านกิจการ ของเรา เขาตำ�หนิเราว่าฝ่าฝืนธรรมบัญญัติ กล่าวหาว่าเราไม่ปฏิบัติตามการอบรมที่ได้ รับ เขาอ้างว่าเขารู้จักพระเจ้า เรียกตนเองว่าเป็นบุตรขององค์พระผู้เป็นเจ้า ชีวิตของ เขาเป็นการติเตียนความรู้สึกนึกคิดของเรา เพียงแต่เห็นเขา เราก็ทนไม่ได้ เพราะชีวิต ของเขาไม่เหมือนกับผูอ้ นื่ ความประพฤติของเขาก็ตา่ งกับของเรามาก เขาคิดว่าเราเป็น คนไร้ค่า เขาหลีกเลี่ยงวิถีชีวิตของเราประหนึ่งว่าเป็นสิ่งปฏิกูล เขาประกาศว่าผู้ ชอบธรรมจะมีความสุขในวาระสุดท้าย อวดอ้างว่าพระเจ้าทรงเป็นพระบิดาของเขา เรา จงดูเถิดว่าคำ�พูดของเขาจะจริงหรือไม่ เราจงพิสูจน์ว่าจะเกิดอะไรขึ้นแก่เขาในวาระ สุดท้าย ถ้าผูช้ อบธรรมเป็นบุตรของพระเจ้า พระองค์กจ็ ะทรงปกป้องเขา และทรงช่วย เขาให้พ้นเงื้อมมือของศัตรู เราจงสาปแช่งและทรมานลองใจเขา ให้รู้ว่าเขาอ่อนโยน เพียงใด และจงทดสอบว่าเขาอดทนเพียงใด เราจงตัดสินลงโทษให้เขาตายอย่างอัปยศ ถ้าเป็นจริงอย่างที่เขาพูด พระเจ้าจะทรงคอยดูแลเขา” ผู้ไม่ยำ�เกรงพระเจ้าคิดเช่นนี้ แต่เขาคิดผิด ความชั่วร้ายทำ�ให้เขาตาบอด เขาไม่รู้ แผนการเร้นลับของพระเจ้า เขาไม่หวังว่าพระเจ้าจะทรงตอบแทนความศักดิ์สิทธิ์ เขา ไม่เชื่อว่าพระองค์จะประทานรางวัลแก่ผู้ดำ�เนินชีวิตไร้ตำ�หนิ

พระวรสาร ยน 7:1-2,10,25-30 หลังจากนั้น พระเยซูเจ้าเสด็จไปทั่วแคว้นกาลิลี พระองค์ไม่ทรงพระประสงค์จะเสด็จไปทั่วแคว้นยูเดีย เพราะชาวยิวกำ�ลังพยายามจะฆ่าพระองค์ งานฉลองเทศกาลอยูเ่ พิงของชาวยิวใกล้เข้ามาแล้ว อย่างไรก็ตาม หลังจากทีบ่ รรดาพีน่ อ้ งของพระองค์ ขึ้นไปร่วมงานฉลองแล้ว พระองค์ก็เสด็จขึ้นไปด้วยอย่างเงียบๆ ไม่ทรงประสงค์จะให้ผู้ใดเห็น ชาวเยรูซาเล็มบางคนพูดว่า “คนนีม้ ใิ ช่หรือทีเ่ ขาพยายามจะฆ่า ดูซิ คนนีก้ �ำ ลังพูดคุยอย่างเปิดเผย และ ไม่มีใครห้ามปรามเขา หรือบางทีบรรดาหัวหน้าอาจยอมรับว่าเขาเป็นพระคริสต์ พวกเรารู้ว่าคนนี้มาจากไหน พระคริสต์นั้น เมื่อเสด็จมา ไม่มีใครรู้ว่าพระองค์เสด็จมาจากไหน” ขณะที่พระเยซูเจ้าทรงสอนในพระวิหาร พระองค์ตรัสเสียงดังว่า “ท่านทั้งหลายรู้จักเรา และรู้ว่าเรามา จากไหน เราไม่ได้มาตามใจตนเอง พระองค์ผทู้ รงส่งเรามาทรงสัจจะ ท่านไม่รจู้ กั พระองค์ แต่เรารูจ้ กั พระองค์ เพราะเรามาจากพระองค์ และพระองค์ทรงส่งเรามา” คนเหล่านั้นพยายามจะจับกุมพระองค์ แต่ไม่มีใครลงมือ เพราะเวลาของพระองค์ยังมาไม่ถึง ผู้ไม่ยำ�เกรงพระเจ้าใช้เหตุผลผิดๆ ทั้งหนังสือปรีชาญาณ และพระวรสารวันนี้พูดถึงการรังเกียจผู้ชอบธรรม (หนังสือปรีชาญาณอยู่ใน “สารบบที่ 2” ตั้งแต่คริสตศตวรรษที่ 2) กล่าวถึงผู้ไม่เชื่อพระเจ้าจะทำ�ร้ายผู้ชอบธรรม เช่น พระเยซูเจ้า พระวรสารนักบุญยอห์นกล่าวถึงชาวยิว (ในสมัยนัน้ ) “พยายามจะฆ่าพระองค์” แต่ “เวลาของพระองค์ ยังมาไม่ถึง” ฉันไม่ควรรังเกียจ และเบียดเบียนผู้ชอบธรรม


บทอ่านที่ 1 ยรม 11:18-20 องค์พระผู้เป็นเจ้าทรงแจ้งเรื่องนี้แก่ข้าพเจ้า และข้าพเจ้าก็รู้ พระองค์ทรงเปิดเผย แผนร้ายของเขาทัง้ หลายแก่ขา้ พเจ้า แต่ขา้ พเจ้าเป็นเหมือนลูกแกะว่าง่ายซึง่ ถูกนำ�มายัง ที่ฆ่า ข้าพเจ้าไม่รู้เลยว่าเขากำ�ลังวางแผนร้ายต่อข้าพเจ้า พูดว่า “เราจงทำ�ลายต้นไม้ ที่กำ�ลังงอกงาม เราจงกำ�จัดเขาออกจากแผ่นดินของผู้เป็น ชื่อของเขาจะได้ไม่มีผู้ใด ระลึกถึงอีกเลย” บัดนี้ ข้าแต่องค์พระผูเ้ ป็นเจ้าจอมจักรวาล พระองค์ทรงพิพากษาอย่างเทีย่ งธรรม ทรงทดสอบทั้งความรู้สึกและจิตใจของมนุษย์ โปรดให้ข้าพเจ้าเห็นว่าพระองค์ทรง ลงโทษเขา เพราะข้าพเจ้าได้มอบคดีของข้าพเจ้าไว้กับพระองค์แล้ว พระวรสาร ยน 7:40-53 เมื่อประชาชนบางคนได้ยินพระเยซูเจ้าตรัสพระวาจานี้ จึงพูดว่า “คนนี้เป็น ประกาศกจริงๆ” บางคนพูดว่า “คนนีเ้ ป็นพระคริสตเจ้า” บางคนพูดว่า “พระคริสตเจ้า จะมาจากแคว้นกาลิลีได้หรือ พระคัมภีร์มิได้กล่าวหรือว่าพระคริสตเจ้าจะต้องมาจาก ราชวงศ์กษัตริย์ดาวิดและจากเมืองเบธเลเฮม เมืองที่กษัตริย์ดาวิดเคยอยู่” ประชาชน จึงมีความคิดเห็นแตกต่างกันเกี่ยวกับพระองค์ บางคนต้องการจับกุมพระองค์ แต่ไม่มี ใครลงมือจับกุม ทหารยามรักษาพระวิหารกลับมาหาบรรดาหัวหน้าสมณะและชาวฟาริสี ซึ่งถาม เขาว่า “ทำ�ไมท่านทัง้ หลายไม่น�ำ เขามาด้วย” ทหารยามตอบว่า “ไม่มคี นใดพูดจาเหมือน กับชายผูน้ เี้ ลย” ชาวฟาริสถี ามว่า “ท่านทัง้ หลายถูกเขาหลอกลวงไปแล้วหรือ มีหวั หน้า หรือชาวฟาริสีคนใดบ้างที่เชื่อเขา แต่ประชาชนเหล่านี้ที่ไม่รู้เรื่องธรรมบัญญัติ ก็ถูก สาปแช่งอยู่แล้ว” ชาวฟาริสีคนหนึ่งชื่อนิโคเดมัส ที่เคยไปหาพระเยซูเจ้าก่อนหน้านั้น กล่าวกับเขาว่า “ธรรมบัญญัติของพวกเราไม่ตัดสินลงโทษผู้ใดโดยที่มิได้ฟังคำ�ให้การ ของผู้นั้นและไม่รู้ก่อนว่าเขาทำ�อะไร” เขาเหล่านั้นจึงตอบว่า “ท่านก็มาจากแคว้น กาลิลีด้วยหรือ จงค้นดูจากพระคัมภีร์เถิด แล้วจะเห็นว่าไม่มีประกาศกคนใดมาจาก แคว้นกาลิลีเลย” แล้วทุกคนก็กลับบ้าน

ประกาศกถูกเบียดเบียน บทอ่านแรก ประกาศกเยเรมีย์ถูกชาวอานาโธทเบียดเบียน เพราะเยเรมีย์ได้ สนับสนุนการปฏิรปู ทางศาสนาของกษัตริยโ์ ยสิยาห์ (640-609 ก.ค.ศ.) เขาจึงถูกเพือ่ น ชาวหมูบ่ า้ นอานาโธทเกลียดชัง ห้ามเยเรมียป์ ระกาศพระวาจา มิฉะนัน้ จะต้องตาย แต่ พระเจ้าก็ทรงลงโทษพวกเขา (เทียบ ยรม 11:21-22) ให้เราภาวนาเพื่อคริสตชนที่ถูกเบียดเบียนในปัจจุบัน

สัปดาห์ที่ 4 เทศกาลมหาพรต สดด 7:1-2,8ข-9,10-11

ทำ�วัตรสัปดาห์ที่ 4


สัปดาห์ที่ 5 เทศกาลมหาพรต ทำ�วัตรสัปดาห์ที่ 1

บทอ่านจากหนังสือประกาศกเอเสเคียล อสค 37:12-14 องค์พระผูเ้ ป็นเจ้าตรัสว่า “จงประกาศพระวาจาและบอกเขาว่า องค์พระผูเ้ ป็นเจ้า ตรัสดังนี้ ดูซิ ประชากรของเราเอ๋ย เรากำ�ลังจะเปิดหลุมฝังศพของท่านและยกท่านขึน้ มาจากหลุมศพ นำ�ท่านกลับมายังแผ่นดินอิสราเอล ประชากรของเราเอ๋ย ท่านจะรู้ว่า เราเป็นองค์พระผู้เป็นเจ้า เมื่อเราเปิดหลุมศพของท่าน และยกท่านขึ้นมาจากหลุมศพ เราจะให้จิตของเราเข้าไปในท่าน และท่านจะมีชีวิต เราจะให้ท่านตั้งหลักแหล่งใน แผ่นดินของท่าน แล้วท่านจะรู้ว่าเราเป็นองค์พระผู้เป็นเจ้า เราได้พูดและได้ทำ�แล้ว องค์พระผู้เป็นเจ้าตรัส” เพลงสดุดี สดด 130:1-4,5-6,7-8 ก) ข้าแต่องค์พระผู้เป็นเจ้า ข้าพเจ้าร้องหาพระองค์จากเหวลึก ข้าแต่องค์พระผู้เป็นเจ้า โปรดทรงฟังเสียงของข้าพเจ้า โปรดเงี่ยพระกรรณฟังเสียงวอนขอของข้าพเจ้า ข้าแต่องค์พระผู้เป็นเจ้า หากพระองค์ทรงเก็บรักษาความผิดไว้ ข้าแต่องค์พระผู้เป็นเจ้า ผู้ใดจะยืนหยัดอยู่ได้ แต่พระองค์ประทานอภัย จึงได้รับความเคารพยำ�เกรง ข) ข้าแต่องค์พระผู้เป็นเจ้า ข้าพเจ้าวางใจ จิตใจข้าพเจ้ามีความหวัง ข้าพเจ้ารอคอยพระวาจาของพระองค์ จิตใจข้าพเจ้ารอคอยองค์พระผู้เป็นเจ้า ยิ่งกว่าคนยามเฝ้ารอแสงอรุณ ยิ่งกว่าคนยามเฝ้ารอแสงอรุณ ค) อิสราเอลจงหวังในองค์พระผู้เป็นเจ้าเถิด เพราะองค์พระผู้เป็นเจ้าทรงความรักมั่นคง ทรงพร้อมเสมอที่จะช่วยให้รอดพ้น พระองค์จะทรงไถ่อิสราเอลให้พ้นจากความผิดทั้งมวล บทอ่านจากจดหมายนักบุญเปาโลอัครสาวกถึงชาวโรม รม 8:8-11 พี่น้อง ผู้ที่ดำ�เนินชีวิตตามธรรมชาติไม่อาจเป็นที่พอพระทัยของพระเจ้าได้ ส่วน ท่านทั้งหลาย ท่านไม่ดำ�เนินชีวิตตามธรรมชาติ แต่ดำ�เนินชีวิตตามพระจิตเจ้า เพราะ พระจิตของพระเจ้าสถิตในตัวท่าน ถ้าผู้ใดไม่มีพระจิตของพระคริสตเจ้าผู้นั้นก็ไม่เป็น ของพระองค์ ถ้าพระคริสตเจ้าสถิตในท่านแล้ว แม้ร่างกายของท่านตายเพราะบาป จิต ของท่านก็มชี วี ติ เพราะความชอบธรรม และถ้าพระจิตของพระผูท้ รงบันดาลให้พระเยซู เจ้ากลับคืนพระชนมชีพจากบรรดาผูต้ ายนัน้ สถิตในท่าน พระผูท้ รงบันดาลให้พระคริสต เยซูทรงกลับคืนพระชนมชีพจากบรรดาผู้ตายก็จะทรงบันดาลให้ร่างกายที่ตายได้ของ ท่านกลับมีชีวิต เดชะพระจิตของพระองค์ ซึ่งสถิตในท่านด้วย


บทอ่านจากพระวรสารนักบุญยอห์น ยน 11:3-7,17,20-27,33ข-45 เวลานั้น พี่น้องทั้งสองคนจึงส่งคนไปทูลพระเยซูเจ้าว่า “พระเจ้าข้า คนที่พระองค์ทรงรักกำ�ลังป่วย” เมือ่ พระเยซูเจ้าทรงทราบข่าวนี้ ก็ตรัสว่า “โรคนีม้ ไิ ด้เกิดขึน้ เพือ่ ความตาย แต่เพือ่ พระสิรริ งุ่ โรจน์ของพระเจ้า เพราะโรคนี้ พระบุตรของพระเจ้าจะได้รับพระสิริรุ่งโรจน์” พระเยซูเจ้าทรงรักมารธากับน้องสาวและลาซารัส หลังจากทรงทราบว่า ลาซารัสกำ�ลังป่วย พระองค์ ยังคงประทับอยู่ที่นั่นอีกสองวัน ต่อจากนั้นพระองค์ตรัสกับบรรดาศิษย์ว่า “เรากลับไปแคว้นยูเดียกันเถิด” เมือ่ เสด็จมาถึง พระเยซูเจ้าทรงพบว่าลาซารัสถูกฝังในคูหามาสีว่ นั แล้ว เมือ่ มารธารูว้ า่ พระเยซูเจ้ากำ�ลัง เสด็จมา นางก็ออกไปรับเสด็จ ส่วนมารียย์ งั คงนัง่ อยูท่ บี่ า้ น มารธาทูลพระเยซูเจ้าว่า “พระเจ้าข้า ถ้าพระองค์ ทรงอยู่ที่นี่ พี่ชายของดิฉันคงไม่ตาย แต่บัดนี้ดิฉันรู้ดีว่าสิ่งใดที่พระองค์ทรงวอนขอจากพระเจ้า พระเจ้าจะ ประทานให้” พระเยซูเจ้าตรัสกับนางว่า “พี่ชายของท่านจะกลับคืนชีพ” มารธาทูลว่า “ดิฉันรู้ว่าเขาจะกลับ คืนชีพเมื่อมนุษย์ทุกคนจะกลับคืนชีพในวันสุดท้าย” พระเยซูเจ้าตรัสกับนางว่า “เราเป็นการกลับคืนชีพและเป็นชีวิต ใครเชื่อในเรา แม้ตายไปแล้ว ก็จะมี ชีวิต และทุกคนที่มีชีวิต และเชื่อในเรา จะไม่มีวันตายเลย ท่านเชื่อเช่นนี้หรือ” มารธาทูลตอบว่า “เชือ่ พระเจ้าข้า ดิฉนั เชือ่ ว่าพระองค์เป็นพระคริสตเจ้า พระบุตรของพระเจ้าทีจ่ ะต้อง เสด็จมาในโลกนี”้ พระองค์ทรงสะเทือนพระทัยและเศร้าโศกมาก ตรัสถามว่า “ท่านฝังเขาไว้ทไี่ หน” เขาทูล ว่า “พระเจ้าข้า เชิญเสด็จมาทอดพระเนตรเถิด” พระเยซูเจ้าทรงกันแสง ชาวยิวจึงพูดว่า “ดูซิ พระองค์ทรง รักเขาเพียงไร” แต่บางคนตั้งข้อสังเกตว่า “พระองค์ทรงรักษาคนตาบอดได้ จะทำ�ให้คนนี้ไม่ตายไม่ได้หรือ” พระเยซูเจ้าทรงสะเทือนพระทัยอีก เสด็จถึงคูหาฝังศพ ซึ่งเป็นโพรงหินมีหินแผ่นหนึ่งปิดอยู่ พระเยซูเจ้า ตรัสว่า “จงยกแผ่นหินออก” มารธาน้องสาวของผู้ตายทูลว่า “พระเจ้าข้า ศพมีกลิ่นแล้ว เพราะฝังมาถึงสี่ วัน” พระเยซูเจ้าตรัสว่า “เรามิได้บอกท่านหรือว่า ถ้าท่านมีความเชือ่ ท่านจะเห็นพระสิรริ งุ่ โรจน์ของพระเจ้า” คนเหล่านั้นจึงยกแผ่นหินออก พระเยซูเจ้าทรงเงยพระพักตร์ขึ้น ตรัสว่า “ข้าแต่พระบิดาเจ้า ข้าพเจ้าขอบพระคุณพระองค์ที่ทรงฟังคำ� ของข้าพเจ้า ข้าพเจ้าทราบดีว่าพระองค์ทรงฟังข้าพเจ้าเสมอ แต่ที่ข้าพเจ้ากล่าวเช่นนี้ ก็เพื่อประชาชนที่อยู่ รอบข้าพเจ้า เขาจะได้เชื่อว่าพระองค์ทรงส่งข้าพเจ้ามา” ตรัสดังนี้แล้ว พระองค์ทรงเปล่งพระสุรเสียงดังว่า “ลาซารัสเอ๋ย จงออกมาเถิด” ผู้ตายก็ออกมา มีผ้า พันมือพันเท้า และผ้าคลุมใบหน้าด้วย พระเยซูเจ้าตรัสว่า “จงเอาผ้าออกและปล่อยให้เขาไปเถิด” ชาวยิวหลายคนที่มาเยี่ยมมารีย์ และเห็นสิ่งที่พระเยซูเจ้าทรงกระทำ� ก็เชื่อในพระองค์ คนที่พระองค์ทรงรักกำ�ลังป่วย ความตายเป็นการเดินทางผ่านถิน่ ทุรกันดารในชีวติ ประจำ�วัน พระเยซูเจ้าทรงช่วยไถ่กเู้ รา พระเยซูเจ้า ทรงรักสามพี่น้องที่เบธานีมาก การกลับไปเยี่ยมลาซารัสเสี่ยงอันตราย เพราะใน ยน 10:39 บอกว่าชาวยิว ตัดสินใจจะประหารชีวิตพระเยซูเจ้า บรรดาศิษย์กลัว แต่พระเยซูเจ้าทรงรักลาซารัส เรียกว่า “เพื่อนของ เรา” (วรรคที่ 11) ทรงกันแสง และทรงภาวนาให้ลาซารัสกลับคืนชีพ ชาวยิวหลายคนเห็นสิ่งที่พระเยซูเจ้า ทรงกระทำ�ก็เชื่อในพระองค์ ฉันจะไปเยี่ยมและภาวนาให้ “คนที่พระองค์ทรงรักกำ�ลังป่วย”


บทอ่านที่ 1 ดนล 13:41ค-62 ทุกคนทีม่ าประชุมกันเชือ่ เขา เพราะเขาเป็นผูอ้ าวุโสผูพ้ พิ ากษาประชากร จึงตัดสิน ลงโทษให้ประหารชีวิตนางสุสันนา...องค์พระผู้เป็นเจ้าทรงฟังเสียงของนาง ขณะที่เขา กำ�ลังนำ�นางไปประหารชีวิต พระเจ้าทรงดลใจชายหนุ่มคนหนึ่งชื่อดาเนียล เขาร้อง ตะโกนเสียงดังว่า “ข้าพเจ้าไม่ยอมมีส่วนร่วมในความตายของหญิงผู้นี้”... ประชาชนทุกคนก็รบี กลับไป บรรดาผูอ้ าวุโสพูดกับดาเนียลว่า “เชิญมานัง่ กับพวก สัปดาห์ที่ 5 เรา จงแสดงความคิดของท่านให้เราฟังเถิด เพราะพระเจ้าประทานความเฉลียวฉลาด เทศกาลมหาพรต เยี่ยงผู้อาวุโสให้แก่ท่าน” ดาเนียลตอบเขาว่า “จงแยกสองคนนี้ให้อยู่คนละแห่ง แล้ว สดด 23:1-3ก,3ข-4,5,6 ข้าพเจ้าจะสอบสวนเขา” เมือ่ แยกทัง้ สองคนจากกันแล้ว ดาเนียลก็เรียกคนหนึง่ มาถาม ว่า “ท่านนี่ ยิง่ แก่กย็ งิ่ ชัว่ ... จงบอกซิวา่ ท่านเห็นเขาทัง้ สองคนอยูด่ ว้ ยกันใต้ตน้ ไม้อะไร” ทำ�วัตรสัปดาห์ที่ 1 เขาตอบว่า “ใต้ต้นยาง” ดาเนียลพูดว่า “โดยแท้จริงแล้ว ท่านพูดเท็จกล่าวโทษตนเอง ทูตสวรรค์ของพระเจ้าจะผ่าท่านเป็นสองส่วนตามพระบัญชาของพระองค์” ดาเนียลส่ง เขากลับไปยังที่ของตน สั่งให้นำ�อีกคนหนึ่งออกมา พูดว่า “...จงบอกมาซิ ท่านพบเขาทั้งสองคนอยู่ด้วยกัน ใต้ต้นไม้อะไร” เขาตอบว่า “ใต้ต้นโอ๊ก” ดาเนียลจึงพูดว่า “โดยแท้จริงแล้ว ท่านพูดเท็จกล่าวโทษตนเอง ทูตสวรรค์ของพระเจ้าถือดาบคอยฟันท่านเป็นสองท่อน ท่านทั้งสองคนจะต้องตายแน่” คนทั้งหลายที่ชุมนุมกันต่างตะโกนเสียงดังด้วยความยินดี... พระวรสาร ยน 8:1-11 เวลานั้น พระเยซูเจ้าเสด็จไปยังภูเขามะกอกเทศ เช้าตรู่วันรุ่งขึ้น พระองค์เสด็จไปในพระวิหารอีก ประชาชนเข้ามาห้อมล้อมพระองค์ พระองค์ประทับนั่ง แล้วทรงเริ่มสั่งสอน บรรดาธรรมาจารย์และชาวฟาริสีนำ�หญิงคนหนึ่งเข้ามา หญิงคนนี้ถูกจับขณะล่วงประเวณี เขาให้นาง ยืนตรงกลาง แล้วทูลถามพระองค์ว่า “อาจารย์ หญิงคนนี้ถูกจับขณะล่วงประเวณี ในธรรมบัญญัติ โมเสส สัง่ เราให้ทมุ่ หินหญิงประเภทนีจ้ นตาย ส่วนท่านจะว่าอย่างไร” เขาถามพระองค์เช่นนีเ้ พือ่ จับผิดพระองค์ หวัง จะหาเหตุกล่าวโทษพระองค์ แต่พระเยซูเจ้าทรงก้มลง เอานิ้วพระหัตถ์ขีดเขียนที่พื้นดิน เมื่อคนเหล่านั้นยัง ทูลถามยํ้าอยู่อีก พระองค์ทรงเงยพระพักตร์ขึ้น ตรัสว่า “ท่านผู้ใดไม่มีบาป จงเอาหินทุ่มนางเป็นคนแรก เถิด” แล้วทรงก้มลงขีดเขียนบนพื้นดินต่อไป เมื่อคนเหล่านั้นได้ฟังดังนี้ ก็ค่อยๆ ทยอยออกไปทีละคน เริ่ม จากคนอาวุโส จนเหลือแต่พระเยซูเจ้าตามลำ�พังกับหญิงคนนั้น ซึ่งยังคงยืนอยู่ที่เดิม พระเยซูเจ้าทรงเงย พระพักตร์ขึ้น ตรัสกับนางว่า “นางเอ๋ย พวกนั้นไปไหนหมด ไม่มีใครลงโทษท่านเลยหรือ” หญิงคนนั้น ทูลตอบว่า “ไม่มีใครเลย พระเจ้าข้า” พระเยซูเจ้าตรัสว่า “เราก็ไม่ลงโทษท่านด้วย ไปเถิด และตั้งแต่นี้ไป อย่าทำ�บาปอีก” ผู้ใดไม่มีบาป น่าชมดาเนียล หนุ่มชาวยิวที่อยู่ท่ามกลางผู้อาวุโสชาวบาบิโลน กล้าแสดงความคิดเห็นปกป้องชีวิต และศักดิ์ศรีของนางสุสันนาผู้บริสุทธิ์ได้รอดชีวิต น่าชมพระเยซูเจ้า ที่ช่วยหญิงผิดประเวณี ที่บรรดาธรรมาจารย์และชาวฟาริสีนำ�มา...เพื่อจับผิด พระองค์ พระองค์ฉลาด ตรัสว่า “ผู้ใดไม่มีบาป จงเอาหินทุ่มนางเป็นคนแรกเถิด” ทุกคนอ่อนแอ แต่พระเยซูเจ้าทรงให้อภัย ..ให้โอกาส...และอย่าทำ�บาปอีก


บทอ่านที่ 1 กดว 21:4-9 ในครั้งนั้น ชาวอิสราเอลออกเดินทางจากภูเขาโฮร์มุ่งสู่ทะเลต้นกกเพื่อเลี่ยง แผ่นดินเอโดม แต่ขณะที่อยู่ตามทาง ประชากรเริ่มหมดความอดทน จึงพากันบ่นว่า พระเจ้าและโมเสสว่า “ทำ�ไมท่านจึงพาพวกเราออกมาจากอียิปต์ให้มาตายในถิ่น ทุรกันดารนี้ ที่นี่ไม่มีทั้งนํ้าและอาหาร พวกเราเบื่ออาหารจืดชืดนี้เต็มทีแล้ว” องค์พระผู้เป็นเจ้าทรงส่งงูพิษมากัดประชาชน ทำ�ให้ชาวอิสราเอลตายเป็นจำ�นวน มาก คนทัง้ ปวงจึงไปหาโมเสสขอร้องว่า “พวกเราทำ�บาปเพราะบ่นว่าองค์พระผูเ้ ป็นเจ้า และบ่นว่าท่าน ขอท่านได้ทูลองค์พระผู้เป็นเจ้าให้ทรงขจัดงูพิษเหล่านี้ออกไปเถิด” โมเสสจึงวอนขอพระเจ้าเพื่อประชากร แล้วองค์พระผู้เป็นเจ้าตรัสแก่โมเสสว่า “จงทำ� งูโลหะติดไว้บนเสา ผู้ที่ถูกงูกัดและมองดูงูโลหะนั้น จะรอดชีวิต” โมเสสจึงทำ�งูทอง สัมฤทธิ์ขึ้นติดไว้ที่เสา ผู้ถูกงูกัด และมองดูงูทองสัมฤทธิ์นั้นก็รอดชีวิต

สัปดาห์ที่ 5 เทศกาลมหาพรต สดด 89:1-2,15-17, 18-20

ทำ�วัตรสัปดาห์ที่ 1

พระวรสาร ยน 8:21-30 เวลานั้น พระเยซูเจ้าตรัสแก่เขาเหล่านั้นอีกว่า “เราจากไปแล้วท่านทั้งหลายจะ แสวงหาเรา แต่ท่านจะตายเพราะบาปของท่าน ที่ที่เราไปนั้น ท่านไปไม่ได้” ชาวยิวจึงพูดว่า “เขาจะฆ่าตัวตายกระมัง จึงพูดว่า ที่ที่เราไปนั้น ท่านไปไม่ได้” พระเยซูเจ้าตรัสว่า “ท่านทัง้ หลายมาจากเบือ้ งล่าง แต่เรามาจากเบือ้ งบน ท่านเป็น ของโลกนี้ แต่เรามิได้เป็นของโลกนี้ ดังนั้น เราบอกท่านว่า ท่านจะตายเพราะบาปของ ท่าน ถ้าท่านไม่เชื่อว่าเราเป็น ท่านจะตายเพราะบาปของท่าน” เขาเหล่านั้นทูลถามพระองค์ว่า “ท่านเป็นใคร” พระองค์ตรัสตอบว่า “เราเป็นดังที่เราได้บอกท่านไว้ตั้งแต่แรกแล้ว เรายังมีอีก หลายเรื่องที่เราจะต้องพูดและพิพากษาเกี่ยวกับท่าน แต่พระองค์ผู้ทรงส่งเรามาทรง สัจจะ สิ่งใดที่เราได้ยินมาจากพระองค์ เราก็บอกสิ่งนั้นให้โลกรู้” คนเหล่านั้นไม่เข้าใจว่า พระองค์กำ�ลังตรัสกับเขาเรื่องพระบิดา พระเยซูเจ้าตรัส กับเขาอีกว่า “เมื่อใดที่ท่านยกบุตรแห่งมนุษย์ขึ้น เมื่อนั้นท่านจะรู้ว่า เราเป็น และรู้ว่า เราไม่ทำ�อะไรตามใจตนเอง แต่พูดอย่างที่พระบิดาทรงสั่งสอนเราไว้ พระผู้ทรงส่งเรา มาสถิตกับเรา พระองค์ไม่ได้ทรงทอดทิ้งเราไว้ตามลำ�พัง เพราะเราทำ�ตามที่พระองค์ พอพระทัยเสมอ” เมื่อพระองค์ตรัสดังนี้ หลายคนก็เชื่อในพระองค์ ไม้กางเขนนำ�ความรอด โมเสสพาชาวยิวออกจากอียปิ ต์ (แดนทาส) ผ่านถิน่ ทุรกันดาร เพือ่ เดินทางไปสูด่ นิ แดนแห่งพระสัญญา แต่บางครั้งชาวบ้านหมดความอดทน เบื่ออาหาร และขี้บ่น แต่อาศัยคำ�ภาวนาของโมเสส ได้ทำ�งูโลหะติด บนเสา เพื่อใครที่ถูกงูกัด และมองดูงูทองสัมฤทธิ์นั้น ก็รอดชีวิต เราจึงคิดถึง ไม้กางเขนของพระเยซูเจ้า เมื่อเราแพ้การทดลอง หันมามองไม้กางเขน เราจะมีกำ�ลังใจ ได้รับอภัย และพยายามทำ�ตามพระประสงค์เสมอ โดยอดทน และไม่บ่น



Issuu converts static files into: digital portfolios, online yearbooks, online catalogs, digital photo albums and more. Sign up and create your flipbook.