Preview: เรียน-รู้-รอบ-โลก: Germany

Page 1

1





ขอบคุณ ป๊า แม่ และผู้เกี่ยวข้อง ส�ำหรับปีที่เต็มไปด้วย ความทรงจ�ำ


page เยอรมัน first days เลือกคอร์สผิด ชีวิตเศร้าหมอง สาวบราซิล ครอบครัวสุขสันต์(?) หมู่บ้านคนแคระ เรื่องกินเรื่องใหญ่ ใครว่ารถไฟตรงต่อเวลา Last friday night May I have this dance? birthday party เรื่องของเครื่องดื่ม Education is important วันของฉันที่โรงเรียน ไปแลกเปลี่ยนซ้อนแลกเปลี่ยนกันเถอะ บ้านนอกเข้ากรุง อีสเตอร์ เหนื่อยก่อน สนุกทีหลัง เจ็ดองศาบนรถไฟเหาะที่ Europa Park หลงปารีส

1 3 5 6 8 10 12 17 19 23 27 29 31 33 35 37 41 42 45 50

59 60 62 63 65 66 71 73 74 76 77 81 82 83 84 86 90 92 95 97

The lucky one? เมื่อต้นไม้ไม่ผลิใบ ความสุขเล็กๆ กับจักรยาน หนึ่งพฤษภา วันแรงงานแห่งชาติ มันก็ต้องคิดถึงบ้านกันบ้าง เป้ใบเดียวเที่ยวบาเยิร์น ส่วนเธอก็อยู่บ้านไปแล้วกัน ไม่มีที่ให้ฉันยืน Betreuerin Peter/Elke/Lulu/Winnie/Kito ชีวิตหรรษาแบบเด็กละติน แล้วหน้าร้อนก็มาเยือน ร้อนไปไม่ต้องเรียน Grill party Peter and Paul Time to travel เยือนเมืองเหนือ Next stop: Brussels จากเหนือลงใต้...Kandern ที่รัก Comfort zone


page Global Greeter, ไม่ต้องโดดเดี่ยวอีกต่อไป จากมิวนิคถึงคิวบา จบเกือบสวย หนีภัยไปบ้านถิง ชีวิตนี้ที่รอคอย The hidden gem in Fürth โรงเรียนที่แปด สาวผมบลอนด์ตาฟ้า Nürnberg ที่รัก Trekking holiday แยมเปลือกส้มกับคุณย่าแห่ง Rothenburg Sturmfreie bude คืนนี้ไม่มีใครรบกวน การมาเยือนของตุ๊ดน้อยแห่ง Berlin The weddings บ้านของเราอยู่ที่ไหน วันฟ้าใสใน Bamberg การผจญภัยครั้งใหม่ในทริปสุดท้าย หลงรักจนหลงทาง มิตรภาพจากคนแปลกหน้า

99 101 104 109 111 113 114 115 118 120 125 127 130 134 137 140 143 146 152

156 160 162 164 167 170 172 174 176 179 181 183 184 187 189 193 194 196

Couchversation Passion is the new sexy The scent of christmas ขนาดตลาดยังต้องมีพิธีเปิด Endlich 18! ความงามชั่วขณะกับหิมะแรกของปี นับถอยหลัง Heiliger Abend/เทศกาลอาหารแห่งชาติ/ คริสต์มาสไร้หิมะ เรื่องเล่าจากลานสกี หัดเดินอีกครั้ง Silvester 2014 One night only Saying goodbye Kneipe Tour วันโศก The departure Looking back


เยอรมัน

เยอรมัน...เยอรมัน ทำ�ไมนะตอนนั้นฉันถึงอยากไปเยอรมัน ...เพราะหลงรักยุโรปไงล่ะ

งั้นท�ำไมไม่เลือกประเทศอื่นล่ะ? ก็มันไม่มีให้เลือกแล้วนะสิ! ณ. ตอนนั้น ฉันไม่มีตัวเลือกมากนัก เนื่องจากสถานการณ์บีบบังคับว่าต้องไปภาคพื้นทวีปใต้ เลือกได้แค่เยอรมัน และสวิตเซอร์แลนด์ อ้าว แล้วท�ำไมไม่ไปสวิตเซอร์แลนด์? เพราะเคยไปเที่ยวมาแล้วไงล่ะ อยากลองของใหม่ๆ ไปที่ๆ ยังไม่รู้จัก แถมค่าครองชีพของสวิสยังสูงติดอันดับต้นๆ ของโลกอีกต่างหาก แค่ค่าครองครองชีพที่เยอรมันที่เขาว่ากันว่าถูกมากถ้าเทียบกับประเทศอื่นในยุโรป อยู่แล้วยัง จนเลย นอกจากนี้ยังมีเหตุผลเล็กๆ น้อยไร้สาระอีก เช่นเยอรมันเป็นประเทศผู้ผลิตกล้อง Leica ซึ่งป๊า ชอบ (และฉันก็ชอบ ด้วย สวยคลาสสิคจริงๆ) เลนส์ดีๆ ที่ป๊าชอบใช้ ที่ผลิตแบบ handmade เกือบทุกขั้น ตอน ก็มาจากเยอรมนี เลยแอบคาดหวังเล็กๆ ว่าจะเจอคนที่ชื่นชอบการถ่ายรูป จะได้คุยกันถูกคอ แต่เปล่าเลยค่ะ ไม่มีเลย และอย่าได้ถามถึงฝีมือการถ่ายรูปของคนที่นี่นะ พูดแล้วอยากจะร้องไห้

1


แล้วชอบภาษาเยอรมันหรอ? เคยเรียนมาก่อนรึเปล่า? ตอบได้เต็มปากเต็มค�ำอยากภาคภูมิใจว่าไม่ชอบ และไม่เคยเรียน ที่จริงชอบภาษาฝรั่งเศสมาตลอด และไม่ชอบภาษาเยอรมันมาตลอด เพราะรู้สึกว่ามันเป็น ภาษาที่ไม่เพราะเอาซะเลย โชคดีที่เป็นคนชอบเรียนภาษาอยู่แล้ว เลยไม่ทรมานกับการที่ต้องเรียนภาษาที่ตนไม่ชอบเท่า ไหร่นัก

แล้วอาหารเยอรมันล่ะ? ไม่ได้เรื่องค่ะ จะมีก็แต่เบียร์นั่นแหละที่อร่อย แล้วตกลงท�ำไมฉันถึงเลือกไปเยอรมัน? ตั้งแต่วันแรกจนวันสุดท้ายที่ใช้ชีวิตอยู่ในเยอรมนี ได้พบปะผู้คนก็มากมาย เกือบทุกครั้งก็จะ ถูกถามว่าท�ำไมถึงเลือกไปเยอรมนี ซึ่งไม่เคยมีค�ำตอบแบบมีเหตุผลกับเขาเลยสักครั้ง ช่วงเดือนสุดท้าย ค�ำตอบที่ดูจะดีที่สุดที่คิดได้คงจะหนีไม่พ้น เพราะชอบรถไฟเยอรมันค่ะ แหม ก็ช่วงนั้นใกล้กลับไทยแล้ว ที่ไทยมีระบบขนส่งสาธารณะที่สะดวกสบายซะที่ไหนกันล่ะ

เคยคิดหลายครั้ง ว่าถ้าไปอเมริกา ป่านนี้ก็สบายไปแล้ว ภาษาก็ไม่เป็นปัญหา แถมเด็กอเมริกันยังเฟรนด์ลี่กว่าเยอรมันสักสบเท่าได้ แต่เชื่อว่าตัวเองเหมาะกับเยอรมันยุโรปมากกว่า และไม่เสียใจที่ได้มาที่นี่ 2


หมู่ บ้าน คน แคระ

10


อย่าเรียกเมืองที่ฉันอยู่ว่าเมืองเลย เรียกว่าหมู่บ้านดีกว่า ฉันอยู่หมู่บ้านเล็กๆ ระหว่างเมือง Heilbronn และ Karlsruhe ชื่อ Oberderdingen-Flehingen นั่นไง แค่ชื่อก็น่ากลัวแล้ว มีรถไฟผ่านหมู่บ้านนี้เพียงสายเดียวเท่านั้น และจะมาทุกๆ 20 นาทีโดยประมาณ ฉันต้องเดิน จากบ้านประมาณ 15 นาทีจะถึงจุดจอดรถไฟ (เรียกสถานีไม่ได้ เพราะมันไม่มีสถานีด้วยซ�้ำ) ในหมู่บ้านของฉันมีธนาคารสองแห่ง ร้านเบเกอรี่สามสี่ร้าน (ลาร่า—เพื่อนชาวบราซิลนั้นอยู่ เมืองที่ทั้งเมืองมีเบเกอรี่อยู่เจ้าเดียว ไม่รู้ว่ามันโม้รึเปล่า แต่จงภูมิใจในสิ่งที่ฉันมี) ซุปเปอร์มาร์เก็ตเล็กๆ สองแห่ง (แม้แต่ร้านไอติมยังไม่มี จินตนาการความใหญ่กันดูเอาเองนะ) ถ้าขี่จักรยานไปสัก 15 นาทีจะ เจอหมู่บ้านที่ใหญ่กว่านี้อีกนิด มีซุปเปอร์ที่ใหญ่กว่า ร้านไอติม และร้านหนังสือ ถ้าจะให้บ่นก็บ่นได้ยาวสักสามหน้ากระดาษเอสี่ ด้วยความที่อยู่บ้านนอก เวลาเบื่อๆ ก็ไม่มี อะไรท�ำ จะเข้าเมืองใหญ่หรือนั่งรถไฟไปเที่ยวไหนก็เสียเวลา ครั้งละเกือบสองชั่วโมงไปกลับเป็นอย่างน้อย แถมบ้านอยู่บนเนินเขา ไปปั่นจักรยานเล่นที่นึงขากลับก็ต้องปั่นขึ้นเนิน เป็นความทุกข์ทรมานอย่างแสน สาหัส เพื่อนในห้องบางคนอยู่ห่างกันไปครึ่งชั่วโมง โอกาสจะไปสนิทกับเพื่อน เดินไปเล่นบ้านเพื่อนก็น้อย ลงไปอีก แต่ถ้าถามว่าชอบมั้ย ก็ชอบเหมือนกัน อย่างแรกที่ชอบมากที่สุด คือบัตรรถไฟฟรี เนื่องจากฉันต้องนั่งรถไฟไปโรงเรียนทุกวัน เอเอฟเอสเลยต้องท�ำบัตรถไฟให้ โดยเป็นบัตรรายปี และใช้นั่งได้ทั้งเขต KVV (การรถไฟที่นี่จะแบ่งเป็นเขตย่อยๆ อีกที และราคาตั๋วรถไฟของแต่ละเขตก็จะไม่ เท่ากัน) ท�ำให้ฉันสามารถนั่งรถไฟเข้าเมืองใหญ่ไปช้อปปิ้งได้ แถมยังพอไปเที่ยวเมืองเล็กๆ น่ารักๆ ได้อีก ด้วย ข้ามไปได้ถึงชายแดนฝรั่งเศสเลยล่ะ ถ้าไม่มีบัตรรถไฟใบนี้ แล้วโดนจับโยนมาอยู่กลางทุ่งแบบนี้ ก็คงจะไม่ทนอ่ะจ้ะ อีกอย่างนึงที่ชอบคือความบ้านนอกของมัน เพราะว่าฉันไม่ค่อยชอบอยู่บ้านเวลาโฮสต์อยู่เท่า ไหร่ มันอึดอัด ถ้าวันไหนมีเวลาว่างๆ แดดไม่ร้อน ฝนไม่ตก หิมะไม่โปรยปราย (มีโอกาสเจอวันแบบนี้ ประมาณ 10%...) ฉันก็สามารถขี่จักรยานไปบ้านพี่สาวคนโตซึ่งอยู่ห่างกัน 30 นาทีได้ เป็นการออกก�ำลัง กายไปในตัว ถ้าเวลาน้อยหน่อยก็เดินไปบ้านป้า 10 นาทีถึง หรือจะขี้จักรยานไปบ้านตายายก็ไม่ไกลเกิน ไป พูดง่ายๆ คือถ้าไม่อยากอยู่บ้านเจอหน้าโฮสต์ก็หนีได้ ง่ายนิดเดียว อันที่จริงแล้ว มันก็เป็นความผิดฉันเต็มๆ นั่นแหละที่ดันไปเขียนในจดหมายแนะน�ำตัวว่าอยาก อยู่บ้านนอก เลยได้อยู่บ้านนอกสนใจ แต่พอมาอยู่จริงๆ แล้วรู้เลยว่าอยู่ในเมืองสบายกว่า ไม่ต้องเมือง ใหญ่มาก อย่างสัก Karlsruhe นี่ก�ำลังดีเลย เที่ยวสะดวก แต่ถ้าจะให้ดีสุดๆ ก็ต้องเป็น Nürnberg หรือ Munich ที่เมืองสวยและใหญ่ด้วย (Karlsruhe มันไม่สวยนั่นเอง) ตอนนี้ก็ปลอบใจตัวเองไปก่อน อย่างน้อยอยู่บ้านนอกก็ไม่ต้องเสียตังเยอะล่ะวะ (มันไม่มีอะไร ให้ใช้จ่ายน่ะสิ) 11


บ้านนอกเข้ากรุง ก่อนเดินทางไปเยอรมนี​ี ฉันชอบหวังว่าจะได้ไปอยู่ชนบท แบบที่มีทะเลสาบ ป่าไม้ ล�ำธาร ทุ่ง ดอกไม้ ทุ่งหญ้า ทุ่งนา ทุ่ง ทุ่ง และทุ่ง แต่พอดีไปอยู่บ้านนอกสมใจอยาก ถึงได้รู้ว่าจะมาถอนค�ำพูดตอนนี้คงไม่ทันซะแล้ว อยู่หมู่บ้านเล็กๆ ไม่ใช่ว่าไม่ดีนะ พอไม่มีอะไรท�ำก็ออกไปเดินเล่นตามทุ่ง นั่งดูพระอาทิตย์ตก ท้องฟ้าสีชมพู โรแมนติกดีเหมือนกัน (แต่ดูคนเดียวนะ) ไปขี้จักรยานเล่น ทุ่งหญ้า ทุ่งดอกไม้สวยๆ ก็มี อย่างที่หวังไว้นะ แต่พอมาอยู่จริงๆ แล้วก็เข้าใจว่า ถึงแม้ว่าที่นี่จะมีรถไฟ (ซึ่งสะดวกกว่าที่ไทยเยอะ) และ เราจะมีตั๋วรถไฟเข้าเมืองฟรี (ซึ่งช่วยประหยัดเงินไปได้เยอะมาก) แต่จากบ้านโฮสไป Karlsruhe ซึ่งเป็น เมืองใหญ่ที่สุดที่ใกล้ที่สุด ก็ใช้เวลาตั้งหนึ่งชั่วโมง ไปกลับสองชั่วโมง ซึ่งเสียเวลาสุดๆ แต่จะช้อปปิ้ง หรือ นัดเจอเพื่อนนักเรียนแลกเปลี่ยนคนอื่นๆ ก็ต้องเข้าเมือง เพราะมันเป็นศูนย์กลางของทุกอย่างอยู่แล้ว ให้ ซื้อของในเมืองเล็กๆ แถวนี้ก็แพง (เพราะไม่มีพวก H&M หรือ Zara ในเมืองเล็กๆ หรอกจะมีแต่ยี่ห้อแพง หน่อย พวก Esprit ไม่ก็เสื้อผ้าถูกๆ ที่ไม่มีความสวยงามเลยสักนิด) Karlsruhe เลยกลายเป็นเมืองๆ หนึ่งที่ เรารู้จักค่อนข้างดีพอสมควร โดยเฉพาะรายละเอียดเล็กๆ น้อยๆ เช่น หากต้องการจะเข้าห้องน�้ำฟรี ต้องไปเข้าที่ห้องสมุด หรือไม่ก็ร้านหนังสือ Thalia ห้องสมุดใน Karlsruhe มีหลายที่ ทั้งห้องสมุดทั่วไป ห้องสมุดส�ำหรับเยาวชน และห้องสมุด อเมริกัน ที่มีแต่หนังสือภาษาอังกฤษ (แต่อยู่ออกนอกเมืองไปนิด) เยาวชนอายุต�่ำกว่า 18 ปี ใช้บริการห้อง

37


สมุดฟรี โดยยืมหนังสือได้ครั้งละ 4 สัปดาห์ เราสมัครบัตรใบเดียว ให้ได้กับทุกห้องสมุด ถ้าอยากได้ หนังสือเล่มไหนจากห้องสมุดอื่นที่อยู่นอกเมือง ก็สั่งให้เอามาไว้ห้องสมุดในเมืองแล้วเข้าไปรับทีหลังได้ เนื่องจากฉันเป็นคนชอบอ่านหนังสือ เพราะมันเป็นเพื่อนที่ดีที่สุดในยามที่เราสื่อสารกับใคร ไม่รู้เรื่อง เหงา และไม่มีเพื่อน Thalia เปรียบเสมือนบ้านหลังที่สองใน Karlsruhe เวลาฝนตก หรือไม่ อยากกลับบ้าน อยากหาที่นั่งฆ่าเวลาอย่างมีประโยชน์ ฉันก็จะมานั่งหาหนังสืออ่านในนี้ เพราะ บรรยากาศดีกว่าในห้องสมุด มีหนังสือให้เลือกเยอะกว่า และไม่ว่าอากาศจะหนาวเกินหรือร้อนเกิน อุณหภูมิใน Thalia ก็จะก�ำลังดีอยู่เสมอ ส่วนถ้าวันไหนอากาศดี ก็ต้องแวะซื้อไอติมไปนั่งเล่นนอนเล่นที่สวนหน้าปราสาท อยู่ Karlruhe มาครึ่งปี เรามีโอกาสได้เห็นปราสาทประจ�ำเมืองนี้ทั้งในช่วงหน้าหนาวที่มีหิมะปกคลุม มีลานสเก็ ตน�้ำแข็งมาตั้งอยู่หน้าปราสาทแลดูชวนฝัน และหน้าร้อนที่ทุกอย่างเขียวขจี ผู้คนออกมาปิคนิคกัน มากมายและทุกอย่างดูมีชีวิตชีวา ฉันเองก็มีโอกาสได้มานอนเล่น อ่านหนังสือ กินไอติม คุยกับเพื่อน แถวนี้เหมือนกัน ถึงแม้ว่าวันนั้นแดดจะจ้า อากาศค่อนข้างร้อน แต่พอนึกขึ้นได้ว่าโอกาสที่จะมาใส่เสื้อ กล้ามกางเกงขาสั้น นอนอาบแดดในสวนหน้าปราสาทไม่ได้มีมาให้คว้าไว้บ่อยๆ นัก ฉันจึงไม่ยอม ปล่อยให้ มันหลุดมือไป หากไม่อยากกลับไปกินข้าวที่บ้าน ร้านอาหารเพื่อสุขภาพแบบที่ฉันชอบกินก็มีอยู่บ้างใน Karlsruhe ถ้าเอาถูก อิ่ม อร่อย ก็ต้อง Falafel ที่ร้านตรง Passenger Hof ใกล้ๆ ทางออกไป Vapiano

38


ร้านนี้พิเศษตรงแป้ง Durum เหนียวนุ่มที่ร้านท�ำเอง (Durum คือแป้งที่ใช้ห่อ ถ้าภาษาเยอรมันจะเรียกว่า Yufka) อีกร้านโปรดของฉันคือ Bratar ร้านนี้เน้นฟาสฟู้ดเพื่อสุขภาพ จะมีพวกเบอเกอร์ สลัด ราคาก็จะ แพงขึ้นมาอีกหน่อยแต่พนักงานน่ารัก จัดร้านแนว earth tone ได้อย่างน่านั่งสุดๆ นอกจากนี้ยังมีร้าน อาหารมังสวิรัตอย่าง ViVA อยู่ใจกลางเมือง ใกล้ๆ กับห้าง Ettlinger Tor ซึ่ง อาหรทุกจานจะเป็นมังสวิรัต เพื่อสุขภาพ มีทั้งบุฟเฟต์ที่ชั่งตามน�้ำหนัก ของหวาน และเครื่องดื่มให้เลือก ถ้าจะสั่งแบบ Takeaway เป็น แซนวิชก็มีเหมือนกัน กินเสร็จแล้วก็จะพาไปดื่มกันต่อ ฉันชอบร้านสไตล์ Kneipe ประเภทที่เปิดทั้งวัน ตอนเช้าเสิร์ฟ อาหารเช้า ตอนเย็นเสิร์ฟเบียร์ โดยร้านที่ไปบ่อยๆ (เพราะคอมมิตตี้ชอบนัดเจอ) คือ Stovchen เป็นร้านที่มี อาหารเช้าและ Flammkuchen ทั้งแบบเค็มและหวาน ราคาไม่แพง บรรยากาศน่านั่ง เหมาะกับการนัด เจอเพื่อนเยอะๆ นอกจากนี้ก็ยังมี Badisch Brauhaus เป็นโรงเบียร์เยอรมัน ที่มี Happy Hour ท�ำให้เบียร์ ราคาถูกสุดๆ (ร้านนี้ลาร่าเป็นคนพาไปชิม) แต่ถ้าเป็นเบียร์ที่อร่อยที่สุดในแถบนี้คงหนไม่พ้น Hopfner ที่ หมักเบียร์กันในปราสาท และทุกๆ ปีโรงแบียร์แห่งนี้จะจัดงาน Hopfner Burg Fest คล้ายๆ เทศกาลเบียร์ ขนาดย่อมนั่นเอง พูดถึงเรื่องเทศกาลแล้ว ที่ Karlsruhe ก็มีเทศกาลสนุกๆ เยอะเหมือนกัน ทั้ง Holi Fest หรือ เทศกาลทีเอาสีฝุ่นมาโยนใส่กัน(?) หลังจากนั้นก็จะเป็นเหมือนปาร์ตี้ให้เต้นกัน Das Fest เทศกาลดนตรี สามวัน ที่ตั๋วราคาสุดถูกแค่ 5 ยูโรต่อวันเท่านั้น งานนี้เองที่ท�ำให้ฉันได้ไปฟังนักร้องเยอรมัน (แต่ร้องเพลง ภาษาอังกฤษ) หน้าตาน่ารักอย่าง Leslie Cleo ร้องสดถึงขอบเวที นอกจากนี้ยังมีงาน open air cinema ของโรงหนังที่เน้นฉายหนังแบบ original soundtrack อีกด้วย (การหาดูหนังแบบ original soundtrack ใน เยอรมันไม่ใช่เรื่องง่ายๆ นะเออ) ถึงแม้ว่าก่อนจะย้ายโฮสไปอยู่ Nuernberg จะแอบบ่นอยู่บ้างว่าเบื่อ Karlsruhe มันไม่ค่อยมี อะไรสวยๆ ให้ถ่ายรูป ไม่ค่อยมีอะไรพิเศษเลย แต่เอาเข้าจริงๆ แล้ว เพราะฉันอยู่ที่นี่มานานพอสมควร จน รู้สึกคุ้นเคยและปลอดภัย รู้ว่าอยากได้อะไรต้องไปที่ไหน ยังไง ตอนต้องย้ายก็แอบรู้สึกเสียดายเหมือนกัน เสียดายที่อุตส่าห์ปรับตัวมาตั้งนาน เสียดายมิตรภาพ เพื่อนๆ หลายคนที่อยู่แถวนี้ ในขณะที่ฉันต้องย้ายไป ที่อื่น และอาจจะไม่ได้เจอกันอีก แต่เรื่องแบบนี้ต้องตัดสินใจไปเลยอย่างแน่วแน่ เด็ดขาด ว่าจะย้ายแล้ว นะ ฉันได้แต่หวังให้มันดีกว่า ซึ่งก็คงไม่ดีกว่าในทุกๆ ด้าน แต่ถ้าแย่กว่าไปเลย ก็ต้องยอมรับกับการตัดสิน ใจของเราเอง ส�ำหรับฉันแล้ว ถึงแม้ว่าเมืองนี้จะมีอะไรดีๆ อยู่มาก แต่ก็ไม่เสียใจที่ตอนนั้นตัดสินใจย้ายไปอยู่ Nuernberg เพราะเมื่อเทียบกับสิ่งที่ต้องเสียไป ในครึ่งปีหลังฉันได้อะไรดีๆ กลับมามากมายเหลือเกิน

39


40


49


หลงปารีส


ชีวิตหรรษาแบบเด็กละติน

ตลอดหนึ่งปีในเยอรมนี เด็กแลกเปลี่ยนจากทั่วโลกที่อาศัยอยู่ในแถบเดียวกันจะมีค่ายร่วมกัน ทั้งหมดสามครั้ง ฉันได้อยู่กับเพื่อนค่ายเดิมตลอด ถึงแม้ว่าจะย้ายโฮสหนึ่งครั้ง แต่บ้านใหม่อยู่ไม่ไกลจากสถาน ที่จัดค่ายเก่ามากนัก ค่ายที่สามเลยขอกลับไปเข้าค่ายเดิม เจอเพื่อนเก่าๆ เป็นครั้งสุดท้าย ในค่ายแรก เพิ่งมาถึงแค่สองอาทิตย์ นอกจากภาษาจะยังงูๆ ปลาๆ แล้ว ฉันยังต้องนั่งรถไฟ กว่าสามชั่วโมง พร้อมต่อรถไฟถึงสองครั้งกว่าจะไปถึงจุดหมายอีก โดยมีลาร่า เพื่อนบราซิลนั่งรถไฟไป เที่ยวเดียวกัน พอเปลี่ยนรถไฟไปขึ้นขบวนที่น�ำเราไปถึงจุดหมายได้ก็ถอนหายใจอย่างโล่งอก การเปลี่ยน รถไฟที่สถานใหญ่ใน Munich ส�ำหรับมือใหม่อย่าง ฉันในตอนนั้นไม่ไช่เรื่องง่ายเลย ฉันเป็นคนไทยคนเดียวในค่าย มีเอเชียอีกประมาณสี่ห้าคน ส่วนที่เหลือเป็นพวกละตินอเมริกา ซึ่งสื่อสารกันด้วยภาษาสเปนและโปรตุเกสรู้เรื่อง ฉันก็รู้สึกเหมือนโดนทิ้งน่ะสิ โชคดีที่ลาร่าไม่ทิ้งฉัน ตอนนั้นได้นอนห้องเดียวกับเด็กเอเชียและละติน รวมไปถึงลาร่า แต่เด็ก ละตินทั้งสองในห้องค่อนข้างจะเรียบร้อย (ถ้าเทียบกับเด็กละตินคนอื่นๆ อ่ะนะ) ฉันจึงยังไม่รู้ว่าจริงๆ แล้ว สังคมของเด็กเหล่านั้นเป็นอย่างไร ...จนมาถึงค่ายที่สอง สถานที่จัดค่ายเปลี่ยน คนดูแลค่ายเปลี่ยน และเพื่อนๆ ชาวละตินก็หายไปอยู่ค่ายอื่นกันหลาย 77


คน ค่ายที่สองช่วงกลางปีก่อนปิดซัมเมอร์นี้จึงเหลือแค่หนุ่มๆ ละติน ห้อยติ่งนิวซีแลนด์มาหนึ่งคน สาว เอเชียสี่คน สาวบราซิลสามคน และซิลวี่ (Silvi) จากคอสตาริก้า ซึ่งกลายมาเป็นเพื่อนสนิทของฉันได้อย่างไรก็ไม่รู้ อาจจะเป็นเพราะฉันไม่ค่อยชอบเข้ากลุ่มกับพวกเอเชียเท่าไหร่ เพราะมีเด็กญี่ปุ่นที่มองโลกใน แง่ร้ายไปนิด ท�ำให้คุยด้วยแล้วหดหู่ ส่วนซิลวี่ก็เหลือเพื่อนผู้หญิงจากแถบเดียวกันแค่สามคน และทั้งสาม ดันพูดภาษาโปรตุเกสใส่กัน ซึ่งเธออาจจะไม่ช�ำนาญสักเท่าไหร่ เราสองคนจึงกลายมาเป็นเพื่อนสนิทกัน โดยปริยาย และนั่นเป็นการได้เข้าไปสัมผัสชีวิตของชาวละตินอเมริกาเป็นครั้งแรก ในเยอรมันซะด้วย โดยปกติแล้ว แอลกอฮอล์เป็นสิ่งต้องห้ามส�ำหรับค่ายเหล่านี้ แต่เมื่อคุณอยู่กับเด็กละตินแล้ว ล่ะก็ everything is possible ค่ะ คนดูแลในค่ายที่สองของเราค่อนข้างจะปล่อยปะละเลย แถมยังแพลนตารางกิจกรรมมาไม่ แน่น แค่สองทุ่มครึ่งกิจกรรมก็เสร็จหมดแล้ว (ค่ายแรกเลิกกันตั้งเที่ยงคืนแน่ะ) เราจึงได้เดินออกไปซื้อของ ที่ซุปเปอร์มาร์เก็ตใกล้ๆ กัน จะอะไรซะอีกล่ะ ก็แอลกอฮอล์ไงล่ะ เนื่องจากสาวบราซิลของเรามีบัตรประชาชนปลอมจากบราซิลติดตัวมาพร้อม เราจึงสามารถ ซื้อเหล้าได้ทุกอย่าง ทั้งเหล้าน�้ำหวาน เบียร์ และเหล้าสมุนไพรที่มีแอลกอฮอล์กว่า 50% เราเปิดเบียร์ออกมากินกันคนละขวดระหว่างเดินกลับ ก่อนจะเข้าโฮสเทลก็ต้องรีบหาถังขยะทิ้ง ขวดเบียร์ และซ่อนขวดเหล้าไว้ในกระเป๋าให้เรียบร้อย เผื่อมีคนดูแลค่ายออกมาเห็น แล้วเราก็ไปตั้งวงนั่ง เล่น Never Have I Ever กันที่ห้องของสาวๆ บราซิลซึ่งเป็นห้อง connect ติดกับห้องฉัน และเกมส์นี้จะเปิดเผยด้านแซ่บๆ ของเด็กละตินให้คุณรู้แบบไม่ทันตั้งตัวค่ะ ส�ำหรับคนที่ไม่เคยเล่น หรือไม่รู้จักเกมส์นี้ Never Have I Ever เป็นเกมส์ที่เล่นกันทั่วไปในวง เหล้า โดยจะผลัดกันพูดคนละประโยค เช่นฉันพูดว่า Never have I ever kiss a girl ถ้าใครเคยจูบผู้หญิง ต้องดื่ม ถ้าเมื่อไหร่ที่มีคนดื่มแต่คนเดียวในวง คนนั้นก็ต้องเล่าเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นให้คนอื่นๆ ฟังด้วย แล้วก็

78


Comfort Zone การก้าวออกจาก Comfort Zone นั้นคล้ายการตัดสินใจที่จะเปลี่ยนแปลงอะไรบางอย่างโดยที่ ยังไม่รู้ว่าผลลัพธ์จะเป็นอย่างไร ซึ่งไม่ใช่เรื่องง่ายเลย เพราะการอาศัยอยู่ในโลกแห่งความเคยชินนั้นไม่ ต้องใช้พลังงานและความพยายามมากนัก เจอหน้าผู้คนเดิมๆ ไปยังสถานที่เดิมๆ ทำ�กิจกรรมเดิมๆ จนตื่น เช้ามาก็ไม่ต้องใช้สมองคิดให้มากเหมือนมีโปรแกรมอัตโนมัตที่ถูกตั้งค่าเอาไว้แล้วว่าวันนี้ต้องทำ�อะไรบ้าง อย่างไรก็ตาม โซนแห่งความสะดวกสบายนี้จะถูกขยายใหญ่ขึ้นเรื่อยๆ ตามอายุที่เพิ่มมากขึ้น แต่ส่วนมากจะเป็นเพราะถูกสถานการณ์บังคับซะมากกว่า ไปโรงเรียนวันแรก สักพักก็ชิน Comfort Zone จึงขยายไปถึงการไปโรงเรียน ไปมหาลัยวันแรก สักพักก็ชิน Comfort Zone จึงขยายไปถึงการไปมหาลัย ไปท�ำงานวันแรก สักพักก็ชิน Comfort Zone จึงขยายไปถึงการไปท�ำงาน แต่งงานครั้งแรก สักพักก็ชิน...กับชีวิตแต่งงาน... เอิ่ม...อันสุดท้ายนี่เอามาเป็นตัวอย่างไม่ได้นะ แต่การก้าวออกจาก Comfort Zone ด้วยความสมัครใจของตนเองนั้นมันอีกเรื่องหนึ่ง การตัดสินใจมาแลกเปลี่ยนที่เยอรมนีอาจจะเป็นตัวอย่างที่ง่ายๆ เพราะได้ยินคนพูดมาเยอะ แล้วว่ามันดีอย่างนั้น อย่างนี้ ตอนที่ตัดสินใจจะไปก็คิดแต่เรื่องดีๆ เป็นหลัก จนพอมาถึงแล้วเลยถูกบังคับ ให้ก้าวออกมานอก Comfort Zone ของตัวเองอยู่บ่อยๆ อย่างการอยู่กับครอบครัวอื่น การไปไหนมาไหน คนเดียว เหล่านี้เป็นเพียงเรื่องเล็กๆ น้อยๆ เรียกได้ว่าเป็นเพียงก้าวสั้นๆ ออกมานอก ‘โซน’ ของฉันเท่านั้น ถ้าต้องก้าวออกมายาวๆ ด้วยความสมัครใจ ไม่ต้องถูกบังคับล่ะ? ฉันคิดว่าการได้ลองท�ำสิ่งใหม่ๆ หรือก้าวยาวๆ (และหลายๆ ก้าว) ออกมาจากความเคยชินของ ตนเองนั้น มักจะเป็นก�ำไรต่อชีวิตเสมอ (ไม่นับการติดยา เล่นการพนันนะ) มันอาจจะกลัวตั้งแต่ยังไม่ได้ เริ่มท�ำ อาจจะอึดอัด ไม่สบายกาย ไม่สบายใจบ้างในช่วงแรก แต่เมื่อเวลาผ่านไปสักพัก Comfort Zone ของเราจะขยายใหญ่ขึ้น ละน�ำเรากลับเข้าไปอยู่ด้านในอีกครั้ง พอผ่านช่วงไม่คุ้นเคยมาได้แล้วมองย้อนกลับไป จะเห็นว่ามันคุ้มค่าที่ได้และได้รู้ว่าเราท�ำได้ การตัดสินใจย้ายโฮส ย้ายออกจากบ้านที่คุ้นเคย (ถึงแม้จะไม่ค่อยมีความสุข) และกฎระเบียบ ที่คุ้นเคย ก็เป็นการก้าวยาวๆ ครั้งหนึ่งของฉัน ที่ใช้เวลาคิดไตร่ตรองอยู่นานนับเดือนกว่าจะตัดสินใจได้ ซึ่งเวลาไม่ได้รอฉันเสมอไป หลายครั้งจึงต้องตัดสินใจในเวลาสั้นๆ โดยเชื่อในสัญชาตญาณ ของตัวเองเป็นหลัก ว่าจะก้าวออกมาจากเส้นสมมตินั้น หรือจะปล่อยให้มันขังฉันเอาไว้ด้านใน ...การไปเดินเล่นใน Munich กับไกด์แปลกหน้า ที่เพิ่งรู้จักกันทางอินเตอร์เน็ตไม่ถึงวัน เป็นอีก ครั้งที่ฉันตัดสินใจก้าวออกมานอก Comfort Zone ของตัวเองอยู่หลายก้าว ตอนที่ตัดสินใจ ไม่มีใครรู้หรอกว่ามันจะคุ้มหรือไม่คุ้ม ถ้าอยากรู้ก็ต้องลองเสี่ยง เมื่อมองย้อน กลับไป ส�ำหรับฉันในครั้งนั้น มันเป็นการตัดสินใจที่ถูกต้องจริงๆ 97


98


ชีิวิตนี้ที่รอคอย ด้วยความมุ่งมั่นและหน้าด้านของตัวเอง ฉันจึงได้ไปอยู่ในครอบครองของโฮสที่ถูกใจ ...คือจะบอกว่าได้โฮสที่ถูกใจมาครอบครองมันก็กระไรอยู่นะ ที่จริงทางโครงการหาครอบครัวใหม่ให้ได้เหมือนกัน ซึ่งอยู่ในหมู่บ้านเล็กๆ แห่งเดิม ไม่ต้องย้าย โรงเรียน ไม่ต้องย้ายเมือง ไม่ต้องย้ายรัฐ ซึ่งเขาเห็นว่าแบบเนี่ย ดีจะตาย แต่ฉันไม่เอาค่ะ ฉันชอบการเปลี่ยนแปลง อยากย้ายเมือง อยากย้ายรัฐ อยากย้ายโรงเรียน แถมโฮสใหม่ที่หามาเองนี้ยังเคยรู้จักกันแล้ว (แบบผิวเผิน) อีกต่างหาก จึงเป็นโอกาสอันดีที่ท�ำให้ฉันได้ ย้ายมาอยู่ Bayern—รัฐที่รวบรวมความเป็นเยอรมันทุกอย่างเอาไว้ ได้ย้ายมาอยู่โรงเรียนใหม่ ได้มาเจอ เพื่อนที่สนิทกันแบบสุดขั้วภายในเวลาไม่กี่เดือน ได้เรียนรู้เกร็ดเล็กเกร็ดน้อยจากความพูดมากของทั้งโฮส และตนเองเอง ทั้งคริสเตียนและและทาเบีย—โฮสใหม่ของฉัน—นับถือศาสนาคริสต์นิกาย Evangelical อย่าง เคร่งครัด โดยโฮสพ่อเป็นบาทหลวง ส่วนโฮสแม่เป็นครูสอนศาสนา โชคดีที่ฉันรู้จักพวกเขาก่อนที่จะมารู้ถึงงานที่พวกเขาท�ำ ไม่อย่างนั้นฉันคงกลัวที่จะต้องมาอยู่ ในครอบครัวเคร่งศาสนาแน่ๆ แต่ส�ำหรับครอบครัวนี้ ถ้าไม่บอกคงไม่รู้ว่าคือครอบครัวของบาทหลวง เพราะพวกเขาใช้ชีวิตอย่างปกติสุดๆ ชอบฟังเพลง ไปเที่ยว สังสรรค์เฮฮา ไม่ได้เข้าโบสถ์ทุกอาทิตย์ก็ไม่ เป็นไร และไม่เคยบังคับให้ฉันเข้าโบสถ์เลยสักครั้ง พวกเขายังเข้าใจดีที่ฉันนับถือศาสนาพุทธ และชอบบ่น พวกที่น�ำเศียรพระพุทธรูปมาเป็นของแต่งบ้านแทนฉันอยู่เสมอ อันที่จริง ฉันว่าการมาอยู่กับครอบครัวแบบนี้ถือว่าได้ก�ำไรนะ เพราะได้เรียนรู้ศาสนาอื่นไปใน ตัว มีโอกาศได้เข้าร่วมพิธีแต่งงาน หรือวันส�ำคัญที่เกี่ยวข้องกับศาสนาอื่นๆ โดยเฉพาะวันคริสต์มาส ซึ่ง ครอบครัวนี้จัดแบบตรงตามประเพณีเก่าแก่ พอถามเกี่ยวกับประวัติความเป็นมานี่จะตอบได้หมดเลย เหมือนครึ่งปีแรกเป็นช่วงปรับตัว ช่วงที่ยังท�ำตัวเป็นนักเดินทาง ตะลอนทัวร์ไปทั่วประเทศ ส่วนครึ่งปีหลัง ได้เที่ยวนิดเดียว แต่ได้เรียนรู้วัฒนธรรม และพบเจอกับมิตรภาพใหม่ๆ มากมาย

111


112


139


วันฟ้าใสใน Bamberg Bamberg เป็นเมืองมรดกโลกเล็กๆ ที่น่ารักที่สุดในแถบ Franconia นอกจากตึกสวยๆ ถนน เส้นเล็กๆ แม่น�้ำที่ไหลผ่านตัวเมือง ปราสาทและโบสถ์บนเนินเขาแล้ว เมืองนี้ยังเต็มไปด้วยคาเฟ่และผับ น่ารักๆ น่าเข้าไปซะทุกร้าน แต่ไม่รู้ท�ำไม ทุกครั้งที่ไป Bamberg ฝนจะต้องตกจนไม่เป็นอันได้ถ่ายรูปสักที หลังจากได้ไป มาสองครั้งจึงยังไม่เคยได้เห็นสถานที่ท่องเที่ยวอะไรสักอย่าง ได้แต่ไปนั่งเล่นกินเล่นตามร้านกาแฟและ ร้านอาหารเท่านั้น จนกระทั่งวันหนึ่งที่ฉันเปิดดูแอปพยากรณ์อากาศแล้วพบว่าวันเสาร์ที่จะถึงนี้อากาศจะแจ่มใส ไร้เมฆ เลยจัดการนั่งรถไฟไป Bamberg ซะเลย เพราะไม่รู้ว่าถ้าพลาดครั้งนี้แล้วจะมีเสาร์ไหนที่ฟ้าใสและ ฉันว่างตรงกันอีกรึเปล่า มัวแต่คิดตื่นเต้นที่จะได้เห็น Bamberg ในวันอากาศดีมากไปหน่อย จนฉันลืมซื้อตั๋วรถไฟไป เลย มารู้ตัวอีกทีก็อยู่บนรถไฟซะแล้ว ตลอดเวลาที่เดินทางอยู่บนรถไฟกว่าครึ่งชั่ว หัวใจฉันไม่มีโอกาศได้ เต้นเป็นจังหวะเลยสักครั้ง เรียกได้ว่านั่งลุ้นตัวเกร็งจนเหนื่อย เพราะเห็นพนักงานตรวจตั๋วแวบไปแวบมา อยู่ตลอด เมื่อถึงสถานีปลายทางฉันจึงรีบเดินไปซื้อตั๋วก่อนเป็นอย่างแรกเลยทีเดียว วันนี้ ฉันตั้งใจไว้อย่างแน่วแน่ว่าจะไม่เน้นกิน แต่เน้นเดินชมเมืองและถ่ายรูปบรรยากาศสวยๆ ในช่วงปลายฤดูใบไม้ผลิอย่างนี้ให้มากที่สุด เมื่อแผนที่ในมือพร้อม จึงรีบออกเดินเข้าสู่เขตเมืองเก่าของ Bamberg ฉันเดิมชมสถานที่ท่องเที่ยวดังๆ ของเมืองไปเรื่อยๆ เริ่มจากโดมบนเนินเขา แล้วต่อด้วย ปราสาทเก่า—Altenburg—บนเขาอีกลูก ด้วยความขี้งกและคิดว่าตัวเองแน่ ฉันตัดสินใจเดินขึ้นไปเพราะ ตั๋วรถบัสที่จะขึ้นไปถึงปราสาทนั้นได้เป็นตั๋วพิเศษที่ต้องซื้อเพิ่มในราคาสิบกว่ายูโร เรื่องอะไรจะไปยอม จ่ายล่ะ เดินขึ้นเองน่าสนุกกว่าตั้งเยอะ แค่ไม่ถึงสองกิโลเอง กูเกิ้ลบอกเอาไว้ว่าเดินแค่ครึ่งชั่วโมงก็ถึงแล้ว ล่ะ ...หารู้ไม่ว่าทางเดินที่กูเกิ้ลบอกมานั้นเป็นทางเดินบนถนนขึ้นเขาที่มีรถยนต์วิ่งไปมาอยู่ตลอด เวลา ซึ่งแลดูอันตราย เสี่ยงต่อการเกิดอุบัติเหตุสุดๆ ฉันเลยต้องจ�ำใจใช้เส้นทางคนเดินบนทุ่งหญ้ารกๆ ขึ้น เขาแทน แดดที่ร้อนจ้าท�ำให้หลังเริ่มเปียก แต่เมื่อตัดสินใจมาแล้ว ฉันก็จะไม่หันหลังกลับ จึงเดินต่อไป เรื่อยๆ อย่างไม่รีบร้อน เมื่อเห็นคนเดินสวนลงมาสองคนนั้นแทบจะร้องไห้ด้วยความดีใจ เส้นทางนี้มันมีคนอื่นเดินด้วยนะ ไม่ได้มีฉันแค่คนเดียว ฉันหยุดเดินแล้วหันไปชมวิวด้านหลังเป็นพักๆ ตัวเมืองเล็กๆ ค่อยๆ ไกลออกไปเรื่อยๆ จนเห็น แค่เพียงยอดของโบสถ์สองแห่งที่ตั้งเด่นเป็นสง่าออกมา เป็นโชคดีอย่างหนึ่งที่ได้ตัดสินใจเดินเท้าขึ้นไปบน ยอดเขาแห่งนี้ เพราะภาพที่สวยที่สุดของเมือง Bamberg จากมุมสูงที่ฉันถ่ายได้ อยู่ระหว่างเดินขึ้น Altenburg นี่เอง แต่ถ้าจะให้เดินขึ้นแบบนี้อีกครั้งก็ขอปฏิเสธนะ 140


145


หลงรัก จน หลงทาง

146


Looking Back ฉันนั่งเขียนตอนจบของการเดินทางในเยอรมนีที่สนามบินสุวรรณภูมิ ขณะที่ก�ำลังรอขึ้นเครื่อง ไปเรียนต่อที่อังกฤษ เขียนตอนจบของการเดินทางครั้งหนึ่ง ในวันที่การเดินทางครั้งใหญ่อีกครั้งก�ำลังจะเริ่มต้นขึ้น หนึ่งปีในเยอรมนี เหมือนจะนาน เพราะมีอะไรเกิดขึ้นมากมายเหลือเกิน ทั้งเวลาที่สุข เศร้า เหงา ท้อแท้ และดีใจ ฉันได้ก้าวข้ามความเคยชินเดิมๆ มานับครั้งไม่ถ้วน เปิดโลกกว้างให้กับตัวเอง มันไม่ ได้ราบรื่นไปซะทุกเรื่อง แต่มีสีสันและน่าจดจ�ำ เพราะถ้าชีวิตราบรื่นเกินไปคงจะจืดชืดน่าดู หนึ่งปีที่จากบ้านเกิด จากพ่อแม่ไปอยู่ต่างแดน ท�ำให้ฉันเข้าค�ำว่า ‘บ้าน’ ได้ดีกว่าเดิมอีกนิด บ้านคือความคุ้นเคย คือสถานที่ใดก็ตามในโลกที่ฉันได้อยู่กับคนที่ฉันรัก ฉันจึงมีบ้านทั่วโลก แต่บ้านหลังที่อบอุ่นที่สุดนั้นหนีไม่พ้นบ้านที่ได้อยู่กับป๊าและแม่ ในวันนี้ ฉันก�ำลังออกไปค้นพบโลกกว้างอีกครั้ง ด้วยประสบการณ์ที่มากขึ้นกว่าเดิม สิ่งที่รออยู่ ที่ปลายทางก็ท้าทายกว่าเดิมเช่นกัน ...ไม่ได้ไปเล่นๆ แต่ไปเรียน ...ไม่มีโฮสคอยดูและอีกต่อไป แต่ต้องอยู่หอคนเดียว ...ยังไม่รู้จักใครเลยสักคน! ใช่ มันน่ากังวลไม่ใช่น้อย แต่ก็น่าตื่นเต้นสุดๆ เช่นกัน ฉันเชื่อว่าสิ่งที่ได้เรียนรู้ในเยอรมนีตลอดหนึ่งปี จะช่วยให้ชีวิตที่อังกฤษง่ายขึ้นอีกนิด แม้การเดินทางในเยอรมนีจะจบลงแล้ว แต่สิ่งที่ได้เรียนรู้ระหว่างทางจะคงอยู่กับฉันตลอดไป แม้การเดินทางในเยอรมนีจะจบลงแล้ว แต่วันนี้การเดินทางครั้งใหม่ก�ำลังจะเริ่มต้นขึ้น และมันจะเป็นอย่างนี้ต่อไปเรื่อยๆ จบลง เริ่มใหม่ ไม่มีวันจบสิ้น เพราะชีวิตคือการเดินทาง

196


197


เริ่มจากอยากหนีออกจากบ้าน อยากไปเจออะไรใหม่ๆ อยากไปในที่ไกลๆ อยากเที่ยว... —— จนกลายมาเป็น ประสบการณ์รอยยิ้มเคล้าน�้ำตา หนึ่งปีในเยอรมนี มีของแถมเป็นทริปสกี ครอบครัว และมิตรภาพกับเพื่อนใหม่รอบโลก

199


Issuu converts static files into: digital portfolios, online yearbooks, online catalogs, digital photo albums and more. Sign up and create your flipbook.