ผิงฟู ผู้ไม่ยอมแพ้ (ฉบับทดลองอ่าน)

Page 1


Bend Not Break

15

หนึ่ง สามสหายแห่งเหมันต์ พลัดถิ่นฐาน : 1984 ตอนฉัน อายุ ยี่สิบ ห้ า รัฐ บาลจีน มีค� ำ สั่ง ลับ ขับ ฉัน ออกนอกประเทศ การต้ อ ง พลัดพรากจากบ้านเกิดเมืองนอนนั้นน่าหวาดหวั่น แต่ทางเลือกอื่น ซึ่งมีเพียงการ ถูกเนรเทศไปอยูถ่ นิ่ ทุรกันดารอันห่างไกลผืนแผ่นดินจีน หรือถูกส่งตัวไปยังแห่งหน อื่นมิรู้ได้นั้น เลวร้ายยิ่งกว่า วันที่ 14 มกราคม 1984 พ่อแม่พี่น้อง ลุงป้าน้าอา ญาติๆ พากันเดินทาง ไปยังสนามบินนานาชาติแห่งเซีย่ งไฮ้ เพือ่ ส่งฉันขึน้ เครือ่ งบินไปยังรัฐซานฟรานซิสโก ประเทศอเมริกา บ่ายวันนั้นหนาวเหน็บและชื้นแฉะ เป็นวันที่ฉันไม่เคยลืมเลือน เกือบถึงเวลาขึ้นเครื่อง ครอบครัวฉันไปยืนออกันแน่นที่นอกด่านตรวจ หนังสือเดินทาง เก้ๆ กังๆ เลี่ยงไม่สบตากัน คุยสัพเพเหระถึงลมฟ้าอากาศ เรื่อง เสื้อผ้าที่ใส่มาวันนั้น เรื่องงานเลี้ยงอ�ำลาคืนก่อนที่ทุกคนจัดให้ฉัน ไม่มีใครพูดถึง การลาจากซึ่งคืบคลานเข้ามาทุกที มามาทีเ่ ซีย่ งไฮ้ คนทีเ่ ลีย้ งดูฉนั มาตลอด ลังเลอยูพ่ กั ใหญ่กอ่ นเอ่ยปากวก เข้าเรื่องที่อยู่ในใจทุกคน “ผิงผิง” มามาเรียกชื่อเล่นฉัน “มามาท�ำกับข้าวไว้ให้ผิงผิง ด้วย เที่ยวบินนี้ยาวนัก ผิงผิงจะได้ไม่หิว” มามาพูดตะกุกตะกัก สั่นสะท้านไปทั้ง ร่าง ขณะล้วงเข้าไปในกระเป๋า หยิบภาชนะก้นแบนห่อกระดาษฟอยล์มิดชิด ยื่นมา ให้ฉนั ห่ออาหารนัน้ ยังอุน่ อยู่ ฉันแง้มกระดาษฟอยล์ขนึ้ สูดดม กลิน่ เป็ดผัดซ้อสถัว่


16

Ping Fu, MeiMei Fox

เหลืองหอมหวานโชยมา กระตุกใจฉันให้หวนนึกถึงวัยเยาว์อันแสนสุขในเซี่ยงไฮ้ ฉันเอื้อมไปก�ำมือมามาบีบไว้แน่น ฉันมองไปรอบๆ แทบทุกคนที่ยืนล้อมวงกันน�้ำตานองหน้า หง น้องสาว ของฉัน ยึดชายเสื้อฉันซับน�ำ้ ตาแบบที่เคยท�ำตอนเป็นเด็ก ฉันไม่อาจเอ่ยค�ำปลอบ ประโลมใดๆ เกรงว่า ตัวเองจะกลั้นสะอื้นไม่อยู่จนต้องร้องไห้ออกมา มีเพียงพ่อกับแม่จากหนานจิง ซึง่ เป็นพ่อแม่ผใู้ ห้กำ� เนิดฉัน ทีม่ องฉันด้วย สายตาแน่วแน่ “ลูกจะเอาตัวรอดได้แน่ ผิงผิง” แม่กล่าวขึน้ พลางกระแอมในล�ำคอ “แม่รู้ว่า ลูกจะรับมือกับทุกสิ่งทุกอย่างที่จะผ่านเข้ามาในชีวิตลูกได้” ฉันรั้งรอจนวินาทีสุดท้าย “ถึงเวลาแล้วค่ะ” ฉันเอ่ยขึ้น พยายามอย่าง ยิ่งยวดที่จะไม่ให้เสียงสั่นเครือตามไปด้วย คนในครอบครัวฉันเริ่มร�่ ำไห้ คล้าย บรรยากาศในพิธีกงเต็ก ราวกับว่าฉันจะสูญหายไปจากชีวิตพวกเขาตลอดกาล เพราะทุกคนรูว้ า่ เนือ่ งจากฉันมีเรือ่ งกับทางการ เราอาจไม่มวี นั ได้พบหน้ากันอีกเลย หรือกระทั่งไม่สามารถติดต่อสื่อสารกันได้ด้วยซ�้ำ ฉันตั้งใจมั่นสะกดน�ำ้ ตาไว้ข้างใน ขณะก้าวไปตามทางขึ้นเครื่องบิน ทิ้งทุกสิ่งที่ฉันรู้จักไว้เบื้องหลัง บนเครื่องบิน เมื่อหย่อนตัวลงในที่นั่ง รู้สึกถึงไออุ่นที่พ่นออกมาจากช่อง ระบายลม ฉันถึงนึกขึ้นได้ว่า นี่เป็นครั้งแรกที่ฉันได้สัมผัสกับอากาศที่ได้รับการ ควบคุมอุณหภูมิ ฉันไม่เคยขึ้นเครื่องบินมาก่อน แม้ตอนเป็นเด็ก ฉันมักไปเล่นที่ ลานเก็บเครื่องบินซึ่งถูกทิ้งร้าง ลื่นไถลลงไปตามปีกเรือบิน ฝันใฝ่อยากเป็นนักบิน อวกาศ ฉันไม่เคยเดินทางออกนอกเมืองจีน ทว่า นั่นไม่ใช่เหตุผลที่ทำ� ให้ฉันพรั่น พรึงใจกับการเดินทางที่รออยู่หรอก แต่เป็นเพราะผืนแผ่นดินเกิดไม่ต้อนรับฉันอีก ต่อไป เนื่องด้วยงานเขียนและกิจกรรมอื่นๆ ที่ฉันเคยท�ำตอนเรียนวรรณคดีจีนที่ มหาวิทยาลัยซูโจว ในขณะทีอ่ เมริกาเป็นดินแดนซึง่ ฉันแทบไม่รจู้ กั เลย ฉันไม่มบี า้ น


Bend Not Break

17

ไม่มีเพื่อน ไม่รู้แม้สักนิดว่ามีอะไรรออยู่ เมื่อเครื่องบินเหินฟ้า แอร์โฮสเตสเคลื่อนรถเข็นมาตามทาง สาวอเมริกัน ผมสีทอง ตาสีฟ้า รอยยิ้มอบอุ่น เธอถามฉันเป็นภาษาอังกฤษว่า ต้องการดื่มหรือ ทานอะไรไหม ตอนนั้นฉันฟังไม่เข้าใจ เพราะรู้ภาษาอังกฤษแค่ไม่กี่ค�ำ อย่างค�ำว่า “เฮลโล” “แทงกิว” และ “เฮลพ์” เพื่อใช้กล่าวทักทาย ขอบคุณ และขอความช่วย เหลือ แต่ฉันพอจะเดาค�ำถามนั้นได้ อย่างไรก็ดี ฉันนึกในใจว่า อาหารเครื่องดื่ม พวกนั้นคงต้องจ่ายเงินซื้อเป็นแน่ ฉันจึงโบกมือบุ้ยใบ้ปฏิเสธ มืออีกข้างกอดห่อ อาหารของมามาที่วางบนตักแน่นยิ่งขึ้น ฉันเพียงชี้ไปที่กระดาษเช็ดปากที่วางซ้อน เป็นตั้งๆ ตรงขอบรถเข็น พนักงานสาวคว้ากระดาษเช็ดปากปึกเบ้อเริ่มให้ฉันโดย ไม่พูดอะไร หลายชั่วโมงบนเครื่องบิน ฉันขีดเขียนตัวอักษรจีนบนกระดาษสี่เหลี่ยม จัตุรัสแผ่นบางๆ พวกนั้น แล้ววางซ้อนกันบนถาดอาหารตรงหน้า ดูประหนึ่งธงขาว ขนาดจิ๋วแสดงความยอมจ�ำนน ฉันไม่ได้หวังว่าจะส่งข้อความนั้นถึงใครหรอก ฉัน เพียงแค่ชอบเขียนบันทึกมาตัง้ แต่เด็กแล้ว เพราะการขีดเขียนช่วยให้ฉนั อุน่ ใจ ช่วย เนรมิตโลกมายา ทีซ่ งึ่ ฉันมีเพือ่ นสนิทให้คยุ ปรับทุกข์ ทัง้ ทีใ่ นโลกแห่งความเป็นจริง ณ บัดนี้ ฉันไม่มีใครเลย สิบสี่ชั่วโมงให้หลัง ฉันไปถึงรัฐซานฟรานซิสโก ตอนลงจากเครื่อง ฉันอ่อนล้าทั้ง กายใจ เพราะยังปรับเวลาไม่ได้ด้วย แต่ก็ยังอดทึ่งกับสนามบินที่นั่นไม่ได้ หน้าต่าง บานสูงล้อมรอบตัวอาคาร ทุกอย่างสะอาดเอี่ยมแวววาว ทันทีที่ผ่านด่านตรวจคนเข้าเมือง ฉันรีบเดินหาเคาน์เตอร์ขายตั๋ว เพราะ ต้องขึ้นเครื่องต่อไปยังเมืองแอลบูเคอร์คี รัฐนิวเม็กซิโก ซึ่งฉันได้ลงทะเบียนเรียน


18

Ping Fu, MeiMei Fox

ภาษาอังกฤษเป็นภาษาที่สองไว้ที่มหาวิทยาลัยนิวเม็กซิโก ในมือฉันมีเช็คสั่งจ่าย ธนาคารจ�ำนวนแปดสิบเหรียญสหรัฐ ส�ำหรับค่าตั๋ว แต่เจ้าหน้าที่สายการบินปฏิเสธ ทีจ่ ะออกตัว๋ ให้ ฉันไม่เข้าใจว่าเป็นเพราะเหตุใด เพราะฉันตรวจสอบราคาค่าตัว๋ แล้ว ตอนเช็คอินที่เซี่ยงไฮ้ ต้องขอบคุณความหลากหลายทางวัฒนธรรมในรัฐซานฟรานซิสโก ทีห่ ลัง เคาน์ เ ตอร์ มี ตั ว แทนขายตั๋ ว พู ด ภาษาจี น ได้ เธอเข้ า ใจปั ญ หาและอธิ บ ายว่ า ในประเทศจีน รัฐบาลเป็นผู้ก�ำหนดราคา ค่าตั๋วเดินทางจึงแทบไม่เคยเปลี่ยนแปลง แต่ที่อเมริกา ราคาตั๋วเครื่องบินเปลี่ยนแปลงเป็นประจ�ำ “ค่าตั๋วเพิ่มขึ้นอีกห้าดอล ล่าร์แล้วค่ะ ตั้งแต่ตอนที่คุณออกจากเซี่ยงไฮ้มา” ฉันไม่มีเงินอีกห้าเหรียญหรอก บัตรเครดิตก็ไม่มี ฉันได้แต่ยืนนิ่งงันพูด อะไรไม่ออกอยู่ตรงนั้น ชายอเมริกันที่ต่อคิวอยู่ข้างหลังฉันสอบถามว่าเรามีปัญหา อะไร เมือ่ พนักงานทีเ่ คาเตอร์อธิบายให้ฟงั เขาล้วงธนบัตรห้าเหรียญออกจากกระเป๋า เงินทันที “นี่ครับ” เขากล่าว พลางส่งยิ้มสบายๆ มาให้ ขณะที่พนักงานขายตั๋วช่วย แปลให้ฉันฟัง “แทงกิว” ฉันขอบคุณเขาเป็นภาษาอังกฤษ ยังงุนงงทีค่ นแปลกหน้ายืน่ มือ เข้ามาช่วยเหลือ สิ่งที่เขาท�ำนั้นอาจเป็นเรื่องเล็กน้อยส�ำหรับเขา แต่สำ� หรับฉันแล้ว มันมีความหมายเหลือเกิน นัน่ คือความประทับใจเมือ่ แรกพบทีฉ่ นั มีตอ่ ชาวอเมริกนั และยังคงติดตรึงมาจนทุกวันนี้ พวกเขามีไมตรีและเอื้อเฟื้อ ประสบการณ์ครั้งนั้น มอบบทเรียนชีวิตแก่ฉัน นั่นคือ “ยามไม่แน่ใจ จงเอื้ออารีไว้ก่อน” ซึ่งกลายเป็นกฎ ประจ�ำใจฉันนับแต่บัดนั้น


Bend Not Break

19

เมื่อไปถึงเมืองแอลบูเคอร์คี ฉันพบว่าตัวเองถูกปล่อยเกาะอีกครั้ง พ่อได้ให้ชื่อ มิ ส เตอร์ เ ชิ่ ง ไว้ กั บ ฉั น เขาเคยเป็ น นั ก เรี ย นของพ่ อ เรี ย นอยู่ ที่ ม หาวิ ท ยาลั ย นิวเม็กซิโก และได้ช่วยเป็นธุระเรื่องการสมัครให้ฉันเข้าเรียนต่อที่นี่ ฉันโทรศัพท์ หาเขาหลายครั้ง แต่สัญญาณปลายสายไม่มีคนรับ ฉันภาวนาขอให้ติดต่อคน แปลกหน้าคนนี้ได้เถิด เพราะเขาเป็นคนเดียวที่ฉันรู้จักในสหรัฐฯ ฉันไม่มีใครที่จะ หันหน้าไปพึ่งได้ (ต่อมาฉันถึงได้รู้ว่า มิสเตอร์เชิ่งเพิ่งเรียนจบก่อนหน้าฉันไปถึงที่ นัน่ เพียงสองสามสัปดาห์ และกำ�ลังท่องเทีย่ วทัว่ อเมริกาก่อนเดินทางกลับเมืองจีน) ออกจากบริเวณรับกระเป๋าเดินทาง ฉันทรุดตัวลงทีข่ อบทางเดินกับกระเป๋า เดินทางเก่าๆ ใบเดียวทีม่ ตี ดิ ตัว เหม่อมองรถราแล่นผ่านไปมา ใจสัน่ กับเสียงปึงปัง เปิดปิดฝากระโปรงท้ายรถรอบตัว ฉันเหมือนไร้ตัวตน ไร้คนมองเห็น ทุกคนต่าง วุ่นวายกับการเดินทางออกจากสนามบิน หรือไม่ก็มารอรับคนที่พวกเขารัก ชวนให้ นึกถึงวันนั้นตอนอายุแปดขวบ เมื่อฉันต้องขึ้นรถไฟจากเซี่ยงไฮ้ไปหนานจิงตาม ล�ำพัง ความรู้สึกหลงทางกระหน�่ำซัดอย่างแรง น�้ำตาเริ่มคลอเบ้า ครู่ใหญ่ มีรถคันหนึง่ มาจอดเทียบ ฉันเงยหน้ามอง ดวงตาพร่ามัว คนขับ เป็นชายชาวจีน เขาค่อยๆ หมุนกระจกรถลง “มีอะไรให้ช่วยไหม” ชายคนนั้นถาม ส�ำเนียงจีนของเขาปร่าแปร่ง จนฉัน บอกไม่ได้ว่าเขามาจากแถบไหน ฉันตอบไปว่า ต้องการรถไปส่งที่วิทยาเขต มหาวิทยาลัยนิวเม็กซิโก “ขึน้ มาสิ” เขาบอกพลางชีไ้ ปทีท่ นี่ งั่ ผูโ้ ดยสาร “ฉันจะพาไปส่ง” คนอเมริกนั ใจดีอกี คนรึน!ี่ ไม่ใช่แค่นนั้ ทีน่ ดี่ จู ะมีคนพูดภาษาจีนได้ทกุ หน แห่งอีกด้วย ฉันแทบไม่อยากเชื่อความโชคดีของตัวเอง รถบุโรทั่งของเขาพาเราออกไป แล่นตัดผ่านทะเลทรายเวิ้งว้างกว้างใหญ ดูอย่างกับทิวทัศน์หลังวันสิ้นโลก ภาพอเมริกาในใจฉันมีไม่มากและทั้งหมดที่มีฉัน


20

Ping Fu, MeiMei Fox

เห็นมาจากรายการโทรทัศน์ของรัฐที่เคยดูเป็นครั้งคราวกับพวกเพื่อนร่วมชั้นและ เพื่อนบ้าน เราเบียดเสียดล้อมวงกันหน้าจอทีวีขาวด�ำที่บ้านใครสักคน เท่าที่ฉันรู้มี แค่ว่า ชาวจีนเล่นปิงปองเก่งกว่าพวกอเมริกัน อย่างไรก็ดี ฉันนึกว่า เมืองที่ฉันจะ มาอยู่นั้นคงคล้ายกับมหานครหนานจิงหรือเซี่ยงไฮ้ ที่ซึ่งฉันเติบโต ไม่ใช่เมือง เวิ้งว้างว่างเปล่าอย่างนี้ “ขอแวะไปที่บ้านหน่อยได้มั้ย” ชายคนนั้นถาม “ขอไปดูว่าลูกๆ อยู่กัน เรียบร้อยไหมแล้วจะพาเธอไปส่งที่มหา’ลัย” ฉันพยักหน้า สองสามนาทีต่อมา เราขับเข้าสู่ใจกลางเมืองแอลบูเคอร์คี กลุ่มบ้านเรือนที่หน้าตาเหมือนกันหมดแออัดเรียงรายเริ่มปรากฏให้เห็น ดูคุ้นตา คล้ายในหนานจิง แต่ทตี่ า่ งไปจากเมืองใหญ่ในจีนคือ ถนนหนทางกลับโล่งโจ้ง ผูค้ น ทีฉ่ นั เห็นมีเพียงพวกคนจรจัดกับถุงนอนและป้ายทีเ่ ขียนอะไรบางอย่างไว้ คล้ายว่า พวกเขาก�ำลังเสนอขายตัวเองหรือลูกๆ ที่นอนอยู่ข้าง ๆ ฉันเริ่มร้อนใจ เคาะนิ้วรัว กับเข่าโดยไม่รตู้ วั ชายคนขับจอดรถทีห่ น้าตึกแถวมีหน้าต่างบานสูงติดลูกกรง ชวน ให้นึกถึงคุกในเมืองจีน ภายหลังฉันถึงได้รู้ว่า นั่นคืออาคารสงเคราะห์ที่รัฐจัดไว้ให้ พวกผู้อพยพ และชายคนนั้นเป็นผู้อพยพชาวเวียดนามเชื้อสายจีน “เข้ามาข้างในก่อนสิ มาทักทายลูกๆ ฉันหน่อย” เขาชวน เขายกกระเป๋า เดินทางของฉันออกจากท้ายรถเข้าประตูหน้าไป ฉันก้าวลงจากที่นั่งผู้โดยสารตามเขาไป สภาพแวดล้อมแถวนั้นท�ำให้ฉัน กระสับกระส่ายอยูบ่ า้ งก็จริง แต่ไม่มเี หตุอะไรทีฉ่ นั ควรจะรูส้ กึ คลางแคลงใจ เพราะ ชายคนนั้นดูเหมือนพ่อที่ห่วงใยลูก และยังใจดีกับฉันอีกต่างหาก ทันทีที่ก้าวเข้าไปข้างใน เขายื่นคุ้กกี้มาให้กล่องหนึ่ง และเล่าตะกุกตะกัก ว่า “เมียฉันเพิ่งขอแยกทาง ช่วยดูลูกๆ ฉันสักสองสามชั่วโมงนะ ฉันต้องไปท�ำงาน


Bend Not Break

21

ก่อน” แล้วเขาก็ถลาออกจากห้องแถวคับแคบนั้นไป ฉันได้ยินเสียงคล้องกุญแจ ล็อกประตูหน้าจากด้านนอก กลับหลังหัน ฉันเห็นเด็กชายสองคน อายุนา่ จะราวสามหรือสีข่ วบ กับเด็ก หญิงตัวน้อยคนหนึ่ง ดวงตาเบิกกว้าง น�ำ้ ตาปริ่ม ทั้งสามจ้องฉันเขม็ง มือท�ำท่าจะ ไขว่คว้า แต่ไม่กล้าก้าวเท้าออกมา ท่าทางโหยหาคนดูแล แต่ดหู วาดกลัวเกินกว่าจะ เข้าหาฉัน “มามา จะหามามา” เด็กๆ ร้องออกมา ค�ำนั้นในภาษาจีนหมายถึง “แม่” เช่นเดียวกับในภาษาอื่นๆ แทบทั่วโลก “ไม่ใช่จ้ะ ไม่ใช่ ฉันไม่ใช่มามาพวกหนู” ฉันตอบเป็นภาษาจีน แต่พวก เด็กๆ ไม่เข้าใจ “มามา จะหามามา” ทั้งสามคนประสานเสียงโหยไห้ต่อไป ฉันลุกลีล้ กุ ลน แต่ทำ� เป็นเมินเฉย พวกเด็กๆ ได้แต่วงิ่ วุน่ ไปทัว่ ห้องซอมซ่อ นั่น ฉันสอดส่ายสายตามองหาประตูหลังหรือหน้าต่างสักบานที่ร่างผอมๆ ของฉัน อาจพอลอดออกไปได้ ฉันภาวนาขอให้เห็นทางหนี แต่ไม่เจออะไรเลย ไม่เห็นแม้ โทรศัพท์สักเครื่อง ถึงอย่างไร ตอนนั้นฉันก็ไม่รู้หรอกว่า ต้องโทรเรียกเบอร์ 911 ฉันกลายเป็นผู้ต้องขังแล้วหรือนี่ ความเครียดตลอดสองสามวันทีผ่ า่ นมาเข้าทับถมจนฉันทรุดลงไปกองกับ พืน้ คอนกรีตเย็นเยียบในห้องนัน่ ตัวแข็งทือ่ ได้ยนิ เพียงเสียงหัวใจตัวเองเต้น ผนัง สีเทาเปลือยเปล่าล้อมรอบบีบตัวแคบเข้ามาทุกที ใบหน้าเด็กๆ เริ่มเลือนลาง ฉัน รู้สึกเหมือนจะหน้ามืด เด็กหญิงตัวน้อยเข้ามาจับมือหอมแก้มฉัน นัยน์ตาคู่นั้นใสซื่อราวดวงตา กระต่ายน้อย ผิวเนียนนุ่มเหมือนแป้งเนื้อละเอียด เรื่องเลี้ยงเด็กฉันช�ำ่ ชองอยู่แล้ว


22

Ping Fu, MeiMei Fox

ฉันรวมพลังทั้งหมดที่เหลือ ลุกขึ้นมาดูแลเด็กทั้งสาม ฉันหยิบคุกกี้ออกจากกล่อง แจกให้กิน ล้างหน้าล้างตาให้ แล้วให้ขี่หลังฉันเล่นซึ่งตัวเองชอบเล่นเป็นที่สุดเมื่อ ยังเล็ก สักพักฉันเริ่มหมดแรง ทรุดตัวแปะลงกับพื้น พวกเด็กๆ หัวเราะเอิ้กอ้าก ตะโกนโหวกเหวกด้วยถ้อยค�ำประหลาดหูทฉี่ นั ไม่เข้าใจ แต่กไ็ ม่ส�ำคัญ ฉันเดาได้วา่ พวกเด็กๆ คงอยากเล่นเกมนั้นอีก หลายชั่วโมงผ่านไป ฟ้าเริ่มมืดแล้ว แต่พ่อของเด็กยังไม่กลับมาเสียที ใจฉันเริ่มเสีย ไม่รู้ว่าจะถูกขังอีกนานแค่ไหน ได้แต่ปลอบตัวเองว่า เขาอาจท�ำงาน กะเย็น อีกเดีย๋ วก็คงโผล่มา ฉันพาเด็กๆ เข้านอน ในห้องนอนมีแค่เตียงเดียว ส่วน ห้องนั่งเล่นกับครัวอยู่รวมกัน ข้างๆ โต๊ะอาหารมีเก้าอี้สองตัวกับม้านั่งแข็งกระด้าง หนึ่งตัว ไม่มีโซฟา แต่ฉันล้าเกินจะใส่ใจ คืนแรกในอเมริกาของฉันจึงกลับกลาย เป็นเหมือนหลายค�่ำคืนในเมืองจีน คือ ต้องทนหนาว ทนหิว ก่อนสลบเหมือดขด ตัวนอนบนพื้นคอนกรีต รุ่งขึ้น เด็กๆ สวาปามคุกกี้จนหมด เด็กชายสองคนเริ่มกระจองอแงลูบ ท้องร้องไห้ ฉันเปิดตู้กับข้าว ข้างในนั้นแทบว่างเปล่า เจอแค่มักกะโรนีกับชีสกล่อง หนึ่ง แต่ฉันไม่รู้วิธีท�ำ ฉันจึงต้มเส้นมักกะโรนี แล้วเราก็นั่งกินเส้นเปล่าๆ ไม่รู้ว่า ต้องโรยชีสที่อยู่ในซอง ตกสาย ยังไม่มีวี่แววพ่อของเด็กๆ ฉันเริ่มเอะใจว่า อาจเกิดเรื่องร้ายกับ เขาก็เป็นได้ ฉันรี่ไปที่หน้าต่างติดลูกกรง แล้วแผดเสียงร้องให้คนช่วยด้วยภาษา อังกฤษที่รู้อยู่ไม่กี่คำ� “เฮลพ์!” พวกเด็กๆ เข้ามาช่วยตะโกน คงนึกไปว่าเราก�ำลัง เล่นเกม แต่คนที่เดินผ่านมามีไม่กี่ราย พวกเขาเพียงเดินผ่านไป วันต่อมา ฉันพยายามอีกครัง้ แต่ละชัว่ โมงทีผ่ า่ นไป ฉันตะเบ็งเสียงดังขึน้ ทุกที โหยหิวขึ้นทุกที ท้อแท้ลงทุกที จนในที่สุดเลิกหวังไป ชายคนนั้นคงไม่มีวัน


Bend Not Break

23

กลับมาปล่อยเราออกไปแน่แล้ว วันที่สาม มีเสียงดังโหวกเหวกมาจากข้างนอก ตามด้วยเสียงเคาะประตู ห้องแถว “ช่วยด้วย! ช่วยด้วย!” ฉันกรีดร้องเสียงหลง ไม่กี่อึดใจ ก็มีตำ� รวจพัง ประตูเข้ามา เพื่อนบ้านได้ยินเสียงเราจนได้ จึงโทรศัพท์เรียกต�ำรวจ ต�ำรวจพาเรา ขึ้นรถขับเข้าเมืองไปยังสถานีต�ำรวจ ทันทีทหี่ าล่ามชาวจีนได้ ต�ำรวจร่างใหญ่สองนายก็เริม่ สอบปากค�ำฉัน “รูจ้ กั คนที่ลักพาตัวคุณหรือเปล่า ท�ำไมถึงขึ้นรถคนแปลกหน้า แล้วเข้าไปอยู่ในบ้านเขา ได้ยงั ไง เราจะโทรหาใครได้เรื่องเด็กสามคนนี้ คุณมีครอบครัวหรือเพื่อนๆ ทีเ่ ราจะ โทรหาเพื่อระบุตัวคุณได้ไหม ผู้ชายคนนั้นท�ำร้ายคุณหรือเปล่า” ค�ำตอบที่หลุดออกจากปากฉันไป คงฟังดูคลุ้มคลั่งฟั่นเฟือนไม่น้อย ฉัน ไม่ได้แค่อดนอนและอดข้าวจนท้องกิว่ แต่ยงั กลัวคนในเครือ่ งแบบอีกด้วย ในเมือง จีน ไม่มีใครไว้ใจต�ำรวจ ไม่มีใครหรอกที่อยากให้ชื่อของตัวเองไปปรากฏอยู่บน เอกสารราชการ ซึ่งแทบร้อยทั้งร้อยรังแต่จะสร้างเรื่องยุ่งยากให้ไปตลอดชีวิต ฉัน สงสัยเหลือเกินว่า ตอนนี้รัฐบาลอเมริกันถือว่าฉันกลายเป็นอาชญากรไปแล้วหรือ เปล่า ฉันจะถูกลงโทษไหม และรัฐบาลจีนจะรู้หรือไม่ว่า ฉันก่อเรื่องเดือดร้อนเสีย แล้ว ตั้งแต่วันแรกในสหรัฐฯ แล้วพวกเขาจะไปตามรังควานครอบครัวฉันในเมือง จีนหรือไม่ ต�ำรวจพยายามหว่านล้อมให้ฉันท�ำเรื่องฟ้องร้องชายชาวเวียดนามคนนั้น แต่ฉันปฏิเสธ ฉันอยากแค่ได้รับการปล่อยตัว ในที่สุดต�ำรวจล้มเลิกความพยายาม และโทรศัพท์ไปยังมหาวิทยาลัยนิวเม็กซิโกในนามของฉัน มหาวิทยาลัยบอกให้ชว่ ย พาฉันไปส่งที่ศูนย์กลางนักเรียนต่างชาติ เมือ่ ไปถึงมหาวิทยาลัยนิวเม็กซิโกอย่างปลอดภัย ฉันอยากเริม่ ต้นบทใหม่


24

Ping Fu, MeiMei Fox

ในชีวิตเต็มที ฉันตัง้ ใจมัน่ ว่า จะทิง้ ชีวติ ในเมืองจีนไว้เบือ้ งหลัง แต่สองสามวันทีถ่ กู กักขัง เมื่อเดินทางมาถึงสหรัฐฯ ได้ดึงฉันกลับสู่ความทรงจ�ำวัยเยาว์อันรวดร้าว ซึ่งฉัน พยายามอย่างยิ่งยวดที่จะลืมเลือน

แม่ : 1966 ตอนเป็นเด็ก ฉันนึกไปว่า ที่ฝูงแมลงปอบินวนเวียนสวนหน้าบ้านเรา เป็นเพราะ พวกมันหลงใหลความงามของสวนเสียอีก บ้านหลังใหญ่ของเราอยู่ในเซี่ยงไฮ้ ฉัน อยู่กับพ่อแม่ ซึ่งฉันเรียกว่า มามาและปาปา มีพี่สาวหนึ่งคน พี่ชายสี่คน ฉันอ่อน กว่าพวกพี่ๆ หลายปี จึงได้เป็นขวัญใจตัวน้อยของคนทั้งบ้าน เราชอบใช้ตาข่ายเล่น ดักจับแมลงปอสีเพลิงเริงร่านัน่ แล้วเอามาเปรียบเทียบสีปกี กันดูวา่ ตัวของใครสวย ที่สุด ฉันนึกไปเองเหมือนกันว่า เซี่ยงไฮ้เป็นศูนย์กลางของโลก ส่วนหนึ่งเป็น เพราะได้เห็นแผนที่ประวัติศาสตร์ของปู่ ซึ่งแสดงเส้นทางการเดินเรือขนส่งสินค้าที่ โยงใยออกจากริมฝั่งเซียงไฮ้มากมาย ส่วนหนึ่งเป็นเพราะตัวเมืองเซี่ยงไฮ้ช่างกว้าง ใหญ่ไพศาล มีการจราจรที่คับคั่ง อีกส่วนเป็นเพราะว่า บ้านหลังนั้นเป็นบ้านเดียว ที่ฉันรู้จัก บ้านของเราตั้งอยู่บนถนนที่มีต้นไม้เรียงรายสองข้างทาง อยู่ในละแวกที่ มี “คฤหาสน์หลังน้อยๆ” ดารดาษ สร้างโดยนักลงทุนตั้งแต่สมัยต้นศตวรรษที่ยี่สิบ เมื่อเซี่ยงไฮ้เป็นที่รู้จักกันในนาม “ปารีสแห่งตะวันออก” บ้านประจ�ำตระกูลเราเป็นคฤหาสน์สูงสามชั้น ดูสงบร่มเย็น มากกว่าจะ โอ้อวดความโอ่อ่า ตัวอาคารแบ่งออกเป็นสามส่วน เชื่อมต่อออกสู่สนามและประตู


Bend Not Break

25

รั้วหน้าบ้าน ซึ่งเปิดออกสู่ถนนสายหลัก บริเวณบ้านล้อมรอบด้วยก�ำแพงศิลา ประดับประดาด้วยรัว้ เหล็กดัดงามวิจติ ร เป็นดังเกราะคอยปกป้องความร่มรืน่ ทีอ่ ยู่ ภายใน ให้อยู่ห่างจากโลกภายนอกที่ไร้ซึ่งความแน่นอน ส่วนหน้าของอาคารทางทิศใต้เป็นระเบียงหินและรั้วเหล็กดัดท�ำด้วยมือ เปิดให้แสงอันอบอุ่นฉายผ่านเข้ามาในวันฟ้าใส และเป็นจุดชมวิวทิวทัศน์อันงาม จับตา หากไปยืนตรงนั้น จะเห็นภาพชีวิตของเราในช่วงต้นทศวรรษ 1960 ตึก ส�ำนักงานใหญ่ของสมาคมพันธมิตรแห่งโซเวียตงามสง่า สูงตระหง่านท่ามกลาง ร้านบูติก และอาคารส�ำนักงานธุรกิจ ที่เรียงรายริมถนนหนานจิง ถนนสายส�ำคัญ ของเมือง ในตอนนั้น นครหนานจิง ซึ่งเป็นเมืองใหญ่ลำ�้ สมัยที่สุดของจีน ยังไม่ถูก การปฏิวัติแบบถอนรากถอนโคนของเหมาเจ๋อตุง ร้านตัดเสื้อผ้าของชาวฮ่องกงยัง คงรับตัดชุดสูทแบบตะวันตกที่พวกพี่ชายของฉันใส่ไปโรงเรียน รถรางสาย 24 ยัง แล่นผ่านละแวกนั้น ฉันกับคนในครอบครัวมักขึ้นรถรางเข้าไปใจกลางเมืองเก่าที่มี ผู้คนถีบจักรยานกันขวักไขว่ มุ่งหน้าไปท�ำงานหรือไปโรงเรียน มีตลาดร้านรวงเก่า แก่เรียงราย และบรรดาอาซิ้มนั่งขายดอกไม้ สนามหน้าบ้านเป็นแบบจีนโบราณ มีบอ่ น�้ำใสสะอาดไว้ให้ดมื่ บริเวณหลัง บ้านเป็นสวนซึ่งอุดมไปด้วยมวลพฤกษาหายากนานาพันธุ์ มีเจดีย์ไม้สลัก และทาง เดินปูหินคดเคี้ยวงามจับตา ให้คนที่ได้เห็นนึกฝันไปตามแต่จะจินตนาการ นี่คือ สวนแบบจีนโบราณขนาดย่อมของปาปา สร้างตามหลักการจัดสวนโดยใช้ภูมิทัศน์ สัญลักษณ์ ซึ่งชนชาติจีนพัฒนาขึ้นเมื่อหลายศตวรรษมาแล้วในสมัยที่ยุโรปยังอยู่ ในยุคมืดโดยกลุ่มอภิสิทธิ์ชนผู้มีการศึกษา เพื่อใช้เป็นแหล่งครุ่นคิดพักพิงใจ ปาปาสอนฉันว่า สวนนัน้ กอปรด้วยพรรณไม้แต่ละฤดูกาล แต่ละต้นแฝงความหมาย ต่างกันไป


Issuu converts static files into: digital portfolios, online yearbooks, online catalogs, digital photo albums and more. Sign up and create your flipbook.