วารสารวิชาการ อัล-ฮิกมะฮฺ มหาวิทยาลัยอิสลามยะลา ไฟซ็อล หะยีอาวัง
46
คือแหล่งที่มาของความรู้และแนวความคิดที่สําคัญเช่นกัน ซึ่งแนวความคิดของท่านเกี่ยวกับเรื่องดังกล่าวปรากฏให้ เห็นอย่างชัดเจนในกีตาบ “อัล-ดุรฺ อัล-ษามีน” ว่าด้วยคํา จํากัดความของวิชาหลักการศรัทธา (Islamic Principle of Faith) และทฤษฎีความรู้ (Epistemology) (Frolov, 1984, 128) ในอิสลาม ดังที่ท่านเช็คดาวูดได้อธิบายเพื่อ ยื น ยั น ในเรื่ อ งดั ง กล่ า วว่ า “วิ ช า อุ ศู ลุ ด ดี น หรื อ วิ ช า หลักการศรัทธาในอิสลามนั้น คือวิชาที่ว่าด้วยการยึดมั่น ในหลักการศรัทธาแห่งอิสลาม ซึ่งความศรัทธาดังกล่าว เกิ ด ขึ้ น ได้ เ พราะมี ห ลั ก ฐานต่ า งๆ ที่ เ ชื่ อ ถื อ ได้ ม า สนับสนุน” (Ibn ‘Abdullah Ibn Idris, 1812: 3) คําว่าหลักฐานต่างๆ ที่เชื่อถือได้ตามทัศนะของ ท่ า นเช็ ค ดาวู ด อั ล -ฟาฏอนี ดั ง กล่ า วข้ า งต้ น หมายถึ ง หลักฐานต่างๆ ที่ได้จากหลักคําสอนปฐมภูมิของอิสลาม และข้อโต้แย้งที่ได้จากกระบวน การคิดและอ้างเหตุผลใน เชิงตรรกวิทยา (Ibn ‘Abdullah Ibn Idris, 1812: 4) นอกจา กนี้ ท่ า น เช็ ค ดา วู ด ยั ง ไ ด้ ก ล่ า วถึ ง ความสํ า คั ญ ของการใช้ ส ติ ปั ญ ญาและเหตุ ผ ลในฐานะ แหล่งที่มาของความรู้ที่สําคัญของมนุษย์ในคําอธิบายของ ท่านว่า “...สําหรับคนที่มีความศรัทธามั่นเพราะการรอบ รู้นั้น คือผู้ที่ได้รับความรู้จริงผ่านหลักฐานที่ถูกต้อง ซึ่ง สอดคล้องกับหลักคําสอนที่มาจากพระองค์อัลลอฮฺและ ท่านศาสดาแห่งพระองค์ และข้อพิสูจน์ต่างๆ (ที่เกิดจาก กระบวนการคิดและเหตุผลทางปัญญาเป็นหลัก) ” (Ibn ‘Abdullah Ibn Idris, 1812: 5) นอกจากนี้ เช็คดาวูดได้ หยิ บ ยกหลั ก ฐานจาก อั ล -ฮาดี ษ เพื่ อ ยื น ยั น ว่ า ท่ า น ศาสดามู ฮัม มัด (ขอความสั นติ สุข จงมี แด่ ท่า น) ได้เชิ ญ ชวนให้ มุ ส ลิ ม เรี ย นรู้ วิ ช าหลั ก การโต้ แ ย้ ง (‘Ilm alMunazarah) เพื่อประโยชน์ในการยืนยันหลักการศรัทธา ที่ ป รากฏอยู่ ใ นหลั ก คํ า สอนปฐมภู มิ อิ ส ลาม (Ibn ‘Abdullah Ibn Idris, 1812: 4) ความว่า “จงเรียนวิชา หลักการโต้แย้ง (เพื่อยืนยันและรับรองหลักการศรัทธาใน อิ ส ลาม) กั น เถิ ด เพราะพวกเจ้ า ทุ ก คนจะต้ อ งเป็ น ผู้รับผิดชอบ (ในเรื่องดังกล่าว)8 8
อัล-ฮาดีษ หรือวจนะของท่านศาสดาดังกล่าว ผู้เขียนไม่สามารถจะสืบค้นสาย รายงานที่ชัดเจนได้ ดังนั้น จึงไม่สามารถที่จะระบุสถานะภาพของ อัล-ฮาดีษ ดังกล่าว ว่า ถูกต้อง “ศอฮีหฺ” (sahih) หรือไม่ เช่นไร
ปี ที่ 2 ฉบั บ ที่ 3 มกราคม-มิ ถุ น ายน 2555 กี ต า บ ญ า วี . . .
ยั ง มี คํ า อธิ บ ายจากเช็ ค ดาวู ด ที่ ชั ด เจนกว่ า นี้ เกี่ ย วกั บ ความสํ า คั ญ ของการใช้ ปั ญ ญาและเหตุ ผ ลใน ฐานะแหล่ ง ที่ ม าของความรู้ ที่ สํ า คั ญ ในอิ ส ลามว่ า “แหล่ ง ที่ ม าของความรู้ สํ า หรั บ มนุ ษ ย์ นั้ น มี ทั้ ง หมด 3 แหล่งด้วยกันคือ ประสาทสัมผัสทั้งห้าที่ครบถ้วนสมบูรณ์ ข้อมูล ความรู้ที่ เชื่อถือได้ และ สติสัม ปชัญ ญะ...” (Ibn ‘Abdullah Ibn Idris, 1812: 6) ดังนั้นเราสามารถสรุปทัศนะของท่านเช็คดาวูด อัล-ฟาฏอนี ในเรื่องแหล่งที่มาของความรู้ (ญาณวิทยา อิสลาม) ได้ว่านอกจาก อัล-กุรอาน และอัล-ฮาดีษของ ท่านศาสดามูฮัมมัด (ขอความสันติสุขจงมีแด่ท่าน) แล้ว ปัญญาและเหตุผลก็นับว่าเป็นแหล่งที่มาของความรู้และ แนวความคิดอิสลามเช่นกัน 1.เครื่องมือและวิธีการนําเสนอแนวความคิด ดัง ที่ไ ด้ก ล่ าวมาแล้ ว ข้า งต้ น ว่า ท่ านเช็ค ดาวู ด อัล-ฟาฏอนี ได้รับแนวความคิด อัล-กาลาม มาจากสํานัก คิด อัล-อัชอารียฺยะห์ ซึ่งให้ความสําคัญกับการใช้เหตุผล ทางปั ญ ญาและข้ อโต้ แ ย้ ง เชิ ง ตรรกวิ ท ยา (Syllogism) ฉะนั้ น เพื่ อ ปู ท างไปสู่ ค วามเข้ า ใจปั ญ หา อั ล -กาลาม โดยเฉพาะประเด็ น เกี่ ย วกั บ คุ ณ ลั ก ษณะแห่ ง พระองค์ อัลลอฮฺ (Attributes of God) หรือ “ซีฟาติลลาฮฺ” (Sifatul-Lah) เช็คดาวูดได้นําเสนอเครื่องมือและระเบียบ วิ ธี เชิ ง ตรรกวิ ท ยาที่ จํ า เป็ น สํ า หรั บ การศึ ก ษาทํ า ความ เข้าใจปัญหาดังกล่าวเบื้องต้น โดยที่ท่านได้ให้คําจํากัด ความและคําอธิบายเครื่องมือและวิธีการต่างๆ เหล่านั้น ในบทนํ าของ กีตาบ อัล-ดุ รฺ อัล-ษามีน (al-Durr alThamin) อย่างละเอียดชัดเจนก่อนเข้าสู่กระบวนการถก ปัญหา อัล-กาลาม ที่ลึกลงไปเป็นรายประเด็น เครื่องมือทางตรรกวิทยาดังกล่าวท่านเรียกว่า “ฮุกมฺ อักลฺ” (Hukm ‘Aql) อันหมายถึงกฎเกณฑ์ทาง ปัญญา (The Law of Reason) ซึ่งแบ่งออกเป็นสาม ประการใหญ่ๆ ดังนี้ 1.วาญีบ (Wajib) หมายถึง จําต้องยอมรับด้วย ปัญญา 2.มุสตาฮีล (Mustahil) หมายถึง ยอมรับด้วย ปัญญาไม่ได้ 3.ญาอีซ (Ja’iz) หมายถึงยอมรับได้ด้วยปัญญา