MOOM Magazine Vol. 3 No.1

Page 1

นิตยสารธรรมะ : มุม : Vol.3 No.1 : ISSN 1906-2613 เดือนมกราคม – กุมภาพันธ์ 2555 : ธรรมกลาย Issue : สิทธิพ ร บรรจงเพชร ความจริง = ชีวติ + จิตวิญญาณ อภิญญา เฟือ่ งฟูสกุล Vs. พระครูพพ ิ ธิ สุตาทร ปรากฏการณ์ พระธาตุเสด็ จ สะท้อ นอะไรในสังคมไทย Made in Chiang Mai : แจกฟรี !!



มูลนิธิหยดธรรม เจ้าของ www.facebook.com/mymoommag พระถนอมสิงห์ สุโกสโล ประธานมูลนิธิ พระมหาไกรวรรณ ชินทตฺติโย รองประธานมูลนิธิ ประวิทย์ เยี่ยมแสนสุข ที่ปรึกษามูลนิธิ พระศรีวิสุทธิวงศ์ กรรมการ พระมหาประสิทธิ์ ญาณปฺปทีโป กรรมการ คุณวิชัย ชาติแดง กรรมการ คุณอลิชา ตรีโรจนานนท์ กรรมการ คุณศิริพร ดุรงค์พิสิษฐุ์กุล กรรมการ คุณวีรยา ทองน้อย กรรมการ คุณดนิตา ศักดาวิษรักษ์ กรรมการ พระถนอมสิงห์ สุโกสโล บรรณาธิการ อลิชา ตรีโรจนานนท์ บรรณาธิการที่ปรึกษา พระถนอมสิงห์ สุโกสโล บรรณาธิการผูพ ้ ิมพ์โฆษณา พระมหาวิเชียร วชิรเมธี กองบรรณาธิการ พระนพกร รชฺชธโน พระจิม ธมฺมาสาโย ตู้ป.ณ. 54 ปณ.แม่ริม เชียงใหม่ 50180 ที่อยู่มูลนิธิ โทร : 053-044-220 www.dhammadrops.org Rabbithood Studio บรรณาธิการศิลปะ พัชราภา อินทร์ช่าง ฝ่ายศิลป์ ศิริโชค เลิศยะโส / ภานุวัฒน์ จิตติวุฒิการ ช่างภาพ พรชัย บริบูรณ์ตระกูล / ชยพัทธ แก้วกมล ตะวัน พงศ์แพทย์ / ปานวัตร เมืองมูล พระมหาวิเชียร วชิรเมธี พิสูจน์อักษร บริษัท เคล็ดไทย จำ�กัด 117-119 ร่วมบุญจัดส่ง ถ.เฟื่องนคร แขวงวัดราชบพิธ เขตพนะนคร กรุงเทพฯ 10200 www.kledthaishopping.com บริษัท ดอคคิวเมนนท์ พาเซล เอ็กซ์เพรส จำ�กัด (DPEX) ร่วมบุญจัดส่ง 60 ซอยอารีย์ 5 เหนือ ต่างประเทศ ถ.พหลโยธิน แขวงสามเสนใน เขตพญาไท กรุงเทพฯ 10400 (www.dpex.com) พระพรหมคุณากรณ์ ป.อ.ปยุตโต/ Special thanks พระปิยะลักษณ์ ปญฺญาวโร/ พระมาโนช ธมฺมครุโก/ สุลักษณ์ ศิวรักษ์/ สุรสีห์ โกศลนาวิน/ ถนอมวรรณ โกศลนาวิน/ อุดม แต้พานิช/ ชาลี ประจงกิจกุล กลุ่มพัฒนาจิตเพื่อชีวิตดีงาม รบฮ. ออกแบบปก ห้างหุ้นส่วนจำ�กัด กู๊ด-พริ้นท์ พริ้นติ้ง พิมพ์ที่ 4/6 ซอย 5 ถ. ช้างเผือก ต.ศรีภูมิ อ.เมือง เชียงใหม่ 50200 โทร : 053-412556 แฟกซ์ : 053-217264

ธรรมกลาย Issue จำ�ได้ว่าเมื่อครั้งยังเด็ ก เคยมีโอกาสไปเข้าร่วมการ อบรมฝึกจิตใต้สำ�นึกโดยมีเหยื่อล่อให้ไปเรียนคือ การสอนใช้ กระดาษตัดตะเกียบ วิทยากรเป็นคนเก่งมากใช้ก ระดาษบางๆ แผ่นเดียวตัดตะเกียบได้ตั้ง 15 คู่ในการฟันกระดาษครั้งเดียว เขาอธิบายว่า “ความเชื่อ” เป็นแหล่งกำ�เนิดพลัง ฉะนั้นจงต้อง แสร้งเชื่อก่อน เมื่อแสร้งเชื่อจนมีความมั่นใจแล้ว จะทำ�ให้เกิด ความฮึกเหิมกล้าหาญจากสภาพจิตทีม่ พี ลัง และทำ�อะไรก็จะสำ�เร็จ เมื่อโตขึ้นจึงเข้าใจว่า “ความเชื่อ” ที่ว่า ในภาษาศาสนา เขาเรียกกันว่า “ศรัทธา” นี่เอง ยิ่งคนที่เข้าไปมีศรัทธาในศาสนา นั้นมากเท่าไหร่ ความสำ�เร็จในการปฏิบัติก็มากขึ้นไปด้วยเช่นกัน ตามหลักพุทธเขาก็เรียกกันว่า อินทรีย์ 5 ประกอบด้วย ศรัทธา วิริยะ สติ สมาธิ ปัญญา อันเป็นคุณสมบัติที่ต้องประคองกันไปใน ระหว่างปฏิบัติธรรม ซึ่งก็เป็นเรื่องสำ�คัญที่คนปฏิบัติควรจะเข้าใจ จนเมื่อไม่นานมานี้ ในขณะที่นั่งอยู่ในรถคิดเรื่องความ หมายของศรัทธาในปัจจุบันอยู่นั้น รถก็ไปติดไฟแดงอยู่ตรงสี่แยก แห่งหนึ่ง ดวงตาที่อยู่ไม่นิ่งได้บังเอิญเหลือบไปเห็นป้ายโฆษณา แผ่นใหญ่มากๆ แผ่นหนึ่ง เนื้อความของป้ายเขียนไว้ว่า ปีจอชง 100% ปีมะโรงชง 75% มะแมอีกกี่เปอร์เซ็นต์ ฯลฯ แต่ด้ว ยความ ที่ไม่คุ้นเคยกับศัพท์หมอดูทำ�ให้ความรู้สึกตอนเห็นแผ่นป้ายนี้แล้ว เกิดจินตภาพไปถึงกาแฟ แล้วพาลจินตนาการไปว่าปีจอนี่ต้องชง เข้มขนาดนั้นเลยหรือ กาแฟ100% นี่คงจะขมน่าดู อาจจะเป็นไป เพื่อการกระตุ้นต่อมอะไรบางอย่างในสมองแน่ๆ เพราะเท่าที่เคย ได้ยินได้ฟังมาราคาคงมิใช่น้อยเลยทีเดียว จึงเกิด ความเฉลียวขึ้น ในจิต อยากรู้ว่าใครกันที่เป็นผู้ชงเข้มตำ�หรับนี้ สุดท้ายสายตาก็ไล่ อ่านลงไปจนถึงมุมล่างขวามีชื่อบอกไว้ว่า คนชงกาแฟเข้มๆ นี้คือ พระ ส่วนร้านกาแฟนี้ก็คือวัดนี่เอง แต่ที่ยังไม่รู้ก็คือกาแฟแก้วนี้มัน จะราคาเท่าไหร่ และที่ว่าเข้ม 100% นี่จะเป็นกาแฟล้วนๆ หรือว่า เป็นน้ำ�เปล่าแต่งสีแต่งกลิ่นให้คนคิดว่าเป็นกาแฟ 100% กันแน่ จากที่คิดหลุด ออกไปไกลแล้ว ก็กลับมาเริ่มสงสัยว่าตกลงศรัทธา ในพุทธศาสนาของเรานี้มันชงกี่เปอร์เซ็นต์กันล่ะเนี่ย พระถนอมสิงห์ สุโกสโล บรรณาธิการ


8

4 8

16

16 22 34 36 38

34

39 40

Buddhist’s Mystery : ธรรมจักรหลักฐาน แห่งการทำ�ความดี มุมส่วนตัว : สิทธิพร บรรจงเพชร ความจริง = ชีวิต + จิตวิญญาณ มุมพิเศษ : ธรรม...กลายเป็นอะไรไปแล้ว VS. : อภิญญา เฟือ่ งฟูสกุล Vs. พระครู พิพธิ สุตาทร ปรากฏการณ์พระธาตุเสด็จ สะท้อนอะไรในสังคมไทย ธรรมไมล์ : ความขลัง ผ้าเหลืองเปื้อนยิ้ม : สืบจากความกลัว Hidden tips : พยากรณ์ชีวิต ลิขิตกรรม นำ�โชคปีใหม่ Time for ทำ� ธรรมะ(อีก)บท : เป็นหนึ่งนำ�มาซึ่งสันติ

22

M Mental O Optimum O Orientation M Magazine

สารบัญ


มุมใหม่ หมอเกาหลีใช้วิปัสสนารักษาจิตเภท อาการจิต เภทเป็น การป่วยทางจิตที่ไม่ทราบสาเหตุการ เกิดขึน้ ได้อย่างแน่นอน เมือ่ มีอาการทีว่ า่ นีแ้ ล้วจึงต้องได้รบั ยาระงับ ประสาทเพื่อไม่ฟุ้งซ่านก่อ น จากนั้นหากไม่ดีขึ้น อาจจะถึงกับต้องใช้ไฟฟ้าช็อต แต่หมอ จังซุน ยอง แห่ง โรงพยาบาลจิต เวชโกยาง เริ่มทำ�การทดลองให้ผู้ป่วย โรคจิตเภท (schizophrenia) ปฏิบัติวิปัสสนากรรมฐาน เพื่อให้คนไข้มีสติกลับมาพิจารณาอยู่ในกายของตน โดย จะแบ่งการปฏิบัติเป็น 3 ช่วง คือช่วงเตรียมตัว ช่วงฝึกสมาธิ และ ช่วงเจริญสติ ผลปรากฎว่าคนไข้ที่เข้ารับ การรักษา แบบนี้ มีปฏิกริ ยิ าตอบสนองทีด่ ขี น้ึ

3

บริษัทจัดหาคู่ญี่ปุ่นมุ่งเจาะกลุ่มพระสงฆ์ ด้วยความเป็นห่วงว่าศาสนาพุทธจะหายไปจากประเทศ ญี่ปุ่น เพราะพระระดับเจ้าอาวาสมุ่งแต่ปฏิบัติธรรมจน ไม่มีเวลาหาคู่ผลิตทายาทรับช่วงดูแลวัดต่อไป ทำ�ให้ ญาติโยมที่ศรัทธาในวัดทั้งหลายตัดสินใจแนะบริการรับ จัดปาร์ตี้หาคู่ให้แก่พระ จนมีวัดชื่อดังหลายแห่งจากหลาย นิกายใช้บริการรับจัดหาคู่มากขึ้น แม้แต่วัดจากนิกาย ชื่อดังอย่าง นิกายนิชิเรน และ นิกายชินกอน ก็ร่วมใช้ บริการแล้วเช่นกัน http://www.buddhistchannel.tv/index. php?id=44,10687,0,0,1,0

http://www.buddhistchannel.tv/ index.php?id=89,10752,0,0,1,0

พระจีนติดคุก 10 ปี เนื่องจาก ปรุงยาให้คนกินตาย เหตุเกิดเมื่อเจ้าอาวาสวัดแห่งหนึง่ ในมณฑลฉางผิง ปรุงยารักษาให้สตรีนางหนึง่ ซึง่ ป่วยเป็นโรค ข้ออักเสบสะเก็ดเงิน (Rheumatism) แต่ปรากฏว่าแทนที่ จะมีอาการดีขึ้น กลับกลายเป็นว่าหลังจากผ่านไป 4 เดือน สตรีนางนี้กลับเสียชีวิตด้วยสาเหตุที่แพทย์วินิจฉัยว่าโดน วางยาพิษจากตัวยาที่พระรูปนี้ใช้ แถมพระรูปนี้ก็ยังไม่ได้ มีใบประกาศทางด้านเภสัชกรเสียด้วย http://feeds.bignewsnetwork.com/?sid=204102808

จีนเตือนองค์ดาไลลามะอย่า เอาชีวิตมาทิ้ง หลี่ฉางผิง หนึ่งในกรรมการพรรค คอมมิวนิสต์แห่ง เสฉวนกล่าว เตือนองค์ด าไลลามะและกลุ่ม ผู้เคลื่อ นไหวเพื่อธิเ บตทั้งหลายว่า การพัฒ นาที่จีนจะ เข้าไปทำ�ในธิเบตเป็นเรื่องที่ใครก็หยุดไม่ได้ อย่าเอาชีวิต มาทิ้งเสี ย จะดีกว่า ทั้งนี้ค วามพยายามที่จะหยุดยั้งจีนใน การพัฒนาธิเบตภายใต้แคมเปญ Free Tibet ได้ส่งผลให้ เกิดม็อบขึ้นหลายม็อบและมีคนเสียชีวิตไปแล้ว ซึ่งนายหลี่ บอกด้วยว่าที่มีคนตายก็เป็นความผิดขององค์ดาไลลามะ ที่ส่งพวกเขาเข้ามา http://news.xinhuanet.com/english/

china/2012-03/07/c_131451979.htm


4

Buddhist’s Mystery

เรื่อง : กองบรรณาธิการ I ภาพประกอบ : รบฮ.

ธรรมจักรหลักฐานแห่งการทำ�ความดี

บ่อยครั้งที่ใครต่อใครไปวัด แล้วมักเห็นรูปวงกลมที่มี ลักษณะเหมือนล้อเกวียน ตามกำ�แพงวัด หรือบนแท่นปูนต่างๆ และหากใครช่างสังเกตอีกนิด ก็จะเห็นว่าซี่ล้อในแต่ละล้อมีจำ�นวน ไม่เท่ากัน มี 8 ซี่บ้าง 12 ซี่บ้าง หรือเยอะจนนับแทบไม่ได้ก็มี (สันนิษฐานว่าน่าจะมาจากความนิยมของช่างแกะ หรือช่างปัน้ นัน้ เอง) แถมบางที่ยังมีกวางหมอบอยู่ด้านข้างล้อเกวียนนั้นด้วย หากคนที่ ไม่ได้สนใจพระพุทธศาสนา อาจไม่เข้าใจว่าเป็นสัญลักษณ์ทางพุทธ ศาสนาอีกอย่างหนึ่งเช่นเดียวกับพระพุทธรูป แท้ที่จริงแล้วสัญลักษณ์วงล้อนั้นเรียกว่า ธรรมจักร หมายถึง ล้อแห่งพระธรรม เป็นสัญลักษณ์แทนการระลึกถึง พระธรรมคำ�สั่งสอนของพระพุทธเจ้า ส่วนประกอบของวงล้อ ดังกล่าวล้วนแล้วแต่มีความหมายในทางพระพุทธศาสนาทั้งสิ้น คือ “วงล้อรอบนอก” หมายถึงความสมบูรณ์ของพระธรรม “แกนกลาง” หมายถึงคำ�สอนของพระพุทธเจ้าซึ่งเป็นแก่นของการ ฝึกตนให้พ้นทุกข์ และ “กำ�” (ซี่ล้อ) 8 ซี่ หมายถึงอริยมรรค 8 (เห็นชอบ ดำ�ริชอบ เจรจาชอบ ทำ�การงานชอบ เลี้ยงชีพชอบ พยายามชอบ ระลึกชอบ ตั้งใจมั่นชอบ) กำ� 12 ซี่ หมายถึง อริยสัจ 4 (ทุกข์ สมุทัย นิโรธ มรรค) ที่พระพุทธเจ้าแสดงทั้งสิ้น 3 ครั้ง ครั้งแรกที่ป่าอิสิปตนมฤคทายวัน (อิสิปะตะนะมะฤคะ ทายะวัน) เมืองสารนาท แคว้นพาราณสี ครั้งที่ 2 และ 3 แสดงที่เมืองกฤตธาราโกติ แคว้นราชคฤห์ และที่เมืองไพสาลี จึง

เป็น 12 (3x4 = 12) ส่วนกวางที่หมอบอยู่ข้างๆ แสดงถึงสถานที่เกิด ขึ้นครั้งแรกของธรรมจักรนี่เอง ดังที่เรื่องราวถูกสืบทอดต่อมา ว่า หลังจากตรัสรู้แล้ว พระพุทธเจ้าทรงแสดงธรรมครั้งแรกชื่อว่า ธมฺมจกฺกปฺปวตฺตนสูตร (ธัมมะจักกัปปะวัตตะนะสูตร) แก่พระ ปัญจวัคคีย์ (พวกพระ ๕ รูป) จนพวกเขาได้รู้และเข้าใจธรรมะได้ใน ระดับหนึ่ง(บรรลุ) เป็นจุดเริ่มต้นของการหมุนล้อแห่งพระธรรม ถือ เป็นการประกาศหลักปฏิบัติเพื่อการพ้นทุกข์แก่ผู้ปฏิบัติตาม ว่ากันว่าข่าวการแสดงธรรมก็แพร่กระจายไปทั่วทั้งจักรวาล แม้แต่ เทวดายังมาฟังและช่วยกันประกาศข่าวนั้นด้วย ต่อมาในสมัยของ พระเจ้าอโศกมหาราช (กษัตริย์อินเดียราชวงศ์โมริยะ ครองราชย์ พ.ศ. 270 - 310) พระองค์ทรงเลื่อมใสในพระพุทธศาสนาอย่าง มาก ทรงสร้างพระสถูปเจดีย์จำ�นวนถึง 84,000 ในดินแดนประเทศ อินเดีย และอัฟกานิสถาน พร้อมกันนั้นในคราวสร้างพระมหาสถูปที่ สาญจี แคว้นโภปาล จึงได้สร้างธรรมจักรไว้ที่ประตูทางเข้าด้วย ถือ ได้ว่าเป็นจุดกำ�เนิดของธรรมจักรในเชิงสัญลักษณ์ ธรรมจักรทีเ่ ป็นล้อแห่งพระธรรมนีเ้ หล่าพุทธศาสนิกชน ได้ชว่ ยกันหมุน และเข็นสืบต่อกันมาเป็นระยะเวลา 2600 ปีแล้ว ถือว่าเป็นบุญของคนรุ่นหลังที่ยังได้รู้จัก ได้ฟัง ได้เรียนรู้เข้าใจ แต่ถ้าหากนำ�ไปปฏิบัติ คิดดี พูดดี ทำ�ดีตามหลักธรรมนี้ด้วย แล้ว ก็น่าจะเป็นการสร้างความสงบสุขให้กับชีวิตที่เป็นอยู่ ในปัจจุบันนี้ได้


มนุษย์จำ�นวนไม่น้อยตั้งแต่สมัยโบราณ จนถึงปัจจุบัน มีความเชื่อถือหรือไม่ก็หวั่นเกรง ต่ออำ�นาจผีสางเทวดา สิ่งศักดิ์สิทธิ์ อิทธิปาฏิหาริย์ต่างๆ พระพุทธศาสนากล้าท้า ให้สิ่งเหล่านั้นมีจริงเป็นจริง โดยประกาศอิสรภาพให้แก่ มนุษย์ท่ามกลางความมีอยู่ของสิ่งเหล่านั้น จากหนังสือ เรื่องเหนือสามัญวิสัย อิทธิปาฏิหาริย์ เทวดา พระพรหมคุณาภรณ์ (ป.อ. ปยุตฺโต)


6

Book Corner เศรษฐศาสตร์แนวพุทธ (Buddhist Economics) ผู้แต่ง : พระพรหมคุณาภรณ์ (ป.อ. ปยุตฺโต) จัดพิมพ์ : วัดญาณเวศกวัน แนวคิดที่แตกต่า งจากเศรษฐศาสตร์ก ระแสหลัก ของหนังสือเล่มนี้ถ อดความจากปาฐกถา จัดทำ�ขึ้นเป็น 2 ภาษาในเล่มเดียว กล่าวถึงเรื่องของการทำ�งาน การใช้ชีวิต การบริโภคแจกจ่าย ที่ล้วนเป็นกิจกรรมในการสร้างสรรค์คุณภาพชีวิต เป็นกิจกรรมในการพัฒนาคุณภาพชีวิตได้ ตลอดเวลา โดยมุ่งเน้นการทำ�ความเข้าใจใน “ฉันทะ และ ตัณหา” อันเป็นรากฐานของกิจกรรม ทางเศรษฐกิจต่างๆ ของมนุษย์ … สนใจติดต่อขอรับได้ที่วัดญาณเวศกวัน โทร. 02-482-7365, 02-482-7375 ต่อ 105 หรือ 108

ศิลปะการคิดใหม่ เปลี่ยนชีวิตคุณได้อย่างไร เขียน : จอห์น ฮันต์ แปล : โตมร ศุขปรีชา สำ�นักพิมพ์ : สวนเงินมีมา หนังสือศิลปะแฝงปรัชญาแนวคิด ของจอห์น ฮันต์ นักเขียนบทละครระดับรางวัลผู้อำ�นวยการฝ่าย สร้างสรรค์ระดับโลกของ TBWA ที่ถ่ายทอดถึงเรื่องของความคิด คือสิ่งที่ใช้กระตุ้นและผลักดันให้ โลกก้าวไปข้างหน้า โดยมีมุมมองว่าความคิดต้องเป็นหลักการทีม่ กี ารจัดการ หาใช่แค่ขณะของการ ค้นพบอย่างฉับ พลั น โดยบังเอิญ ชีวิตของคุณ จะเปลี่ย นแปลงได้ด้วยเมล็ดพันธุ์ความคิดใหม่ ที่ต้องการเวลาเพื่อให้วิวัฒน์ไปข้างหน้า

War of the worldviews: Science Vs Spirituslity เขียน Deepak Chopra, Leonard Mlodinow สำ�นักพิมพ์ : Rider books หนังสือศึกษาวิเคราะห์ เรื่องโลกวิทยาศาสตร์ กับ โลกจิตวิญญาณ โดยผู้ถกเถียงทั้งสองท่าน ที่มีทั้งความรู้อย่างดีเยี่ยม ทั้งเรื่องกฎเกณฑ์ทางวิทยาศาสตร์ หลักวิชาฟิสิกส์ และการนำ�สาระ ความเป็นวิทยาศาสตร์ มาอธิบายปรากฏการณ์ทุกอย่างบนโลก ทั้งสองเปิดโปงแง่มุมของวิชา วิทยาศาสตร์ที่โลกยึดถือกันเป็นสรณะว่า ที่แท้วิทยาศาสตร์ก็อาจจะกลายเป็นไสยศาสตร์ไปได้ เมื่อเชื่อมั่น แบบงมงาย พิจารณาทุกสิ่งทุกอย่างที่เกิดขึ้นบนโลกใบนี้แ บบแยกส่วน ละทิ้ง ความเกี่ยวพันธ์องค์รวมของสรรพสิ่งที่หลายบนโลกมนุษย์ ทั้งที่เป็นสิ่งมีชีวิต และสิ่งไม่มีชีวิต รวมทั้งความรู้สึกรับรู้ภายในจิต และจิตใต้สำ�นึก


www.WANGDEX.co.th


8

มุมส่วนตัว

เรียบเรียง : กองบรรณาธิการ I ภาพ : ชยพัทธ แก้วกมล


9

สิทธิพร บรรจงเพชร ความจริง = ชีวิต + จิตวิญญาณ เมื่อเอ่ยถึงงานศิลปะและความงาม คนแต่ละคนก็อาจมีนิยามที่แตกต่าง กันไปตามแต่รสนิยมและประสบการณ์ชีวิต ฉบับนี้เราจึงนำ�คุณมาพบ กับศิลปินหนุ่มเคราเฟิ้มใจดีที่ชื่อ สิทธิพร บรรจงเพชร ผู้มีแววตาอบอุ่น ปนขุ่นนิดๆ ผู้ที่ได้รับเชิญให้แสดงผลงานที่สมาคมฝรั่งเศส กรุง เทพฯ อยู่เป็นประจำ� เนื่อ งจากผลงานที่โดดเด่นและสัมผัสได้ ด้วยความคิด ที่ว่าความจริงนั่นแหละคือความงาม เราลองมาทำ�ความรู้จักตัวตนของ ผู้ชายคนนี้ไปพร้อมๆ กันเลยดีกว่าครับ


10 มุม: ความงามในสายตาของคุณเป็นอย่างไร ก็มีทั้งสิ่งที่ธรรมชาติสร้างขึ้น และสิ่งที่มนุษย์สร้างขึ้น มนุษย์สร้างเลียนแบบธรรมชาติ ทั้งสองด้านเป็นสิ่งมีอยู่แล้ว มุม: สิ่งที่มนุษย์สร้างขึ้นกับธรรมชาติสร้าง มันต่างกันอย่างไร คือสิ่งที่มนุษย์สร้างขึ้นก็เพื่อเลียนแบบ แต่ธรรมชาติสร้างตัวมันเอง มนุษย์เป็นผู้ลอกเลียนธรรมชาติ มุม: คุณพยายามนำ�เสนออะไรในงานของคุณ ให้คนได้คิด มันเป็นเหมือนการทำ�ปฏิสัมพันธ์กับคน เพราะงานที่ผมทำ�จะไม่มีชื่อ ไม่มีไกด์ ไม่มีอะไรให้ เราก็อยากจะรู้ว่างานที่ทำ�ออก มานั้นจะมีคนคิดและรู้สึกแบบที่เราคิดหรือเปล่า เป็นการทำ�ปฏิสัมพันธ์ เป็นการทดลองไปด้วย มุม: จะรู้ได้อย่างไรว่า เขาคิดเหมือนเราหรือเปล่า จากการพูดคุยบ้าง คือศิลปะนี่เป็นภาษาสากลนะครับ การหารูปมาส่งจากการประกอบงานขึ้นมาชิ้นหนึ่ง อย่างคนที่มาดู เราจะมี สัญลักษณ์ในงาน คนมาดูเขาจะเข้าใจได้ ผมจะทำ�งานนี้แบบตรงไปตรงมาสื่อสารแบบตรงไปตรงมา ไม่ได้มีซับซ้อนอะไร งานโฟโต้ก็ คืองานที่ใกล้เคียงความจริงทีส่ ดุ ฉะนัน้ งานทีอ่ อกมาก็ใกล้เคียงความจริงมากทีส่ ดุ มันสามารถเล่นปฏิสมั พันธ์กบั คนดูได้หลายระดับครับ มุม: อย่าง “ภาพผู้ชายหัวโล้น” ที่นั่งไขว่ห้าง คุณต้องการจะสื่ออะไร เป็นการสื่อถึงพฤติกรรมที่อยู่ในตัวเขาที่ได้ซ่อนอยู่ข้างใน ผมรู้จักนายแบบคนนี้ เขาเป็นเกย์ แต่เป็นเกย์ที่รูปลักษณ์ภายนอกเหมือนคน ธรรมทั่วไป แต่งตัวใส่เสื้อยึดธรรมดา แต่เวลาที่อยู่คนเดียว เขาก็แต่งตัวตามสไตล์ จะทำ�อะไรที่จัด แต่เขาจะแสดงออกให้คนทั่วไปเห็น ไม่ได้ มุม: ก่อนที่จะมาทำ�งานนี้ ลองทำ�อะไรมาบ้างหรือยัง ก็ลองไปเยอะ ชีวิตของผมจะเกี่ยวกับเรื่องการค้นหาเสียส่วนใหญ่ ยังไม่มีอะไรที่มันจัดจ้านมาก ช่วงหลังๆ เริ่มจะทำ�อะไรที่เป็นงาน concept เป็นอะไรที่ต้องมีการวางแผนและต้องดีพอสมควร มุม: แล้วเกิดอะไรขึ้น ทำ�ไมมาสนใจเรื่องความเสื่อมสลาย เรื่องจิตวิญญาณ ช่วงก่อนหน้านี้ในชีวิตได้เจออะไรหนักๆ มา เป็นการพลัดพรากจากสิ่งอันเป็นที่รัก คล้ายๆ เราไม่มีทางออก ไม่รู้จะทำ�อย่างไร เราก็เลย เริ่มอ่านหนังสือปรัชญา และหนังสือธรรมะมากขึ้น อย่างผมนี่ถ้าเจออะไร เหตุการณ์อะไรต่างๆ ก็จะพยายามทำ�ความเข้าใจกับมัน เลย อ่านหนังสือธรรมะ ทำ�ความเข้าใจมากขึ้นๆ มุม: ก็เลยกลายมาเป็น concept หลักของงานเลยใช่ไหม หลังๆ มาก็เริ่มอ่านมาตลอด คิด concept งานที่เป็นพื้นฐานของมนุษย์ อย่างเช่น ความสวยความงามก็ต้องเสื่อมสลายไปตามกาล เวลา รูปร่างของผู้หญิงที่ว่าสวยงาม ถึงเวลาก็ต้องเหี่ยวเน่าเปื่อยผุพัง ผมยังโยงไปถึงเรื่องพวกกามรมย์ด้วย คือเรื่องความสวยความ งาม ถ้าเรามองมันก็จะโยงไปถึงเรื่องของกามรมย์เลย เรื่องสรีระของผู้หญิงที่จะโยงให้จิตใจเราใฝ่ต่ำ� คล้ายๆ เหมือนว่าเราพยายาม ทำ�ความเข้าใจกับมัน ไม่ไปยุ่งกับมันมาก เพราะวันหนึ่งมันก็ต้องแปรเป็นโครงกระดูกหรือซากศพ อะไรประมาณนี้


11

มุม: ผลตอบรับจากงานนี้เป็นอย่างไรบ้าง เห็นว่าคนที่เชิญไปเปิดงานต่างๆ มักไม่ใช่คนไทย ผมไม่ได้คาดหวังอะไรมาก ใช่ครับ คนที่เชิญส่วนมากไม่ใช่คนไทย อาจเป็นเพราะผมเองไม่มีสถาบันการศึกษาคุ้มกะลาหัว ผมเป็น ตัวลึกลับตัวหนึ่งที่เป็นคนจากต่างจังหวัดที่เข้ามายังกรุงเทพฯ เป็นคนที่เข้ามาเสนองาน แต่ไม่มีใบปริญญาจากมหาวิทยาลัย ผมไม่มี รางวัลจากการประกวด คือผมเองไม่มีอะไรเลย อาร์ตแกเลอรี่มันก็ค่อนข้างจะปิด เมืองไทยก็ค่อนข้างจะเป็นอย่างนี้ ซึ่งก็มักปิดโอกาส ของผม การแสดงล่าสุดที่เวียดนามนี่ เพราะผมมีเพื่อนคนหนึ่งที่เอางานของผมไป แล้วเจ้าของแกเลอรี่เขาสนใจ ก็เลยนำ�ไปแสดง เหมือนที่มาเลย์เซียอะไรประมาณนี้ เพราะทางนู้นเขาไม่มีเรื่องแบ่งสถาบันกัน

มุม: คุณได้เรียน art มาไหม? ได้เรียนมาจากวิทยาลัยช่างศิลป์ ที่ลาดกระบัง แต่ไม่มีวุฒิทางปริญญาตรี คือศิลปินบ้านเรามักต้องมีดีกรีจากมหาวิทยาลัยชื่อดัง และ ต้องมีรางวัลจากเวทีอะไรก็ได้สกั เวทีหนึง่ ผมเองไม่มอี ะไรเลย สมบัตติ ดิ ตัวมาก็ไม่ได้มเี ยอะด้วย แต่กไ็ ด้ฝา่ ฟันมาจนแกลอรีเ่ มืองไทยเริม่ ยอมรับ มุม: ในแต่ละงาน คุณคิด concept จากอะไร ก็ชีวิตประจำ�วัน คือไม่ทราบว่าจะเหมือนทุกคนไหม คนที่ทำ�งานศิลปะนั้นเวลามีเรื่องอะไรในชีวิตประจำ�วันที่เข้ามาโดนใจ เราจะคิด วิเคราะห์ละเอียดกว่าคนทั่วไป คือมานั่งหารายละเอียด คิดว่าจะทำ�เป็นงานได้ไหม ผมเองคิดอยู่ตลอดเวลา ข้อมูลก็คือเรื่องของชีวิต ประจำ�วัน แต่ที่ผมคิดอยู่ทุกวันนี้คือเรื่องเกิด แก่ เจ็บ ตาย เท่านั้น มุม: นี่เป็นผลมาจากประสบการณ์ที่ผ่านๆ มาหรือ ครับ เป็นอะไรที่แย่ๆ ในชีวิต ทั้งความผลัดพรากและการไม่มีงานทำ� อะไรเยอะแยะไปหมด จึงได้อ่านหนังสืออะไรๆ มากขึ้น พยายามทำ�อะไรหลายๆ อย่าง แต่ก็ไม่สามารถบำ�บัดอาการทุกข์ตรงนั้นได้ มันก็ยังไม่ทำ�ให้ผมปลงได้ แต่ก็ทำ�ให้ผมสงบขึ้น เข้าใจชีวิตขึ้นบ้าง มุม: คุณเคยนิยามตัวเองว่าอย่างไร คือผมเป็นคนเลวที่ใฝ่ดี ชีวิตที่ผ่านมาทำ�อะไรไม่ดีไว้เยอะ ตอนนี้เราก็เริ่มใฝ่ดีแล้ว แต่ก่อนก็ตามวัย คือกินเหล้า เมา ตีรันฟันแทง เคย ทำ�ให้คนรอบข้างเสียใจสารพัดในช่วงหนึ่งของชีวิต มุม: แล้วอะไรทำ�ให้คุณเปลี่ยนไป ผมมาเริ่มเรียนศิลปะอย่างจริงๆ จังๆ และเริ่มทำ�งานนี้อย่างเดียว ตอนที่เราทำ�งาน เราได้เขียนรูป ก็เริ่มมีสมาธิมากขึ้น เราเริ่มเห็น ความสวยความงามรอบๆ ตัวเรามากขึ้น ความดิบๆ หยาบๆ ก็ค่อนข้างที่จะลดลงไป แต่ก็ยังมีอยู่บ้าง มุม: ถ้าอย่างนั้นจะมองว่าการทำ�งานศิลปะเป็นการปฏิบัติธรรมหรือไม่ ผมอาจอธิบายไม่เยอะ แต่ผมก็สามารถอยู่กับการวาดภาพโดยใช้สมาธิ อยู่กับมันได้นานๆ ต่อเนื่องเป็นวันๆ ทำ�จนกว่าจะเสร็จโดยใช้ สมาธิ ไม่วอกแวก คือใจจดจ่อกับงานที่เราทำ� มุม: การปฏิบัติสมาธิทางธรรมนั้นเป็นการรู้เพื่อละ แล้วในงานศิลปะคุณได้ละอะไรบ้าง ศิลปะก็ยงั เป็นกิเลสชนิดหนึง่ ทำ�ให้เห็นความสวยความงามเพิม่ ขึน้ แต่ในแง่ความหยาบ ความกระด้างในใจก็ท�ำ ให้ลดลง แต่กย็ งั เป็นกิเลสอยู่


ศิลปะนั้นไม่เคยทรยศใคร ของพวกนี้เปลี่ยนโลกได้ โดยเปลี่ยนจากภายใน สามารถทำ�ให้คนร้อน เย็นลงได้


13

มุม: งานศิลปะของคุณเหมือนใครบ้างไหม ได้ต้นแบบมาจากไหน ไม่ค่อยจะมีนัก งานของผมได้แรงบันดาลใจจากอาจารย์อิทธิ คงคากุล เป็นศิลปินภาพถ่ายของเมืองไทย เพราะสมัยที่ผมเรียนถ่ายรูป ใหม่ๆ ผมก็ถ่ายรูปไปแบบเรื่อยเปื่อย ผมได้ไปเห็นงานของอาจารย์รูปหนึ่งคล้ายๆ ว่ามันเปลี่ยนโลกของผม ซึ่งเป็นภาพเด็กยืนมองเทพี เสรีภาพค่อนข้างเล่นกับเทคนิคที่หลากหลาย สุดท้ายมาจบที่งานภาพถ่าย มันต่างกับงานภาพถ่ายที่ไม่มีชีวิตเนื้อหาอะไรเลยแต่แกเข้า ถึงเทคนิคและวิธีคิด ก็เลยพยายามศึกษางานจากแกเรื่อยๆ จึงทำ�ให้มาอยู่ตรงนี้ ขณะเดียวกันก็ทำ�เรื่องงานPainting ด้วย แต่หลังๆ มา ช่วง 6-7 ปีนี่ก็ทำ�ในเรื่องของภาพถ่ายอย่างเดียว เพราะเดินทางอยู่ตลอด งานแต่ละตัวไม่ว่าจะเป็นจิตรกรรม ประติมากรรม ฯลฯ ล้วน มีข้อจำ�กัดของตนเอง แต่งานภาพถ่ายสามารถเติมเต็มตรงนี้ได้ และหลายอย่างที่ Photo ขาด มุม: ทำ�ไมอยากกลับไปที่งาน Painting งาน photo ก็พอใจแล้วครับที่ได้แสดงงาน และได้แสดงที่ต่างประเทศ อันนี้รู้สึกภูมิใจเล็กๆ ได้ลงสื่อนั้นสื่อนี้ และได้รับเชิญไปเป็น อาจารย์พิเศษสอน photo ทำ�ให้ผมพอใจแล้ว เลยอยากจะกลับไปเริ่มทำ�งาน paint ใหม่ มุม: เป็นเพราะว่างาน Paint ฝีมืออาจจะไม่เท่างาน Photo หรือไม่ ไม่เกี่ยวครับ งาน paint นี่ผมต้องกลับไปหาสไตล์ของผมใหม่ ต้องไปเริ่มจากศูนย์ใหม่ มุม: คุณไม่กลัวหรือที่จะต้องเริ่มต้นใหม่ ไม่ครับ ผมไม่กลัว เพราะผมเริ่มทำ�อะไรใหม่ๆ ได้ตลอดเวลา ที่ผ่านมาผมไม่ได้ต้องการชื่อเสียงอะไร และผมก็พอใจแล้ว อยากจากไป ในขณะที่งานผ่านมากำ�ลังดีๆ อยู่ มุม: จุดมุ่งหมายในชีวิตของคุณคืออะไร ก็ยังไม่ทราบครับ คงทำ�งานศิลปะอย่างนี้ไปเรื่อยๆ โดยที่งานของผมไม่จำ�เป็นต้องเป็นเครื่องต่อรองทางการค้ากับใครก็ทำ�ไปได้เรื่อยๆ ไม่ได้หวังว่างานของผมจะเปลี่ยนเป็นเงินตราอะไรได้ และที่ทำ�ก็เพื่อทำ� ถ้าไปแขวนแล้วมีคนเข้ามาดูก็คือความสุข ความสุขอยู่ตรงนี้ จริงๆ งานอาจจะสร้างรอยยิ้มเล็กๆ ให้คนนั้นคนนี้ที่มาดู แค่นี้ก็พอแล้วครับ

มุม: วางโครงการในอนาคตไว้ยังไงบ้าง สิทธิพร: ผมตั้งใจจะไปเรียน Paint ต่อที่ประเทศอินเดีย อินเดียนี่เต็มไปด้วยประเพณีและวัฒนธรรม ผมเป็นพวกที่ชอบศึกษาพฤติกรรม ของคน ที่อินเดียน่าจะเป็นแหล่งข้อมูลและวัตถุดิบชิ้นดีเลย มุม: คุณจะไป ทั้งๆ ที่หลายคนไม่อยากจะไปอินเดีย เพราะมีความสุดขั้วต่างๆ นานา ผมค่อนข้างจะมองเรื่องนี้เป็นเรื่องธรรมดา เพราะชีวิตผมก็ติดดินมาอย่างนี้ตลอด ไม่ได้คิดจะขายงานเพื่อความสุข แต่มีความสุขจาก การทำ�งาน มุม: สำ�หรับคุณศิลปะคืออะไร คือทุกสิ่งทุกอย่าง ศิลปะนั้นไม่เคยทรยศใคร คิดว่าของพวกนี้เปลี่ยนโลกได้ โดยเปลี่ยนจากภายใน สามารถทำ�ให้คนร้อนเย็นลงได้ สามารถเชื่อมโยมและเปลี่ยนทุกอย่าง


14 มุม: เพราะฉะนั้นต่อไปนี้คุณจะไม่ทิ้งศิลปะ ใช่ครับ ผมถือว่าแต่ละคนมีหน้าที่ของแต่ละคน เช่นเดียวกับหน้าที่ที่ผมทำ� เพียงแต่ผมทำ�แล้วไม่มีใครมาด่า เหมือนตอนประถมฯ มัธยมฯ วิชาคณิตศาสตร์ ภาษาอังกฤษ ผมทำ�ไม่ได้เลย แต่เวลาผมวาดรูปจะมีคนมายืนล้อม ซึ่งศิลปะเป็นอย่างเดียวที่ผมทำ�ได้จริงๆ แต่ทำ�ได้เพราะชอบมันมาตั้งแต่เด็ก ศิลปะจะนำ�พาผู้ที่ชอบไปสู่จุดหมายของเขาเอง มุม: มีคนบอกว่ายุคนี้ศิลปินต้องเน้นงานขายด้วย คุณว่าไง ก็แล้วแต่เทคนิคของศิลปินแต่ละท่าน สมัยนี้บางคนว่าทำ�งานร้อยละ 50 เวลาที่เหลือเน้นงานขายร้อยละ 50 ก็เป็นรูปแบบของแต่ละ ท่าน งาน paint มีลักษณะของมันเองที่มีภาพต้นฉบับ แต่สามารถทำ�ออกมาจำ�หน่ายเป็นสำ�เนาได้ ยิ่งงาน photo ที่ศิลปินขายอาจไม่มี ต้นฉบับเลย แต่งานภาพถ่ายของผมมีต้นฉบับ คือจัดแสดงชุดเดียว หมดแล้วหมดเลย มุม: แล้วคุณไม่คิดจะ Copy ขายเหรอ? เพราะคนเขามองว่าภาพถ่ายทำ�ได้หลายชุด ส่วนของผมที่เหลือจากจัดแสดงก็เป็นของผม อย่างฝรั่งเองก็ทำ�สำ�เนา แต่เอาแค่ 10 edition หมดแล้วคือหมดแล้ว ลบรูปนั้นทิ้ง สมัยก่อนก็คือทำ�ลาย film negatives ให้เห็น แต่บ้านเราไม่ค่อยซื่อสัตย์ แม้แต่หนังสืออ่าน ที่บอกว่าจำ�กัดก็ยังออกมาหลายชุด ตรงนี้ก็เลยทำ�ให้งาน photo ไม่ค่อยมีคุณค่าในบ้านเรา มุม: คิดอย่างไรกับศิลปินที่เน้นการขายงานเป็นหลัก นั่นก็ถือเป็นทางออกอย่างหนึ่งของเขา ที่เขาต้องทำ�ประชาสัมพันธ์ของตนเองเพื่อให้คนรู้จัก แล้วเขาก็ขายงานได้ ซึ่งเป็นวิธีการที่แต่ละ คนจะหามา หลักๆ ผมเองมีทางบ้านที่คอยช่วยเหลือ และได้รายได้จากการไปสอนพิเศษบ้าง ครอบครัวมีฐานะปานกลางถึงขั้นต่ำ� พ่อเป็นพนักงานบริษัท ส่วนแม่ค้าขาย มีน้องสาวคนหนึ่งแต่ก็เรียนจบแล้ว น้องสาวทำ�งานด้านวิทยาศาสตร์ ซึ่งพ่อแม่ของผมไม่ค่อย เข้าใจหรอก แต่ผมเติบโตมาได้ขนาดนี้ เขาก็โล่งใจแล้ว ไม่ต้องไปติดยา ไม่โดนใครฆ่า เขาก็ดีใจแล้วเลยช่วยๆ ซะหน่อย แต่ก็ไม่ได้ เยอะแยะมากมายอะไร ขอเวลาให้ผม เพื่อที่จะทำ�อะไรให้เข้าที่เข้าทางไปก่อน มุม: คุณเคยท้อบ้างไหม เมื่อท้อแล้วทำ�อย่างไร? มีบ้างที่ท้อบ่อยๆ เพราะความอยากที่จะทำ�งาน มีหลายเรื่องที่มาโดนใจ ส่วนใหญ่จะเป็นทั้งเรื่องงานและจิปาถะ แต่เราก็ดึงตัวเองกลับ มาได้ แล้วเอาเรื่องพวกนั้นมาเป็นไฟต่อไป ผมก็มีวิธีจัดการคือพยายามคิดอะไรใหม่ๆ ทำ�ให้เราเกิดไฟ เราก็คิด team ใหม่ เราอาจคิด ไว้แต่ไม่ได้ทำ� เป็นการฝึกสมองเราไปเรื่อยๆ มุม: ได้ไปปฏิบัติธรรมบ้างไหม ยังไม่เคยเป็นจริงเป็นจัง เคยปฏิบัติที่บ้านบ้าง แต่จากใจที่วิ่งวุ่นก็เลยล้มเหลวไป มุม: เคยคิดที่จะบวชบ้างไหม? ผมเคยบวชเณรตอนเป็นเด็กๆ แต่เป็นการบวชระยะสั้นไม่ได้อะไรนัก ก็พยายามใช้ชีวิตอยู่ทุกวันพยายามดูอะไรไปเรื่อยๆ ก่อนครับ



16

มุมพิเศษ

เรื่อง : กองบรรณาธิการ l ภาพ : รบฮ.

ธรรม กลายเปนอะไรไปแลว



18 จากอดีตถึงปัจจุบันการเกิดขึ้นของไสยศาสตร์ คาถาอาคม อิทธิฤทธิ์ปาฏิหาริย์ จนไปถึงเครื่องรางของขลังต่างๆ มีอิทธิพลกับ คนทั่วโลก ไม่ได้จำ�เพาะเจาะจงว่าจะต้องนับถือศาสนาใด หรือลัทธินิกายใดเป็นพิเศษ และถ้าจะมองกันตามความเป็นจริงศาสนาทุก ศาสนาก็อิงแอบเอาสิ่งเหล่านี้มาประยุกต์ให้เข้ากับคำ�สอนของตัวเองทั้งสิ้น เพราะว่าสิ่งเหล่านี้เป็นสิ่งที่เกิดขึ้นแล้วเห็นได้ทันที สร้างความ รู้สึกว่ามีความเป็นรูปธรรมสูงจับต้องได้ สร้างความรู้สึกก้ำ�กึ่งว่าควรเชื่อหรือไม่เชื่อดี เพราะถึงจะมีก็ไม่ใช่สิ่งที่จะเกิดขึ้นได้โดยง่ายต้องอาศัย เหตุปัจจัยเยอะแยะมากมายทำ�ให้เกิดขึ้น จึงสร้างข้อกังขาให้แก่บรรดาสาวกและผู้เชื่อครึ่งไม่เชื่อครึ่งให้มองว่า “แม้ไม่เชื่อก็อย่าลบหลู่” และมองหาข้อดีของมันเข้าไว้ จะได้มาปรับใช้กับชีวิตในปัจจุบัน เช่น การดูดวงดูหมอก็มีข้อดีว่าถ้ารู้ จะได้เปลี่ยนแปลงดวงของตัวเองได้ ให้ความรู้สึกเหมือนกับว่า กำ�ลังจะเข้าห้องสอบ ถ้ารู้ข้อสอบล่วงหน้าก็จะได้ผ่านฉลุยเลยทีเดียวเชียว หรือ การสะเดาะเคราะห์ที่เกิดขึ้น ทั่วประเทศ หากมองในแง่ดีก็เป็นการสร้างความมั่นใจกับชีวิต เมื่อสภาวะจิตตกต่ำ�ขอให้มีอะไรนิดๆ หน่อยๆ มาค้ำ�ประกันความรู้สึกไว้ คงไม่กระไรนัก เพราะไม่ได้ทำ�ผิดอะไร เงินทองในกระเป๋าก็ของตัวเองไม่ได้เดือดร้อนใคร พอทำ�แล้วก็สบายใจ เหมือนจ่ายค่างวดผ่อนรถ ผ่อนบ้านไปเรียบร้อยแล้ว หากจะต้องจ่ายใหม่รอบหน้าเดือนหน้าก็ค่อยว่ากันไป ซึ่งก็เป็นทางออกหนึ่งของชีวิตปุถุชนคนธรรมดา และ พระพุทธเจ้าก็ได้นำ�ความเชื่อในส่วนนี้มาประยุกต์ให้เข้ากับหลักการของพระพุทธศาสนา โดยนำ�เอาพิธีกรรมที่ชาวบ้านเชื่อถือมาแล้วปรับ ให้สอดคล้องกับหลักการคิดให้ชีวิตอยู่ได้โดยไม่มีทุกข์เบียดเบียน พิธีกรรมจึงมีความสำ�คัญเพียงเป็นสื่อให้เข้ามาสนใจพุทธศาสนาเท่านั้น แต่ในอีกมุมหนึ่งอิทธิฤทธิ์ปาฏิหาริย์และพิธีกรรมต่างๆ ก็ดูเหมือนจะถูกทำ�ให้มีความสำ�คัญมากกว่าการเป็นแค่เปลือกของศาสนา สำ�หรับ บางที่บางสำ�นักถึงกับถูกทำ�ให้เป็นเรื่องสำ�คัญมากที่สุดยิ่งกว่าแก่นธรรมเสียด้วยซ้ำ� เพราะกิจกรรมเหล่านี้กลายเป็นแหล่งทุนสำ�คัญในการ ระดมทุนเพื่อสร้างความโด่งดังของบรรดาพระจอมขมังเวทย์ทั้งหลายรวมไปถึงค่าน้ำ�ค่าไฟที่เปิดใช้กันอย่างไม่คิดถึงที่มาของไฟฟ้าเลย ทีเดียว การจัดพิธีกรรมให้ดูยิ่งอลังการเท่าไรก็ยิ่งทำ�ให้คนมาสนใจได้มากเท่านั้น ทำ�ให้วัดวาอารามต่างๆ เร่งผลิตสิ่งศักดิ์สิทธิ์เหล่านี้ออกมา ขายเรื่อยๆ ไม่ว่าจะเป็นพระเครื่องชนิดต่างๆ พระธาตุที่เกิดจากการหลอมเศษแก้วติดกระดูก พระธาตุเก๊จากร้านค้าแถวท่าพระจันทร์ บางที่เพียงเอาเมล็ดข้าวบ้าง เศษดินปูนบ้าง มาปิดทองแล้วขายกันเป็นพันเป็นหมื่น แสดงมายากลเสกน้ำ�มนต์ออกมาเป็นพระธาตุ แล้วก็ อ้างกันว่าเทพนั้นเทพนี้ พระพุทธเจ้าองค์นั้น พระโพธิสัตว์องค์นี้ จะลงมาปกป้อง บ้างก็อ้างถึงวันสิ้นโลก (ซึ่งพระพุทธศาสนาไม่เคยให้ความ สำ�คัญเลย) มาเป็นจุดขาย ยังไม่นับที่มีสำ�นักใหญ่ที่รับทำ�บ้านจัดสรรบนสวรรค์ขายกันเป็นหลายสิบหลายร้อยล้าน ทำ�ให้เกิดความสงสัยว่า ปัจจุบันศาสนาพุทธที่ในเมืองไทยนับถืออะไรกันแน่ เพราะดูไปดูมาก็เหมือนจะเป็นเงินมากกว่าเป็นธรรม ในสามัญญผลสูตรหรือสูตรที่พูดถึงสิ่งที่เมื่อทำ�แล้วพระภิกษุดูไม่เป็นพระ ทำ�แล้วดูไม่น่าเลื่อมใส เรียกว่าเป็น “ศีล” แบ่งเป็น 3 ระดับคือ จูฬศีล แปลว่า ศีลอย่างน้อย มีการเว้นจากการฆ่าสัตว์มีความเอ็นดูต่อสัตว์ เว้นจากการขโมย เว้นจากเรื่องการร่วมเพศ เว้นจากการพูดโดยไม่คิดทำ�ให้เกิดความเสียหายต่อตนเองและสังคม เว้นจากการฉันอาหารในเวลาไม่เหมาะสม เว้นจากการซื้อขาย เว้น จากการรับสินบน ล่อลวง ตลบตะแลง จนไปถึงการเว้นจากการรับภาระต่างๆ มาดูแล เช่น กิจการการค้าต่างๆ ซึ่งศีลในส่วนนี้บางข้อทำ� แล้วถึงกับขาดจากความเป็นพระเลยทีเดียว มัชฌิมศีล แปลว่า ศีลอย่างกลาง ต้องเว้นจากการสะสมสิ่งของ พรากต้นไม้ขุดดิน ดูการเล่นการแข่งขันทุกชนิด เว้นจากการพนัน ทุกชนิด ต้องอยู่อย่างพอเพียงไม่หรูหรา ต้องสะอาดแต่ไม่แต่งตัวไม่ทำ�ให้ตัวเองดูดีด้วยการตกแต่งเสื้อผ้า หน้า ผม ไปจนถึงการเพาะกาย ไม่ยุ่งกับเรื่องที่ไม่ควรยุ่ง เช่น การเมือง โลกแตก รถยนต์ เทคโนโลยี ล้วนสงเคราะห์เข้าได้หมด เว้นจากการพูดแก่งแย่งทุ่มเถียงกัน ทำ�หน้าที่เป็นนายหน้า หรือพูดหลอกลวงเพื่อให้ได้ลาภ เป็นต้น มหาศีล แปลว่า ศีลอย่างใหญ่ คือการเว้นจากการเลี้ยงชีพด้วยการดูดวง ดูหมอ ดูดาว ดูฤกษ์ต่างๆ ดูลักษณะ โหงวเฮ้ง ฮวงจุ้ย นรลักษณ์ หรือพยากรณ์ใดๆ ทั้งหมด ซึ่งในพระไตรปิฎกเรียกว่า เดรัจฉานวิชา แปลว่า วิชาที่ขวาง (อาจจะหมายถึงขวางทางเจริญของ ความเป็นสมณะ) ซึ่งไม่ได้หมายความว่าพระภิกษุห้ามมีปฏิสัมพันธ์กับใครเลย พระพุทธเจ้ากลับสอนเสียอีกว่าในขณะที่ไม่ยุ่งเกี่ยวกับเรื่องเหล่านี้ พระภิกษุก็ต้องช่วยเหลือชุมชนให้ได้ แต่ต้องช่วยอยู่ในบริบทที่เหมาะสมและมีความรู้ในการช่วยเหลือพอเท่านั้น ไม่ใช่ว่าไม่มีความรู้อะไร ก็พยายามเข้าไปช่วย ศีลเหล่านี้อาจไม่ค่อยมีคนพูดถึงนัก เพราะไม่ได้รวมอยู่ในศีล 227 ข้อของพระ แต่ก็เป็นเรื่องที่จะถูกถามถึงความ



20

เหมาะสมอยู่บ่อยครั้งเวลามีพระมาทำ�อะไรแปลกๆ แล้วเป็นข่าว แล้วไม่นานก็จะเลือนหายไปตามระเบียบ และที่น่าตั้งคำ�ถามมากกว่า ก็คือ พระที่อ้างว่าตัวเองทำ�คุณวิเศษต่างๆ นานา เคยทำ�อะไรเพื่อสังคมบ้างนอกจากการขอให้ญาติโยมบริจาคเยอะๆ เผื่อจะมีเทวดาลงมา ช่วยให้ผ่านพ้นอุปสรรค์ต่างๆ ในชีวิตไปได้อย่างง่ายดาย คล้ายกับหลักแนวคิดที่รอซุปเปอร์ฮีโร่ต่างๆ อย่างซุปเปอร์แมน แบทแมน ไอออน แมน มาคอยกอบกู้สถานการณ์คับขันในชีวิตให้ แทนการพยายามผ่านพ้นปัญหานั้นด้วยปัญญาของตนเอง เพียงแค่เปลี่ยนจากซุปเปอร์ฮีโร่ เหล่านั้นมาเป็นผีที่มีอำ�นาจวิเศษภายใต้ชื่อที่ดูศักดิ์สิทธิ์อย่างเทวดา มาร พรหม พระโพธิสัตว์ เท่านั้นเอง (เอ๊ะ หรือว่าเปลี่ยนจากผีเหล่านี้ ไม่เป็นซุปเปอร์ฮีโร่เหล่านั้นกันแน่นะ) ทำ�ให้ธรรมะที่สมควรเป็นเรื่องต้องพึ่งตัวเอง ฝึกฝนตนเองให้เป็นที่พึ่งให้ได้ ก็กลับกลายเป็นอัมพาต เพราะขาดสิ่งศักดิ์สิทธิ์และไสยศาสตร์ไม่ได้ ความอุ่นใจที่ควรจะมาจากความเข้าใจในความเป็นจริง กลับกลายเป็นความอุ่นใจที่มาจาก การยึดถือในพลังอำ�นาจสิ่งศักดิ์สิทธิ์ที่อาจจะแฝงอยู่ในเศษดินปั้นราคาแพงนี้แทน ซึ่งก็เป็นความเสื่อมที่เห็นได้ชัดเจนมาก ไม่ว่าจะเป็นพิธี สะเดาะเคราะห์แก้ดวงที่ต้องใช้เงินนับหมื่นนับแสน การเรียกร้องเงินจำ�นวนมากเพื่ออุทิศส่วนกุศลไปให้แก่ญาติมิตรที่เสียชีวิตไปแล้ว พิธีแก้กรรมจากการทำ�แท้ง การสวดภาณยักษ์ ไปจนถึงทัวร์ทำ�บุญ 9 วัด ซึ่งในพิธีกรรมเหล่านี้แทบไม่มีคำ�สอนของพระพุทธศาสนาอยู่เลย เป็นที่น่าสงสัยเป็นอย่างยิ่งว่าสถาบันการศึกษาของคณะสงฆ์ไทยดังเช่นกับมหาวิทยาลัยสงฆ์ ทำ�ไมไม่เคยแสดงความพยายามในการ จะแก้ไขเรื่องนี้เลย กลับกลายเป็นสนับสนุนกิจกรรมเหล่านี้เสียด้วยซ้ำ� หากสถาบันการศึกษาของสงฆ์ยอมจำ�นนกับทุนนิยมเสียแล้ว จะยังมาเที่ยวสอนเรื่องพระพุทธศาสนาอยู่ก็ดูเหมือนเป็นเรื่องตลกราคาถูกที่คนฟังรู้กันว่า “ดีแต่พูด” เท่านั้น ก็เป็นเรื่องน่าคิดว่าเมื่อหลักวิชาการความรู้วิวัฒนาการขึ้นถึงขนาดนี้ วิทยาศาสตร์ก็ก้าวหน้าขึ้นไปมาก ทำ�ไมชาวพุทธที่สมควร จะต้อง “ตื่น” จากไสยศาสตร์ กลับสนับสนุนกิจกรรมเหล่านี้อยู่อีกมากมาย เพราะแม้ยังมีบางสิ่งที่วิทยาศาสตร์ไม่สามารถพิสูจน์ได้ แต่หาก พิจารณาตามหลักเหตุผลที่ควรจะเป็นแล้วนั้น กิจกรรมเหล่านี้ไม่ได้เป็นไปเพื่อความหลุดจากทุกข์เลย พระพุทธเจ้าพูดถึงศาสตร์เหล่านี้ เพื่อเอาไว้อุปมาให้คนในสมัยนั้นเลิกงมงายเท่านั้น แม้แต่พระในสมัยโบราณที่พยายามนำ�ไสยศาสตร์มานำ�ให้เข้าไปหาพุทธ ก็ไม่ได้มี เจตนาจะให้หลงงมงายเข้ากับไสยศาสตร์ หากแต่พยายามจะนำ�ไสยศาสตร์ที่เป็นความเชื่อดั้งเดิมในท้องถิ่นมาปรับปรุงในเป็นพุทธ ซึ่งก็ เป็นเพียงการแก้ปัญหาในยุคนั้น เมื่อบริบททางสังคมเปลี่ยนไป วิธีการแก้ปัญหาก็สมควรได้รับการปรับเปลี่ยนด้วย เมื่อวิทยาศาสตร์เข้ามา มีบทบาทมาก ก็ควรเอาวิทยาศาสตร์มาเป็นที่พึ่งมากกว่าไสยศาสตร์ แล้วค่อยพัฒนาไปเป็นพุทธศาสตร์ก็น่าจะเข้าทีกว่าที่เป็นอยู่ทุกวันนี้ แม้แต่พุทธชยันตีซึ่งเป็นการเฉลิมฉลองการครบรอบ 2600 ปีแห่งการตรัสรู้ของพระพุทธเจ้า เราก็ยังไม่วายได้อาศัยโอกาสนี้ ในการหารายได้เข้าวัดเข้าประเทศไปเสียอีก แทนที่จะอาศัยโอกาสที่มีวาระอันสำ�คัญนี้ กลับมาพิจารณาหลักและทำ�การปฏิรูปปรับปรุง ระบบการปกครองคณะสงฆ์ที่ล้าหลังตกขอบไปแล้วดังเช่นทุกวันนี้ โดยเฉพาะอย่างยิ่งควรเร่งปรับเป็นประการแรกๆ คือการปรับปรุงระบบ การศึกษาของคณะสงฆ์ให้เป็นไปเพื่อเป้าหมายทางพระพุทธศาสนาจริงๆ และคณะสงฆ์ก็จะได้เป็นประโยชน์ต่อชุมชนและสังคมจริงๆ ดังเช่นสมัยก่อน ไม่เหมือนสมัยนี้ที่ยิ่งการแข่งขันทางสังคมมากขึ้น พระสงฆ์เองก็กลับห่างไกลจากความเป็นพุทธมากเท่านั้น



VS.

พื้นที่แลกเปลี่ยนมุมมองระหว่างพระกับโยมในศตวรรษที่ 21

VS.


เรียบเรียง : กองบรรณาธิการ I ภาพ : ปานวัตร เมืองมูล

พระครูพิพิธสุตาทร Vs. อภิญญา เฟื่องฟูสกุล

ปรากฏการณ์ พระธาตุเสด็จ สะท้อนอะไร ในสังคมไทย

23


24

ตั้งแต่อดีตจนถึงปัจจุบันความเชื่อเรื่องพระธาตุ ถูกใช้เป็นเครื่องมือในการสร้างศรัทธาให้คนสนใจในศาสนา จนไปถึงการยกระดับฐานะของวัด ทำ�ให้พระหลายรูปและวัดหลายวัดเริ่มทำ�การตลาดโดยการใช้พระธาตุเป็นเครื่อง มือ โดยเฉพาะปรากฏการณ์พระธาตุเสด็จของวัดปันเส่า ที่กำ�ลังโด่งดังจากการสะบัดน้ำ�มนต์ออกมาเป็นพระธาตุ “มุม” ฉบับนี้จึงได้โอกาสเชิญ ดร.อภิญญา เฟื่องฟูสกุล อาจารย์ประจำ�ภาควิชาสังคมวิทยาและมานุษยวิทยา คณะ สังคมศาสตร์ มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ ผู้มีความห่วงใยสถานการณ์ความเปลี่ยนแปลงในแวดวงพระพุทธศาสนา มา แลกเปลี่ยนความเห็นกับ พระครูพิพิธสุตาทร (ดร.พระมหาบุญช่วย สิรินฺทโร) พระนักวิชาการ อาจารย์ประจำ�ภาควิชา พระพุทธศาสนา มหาวิทยาลัยมหาจุฬาราชวิทยาลัย วิทยาเขตเชียงใหม่ (มหาวิทยาลัยสงฆ์) ในเรื่องปรากฏการณ์ พระธาตุเสด็จกับท่าทีที่ควรเป็นของชาวพุทธในไทย จะเป็นอย่างไรก็ลองพิจารณากันดูเลยครับ

อภิญญา : จำ�ได้วา่ หลายปีกอ่ นมีคนเคยทำ�หนังเรือ่ งหนึง่ เกีย่ วกับบุญบัง้ ไฟพญานาค (15 ค่�ำ เดือน 11) และในหนังนัน้ ก็พดู ถึงหลวงตา ท่านนั้น ท่านทำ�อย่างใจบริสุทธิ์ เพื่อต้องการจะให้คนศรัทธาและเชื่อถือและเข้ามา ทีนี้ถามว่ามันก็เป็นดาบ 2 คม เพราะมันก็เข้าข่าย การหลอกลวง แต่ในกรณีหลวงตานั้น ท่านก็ไม่ได้ลาภ ยศ อะไรจากสิ่งนี้ แต่อย่างที่บอกว่าพอมันผิด มันไม่ได้ผิดกระทงเดียว ผิด เรื่องหลอกนั้นกระทงหนึ่ง แต่อีกกระทงหนึ่งนั้นคือติดในลาภยศ ที่คนเขาเอามาให้ มันก็เลยกลายเป็นผิดซ้ำ�ผิดซาก ทีนี้แม้ว่าความ ศรัทธาเป็นฐานของปัญญา แต่ถ้าความศรัทธานั้น ทำ�ผิดตั้งแต่แรก แล้วเป็นศรัทธาที่ไม่นำ�ไปสู่ปัญญา มันก็น่ากลัว เพราะฉะนั้น เรา ก็สามารถที่จะสร้างศรัทธาถูกทางได้ตั้งแต่แรกไม่ใช่หรือ มันก็ไม่ใช่สิ่งที่ยากเกินไป ที่จะสร้างให้ถูกต้องตั้งแต่แรก เราจะสร้างศรัทธาที่ ถูกต้องได้อย่างไร เพียงแต่ว่าศรัทธาที่ถูกต้องมันอาจจะไม่หวือหวา มันอาจจะดูแล้วไม่ได้ทำ�ให้คนซี้ด ดิฉันมองว่าเรื่องนี้เป็นตัวอย่าง อันหนึ่ง ในกระแสที่ใหญ่กว่านี้ก็คือ กระบวนการในเชิงโครงสร้างที่ทำ�ให้ความศักดิ์สิทธิ์เป็นสินค้า อันนี้เรื่องใหญ่นะคะ เรื่องแบบนี้มัน มีความเชื่อในสังคมมานานแล้ว แต่ว่าที่มันเป็นปัญหา เวลาที่มันอยู่ในโลกาภิวัฒน์ ก็เพราะว่ามันมีกระบวนการ ซึ่งดิฉันเรียกว่าเป็น pushing กับ pulling factor คือในด้านหนึ่งตัวปัจเจกบุคคลเวลาอยู่ในโลกาภิวัฒน์ซึ่งเป็นยุคที่มีเทคโนโลยี เต็มไปหมด เทคโนโลยีพวก นี้มันควรจะทำ�ให้คน happy ขึ้น มีความมั่นใจ ฉลาดขึ้น แต่ปรากฏว่างานวิจัยทั้งหลายทั้งปวงที่ทำ�ออกมา จะบอกว่าในโลกาภิวัฒน์ หรือโลกานุวัฒน์ นี้ มนุษย์รู้สึก insecure มากขึ้น และรู้สึกว่าตัวเองอ่อนแอเปราะบางยิ่งขึ้น นี่คือความย้อนแย้งของโลกานุวัฒน์ คน จะรู้สึกไม่รู้ว่าตัวฉันเป็นใคร อยู่ที่ไหน เพราะว่าโลกานุวัฒน์มันทำ�ให้จังหวะชีวิตคนเร็วไม่รู้ตั้งกี่ 10 เท่า มันเป็นแรงกระตุ้นของระบบ ทุนนิยมที่เขาจะได้กำ�ไรเยอะ เขาจะต้องทำ�ให้การผลิต การบริโภคเร็วขึ้น เรียกว่า อัตรากำ�ไรที่หมุนรอบเร่ง เขาจะได้กำ�ไรเร็วขึ้นเท่านั้น เพราะฉะนั้นเราจะเห็นว่าจังหวะเวลาของคนกรุงเทพ ลอนดอน นิวยอร์ค กับ หนองหมาว้อ นี่ มันจะเร็วต่างกันเยอะมาก คนมันจะ สับสน หมุนคว้าง ไม่รู้ว่าตัวเองเป็นใคร เพราะฉะนั้นในแง่ของตัวบุคคลจะรู้สึกอ่อนแอ กับ หวาดกลัวท่ามกลางความหมุนติ้วของทุก สิ่งทุกอย่างของโลกในชีวิตประจำ�วัน ซึ่ง อ.สุลักษณ์ (ศิวรักษ์)ประดิษฐ์คำ�ว่า วัฒนธรรมแดกด่วน ขอประทานโทษมันเป็นคำ�ที่ตรง โดน มากเลย มันเร็วๆ ทุกอย่างเร็ว บีบๆ ถ้าเราช้าไปเฮือกหนึ่ง เราก็ตกเวทีไปแล้ว มี version อะไรออกมาใหม่ๆ เราก็ตามไม่ทัน เพราะ ฉะนั้นนี่คือสิ่งที่ทำ�ให้คนอ่อนแอ กลัว มากๆ เลย นี่เป็นด้านปัจจัยของตัวบุคคล นี่เป็นตัวโครงสร้าง มันมีระบบโครงสร้างที่ทำ�ให้ระบบ ทุนนิยมสามารถกลืนกินทุกอย่าง แม้แต่กระบวนการที่อยู่ตรงข้ามก็ถูกกลืนกินหมด เช่น กระบวนการสีเขียว จะต่อต้านโลกานุวัฒน์ แต่ก็ถูกทุนนิยมกลืนกิน ถ้าคุณไม่ขายสินค้าคุณก็อยู่ไม่ได้ เรื่องความเชื่อพุทธหรือไสยก็ตาม อาจจะฝืนกระแสทุน แต่ฝืนไม่ได้ ถูก กระแสทุนกลืนกินไปหมด สิ่งเหล่านี้ก็จะมากลืนกิน เราจะเห็นทุกวัดเลย ถ้าไม่ขายวัตถุมงคล ไม่ทำ�ให้พระอาจารย์ของตนเป็นเกจิ ก็ จะอยู่ไม่ได้ ถึงแม้ว่าพระอาจารย์หลายๆ องค์ไม่อยากจะเป็นเช่นนั้น สอนวิปัสสนา แต่คนที่เข้ามาน้อยคนที่จะสนใจสิ่งที่เป็นเนื้อหา คำ�สอน แต่สนใจมากกว่าว่าจะมีแสงออกมาจากตัวท่านไหม เหยียบโฉนดแล้วโฉนดของโยมจะขายได้ไหม คนต้องการแต่สิ่งเหล่านี้


เพราะฉะนั้นระบบต่างๆ ก็ง่ายมากเลยที่จะทำ�ให้สิ่งเหล่านี้เป็นสินค้า

25

พระครูพิพิธสุตาทร : กรณีเสกพระธาตุโดยลักษณะแบบนี้มันไม่เหมาะสมอยู่แล้ว ถ้าเราเอาหลักในทางพุทธศาสนามาจับ ประเด็นมัน อยู่ที่ว่า มีเรื่องของเจตนาอย่างที่ว่า (หลอกลวง) อยู่หรือเปล่า ซึ่งเราไม่อาจจะถึงขั้นที่จะบอกว่าต้องจัดการ แล้วก็เข้าสู่กระบวนการ อะไรต่างๆ ประเด็นมันอยู่ที่ว่า เวลาพูดเรื่องนี้ เวลามีคนนำ�เสนอ มันก็มีคนพูดในลักษณะว่า เจตนาแท้จริงคืออะไร เจตนาแท้จริงมัน ก็จะมีสองเจตนาหลักๆ ถ้าจะดูนะครับ อันที่หนึ่งก็คือว่าเป็นเรื่องการสอนธรรม ทำ�ให้คนเข้าวัด ทำ�ให้คนต้องมาปฏิบัติมากขึ้น ซึ่งก็ เป็นข้ออ้าง เป็นเรื่องที่จะบอกกับสังคมได้ว่าเจตนาของเขาจริงๆ คืออย่างนี้ ทำ�ให้คนเข้ามา แต่ในขณะเดียวกันภาพอีกด้านหนึ่งว่า คน จำ�นวนไม่น้อยที่อาจจะเสียทรัพย์ไปกับเรื่องเหล่านี้ วัดและตัวผู้กระทำ�เองก็ได้ประโยชน์จากสินค้า ได้ประโยชน์คือมีทรัพย์สมบัติ มี อะไรๆ มากขึ้นๆ ฉะนั้นมันก็ต้องพูดถึงว่าแท้ที่จริง เจตนาจริงๆ คืออะไร ซึ่งเราจะไปตัดสินแบบอย่างเด็ดขาด มันเป็นเรื่องที่ทำ�ได้ยาก ทำ�อย่างไรจะให้ชาวพุทธเรามีวิจารณญาณในเรื่องเหล่านี้ให้มากขึ้น ให้ความรู้แก่ชาวพุทธกับเรื่องเหล่านี้ให้มากขึ้น ซึ่งมันไม่ใช่แค่นี้ ถ้าเราพูดถึง ณ เวลานี้ คือเรื่องพระธาตุก็ส่วนหนึ่งล่ะ อาตมาเห็นว่าเราสนับสนุนระบบทุนนิยมอย่างมหาศาล ที่ขายวัตถุมงคล เดี๋ยว นี้ในวัดต่างๆ ขายสังฆทาน เห็นไหมว่าจริงๆ มันก็ไม่ได้ต่างอะไรกับกระบวนการของพระธาตุ คือเราก็สนับสนุนระบบทุน ขายอยู่ในวัด นะ ถังละ 20 บาท เดี๋ยวพอใส่ซองก็วนไปวนมา สรุปก็คือเรากำ�ลังสนับสนุนระบบทุนนิยม บริโภคนิยม เรายังไม่มีวิจารณญาณที่จะ วิเคราะห์ว่าเรากำ�ลังสนับสนุนหรือเรากำ�ลังมีท่าทีที่ถูกต้องต่อมัน เวลาอาตมาไปเทศน์ อาจจะมีพระบางกลุ่มบอกว่าทุบหม้อข้าวตัวเอง อาตมาบอกว่าไม่ ไม่ได้ทุบหม้อข้าว อาตมากำ�ลังให้ปัญญากับสังคมว่าทานที่เหมาะสมคืออะไร ณ เวลานี้เราไม่พูดเรื่องทานเฉยๆ คือ พูดเรื่องทานเฉยๆ มันไม่พอ เพราะคนไทยชอบให้ทานอยู่แล้ว แต่ทานที่เหมาะสมคืออะไร ตรงนี้ต่างหากที่คนไม่พูด พระทั่วไปก็ไม่พูด มีแต่พูดเรื่องโยมทำ�บุญทำ�ทานๆ ก็กลายเป็นว่าทานนั้นมันก็ไปสนองหรือไปสนับสนุนกระบวนการที่อาจารย์พูดถึง มหาวิทยาลัยสงฆ์ก็ แน่นอน ไม่สนับสนุนกระบวนการเหล่านี้ รวมทั้งกระบวนการอื่นๆ ด้วย อภิญญา : มันเป็นเรื่องตัวบุคคล ซึ่งพอเจอการ sanction เจอการเปิดโปงอย่างนี้ เขาจะต้องชะงัก แล้วเขาอาย เขาไม่กล้ามา อันนี้เป็น หนึ่งกรณี แต่ว่ามันเป็นตัวอย่างของกรณีที่ใหญ่กว่า ก็คือการที่ทุนนิยมกับบริโภคนิยมมันกลืนกินวัด ซึ่งมันมีทั้งแรงผลักแรงดึง แรง ผลักอันนี้ก็คืออย่างที่เห็นอยู่นี้ว่า เรื่องการหารายได้เข้าวัด เคยมีคนทำ�วิทยานิพนธ์ ตั้งแต่สมัยรัชกาลก่อนการเป็นสมัยใหม่ สมัยก่อน กษัตริย์อุปถัมภ์วัด ที่ดินกัลปนา มีอะไร มีค่าพระโยมสงฆ์ ลักษณะนี้คล้ายๆ เลย ประหนึ่งว่าพระสงฆ์จะมีที่ดิน มีค่าติดที่ดินถวายด้วย ท่านไม่ต้องทำ�อะไร คล้ายเป็นศักดินา ระบบศักดินา แต่พอเข้าสู่ความเป็นสมัยใหม่ ระบบนี้มันไม่มี แปลว่าต่อไปนี้หาเลี้ยงตัวเอง ใน กรุงเทพเขามีพื้นที่ เขาก็ให้เช่า ยอดนิยมอีกอันหนึ่งก็คืองานศพ 18 ศาลา 20 ศาลา อันนี้เราจะเห็นกระบวนการซึ่งรัฐร่วมด้วย ระบบ ของรัฐ ระบบของทุนนิยม ระบบตลาด โอ้โห! แล้วพระสงฆ์ สถาบันสงฆ์ก็ถูกกลืนกินโดยการที่รัฐกำ�หนดกฎแบบนี้ คุณจัดการ คุณหา เลี้ยงตัวเอง ไม่พอ คุณมีการออกประกาศอีก สมมติพระจะเลื่อนสมณศักดิ์เท่าไรๆ สมัยก่อนนะคะว่า จะต้องมีสิ่งก่อสร้างไม่ต่ำ�กว่ากี่ แสน อันนี้ทุกท่านรู้อยู่ ระบบแบบนี้มันทำ�ให้คนเป็นเจ้าอาวาสต้องคิดใช่ไหม จะทำ�ยังไงถึงจะมีสิ่งก่อสร้างเท่านี้ๆ ท่านเจ้าอาวาสเป็น ปัจเจกบุคคล ท่านถูกไอ้โครงสร้างแบบนี้บังคับให้ท่านต้องหาเงินเข้าวัด พระครูพิพิธสุตาทร : ไม่ทำ�อะไร โยมรอบวัดก็จะพูดอีกว่า พระมาอยู่ไม่เห็นทำ�อะไร ไม่สร้างอะไรเลย อภิญญา : เมื่อเห็นพิธีกรรมทางไสยดังกล่าว ดิฉันก็รู้สึกอึ้งปนทึ่งในแง่ที่ว่ามันมี power ที่แรงมาก สื่อถึงความโหยหาของคน คนที่


26 ต้องการมันอย่างเหลือเกิน แย่งจตุคามจนเหยียบกันตาย แล้วก็กระแสกุมารที่นักธุรกิจจากฮ่องกง เขามาซื้อตัวละเป็นแสนๆ เขายัง ไม่ขายเลย เพราะฉะนั้นเราจึงเห็นถึงความโหยหา ความต้องการอย่างลึกซึ้งรุนแรง ซึ่งพ่อค้าเขาก็ทำ�สนองต่อสื่อด้วย อันนี้มันแรงมาก มันเป็นโครงสร้างของโลกานุวัฒน์ แต่ถ้าถามถึงความหวังที่เราจะแหวกกระแส ก็ขอตอบว่ามี เราก็จะพบกระแสของคนที่พยายาม ที่จะรื้นฟื้นสิ่งต่างๆ กระแสวิปัสสนา กระแสอะไรๆ เราก็จะพบสิ่งนี้เกิดขึ้นเช่นกัน ดิฉันคิดว่ามันเหมือนกฎฟิสิกส์ เมื่อแรงเหวี่ยงไปขั้ว หนึ่ง มันจะทำ�ให้เกิดแรงต้านตอบ เพราะฉะนั้นโลกานุวัฒน์จะผลิตพลังที่ต่อต้านมันเองออกมา อันนี้ก็เป็นความหวังเล็กๆ แต่ว่ามัน จะงอกงามแค่ไหน มันจะทันกันไหม อันนี้ก็ไม่ทราบได้ แต่ว่าพลังต่อต้านมีอยู่ ก็ขอฝากความหวังไว้ที่มหาวิทยาลัยสงฆ์หรือความหวัง นอกมหาวิทยาลัยสงฆ์ก็ได้ พระครูพิพิธสุตาทร : มหาวิทยาลัยสงฆ์ก็มีการวิพากษ์วิจารณ์กันในลักษณะว่าเหมาะสมหรือไม่ เสร็จแล้วจบ ไม่มีอะไรที่ตกลงว่าควร ทำ�อย่างไร ไม่มีทางออกอย่างไร เพราะฉะนั้นมันก็เป็นปัญหาต่อว่า สิ่งที่อาจารย์มีความหวังว่ามหาวิทยาลัย หรือสถาบันการศึกษา ของสงฆ์จะช่วยให้แสงสว่างอะไรบางอย่างกับสังคม ก็อาจจะเป็นความหวังที่ต้องรอเวลา สถาบันการศึกษาของสงฆ์จะมีขึ้นไหม ถ้า ในมุมมองอาตมาในฐานะที่เป็นอาจารย์สอนที่นี่ อาตมาก็เห็นแววของพระนิสิตจำ�นวนไม่น้อย ที่เขาเห็นปรากฏการณ์แบบนี้ เขาก็มี ความรู้สึกว่ามันไม่ใช่แนวทางของพระพุทธศาสนาด้วยเหตุที่อาจจะยังเพิ่งเริ่มจะเรียนรู้ ยังต้องมีกระบวนการที่จะให้เขาเกิดการเรียนรู้ ในเรื่องลักษณะแบบนี้มากขึ้น พระนิสิตที่มาเรียนในสถาบันการศึกษาค่อนข้างเปิดให้ได้ใช้กระบวนการเรียนรู้เรื่องราวทางพุทธศาสนา มากขึ้น ได้ใช้โอกาสนี้ในการที่จะศึกษาเรียนรู้ทำ�ความเข้าใจ เมื่อมีโอกาสจะทำ�อะไรที่มันจะเป็นประโยชน์กับพุทธศาสนา ก็คิดที่จะ เริ่มทำ� ซึ่งคงต้องมาใช้กระบวนการของการจัดการศึกษาของมหาวิทยาลัยด้วย จริงๆ อาตมาคิดว่ามันอาจจะไม่ต้องเป็นพระพุทธ ศาสนาแบบบริสุทธิ์อย่างที่เราอยากจะให้มันเป็นจริงๆ เพราะพุทธศาสนาในสังคมนี้ มันมีการผสมผสานปฏิสัมพันธ์กับความเชื่อและ วิถีดั้งเดิมของคนในแถบนี้อยู่เยอะ ถ้าเรามองในแง่ของภูมิปัญญาของคนในพื้นที่แถบนี้ เราก็จะเห็นความรู้ขั้นสุดยอดอยู่เยอะแยะไป หมด แล้วความรู้ขั้นสุดยอดเหล่านั้นก็เป็นความรู้ที่ช่วยส่งเสริมสนับสนุนให้พระพุทธศาสนา ทั้งตอบประเด็นปัญหาของสังคม ขณะ เดียวกันก็ยังคงความเป็นพระพุทธศาสนาที่มีความบริสุทธิ์ในระดับหนึ่ง อาตมายกตัวอย่างเช่นว่า เรื่องของการมีสัตภัณฑ์ มันบ่งบอก ถึงแก่นของพระศาสนาก็คือ เรื่องของการไม่มีชนชั้นวรรณะ คุณบวชเข้ามาอยู่ต่อหน้าพระพุทธเจ้า วรรณะหายไปหมด นี่ก็คือแก่นอัน หนึ่ง แต่พอมีโต๊ะหมู่บูชามา ความเป็นชนชั้นวรรณะมันมากขึ้น คนที่จะไปจุดเทียนที่โต๊ะหมู่บูชา ก็ไม่ใช่คนหัวขาวอีกแล้ว กลายเป็น คนหัวดำ�ที่กินเหล้าเมายาอยู่ทุกวัน อะไรอย่างนี้เป็นต้น ความมีสาระตรงนี้มันหายไปไหน หรือว่าจริงๆ การที่มีสัตภัณฑ์ หมายถึงการ สร้างกระบวนการเรียนรู้ในสังคม ที่น่าสนใจก็คือว่า เป็นการขัดเกลาทางสังคม เป็น socialization ที่เด็กตัวเล็กๆ เดินทางเข้าวัดไปกับ พ่อกับแม่ ก็จะไปจุดเทียนตรงนั้นได้ ไปใส่ขันดอกได้ ไปทำ�กิจกรรมอะไรได้เยอะแยะไปหมดเลย อาตมาคิดว่ามีอะไรหลายอย่างที่ น่าสนใจ ในการที่จะทำ�ให้พระพุทธศาสนาตอบสนองต่อสภาพสังคม พระภิกษุหนุ่มๆ ทั้งหลายก็คงไม่ใช่จะเอาพระพุทธศาสนาแบบ วิทยาศาสตร์เท่านั้น อันนั้นก็ต้องเข้าใจว่าหลักการทางพระพุทธศาสนาเป็นอย่างไร แต่หลักการเหล่านั้นถ้ามันถูก apply ถูกบูรณาการ ในสังคมแต่ละสังคม ถ้ามีโอกาสศึกษาเรื่องราวของคนโบราณที่เขาสร้างสรรค์ตรงนี้มันเป็นภูมิปัญญาที่น่าสนใจ แล้วเราก็ลืมมันแบบ ไม่ได้ใส่ใจมันเลย ณ เวลานี้ เรื่องเหล่านี้มันต้องมีกระบวนการที่จะทำ�ให้เกิดการศึกษาเรียนรู้ อภิญญา : เพราะฉะนั้นเราต้องสร้างเครือข่ายการเรียนรู้ที่เป็นระบบอย่างต่อเนื่อง อันนี้สำ�คัญมากเลย แล้วก็ในเมื่อเราเปลี่ยน โครงสร้างการศึกษาในมหาวิทยาลัยสงฆ์มันลำ�บาก ทำ�ไมเราไม่สร้างหลักสูตรมหาลัยสงฆ์นอกระบบควบคู่กันไป เราไปรอให้ผู้ใหญ่ใน ระบบปฏิรูป เราคงไม่ทันแล้ว แต่พระหนุ่มเณรน้อยสามารถอาศัยช่องว่างสร้างเครือข่ายกัน สมัยก่อนดิฉันจำ�ได้ว่ามีเครือข่าย


สำ�หรับองค์กรสงฆ์ มันเป็น เรื่องตัวใครตัวมันอยู่แล้ว ไม่ได้เป็นองค์กรที่เข้มแข็ง ที่สามารถที่จะชี้ผิดชี้ถูกบอก ความจริงให้กับสังคมได้ ไม่มีระบบอะไรที่ชัดเจน


28 โพธิยาลัย พระแต่ละรูปมีความชอบความถนัดที่ต่างกัน องค์นี้ชอบเรื่องสิ่งแวดล้อม ท่านไปลุย องค์นี้ชอบเรื่องไปทำ�หนังสือ องค์นี้ ชอบเรื่องการศึกษา ต่างองค์ต่างลุย แต่ไม่ใช่ว่าต่างองค์ต่างทำ� ทำ�ยังไงถึงจะให้มีเวที ให้แต่ละองค์รู้ว่าแต่ละองค์ทำ�อะไรอยู่ ผลสรุป จากที่มีคนเข้าไปรีวิวเรื่องเครือข่ายพระสงฆ์นักพัฒนา เขาบอกว่าการรวมกันนี้มันล้า แต่เขาเห็นความพยายามเป็นจุดเล็กๆ แล้วต่าง คนต่างทำ� แต่มันขาดผู้นำ� ขาดการเชื่อมโยง ขาดการเรียนรู้และแลกเปลี่ยน พระครูพิพิธสุตาทร : บังเอิญว่าอยู่ในเครือข่าย เป็นผู้ที่มีบทบาทสำ�คัญที่ทำ�ให้เกิด ประเด็นมันอยู่ว่า พระเราที่มีความตั้งใจที่จะเรียนรู้ ทำ�งานตรงไปตรงมา ตรงนี้มีจำ�นวนหนึ่ง อีกจำ�นวนหนึ่งที่อาจจะมาตามแฟชั่น และในการคุยกัน ยิ่งเราอยู่ในพื้นที่ที่ห่างไกลกัน อย่าง ที่อาจารย์บอกว่าเป็นเจ้าอาวาส ก็ต้องหาเงินดูแลวัด จัดการวัด จะมาเจอกันแต่ละครั้งก็ไม่ใช่เรื่องง่าย เดี๋ยวนี้น้ำ�มันแพงอีก ประเด็นก็ คือว่ามันยังไม่มีทุนพอที่จะทำ� อย่างน้อยๆ ก็พอที่จะเป็นค่าน้ำ�มัน ถวายพอเดินทางไปมาหาสู่กันได้ เป็นเรื่องที่เราคิดว่ามันต้องมีการ สนับสนุนจากญาติโยม มันมีปัญหาตรงนี้ ณ เวลานี้พระก็ทำ�งาน มันก็มีเวทีแลกเปลี่ยนอยู่ในระดับหนึ่ง แต่ว่ามันยังไม่มีเวทีใหญ่ ที่ได้ คุยกันอย่างต่อเนื่อง มีแต่เวทีเล็กๆ คุยกันในแต่ละที่ เกิดขึ้นอยู่เรื่อยๆ ก็ยังเห็นพระที่ทำ�งานกันอยู่เป็นจำ�นวนมาก แล้วก็เป็นตัวอย่าง จริงๆ ถ้าพูดถึงภาคเหนือเมื่อเทียบกับอีกหลายภาค ชัดเลยว่าที่อื่นรวมไม่ได้เลย ที่อื่นจะมีแค่องค์ๆ เดียว ต่างคนก็ต่างทำ� แต่ที่นี่เราก็ อาศัยทุนที่เราพอหาได้จากแหล่งทุนที่พระทำ�งานอยู่ อภิญญา : อีกประเด็นหนึ่งคือ ชีวิตในระบบทุนนิยมจืดชืด มันมีการแข่งขันก็เครียดแล้ว แล้วทุกอย่างมันเป็นจังหวะแบบซ้ำ�ๆ กันใน routine ทุนนิยม ซึ่งต้องการทำ�ให้คนเสพอารมณ์ที่เข้มข้น รุนแรง ปาฏิหาริย์นี่มันสนุก มันมีรสชาติ มันตื่นเต้น เพราะฉะนั้น ไอ้การขาย ความตื่นเต้น สนุกที่สุดเลย ที่สื่อต่างๆ จะเล่นกับสื่อเหล่านี้ เห็นเลยว่ามีซีรี่ย์ละคร ที่สอนให้คนทำ�ดีได้ดี ทำ�ชั่วได้ชั่ว แต่อาศัยปาฏิหาริย์ อาศัยเรื่องลี้ลับตื่นเต้น คนชอบมาก ไปดูตามแผงหนังสือ เกี่ยวกับเรื่องลี้ลับ ปาฏิหาริย์ พระเครื่อง โอ้ย!! มีกระบวนการที่น่าสนใจมาก ที่ทำ�ให้ผีเป็นสินค้า เพราะฉะนั้นจะบอกว่า ไอ้การเสพสิ่งศักดิ์สิทธิ์ปาฏิหาริย์เป็นกระแสที่แรงเหลือเกิน มันมีทั้งความต้องการของฝ่าย ที่ต้องการจะเสพ แรงกระตุ้นจากสื่อและโครงสร้างแบบนี้ ที่ทำ�ให้มันเป็นสินค้าได้ง่ายเหลือเกิน ปรากกฎการณ์พระธาตุ จึงมองว่าเป็น หนึ่งในบรรดาเรื่องเหล่านี้ ซึ่งเราต้องเข้าใจมันในมุมกว้าง ถึงจะรู้ว่ามันแรงแค่ไหน พระครูพิพิธสุตาทร : กระแสที่เกิดขึ้นมันก็เป็นเพียงแค่ปรากฏการณ์หนึ่งของเรื่องราว ของระบบทุนนิยม บริโภคนิยม ที่มันถูกสร้างขึ้น ถูกกระทำ�ให้มันกลายเป็นกระแสหลักของสังคมโลก เมื่อมันเป็นอย่างนี้ ถ้าเราในฐานะที่เป็นพระสงฆ์ หรือในฐานะที่เป็นชาวพุทธรู้ ไม่ทัน มันก็เกิดปรากฏการณ์อย่างที่เรา ซึ่งอาจารย์บอกว่าทุนนิยมพระธาตุ มันก็เป็นแค่ปรากฏการณ์ จริงๆ แล้วมันก็มีปรากฏการณ์ อื่นๆ อีกแยะ อย่างเช่นเรื่องราวที่มีครูบาอาจารย์ที่อาจจะเพิ่งบวชมา บางทียังเป็นเณรอยู่เลย บอกว่าเป็นครูบาแล้ว ปรากฏการณ์ ครูบาก็ไม่ได้ต่างกันกับเรื่องนี้ ครูบาในความหมายของเมืองเหนือ ล้านนา มันต้องสั่งสมบารมี คือได้รับการยอมรับจากสังคมในระดับ ที่เรียกว่าพอสมควร แล้วก็ถูกยกย่องให้เป็นครูบา แต่ว่าปัจจุบันพูดถึงครูบามันก็กลายเป็นอะไรก็ไม่รู้ ทำ�ไมต้องเป็นครูบา ก็อย่างที่ ว่าถูกกระแสดังกล่าว มันยกขึ้นให้เป็นครูบา เราจะเห็นว่าพระสงฆ์ทั้งหลายที่มีชื่อเสียง ณ ปัจจุบัน ในที่นี้ก็คือชื่อเสียงทางด้านอิทธิ ปาฏิหาริย์ ทางด้านการที่จะยกตัวเองให้ขึ้นมากลายเป็นพระที่เป็นที่สนใจของคนทั่วไป มันถูกคนจำ�นวนหนึ่งที่เป็นคนที่อยู่ในกระแส นั่นแหละมากระทำ�ให้เป็น ยกตัวอย่างเช่นว่า ถ้าอยากจะเป็นพระที่มีชื่อเสียงอะไรขึ้นมา ท่านก็ต้องไปสังกัดนิตยสารเล่มใดเล่มหนึ่ง แล้วก็ถูกเขียนประวัติให้มีความน่าเชื่อถือ ให้มีอะไรให้มันไม่เหมือนคนปกติ จนกระทั่งกลายเป็นสิ่งที่เขาอยากจะให้เป็น ในที่นี้คือ กลุ่มทุน กลุ่มบริโภคทั้งหลาย ที่พยายามจะสร้างพระเหล่านี้ขึ้นมา ทั้งหมดก็เพื่อจะได้มีผลประโยชน์ในแง่ของวัตถุเสพบริโภคเพิ่ม


เราจะเห็นทุกวัดเลย ถ้าไม่ขายวัตถุมงคล ไม่ทำ�ให้พระอาจารย์ของตน เป็นเกจิ ก็จะอยู่ไม่ได้


30 มากขึ้น ไม่ได้ทำ�ไปเพื่อประโยชน์สาธารณะ ในที่สุดมันก็ย้อนกลับเป็นประโยชน์ส่วนตัวเอง ทีนี้พระก็มีทั้งที่อาจจะตามไม่ทันว่า กรณี แบบนี้มันกำ�ลังไปรับใช้ขบวนการบริโภคนิยม วัตถุนิยม ตรงนี้เป็นเรื่องที่สำ�คัญมาก เรารู้ทันไหม โดยส่วนใหญ่อาตมาคิดว่าพระยังรู้ ไม่ทัน สำ�หรับองค์กรสงฆ์ มันเป็นเรื่องตัวใครตัวมันอยู่แล้ว ไม่ได้เป็นองค์กรที่เข้มแข็ง ที่สามารถที่จะชี้ผิดชี้ถูกบอกความจริงให้กับ สังคมได้ ไม่มีระบบอะไรที่ชัดเจน เราก็จะเห็นกรณีสันติอโศก กรณีวัดพระธรรมกาย ก็มีท่านพระอาจารย์เจ้าคุณพระพรหมคุณาภรณ์ รูปเดียวที่ออกมาให้แสงสว่างกับสังคม แต่ถามว่าองค์กรเป็นยังไง ก็ไม่ได้มีอะไรที่มีความชัดเจนที่จะบอกกับสังคมว่าอะไรที่เป็นข้อเท็จ จริง นอกจากองค์กรไม่มีความชัดเจนแล้ว อภิญญา : ฟังแล้วก็รู้สึกถึงความโดดเดี่ยวอย่างนี้จริงๆ ในเชิงวิเคราะห์สาเหตุ ทำ�ไมในวงการสงฆ์ถึงได้มีลักษณะอย่างนี้ เราหาที่พึ่ง ตรงนี้ไม่ค่อยได้ ดิฉันคิดว่าในเชิงประวัติศาสตร์มันมีคำ�ตอบอยู่อันหนึ่ง รวมทั้งในเชิงของตัวคัมภีร์พุทธด้วย ในเชิงคัมภีร์บาลีเรานี่จะ เห็นได้เลยว่า มันมีสาเหตุที่ทำ�ให้เส้นแบ่งระหว่างพุทธกับไสยมันเบลอ สาเหตุอันหนึ่งมาจากที่ว่าในตัวเนื้อหาคัมภีร์พุทธเอง ท่านไม่ ได้ปฏิเสธการมีอยู่จริงของสิ่งเหนือโลก ผี เทวดา เมื่อไม่ได้ปฏิเสธสิ่งเหล่านี้ มันก็เลยง่ายมากที่จะทำ�ให้คนเชื่อ เส้นแบ่งมันเลยกลาย เป็นเส้นบางๆ อย่างที่เราทราบกันดีว่าถ้าเราเป็นพุทธเราจะไม่อ้อนวอนขอร้อง แต่ว่าไอ้เส้นแบ่งบางแสนบางนี้ ต่อให้เราบอกว่าเรา ปฏิบัติธรรมเก่งกล้าสามารถ แต่ถ้าเดินผ่านป่าช้าคนเดียว เอ๊ะ! พระเครื่องอยู่ไหน มันก็อดไม่ได้ มันหวิวๆ เพราะฉะนั้นท่าทีมันก็เป็น เส้นแบ่งบางๆ แล้วมันก็ทำ�ให้คนกระโดดข้ามไปมาระหว่างพุทธกะไสยได้ง่ายมาก อันนี้คือประเด็นที่หนึ่งที่ทำ�ให้เส้นแบ่งอันนี้มันเบลอ ประเด็นที่ 2 ในเชิงประวัติศาสตร์ การเข้ามาของพุทธในอุษาคเนย์ เราก็ทราบกันอยู่ว่าเข้ามาทีหลัง แต่อุษาคเนย์มีความเชื่อเรื่อง วิญญาณนิยม เชื่อผีสางนางไม้ เชื่อการใช้เวทย์มนต์คาถาเยอะมาก แข็งแรงมากอยู่ในพื้นที่นี่ก่อนที่พุทธจะเข้ามา และเมื่อพุทธเข้ามา มันมีประวัติศาสตร์ของการปะทะและประสาน มันไม่ใช่เป็นการเบียดขับ แต่มันเป็นการผสมกลมกลืน เพราะฉะนั้นจะพูดกันอยู่เสมอๆ ว่าไสยนี่ยอมให้พุทธอยู่เหนือเขา บางครั้งดูเหมือนกับว่ายอมๆ ให้พุทธอยู่เหนือ แต่ว่าในเนื้อๆ มันเป็นไสยครอบงำ�เยอะมากๆ ตัวอย่าง เช่น พระธาตุกับผู้หญิงอะไรอย่างนี้ การผสมกลืนอย่างสลับซับซ้อนระหว่างพุทธกับไสย มันมีมานานในสังคมอุษาคเนย์ ทำ�ให้พระสงฆ์ กลายเป็นพาหะผู้ถ่ายทอดพุทธปนไสย หรือว่าไสยเป็นหลัก พุทธอยู่ข้างนอกโดยไม่รู้ตัวเยอะมาก แล้วเราจะให้พระสงฆ์ท่านเป็นผู้นำ� ในการปลดเปลื้องตรงนี้ ในเมื่อจารีตประเพณีเป็นเช่นนี้มานับศตวรรษ มันยากเหลือเกิน แต่ไม่ใช่ว่าจะทำ�ไม่ได้นะ เราต้องเข้าใจว่ามี ที่มาที่ไป อันหนึ่งอยู่ในคัมภีร์ ซึ่งแม้ว่าจะบอกชัดเจนว่าท่าทีพุทธเป็นยังไง แต่ว่าคนมีความไม่มั่นคง อีกอันหนึ่งก็คือประวัติศาสตร์การ ผสมผสานอย่างสลับซับซ้อนระหว่างพุทธกับไสย แล้วพระสงฆ์เองนอกจากจะไม่รู้เท่าทันแล้ว ท่านเองเป็นส่วนหนึ่งของการถ่ายทอด องค์ความรู้เรื่องนี้ ถ้าเราอ่านขุนช้างขุนแผน เราจะเห็นว่าครูของขุนแผนเป็นพระสักตัวลายพร้อยเลย ที่จริงแล้วพระแบบท่านเจ้าคุณ พระพรหมคุณาภรณ์ ดิฉันคิดว่าเพิ่งจะมีมาไม่นาน เริ่มตั้งแต่สมัยปฏิรูปสมัยรัชกาลที่ 4 ที่พยายามจะแยกพุทธออกจากไสย ความ พยายามนี่เกิดขึ้นไม่นานมานี้เอง ประมาณ 100 กว่าปี ดิฉันก็ไม่คิดว่าจะทำ�สำ�เร็จ ก็ขอบอกตามตรงว่ายากมาก แต่ก็มีกระแสทำ�พุทธ ให้เป็นวิทยาศาสตร์ กระแสความนิยมในวิปัสสนา ซึ่งก็มาพร้อมกับความทันสมัย ดิฉันก็ไม่ค่อยแน่ใจว่ามันจะทันกันได้หรือไม่อย่างไร อันนี้ก็เห็นว่าเป็นปรากฏการณ์ที่เกิดควบคู่ไปกับความบ้าคลั่งเสพไสยเป็นสรณะด้านหนึ่ง อีกด้านหนึ่งเราจะเห็นความพยายามที่จะ ทำ�ให้พุทธเป็นวิทยาศาสตร์ รวมทั้งไสยเป็นวิทยาศาสตร์ควบคู่กันไป ความนิยมที่จะเกิดวิปัสสนาชนชั้นกลาง ก็เป็นรูปแบบหนึ่งของ การทำ�ให้พุทธเป็นเหตุเป็นผล เราจะเห็นกระแสพวกนี้ตีคู่กันมา พระครูพิพิธสุตาทร : ตัวสถาบันสงฆ์ หรือสถาบันการศึกษามหาวิทยาลัยสงฆ์เองยังไม่เห็นมีนักวิชาการในมหาวิทยาลัยสงฆ์ไม่ ว่าในกรณีใดๆ ในเรื่องที่ผ่านมาออกมาแสดงความคิดเห็นหรือชี้นำ�สังคมให้เกิดปัญญาตามแนวทางของพระพุทธศาสนาได้ ซึ่ง


31


32 ปรากฏการณ์ทางสังคมมันมีเยอะแยะมากมายที่เราสามารถใช้มุมมองทางพระพุทธศาสนาเป็นแสงสว่างชี้ช่องทางออกให้เหมาะสม กับสังคมได้ แต่ว่าเราก็ยังไม่ค่อยเห็น เรียกว่ามีน้อยมาก แม้แต่งานสัมมนาทางวิชาการอะไรต่างๆ เราก็ไม่ค่อยเห็นประเด็นที่เป็นเรื่อง ทางออกของสังคม ในวิกฤตของสังคมมากมายที่เราพูดถึงเป็นภาระของใครก็ไม่รู้ อาตมาก็ไม่ทราบ ก็เป็นลักษณะตัวใครตัวมัน บางที การมีพระสักรูปหนึ่งที่จะออกมาพูดถึง หรือวิพากษ์วิจารณ์ปรากฏการณ์ในมุมมองที่ถูกต้องก็จะได้รับผลกระทบ ซึ่งคนที่จะทำ�ได้ต้อง ยืนหยัดที่จะยอมรับแรงที่เข้ามาปะทะ ซึ่งความรู้สึกก็อาจจะบอกว่า ธุระไม่ใช่ ถ้าเกิดทำ�แล้วมันมีผลกระทบมา มันไม่มีใครที่จะมาโอบ อุ้ม มาสนับสนุนซึ่งกันและกัน กรณีแบบนี้มันก็เลยเกิดมีลักษณะที่บอกว่าตัวใครตัวมัน จะทำ�ก็ทำ�ไป ไม่ใช่เรื่องของฉัน อภิญญา : คือมันเป็นแรงบีบที่หนักหน่วงมากในสายพระ ส่วนเรื่องฝ่ายญาติโยม คือความเข้าใจที่คลาดเคลื่อนอย่างมหาศาล เรื่อง การทำ�ทาน เคยได้ยินคำ�ว่าซาอุเหลืองไหมคะ ปลายปี 2520 กว่าๆ มีการพาดหัวข่าวหน้าหนึ่งว่าตำ�รวจจับยกแก๊ง คือเขาเป็นคนจน มาจากภาคอีสาน นี่คือโครงสร้างการพัฒนาที่ล้มเหลว ท่านก็รู้ว่าเขาไปขุดทองที่ซาอุ แต่ทีนี้เขามาขุดทองกรุงเทพ เขามาทั้งหมู่บ้าน ตอนเช้าๆ ใส่จีวรชุดหนึ่ง เย็นๆ ก็กลับมากินข้าวกัน ผู้หญิงก็เป็นแม่ชี จะไปโทษเขาได้ยังไง ก็เขาจน ไม่มีวิธีทำ�มาหากิน แต่เขาทำ�ได้ เพราะอะไร เพราะวิธีการให้ การทำ�บุญที่ง่ายดายเหลือเกิน ผู้ใหญ่ที่ดิฉันนับถือคนหนึ่ง ไปอยู่ที่นั่น บอกว่า แม่ๆ มีคนห่มเหลืองมากด ออด ถามว่าแม่กล้าไปขอดูใบสุทธิไหม แต่เราก็ไม่รู้ว่าใบสุทธิปลอมหรือไม่ วิธีตัดรำ�คาญที่ง่ายที่สุด 20 บาท 30 บาท ใส่บาตรไป คือ นึกออกไหมคะว่าวิธีการที่มีผู้ถือบวชมายืนอยู่อย่างนี้ก็อึดอัด คนมอง ไม่ให้ก็น่าเกลียด นี่คือวิธีคิดในการทำ�ทาน เพื่อตัดปัญหาง่ายๆ ให้ไปซะ ก็จบๆ กันไป ดิฉันบอกได้เลยว่ามีอยู่เยอะมาก เพราะฉะนั้นทางหนึ่งคือตัวระบบมันก็เสีย แล้วอีกทางหนึ่งก็คือความเข้าใจ ที่คลาดเคลื่อนของผู้คนในการทำ�ทาน รวมทั้งเรื่องของความศักดิ์สิทธิ์ ความเข้าใจที่คลาดเคลื่อนและตัวระบบที่ล้มเหลวทั้งสองด้าน มันก็เป็นเรื่องปัญหาว่า เราอยู่ในระบบที่ต้องการมวลชนจำ�นวนมากอย่างรวดเร็ว หรือว่าเราจะเอาคนน้อยๆ แต่ว่าเชิงลึกที่มันถูกต้อง อันนี้เป็นสิ่งที่คิดว่า พระสงฆ์ท่านคงจะตอบได้ไม่ยากนักว่า ทางไหนเป็นทางที่ควรจะเลือกเดิน เพียงแต่ประเด็นที่เห็นพ้องกับ อ.มหา บุญช่วย และห่วงมากกว่าก็คือประเด็นเชิงโครงสร้าง มันใหญ่กว่าการที่คนถูกเค้าหลอก (พระก็ถูกหลอก) ซึ่งเราจะทำ�อย่างไร ดิฉัน ก็อยากจะนิมนต์และให้กำ�ลังใจ จะทำ�ยังไงกับการเชื่อมต่อพระนักพัฒนาที่มีประสบการณ์กับพระหนุ่มเณรน้อย ทำ�ให้พระหนุ่มเณร น้อยเรียนสิ่งเหล่านี้ ถอดประสบการณ์จากพระอธิการ หรือพระ NGO ในแบบอาวุโส พระครูพิพิธสุตาทร : ปัญหาที่เจอก็คือแหล่งทุนจะไม่ค่อยเห็นความสำ�คัญของการเป็นข่ายแบบนี้ ปัญหาของมันก็คือว่ามันไม่เห็น ผลลัพธ์ ที่มันชี้วัดออกมาได้ เพราะถามว่าเรียนรู้ เรียนรู้อะไร รู้หรือยัง รู้หรือเปล่า เพราะเวลาเราประเมินกระบวนการของข่าย มัน ประเมินยาก ซึ่งเมื่อเทียบกับการให้ทุนพระรูปหนึ่งไปทำ�งานเกิดผล เวลาที่ผลออกมามันจะชัด มันจะวัดอะไรได้ชัดเจน แต่ว่าพอทำ� ข่ายเพื่อให้เกิดการเรียนรู้ เพื่อให้เกิดกระบวนการเรียนรู้ เพราะฉะนั้นการลงทุนในเรื่องต่างๆ มันได้ผลหรือเปล่า มันเป็นเรื่องของสมอง คน การพัฒนาคน แต่ว่าพอมันวัดยากแบบนี้ แหล่งทุนก็คิด แล้วมันมีประโยชน์อย่างไร สามารถตอบแหล่งทุนได้ไหมว่า มันได้ผลลัพธ์ ตามที่แหล่งทุนเค้าต้องการ ในที่นี้ไม่ได้หมายความว่าต้องการอะไรที่มันเหนือ แต่เค้าก็อยากจะให้วัดผลให้ได้ว่า เรียนรู้แล้วได้อะไร เกิดอะไรขึ้น ข้อนี้เป็นจุดอ่อนอันหนึ่งของพระสงฆ์ ที่มันไม่มีคนช่วยทำ� ทั้งๆ ที่มีการแลกเปลี่ยนเรียนรู้กันมากมาย



34

ธรรมไมล์

เรื่อง I ภาพ : ภาณุวัฒน์ จิตตวุฒิการ

“ความขลัง” จะศักดิ์สิทธิ์แค่ไหน ก็ไม่พ้นความเสื่อมสลายอยู่ดี



36

ผ้าเหลืองเปื้อนยิ้ม ภาคพิเศษ ตอนเณรน้อยนักสืบ

คดีที่ ๑๙ : “สืบจากความกลัว”

เรื่อง : กิตติเมธี I ภาพประกอบ : บุคลิกลุงป้า bookalicloongpa@gmail.com


37 ณ ค่ำ�คืนอันเงียบสงบ เสียงทะเลาะกันของสายลมกับต้นไม้ดังผสานหวีดหวิว เหมือนหนึ่งใครมาผิวปากเป็นท่วงทำ�นองเพลง พร้อมท่วงท่ารายรำ�ของต้นไม้ที่โยกย้ายส่ายไปมา เงาสะท้อนแสงจันทร์สว่างไสวจนเห็นเงาทอดลงสู่พื้น แล้วทันใดนั้นเอง... เสียงบรรยายวิทยุเรื่องผี ดังพร้อมกับอาการอินกับเรื่องเล่าของสามเณรน้อยที่นั่งฟังอย่างตั้งใจ ก่อนจะถูกทำ�ลายความสงบด้วยหนู ตัวใหญ่ที่วิ่งขึ้นมาจากพื้นกุฏิ ทำ�ให้สามเณรน้อยต้องละจากการกลัวเรื่องผีหันมากลัวหนูแทน พระอาจารย์ออกมาพบพอดีจึงสอนขึ้น “นี่ละความกลัวของคนเรา หากไม่กลัวสิ่งหนึ่งก็กลัวอีกสิ่งไปเรื่อย แต่ที่เรากลัวที่สุดไม่ใช่กลัวสิ่งใดภายนอกตัวเราเลย แต่เป็นการกลัวตายต่างหาก เพราะที่เรากลัวตายจริงๆ ก็คือความไม่รู้ ไม่รู้ว่าตายแล้วไปไหน ไม่รู้ว่าทำ�ความดีมาพอหรือยัง ฉะนั้น เณรจะกลัวอะไรก็ให้รู้ว่ามีความตายรออยู่ข้างหน้าเสมอ และถ้าเณรไม่อยากตกใจกลัวก็ให้มีสติเสมอ” พูดเสร็จก็ได้ยินเสียงสาธุดังขึ้นทันทีจากสามเณรน้อย ก่อนจะหันมาสำ�รวจว่าหนูวิ่งไปไหนแล้ว “ทุกอย่างล้วนมีสาเหตุทั้งนั้น มีทุกข์ก็มีสาเหตุให้เกิดทุกข์ เช่นเดียวกับอาการกลัวล้วนแล้วแต่มีที่มา เณรไปหาเสีย แล้วแก้ที่จุดนั้น” พระอาจารย์แนะนำ�ต่อ สามเณรน้อยจึงมานั่งทบทวนเรื่องราวชีวิต ก่อนจะพูดขึ้น “นึกได้แล้วครับพระอาจารย์ คือมีครั้งหนึ่ง...” แล้วสามเณรน้อยก็เริ่มเล่า ...ตอนนั้นผมเป็นเด็กครับ ก็คิดว่าวันนี้จะกินมาม่า พอลองไปค้นหาตามตู้กับข้าว ก็เห็นห่อมาม่าที่แม่มักจะซื้อเก็บไว้เสมอ แต่ทุกห่อจะต้องถูกเจาะเป็นรู และมาม่าจะถูกแทะไปนิดหน่อย ผมโกรธมากไปบอกแม่ แต่แม่ก็ให้เหตุผลแบบผู้ใหญ่อีกว่า “หนูมันคงชิมดูนะว่าอยากได้รสไหน แต่ตอนนี้หนูคงรู้แล้วละว่าทุกห่อรสเดียวกัน ถ้าไม่ได้เติมเครื่องปรุง” แล้วแม่ก็หัวเราะชอบใจ ผมเองยิ่งเกลียดหนูมากขึ้น จนวันหนึ่งผมเดินไปที่ตู้กับข้าวได้ยินเสียงกุ๊กกั๊กก็เลยเดินไปเปิดตู้ หนูตัวเบ้อเริ่มกระโจมใส่จนผมล้มลงหยิบอะไรได้ก็ฟาด ไปเต็มที่ ไปโดนหัวมันพอดี คงเป็นเพราะถูกขังมานาน ความเร็วของมันเลยลดลง ตอนนั้นมันจ้องมองหน้า ผมไม่รู้จะทำ�อย่างไร จึงบอกมันไปว่า “ก็คนตกใจก็ต้องป้องกันตัวซิ อโหสิกรรมแล้วกันนะ” เสร็จแล้วผมรีบทำ�ลายหลักฐานทันที โดยเอาตัวมันใส่ถังไปทิ้ง แล้วบอกมันอีกครั้ง “ถ้าแกไม่อยากตาย ก็อย่ากลับมาอีก แล้วบอกญาติๆ แกด้วยว่าอย่ามา ไม่อย่างนั้นตาย” เสร็จแล้วตั้งแต่นั้น ผมก็ไม่เคยเห็นมันอีกเลย... สามเณรน้อยจบเรื่องเล่าด้วยอาการแปลกๆ เพราะเหมือนเรื่องเกิดขึ้นไม่นาน “เณรต้องทำ�บุญมากๆ แล้วแผ่เมตตาให้สัตว์มากๆ จะได้เพิ่มความดี และความรักมากกว่าจะเพิ่มความกลัว” พระอาจารย์แนะนำ�ต่อ เสียงตอบรับดังมาจากสามเณรน้อยทันที หลายวันผ่านไป พระอาจารย์ก็เห็นสามเณรน้อยถือกรงหนูที่บรรจุอยู่ด้วยหนูหลายตัวด้วยกันเดินผ่านหน้าไป “เณรไปเอาหนูมาจากไหนละนั่น” พระอาจารย์ถาม “ผมดักได้ครับ” สามเณรน้อยรีบบอก “นั่น ยังทำ�เวรทำ�กรรมกับหนูอีก ไปดักมันทำ�ไม ไม่รู้จักมีเมตตากับสัตว์บ้าง อย่างนี้ละถึงไม่หมดกรรมเสียที” พระอาจารย์เตือน “อ้าว ก็ผมทำ�ตามที่พระอาจารย์แนะนำ�ไงครับ” “แนะนำ�อะไรเณร” พระอาจารย์สงสัย “ก็ให้ทำ�บุญมากๆ ผมก็ปล่อยหนูคืนสู่ธรรมชาติไงครับ” สามเณรน้อยอธิบายต่อ พระอาจารย์ได้แต่ส่ายหน้าแล้วพูดขึ้น “ก็แล้วเณรดักมันทำ�ไม มันก็อยู่เป็นธรรมชาติของมันอยู่แล้วนี่” “ไม่ใช่ครับ ธรรมชาติของหนูต้องอยู่ในกองขยะ” สามเณรน้อยพูดเสร็จก็เทมันลงในถังขยะทันที พร้อมกับเสียงร้องทัก ของพระอาจารย์


38

hidden tips

เรื่อง : พระปณต คุณวฑฺโฒ I ภาพประกอบ : เพลง

พยากรณ์ชีวิต ลิขิตกรรม นำ�โชคปีใหม่

ไม่ต้องบอกเวลาตกฟาก ไม่ต้องเปิดไพ่ ไม่ต้องดูลายมือ หรือลายเท้า แต่ให้เข้าใจว่า ชีวิตปีไหนๆ เราก็ลิขิตเองได้ด้วยกรรม คือการกระทำ�ของตนเอง ลองนั่งสบายๆ หลับตา แล้วตอบตัวเองดูว่า ชีวิต ๑ ปีข้าง หน้ามีเป้าหมายอย่างไร อยากจะทำ�อะไร อยากเปลีย่ นแปลงอะไร? หากสิ่งที่ปรากฏในความคิด เป็นสิ่งดี และมีพลังใจเข้ม แข็งที่จะทำ�จริง พยากรณ์ว่าชีวิตปีหน้าจะรุ่งโรจน์ แม้ประสบ ปัญหาอุปสรรคใดๆ ก็จะมีกำ�ลังแก้ไข ให้ผ่านพ้นไปได้ด้วยดี หากสิ่งที่ปรากฏในความคิด เป็นเรื่องไร้สาระ บันเทิง หยำ�เป เมรัย นารี พยากรณ์ว่าชีวิตปีหน้าจะมีสุขชั่ว ประเดี๋ยวประด๋าว แต่จะต้องเศร้าตรมระทมเครียด ต้องเสียทรัพย์ หรืออาจมีหนี้สิน เจ็บป่วยง่าย สุขภาพกายใจไม่ค่อยดี ไม่ใช่หมอดูก็ทายได้...และที่จริงใครๆ ก็รู้ อยู่ที่ว่า จะทำ�ได้หรือไม่?

ประการหนึ่ง คือ จะเลือกตั้งเป้าหมายในชีวิตไปทางไหน จะตั้งใจไฝ่ดีหรือไฝ่ต่ำ� เหมือนเรือที่มีเป้าหมาย มีหางเสือกำ�หนด ทิศทาง ไม่ปล่อยให้เลื่อนลอย ไหลไปวันๆ ตามกระแสน้ำ�เชี่ยว ประการที่สอง คือ ความพากเพียรตั้งใจ ทำ�ให้เต็มที่ไม่ ยอมแพ้ ท้อแท้ สิ้นหวัง ประการที่สาม คือ จิตใจแน่วแน่ มั่นคง มุ่งตรงไปสู่เป้า หมายตรงหน้า ไม่วอกแวก ประการที่สี่ คือ ใช้ปัญญาพินิจ แก้ไข ท้าทายตัวเองเพื่อ ทำ�ให้ดียิ่งขึ้นไปอยู่เสมอ ทำ�ได้ดังนี้คือ ทางสู่ความสำ�เร็จ เป็นเรือที่มิใช่มี เพียงหางเสือ แต่ประกอบเครื่องยนต์ กำ�ลังแรง พามุ่งไปสู่ที่ หมายเริ่มต้นชีวิต ทุกวันใหม่ ปีใหม่ ถ้ารู้จักลิขิตชีวิตตนเอง ด้วยกรรมดี มีเป้าหมาย และพากเพียรก้าวไป ใครหน้าไหนก็ ไม่ต้องพยากรณ์...เพราะชีวิตลิขิตด้วยกรรม.


-

Time for ทำ� ปฏิทินตั้งโต๊ะที่ใช้แล้ว กลายมาเป็นบัตรคำ�อักษรเบรลล์ ปฏิทินตั้งโต๊ะเก่ามีค่า อย่าทิ้ง ร่วมบริจาคเพื่อคนตาบอด ปฏิทินที่มีรอยขีดฆ่า ขีดขูดอะไร ใช้ได้หมดเพราะ จะเอาไปทำ�บัตรคำ�อักษรเบรลล์ให้ค นตาบอด สามารถส่งปฏิทินเก่ามายังที่ โรงเรีย นสอนคนตาบอด เลขที่ 420 ถนนราชวิถี แขวงทุ่งพญาไท เขตราชเทวี กรุงเทพฯ 10400 หรือสอบถามรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ มูลนิธิช่วยคนตาบอดแห่งประเทศไทย โทรศัพท์ 02-354-8365-8 สามารถบริจาคได้ไม่มีกำ�หนด ดูเพิ่มเติมที่ www.blind.or.th

โครงการ “ธรรมะ ทำ�มะ 2600 ปี แห่งการตื่น 26 วัน เปลี่ยนชีวิต” 5 – 30 มิถุนายน 2555 “อตฺตา หเว ชิตํ เสยฺโย ชนะตนนี่แล ดีกว่า” เนื ่ อ งในโอกาสวาระครบ 2600 ปีที่พระพุทธเจ้า ตรัสรู้ปีแห่งพุทธชยันตี ปีที่โลกถูกขยับเขยื้อ นเพราะการตื่นของคนๆ หนึ่งต่อ กระบวนการของ ความทุกข์ ปีที่คนหนึ่งคนเห็นความเป็นไปข้ า งในของตัวเองเชื่อมโยงกับความเป็นไปข้างนอก ทางโครงการจึงชักชวนชาวไทยและเทศ ทุกเพศ ทุกวัยมาร่วมกันทดลองเปลีย่ นชีวติ สร้างนิสยั ใหม่ เอาชนะใจเรา ทำ�สิ่งที่เป็นประโยชน์ ลด ละ เลิกพฤติกรรมบางอย่าง ทำ�ให้สำ�เร็จติดต่อกัน 26 วัน เพื่อเป็นการเฉลิมฉลอง 2600 ปีแห่งการตรัสรู้ของพระพุทธเจ้า เปิดรับสมัครตั้งแต่วันที่ 1 มีนาคม ถึง 4 มิถนุ ายน ใครสนใจพบกันได้ท่ี www.tum-ma.com หรือ หน้า tum-ma ใน www.facebook.com

-

5

ร้อนนี้ ชวนอาสามาเล่นกับน้องหมา หากคุณอยู่ หรือมาเที่ยวเชียงใหม่ และมีใจรักน้อ งหมา ขอเชิญชวนคุณมาที่ศูนย์ แคร์ ฟอร์ ด๊อกส์ เพือ่ อาสาเล่นกับเพือ่ นใหม่ ไม่วา่ จะเป็นเกาพุง จูงเดิน หรือเพลินไปกับการอาบน�ำ้ ทำ�ความ สะอาดน้อ งหมาให้เอี่ยม รวมทั้งกิจ กรรมอื่นๆ ที่ส ามารถจะช่วยเหลือน้องหมาผู้รัก อิสระ (ไม่มีบ้าน) ได้ทุกวันจันทร์ – เสาร์ เวลา 9.00-16.00 และทุกวันพุธ เวลา 10.00 น. จะมีกิจกรรม พิเศษในการแนะนำ�อาสาสมัครมือใหม่ กรุณาใส่เสือ้ ผ้าชุดทีพ่ ร้อมจะเลอะเทอะ และรับความรัก จากน้อ งหมาได้ ณ ศูนย์ดูแลสุนัขจรจัด บ.เวียงดง ต.น้ำ�แพร่ อ.หางดง เชียงใหม่ (ห่างจาก ตัวเมืองเชียงใหม่ 15 กิโลเมตร) ติดต่อที่ 086-913-8701 หรือ www.th.carefordogs.org

โครงการก้าวย่างเส้นทางธรรม 3 เมษายน- 26 พฤษภาคม ร่วมเดินจาริกจาก เชียงใหม่ - นครปฐม กับ โครงการก้าวย่างเส้นทางธรรม ปีที่ 3 ซึ่งใช้เวลาเดิน ทั้งหมดราว 50 วัน (แต่ไม่จำ�เป็นต้องเดินตลอดเส้นทาง) เป็นการเดินทางที่ไม่ได้กำ�หนดสถานที่พัก อย่างชัดเจน ค่ำ�ไหนนอนนั่น สำ�หรับผู้ที่ต้องการเห็น โลกในมุมที่อาจจะยังไม่เคยเห็น ผู้สนใจ กรุณาติดต่อ สอบถามข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่ มูลนิธิ ห ยดธรรม 053-044-220 รับสมัครจำ�นวน จำ�กัด ไม่มีค่าใช้จ่ายใดๆ ทั้งสิ้น

3

39


40

ธรรมะ(อีก)บท

เรื่อง : ธรรมรตา I ภาพประกอบ : Pare ID

เป็นหนึ่งนำ�มาซึ่งสันติ

บนท้องฟ้าในห้วงแห่งดวงดาว ดาดาษไปด้วยหมื่นแสน ล้านจักรวาล เป็นความงดงามอันลี้ลับยากที่ใครจะเข้าใจได้ว่า อะไรที่ซ่อนอยู่ในก้อนหินมหึมาที่ลอยได้ ส่องแสงได้ หรือสะท้อน แสงได้เหล่านั้น แม้ว่าหลายคนอยากจะเรียนรู้ให้เข้าใจในวัฎฎะ แห่งจักรวาลและดวงดาว แต่ก็รู้สึกว่ามันยิ่งใหญ่และกว้างไกล เกินกว่าจะหยั่งถึงด้วยสติปัญญาและเนื้อที่สมองอันน้อยนิดนี้ อย่างไรก็ตามท่ามกลางความนิ่งงันอันตระการตา ณ จุดหนึ่งซึ่งสุดแสนไกลในขอบของขอบสุดเขตของเขตสุดจักรวาล ที่ไม่รู้ว่ามันอยู่ไหน แค่คิดในใจว่ามันน่าจะมีอยู่เท่านั้น ยังมีดาว อยู่ดวงหนึ่ง ซึ่งมีสภาพคล้ายๆ โลกมีสิ่งมีชีวิตหลากหลายสายพันธุ์ ภายใต้การปกครองของ ปัญญาสุกร สิ่งมีชีวิตที่รักสงบและชอบ ความสบาย ไม่สร้างสิ่งใดที่ไม่ใช่ธรรมชาติและบริโภคเพียงเพื่ออยู่ ได้เท่านั้น ไม่สะสมไม่กอบโกย ไม่แย่งชิง งดงามในวิถีแห่งความ เรียบง่าย จนไม่คิดว่าจะมีอะไรเกิดขึ้น บึ้ม! ... เสียงระเบิดดังสะนั่นก่อนจะมีฝุ่นควันลอยคลุ้งขึ้น บนฟ้าจนจะปิดแสงแห่งอาทิตย์ เงามืดค่อยๆ คืบคลานครอบคลุม พื้นที่ของดวงดาวไปครึ่งหนึ่ง สิ่งมีชีวิตแตกตื่นกันใหญ่ ไม่ใช่เพราะ หวาดกลัวเสียงดังหรือเงาดำ� แต่เป็นเพราะหมอกมืดนั้นซ่อนสิ่งโหด ร้ายและน่ากลัวอยู่ เสียงร้องอย่างเจ็บปวด รอยเลือดสาดกระเด็น พร้อมด้วยซากศพนอนเกลื่อนหลังจากหมอกดำ�ลอยผ่านไป

ตำ�นานแห่งดาวนี้เรียกมันว่า หมอกพยัคฆ์เหี้ยม สิ่งมีชีวิตที่โหดร้าย นักล่าผู้ไร้ความปราณี เมื่อมีผู้บุกรุกที่น่าชิงชังเช่นนี้มีหรือปัญญา สุกรจะอยู่นิ่ง พวกมันมารวมตัวกันกระโดดเกาะกันเป็นก้อนกลม ใหญ่ภายในกลวงที่เต็มไปด้วยสรรพอาวุธและเวชภัณฑ์ เรียกว่า สุกรสามัคคี เป็นการเคลื่อนทัพที่มีเอกลักษณะเฉพาะและเป็น ยุทธวิธีรบประจำ�เผ่า ก้อนสุกรสามัคคีกลิ้งไปปะทะกับเสียงคำ�ราม และกงเล็บของหมอกพยัคฆ์เหี้ยม หอกเขี้ยวสุกรพุ่งออกมาทิ่มแทง รวดเร็วแม่นยำ� ขณะที่เกราะเพชรประกบกันแน่นหนาเมื่อปะทะกับ กงเล็บพยัคฆ์เหี้ยมบวกกับการกลิ้งไปด้วยน้ำ�หนักหลายพันตันทับ ยานยุทธ์ของเหล่าพยัคฆ์เหี้ยมเสียย่อยยับ สุกรสามัคคีกลายเป็น เครื่องจักรสังหารที่หนักหน่วงแม่นยำ� พลานุภาพเช่นนี้ทำ�ให้หมอก พยัคฆ์เหี้ยมแหลกสิ้นไม่เหลือรอด เม็ดฝนตกลงมาทำ�ให้หมอก ดำ�ค่อยๆ จางไป ร่องรอยสู้รบยังหลงเหลือ แต่ปัญญาสุกรก็ปล่อย ให้มันเป็นไปตามธรรมชาติ แมกไม้ค่อยๆ ปกคลุมยานยุทธ์และ ซากศพก็ถูกจุลชีพ (สิ่งมีชีวิตเล็กๆ) กัดแทะเซาะจนสิ้นซาก นำ�ความงดงามเรียบง่ายกลับคืนมา ตำ�นานนี้มีความหมายมากขึ้น เมื่อมีเสียงกังวานมาจากอีกฟากจักรวาลว่า สูกเรหิ สมคฺเคหิ พฺยคฺโฆ เอกายเน หโต สุกรทั้งหลายพร้อมเพรียงกัน ยังฆ่าเสือโคร่งได้ เพราะใจรวมเป็นอันเดียว


มูลนิธิหยดธรรม ดำ�เนินการร่วมกันระหว่างพระและฆราวาสในการสร้างสรรค์ให้สังคมเกิดความดีงามโดยการใช้ธรรมะ ในการกล่อมเกลาจิตผ่านกิจกรรม การสร้างเสริมจิตอาสา สร้างเครือข่ายอาสาสมัครชุมชนให้ตระหนักถึงการอยู่ร่วมกัน อย่างเกื้อกูลเอื้อเฟื้อเผื่อแผ่ มีจิตใจเมตตาต่อเพื่อนมนุษย์ด้วยกัน อีกทั้งการจัดค่ายคุณธรรมตามสถานศึกษาต่างๆ ทัณฑสถาน และชุมชนที่สนใจ เพื่อให้เยาวชนและชุมชนได้ถ่ายทอดต่อไปยังคนรอบข้าง ไม่เพียงเท่านั้น ทางมูลนิธิหยดธรรมยังดำ�เนินงานในเรื่องของการจัดอบรมกรรมฐานและปฏิบัติธรรม สำ�หรับผู้สนใจ เพื่อ สุขภาวะของบุคคลและองค์รวม อีกทั้งการสร้างสรรค์สื่อธรรมะในรูปแบบต่างๆ รวมทั้งนิตยสารที่ท่านถืออยู่นี้ เพื่อที่จะได้ ถ่ายทอดและเผยแผ่ธรรมะออกไปในวงกว้าง ทั้งนี้ ในทุกกิจกรรมที่ทางมูลนิธิได้ดำ�เนินการ รวมทั้งสื่อต่างๆที่ทางมูลนิธิได้จัดทำ�และเผยแพร่เป็นไปเพื่อการสาธารณะกุศล โดยไม่คิดค่าใช้จ่ายใดๆทั้งสิ้นจากผู้เข้าร่วมกิจกรรม ทางมูนิธิดำ�เนินกิจกรรมผ่านน้ำ�ใจของท่านผู้มีจิตศรัทธา ที่หวังจะให้ สังคมของเราเกิดความดีงาม ท่านผู้มีจิตศรัทธาท่านใดต้องการสนับสนุนการทำ�งานของมูลนิธิ และร่วมเครือข่ายหยดธรรม สามารถติดต่อได้ที่ prataa@dhammadrops.org กรณีประสงค์สนับสนุนทุนในการดำ�เนินกิจการของมูลนิธิ สามารถสนับสนุนได้โดยการโอนเงินมาที่ ... มูลนิธิหยดธรรม

ชื่อบัญชี มูลนิธิหยดธรรม ธนาคารไทยพาณิชย์ สาขามหาวิทยาลัยเชียงใหม่ หมายเลขบัญชี 667-2-69064-3 ธนาคารกสิกรไทย สาขาย่อยมหาวิทยาลัยเชียงใหม่ หมายเลขบัญชี 557-2-03369-6

โปรดแจ้งการสนับสนุนโดยการส่งหลักฐานการโอนเงินมาที่โทร 085-995-9951 หรือ prataa@dhammadrops.org เพื่อที่ทางมูลนิธิสามารถออกโมทนาบัตรได้ถูกต้อง


ขอเชิญรวมเดินและรวมบุญ

"โครงการกาวยางเสนทางธรรม ครั้งที่ 3" การเดินจาริกแสวงบุญจากตัวเมืองเชียงใหมสูตัวเมืองนครปฐม และจากความวุนวายสูความสงบ ระยะทางประมาณ 700 กิโลเมตร (ไมจำเปนตองรวมตลอดเสนทาง)

ระหวางวันที่ 3 เม.ย. ถึง 26 พ.ค. 2555 เริ่มเดินจาก ประตูทาแพ จังหวัดเชียงใหม เวลา 14.00 น. ผานจังหวัดลำพูน เสนทางลี้ - เถิน ลำปาง ตาก กำแพงเพชร นครสวรรค อุทัยธานี ชัยนาท สุพรรณบุรี อยุธยา นนทบุรี นครปฐม สุดทางที่องคพระปฐมเจดีย สนใจรวมเดินหรือรวมสนับสนุนสามารถสอบถาม รายละเอียดที่ 080 048 1188 และ 053 044 220

*หากสนใจจะมารวมเดินกรุณาสอบถามเสนทางใหชัดเจนกอนวาคณะไปถึงไหนแลว และควรเตรียมอะไรไปดวยบาง **ผูที่จะมารวมเดินกรุณาอยานำเงิน ทรัพยสินมีคา และโทรศัพทมือถือมารวมดวย *** ไมอนุญาตใหสูบบุหรี่ ดื่มเหลา หรือใชสิ่งเสพติดใดๆทั้งสิ้นในระหวางเดิน


Issuu converts static files into: digital portfolios, online yearbooks, online catalogs, digital photo albums and more. Sign up and create your flipbook.