วารสารวิชาการ อยุธยาศึกษา ปีที่ 6

Page 1


วายสายวิชากาย อมุทมาศึกษา

บีถี่ ๖ ฉนันบยะจําบีฝุถทศักยาช ๒๕๕๗ ISSN 2229-1644

ภาพปก :

บรรยากาศการเก็บพุทราในพระราชวังกรุงศรีอยุธยา เพื่อนํามาแปรรูปขายนักท฽องเที่ยว อันสะท฾อนวิถีชีวิตของผู฾คนที่ใช฾ชีวิตอยู฽ร฽วมกับโบราณสถานในท฾องถิ่นพระนครศรีอยุธยา ภาพโดย ธนิสร เพ็ชรถนอม

เจ้าของ :

สถาบันอยุธยาศึกษา มหาวิทยาลัยราชภัฏพระนครศรีอยุธยา ๙๖ ถนนปรีดีพนมยงคแ ตําบลประตูชัย อําเภอพระนครศรีอยุธยา จังหวัดพระนครศรีอยุธยา ๑๓๐๐๐ โทรศัพทแ / โทรสาร ๐-๓๕๒๔-๑๔๐๗ เว็บไซตแ www.ayutthayastudies.aru.ac.th วารสารทางวิชาการ อยุธยาศึกษา กําหนดออกปีละ ๑ ฉบับ มีวัตถุประสงคแ เพื่อ ให฾บริการทางวิชาการแก฽สงั คม เผยแพร฽บทความทางวิชาการ และงานวิจัยทางด฾าน ประวัติศาสตรแ ศิลปวัฒนธรรม และภูมิปใญญาท฾องถิ่นสู฽สาธารณชน อธิการบดีมหาวิทยาลัยราชภัฏพระนครศรีอยุธยา รองอธิการบดีฝุายนโยบายและแผน มหาวิทยาลัยราชภัฏพระนครศรีอยุธยา ชาญวิทยแ เกษตรศิริ สาวิตรี สุวรรณสถิตยแ จงกล เฮงสุวรรณ

ข้อมูลทั่วไป : ที่ปรึกษา :

บรรณาธิการบริหาร : ผู้ช่วยบรรณาธิการบริหาร : บรรณาธิการ : กองบรรณาธิการ :

ศิลปกรรม : จานวน : พิมพ์ที่ :

กันยารัตนแ คงพร อุมาภรณแ กล฾าหาญ สุรินทรแ ศรีสังขแงาม พัฑรแ แตงพันธแ ปใทพงษแ ชื่นบุญ อายุวัฒนแ ค฾าผล สาธิยา ลายพิกุน อรอุมา โพธิ์จิ๋ว พัฑรแ แตงพันธแ

ณัฐฐิญา แก฾วแหวน สายรุ฾ง กล่ําเพชร ประภาพร แตงพันธแ ศรีสุวรรณ ช฽วยโสภา

๕๐๐ เล฽ม บริษัท เทียนวัฒนาพริ้นทแติ้งจํากัด ๑๖/๗ ถนนเดชาวุธ ตําบลหอรัตนไชย อําเภอพระนครศรีอยุธยา จังหวัดพระนครศรีอยุธยา ๑๓๐๐๐ โทรศัพทแ ๐-๓๕๒๔-๑๕๗๘ โทรสาร ๐-๓๕๓๒-๓๓๙๖

นานาทัศนะที่ปรากฏในบทความต฽าง ๆ ของวารสารฉบับนี้ บรรณาธิการ กองบรรณาธิการ และสถาบันอยุธยาศึกษา มหาวิทยาลัยราชภัฏพระนครศรีอยุธยา ไม฽จําเป็นต฾องเห็นด฾วย ผู฾ที่ประสงคแจะนําข฾อความจากบทความ หรือบทความไปตีพิมพแเผยแพร฽ต฾องได฾รับอนุญาตจากผู฾เขียน

I วารสารวิชาการ อยุธยาศึกษา I ปีที่ ๖ / ๒๕๕๗ I๑


ฟูภิวัฑธทยยภ

บยะวัดิศาสดย์ถี่ภชี ีวิดของปู้คธใธถ้องติ่ธ

ภาพ: ธนิสร เพ็ชรถนอม.

“การศึ ก ษาภู มิ วั ฒ นธรรมท฾ อ งถิ่ น เป็ น ประวั ติ ศ าสตรแ ที่ มี ชี วิ ต ต฽ า งกั บ ประวั ติ ศ าสตรแ ช าติ สมั ย สุ โ ขทั ย สมัยอยุธยาที่ตายไปหมดแล฾ว ซึ่ง การสร฾างประวัติศาสตรแท฾องถิ่นเราเน฾น ที่คนในท฾องถิ่น ศึกษาความสัมพันธแของคน กับพื้นที่ อันประกอบด฾วยผู฾ คนหลากหลายชาติพันธุแ ที่เกิดสํานึก ในท฾องถิ่นร฽วมกัน โดยมีความสัมพันธแทางสังคมและ วัฒนธรรมร฽วมกัน เมื่อคุณเข฾าไปอยู฽ในชุมชนหนึ่ง อาจต฽างศาสนา ชาติพันธุแ แต฽เมื่ออยู฽อาศัยนานเข฾า มีการแต฽งงาน ปะปนกัน และมีประเพณีร฽วมกัน ในที่สุดจะเกิดสํานึกร฽วมกลายเป็นส฽วนหนึ่งในท฾องถิ่นนั้น ๆ เช฽นกลายเป็นคนอยุธยา คนอยุ ธ ยาในอดี ต มี ค นหลากหลายชาติ พั น ธุแ เ ข฾ า มา คนร฾ อ ยพ฽ อ พั น แม฽ ซึ่ ง เกิ ด สํ า นึ ก ร฽ ว มของ คนอยุธยาท฽ามกลางความหลากหลายทางชาติพันธุแและศาสนา การติดต฽อค฾าขายทางทะเลทําให฾อยุธยาเป็นเมืองท฽า (Port City) ที่สําคัญ ซึ่งเมื่อมีคนหลายชาติพันธุแเข฾ามารวมกัน จึงต฾องมีกลไกที่ทําให฾เกิดการบูรณาการทางวัฒนธรรม” ศรีศักร วัลลิโภดม ๘ กุมภาพันธแ ๒๕๕๗

๒ I วารสารวิชาการ อยุธยาศึกษา I ปีที่ ๖ / ๒๕๕๗ I


นถนยยฒาทิกาย

ฝยะธคยศยีอมุทมา ใธภิดิหฤังกยุงศยีอมุทมา สถาบันอยุธยาศึกษาเป็นสถาบันทางวิชาการ ที่เป็นหน฽วยงานหนึ่งของมหาวิทยาลัยราชภัฏพระนครศรีอยุธยา ด฾วยปรัชญา “รอบรู้ เชิดชู สู่สร้างสรรค์วัฒนธรรมอยุธยา” รวมไปถึง ความตั้ง ใจที่จะพัฒนาสถาบันฯ ให฾มีความ เป็นเลิศทางวิชาการ เป็นศูนยแกลางการจัดกิจกรรมทางวัฒนธรรม ทั้งในระดับท฾องถิ่น ระดับชาติ และระดับนานาชาติ ด฾วยความโดดเด฽นของ “กรุงศรีอยุธยา” ในฐานะ “ราชธานี” ซึ่งเป็นศูนยแกลางของความเจริญ ทางสังคม วัฒนธรรม ของภูมิภาคในช฽วงพุทธศตวรรษที่ ๑๙-๒๓ ทําให฾งานวิชาการที่ผ฽านมาส฽วนใหญ฽มุ฽งเน฾นที่จะศึกษาเฉพาะ ในกรอบช฽ ว งเวลาดั ง กล฽ าว จึ ง ปรากฏน฾ อ ยครั้ ง ที่ จ ะมี ก ารศึ กษาอยุ ธ ยาในกรอบเวลา “สมั ย หลัง กรุ ง ศรีอ ยุ ธ ยา” ในมุมมองของประวัติศาสตรแท฾องถิ่นอย฽างจริงจัง แนวคิดนี้จึงเป็นดังวัตถุประสงคแสําคัญ ของ “วารสารวิชาการอยุธยาศึกษา” ปีที่ ๖ ฉบับประจําปี ๒๕๕๗ ที่จะให฾ความสําคัญกับบริบทของการศึกษาพระนครศรีอยุธยาในแนวทางของ “ประวัติศาสตร์ท้องถิ่น ” เพราะกว฽า ๒ ศตวรรษที่ผ฽านมา การเปลี่ยนแปลงในภู มิภาคได฾ นําพาจั ง หวัดพระนครศรี อยุ ธยามาสู฽การเป็น “มรดกโลก” และ “นิคมอุตสาหกรรม” อันเป็นบริบทที่มี ทั้ง มิติของความขัดแย฾ง และมิติของการเกื้อหนุน ซึ่ง เป็นความจริง ที่ไ ม฽อาจ มองข฾ามได฾ บทความภายในประกอบด฾ว ย ภูมิ วัฒ นธรรม หั วใจของการศึกษาประวัติ ศาสตร์ ท้อ งถิ่ น , มอญคลั่ง ที่ กวานปราสาท: เรื่องเล่าจากงานสงกรานต์ที่บ้านเสากระโดง, งานแทงหยวกอยุธยา: ศิลปกรรมแห่งน้าจิตน้าใจของ คนในท้ อ งถิ่ น , วิถี วั ฒ นธรรม ผู้ คนและสายน้ า ตาบลมหาราช, ความทรงจ าที่ ...เกาะลอย, คลองมหานาค: คลองประวัติ ศาสตร์ ที่ถูก ลืม , พระนครศรีอ ยุ ธยา: พื้ นภู มิ อู่ ข้าว-อู่น้า และข้ อ เสนอเพื่อ การบริห ารทรัพยากร ในกระแสทุนนิยม และการจัดการพื้นที่มรดกโลกอยุธยา: ข้อขัดแย้งเชิงกฎหมายในบริบทการบริหารงานวัฒนธรรม เป็นต฾น ประวัติศาสตรแท฾องถิ่นจึงเป็นการศึกษาที่มีความละเอียดอ฽อนและใกล฾ชิดกับวิถีชีวิตของผู฾คนเป็นอย฽างมาก ผู฾ศึกษาจําเป็นต฾องให฾ความสําคัญกับรายละเอียดแม฾เพียงเล็กน฾อย ซึ่งอาจนําไปสู฽การตีความ การทําความเข฾าใจ และยัง อาจเป็น พลัง ทางสั ง คมอัน ยิ่ งใหญ฽ ดั ง คํา ของศาสตราจารยแพิ เ ศษ ดร.ศรีศั กร วัล ลิโ ภดม ที่ ว฽า “ความมุ่ ง หมายใน การศึกษาประวัติศาสตร์ท้องถิ่น คือ ทาอย่างไรให้คนในท้องถิ่นมีชีวิตอยู่ร่วมกันได้ และมีความเข้มแข็งเพื่อต้าน แรงกระทบจากคนภายนอกเพราะว่าตรงนี้เป็นบ้านเกิดเมืองนอน ไม่ใช่หวังเพียงแค่มาหาประโยชน์เพียงเท่านั้น”

บรรณาธิการ วารสารอยุธยาศึกษา

I วารสารวิชาการ อยุธยาศึกษา I ปีที่ ๖ / ๒๕๕๗ I๓


สายนัญ

วายสายวิชากายอมุทมาศึกษา บีถี่ ๖ ฉนันบยะจําบีฝุถทศักยาช ๒๕๕๗

๔ I วารสารวิชาการ อยุธยาศึกษา I ปีที่ ๖ / ๒๕๕๗ I

บทบรรณาธิการ

ภูมิวัฒนธรรม หัวใจของการศึกษาประวัติศาสตร์ท้องถิ่น ศรีศักร วัลลิโภดม

พระนครศรีอยุธยา: พื้นภูมิ อู่ขา้ ว-อู่น้า และข้อเสนอเพือ่ การบริหารทรัพยากรในกระแสทุนนิยม ปฤษณา ชนะวรรษ

๑๐

การจัดการพื้นที่มรดกโลกอยุธยา: ข้อขัดแย้งเชิงกฎหมายในบริบทการบริหารงานวัฒนธรรม พรลภัส อุณาพรหม

๑๘

มอญคลั่งที่กวานปราสาท: เรื่องเล่าจากงานสงกรานต์ที่บ้านเสากระโดง ปใทพงษแ ชื่นบุญ

๒๗

งานแทงหยวกอยุธยา: ศิลปกรรมแห่งน้าจิตน้าใจของคนในท้องถิ่น พัฑรแ แตงพันธแ

๓๗

วิถีวัฒนธรรม ผู้คนและสายน้า ตาบลมหาราช นันทแนภัส ด฽านชัยสิทธิ์

๔๑

ความทรงจาที่...เกาะลอย บุญสมหญิง พลเมืองดี

๕๑

คลองมหานาค: คลองประวัติศาสตร์ที่ถูกลืม วันลียแ กระจ฽างวี

๕๔

จิตรกรรมฝาผนัง วัดชุมพลนิกายาราม: พุทธศิลป์ตามพระราชศรัทธา ในพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าฯ สุรินทรแ ศรีสังขแงาม

๕๙

ลักษณะผสมในจิตรกรรมวัด จอก ตอ จี เมืองอมรปุระ : รูปแบบและบริบททางวัฒนธรรม วรวิทยแ สินธุระหัส

๖๘

ชานวัฒนธรรมสถาบันอยุธยาศึกษา

๘๐


ฟูภิวัฑธทยยภ

หัวใจของกายศึกษาบยะวัดิศาสดย์ถ้องติ่ธ ศยีศักย วัฤฤิโฟณภ

อฟิญญา ธธถ์ธาถ / สยุบควาภ

เมื่อวันที่ ๘ กุมภาพันธ์ พ.ศ.๒๕๕๗ อาจารย์ศรีศักร วัลลิโภดม ได้เป็นวิทยากรบรรยายเรื่อง ภู มิ วั ฒ นธรรม หั ว ใจของการศึ ก ษาประวั ติศ าสตร์ ท้องถิ่ น เนื่ องในโครงการอบรมเชิ ง ปฏิบั ติการ “การวิจัยทางประวัติศาสตร์ท้องถิ่น กรณีศึกษาจังหวัดพระนครศรีอยุธยา” ณ สถาบันอยุธยาศึกษา มหาวิทยาลัยราชภัฏพระนครศรีอยุธยา สรุปสาระสาคัญได้ดังนี้ อดีตพระนครศรีอยุธยามีแต฽วั ดร฾าง บ฾านเรือนอยู฽ริมน้ําด฾านฟากตะวันออก ตรงคลองคูขื่อหน฾า มีตลาดเป็น ระยะ ๆ ย฽ านตลาดเจ฾ าพรหมเป็น สถานีรถไฟ มีเรือนไม฾ เรือนแพ แล฾วมีโรงพยาบาล ศาล คุก แล฾ว ถึง ย฽านหัวรอ อีกแห฽ง หนึ่ง ที่เป็นย฽านชุมชนคือ หัวแหลม และในอดีต มี ช฽วงฤดูน้ําหลาก น้ําแล฾ง ซึ่ง สิ่ง เหล฽านี้เป็น สภาพความเป็ น อยุธยาเก฽าที่สืบเนื่องมา การศึกษาภูมวิ ัฒนธรรมท฾องถิ่นเช฽นนี้ เป็นประวัติศาสตรแที่มชี ีวิตต฽างกับประวัติศาสตรแสมัยสุโขทัย สมัยอยุธยา ที่ตายไปหมดแล฾ว ซึ่ง การสร฾างประวั ติศาสตรแท฾องถิ่นเราเน฾น ที่คนในท฾องถิ่ น ศึ กษาความสั ม พันธแข องคนกับพื้น ที่ อันประกอบด฾วยผู฾คนหลากหลายชาติพันธุแ ที่เกิดสํานึกในท฾องถิ่นร฽วมกัน โดยมีความสัมพันธแทางสังคมและวัฒนธรรม ร฽วมกัน เมื่อคุณเข฾าไปอยู฽ในชุมชนหนึ่ง อาจต฽างศาสนา ชาติพันธุแ แต฽เมื่ออยู฽อาศัยนานเข฾า มีการแต฽งงานปะปนกัน และมีประเพณีร฽วมกัน ในที่สุดจะเกิดสํานึกร฽วมกลายเป็นส฽วนหนึ่งในท฾องถิ่นนั้นๆ เช฽นกลายเป็นคนอยุธยา

I วารสารวิชาการ อยุธยาศึกษา I ปีที่ ๖ / ๒๕๕๗ I๕


คนอยุธยาในอดีต มีคนหลากหลายชาติพันธุแ เข฾ า มา คนร฾ อ ยพ฽ อ พั น แม฽ ซึ่ ง เกิ ด สํ า นึ ก ร฽ ว มของ คนอยุธยาท฽ามกลางความหลากหลายทางชาติพันธุแและ ศาสนาการติ ด ต฽ อ ค฾ า ขายทางทะเลทํ า ให฾ อ ยุ ธ ยาเป็ น เมื อ งท฽ า (Port City) ที่ สํ า คั ญ ซึ่ ง เมื่ อ มี ค นหลาย ชาติ พั น ธุแ เ ข฾ า มารวมกั น จึ ง ต฾ อ งมี ก ลไกที่ ทํ า ให฾ เ กิ ด การบูรณาการทางวัฒนธรรม สิ่ ง ที่ เ ป็ น ภู มิ ทั ศ นแ ข องอยุ ธ ยาที่ สํ า คั ญ คื อ วั ด มหาธาตุ ก฽ อ นที่ พ ระบรมไตรโลกนาถจะสร฾ า ง พระบรมมหาราชวัง วัดมหาธาตุเป็นวัดที่สําคัญที่สุดอยู฽ ทา ง ตอ น ใต฾ ข อ ง ห น อง โ สน ( ปใ จ จุ บั น เ รี ย ก ว฽ า บึงพระราม) เมือ่ พระเจ฾าอู฽ทองสร฾างพระนครศรีอยุธยา ในระยะแรก ความเป็ น บ฾ า นเมื อ งเกิ ด ขึ้ น รอบๆ หนองโสน เมืองต฾องมีสถานที่ศักดิ์สิทธิ์ ซึ่งในบริเวณนี้ มุ ม หนึ่ ง คื อ วั ด มหาธาตุ อี ก มุ ม หนึ่ ง คื อ วั ด พระราม นอกจากนั้นก็เป็นวัดเล็ก ๆ วั ด พ ร ะ ร า มเ ป็ น วั ด ที่ ถว าย พ ร ะ เพ ลิ ง พระบรมศพสมเด็จพระรามาธิบดีที่ ๑ (พระเจ฾าอู฽ทอง) ขณะที่ วั ด มหาธาตุ ส ร฾ า งขึ้ น ในสมั ย สมเด็ จ พระบรม ราชาธิ ร าชที่ ๑ (ขุ น หลวงพะงั่ ว ) ในสมั ย สมเด็ จ พระรามาธิ บ ดี ๑ เป็ น สมั ย ที่ บ฾ า นเมื อ งเริ่ ม ก฽ อ ตั้ ง และสมเด็จพระรามาธิบดี ๑ มีความสัมพันธแเป็นบุตร เขยของกษั ต ริ ยแ ร าชวงศแ สุ พ รรณภู มิ (สุ พ รรณบุ รี ) สองราชวงศแนี้ รวมกันเกิดเป็นกรุงศรีอยุธยา เป็นนคร รั ฐ อิ ส ระที่ ร วมกั น เป็ น อยุ ธ ยา และราชวงศแ ต฽ อ มา คือ ราชวงศแสุพรรณภูมิได฾ขึ้นครองราชสมบัติ สมเด็จ พระบรมราชาธิ ราชที่ ๑ (ขุน หลวงพะงั่ ว ) ก็ไ ด฾ สร฾ า ง พระบรมธาตุ (วัดมหาธาตุ) ถึงได฾พูดถึงเรื่องนี้ขึ้นมา เมื่ อ ผมอายุ ไ ด฾ ป ระมาณ ๑๒ ปี ตอนนั้ น มี การ ขุ ด ค฾ น ที่ วั ดราชบู ร ณะ และ วั ดมหาธาตุ พ บ พระบรมธาตุบรรจุอยู฽ภายใน นับจากยุคของสมเด็ จ พระ บร มร าชาธิ ราชที่ ๑ มาถึ ง ยุ ค ของ สมเด็ จ เจ฾ า สามพระยา กรุ ง ศรี อ ยุ ธ ยามี ค วามมั่ ง คั่ ง มาก ดังที่ปรากฏหลักฐานภายในกรุพระปรางคแวัดราชบูรณะ พบสมบัติแบบจีนอยู฽จํานวนมาก ซึ่งน฽าจะเกี่ยวข฾องกับ การเข฾ า มาของเจิ้ ง เหอ นอกจากนี้ มี พ วกเครื่ อ งทอง พระแสงขรรคแชัยศรี เครื่องราชกกุธภัณฑแต฽าง ๆ และ ที่สําคัญพบสถูปจําลอง ซึ่งคือพระบรมธาตุ ๖ I วารสารวิชาการ อยุธยาศึกษา I ปีที่ ๖ / ๒๕๕๗ I

พระบ รมธา ตุ เป็ น หลั ก ขอ ง บ฾ า น เมื อ ง เขาไม฽ได฾ขุดมาให฾นั่งชมอยู฽ในพิพิธภัณฑแหรือไม฽ได฾เอามา ให฾ ส รงน้ํ า แต฽ พ ระบรมธาตุ เ ป็ น หลั ก ของจั ก รวาล เป็ น สถานที่ ศั ก ดิ์ สิ ท ธิ์ เขามี ก าลเทศะ แล฾ ว ที นี้ ค น มันไม฽มีกาลเทศะ ขุดเสร็จก็เอามาใส฽พิพิธภัณฑแ ผมเป็น กรรมการผู฾ทรงคุณวุฒิของกระทรวงวัฒนธรรมพยายาม จะเอาพระบรมธาตุ ที่ พิ พิ ธ ภั ณ ฑแ กลั บ ไปบรรจุ ที่ วัดราชบูรณะ เพื่อฟื้นในเรื่องจิตใจของคนขึ้นมา ในยุคนี้ต฾องรื้อฟื้นประวัติศาสตรแที่มีชีวิตโดย ภาคประชาชน ตอนนี้คนอยุธยามีร฾อยพ฽อพันแม฽ อีกทั้ง มีการเปลี่ยนแปลงพื้นที่ไ ปจากเดิม เช฽น ทุ฽ง พระอุทัย ที่กลายเป็นนิคมอุตสาหกรรมโรจนะ เพราะไม฽เข฾าใจ สภาพภู มิประเทศที่ บริเวณนั้นเป็ นที่รับ น้ําจากแม฽น้ํ า ปุาสัก กรุงศรีอยุธยามีแม฽น้ําปุาสักและแม฽น้ําลพบุรี เป็นคูพระนครทางด฾านเหนือ ด฾านตะวันตก และด฾านใต฾ ส฽วนด฾านตะวันออกมีการขุดคูน้ําขึ้นคือ คลองคูขื่อหน฾า ซึ่ง ชุมชนเกิดขึ้นตรงนี้ นอกจากนี้มีขนอนอยู฽หลายจุด มีทั้งขนอนขนาดใหญ฽และขนาดเล็ก ผั นน้ําเข฾ามาทาง คลองหันตรา ซึ่ง คลองหันตราเป็นย฽านขนาดใหญ฽แห฽ง หนึ่งของอยุธยา เป็นชุมชนท฾องถิ่นที่มีสํานึกร฽วมกัน ชุม ชนอยุธ ยาเกิด ขึ้น ริ มแม฽น้ํ า ชุ มชนริม น้ํ า เรียกว฽า“บาง” ถือเป็นท฾องถิ่นหนึ่ง มีชุมชน มีหมู฽บ฾าน มี สํ า นึ ก ร฽ ว มกั น มี วั ด พระธาตุ พิ ธี ก รรม ประเพณี เช฽ น การแข฽ง เรื อ ซึ่ง เป็ นตั วเชื่อ มบู รณาการผู฾ค นเข฾ า ด฾วยกัน มีความสัมพันธแขึ้นมา วัฒนธรรมของอยุธยานี้ เราไปยึ ดติด เรื่อ งศิล ปวัฒ นธรรมที่ ร฾างไม฽มี ผู฾คน สิ่ง ที่ ควรสืบต฽อคือประเพณีวัฒนธรรม ที นี้ เ กิ ด ปใ ญ หาขึ้ น เมื่ อ คิ ด ไม฽ เ ป็ น แล฾ ว เอา ประเพณีวัฒนธรรมไปขาย ซึ่งต฾องระวังให฾มาก เพราะ การค฾นคว฾าของพวกคุณมันจะไปเติมการขายวัฒนธรรม ถ฾าไม฽รู฾กาลเทศะและไม฽รู฾ปใญหา ฉะนั้นสิ่งที่ผมอธิบายว฽า ความหมายประวัติศาสตรแท฾องถิ่น ต฾องให฾ความสําคัญ กับ คนในพื้ น ที่ ที่ มี ห ลากหลายชาติ พั น ธุแ หลายชุ ม ชน เล็ ก ๆ ที่ เ ป็ น บ฾ า น ซึ่ ง รู฾ ว฽ า อยู฽ กั น มากี่ ชั่ ว คน มี สํ า นึ ก ร฽วมกัน และเขาอยู฽มีชี วิตรอดร฽วมกัน ได฾อย฽า งไรนี่คื อ สิ่ง ที่ สํา คั ญ ประวัติ ศ าสตรแ ท฾อ งถิ่ นนี้ มั นไม฽ ขึ้ นอยู฽ กั บ ยุคสมัย ช฽วงเวลา แต฽ขึ้นอยู฽กับชั่วอายุคน


สมัยก฽อนเขาบูรณาการคนต฽างถิ่นด฾วยวิธีการ ให฾ อ ยู฽ ใ นพื้ น ที่ เ ดี ย วกั น แล฾ ว สร฾ า งสํ า นึ ก ร฽ ว ม เหตุ ที่พระมหากษัตริยแสร฾างวัดมากเพราะวัดเป็นศูนยแกลาง ของชุมชน เมื่อ ย฾า ยไปอยู฽ถิ่ นใดถิ่น หนึ่ง จะต฾ องสร฾า ง พิธีกรรมร฽วมกัน อย฽างน฾อยนิมนตแพระสงฆแไปจําวัดที่นั่น เช฾าก็มาถวายอาหารร฽ วมกัน มีประเพณีร฽วมกัน แล฾ ว ต฽อมาพื้นที่นั้นกลายเป็นวัด บางวัดก็เป็นศูนยแกลางของ ชุมชน ชื่อของวัดเป็นชื่อเดียวกันกับชุมชน เพื่อแสดงให฾ รู฾ ว฽ า ขอบเขตของเขาอยู฽ แ ค฽ ไ หน นอกจากนี้ วั ด เป็ น สถานที่ให฾เรียนหนังสือแต฽ขณะนี้มีปใญหาว฽าเราไม฽รู฾เรื่อง ท฾องถิ่น เพราะว฽าเราสืบทอดโดยพื้นที่ที่เป็นการบริหาร สืบมาตั้งแต฽สมัยรัชกาลที่ ๕ ที่แบ฽ง เป็นหมู฽บ฾าน ตําบล อําเภอ เป็นพื้นที่การบริหารราชการของแต฽ละท฾องถิ่น เช฽ น เดี ย วกั บ เรื่ อ งกรรมสิ ท ธิ์ ที่ ดิ น ของวั ด แต฽ เ ดิ ม เจ฾ า อาวาสไม฽ ไ ด฾ เ ป็ น เจ฾ า ของวั ด แต฽ เ พราะมี กฎหมายสงฆแขึ้นพวกเถรสมาคม เจ฾าอาวาสจึงมีสิทธิ์ใน ที่ดิน แต฽เดิมตอนที่เขาสร฾างวัดจะให฾ชุมชนดูแลกันเอง ทํามาหากินที่นั่น มีสิทธิ์แต฽ว฽ าไม฽มีกรรมสิทธิ์ แล฾วเมื่อ กรรมสิ ท ธิ์ ที่ ดิ น เป็ น ของวั ด พวกเจ฾ า อาวาสอ฾ า ง กรรมสิทธิ์เพื่อขายที่ดิน ... ที่ร าบลุ฽ มระหว฽ างลํ าน้ํ า เป็ นท฾ อ งทุ฽ ง ซึ่ ง เป็ น แหล฽งอาหารสําคัญและเป็นศูนยแกลางของสังคมดังเช฽น ทุ่ ง ภู เ ขาทองเป็ น ส฽ ว นหนึ่ ง ของทุ฽ ง มะขามหย฽ อ ง อยู฽ ร ะหว฽ า งลํ า น้ํ า ลพบุ รี กั บ ลํ า น้ํ า เจ฾ า พระยา มี วั ด ภูเขาทองเป็นศูนยแกลางมีงานเทศกาลไหว฾วัด มีการเล฽น สักวา ป า ก น้ า บ า ง ก ะ จ ะ เ ป็ น จุ ด ที่ มี น้ํ า ว น เกิ ด ตํ า นาน คว ามรั กลอยว น เหมื อ น บาง กะ จะ เช฽นเดียวกับบริเวณปูอมเพชรที่มีน้ําวนและน้ําแรงมาก ตอนที่ ยั ง ไม฽ มี เ ขื่ อ นภู มิ พ ล ย่ า นป้ อ มเพชร เป็ น ย฽ า น นานาชาติ เติบโตขึ้นในสมัยที่เรือค฾าขายต฽างประเทศ มาจอดทอดสมอที่ นี่ แม฽ น้ํ า เจ฾ า พระยาเกิ ด ขึ้ น จาก บริเวณนี้ เป็นที่รวมของลําน้ําหลายสาย ฝรั่งเรียกแม฽น้ํา เจ฾ า พระยาว฽ า “แม฽น้ํ า ” ช฽ว งสมั ย อยุธ ยาตอนปลาย เจริญ มาก เป็นเมืองนานาชาติ มีกล฽าวถึง ในเอกสาร ฝรั่งทั้งนั้น

ย฽ า นนี้ เ คยคึ ก คั ก เป็ น แหล฽ ง ผู฾ ห ญิ ง หากิ น มี ย฽ า นเจ฾ า พรหม ย฽ า นในไก฽ โ ดยเฉพาะ รอบ ๆ ชาน พระนครมีเรือนแพหนาแน฽นมาก เพราะในอดีตคนไม฽ อยู฽บนบก แต฽อยู฽บนน้ํา เช฽นเดียวกับ แถวปูอมมหากาฬ กรุงเทพฯ ที่เป็นพื้นที่ชานพระนครเหมือนกัน อีกย฽าน หนึ่ง ที่สํ าคั ญ คื อ ย่า นหั วรออยุ ธยามี ภูมิ ประเทศเป็ น เกาะ ถ฾ า จะเอาช฾ า ง ม฾ า ข฾ า มมา ต฾ อ งมาที่ ท านบรอ ซึ่ง เป็น เขื่อนดินตรงจุดสบกันระหว฽างแม฽น้ําปุาสักกั บ แม฽น้ํ าลพบุรี เพื่ อชะลอน้ํ า บริเวณที่มี จุดสบกัน ของ ลําน้ํา เป็นย฽านคึกคัก มีตลาด มีชุมชน อยุ ธ ยามี พื้ น ที่ เ ป็ น ดิ น ดอนสาม เหลี่ ย ม (Delta) มีลําน้ําแตกออกเป็นแพรก แต฽ละแพรกจะมีทุ฽ง และมี การขุดคลองลั ด ซึ่ง สลับ ซับซ฾อ นมาก ทั้ง นี้เพื่ อ การคมนาคมและการอยู฽ อ าศั ย แต฽ ไ ม฽ ไ ด฾ ขุ ด เพื่ อ การ ชลประทาน อีกทั้งยังเป็นการชะลอน้ํา ดังนั้น ถ฾า รู฾จัก คล อ ง ลั ด แล ะ รู฾ ว฽ ามี ชุ ม ช น อ ย฽ า ง ไ ร โ ดย ดู จ า ก โบราณสถานหรือร฽องรอยต฽างๆ ก็จะสามารถมองเห็น ภาพอดีตของอยุธยาได฾ ซึ่ง มีรายละเอียดมาก แต฽ก็ถูก ทําลายลงไปมากในปใจจุบัน อย฽างเช฽น ลําน้ําปุาสักที่ไหลอ฾อมไปเป็นคลอง หันตรา แล฾วไปออกด฾านข฾างวัดพนัญ เชิง บริเวณนี้เกิด เมื อ งอโยธยาขึ้ น และมี ก ารขุ ด คลองคู ขื่ อ หน฾ า เ พ ร า ะ ฉ ะ นั้ น ตั ว อ ยุ ธ ย า อ ยู฽ ฝใ่ ง นี้ เ ป็ น เ มื อ ง รู ป สี่ เ หลี่ ย มผื น ผ฾ า ยาว ช฽ ว งท฾ า ยต฽ อ กั บ วั ด พนั ญ เชิ ง เกิดย฽านการค฾าขึ้นมา วัดเก฽าๆ หลายวัด อยู฽ในย฽านนี้ เช฽น วัดพนัญ เชิง ที่สร฾างขึ้น ๒๖ ปี ก฽อนการสถาปนา กรุง ศรีอยุธยา มีพระประธานขนาดใหญ฽ อโยธยาเป็น เมืองคู฽กับสุวรรณภูมิ และมีโบราณสถานตั้งกระจายอยู฽ ตามจุดต฽างๆ เช฽น วัดขุนเมืองใจ วัดสร฾อย นอกนั้นมี เจดี ยแ อ ยู฽ ก ลางทุ฽ ง เช฽ น วั ดกระ ช฾ า ย วั ด จงกร ม เป็ น รู ป แบบศิ ล ปกรรมสมั ย อโยธยา แต฽ ถู ก บู ร ณะ เปลี่ ย นแปลงไปจากเดิ ม เช฽ นเดี ย วกั บ บริ เ วณคลอง สระบัว ที่ถูกทําลายสภาพเดิมไปมากเช฽นกัน

I วารสารวิชาการ อยุธยาศึกษา I ปีที่ ๖ / ๒๕๕๗ I๗


ตลาดหัวรอ. (๒๕๐๓?). (ภาพนิ่ง). พระนครศรีอยุธยา: ชูศักดิ์ ศุภวิไล. งานจดหมายเหตุจังหวัดพระนครศรีอยุธยา สถาบันอยุธยาศึกษา.

๘ I วารสารวิชาการ อยุธยาศึกษา I ปีที่ ๖ / ๒๕๕๗ I

ย่ า นหั ว รอ มี ค วามสํ า คั ญ เพราะชุ ม ทาง การค฾า และยั ง เป็น จุดอ฽อนที่เข฾ามาอยุธ ยาได฾ ดัง เช฽ น ครั้ ง ที่ พ ม฽ า ยกทั พ มาตี อ ยุ ธ ยาก็ ม าอยู฽ ที่ วั ด สามวิ ห าร นอกจากนี้ยังเป็นจุดที่มีชุมชนหนาแน฽น มีวัดเก฽าหลาย แห฽ง เช฽น วัดแม฽นางปลื้ม มีเจดียแแบบมีสิงหแล฾อม แล฾วมี วัดแค (ร฾าง) มีเจดียแแบบล฾านนาขนาดใหญ฽ เพราะใน สมัย สมเด็ จพระนารายณแนํ าคนจากเมือ งเหนื อลงมา ตั้งเป็นชุมชน และมีกลุ฽มคนลาว คนมอญ เ พ ร า ะ ฉ ะ นั้ น ง า น ค฾ น ค ว฾ า ข อ ง ศู น ยแ ประวั ติ ศ าสตรแ อ ยุ ธ ยาต฾ อ งมี ข฾ อ มู ล เชิ ง ลึ ก ไม฽ ใ ช฽ ดู แ ค฽ โบราณสถานอย฽ า งเดี ย ว ต฾ อ งดู จ ากคํ า ให฾ ก ารของ ขุนหลวงประดู฽ทรงธรรม มาตีความ แล฾วนําการค฾นคว฾า ของพระยาโบราณราชธานินทรแมาเป็นตัวตั้ง และศึกษา เปรียบเทียบกับเอกสารของฝรั่งที่เข฾ามา จะได฾เรื่องราว ประวัติศาสตรแที่ไม฽มีอยู฽ในการจดบันทึกตามพงศาวดาร ... ภู มิ วั ฒ นธรรม (Culture Landscape) หมายความว฽ า พื้ น ที่ ที่ค นอยู฽ สร฾า งบ฾า นแปงเมือ งจะ กํ า หนดว฽ า พื้ น ที่ นั้ น เป็ น อะไร อยู฽ ใ นกาละ เวลาใด หมายความว฽ามีพื้นที่ศักดิ์สิทธิ์ มีกิจกรรมในช฽วงเวลา ต฽างๆ และมีการกําหนดชื่อเรียกพื้นที่ซึ่ง รู฾จักกันหมด และรู฾ว฽าพื้นที่ตรงนั้นเราจะใช฾อย฽างไร หากมองอยุธยาในเชิงภูมิวัฒนธรรม ต฾องดูว฽า ทั้งเกาะเมืองรอบๆ ว฽าประกอบด฾วยอะไรบ฾าง สถานที่ การคมนาคม ประเพณี พิ ธี ก รรม เช฽ น บริ เ วณทุ฽ ง ภูเ ขาทอง มี ง านไหว฾ ภู เขาทอง เป็ นต฾ น เช฽น เดี ยวกั บ เรื่องอาหาร อยุธยาเป็นเมืองที่มีความหลากหลายทาง ชีวภาพมาก มีต฾นไม฾ พืชผัก สัตวแต฽างๆ นานาชนิดซึ่งเขา จะรู฾ว฽าบริเวณไหนมีอะไรบ฾าง ซึ่งสิ่งเหล฽านี้เป็นส฽วนหนึ่ง ของภู มิ วั ฒ นธรรม แต฽ ส฽ ว นมากเราจะมองสิ่ ง ที่ เ ป็ น อัตลักษณแของท฾องถิ่นโดยดูสถานที่ศักดิ์สิทธิ์ อย฽างเช฽น ทุ่งภูเขาทองมีเจดียแภูเขาทองเป็นศูนยแกลางของคนทุ฽ง ภูเขาทอง คนท฾องถิ่นนั้นรู฾จักและมาทําพิธีกรรมร฽วมกัน ... ทุ่ ง แก้ ว ทุ่ ง ขวั ญ ที่ มี ตํ า นานเรื่ อ งขุ น ช฾ า ง ขุนแผน ขุนไกร ถ฾าท฽านอยากจะรู฾ว฽าพื้นที่ตรงนั้นว฽าเป็น อย฽ า งไร ให฾ ดู เ รื่ อ งราวของขุ น ช฾ า งขุ น แผนเกิ ด ขึ้ น ใน สมัยรัชกาลที่ ๒ ในช฽วงต฾นกรุงเทพฯ ก็สืบเนื่องมาจาก


สมัยอยุธยาตอนปลาย เรื่องขุนช฾างขุนแผนถือว฽าเป็น ตํานานประวัติศาสตรแสังคมที่ดี อยู฽ในช฽วงสมัยรัชกาลที่ ๒ ลงมา ปรากฏเป็นชื่อบ฾านนามเมือง (place name) ต฽างๆ ซึ่งมีความสําคัญมากในการศึกษาภูมิวัฒนธรรม การที่ คุ ณ จะสร฾ า งประวั ติ ศ าสตรแ ท฾ อ งถิ่ น มันสร฾างจากความทรงจําของคนในท฾องถิ่น ซึ่งต฾องไป รื้อฟื้น จากคนหลายยุค ถึงจะสร฾างภาพอดีต ขึ้นมาได฾ อย฽ า งเช฽ น การเก็ บ ประวั ติ ศ าสตรแ ท฾ อ งถิ่ น ที่ หั ว รอ พวกคนที่อยู฽วัด บ฾าน มีร฾านค฾าเก฽าแก฽ ให฾เขามาเล฽า มันก็ เป็นการสร฾างประวัติศาสตรแโดยคนในที่เขามีส฽วนร฽วม เพราะข฾ อ มู ล คุ ณ จะไปค฾ น คว฾ า ในเอกสารไม฽ มี ห รอก มาจากความทรงจําทั้งนั้น ในอดีตย่านหัวรอ เป็นย฽านการค฾า สมัยที่ผม อยู฽ มั น มี ตึ ก แถว มี โ รงลิ เ ก โรงหนั ง ล฾ อ มด฾ ว ยสั ง กะสี หรือถ฾าจะอธิบายเป็นภาพกว฾างของอยุธยาในสมัยที่ผม ยังเป็นเด็กๆ ผมไปดูลิเกที่วัดพนัญเชิงตรงนั้นเป็นย฽าน คนจีน มีฮวงซุ฾ย มีเทศกาลเทกระจาดแล฾วถ฾าจะข฾ามไป อีกฝใ่ง คุณต฾องไปข฾ามที่ท฽าวัดพนัญเชิง สมัยก฽อนตรงนั้น มีตะโขงอยู฽ ส฽วนแหล฽ง แข฽งเรือที่สํ าคัญ คื อวัดนนทรี ยแ ทุ฽ ง วั ด นนทรี เ ดี๋ ย วนี้ โ ขนเรื อ หายไปไหนก็ ไ ม฽ รู฾ ย฽ า น วั ด นนทรี ยแ ยั ง เป็ น แหล฽ ง จั บ ปลาที่ อุ ด มสมบู ร ณแ ม าก อีกด฾วย ส฽วนเขตมุสลิมอยู฽ที่บริเวณวัดลอดช฽อง เป็นต฾น แล฾ว วัดไชยวั ฒนาราม สมัยก฽ อนยั ง เป็ นปุ า และมีน้ําท฽วมในช฽วงหน฾าน้ํา หรือที่วัดวรเชษฐแ แต฽ก฽อน ต฾องเข฾าทางแม฽น้ําเจ฾าพระยา ยังไม฽มีคลองขุด แล฾วพอ หน฾าน้ําจะมีสภาพเป็นเกาะ ถ฾าเข฾าไปพบงูเห฽าอยู฽ชุกชุม ส฽วนพวกเจดียแต฽างๆ ไม฽เหมือนอย฽างปใจจุบัน ... การศึกษาภูมิวัฒนธรรมต฾องทําความเข฾าใจ เรื่องพื้นที่ศักดิ์สิทธิ์และพื้นที่สาธารณะ ทั้งนี้เพื่อเวลา พัฒนาจะได฾ไม฽ไปละเมิดกาลเทศะที่มีมาแต฽เดิม อย฽างที่ ทางอีสานเรียกว฽า “ขะลํา” ทางเหนือเรียกว฽า “ขึด” ซึ่ ง เมื่ อ ละเมิ ด แล฾ ว จะเกิ ด อั ป มงคลต฽ อ ชุ ม ชนท฾ อ งถิ่ น สิ่งเหล฽านี้เป็นสํานึกที่เริ่มขาดหายไปในปใจจุบัน นอกจากนี้ ก ารทํ า ความเข฾ า ใจเรื่ อ งความ หลากหลายทางชี ว ภาพ จะทํ า ให฾ เ ห็น อาหารการกิ น ยารักษาโรค ที่แตกต฽างไปตามฤดูกาลและท฾องถิ่นต฽างๆ รวมไปถึง การแลกเปลี่ยนสินค฾า แหล฽งที่มาของสินค฾า

ประเภทต฽างๆ อีกด฾วย ส฽วนการศึกษาภูมิประเทศและ การตั้ ง ถิ่ น ฐานของผู฾ ค นในท฾ อ งถิ่ น ต฽ า งๆ ปใ จ จุ บั น สามารถทําได฾ง฽ าย โดยอาศัยเทคโนโลยีภาพถ฽ายทาง อากาศ โดยเฉพาะ Google Earth สิ่ ง สํ า คั ญ อี ก อย฽ า งหนึ่ ง คื อ การศึ ก ษานิ เ วศ วัฒนธรรมที่ดูความสัมพันธแของผู฾คนในพื้นที่ต฽างๆ เช฽น ย฽านหัวรอที่มีความสัมพันธแกับพื้นที่โดยรอบ เพราะมี ตลาดหั วรอเป็ นศู นยแ ก ารค฾า ร฽ วมกัน นอกจากนี้ยั ง มี ประเพณี วัฒนธรรมที่สืบทอดกันมาจากรุ฽นสู฽รุ฽น ซึ่งสิ่ง เหล฽านี้เป็นประวัติศาสตรแที่มีชีวิต ดังนั้น การศึกษาประวัติศาสตรแท฾องถิ่นเช฽นนี้ จึง มีฐานเป็นประวัติศาสตรแสัง คมที่ไ ม฽ไ ด฾แบ฽ง ด฾วยการ กําหนดอายุแบบประวัติศาสตรแช าติ แต฽ให฾ความสําคัญ กับผู฾คนที่อยู฽สืบเนื่องกันมา อันเป็นสิ่งที่คนในรู฾ว฽ามีคน อยู฽กี่เหล฽า กี่ตระกูล ปใจ จุ บั น นี้ เ มื อ งเชี ย งใหม฽ กรุง เทพฯ แหลก สลายหมดแล฾ว เพราะคนต฽ า งถิ่ น เริ่ม เข฾ ามา ท฾อ งถิ่ น ดั้งเดิมถูกทําลาย และหากมองในบริบทของโลกาภิวัตนแ (Globalization) จะเห็ น ว฽ า ประเทศไทยมี ค วามอุ ด ม สมบูรณแด฾วยความหลากหลายทางชีวภาพ อาหารการ กิน แต฽เรากําลัง ถูกทําลายเพราะคนหลายฝุายเข฾ามา แก฽งแย฽ง ทั้งนายทุนในประเทศและจากต฽างประเทศ ความมุ่งหมายในการศึกษาประวัติศาสตร์ ท้ อ งถิ่ น คื อ ท าอย่ า งไรให้ ค นในท้ อ งถิ่ น มี ชี วิ ต อยู่ ร่วมกัน ได้แ ละมีความเข้ มแข็ งเพื่อ ต้ านแรงกระทบ จากคนภายนอก เพราะว่ า ตรงนี้ เ ป็ น บ้ า นเกิ ด เมือ งนอน ไม่ ใ ช่ หวั งเพี ยงแค่ มาหาประโยชน์เ พีย ง เท่านั้น ๏

I วารสารวิชาการ อยุธยาศึกษา I ปีที่ ๖ / ๒๕๕๗ I๙


ฝยะธคยศยีอมุทมา: ฝื้ธฟูภิ อู่ข้าว-อู่ธ้ํา

แฤะข้อเสธอเฝื่อกายนยิหายถยัฝมากยใธกยะแสถุธธิมภ

บรษฒา ชธะวยยษ*

วัดโลกยสุธาราม. (๒๕๕๗). (ภาพนิ่ง). พระนครศรีอยุธยา: ธนิสร เพ็ชรถนอม.

จังหวัดพระนครศรีอยุธยาอดีตเคยเป็นเมืองหลวงเก่า (กรุงเก่า) มีประวัติศาสตร์และความเป็นมา เป็นที่ รู้จักกันทั่วโลก มีฐานะเป็นเมืองท่องเที่ยว มีภูมิประเทศ และการจัดการด้านพื้นที่ที่เป็นมรดกตกทอดจากการ จัดการปกครองตั้งแต่สมัยกรุงศรีอยุธยา โดยมีเกาะเมืองอยุธยา เป็นศูนย์กลาง มีคูเมือ งกั้นระหว่างเกาะเมือ ง พระนครศรีอยุธยากับ อาเภอรอบนอกอื่น ๆ ที่มีรูปแบบการบริหารราชการที่ขึ้นตรงต่ออาเภอพระนครศรีอยุธยา ความเป็นประวัติศาสตร์ของนครประวัติศาสตร์อยุธ ยาและเมืองบริวารเป็ นประจักษ์พยานแสดงถึงความรุ่งเรื อ ง สูงสุดของอารยธรรมของชุมชนหนึ่งในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ระหว่างพุทธศตวรรษที่ ๑๙ - ๒๔ จึงได้รับ การประกาศเป็นแหล่งมรดกโลกในปี ๒๕๓๔ เมื่อประเทศไทยก้าวสู่ แผนพัฒนาเศรษฐกิจแห่งชาติ ฉบับที่ ๑ จนถึง ปัจจุบัน (แผนพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ ฉบับที่ ๑๑) ซึ่งเป็นแบบแผนการบริหารราชการแผ่นดินแบบ รัฐสมัยใหม่ สิ่งที่ตามมาจากการพัฒนาคือ สภาพความเสื่อมโทรมอันเนื่องมาจากการปรับตัวและเปลี่ยนแปลงที่ไม่ สมดุล ภาพลักษณ์ของจังหวัดพระนครศรีอยุธยาเปลี่ยนแปลงไปกลายเป็นพื้นที่สับสน เสี่ยงภัย ขาดความสงบ เรียบร้อย เกิดความรุนแรง ด้วยเหตุที่มหาวิทยาลัยราชภัฏพระนครศรีอยุธยา มีภาระหน้าที่และพันธกิจของสถาบัน ที่จะต้องมีบทบาทในการขับเคลื่อนองค์ความรู้ สร้างแผนพัฒนาให้เหมาะสมกับสภาพปัญหาและความต้องการของ ท้องถิ่น จึงได้ร่วมกันดาเนินการวิจัยเพื่อหาแนวทางการพัฒนาจังหวัดพระนครศรีอยุธยา ที่เกิดจากการมีส่วนร่วม อย่างแท้จริงของสมาชิกในชุมชนภาคส่วนต่างๆ อย่างแท้จริง * อาจารยแประจําคณะครุศาสตรแ มหาวิทยาลัยราชภัฏพระนครศรีอยุธยา ๑๐ I วารสารวิชาการ อยุธยาศึกษา I ปีที่ ๖ / ๒๕๕๗ I


บทความนี้มีวัตถุประสงคแอยู฽ประการหนึ่งคือ การเสนอรูปแบบการพัฒนาแบบมีส฽วนร฽วมของทุกภาค ส฽ ว นในการบริ ห ารจั ด การอยุ ธ ยาเมื อ งมรดกโลก ผู฾ มี ส฽ ว น เกี่ ย ว ข฾ อ ง ใ น ก า ร ดู แ ล พื้ น ที่ มร ด ก โ ล ก ประกอบด฾ ว ย ชุ ม ชนหรื อ ประชาชนในท฾ อ งถิ่ น ข฾ า ราชการระดั บ บริ ห ารจั ด การ กลุ฽ ม นั ก ท฽ อ งเที่ ย ว ก ลุ฽ ม นั ก ธุ ร กิ จ แ ล ะ เ จ฾ า ข อ ง กิ จ ก า ร ร฾ า น ค฾ า กลุ฽มนักวิชาการ กลุ฽มนักการเมือง กลุ฽มพระและนักบวช ในศาสนาต฽า ง ๆ และกลุ฽ มนัก เรี ยนนัก ศึกษา ซึ่ง เป็ น กลุ฽มผู฾มีส฽วนได฾ส฽วนเสีย (Stakeholder) และได฾ทําการ วิเคราะหแ สภาพแวดล฾อมภายในและภายนอกที่มีผลต฽อ การบริ ห ารจั ด การนครประวั ติ ศ าสตรแ พ ระนครศรี อยุธยา โดยสรุปให฾เข฾าใจได฾พอสังเขปดังนี้ นครประวัติศาสตรแพระนครศรีอยุธยาแห฽งนี้มี แง฽งามให฾ชื่นชมกันคือ มีการจัดการผังเมืองที่ดี มีการ แบ฽ ง พื้ น ที่ ใ ช฾ ส อยตามหลั ก ผั ง เมื อ งอย฽ า งชั ด เจน เป็ น เมื อ ง ที่ แ สดง ถึ ง เอก ลั ก ษณแ ที่ ห าไ ด฾ ย าก ยิ่ ง เป็นหลักฐานแสดงขนบธรรมเนียม ประเพณี/อารยธรรมที่ ยั ง หลงเหลื อ อยู฽ มี ส ถานที่ ท฽ อ งเที่ ย วด฾ า น ประเพณี ศิลปวัฒนธรรมและประวัติศาสตรแที่มีคุณค฽า จนได฾ รั บ ก ารปร ะกาศเป็ น มรดกโลก ตั้ ง อยู฽ ใ น ภูมิประเทศที่ดี เส฾นทางน้ํา เส฾นทางคมนาคมสะดวก และอยู฽ใกล฾กรุงเทพมหานคร มีความอุดมสมบูรณแทาง การเกษตร เป็นเมืองอู฽ข฾าวอู฽น้ํา จากภูมิประเทศมีแม฽น้ํา ล฾ อ มรอบและมี ค ลองมาก มี ภู มิ ปใ ญ ญาชาวบ฾ า นที่ มี คุ ณ ค฽ า ทางเศรษฐกิ จ และรั ก ษาสิ่ ง แวดล฾ อ มทาง ธรรมชาติและศิลปวัฒนธรรม มีศักยภาพที่จะเป็นแหล฽ง ท฽องเที่ยวเชิงอนุรักษแ ประเด็ น ที่ น฽ า ห฽ ว งที่ อ ดจะกล฽ า วถึ ง ไม฽ ไ ด฾ คื อ การใช฾ประโยชนแที่ดินในปใจจุบันยังไม฽มีการจัดระเบียบ ที่ชัดเจนตามหลักการผังเมือง ทํ าให฾มี การใช฾ ที่ดินผิ ด ประเภท การเข฾าถึงสถานที่ท฽องเที่ยวหลายแห฽ง ยัง ไม฽ ชัดเจน บางแห฽งคับแคบเข฾าถึงไม฽สะดวก ไม฽มีปูาย ประชาสัมพันธแเส฾นทางที่ชัดเจน และข฾อมูลบอกเล฽า เรื่องราวความเป็นมาของสถานที่นั้น ๆ สาธารณูปโภค พื้ น ฐานและสิ่ ง อํ า นวยความสะดวกไม฽ เ พี ย งพอต฽ อ จํานวนนักท฽องเที่ยว ขาดการมีส฽วนร฽วมของผู฾มีส฽วนได฾ ส฽วนเสียกลุ฽มต฽าง ๆ ในการวางแผนและบริหารจัดการ

มีความซ้ําซ฾อนของการปฏิบัติงาน รวมถึงอํานาจหน฾าที่ ของหน฽วยงานราชการและองคแกรปกครองส฽วนท฾องถิ่น มีความขัดแย฾งในการประกอบอาชีพของผู฾ประกอบการ ในบริเวณสถานที่ท฽องเที่ยวต฽าง ๆ จากการวิเคราะหแ ข฾อมูล ที่ไ ด฾จ ากการพูดคุ ย ผู฾ใ ห฾ ข฾ อ มู ล กลุ฽ ม ต฽ า ง ๆ มี ค วามหวั ง อยู฽ ห ลายประการ คือ นักท฽องเที่ยวมีความนิยม ชื่นชอบในการท฽องเที่ยว เชิงวัฒนธรรม มีความรู฾สึกตระหนักรู฾ในความสําคัญของ มรดกโลก นโยบายของรั ฐ เกื้ อ หนุ น ในเรื่ อ งของ การส฽ ง เสริ ม การท฽ อ งเที่ ย ว การบู ร ณะฟื้ น ฟู แ หล฽ ง ท฽องเที่ยวโบราณสถาน และอนุรักษแศิลปวัฒนธรรมและ ภูมิปใญญาท฾องถิ่น ได฾รับการสนับสนุนจากผู฾นําท฾องถิ่น ใ น ก า ร บ ริ ห า ร จั ด ก า ร ดู แ ล แ ล ะ อ นุ รั ก ษแ พื้ น ที่ สื่ อ ต฽ า ง ๆ มี ก ารประชาสั ม พั น ธแ แ หล฽ ง ท฽ อ งเที่ ย วใน จังหวัดพระนครศรีอยุธยาอยู฽ตลอดเวลา และนโยบาย การพั ฒนาจั ง หวั ด ที่ ไ ม฽ ส฽ ง เสริ ม การขยายพื้ น ที่ อุตสาหกรรม อุปสรรคสําคัญที่ทําให฾ไม฽อาจบรรลุเปูาหมาย คื อ ขาดเอกภาพด฾ า นการบริ ห ารจั ด การด฾ า นการ ท฽องเที่ยว ขาดการบริการด฾านข฾อมูลข฽าวสาร ขาดการ จั ด ก า ร ด฾ า น ท รั พ ย า ก ร ก า ร ท฽ อ ง เ ที่ ย ว อ ย฽ า ง มี ประสิทธิภาพ คือ ขาดการส฽งเสริมการท฽องเที่ยวเชิง เกษตร ประชาชนบางกลุ฽มยังขาดความรู฾ความเข฾าใจใน ก าร เป็ น เ จ฾ า บ฾ า น ที่ ดี แล ะ ก าร ป ฏิ บั ติ ตั ว ที่ ดี ต฽ อ นักท฽องเที่ยว ผู฾ประกอบการบางราย ไม฽ให฾ความร฽วมมือ ในการจัดระเบียบร฾านค฾า และขาดความรู฾ความเข฾าใจ ใน การบริ ห ารจั ด ก าร พื้ นที่ แ ละก ารบริ ก าร ต฽ อ นักท฽องเที่ยว ปใญ หาภัยธรรมชาติ เนื่องจากลักษณะ ภูมิป ระเทศเป็น พื้น ที่ร าบลุ฽ม มีแ ม฽น้ํ าล฾ อมรอบหลาย สาย ทําให฾ประสบปใญ หาอุ ทกภัย วิถีชีวิตดั้ง เดิมแบบ สั ง คมเกษตรกรรมถู ก แทนที่ ด฾ ว ยวิ ถี ชี วิ ต แบบสั ง คม อุต สาหกรรมที่ เ กิ ด จากการขยายตั ว และการพั ฒ นา เศรษฐกิจ จากการจัดประชุมกลุ฽มย฽อย และพู ดคุยกั น อย฽างลึกซึ้งกับกลุ฽มผู฾มีส฽วนได฾ส฽วนเสีย (Stakeholder) สามารถวิเคราะหแ สภาพแวดล฾อมภายในและภายนอก ที่ มี ผ ลต฽ อ การบริ ห ารจั ด การ นครประวั ติ ศ าสตรแ

I วารสารวิชาการ อยุธยาศึกษา I ปีที่ ๖ / ๒๕๕๗ I๑๑


พระนครศรี อ ยุ ธ ยา โดยสรุ ป ให฾ เ ห็ น อย฽ า งเป็ น ระบบ ดังต฽อไปนี้

จุณแข็ง (Strength) ๑.นครประวั ติ ศ าสตรแ พ ระนครศรีอ ยุ ธ ยามี การจัดการผังเมืองที่ดี มีการแบ฽งพื้นที่ใช฾สอยตามหลัก ผังเมืองอย฽างชัดเจน ๒.เป็นเมืองที่แสดงถึงเอกลักษณแที่หาได฾ยาก ยิ่ ง เป็ น หลั ก ฐานแสดงขนบธรรมเนี ย มประเพณี หรืออารยธรรม ซึ่งยังคงหลงเหลืออยู฽ ๓ . มี ส ถ า น ที่ ท฽ อ ง เ ที่ ย ว ด฾ า น ป ร ะ เ พ ณี ศิลปวัฒนธรรมและประวัติศาสตรแที่มีคุณค฽า จนได฾รับ การประกาศเป็นมรดกโลก ๔.ตั้ ง อยู฽ ใ นภู มิ ป ระเทศที่ ดี เส฾ น ทางน้ํ า เส฾นทางคมนาคมสะดวก และอยู฽ใกล฾กรุงเทพมหานคร ๕.มีความอุด มสมบู รณแทางการเกษตร เป็ น เมืองอู฽ข฾าวอู฽น้ํา เนื่องจากภูมิประเทศมีแม฽น้ําล฾อมรอบ และมีคลองมาก ๖.มี ภู มิ ปใ ญ ญ าชาว บ฾ า น ที่ มี คุ ณ ค฽ า ทาง เศรษฐกิจ และรักษาสิ่งแวดล฾อมทางธรรมชาติและ ศิลปวัฒนธรรม ๗.มี ศั ก ยภาพที่ จ ะเป็ น แหล฽ ง ท฽ อ งเที่ ย วเชิ ง อนุรักษแ

จุณอ่อธ (Weakness) ๑.การใช฾ประโยชนแที่ดินในปใจจุบันยังไม฽มีการ จัดระเบียบที่ชัดเจนตามหลักการผังเมือง ทําให฾มีการใช฾ ที่ดินผิดประเภท ๒.การเข฾าถึงสถานที่ท฽องเที่ยวหลายแห฽งยังไม฽ ชัดเจน บางแห฽ง คับแคบเข฾าถึงไม฽สะดวก ขาดปูาย ประชาสัมพันธแเส฾นทาง และข฾อมูลบอกเล฽าเรื่องราว ความเป็นมาของสถานที่นั้น ๆ ๓.สาธารณูปโภคพื้นฐานและสิ่งอํานวยความ สะดวกไม฽เพียงพอต฽อจํานวนนักท฽องเที่ยว ๔.ขาดการมีส฽วนร฽วมของผู฾มีส฽วนได฾ส฽วนเสีย (Stakeholder) ต฽ า ง ๆ ทั้ ง หน฽ ว ยงานภาครั ฐ เอกชน องคแกรปกครองส฽วนท฾องถิ่นและผู฾ประกอบการในการ วางแผนและบริหารจัดการ ๑๒ I วารสารวิชาการ อยุธยาศึกษา I ปีที่ ๖ / ๒๕๕๗ I

๕. มีความซ้ําซ฾อนของการปฏิบัติงาน รวมถึง อํา นาจ หน฾ า ที่ ของหน฽ ว ยงานราชการ และองคแ ก ร ปกครองส฽วนท฾องถิ่น ๖. มีความขัดแย฾งในการประกอบอาชีพของ ผู฾ประกอบการ ในบริเวณสถานที่ท฽องเที่ยวต฽างๆ

โอกาส (Opportunity) ๑.นักท฽องเที่ยวมีความนิยม ชื่นชอบในการ ท฽ อ งเที่ ย วเชิ ง วั ฒ นธรรม มี ค วามรู฾ สึ ก ตระหนั ก รู฾ ใ น ความสําคัญของมรดกโลก ๒.นโยบายของรัฐ เกื้อหนุ นในเรื่องของการ ส฽งเสริมการท฽องเที่ยว การบูรณะฟื้นฟูแหล฽งท฽องเที่ยว โบราณสถาน และอนุ รั ก ษแ ศิ ล ปวั ฒ นธรรมและ ภูมิปใญญาท฾องถิ่น ๓.ได฾รับการสนับสนุนจากผู฾นําท฾องถิ่นในการ บริหารจัดการดูแล และอนุรักษแพื้นที่ ๔.สื่ อ ต฽ า ง ๆ มี ก ารประชาสั ม พั น ธแ แ หล฽ ง ท฽องเที่ยวในจังหวัดพระนครศรีอยุธยาอยู฽ตลอดเวลา ๕.นโยบายการพัฒนาจังหวัดที่ไม฽ส฽งเสริมการ ขยายพื้นที่อุตสาหกรรม

ฟัมคุกคาภ (Threat) ๑.ขาดเอกภาพด฾านการบริ หารจัดการด฾า น การท฽องเที่ยว ๒. ขาดก าร บริ การด฾ า น ข฾ อ มู ล ข฽ า วสาร ปูายประชาสัมพันธแเส฾นทาง ๓.ขาดก ารจั ด การด฾ า นทรั พ ยากร การ ท฽องเที่ยวอย฽างมีประสิทธิภาพ คือ ขาดการส฽งเสริมการ ท฽องเที่ยวเชิงเกษตร ๔.ประชาชนบางคนยังขาดความรู฾ความเข฾าใจ ในการเป็ น เจ฾ า บ฾ า นที่ ดี และการปฏิ บั ติ ตั ว ที่ ดี ต฽ อ นักท฽องเที่ยว ๕.ผู฾ประกอบการบางราย ไม฽ให฾ความร฽วมมือ ในการจัดระเบียบร฾านค฾ า และขาดความรู฾ความเข฾าใจ ใน การบริ ห ารจั ด ก าร พื้ นที่ แ ละก ารบริ ก าร ต฽ อ นักท฽องเที่ยว


๖.ปใ ญ หาภั ย ธรรมชาติ เนื่ อ งจากลั ก ษณะ ภูมิป ระเทศเป็น พื้น ที่ร าบลุ฽ม มีแ ม฽น้ํ าล฾ อมรอบหลาย สาย ทําให฾ประสบปใญหาอุทกภัย ๗.วิถีชี วิตดั้ง เดิมแบบสัง คมเกษตรกรรมถู ก แทนที่ด฾วยวิถีชีวิตแบบสังคมอุตสาหกรรม ที่เกิดจาก การขยายตัวและการพัฒนาเศรษฐกิจ

วิสัมถัศธ์ มุถทศาสดย์ แฤะกิจกยยภ ข฾ อ มู ลจากการพู ด คุ ย กั บ ชาวบ฾ า นกลุ฽ ม ย฽ อ ย และกลุ฽ ม ผู฾ มี ส฽ ว นได฾ ส฽ ว นเสี ย (Stakeholder) เมื่ อ ได฾ นํามาวิเคราะหแ สภาพแวดล฾อมภายในและภายนอก แล฾วนั้น สามารถสังเคราะหแข฾อมูลดังกล฽าว เพื่อกําหนด วิ สั ย ทั ศ นแ ยุ ท ธศาสตรแ และกิ จ กรรม ของแผนการ บริหารจัดการนครประวัติ ศาสตรแพระนครศรี อยุธยา ได฾ดังนี้ วิสัยทัศน์: “อยุ ธ ยาในฐานะมรดกโลก เมื อ งแห฽ ง การ อนุรักษแและพัฒนา อย฽างมีส฽วนร฽วมและยั่งยืน” ยุทธศาสตร์ การกํ า หนดยุท ธศาสตรแ ภายใต฾ แ ผนบริห าร จัดการนครประวัติศาสตรแพระนครศรีอยุธยาภายใต฾การ มี ส฽ ว น ร฽ ว ม ขอ ง ทุ ก ภ าค ส฽ ว น ปร ะ ก อบ ด฾ ว ย ๔ ยุ ท ธศาสตรแ ภายใต฾ คํ า ขวั ญ ของจั ง หวั ด พระนครศรี อ ยุ ธ ยา ดั ง ว฽ า “ราชธานี เ ก่ า อู่ ข้ า วอู่ น้ า เลิ ศ ล้​้ า กานท์กวี คนดีศรีอยุธยา” ดังนี้ “ราชธานีเก่า” : ยุทธศาสตร์ที่ ๑ พัฒนาและส่งเสริมการ ท่องเที่ยวจากการอนุรักษ์มรดกโลกทางวัฒนธรรม เป้าประสงค์ : มี ร ายได฾ จ ากการท฽ อ งเที่ ย ว ภา ย ใต฾ ก าร อ นุ รั ก ษแ ม ร ด ก โ ล ก ท า ง วั ฒ น ธ ร ร ม และทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล฾อม กลยุทธ์ : ๑.พั ฒน าและ อนุ รั กษแ แ หล฽ ง ท฽ อ ง เที่ ย ว และเส฾นทางเชื่อมโยงสู฽แหล฽งท฽องเที่ยว ๒ .พั ฒ น า ร ะ บ บข น ส฽ ง มว ลชน ใน พื้ น ที่ ท฽องเที่ยว ๓.จั ด ทํ า สื่ อ ประชาสั ม พั น ธแ แ ละพั ฒ นาการ ตลาด

แนวทางการดาเนินกิจกรรม : ๑.บริหารจัดการสภาพภูมิทัศ นแ มีก ารดูแ ล รักษาสภาพสิ่ง แวดล฾อมและทรัพยากรธรรมชาติของ แหล฽งท฽องเที่ยวและสิ่งอํานวยความสะดวกที่เกี่ยวข฾อง โดยให฾ชุมชนและองคแกรปกครองส฽วนท฾องถิ่นเข฾ามามี ส฽ ว นร฽ ว มในการบริ ห ารจั ด การ การดู แลและรั ก ษา สภาพแวดล฾อมของแหล฽งท฽องเที่ยวที่เป็นทรัพยากรของ ชุมชน วางมาตรการในการควบคุมการทิ้ง ขยะ น้ํา เสีย และปูา ยโฆษณาที ่บ ดบัง ทัศ นีย ภาพอย฽า งจริง จัง และสนับสนุนการพัฒนาระบบกําจัดขยะ และน้ําเสีย แก฽องคแกรปกครองส฽วนท฾องถิ่น ๒.กําหนดมาตรการการใช฾ประโยชนแพื้นที่ใน เขตนครประวัติศาสตรแ โดยให฾มีการจัดระเบียบร฾านค฾า โดยการกํ า หนดบริ เ วณเฉพาะให฾ เป็ น ศู น ยแ ก ลางของ ร฾า นค฾ าโดยผ฽ านการตกลงร฽ว มกัน ระหว฽ า งผู฾ ประกอบ การและหน฽วยงานที่มีอํา นาจ และกําหนดรูปแบบ ความเป็นอยู฽ที่สอดคล฾องกับความเป็นพื้นที่มรดกโลก ๓.พั ฒ นาระบบขนส฽ ง มวลชน ตั วอย฽ า งเช฽ น การพั ฒ นาระบบรถรางไฟฟู า และเส฾ นทางจั ก รยาน เพื่ อ ลดปใ ญ หาการจราจรติ ด ขั ด ในบริ เ วณแหล฽ ง ท฽ อ ง เ ที่ ย ว แ ละ ช฽ ว ย ลด ปใ ญ ห าก าร ป ล฽ อ ยก฿ า ซ คารแ บ อนไดออกไซดแ ซึ่ ง เป็ น ก฿ า ซเรื อ นกระจกที่ ก฽ อ ให฾ เ กิ ด มลพิ ษ ในบริ เ วณแหล฽ ง ท฽ อ งเที่ ย ว ทั้ ง นี้ ควรมีการจัดสรรบริเวณที่จอดรถของนักท฽องเที่ยวอย฽าง เป็นระบบระเบียบเพื่อเป็นจุดเชื่อมโยงกับระบบขนส฽ง มวลชนด฾วย ๔.ส฽ง เสริม การท฽อ งเที ่ย วในลัก ษณะที ่มี เรื ่อ งราว และรูป แบบการนํ า เสนอที่ ส อดคล฾ อ งกั บ ความต฾ อ งการของนั ก ท฽ อ งเที่ ย ว โดยประยุ ก ตแ ใ ช฾ เทคโนโลยี ส ารสนเทศกั บ เรื่ อ งราวในประวั ติ ศ าสตรแ มาผลิ ต สื่ อ ประชาสั ม พั น ธแ เ พื่ อ ทํ า ให฾ นั ก เที่ ย วได฾ รั บ ความรู฾และเกิดแรงจูงใจในการท฽องเที่ยวในเชิงอนุรักษแ มรดกโลกทางวัฒนธรรม ๕.ส฽ ง เสริ ม การท฽ อ งเที่ ย วชุ ม ชนในระดั บ หมู฽บ฾าน ดังนี้ ๕.๑ ดําเนินการในลักษณะของ Home stay ที่ นั ก ท฽ อ งเที่ ย วจะได฾ เ รี ย นรู฾ แ ละซึ ม ซั บ วิ ถี ชี วิ ต ท฾องถิ่น I วารสารวิชาการ อยุธยาศึกษา I ปีที่ ๖ / ๒๕๕๗ I๑๓


วัดไชยวัฒนาราม. (๒๕๕๗). (ภาพนิ่ง). พระนครศรีอยุธยา: ธนิสร เพ็ชรถนอม.

๕.๒ พัฒนาย฽านเก฽า ตลาดเก฽า ให฾เป็น แหล฽งท฽องเที่ยวเชิงอนุรักษแ เช฽น ย฽านชุมชนหัวรอ ๖.จั ด ทํ า คู฽ มื อ การท฽ อ งเที่ ย วอยุ ธ ยา เพื่ อ เ ผ ย แ พ ร฽ ใ ห฾ ท ร า บ ถึ ง แ น ว ท า ง ก า ร ท฽ อ ง เ ที่ ย ว เชิงวัฒนธรรมที่รับผิดชอบต฽อสังคม และเหมาะสมกับ พื้นที่มรดกโลก โดยจัดทํา ในรูปแบบที่เ ข฾าใจง฽ายและ เข฾าถึงนักท฽องเที่ยว เช฽น ฉบับการแตูน หรือเผยแพร฽ผ฽าน ทาง Website และ Social network ต฽าง ๆ “อู่ข้าวอู่น้า” : ยุทธศาสตร์ที่ ๒ พลิกฟื้นวิถีการเกษตรและ พัฒนาแหล่งสินค้าเกษตร เป้าประสงค์ : พั ฒ นาพื้ น ที่ เ กษตรกรรม ยกระดั บ มาตรฐานสิ น ค฾ า เกษตร และเพิ่ ม ศั ก ยภาพ เกษตรกร กลยุทธ์ : ๑.บริ ห าร จั ด ก าร ทรั พ ยากร ธ รร มชาติ สิ่งแวดล฾อมและโครงสร฾างพื้นฐานทางการเกษตร ๒ .ส ร฾ า ง ค ว า ม เ ข฾ ม แ ข็ ง ใ ห฾ เ ก ษ ต ร ก ร และสถาบันเกษตรกร ๑๔ I วารสารวิชาการ อยุธยาศึกษา I ปีที่ ๖ / ๒๕๕๗ I

๓.บริ ก ารจั ด การการตลาดสิ น ค฾ า เกษตร และพัฒนาระบบข฾อมูลการเกษตร แนวทางการดาเนินกิจกรรม : ๑.กําหนดเขตการใช฾ประโยชนแที่ดิน โดยการ อนุรักษแพื้นที่การเกษตรให฾คงไว฾ไม฽ให฾มีการเปลี่ยนแปลง การใช฾ประโยชนแที่ดินไปเป็นประเภทอื่น ๒ .พั ฒ น า ก าร ผ ลิ ต สิ น ค฾ า เ ก ษ ต ร ใ ห฾ ไ ด฾ มาตรฐาน Good Agriculture Practice (GAP) เช฽น การส฽งเสริมการปลูกข฾าวอินทรียแ ๓.ส฽ ง เสริ ม ผลผลิ ต ทางการเกษตรที่ ไ ด฾ รั บ ความนิ ย มจากนั ก ท฽ อ งเที่ ย ว เช฽ น กุ฾ ง แม฽ น้ํ า อยุ ธ ยา โดยการพัฒนาให฾มีมาตรฐาน ๔.จัดอบรมให฾ความรู฾เกษตรกร โดยจัดตั้งเป็น ก ลุ฽ ม เ ก ษ ต ร ก ร ใ น จั ง หวั ด พ ร ะ น ค ร ศ รี อ ยุ ธ ย า และส฽ ง เสริ ม ให฾ เ กษตรกรพั ฒ นาพื้ น ที่ เ กษตรให฾ เ ป็ น แหล฽ ง ท฽ อ งเที่ ย วเชิ ง เกษตรกรรมเพื่ อ เพิ่ ม รายได฾ ใ ห฾ เกษตรกรอีกทางหนึ่งด฾วย ๕.เพิ่ ม การประชาสั ม พั น ธแ แ หล฽ ง ท฽ อ งเที่ ย ว ทางการเกษตร โดยการจั ด งานเทศกาลท฽ อ งเที่ ย วที่ สอดคล฾ องกัน กับยุทธศาสตรแ การท฽องเที่ ยวมรดกโลก


เช฽ น การจั ด งานเทศกาล “ซึ ม ซั บ วั ฒ นธรรม ดื่ ม ด่​่ า รสชาติกุ้งแม่น้่า เลิศล้่ามรดกโลก” “เลิศล้ากานท์กวี” : ยุ ท ธศาสตร์ ที่ ๓ อนุ รั ก ษ์ และส่ ง เสริ ม ประเพณี วัฒนธรรม และภูมิปัญญาท้องถิ่น เป้าประสงค์ : ประเพณี วั ฒ นธรรม และ ภูมิปใญญาท฾องถิ่นถูกส฽งต฽อไปยังชนรุ฽นหลัง กลยุทธ์ : ๑.อนุรักษแ และสืบ สานประเพณี วั ฒนธรรม และภูมิปใญญาท฾องถิ่น ๒.ยกระดับคุณภาพผลิตภัณฑแจากภูมิปใญญา ท฾องถิ่น แนวทางการดาเนินกิจกรรม : ๑ .จั ด กิ จ ก ร ร ม เ พื่ อ สื บ ส า น ป ร ะ เ พ ณี วั ฒ นธรรม และภู มิ ปใ ญ ญาท฾ อ งถิ่ น ของพระนคร ศรีอยุธยา เช฽น การร฾องเพลงเรือ การร฾องเพลงเกี่ยวข฾าว การแสดงลิเก เป็นต฾น ๒.พัฒนาและส฽งเสริมพื้นที่แห฽งความทรงจํา สถานที่ กํ า เนิ ด แหล฽ ง ภู มิ ปใ ญ ญาท฾ อ งถิ่ น ให฾ เ ป็ น แหล฽ ง ท฽องเที่ยว เช฽น หมู฽บ฾านตีมีดอรัญญิก อู฽ต฽อเรือ ชุมชน หัตถกรรมสานปลาตะเพียน เป็นต฾น ๓.พั ฒ นารู ป แบบผลิ ต ภั ณ ฑแ จ ากภู มิ ปใ ญ ญา ท฾องถิ่นให฾มีความน฽าสนใจและทันสมัย รวมทั้ง จัดหา ตลาดและดําเนินการประชาสัมพันธแให฾รู฾จักในวงกว฾าง ๔.จั ดทํ าฐานข฾ อมู ลรวบรวมประวั ติป ราชญแ ท฾ อ งถิ่ น ปราชญแ ช าวบ฾ า น รวมถึ ง ภู มิ ปใ ญ ญาต฽ า งๆ เพื่อให฾เยาวชนรุ฽นหลังได฾เรียนรู฾และเป็นแนวทางต฽อไป “คนดีศรีอยุธยา” : ยุ ท ธศาสตร์ ที่ ๔ พั ฒ นาศั ก ยภาพและ เสริมสร้างการมีส่วนร่วมของทุกภาคส่วน เป้าประสงค์ : ประชาชนและหน฽ ว ยงานที่ เกี่ยวข฾องทุกภาคส฽วนได฾รับการพัฒนาศักยภาพ และมี ส฽ ว นร฽ ว มในการดํ า เนิ น งานและบริ ห ารจั ด การอย฽ า ง บูรณาการ

กลยุทธ์ : ๑.ส฽ง เสริมการมีส฽วนร฽วมของทุกภาคส฽วนใน การบริหารจัดการ เฝูาระวัง อนุรักษแ รักษา ฟื้นฟูพื้นที่ นครประวั ติศ าสตรแ ทรั พยากรธรรมชาติ สิ่ง แวดล฾ อ ม ศิลปะ วัฒนธรรม และภูมิปใญญาท฾องถิ่น ๒.พั ฒ นาศั ก ยภาพของทุ ก ภาคส฽ ว นใน การบริหารจัดการ เฝูาระวัง อนุรักษแ รักษา ฟื้นฟูพื้นที่ นครประวั ติศ าสตรแ ทรั พยากรธรรมชาติ สิ่ง แวดล฾ อ ม ศิลปะ วัฒนธรรม และภูมิปใญญาท฾องถิ่น แนวทางการดาเนินกิจกรรม : ๑.จั ด ตั้ ง คณะทํ า งานบริ ห ารจั ด การพื้ น ที่ โดยมาจากผู฾มีส฽วนได฾ส฽วนเสียทุกภาคส฽วน ทั้ง ภาครัฐ องคแกรปกครองส฽วนตัวท฾องถิ่น ผู฾ประกอบการ ปราชญแ ท฾อ งถิ่ น ตั ว แทนภาคประชาชน เพื่ อ ร฽ ว มกั น กํ า หนด แนวทางในการบริหารจัดการและแก฾ไ ขปใญ หาที่ไ ด฾รับ การยอมรับจากทุกภาคส฽วน ๒.จั ด การอบรมการเป็ น ผู฾ ป ระกอบการ และเจ฾าบ฾านที่ดี เพื่อเพิ่มศักยภาพของผู฾ประกอบการ และประชาชนในท฾ องถิ่น ในการบริก ารนัก ท฽อ งเที่ย ว แ ล ะ เ ข฾ า ใ จ ถึ ง รู ป แ บ บ ที่ รั บ ผิ ด ช อ บ ต฽ อ สั ง ค ม และเหมาะสมกับพื้นที่มรดกโลก ๓.พัฒนาหลักสูตรการเรียนรู฾ในวิชา “ท฾องถิ่น ของเรา” โดยพัฒนาเนื้อหาให฾เข฾าใจง฽าย และแสดงถึง รากเหง฾ า ความเป็ น มาของท฾ อ งถิ่ น สร฾ า งจิ ต สํ า นึ ก อนุ รั ก ษแ หวงแหน ในมรดกทางวั ฒ นธรรม และ ภูมิ ปใ ญ ญาท฾ อ งถิ่น รวมทั้ ง ทรั พยากรธรรมชาติ และ สิ่งแวดล฾อม โดยเน฾นการปฏิบัติจริงนอกห฾องเรียน ๔.จัดกิจกรรมประชาสัมพันธแ ให฾ความรู฾ และ ปลุกจิตสํานึกให฾กับผู฾มีส฽วนได฾ส฽วนเสียทุกภาคส฽วน ให฾ การมีส฽วนร฽วมในการบริหารจัดการ เฝูาระวัง อนุรักษแ รั ก ษา ฟื้ น ฟู พื้ น ที่ น ครประวั ติ ศ าสตรแ ทรั พ ยากร ธรรมชาติสิ่งแวดล฾อม ศิลปะ วัฒนธรรม และภูมิปใญญา ท฾ อ งถิ่ น โดยแสดงให฾ เ ห็ น ถึ ง ผลปร ะโยชนแ ร฽ ว ม (Co - Benefit) ในด฾ า นต฽า ง ๆ ทั้ ง เศรษฐกิ จ สั ง คม และสิ่ง แวดล฾อม ที่จะเกิดขึ้นกับผู฾มีส฽วนได฾ส฽วนเสียทุก ภาคส฽วนในการมีส฽วนร฽วมในการบริหารจัดการดังกล฽าว

I วารสารวิชาการ อยุธยาศึกษา I ปีที่ ๖ / ๒๕๕๗ I๑๕


จากการวิ เ คราะหแ บ ริ บ ทของอยุ ธ ยาใน ประเด็นต฽าง ๆ แล฾ว บทความนี้ขอเสนอแนะรูปแบบ การพัฒนาอันเกิดจากการตกผลึกของทุกฝุายที่ร฽วมให฾ ความเห็นและได฾กําหนดเป็นวิสัยทัศนแ ยุทธศาสตรแ และ กิจกรรมของแผนการบริหารจัดการนครประวัติศาสตรแ

พระนครศรีอยุธยา ภายใต฾การมีส฽วนร฽วมของทุกภาค ส฽วน อันประกอบด฾วย ๔ ยุทธศาสตรแ ภายใต฾คําขวัญ ของจังหวัดพระนครศรีอยุธยา คือ“ราชธานีเก่า อู่ข้าว อู่น้า เลิศล้​้ากานท์กวี คนดีศรีอยุธยา” ดังได฾แสดงใน แผนภาพ

แปธถี่มุถทศาสดย์อมุทมาใธฏาธะภยณกโฤก เภืองแห่งกายอธุยักษ์แฤะฝัฑธาอม่างภีส่วธย่วภแฤะมั่งมืธ ยุทธศาสตร์ที่ ๑ พัฒนาและ ส่งเสริมการท่อ งเที่ย วจาก การอนุรักษ์มรดกโลกทาง วัฒนธรรม

ยุ ท ธศาสตร์ ที่ ๒ พลิ ก ฟื้ น วิถีการเกษตร และพัฒ นา แหล่งสินค้าเกษตร

ยุ ท ธศาสตร์ ที่ ๓ อนุ รั ก ษ์ แ ล ะ ส่ ง เ ส ริ ม ป ร ะ เ พ ณี วัฒ นธรรม และภูมิปัญ ญา ท้องถิ่น

ยุ ท ธศาสตร์ ที่ ๔ พั ฒ นา ศัก ยภาพและเสริ มสร้า ง การมี ส่ ว นร่ ว มของทุ ก ภาคส่วน

เป้าประสงค์ : มีรายได฾จากการ ท฽องเที่ยว ภายใต฾การ อนุรักษแมรดกโลกทาง วัฒนธรรม และ ทรัพยากรธรรมชาติ และสิ่งแวดล฾อม

เป้าประสงค์ : พัฒนาพื้นที่ เกษตรกรรม ยกระดับ มาตรฐานสินค฾าเกษตร และเพิ่มศักยภาพ เกษตรกร

เป้าประสงค์ : ประเพณี วัฒนธรรม และภูมิปใญญาท฾องถิ่น ถูกส฽งต฽อไปยังชนรุ฽นหลัง

เป้าประสงค์ : ประชาชนและหน฽วยงาน ที่เกี่ยวข฾องทุกภาคส฽วน ได฾รับการพัฒนาศักยภาพ และมีส฽วนร฽วมในการ ดําเนินงานและบริหาร จัดการอย฽างบูรณาการ

กลยุทธ์ : ๑. พัฒนาและอนุรักษ์ แหล่ ง ท่ อ งเที่ ยว และ เส้ นทางเชื่อมโยงสู่แหล่ง ท่องเที่ยว ๒. พัฒนาระบบขนส่ง มวลชนในพื ้นที่ท่องเที่ยว ๓. จั ด ท าสื่ อประชา สัมพันธ์ และพัฒนาการ ตลาด

กลยุทธ์ : ๑ .บ ริ ห า ร จั ด ก า ร ทรั พ ยากร ธรร มชาติ สิ่ ง แ ว ด ล฾ อ ม แ ล ะ โครงสร฾ า งพื้ น ฐานทาง การเกษตร ๒. สร฾ า งความเข฾ ม แข็ ง ให฾เกษตรกรและสถาบัน เกษตรกร ๓.บริ ก ารจั ด การ การ ตลาดสินค฾าเกษตรและ พั ฒ น า ร ะ บ บ ข฾ อ มู ล การเกษตร

๑๖ I วารสารวิชาการ อยุธยาศึกษา I ปีที่ ๖ / ๒๕๕๗ I

กลยุทธ์ : ๑.อนุ รั ก ษแ แ ละสื บ สาน ประเพณี วัฒนธรรมและ ภูมิปใญญาท฾องถิ่น ๒ .ย ก ร ะ ดั บ คุ ณ ภ า พ ผลิตภัณฑแจากภูมิปใญญา ท฾องถิ่น

กลยุทธ์ :

๑. ส฽งเสริมการมีส฽วนร฽วม ของทุ ก ภาคส฽ ว นในการ บริหารจัดการ เฝูาระวัง อนุ รั ก ษแ รั ก ษา ฟื้ น ฟู พื้นที่นครประวัติศาสตรแ ทรั พ ยาก ร ธ ร ร ม ช า ติ สิ่ ง แวดล฾ อ ม ศิ ล ปะ วั ฒ นธรรม และภู มิ ปใญญาท฾องถิ่น ๒. พัฒนาศักยภาพของ ทุ ก ภ า ค ส฽ ว น ใ น ก า ร บริหารจัดการ เฝูาระวัง อนุ รั ก ษแ รั ก ษา ฟื้ น ฟู พื้นที่นครประวัติศาสตรแ ทรั พ ยาก ร ธ ร ร ม ช า ติ สิ่ ง แวดล฾ อ ม ศิ ล ปะ วั ฒ นธรรม และภู มิ ปใญญาท฾องถิ่น


แนวทางการแปลงแผนไปสู฽ก ารปฏิบั ติเ ป็ น ส฽ ว นที่ สํ า คั ญ มาก เนื่ อ งจากเป็ น กระบวนการที่ จ ะ ผลั กดั น แผนกลยุท ธแ และมาตรการไปสู฽ การปฏิ บัติ ใ ห฾ เกิดผลสําเร็จเป็นรูปธรรม เพื่อให฾ได฾ผลผลิต/ผลลัพธแ ตามวั ตถุประสงคแ และเปูาหมายที่กํ าหนดไว฾ในแผนฯ โดยมีการจัดทําแผนปฏิบัติการฯ แผนงาน โครงการ และกิจกรรมมารองรับรวมทั้งมีการติดตามประเมินผล กลไกที่ สํ า คัญ ที่ ขาดเสีย มิ ไ ด฾ คื อ การพั ฒ นา ปลูกฝใงผ฽านเยาวชนภายใต฾กลไกการจัดการศึกษาเพื่อ การพัฒนาอยุธยาเมืองมรดกโลกภายใต฾การมีส฽วนร฽วม อย฽างยั่ง ยืน ผู฾เขียนขอเสนอแนวทางการแลกเปลี่ยน เรี ย นรู฾ ต ามบทบาทหน฾ า ที่ ข องกลไกทางสั ง คมที่ มี บทบาทอยู฽ ใ นสั ง คมพระนครศรี อ ยุ ธ ยาคื อ ชุ ม ชน องคแกรและกลุ฽มทางสังคม ควรเคลื่อนไหวการจัดการ ความรู฾ของชุมชนโดยเฉพาะด฾ านศิลปวัฒ นธรรมโดย ความรับผิดชอบของสถาบันการศึกษาที่รับผิดชอบใน ท฾ อ งถิ่ น ภายใต฾ ก ารบริ ห ารจั ด การองคแ ก รปกครอง ท฾ อ งถิ่ น ทุ ก องคแ ก ร เพื่ อ ดํ า เนิ น การสร฾ า งฐานข฾ อ มู ล จัดระเบียบความรู฾ ให฾สะดวกต฽อการค฾นคว฾า ทบทวน สื บ ค฾ น ด฾ า นรายละเอี ย ด ส฽ ว นองคแ ก รภาครั ฐ เช฽ น การท฽องเที่ยว กรมศิลปากร กรมธนารักษแ ควรจักได฾ เปิดแนวคิดให฾ชุมชน สถาบันการศึกษาร฽วมจัดรูปแบบ นําเสนอองคแความรู฾ด฾านการท฽องเที่ยวเกี่ยวกับจังหวัด พระนครศรีอยุธยา สถาบันการศึกษาระดับอุดมศึกษา โดยเฉพาะมหาวิทยาลัยเทคโนโลยีราชมงคลสุวรรณภูมิ เร฽ง พัฒนา ค฾นคว฾า วิจัยองคแความรู฾ด฾านการเกษตรใน ด฾านการพัฒนาอุตสาหกรรม สถาบันเทคโนโลยีอยุธยา ค฾ น คว฾ า ศึ ก ษาวิ จั ย องคแ ค วามรู฾ ด฾ า นอุ ต สาหกรรม มหาวิ ท ยาลั ย ราชภั ฏ เร฽ ง สร฾ า งองคแ ค วามรู฾ ด฾ า นภู มิ ปใญญาท฾องถิ่น รวมทั้งจัดรูปแบบการจัดการเรียนเพื่อ ท฾องถิ่นให฾สามารถปรับใช฾ได฾อย฽างมีประสิทธิภาพ

หากแม฾นว฽าท฽านใดที่มีโอกาสอ฽านบทความนี้ แล฾ว และได฾ใคร฽ครวญถึงบทบาทท฽าทีของตน ไม฽ว฽าจะ เป็นชาวพระนครศรีอยุธยาหรือประชาชนคนไทยทั่วไป ที่สํา นึก ได฾ว฽ า สมบั ติอั นล้ํา ค฽า ของพระนครศรีอยุ ธยา อันมี ทั้ง โบราณสถาน ศิล ปวั ฒนธรรมและภู มิปใ ญ ญา อันหาค฽ามิได฾นี้สมควรจะได฾รับการปกปูอง ท฽านอาจเข฾า ร฽วมสร฾างงานวิชาการ เป็นกรรมการในยุทธศาสตรแด฾าน ต฽ า ง ๆ ซึ่ ง เพี ยง อ าศั ย แง฽ คิ ด จิ ต ใจ รั ก ท฾ อ ง ถิ่ น และเสียสละความเป็นส฽วนตัว อุทิศเวลาร฽วมจัดการให฾ พื้นที่นี้ขับเคลื่อนไปตามแผนที่ดั่งยุทธศาสตรแที่เกิดจาก การตกผลึกของผู฾มีส฽วนได฾ส฽วนเสียก็เท฽ากับท฽านได฾ทํา หน฾าที่เพื่อบ฾านเกิดเมืองนอนที่สมบูรณแแล฾ว สุ ด ท้ า ยจากผู้ เ ขี ย นเสนอ เส้ น ทางที่ เ ปิ ด กว้างเพื่อการอยู่ร่วมกันอย่างสมานฉันท์และมีคุณค่า คนอยุธยามิได้เกิด อยู่ และแตกดับไปอย่างเดียวดาย แต่พวกเขาถูกแวดล้อมด้วยสถานภาพทางสังคมมีทั้ง อั ต ลั ก ษณ์ ส่ ว นบุ ค คลและอั ต ลั ก ษณ์ ท างสั ง คม คนอยุธยาจึงมีหน้าที่ต่อท้องถิ่นเฉกเช่นมนุษย์ทุกคน และความสามารถในการสร้างสรรค์ต่อ ยอดทุกสิ่งที่ เป็นต้นทุนชีวิต ด้วยการมองแง่งามของท้องถิ่น แง่ คิดทางสังคม สร้างเป็นอัตลักษณ์ที่ท้าทายระหว่างสิ่ง เก่ากับสิ่งใหม่ใ ห้ผสมกลมกลืน จักเป็นบุคลิกภาพที่ ประทับใจ และถูกต่อยอดไปไม่รู้จบ ๏

นยยฒาธุกยภ ปฤษณา ชนะวรรษ นภางคแ คงเศรษฐกุล และคณะ. (๒๕๕๕). อยุธยา เมื อ งมรดกโลกภายใต้ ยุ ท ธศาสตร์ พั ฒ นาอย่ า งยั่ ง ยื น . รายงานการวิจัย.

I วารสารวิชาการ อยุธยาศึกษา I ปีที่ ๖ / ๒๕๕๗ I๑๗


กายจัณกายฝื้ธถี่ภยณกโฤกอมุทมา:

ข้อขัณแม้งเชิงกญหภามใธนยินถกายนยิหายงาธวัฑธทยยภ

ฝยฤฟัส อุฒาฝยหภ*

เจดีย์วัดสามปลื้ม. (๒๕๕๔). (ภาพนิ่ง). พระนครศรีอยุธยา: ศูนย์ข้อมูลสถาบันอยุธยาศึกษา

นถธํา มรดกทางวัฒนธรรมถือเป็นสมบัติอันทรงคุณค่าของกลุ่มสังคมวัฒนธรรมหนึ่งๆ ที่ผ่านกระบวนการขัด เกลา คัดกรอง ส่งผ่าน สืบทอดจากรุ่นสู่รุ่น กาลเวลาที่เปลี่ยนผันเป็นตัวบ่มเพาะรากเหง้าของความเป็นวัฒนธรรม ในสังคมให้เกิดขึ้น มีการปรับเปลี่ยนและเปลี่ยนแปลงไป แต่ทว่ามรดกทางวัฒนธรรมนั้นจะมิสามารถอยู่ได้ด้วย ตัวเอง หากทว่าสมาชิกของสังคมวัฒนธรรมเป็นส่วนสาคัญที่ทาให้สมบัติชิ้นนี้ดารงอยู่ มรดกทางวั ฒ นธรรมในมุ ม มองของหลายๆ คนนั้ น อาจมองเป็ น เรื่ อ งที่ เ ก฽ า เก็ บ สู ง ค฽ า และไม฽ ส ามารถ เปลี่ยนแปลงได฾ แต฽การที่จะทําให฾มรดกทางวัฒนธรรมนั้นสามารถคงอยู฽ไ ด฾ ต฾องเกิดจากการยอมรับ เข฾าใจ และเกิด ความรู฾สึกในความเป็นเจ฾าของร฽วมกับกลุ฽มสมาชิกในสังคมวัฒนธรรมเดียวกัน บางครั้งความคุ฾นชินกับวิถีความเป็นอยู฽ ตั้งแต฽อดีต ทําให฾สมาชิกสังคมวัฒนธรรมเหล฽านั้นละเลยจริยธรรมและแนวปฏิบัติที่ความเหมาะสมในการรักษามรดก ทางวัฒนธรรมเหล฽านั้นไป กฎหมายจึงเข฾ามามีบทบาทในการตักเตือน และควบคุมให฾มีการปฏิบัติที่เป็นระเบียบและมี กฎเกณฑแ ส฽งผลการเกิดสํานึกในความรับผิดชอบร฽วมกันของเหล฽าสมาชิกภายใต฾ฐ านะการเป็นเจ฾าของมรดกวัฒนธรรม นั้น ๆ และนําไปสู฽การพัฒนาและอนุรักษแในแนวทางเหมาะสมภายใต฾กรอบกฎหมายที่บังคับใช฾เพื่อคุ฾มครองผลประโยชนแ ทั้งตัวมรดกวัฒนธรรมและสมาชิกในสังคมวัฒนธรรม เพื่อให฾สามารถดําเนินควบคู฽ไปด฾วยกันในลักษณะที่สมดุล * นักศึกษามหาบัณฑิต สาขาการบริหารงานวัฒนธรรม วิทยาลัยนวัตกรรม มหาวิทยาลัยธรรมศาสตรแ.

๑๘ I วารสารวิชาการ อยุธยาศึกษา I ปีที่ ๖ / ๒๕๕๗ I


บทความต฽ อ ไปนี้ จึ ง จะนํ า เสนอปใ ญ หาและ ผลกระทบของการบริหารจัดการพื้นที่แหล฽งมรดกทาง วัฒนธรรมของไทยหลังได฾รับการเสนอชื่อ ขึ้น ทะเบียน เป็ น มรดกทางวัฒ นธรรมโลกจากองคแ การการศึก ษา วิทยาศาสตรแ และวั ฒนธรรมแห฽งสหประชาชาติหรื อ ยูเนสโก ในส฽วนข฾อขัดแย฾งทางด฾านกฎหมายที่นําไปใช฾ ในการบริหารจัดการ รวมทั้งการดําเนินงานระหว฽า ง องคแกรที่มีส฽วนรับผิดชอบและภาคประชาชน โดยผู฾วิจัย ได฾ เ ลื อ กพื้ น ที่ ทํ า การศึ ก ษา ถนนคลองท฽ อ บริ เ วณ อุ ท ยานประวั ติ ศ าสตรแ พ ระนครศรี อ ยุ ธ ยา จั ง หวั ด พระนครศรีอยุธยา

ควาภเบ็ธภาแฤะควาภสําคัญของบัญหา มรดกร฽วมสากลหรือมรดกโลกเป็นแนวคิดที่ เกิดขึ้นเพื่อการปกปูอง คุ฾มครอง และสงวนรักษาแหล฽ง มรดกอันเป็นสมบัติของมนุษยชาติจากการคุกคามโดย ก าร พั ฒ น าเศร ษฐกิ จ และ สั ง คมใน ยุ ค ปใ จ จุ บั น ซึ่ ง อนุ สั ญ ญาว฽ า ด฾ ว ยการคุ฾ ม ครองมรดกโลกทาง วัฒนธรรมและธรรมชาติ (Convention Concerning the Protection of the World Cultural and Natural Heritage)* ในปี ค.ศ.๑๙๗๒ มาตราที่ ๑ และ ๒ ได฾จํากัดคํานิยามของแหล฽งมรดกออกเป็นสอง ประเภทใหญ฽ ได฾ แ ก฽ มรดกทางวั ฒ นธรรมอั น หมาย รวมถึ ง อนุ ส รณแ สถาน กลุ฽ ม อาคาร และสถานที่ ห รื อ แหล฽ ง อั น เป็ น ผลงานจากการสร฾ า งสรรคแ ข องมนุ ษ ยแ และมรดกทางธรรมชาติ ที่ ก ล฽ า วถึ ง การก฽ อ ตั ว ทาง กายภาพและชีวภาพ ถิ่นที่อยู฽ต฽าง ๆ ของพันธุแพืชและ สั ต วแ ที่ ใ กล฾ สู ญ พั น ธุแ กระทั่ ง สถานที่ ที่ แ สดงไว฾ อ ย฽ า ง ชั ด แ จ฾ ง ว฽ า เ ป็ น แ ห ล฽ ง หรื อ พื้ น ที่ ท า ง ธ ร ร ม ช า ติ นอกจากนั้น แล฾วยั งรวมถึงแหล฽งมรดกร฽ว มที่เกิ ดจาก การผสมผสานระหว฽างวัฒนธรรมและธรรมชาติอันอยู฽ นอกเหนือจากนิยามที่ได฾กล฽าวข฾างต฾นอีกด฾วย ทั้ ง นี้ อ นุ สั ญ ญ า ม ร ด ก โ ล ก ไ ด฾ กํ า ห น ด ข฾อแตกต฽างระหว฽างมรดกทางวัฒนธรรมและธรรมชาติ เพื่อก฽อให฾เกิดความชัดเจน แต฽อย฽างไรก็ตามข฾อกําหนด *อนุ สั ญ ญาฉบั บ ดั ง กล฽ า วรู฾ จั ก ในชื่ อ อย฽ า งสั้ น ๆ ว฽ า

“อนุสัญญามรดกโลก”

ดัง กล฽าวยัง มิใช฽สิ่ง ที่จํ ากัดตายตัว เพราะมรดกต฽าง ๆ เหล฽านี้นอกจากจะแสดงสิ่งที่มองเห็นทางรูปธรรมยัง รวมถึง สิ่ง ที่เป็นนามธรรมแฝงอยู฽ในลักษณะความคิ ด และความเชื่ อ ผนวกรวมอยู฽ ใ นกลุ฽ ม มรดกทั้ ง ทาง วั ฒ นธรรมและธรรมชาติ ที่ ป รากฏอยู฽ ใ นปใ จ จุ บั น ความหมายของ “มรดกโลก” ที่สามารถอธิบายจาก มุ ม มองผู฾ วิ จั ย ได฾ ว฽ า คื อ มรดกของกลุ฽ ม สั ง คมใด สังคมหนึ่งที่ได฾รับการถ฽ายทอด เก็บรักษา และส฽งผ฽าน ต฽อยั ง อี กรุ฽ นหนึ่ ง ซึ่ง มีคุ ณค฽า และความสํา คัญ ที่แ สดง ลักษณะอันโดดเด฽นและเป็นเฉพาะ ควรค฽าแก฽การรักษา ให฾ธํารงอยู฽คู฽มวลมนุษยชาติสืบต฽อไป ภาพลักษณแโดยรวมของ “มรดกโลก” แม฾ว฽า จะมี วั ต ถุ ป ระสงคแ สํ า คั ญ เพื่ อ การคุ฾ ม ครองและสงวน รักษาแหล฽งมรดกทางวัฒนธรรมและธรรมชาติเป็นหลัก ในขณะเดียวกันการได฾รับการเสนอขึ้นทะเบียนรายชื่อ มรดกโลกกลับเป็นการเกิ ดผลประโยชนแเ ชิง บวกทาง การตลาดที่ส฽งผลดีต฽อเศรษฐกิจของชาติ และเป็นการ ประชาสัมพันธแภาพพจนแของประเทศไปได฾อีกทางหนึ่ง ทั้งนี้แล฾วผู฾วิจัยได฾มองเห็นว฽าตราสัญลักษณแ“มรดกโลก” ถือเป็นอีกช฽องทางหนึ่งในการนําเสนอภาพลักษณแตรา “มรดกโลก” ที่องคแกรยูเนสโกนํามาใช฾ประกอบในการ สื่อสารด฾านภาพพจนแองคแกรต฽อบุคคลภายนอกอีกด฾วย กระบวนการก฽อ นประกาศรายชื่ อทะเบีย น มรดกโลกที่ปรากฏสู฽สายตาประชาคมโลกนั้น ประเทศ ที่จ ะได฾ รั บ การรั บรองในการขึ้น ทะเบี ยนจะต฾ อ งผ฽ า น กระบวนการประเมินอย฽างเป็นขั้นตอน ทั้ง การแสดง ห ลั ก ฐ า น ข อ ง ป ร ะ เ ท ศ ภ า คี ว฽ า จ ะ ป ฏิ บั ติ ต า ม กฎข฾อบังคับ เช฽น การมีกฎหมายคุ฾มครองแหล฽งมรดก ทางวัฒนธรรมที่ประกาศใช฾ในระดับชาติเพื่อรองรับกับ อนุสัญ ญาฯ อันมีฐานะเป็ น กฎหมายระดับนานาชาติ การจัดสรรบุคลากรในการดูแล แหล฽ง มรดก และการจัดหาเงินสนับสนุนใน การดูแลรักษาแหล฽ง มรดก เป็นต฾น และการประเมิ น คุ ณ ค฽ า ห ลั ก เ ก ณ ฑแ ค ว า ม โ ด ด เ ด฽ น เ ป็ น ส า ก ล (Outstanding Universal Value) จากคณะกรรมการ และผู฾เชี่ยวชาญจากองคแกรระหว฽างประเทศที่ทํางาน ร฽ ว ม ได฾ แ ก฽ สหภาพเพื่ อ การสงวนรั ก ษาระดั บ โลก (IUCN) สภาระหว฽างชาติว฽าด฾วยโบราณสถานและแหล฽ง I วารสารวิชาการ อยุธยาศึกษา I ปีที่ ๖ / ๒๕๕๗ I๑๙


การยื่นเสนอเพื่อการขึ้นทะเบียนบัญชีรายชื่อเบื้องต฾น (Tentative List) และการเตรียมเอกสาร ในการขอเป็นตัวเเทนและแผนการจัดการ

การยื่นเสนอรายชื่อขึ้นทะเบียนมรดกโลกต฽อศูนยแมรดกโลก

การประเมินผล

ผลการตัดสินจากคณะกรรมการมรดกโลก

ประกาศการขึ้นทะเบียนรายการมรดกโลก ภาพประกอบ ๑ แผนภูมิจ่าลองกระบวนการการขึ้นทะเบียน แหล่งมรดกโลก ประเทศภาคีสมาชิกในแต่ละปี (Leask, 2006, p.9)

โบราณคดี (ICOMOS) และศูนยแกลางนานาชาติว฽าด฾วย การศึ กษาเกี่ย วกับ การอนุรั กษแแ ละปฏิสัง ขรณแ สมบั ติ ทางวัฒนธรรม (ICCROM) ซึ่งองคแกรดังกล฽าวจะทํา หน฾า ที่ต รวจสอบ ประเมิน ผล และสรุป ผลกลั บไปยั ง ค ณ ะ ก ร ร ม ก า ร ม ร ด ก โ ล ก (World Heritage Committee) เพื่อพิจารณาในขั้นตอนต฽อไป นอกเหนื อ จากนั้ น หลั ง จากการประกาศ รายชื่อทะเบียนแหล฽งมรดกโลก ประเทศภาคีสมาชิกที่ ได฾ รั บ การประกาศรายชื่ อจะต฾ อ งเตรี ย มแผนบริ ห าร จั ด การแหล฽ ง มรดกเพื่ อ นํ า เสนอและรายงานความ คื บ หน฾ า ทุ ก ๆ สองปี ต฽ อ คณะกรรมการมรดกโลก และประเทศภาคี ส มาชิ ก ในวาระการประชุ ม สามั ญ ทั้ ง นี้ ถื อ ว฽ า เป็ น การติ ด ตามผลการดํ า เนิ น งานในการ อนุรักษแแหล฽งมรดกที่นอกจากจะเป็นสมบัติของคนใน ชาตินั้นๆ แล฾วยังถือเป็นสมบัติร฽วมของประชาคมโลกที่ ควรค฽าแก฽การสงวนรักษาอีกด฾วย

๒๐ I วารสารวิชาการ อยุธยาศึกษา I ปีที่ ๖ / ๒๕๕๗ I

ภาพประกอบ ๒ แผนผังแสดงการแบ่งพื้นที่ตามแผนแม่บท โครงการอนุรักษ์และพัฒนานครประวัติศาสตร์ พระนครศรีอยุธยา (กรมศิลปากร, ๒๕๓๓, หน้า ๒๐)

นครประวั ติ ศ าสตรแ อ ยุ ธ ยาได฾ รั บ การขึ้ น ทะเบีย นเป็ นแหล฽ง มรดกโลกทางวัฒ นธรรมจากการ ประชุ ม คณะกรรมการมรดกโลกสมั ย สามั ญ ณ กรุ ง คารแ เ ธจ ประเทศตู นิ เ ซี ย เมื่ อ วั น ที่ ๑๓ ธั น วาคม พ.ศ. ๒๕๓๔ โดยมีคุณสมบัติการเป็นมรดกโลกตรงตาม หลักเกณฑแการประเมินคุณค฽าความโดดเด฽นสากลของ มรดกวัฒนธรรมข฾อที่ ๓ ที่กล฽าวว฽า แม฾อาณาจักรจะได฾ ล฽ ม สลายไปแล฾ ว เมื อ งประวั ติ ศ าสตรแ อ ยุ ธ ยายั ง คง เอกลักษณแเฉพาะที่แสดงถึ ง อารยธรรมอันรุ฽ ง เรื องใน อดี ต หมายถึ ง วิถี ชีวิ ต ประเพณี วั ฒ นธรรมแม฽ น้ํา ใน ความเป็ น เมื อ งศู น ยแ ก ลางทางการค฾ า แถบเอเชี ย ตะวันออกเฉียงใต฾ จากหลักเกณฑแการประเมิน ดัง กล฽าวนํามาสู฽ คุ ณ ค฽ า สากลใน การ เป็ น มร ดก ประ ชาคมโ ลก ที่ นอกเหนือจากการเป็ นมรดกทางวัฒ นธรรมของชาติ แม฾ ว฽ า แหล฽ ง มรดกโลกแห฽ ง นี้ จ ะปรากฏสู฽ ส ายตา สาธารณชนในฐานะหลั ก ฐานทางประวั ติ ศ าสตรแ ศูนยแกลางการเรียนรู฾ความเป็นมาของบรรพบุรุษ และ มรดกทางวัฒนธรรมที่สําคัญ ชิ้น หนึ่ง ของชนชาติ ไ ทย แต฽ สิ่ ง ท฾ า ทายต฽ อ การสงวนรั ก ษาคุ ณ ค฽ า อั น โดดเด฽ น ดั ง กล฽ า วกลั บ เกิ ด ขึ้ น จากทั ศ นคติ อั น คลุ ม เครื อ ของ


ประชาชนในพื้ น ที่ ถึ ง การรู฾ จั ก และตระหนั ก รั บ รู฾ ใ น คุณค฽าอันโดดเด฽นอันเป็นสากลของมรดกโลกอยุธยาที่มิ สามารถให฾คําจํากัดความให฾กระจ฽างได฾ อีกทั้งการสร฾าง ความชัดเจนในการบริหารจัดการระหว฽างหน฽วยงานที่มี หน฾าที่ความรับผิดชอบหลัก จนเกิดการทับซ฾อนในการ ควบคุ ม ดูแ ล นํ าไปสู฽ปใ ญ หาบริ หารจัด การในรู ปแบบ ผลประโยชนแต฽างตอบแทน การรุกล้ําพื้นที่ในการสร฾างที่ พักอาศัยและการหารายได฾เชิงพาณิชยแ และผลกระทบ ต฽างๆ ที่จะกล฽าวในส฽วนถัดไป ข฾อ ความข฾ างต฾ น ได฾ สะท฾อ นมุ มมองปใญ หาที่ เกิ ด ขึ้ นจากสถานการณแ ปใ จจุ บั น ของแหล฽ ง มรดกโลก นครประวั ติ ศาสตรแ อ ยุธ ยาอั น เกิ ด จากการขาดความ เข฾าใจในความหมายของการเป็นแหล฽งมรดกโลกของ คนในพื้นที่ อาจเนื่องด฾วยความไม฽ชัดเจนของหน฽วยงาน ที่ดูแลรับผิดชอบ แม฾กระทั่งความคุ฾นชินกับการอาศัย ร฽วมกับแหล฽งมรดกโลกของเจ฾าของพื้นที่เองที่มักเห็น อย฽ า งคุ฾ น ตา จึ ง ไม฽ ไ ด฾ รู฾ สึ ก ว฽ า แหล฽ ง มรดกโลกแห฽ ง นี้ สมควรค฽าแก฽ การอนุรักษแ ทั้งหมดนี้ล฾ว นเป็น ปใญ หาที่ เกิ ด มาจากความผิ ด พลาดในการสร฾ า งความเข฾ า ใจ สํานึกรู฾และรับผิดชอบระหว฽างแหล฽งมรดก หน฽วยงานที่ รับผิดชอบ และเจ฾าของพื้นที่ อันนํามาสู฽กรณีศึกษาของ ผู฾ วิ จั ย บริ เ วณถนนคลองท฽ อ ตั้ ง แต฽ วั ง ช฾ า งอยุ ธ ยา แลเพนี ย ด จนถึ ง เขตชุ ม ชนโรงงานสุ ร า เขตอุ ท ยาน ประวัติศาสตรแพระนครศรีอยุธยาเป็นพื้นที่ทําการศึกษา และมีวัตถุประสงคแของการศึกษา ดังนี้ ๑) เพื่อศึกษาปใญหาและผลกระทบปใจจุบัน ในการบริหารจัดการพื้นที่เขตพื้นที่หลัก (Core Zone) บริ เ วณถนนคลองท฽ อ ตั้ ง แต฽ วั ง ช฾ า งอยุ ธ ยาแลเพนี ย ด จนถึงเขตชุมชนโรงงานสุรา เขตอุทยานประวัติศาสตรแ พระนครศรีอยุธยา จังหวัดพระนครศรีอยุธยา ๒) เสนอแนวทางที่เหมาะสมในการบริหาร จัดการพื้นที่มรดกทางวัฒนธรรม

กยอนแธวคิณถางกญหภามถีบ่ ยะมุกด์ใช้ แผนการบริ ห ารจั ด การในบริ เ วณอุ ท ยาน ประวั ติ ศ าสตรแ พ ระนครศรี อ ยุ ธ ยา กฎหมายเป็ น อี ก มาตรการหนึ่ ง ที่ ถูก นํ า มาใช฾ ใ นการปกปู อ ง คุ฾ ม ครอง

ภาพประกอบ ๓ แผนผังแสดงบริเวณพื้นที่ที่ท่าการศึกษา

ดู แ ลรั ก ษา และเป็ น เครื่ อ งมื อ อี ก อย฽ า งหนึ่ ง ในการ จัดการอนุรักษแและพัฒนามรดกทางวัฒนธรรมแห฽ง นี้ ซึ่ง ผู฾วิจัยได฾แบ฽ง กฎหมายที่เกี่ย วข฾องและใช฾สนับสนุ น กระบวนการบริหารจัดการดังกล฽าวออกเป็นสองกลุ฽ม ดังต฽อไปนี้ ก ฎ ห ม า ย ห ลั ก คื อ พ ร ะ ร า ช บั ญ ญั ติ โ บ ร า ณ ส ถ า น โ บ ร า ณ วั ต ถุ ศิ ล ป วั ต ถุ แ ล ะ พิ พิ ธ ภั ณ ฑสถานแห฽ ง ชาติ พ.ศ. ๒๕๐๔ และฉบั บ ปรับปรุง ฉบับที่ ๒ พ.ศ. ๒๕๓๕ มาตราที่ ๗ และ ๗ (ทวิ) “ห฾ามมิให฾ผู฾ใดปลูกสร฾างอาคารตามกฎหมายว฽า ด฾ ว ยการ ค วบคุ ม ก฽ อ ส ร฾ า ง อาคาร ภ ายในเขต โบราณสถาน ซึ่งอธิบดีได฾ประกาศขึ้นทะเบียน เว฾น แต฽ละได฾รับอนุญาตเป็นหนังสือจากอธิบดี”

มาตราดั ง กล฽าวถือเป็น การให฾อํ านาจอธิ บ ดี ก ร ม ศิ ล ป า ก ร ส า ม า ร ถ กํ า ห น ด ข อ บ เ ข ต ที่ ดิ น โบราณสถานตามความเหมาะสม และมีอํานาจสั่งปลูก สร฾างและระงับรื้อถอนสิ่งปลูกสร฾างในกรณีที่มีการปลูก อาคารใดๆ ในเขตโบราณสถานโดยมิได฾รับอนุญาต โดย เจ฾าของที่ดินก็ไม฽มีสิทธิเรียกร฾องหรือดําเนินคดีแก฽ผู฾รื้อ ถอน แม฾ พ ระราชบั ญ ญั ติ ฉ บั บ นี้ อ ธิ บ ดี จ ะมี อํ า นาจ เบ็ดเสร็จโดยตรงและมีบทลงโทษรุนแรง แต฽ผลกระทบ ของกฎหมายฉบับนี้ค฽อนข฾างมีผลกระทบในด฾านลบต฽อ ผู฾ที่ถูกบังคับใช฾อย฽างมาก

I วารสารวิชาการ อยุธยาศึกษา I ปีที่ ๖ / ๒๕๕๗ I๒๑


กฎหมายรอง ได฾แก฽ พระราชบัญญัติการผังเมือง พ.ศ. ๒๕๑๘ ที่ มีผลบังคับใช฾ในพื้นที่เฉพาะเป็นแห฽งๆ สําหรับพื้นที่ที่มี ความสํ าคั ญ ทางด฾า นประวัติ ศ าสตรแ โบราณคดี โดย ก ร ม ศิ ล ป า ก ร ใ น ฐ า น ะ ผู฾ รั บ ผิ ด ช อ บ จ ะ เ ป็ น ผู฾ ป ระสานงานกั บ กรมการผั ง เมื อ งในการกํ า หนด ขอบเขตพื้ นที่อนุ รักษแ ระบายสี น้ําตาลในขอบเขตผั ง เมื อ งรวมที่ ป ระกาศ ผัง เมือ งรวมฯ ในปใ จ จุบั น มีก าร กําหนดให฾พื้นที่โบราณสถานประมาณ ๔๐ เปอรแเซ็นตแ เป็ น เขตพื้ น ที่ อ นุ รั ก ษแ โดยกฎหมายฉบั บ นี้ จ ะมี

ประสิทธิภาพและเอื้อประโยชนแต฽อการอนุรักษแมากน฾อย เพียงใด (ประทีป เพ็งตะโก, ๒๕๔๐ น.๑๐๔) กล฽าวว฽า ประการแรก การกําหนดสีของพื้นที่รอบๆ พื้นที่อนุรั กษแ (สี น้ําตาล) ว฽าจะมีความสอดคล฾องเป็ น กั น ชนให฾ กั บ พื้ น ที่ อ นุ รั ก ษแ อ ย฽ า งไร โดยไม฽ ขั ด แย฾ ง กั บ แนวโน฾มการเติบโตของเมือง ประการที่สอง หน฽วยงานปกครองในท฾องถิ่น เช฽ น เทศบาล หรื อ องคแ ก ารบริ ห ารส฽ ว นจั ง หวั ด จะ สามารถปฏิบัติตามกฎหมายได฾เคร฽งครัดเพียงใด

ภาพประกอบ ๔ แผนผังแสดงบริเวณพื้นที่แผนผังการใช้ประโยชน์จากที่ดินตามที่ได้จ่าแนกประเภทท้าย กฎกระทรวงฯ (กรมโยธาธิการและการผังเมือง, ๒๕๕๓)

๒๒ I วารสารวิชาการ อยุธยาศึกษา I ปีที่ ๖ / ๒๕๕๗ I


แผนแม่ บ ทนครประวั ติ ศ าสตร์ พ ระนคร ศรีอ ยุธยา พ.ศ.๒๕๓๓ ที่ เป็น แผนหลัก ในใช฾การบริ หาร จั ด การด฾ า นการอนุ รั ก ษแ แ ละพั ฒ นาแหล฽ ง มรดกทาง วัฒนธรรมทั้งก฽อนและหลังการเสนอทะเบียนรายชื่อแหล฽ง มรดกโลกกับองคแการยูเนสโก รับผิดชอบโดยกองโบราณคดี กรมศิลปากร ซึ่งแบ฽งหลักการของแผนงานออกเป็นทั้งหมด ๑๐ แผนงาน โดยจากกรณี ศึ ก ษาดั ง กล฽ า วได฾ กํ า หนด ขอบเขตแผนงานในลําดับที่ ๔ และ ๕ ที่ว฽าด฾วยการบูรณะ และปรับปรุงสภาพแวดล฾อมและภูมิทัศนแ และ การพัฒนา และปรับปรุงชุมชนในเขตอุทยานประวัติศาสตรแ ดังนี้ ข฾อ ๔ “กําหนดขึ้นเพื่อจุดประสงคแในการฟื้นฟู สาระสําคัญบางส฽วนของเมืองที่จําเป็น เพื่อให฾เห็นภาพรวม และบรรยากาศของเมืองโบราณชัดเจนขึ้น และเพื่อส฽งเสริม บรรยากาศ การใช฾ สอยและความสวยงาม อี ก ทั้ ง สภาพ ภูมิทัศนแของพื้นที่ ข฾ อ ๕ “การพั ฒ นาและการปรั บ ปรุ ง ชุ ม ชนใน พื้ น ที่ บ ริ เ วณอุ ท ยานฯ เพื่ อ ส฽ ง เสริ ม คุ ณ ค฽ า ของเมื อ ง ประวัติศ าสตรแอ ยุธ ยา ลัก ษณะการเปลี่ย นแปลง ต฽อ เติ ม ปรั บ ปรุ ง หรื อ ใช฾ พื้ น ที่ ใ ห฾ อ ยู฽ ใ นความควบคุ ม ของอุ ท ยาน ประวัติศาสตรแฯ ร฽วมกับเทศบาลนครพระนครศรีอยุธยา” แม฾ แ ผนงานดั ง กล฽ า วจะยั ง สามารถประยุ ก ตแ ใ ช฾ จนกระทั่งปใจจุบัน แต฽ปใญหาจากสถานการณแปใจจุบันที่พบ คื อ แผนงานเหล฽ า นี้ เ ป็ น เพี ย งตั ว อั ก ษรบนกระดาษที่ ค฽อนข฾ างตรงข฾า มกับความเป็นจริง กล฽าวคือ การบริหาร จัดการควรเป็นการดําเนินงานที่เป็นระเบียบ เป็นขั้นตอน ต฽อเนื่อง และมีการติดตามผลอยู฽เนืองๆ แต฽ทว฽าสภาพที่พบ เห็ น ในบริ เ วณศึ ก ษากลั บ ไร฾ ค วามสนใจจากหน฽ ว ยงานที่ รับผิดชอบ จนกลายเกิดเป็นปใญหาที่เรื้อรัง

การตั้งร้านค้าในเขตโบราณสถานที่ประกาศห้าม (ผู้วิจัย, ๒๕๕๖)

ข้อตกเตีมงจากบยะเณ็ธบัญหาถี่ถํากายศึกษา แม฾ว฽าจะมีข฾อบังคับในกระบวนการบริหารจัดการ ภายหลังการประกาศขึ้นทะเบียนของประเทศภาคีสมาชิก ในการทํารายงานเพื่อเสนอแผนในการอนุรักษแและพัฒนา แหล฽งมรดกที่ทําการขึ้นทะเบียนอย฽างต฽อเนื่อง ปใญหาที่พบ จากการลงสํารวจพื้นที่ภาคสนามของผู฾วิจัย บริเวณถนน คลองท฽อตั้ง แต฽วังช฾างอยุธยาแลเพนียดไปจนถึงเขตชุมชน โรงงานสุรา สามารถแบ฽งประเด็นปใญหาออกได฾ดังนี้

ความบิดเบือนบริบททางประวัติศาสตร์ของวังช้างอยุธยา แลเพนียด (ผู้วิจัย, ๒๕๕๖) I วารสารวิชาการ อยุธยาศึกษา I ปีที่ ๖ / ๒๕๕๗ I๒๓


๑. การรุกล้าพื้นที่ในเขตโบราณสถานจากภาค ประชาชนเพื่อการสร้างที่อยู่อาศัย และเพื่อการพาณิชย์ การศึ ก ษาพบว฽ า การบริ ห ารจั ด การพื้ น ที่ แ หล฽ ง มรดกโลกในปใจจุบันเป็นรูปแบบผลประโยชนแต฽างตอบแทน มีการรุกล้ําพื้นที่จากภาคประชาชนในการสร฾างที่อยู฽อาศัย ในเขตบริ เ วณพื้ น ที่ อุ ท ยานประวัติ ศ าสตรแ ฯ และบริ เ วณ ใกล฾เคียง ซึ่งแตกต฽างจากแผนการดําเนินงานที่ได฾ กําหนดไว฾ โดยกรมศิ ล ปากรในแผนแม฽ บ ทฯ ๑ สภาพบ฾ า นเรื อ นที่ ปใจจุบันกลายเป็นชุมชนใหญ฽ที่นับวันจะขยายตัวไปเรื่อยๆ มีโรงเรียนและร฾านค฾าต฽างๆ มากมายรายล฾อม การสร฾างที่ อยู฽อาศัยติดกับ โบราณสถานในระยะประชิ ด หรือการให฾ พาหนะใหญ฽ วิ่ ง ผ฽ า นไปมาอย฽ า งสะดวกถื อ เป็ น ประเด็ น ปใญหาสํ าคัญ ที่ ผู฾วิจัย คาดว฽ าควรดํ าเนิน การอย฽างเร฽ง ด฽ว น อี ก ทั้ ง การตั้ ง ร฾ า นค฾ า ตามเขตที่ ก รมศิ ลปากรตั้ ง ปู า ยห฾ า ม กลับมีการฝุาฝืนอย฽างจงใจจากร฾านค฾าและแผงลอยตั้ง ใน ลักษณะแบบถาวร อีกทั้งบริเวณต฾ นถนนคลองท฽อนั้นมีวัง ช฾างอยุธยาแลเพนียดที่ได฾รับความนิยมอย฽างแพร฽หลายจาก นักท฽องเที่ยวต฽างชาติ ที่ผู฾วิจัยคาดว฽าแม฾ธุรกิจจะส฽งเสริมการ ท฽องเที่ยวและรายได฾เข฾าประเทศได฾อย฽างมหาศาล แต฽บริบท เชิงประวัติศาสตรแที่แท฾จริงของเพนียดช฾างกลับถูกลดทอน ลงไป การตีความที่คาดเคลื่อนของนักท฽องเที่ยวที่มักเข฾าใจ ว฽าสถานที่แห฽ง นี้คือเพนียดช฾าง และการใช฾งานที่แท฾จริงได฾ ถูกบิดเบือนไป ความจริงที่ถูกลิดรอนไปตามกาลเวลาจะถูก ตีค฽าด฾วยราคาของธุรกิจเพียงเท฽านั้นหรือไม฽ ๒) ความไม่ ชั ด เจนของการบริ ห ารจั ด การ ระหว่างหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง แม฾ ว฽ า ลั ก ษณะภายนอกของการบริ ห ารจั ด การ พื้ น ที่ แ หล฽ ง มรดกโลก นครประวั ติ ศ าสตรแ อ ยุ ธ ยาจะมี กรมศิลปากรรับผิดชอบหน฾าที่หลักในการควบคุมดูแล แต฽ หน฾ า ที่ ค วามรั บ ผิ ด ชอบจริ ง ของอุ ท ยานประวั ติ ศ าสตรแ พระนครศรีอยุธยา ภายใต฾การควบคุมของสํานักศิลปากรที่ ๓ พระนครศรีอยุธยา กลับเป็นภาระงานในส฽วนเฉพาะการ อนุรักษแและพัฒนาโบราณสถานเป็นหลัก ความเข฾าใจของ บุคคลภายนอก จึงคิดว฽ากรมศิลปากรมีหน฾าที่ดูแลทั้งหมด แต฽ เ พี ยง ผู฾ เ ดี ย ว ใน คว ามเป็ น จริ ง นั้ น เขตอุ ท ยาน ๑

แผนแม฽บทโครงการอนุรักษแและพัฒนานครประวัติศาสตรแพระนครศรีอยุธยา พ.ศ. 2533

๒๔ I วารสารวิชาการ อยุธยาศึกษา I ปีที่ ๖ / ๒๕๕๗ I


ประวัติศาสตรแพระนครศรีอยุธยาที่ถูกประกาศเป็นเขต พื้ น ที่ โ บราณสถานในความควบคุ ม ดู แ ลของกรม ศิ ล ปากรนั้ น กลั บ ต฾ อ งมี ก ารควบคุ ม จากหน฽ ว ยงาน ท฾องถิ่นอื่นในการช฽วยเข฾ามาร฽วมในฐานะเจ฾าของพื้นที่ ผู฾ รั บ ผิ ด ชอบในเขตท฾ อ งถิ่ น ได฾ แ ก฽ เทศบาล นคร พระนครศรีอยุธยา ปใ ญ หาจากการศึ ก ษาพื้ น ที่ ภ าคสนามของ ผู฾วิจัยพบว฽า เกิดความเข฾าใจคลาดเคลื่อนของหลายฝุาย ในหน฾าที่ความรับผิดชอบการทํางาน มีความทับซ฾อน การบริหารจัดการในบางส฽วน และขาดหน฽วยงานเข฾าไป รั บ ผิ ด ชอบในส฽ ว นที่ ข าดหายไป กล฽ า วคื อ ทุ ก คนมั ก เข฾ า ใจว฽ า กรมศิ ล ปากรเป็ น ผู฾ รั บ ผิ ด ชอบทั้ ง หมด ในขณะเดียวกันหน฾าที่บางอย฽างที่เ ทศบาลควรมีส฽ว น รั บ ผิ ด ชอบ กลั บ ปใ ด เรื่ อ งตกไปให฾ อี ก หน฽ ว ยงานเป็ น ผู฾ดูแล ในมุมมองของผู฾วิจัยพบว฽าปใญหาใหญ฽ในความ ขัดแย฾งระหว฽างหน฽วยงานที่เกี่ยวข฾องหลักทั้งสองหน฽วย นี้ เกิ ด จากผลประโยชนแ ท างเศรษฐกิ จ เป็ น ส฽ ว นใหญ฽ หนึ่ง หน฽ วยงานมองในแง฽ของการอนุ รักษแ และพั ฒนา ส฽ ว นอี ก หนึ่ ง หน฽ ว ยงานมองในด฾ า นรายได฾ ใ นเชิ ง เศรษฐกิจ ที่สามารถจุ นเจือ ประชาชนในรู ป แบบการ ท฽องเที่ยวได฾ หากทว฽าทั้งการอนุรักษแและเศรษฐกิจจะมิ สามารถอยู฽ในความสมดุลระหว฽างกันได฾หรือไม฽ หากทุก คนมองถึงผลประโยชนแส฽วนรวมของชาติมากกว฽าจะเป็น ของกลุ฽ ม บุ ค คลใดบุ ค คลหนึ่ ง แต฽ เ พี ย งฝุ า ยเดี ย ว และแม฾จะมี กฎหมายเป็นข฾อบังคับใช฾จะเป็นเพียงการ เขียนเสือให฾วัวกลัว กฎที่ถูกเพิกเฉยจากคนที่ถูกบังคับ ใช฾จึงเป็นเพียงตัวหนังสือบนกระดาษเท฽านั้น

ข้อเสธอแธะกายแก้ไขบัญหา ปใ ญ หาที่ เ กิ ด ขึ้ น จากความเข฾ า ใจไม฽ ต รงกั น ระหว฽างหลายภาคส฽วน ทั้งภาคประชาชน ภาคเอกชน หรือแม฾กระทั่งภาครัฐที่ทําหน฾าที่เป็นผู฾ควบคุมกฎเกณฑแ และมี อํ า นาจเต็ ม ในการควบคุ ม การสื่ อ สารถื อ เป็ น ปใ ญ ห า สํ า คั ญ จ าก ก า ร ลง พื้ น ที่ ภ า ค ส น า ม เ พื่ อ ทําการศึกษาของผู฾วิจัย ในการทําความเข฾าใจระหว฽าง ภาคส฽ ว นต฽ าง ๆ ให฾ เข฾ า ใจไปในทิ ศ ทางเดีย วกั น การ สร฾า งความชั ดเจนในหน฾ าที่ และความรั บผิด ชอบของ แต฽ละหน฽วยงาน และท฾ายที่สุดการสร฾างสํานึกในความมี

จิ ต สาธารณะของทุ ก ฝุ า ยในการเล็ ง เห็ น คุ ณ ค฽ า และ ความสําคัญของอุทยานประวัติศาสตรแที่มิใช฽ฐานะมรดก ของมนุ ษ ยชาติ แต฽ ใ นฐานะการเป็ น มรดกทาง วั ฒ นธรรมของชาติ ที่ นั บ วั น จะเสื่ อ มถอยไปตาม กาลเวลา หากทุกภาคส฽ วนสร฾างความสํานึ กในความ เป็นเจ฾าของร฽วมกันในมรดกทางวัฒนธรรมอันล้ําค฽าชิ้น นี้ ไ ด฾ ความร฽ ว มมื อ ในการอนุ รั ก ษแ แ ละพั ฒ นาเพื่ อ ให฾ สมบัติตกทอดจากบรรพบุรุษชิ้นนี้สามารถดํารงอยู฽ต฽อ ไปสู฽ชนรุ฽นหลังนั้นก็จะเป็นรูปธรรมและชัดเจนมากขึ้น

นถสยุบ อาจกล฽า วได฾ ว฽า มิ มี ชนชาติ ใดที่ จ ะสามารถ ปกปูองและคุ฾มครองมรดกทางวัฒนธรรมของชาติอื่นได฾ ดีเท฽ าชนชาติตั วเองในฐานะที่เ ป็น เจ฾า ของวัฒ นธรรม การมี ส฽ ว นร฽ ว มและรู฾ สึ ก สํ า นึ ก ในความเป็ น เจ฾ า ของ วัฒ นธรรมถื อเป็ นการสร฾า งแรงจูง ใจที่ ดีใ นการสร฾ า ง ความร฽ ว มมื อ ในการพั ฒ นาและอนุ รั ก ษแ ม รดกทาง วัฒนธรรมที่ตกทอดจากบรรพบุรุษให฾สามารถธํารงอยู฽ ได฾ต฽อไป ๏ “โบราณวั ต ถุ ศิ ล ปวั ต ถุ และโบราณสถานทั้งหลายเป็นของมีคุณค฽า และจําเป็นแก฽ การศึกษาค฾นคว฾าในทางประวัติศาสตรแ ศิลปะ โบราณคดี เป็นการแสดงถึงความเจริญรุ฽งเรือง ของชาติไทยที่มีมาแต฽อดีต ควรสงวนรักษาใช฾ ไว฾ให฾คงทนถาวร เป็นสมบัติส฽วนรวมของชาติ ไว฾ตลอดกาล” พระบรมราโชวาทของพระบาทสมเด็จพระเจ฾าอยู฽หัว พิธีเปิดพิพิธภัณฑสถานแห฽งชาติเจ฾าสามพระยา จังหวัดพระนครศรีอยุธยา ณ วันที่ ๒๖ ธันวาคม พุทธศักราช ๒๕๐๔

I วารสารวิชาการ อยุธยาศึกษา I ปีที่ ๖ / ๒๕๕๗ I๒๕


นยยฒาธุกยภ กฎกระทรวงให฾ใช฾บังคับผังเมืองรวมเมืองพระนครศรีอยุธยา พ.ศ. ๒๕๕๒. ใน ราชกิจจานุเบกษา (ล.๑๒๖, ตอนที่ ๔๒, น. ๙-๒๒). กรมศิลปากร, กองโบราณคดี. (๒๕๓๓). แผนแม฽บทโครงการอนุรักษแและพัฒนา นครประวัติศาสตรแ พระนครศรี อ ยุ ธยา (Conservation and Development Project of Ayutthaya Historical City). กรุงเทพฯ: กรมศิลปากร. นพวรรณ ธีระพันธแเจริญ. (๒๕๔๖). “การมีส฽วนร฽วม: ความจริงใจระหว฽างรัฐและ ราษฏรแ ในการอนุ รั ก ษแ สิ่ ง แวดล฾ อ มศิ ล ปกรรม พื้ น ที่ ม รดกโลก จังหวัดพระนครศรีอยุธยา. วารสารการสาธารณสุขและการพัฒนา , ๑(๑), ๗๓-๗๗. พระราชบั ญ ญั ติ โ บราณสถาน โบราณวั ต ถุ ศิ ล ปวั ต ถุ และพิ พิ ธ ภั ณ ฑสถาน แห฽งชาติ พ.ศ. ๒๕๐๔. ใน ราชกิจจานุเบกษา (ล. ๗๘, ตอนที่ ๖๖, น. ๙๘๐ - ๙๙๘). พระราชบัญญัติผังเมือง พ.ศ. ๒๕๑๘. ใน ราชกิจจานุเบกษา (ล. ๙๒, ตอนที่ ๓๓, น. ๘ - ๔๖). ศูนยแข฾อมูลมรดกโลก (Thai World Heritage Information Centre).เข฾าถึง วั น ที่ ๑๒ ธั น วาคม ๒๕๕๕, from www.thaiwhic.go.th/ index.aspx Leask, A. & Fyall, A. (Eds.). (2006). Managing World Heritage Sites. Amsterdam: Elsevier. United Nations Educational, Scientific and Cultural Organisation. Convention Concerning the Protection of World Cultural and Natural Heritage ๑๙๗๒. Retrieved January 15, 2012, from whc.unesco.org /en /conventiontext

ฟาคปธวก หลักเกณฑ์การประเมินคุณค่าโดดเด่นอันเป็นสากลในการขึ้นทะเบียน มรดกโลก (Criteria for the Assessment of Outstanding Universal Value) I.

II.

III.

เป็ น ตั ว แทนของผลงานชิ้ น เอกที่ แ สดงอั จ ฉริ ย ภาพแห฽ ง การ สร฾างสรรคแของมนุษยแ Represent a masterpiece of human creative genius; เป็นพัฒนาการด฾านศิลปะสําคัญที่ทรงคุณค฽าของมนุษยแในช฽วงเวลา หนึ่ ง หรื อในพื้ น ที่ แ หล฽ ง วั ฒ นธรรมแห฽ ง หนึ่ ง ของโลกเพื่ อ พั ฒ นา สถาปใต ยกรรมและเทคโนโลยี ศิล ปกรรมทางด฾านอนุสรณแส ถาน การวางผังเมืองและการออกแบบภูมิทัศนแ Exhibit an important interchange of human values, over a span of time or within a cultural area of the world, on developments in architecture or technology, monumental arts, town-planning or landscape design; มี หลั ก ฐานพิ สู จ นแ ว฽า มี ค วามเป็ น หนึ่ ง หรื อ มี คุ ณ ลั ก ษณะเฉพาะ ทางด฾านวัฒนธรรมและประเพณี ซึ่งยังคงปฏิบัติกันอยู฽หรือสาบสูญ หายไปแล฾ว Bear a unique or at least exceptional testimony to a cultural tradition or to a civilization which is living or which has disappeared;

๒๖ I วารสารวิชาการ อยุธยาศึกษา I ปีที่ ๖ / ๒๕๕๗ I

IV.

V.

VI.

VII.

VIII.

IX.

X.

เป็นตัวอย฽างที่โดดเด฽นของลักษณะทางสถาปใตยกรรมหรือภูมิทัศนแ ซึ่ง แสดงถึง เหตุ ก ารณแ ที่ สํ าคัญ ทางประวั ติ ศ าสตรแ ในยุ คหนึ่ ง หรื อ หลายยุคของมนุษยชาติ Be an outstanding example of a type of building, architectural or technological ensemble or landscape which illustrates (a) significant stage(s) in human history; เป็นตั วอย฽างของที่อยู฽อาศัยของมนุ ษยแที่มี ลักษณะอันโดดเด฽ น ซึ่ ง เป็นตัวแทนของวัฒนธรรมใดวัฒนธรรมหนึ่ง (หรือหลายวัฒนธรรม) โดยเฉพาะอย฽ างยิ่ ง เมื่ อสถานที่ แ ห฽ ง นั้ น ได฾ รั บ ความเสี ย หายจาก ผลกระทบจากการเปลี่ยนแปลงที่ไม฽อาจจะทําให฾กลับคืนได฾ดังเดิม Be an outstanding example of a traditional human settlement, land-use, or sea-use which is representative of a culture (or cultures), or human interaction with the environment especially when it has become vulnerable under the impact of irreversible change; มีความเกี่ยวพันกับเหตุการณแหรือประเพณีที่ยังคงปฏิบัติกันอยู฽ หรือ เกี่ ย วข฾ องกั บ ความคิ ด ความเชื่ อ หรื อเกี่ ย วข฾ อ งกั บ ศิ ล ปะและ วรรณกรรม Be directly or tangibly associated with events or living traditions, with ideas, or with beliefs, with artistic and literary works of outstanding universal significance. (The Committee considers that this criterion should preferably be used in conjunction with other criteria) เป็นตัวอย฽างโดดเด฽น ที่แสดงถึงยุคสํ าคัญของประวั ติความเป็นมา ของโลก Contain superlative natural phenomena or areas of exceptional natural beauty and aesthetic importance เป็นตั วอย฽างโดดเด฽น ที่แสดงถึง กระบวนการต฽อเนื่องที่สําคั ญของ วิวัฒนาการและพัฒนาการทางระบบนิเวศวิทยา Be outstanding examples representing major stages of earth's history, including the record of life, significant ongoing geological processes in the development of landforms, or significant geomorphic or physiographic features ประกอบด฾วยแหล฽งของสภาพทางธรรมชาติที่มีความเป็นเลิศหรือ เป็นพื้นที่ที่มีความงดงามเป็นพิเศษ Be outstanding examples representing significant ongoing ecological and biological processes in the evolution and development of terrestrial, fresh water, coastal and marine ecosystems and communities of plants and animals เป็นแหล฽งของถิ่นที่อยู฽อาศัยทางธรรมชาติที่สําคัญและโดดเด฽นที่สุด เพื่อการสงวนรักษาความหลากหลายทางชีวภาพ Contain the most important and significant natural habitats for in-situ conservation of biological diversity, including those containing threatened species of Outstanding Universal Value from the point of view of science or conservation


ภอญคฤั่งถี่กวาธบยาสาถ:

เยื่องเฤ่าจากงาธสงกยาธด์ถี่น้าธเสากยะโณง

บัถฝงษ์ ชื่ธนุญ*

ฤภหามใจฝฤัณติ่ธ : สิ้ธแป่ธณิธ แด่ไภ่สิ้ธชาดิ ชาวมอญ หรือชาวรามัญเป็นกลุ่มชาติพันธุ์ที่เก่าแก่ชนชาติหนึ่ง เคยปกครองพื้นที่อันกว้างใหญ่ในแถบ ดินแดนพม่าตอนล่าง บริเวณที่ราบลุ่มปากแม่น้าเอยยาวดี(อิระวดี) และปากแม่น้าสะโตง โดยมีศูนย์กลางของ อาณาจักรอยู่ที่เมืองสุธรรมวดี หรือเมืองสะเทิม มีอานาจในการควบคุมการค้าระหว่างน่านน้าระหว่างซีกโลก ตะวั นออกและตะวัน ตก แต่ เมื่ อหลั งจากที่ชนชาติพ ม่า เริ่ มเข้า มาในดิ นแดนทางตอนเหนือ ของประเทศพม่ า คืออาณาจักรพุกาม พม่าได้ทาสงครามกับชนชาติมอญหลายครั้ง รวมทั้งได้นาเชลยชาวมอญมาใช้เป็นแรงงานใน การก่ อ สร้ า ง ท าเกษตรกรรมเพื่ อ เป็ น เสบี ย งใ ห้ กั บ พม่ า มอญจึ ง กลายเป็ น ส่ ว นหนึ่ ง อาณาจั ก รพุ ก าม แต่ใ นขณะเดียวกัน พม่ าก็ไ ด้รับ เอาวัฒ นธรรมมอญมาใช้ ทั้งในเรื่ อ งของศาสนา, ความเชื่ อ , สถาปัต ยกรรม, ตัวอักษร และภาษา เป็นต้น๑

* นักวิชาการศึกษา สถาบันอยุธยาศึกษา มหาวิทยาลัยราชภัฏพระนครศรีอยุธยา I วารสารวิชาการ อยุธยาศึกษา I ปีที่ ๖ / ๒๕๕๗ I๒๗


ภายหลังจากการล฽มสลายของอาณาจักรพุกาม ในพุทธศตวรรษที่ ๑๙ จึงได฾มีการย฾ายราชธานีไปที่เมือง พะโคหรือหงสาวดี กษัตริยแองคแสําคัญของชนชาติมอญ คนแรกที่ เ ริ่ ม เข฾ า มี บ ทบาทคื อ พระเจ฾ า วาเฬรุ หรื อ พระเจ฾าฟูารั่ว ซึ่งมีความสัมพันธแอันดีกับสุโขทัย รวมถึง มีพระอัครมเหสีเป็นพระราชธิดาของพ฽อขุนรามคําแหง มหาราช และมี กษั ตริ ยแสื บ ต฽อ มาอีก หลายพระองคแ คัม ภีรแ บ าลี ทางพระพุ ท ธศาสนาจึ งนิ ย มใช฾คํ า เรี ยกว฽ า รามัญเทศ ซึ่งเมืองความเจริญรุ฽งเรืองในทุก ๆ ด฾าน สงครามครั้งต฽อมาระหว฽างพม฽ากับมอญ เริ่มขึ้น อี ก ครั้ ง ในปี พ .ศ.๒๐๘๒ รั ช สมั ย ของพระเจ฾ า ตะเบง ชะเวตี้ จากราชวงศแ ต องอู ผลจากสงครามครั้ ง นั้ น พม฽า ตีไ ด฾เ มือ งพะสิ ม และหงสาวดี ซึ่ง เป็ นเมือ งหลวง สําคัญของชาวมอญอันมีพระมหาธาตุมุเตา* เป็นศูนยแ รวมจิตใจ นอกจากนี้พระเจ฾าตะเบ็งชะเวตี้ยังได฾ทําพิธี เจาะพระกรรณที่พระมหาธาตุมุเตา เป็นการแสดงสิทธิ์ เป็นเจ฾าของดินแดนโดยสมบูรณแ ชาวมอญบางส฽วนที่ รอดจากสงครามจึ ง ได฾ เ ริ่ ม อพยพเข฾ า มาพึ่ ง พระบรม โพธิสมภารที่กรุงศรีอยุธยาเป็นระลอกแรก ในสมัยสมเด็จพระนเรศวรมหาราช หลังจากที่ ทรงประกาศเอกราชแล฾ว ทรงทําการอาราธนาพระมหา เถรคันฉ฽อง พร฾อมกับชักชวนชาวมอญที่ร฽วมสวามิภักดิ์ ให฾อพยพเทครัวตามเสด็จมาที่กรุงศรีอยุธยา ในครั้งนั้น พระยาเกี ยร และพระยารามขุนนางมอญที่ มีค วามดี ความชอบในราชการและกลุ฽ ม ญาติ พี่ น฾ อ ง ก็ ไ ด฾ รั บ พระราชทานที่ดินตั้งบ฾านเรือน ณ บ฾านขมิ้น ซึ่งได฾แก฽ บริ เ วณวั ด ขมิ้ น ในเรื อ นจํ า เก฽ า บริ เ วณตลาดหั ว รอ ไปจนถึงบริเวณวัดขุนแสนในปใจจุบัน ต฽อ มาในรั ชสมั ย สมเด็ จพระนารายณแ ม หาราช ทรงพระราชทานที่ดินให฾ทั้งกลุ฽มชาวมอญเก฽ าที่อยู฽มา แต฽ เ ดิ ม และ กลุ฽ ม มอญใหม฽ ไปตั้ ง ชุ ม ชนอยู฽ ช าน กรุงศรีอยุธยาบริเวณวัดตองปุและคลองปทาคูจาม สงครามครั้งสําคัญระหว฽างชาวพม฽ากับชาวมอญ ที่ มี ผ ลทํ า ให฾ ช าว มอญ ถึ ง กั บ สู ญ สิ้ น แผ฽ น ดิ น นั้ น คือสงครามในรัชกาลของพระเจ฾าอลองพญา หลังจาก ขึ้นครองราชยแแล฾ว ทรงยกกองทัพไปตี เมืองแปร อังวะ * พม฽าเรียกว฽า ชเวมอวแดอวแ ๒๘ I วารสารวิชาการ อยุธยาศึกษา I ปีที่ ๖ / ๒๕๕๗ I

และพะสิม พระองคแได฾ทําการปราบปราบชาวมอญด฾วย นโยบายที่ รุ น แรง ไม฽ เ ว฾ น แม฾ ก ระทั่ ง พระภิ ก ษุ ส งฆแ พระเจ฾าอลองพญา ทรงสร฾างเมืองย฽างกุ฾ง หรือแยงคอน อั น มี ค วามหมายว฽ า “จะมี ชั ย ในไม฽ ช฾ า ” ๒ เพื่ อ เป็ น ที่ ชุมนุมทหารก฽อนที่จะยกทัพเข฾าตีเมืองหงสาวดีจนแตก พ฽าย ในเดือนพฤษภาคม พ.ศ ๒๓๐๐ ให฾ชาวมอญเป็น จํานวนมากอพยพเข฾ามาในกรุงศรีอยุธยา และบางส฽วน ก็ อ พยพไปอยู฽ ใ นดิ น แดนล฾ า นนาโดยเรี ย กชาติ พั น ธุแ ตนเองว฽า “เม็ง” และนับว฽าเป็นครั้งที่ ๖ ซึ่งตรงกับสมัย กรุงศรีอยุธยาตอนปลาย ใน ส฽ ว น เหตุ ก าร ณแ ท าง ก รุ ง ศรี อ ยุ ธ ยานั้ น เมื่อสงครามครั้งใหญ฽ระหว฽างกรุงศรีอยุธยากับพม฽าในปี พ.ศ.๒๓๑๐ นายทองสุ ก ชาวมอญที่ อ าศั ย อยู฽ บ฾ า น โพธิ์ ส ามต฾ น ได฾ เ ข฾ า พวกรั บ อาสากั บ พม฽ า จนได฾ รั บ ตําแหน฽งเป็นสุกี้พระนายกอง และได฾อาสากองทัพพม฽า ทํ า สงครามกั บ อยุ ธ ยา นอกจากนี้ เ ป็ น ผู฾ นํ า ชุ ม ชน ชาวมอญในกรุงศรีอยุธยา บังคับรวบรวมกองทัพมอญ ได฾ถึง ๒,๐๐๐ คน เพื่อส฽ง เข฾า กองทัพทํา สงครามกั บ กรุง ศรีอยุธยาจนกระทั่ง กรุง ศรีอยุธยาแตกเมื่อเดือ น เมษายน พ.ศ.๒๓๑๐ แต฽ต฽อมาภายหลังสมเด็จพระเจ฾า ตากสิน ได฾ยกกองทัพเข฾าตีค฽ายโพธิ์สามต฾น และขับไล฽ ข฾าศึกได฾สําเร็จในปีเดียวกัน การกดขี่ ข องพม฽ า เป็ น เหตุ ใ ห฾ ช าวมอญอพยพ ครอบครั วเข฾ ามาในสยามประเทศถึง ๙ ครั้ง ด฾ วยกั น โดยเข฾ามาในสมัยอยุธยา ๖ ครั้ง สมัยกรุงธนบุรี ๑ ครั้ง และสมัยรัตนโกสินทรแ ๒ ครั้ง ภายหลังจากการเสียกรุงศรีอยุธยาครั้งที่ ๒ ในปี พ.ศ.๒๓๑๐ สันนิษฐานว฽าชาวมอญที่เคยตั้งชุมชนอยู฽ใน กรุ ง ศรี อ ยุ ธยาบางส฽ วนโดนกวาดต฾ อนกลั บไปยัง กรุ ง อั ง วะในฐานะเชลยพร฾ อ มกั บ ชาวกรุ ง ศรี อ ยุ ธ ยา บางส฽วนก็อพยพหนีภัยจากสงครามไปอยู฽ตามหัวเมือง ต฽าง ๆ ปใจจุบันนี้จึง ไม฽พบว฽ามีเชื้อสายของชุมชนชาว มอญในกรุ ง ศรี อ ยุ ธ ยาตามสถานที่ ที่ ป รากฏใน ประวัติศาสตรแหลงเหลืออยู฽อีกเลย นอกจากร฽องรอย ข อ ง โ บ ร า ณ ส ถ า น บ า ง แ ห฽ ง ที่ เ กี่ ย ว ข฾ อ ง เ ช฽ น วั ด ปู อ มรามั ญ , วั ด ตองปุ , วั ด เจ฾ า มอญ, วั ด กุ ฎี ด าว, วัดกลางรามัญ , วัดขมิ้น, วัดช฾างใหญ฽ และวัดขุนแสน แต฽ก็ยังมีแหล฽งวัฒนธรรมของชาวมอญที่น฽าจะอพยพ


เข฾ า มาในสมั ย กรุ ง ศรี อ ยุ ธ ยา และสมั ย รั ต นโกสิ น ทรแ ตอนต฾น ตั้งชุมชนอยู฽ตามลุ฽มแม฽น้ําในภาคกลาง รวมทั้ง บางส฽วนในภาคเหนือ ภาคตะวันออกเฉียงเหนือและ ภาคใต฾ ได฾ แ ก฽ ลพบุ รี สระบุ รี อยุ ธ ยา นครปฐม กาญจนบุ รี ราชบุ รี สุ พ รรณบุ รี อ฽ า งทอง นครนายก ปทุ ม ธานี นนทบุ รี สมุ ท รสงคราม สมุ ท รปราการ สมุ ท รสาคร ก รุ ง เทพฯ ฉะ เชิ ง เทรา เพชร บุ รี ประจวบคี รี ขั น ธแ เชี ย งใหม฽ ลํ า พู น ลํ า ปาง ตาก กําแพงเพชร นครสวรรคแ อุทัยธานี นครราชสีมา ชุมพร สุราษฎรแธานี โดยส฽วนใหญ฽จะได฾รับพระราชทานที่ดิน ทํากินให฾แต฽แรกอพยพเข฾ามา

“ภอญคฤัง่ ” ถี่นา้ ธเสากยะโณง เช฾าตรู฽ของวันที่ ๑๔ เมษายน แม฾ว฽าสงกรานตแ ปี นี้ อ ากาศจะร฾ อ นอบอ฾ า วสั ก เพี ย งใด แต฽ ก็ มิ ไ ด฾ เ ป็ น ตัวแปรสําคัญที่จะไปลดทอนความศรัทธาของชาวบ฾าน เสากระโดง ที่พร฾อมใจกันตื่นแต฽เช฾าตรู฽เพื่อเตรียมสํารับ กับข฾าวเพื่อนําไปถวายแด฽พระภิกษุสงฆแในวัดทองบ฽อ ร ว ม ถึ ง ก า ร ป ร ะ ก อ บ พิ ธี ก ร ร ม อั น สํ า คั ญ และศักดิ์สิทธิ์ของหมู฽บ฾านแห฽งนี้ ในแถบภู มิ ภ าคอุ ษ าคเนยแ แ ห฽ ง นี้ สงกรานตแ คื อ เทศกาลสํ า คั ญ แห฽ ง การก฾ า วล฽ ว งเข฾ า สู฽ ศั ก ราชใหม฽ เป็นช฽วงระยะเวลาที่สนุกสนานรื่นเริงของหลาย ๆ กลุ฽ม ชาติพันธุแ รวมไปถึงการทําบุญอุทิศส฽วนกุศลให฾กับญาติ พี่ น฾ อ งที่ ล฽ ว งลั บ กลุ฽ ม ชาวมอญตามท฾ อ งถิ่ น ต฽ า ง ๆ ก็เช฽นเดียวกัน เมื่อถึงฤดูเทศกาลงานบุญเช฽นนี้ ก็จะพา กั น ละทิ้ ง หน฾ า ที่ ก ารงานชั่ ว คราว ชาวมอญที่ ต฾ อ ง เดินทางไปทํา งานในที่ห฽ างไกล พลัดจากถิ่ นฐานของ ตนเอง ก็ จ ะพร฾ อ มใจเดิ น ทางกลั บ ถิ่ น ฐานเดิ ม เพื่ อ มาร฽ ว มกิ จ กรรมกั บ ญาติ พี่ น฾ อ งและครอบครั ว ด฾วยเหตุที่ชาวมอญพากันทําบุญอย฽างสนุกสนานนี้เอง คนไทยจึง เรีย กว฽ า มอญคลั่ง ซึ่ งมิ ได฾มี ความหมายไป ในทางที่ บ฾ า คลั่ ง เสี ย สติ แต฽ เ ป็ น การคลั่ ง ในเรื่ อ งที่ ดี คือคลั่งในการทําบุญทํากุศล๓

เช฽นเดียวกันกับวิถีแห฽งของชาวมอญแห฽งชุมชน บ฾านเสากระโดง ที่สืบ ทอดจากรุ฽ นอดี ตถึง รุ฽นปใ จจุบั น งานสงกรานตแ ถื อ เป็ น งานใหญ฽ ที่ แ ต฽ ล ะบ฾ า น แต฽ ล ะ ครอบครัวภายในชุมชนต฽างให฾ความสําคัญและถือเป็น งานใหญ฽ที่เ รียกว฽า “ทําบุ ญ เปิง ซงกราน” อันเป็นคํ า เรี ย ก “ข฾ า วแช฽ ” ที่ จ ะต฾ อ งนํ า ไปทํ า บุ ญ ที่ วั ด คํ า ว฽ า “เปิ ง ” จึ ง แปลว฽ า “ข฾ า ว” ส฽ ว นคํ า ว฽ า “ซงกราน” จึงหมายถึง “สงกรานตแ” นั่นเอง๔ ชุมชนมอญบ฾านเสากระโดงตั้งอยู฽ที่หมู฽ ๔ และ หมู฽ ๕ ตํ า บลขนอนหลวง อํ า เภอบางปะอิ น จั ง หวั ด พระนครศรีอยุธยา ไม฽ปรากฏหลักฐานที่แน฽ชัดว฽าชุมชน มอญแห฽งนี้อพยพเข฾ามาเมื่อใด แต฽จากคําบอกเล฽าของ ผู฾อาวุโสภายในหมู฽บ฾าน และหลักฐานทางโบราณคดีที่ อยู฽ภายในวัดทองบ฽อ สันนิษฐานว฽าบรรพบุรุษ ชาวมอญ กลุ฽มหนึ่ง เข฾ามาตั้ง ถิ่นฐานในย฽านขนอนหลวง ตั้ง แต฽ สมัยอยุธยาตอนปลายภายหลัง จากเสียกรุง ศรีอยุธยา ครั้งที่ ๒ เมื่อปี พ.ศ.๒๓๑๐ บริเวณชุมชนแห฽งนี้คงถูก ทิ้งร฾างไประยะหนึ่ง ภายหลังสงครามสงบลง คงมีกลุ฽ม ชาวมอญบางส฽วนซึ่ง อพยพหนีไปอยู฽ในถิ่นอื่นเป็นการ ชั่ว คราว กลั บเข฾ ามาตั้ง รกรากในถิ่น ฐานเดิม ของตน จนถึ ง สมั ย รั ต นโกสิ น ทรแ ต อนต฾ น ราวปี พ.ศ.๒๓๖๐ ประกอบกับมีชาวมอญอีกกลุ฽มหนึ่งจากทางเชียงใหม฽ แล฾วเดินทางมาด฾วยเกวียน เข฾ามาก฽อตั้งชุมชนโดยมีชื่อ เรียกชุมชนในภาษามอญว฽า “กวานปราสาท” พร฾อมทั้ง สร฾ า งวั ด ทองบ฽ อ เพื่ อ เป็ น ศู น ยแ ร วมจิ ต ใจของคนใน หมู฽บ฾านและมีชื่อเรียกวัดว฽า “เพยแปราสาท” เนื่ อ งจาก บริ เ วณพื้ น ที่ ใ นอดี ต ของชุ ม ชนนี้ ตั้ ง อยู฽ ใ กล฾ กั บ ด฽ า นขนอนวั ด โปรดสั ต วแ (ขนอนบาง ตะนาว) หรือ ด฽านเก็บภาษี ในสมัยกรุงศรีอยุธยามีเรือ สํ า เภาผ฽ า นเข฾ า ออกเสมอ สั น นิ ษ ฐานว฽ า มี เ รื อ สํ า เภา ลําหนึ่งเกิดอับปางลง สายน้ําพัดพาเสากระโดงมาติดที่ หน฾าชุมชน ผู฾คนที่สัญจรไปมาต฽อมาจึงได฾เรี ยกชื่อชุมชน ใหม฽ ว฽ า ชุ ม ชนบ฾ า นเสากระโดง ภาษามอญเรี ย กว฽ า เพยแทอปลาง สําหรับเสากระโดงต฾นดังกล฽าวนั้น ยังเก็บ รักษาไว฾ภายในวัดทองบ฽อจนถึงปใจจุบันนี้

I วารสารวิชาการ อยุธยาศึกษา I ปีที่ ๖ / ๒๕๕๗ I๒๙


การแต่งกายของชุมชนชาวมอญบ้านเสากระโดงในงานเทศกาลสาคัญต่าง ๆ. (๒๕๕๖). (ภาพนิ่ง). พระนครศรีอยุธยา: ปใทพงษแ ชื่นบุญ

ในเอกสารพรรณนาภูมิสถานพระนครศรีอยุธยา ได฾กล฽าวถึงอาชีพของชาวมอญ ที่เข฾ามาพํานักอาศัยอยู฽ ในกรุงศรีอยุธยาไว฾ดังนี้ ...ถนนย่านปุาทุ่ง วัดโควัดกระบือต่อกัน แต่ก่อน มีต ลาดมอญแลพม่ าแขก ฆ่า เปดไก่ ฃ าย ครั้ นสมเดจ พระบรมราชาธิร าชเจ้า พระพุ ทธเจ้า อยู่ หัวบรมโกษ เสดจเถลิง ถวัลราชสมบัติ ปราบดาภิเษกเปนพระเจ้า แผ่ นดิ นที่ ๓๒ ในกรุ งเทพระมหานครบวรทวาราวดี ศรี อยุ ธยา ทรงพระมหากรุณ าแก่สั ตว์ ทรงพระมหา กรุณ าโปรดเกล้า ฯ แก่สั ตวโลกยที่ถึ งที่ต ายให้จ่า เปน ด่ารัส สั่งให้ตั้งกดพิกัด ห้ามปรามมิให้ฆ่าเปดไก่ฃายแก่ ฝุายคนที่นับถือพระพุทธศาสนา แต่พวกมิจฉาทิฏฐิจะ ฆ่า ก็ตามยะถาก่ามแห่งสัตว...๕

๓๐ I วารสารวิชาการ อยุธยาศึกษา I ปีที่ ๖ / ๒๕๕๗ I

...มาย่านหลังวัดนกน่าวัดโพง มีร้านช่าไทยมอญ ขายขั น ถาดภานน้ อ ยใหญ่ เครื่ อ งทองเหลื อ งครบ มีตลาดสดฃายเช้าเยน ชื่อตลาดมอญ ๑...๖ ...ย่านวัดครุฑ ปั้นนางเลิ้งขาย…๗ ...ปากคลองเกาะแก้ ว นั้ น เรื อ ใหญ่ ป ากกว้ า ง ๖ ศอก ๗ ศอก มอญบรรทุ ก มะพร้ า วห้ า ว ไม้ แ สม เกลือ มาจอดขาย...๘ ชุ ม ชนมอญบ฾ า นเสากระโดง ไม฽ ไ ด฾ ป ระกอบ อาชีพทํานา แต฽ประกอบอาชีพค฾าขายทางเรือมาตั้งแต฽ ครั้งบรรพบุรุษ โดยจะล฽องเรือแจวค฾าขายสินค฾าไปตาม แม฽น้ําเจ฾าพระยา และแม฽น้ําปุาสัก โดยเส฾นทางแม฽น้ํา เจ฾ า พระยานั้ น ล฽อ งขึ้ น เหนื อ ไปจนถึ ง ปากน้ํา โพและ ล฽อ งลงใต฾ จ นกระทั่ ง ถึ ง ปากอ฽ า วย฽ า นมหาชั ย บางขุ น เที ย น บางปลากด ส฽ ว นแม฽ น้ํ า ปุ า สั ก ล฽ อ งไปจนถึ ง เพชรบู ร ณแ หล฽ ม สั ก เลย สิ น ค฾ า ส฽ ว นใหญ฽ ที่ ข ายคื อ


ตั บ จาก เนื่ อ งจากในอดี ต การปลู ก เรื อ นส฽ ว นใหญ฽ ใ ช฾ ตับจากมุงหลังคา โดยซื้อจากชาวมอญที่พายเรือทวน น้ําขึ้นมาขายถึงเมืองปากน้ําโพ และเพชรบูรณแ ตับจาก ที่ ถื อ ว฽ า มี คุ ณ ภาพดี นั้ น มาจากมหาชั ย บางขุ น เที ย น และบางปลากด ส฽วนตับ จากที่มีคุ ณภาพด฾อ ยกว฽ ามา จากคลองด฽าน สมุทรปราการ สินค฾าที่ชาวมอญนิยมนํามาขายรองลงมาคือ เกลื อ และใบลาน เกลื อ สมุ ท รคงได฾ จ ากทางมหาชั ย ซึ่ง นิย มทํา นาเกลื อเป็ นอาชี พ ส฽ วนใบลานนั้ นได฾จ าก ดงลานในเขตเมืองหล฽ม และเมืองเลย ชาวบ฾านที่ซื้อมัก ไปทํางอบและจารหนังสือ จากที่กล฽าวมาทั้งหมดจะเห็นได฾ว฽าการค฾าของ ชุมชนมอญบ฾านเสากระโดงนั้น สอดคล฾องเป็นอย฽างยิ่ง กั บ หลั ก ฐานปรากฏในเอกสารพรรณนาภู มิ ส ถาน พระนครศรีอยุธยา ถึงการประกอบอาชีพการค฾าของ ชาวมอญเมื่ อ ครั้ ง กรุ ง ศรี อ ยุ ธ ยาเป็ น ราชธานี และมี

ความแตกต฽ า งจากกลุ฽ ม ชาวมอญเมื อ งปทุ ม ธานี สามโคก และบางเตย ที่ นิ ย มค฾ า ขายตุ฽ ม ใส฽ น้ํ า หรื อ นางเลิ้ ง อิฐ ปูน หม฾อ ไห และเครื่อ งถ฾ว ยชามต฽า ง ๆ และสามารถล฽ อ งเรื อ ทวนน้ํ า ไปถึ ง อุ ต รดิ ต ถแ สุ โ ขทั ย กําแพงเพชร ซึ่งไกลกว฽าเส฾นทางการค฾าของชาวมอญ บ฾านเสากระโดง

วัณถองน่อ : ศูธม์ยวภใจของชาวภอญ น้าธเสากยะโณง สันนิษฐานว฽าวัดทองบ฽อ น฽าจะสร฾างพร฾อม ๆ กับการเกิดของชุมชนแห฽ง นี้ในสมัยอยุธยาตอนปลาย ไม฽ปรากฏหลักฐานว฽าได฾รับวิสุงคามสีมาครั้งแรกเมื่อใด แต฽ ไ ด฾รั บ วิ สุง คามสี ม าครั้ ง ที่ ๒ เมื่ อ พ.ศ.๒๔๙๔ เป็ น วัดสัง กัดคณะสงฆแนิกายธรรมยุติ ภายในวัดทองบ฽อมี โบราณสถานและสถาปใตยกรรมที่น฽าสนใจดังนี้

เจดีย์ประธาน และศาลาการเปรียญ, (๒๕๕๖), ภาพนิ่ง : ปัทพงษ์ ชื่นบุญ

I วารสารวิชาการ อยุธยาศึกษา I ปีที่ ๖ / ๒๕๕๗ I๓๑


เจณีม์บยะทาธ

กําแฝงแก้ว

เจดี ยแ ป ระธานวั ด ทองบ฽ อ ตั้ ง หั น หน฾ า เข฾ า หา แม฽น้ําเจ฾าพระยาด฾านทิศตะวันตก เป็นเจดียแสี่เหลี่ย ม เพิ่ ม มุ ม ก฽ อ สร฾ า งด฾ ว ยอิ ฐ ฉาบผิ ว ด฾ ว ยปู น หมั ก และ ขัดทับด฾วยปูนตํา ในสมัยอยุธยาตอนปลาย โดยได฾รับ อิทธิพลจากศิลปะล฾านนาจากฐานประทักษิณที่มีขนาด สูง บั นไดขึ้ นเจดี ยแ ทางทิ ศตะวั นตก สร฾า งปิ ดทั บ ช฽ อ ง ประตู รู ป เกื อ กม฾ า ซึ่ ง เดิ ม คงมี ล วดลายประดั บ อยู฽ องคแเจดียแตั้งอยู฽บนฐานสูงรูปสี่เหลี่ยมจัตุรัส ฐานล฽างสุด เป็นทางเดินรูปเกือกม฾าด฾านละ ๖ ช฽อง เหนือขึ้นไปเป็น ทา ง เ ดิ น ป ร ะ ทั ก ษิ ณ มี ร า ว ร ะ เ บี ย ง เ จา ะ เ ป็ น ช฽องล฾อมรอบ โดยมีฐานสี่เหลี่ยมย฽อมุมสี่ฐาน ฐานชั้นที่ สองเจาะเป็นซุ฾มรูปเกือกม฾า ฐานชั้นที่สามเป็นฐานหน฾า กระดานย฽ อ มุ ม ไม฾ สิ บ สองก฽ อ เป็ น ช฽ อ งประตู ห ลอกไว฾ ทางด฾ านทิ ศตะวันตกและทิศใต฾ สั นนิษ ฐานว฽าเดิมคง เป็นซุ฾มสําหรับประดิษฐานพระพุทธรูปนูนต่ํา ฐานชั้นที่ สี่ ห น฾ า กระดานมี บั ว รั ด เกล฾ า คาดรองรั บ ชุ ด ฐานสิ ง หแ ย฽อมุมไม฾ยี่สิบ และฐานบัวลดหลั่นกันสามชั้น บัวปาก ระฆังรองรับบัวย฽อมุมไม฾ยี่สิบ ประดับลายปูนปใ้นบัวคอ เสื้ อ หลั ง องคแ ร ะฆั ง ต฽ อ ขึ้ น ไปด฾ ว ยบั ล ลั ง กแ ย฽ อ มุ ม ไม฾ สิบสอง มีภ าชนะเครื่ องเคลื อบลายครามทรงสูง เป็ น เสาหารรองรับบัวฝาละมีและปล฾องไฉน ซึ่งมีเส฾นลวด คั่นลดหลั่นกัน มีบัวคั่นรับปลียอดที่รองรับเม็ดน้ําค฾าง ในการบูรณะ กรมศิลปากรทําการสํารวจเมื่อ ๒๕ พฤศจิกายน ๒๕๕๑ โดยขุดตรวจฐานรากบริเวณ ทิศตะวันตกติดกับบันไดทางขึ้นเจดียแ ความลึกรวม ๗๐ เซนติ เ มตร จากระดั บ พื้ น พบชั้ น ทรายและชั้ น ดิ น ลูกรังถม บริเวณบันไดพบฐานแผ฽กว฾าง ๘๕ เซนติเมตร ฐานรากแผ฽ ๖ ชั้น ในขณะที่ด฾านข฾างของเจดียแขุดพบ ฐานแผ฽ ๕ ชั้ น มี ค วามกว฾ า ง ๑ เมตร พบว฽ า มี น้ํ า ซึ ม ขึ้ น มาตลอดเวลา เนื่ อ งจากเจดี ยแ อ ยู฽ ใ กล฾ กั บ แม฽ น้ํ า และเป็นช฽วงที่มีน้ําขึ้นสูง ระดับน้ําใต฾ดิน ๐.๖๐ เมตร จากระดั บพื้น นอกจากนี้ได฾ขุ ดเจาะบริเวณช฽องทาง เดิ นขนาดกว฾ าง ๗๕ เซนติ เมตร ลึก ๓๕ เซนติ เมตร พบพื้นอิฐถูกถมทับด฾วยทรายก฽อนเททับด฾วยซีเมนตแ

กําแพงแก฾ววางตัวอยู฽ขนานกับองคแเจดียแห฽างไป ทางทิ ศ ใต฾ ป ระมาณ ๓ เมตร กํ า แพงสู ง โดยเฉลี่ ย ประมาณ ๑ เมตร ลักษณะชํารุดทรุดโทรม มีวัชพืชขึ้น และตะไคร฽ เ กาะ อิ ฐ ด฾ า นบนหลุ ด กระจั ด กระจาย และถูกวางทิ้งไว฾อย฽างไม฽เป็นระเบียบ กรมศิลปากรได฾ ทําการขุดตรวจฐานกําแพง หลุมขุ ดตรวจขนาด ยาว ๒ เมตร กว฾ าง ๑ เมตร ลึก ๕๐ เซนติเ มตร จากพื้ น ปใจจุบัน พบว฽ามีน้ําซึมขึ้นมาตลอดเวลา เนื่องจากอยู฽ ใกล฾กับแม฽น้ําและเป็นช฽วงที่มีน้ําขึ้นสูง หลังจากขุดลงไป ลึ ก ๕๐ เซนติ เ มตร พบชั้ น อิ ฐ เรี ย งซ฾ อ นกั น ลงไปอี ก ๑๑ ชั้น จากอิฐชั้นล฽างสุดของพื้นปใจจุบัน และไม฽พบ หลักฐานทางโบราณวัตถุ

๓๒ I วารสารวิชาการ อยุธยาศึกษา I ปีที่ ๖ / ๒๕๕๗ I

ศาฤากายเบยีมญ (เก่า) ตั้ ง อยู฽ ท างทิ ศ ตะวั น ตกเฉี ย งใต฾ ข องเจดี ยแ ประธานห฽ า งประมาณ ๘๐ เมตร อยู฽ ติ ด แม฽ น้ํ า เจ฾า พระยา เป็น อาคารไม฾ย กพื้น สูง รูปสี่ เหลี่ ยมผื นผ฾ า ขนาดกว฾าง ๑๔ เมตร ยาว ๒๒ เมตร เป็นอาคารขนาด ๗ ห฾อง เสาบันไดทางขึ้น ๒ ด฾าน ๕ ขั้น ก฽ออิฐฉาบปูน คือด฾านทิศตะวันตกเฉียงเหนือกับด฾านทิศตะวันตกเฉียง ใต฾ หลั ง คามุ ง กระเบื้ อ งประดั บ ปู น ปใ้ น บนสั น หลั ง คา สวยงามและที่ ห น฾ า บั น ทั้ ง สองด฾ า นประดั บ ลวดลาย ปูนปใ้นเช฽นเดียวกัน จารึกปีการก฽อสร฾างใน พ.ศ. ๒๔๕๕ เดือน ๗ แรม ๑ ค่ําปใจจุบันอยู฽ในระหว฽างการปรับปรุง เพื่อให฾เป็นพิพิธภัณฑแพื้นบ฾านวัดทองบ฽อและศูนยแศึกษา ชุมชนชาวมอญ

เสาหงส์ หากเดินทางไปในสถานที่แห฽งใดก็ตาม เมื่อพบ เห็ น เสาหงสแ ปใ ก อยู฽ ก็ จ ะสามารถทราบได฾ ทั น ที่ ว฽ า มี ชุมชนชาวมอญเกิดขึ้นในสถานที่แห฽งนั้น เพราะเสาหงสแ เป็นสัญ ลักษณแที่สําคัญแสดงถึง ความเป็น ชนชาติมอญ เสาหงสแนั้นเป็นสิ่งที่เกิดขึ้นภายหลังธงตะขาบซึ่งเกิดขึ้น ในสมั ยพุท ธกาล ตามตํานานเล฽าว฽า มีชาวมอญไปพบ ต฾นจั นทนแ ยืนต฾ นตายอยู฽ในปุา ลัก ษณะของต฾นจั นทนแ ดั ง กล฽ า วเป็ น ลํ า ต฾ น ตรงสวยงาม จึ ง ได฾ ตั ด ต฾ น จั น ทนแ ดังกล฽าวมาปใกไว฾ในบริเวณวัดของหมู฽บ฾านที่ตนพักพิงอยู฽


เพื่อแขวนธงตะขาบบูช าพระพุ ทธเจ฾า ในภายหลัง ได฾ ปรับให฾สวยงาม และมีความหมายมากขึ้น จึง แกะไม฾ เป็นรูปหงสแประดับไว฾ที่ปลายเสา บางตํานานกล฽าวว฽า หงสแ นั้ น หมายถึ ง เมื อ งหงสาวดี ซึ่ ง เคยเป็ น ถิ่ น ฐาน บ฾านเกิดในอดีตของชาวมอญ ก฽อนที่จะโดนรุกรานจาก พม฽า ดังนั้นทิศทางของเสาหงสแ มักจะหันหน฾า ออกไปสู฽ ทิศที่ตั้ง ของเมืองหงสาวดีเสมอ ทั้งนี้อาจเพื่อเป็นการ เตือนสติมิให฾ลืมชาติพันธุแบ฾านเกิดของตนเอง เสาหงสแ บางแห฽งมีการพัฒนารูปแบบให฾สวยงามขึ้น โดยเพิ่มเสา ตะเกี ย บขนาบทั้ ง สองข฾ า ง ส฽ ว นการแขวน “นู฽ ” หรื อ “ธงตะขาบ” จะประกอบพิ ธี ใ นช฽ ว งเทศกาล สงกรานตแเท฽านั้น

เพื่อสําหรับจัดเลี้ยงให฾กับญาติผู฾ใหญ฽ และผู฾ที่มาร฽วมพิธี สงกรานตแที่วัดทองบ฽อด฾วย จึงจําเป็นจะต฾องลดขั้นตอน ที่ยุ฽งยากบางประการออกไป อย฽างไรก็ตามถึงแม฾ว฽าการ ทําข฾าวแช฽จะไม฽ได฾ประกอบพิธีกรรมศักดิ์สิทธิ์อีกต฽อไป แต฽ชาวบ฾านยังคงถือว฽า เปิงซงกราน หรือข฾าวแช฽ ยังคง อยู฽ในฐานะของอาหารมงคลในช฽วงเทศกาลสงกรานตแ ดังเช฽นในอดีตที่ผ฽านมา

เบิงซงกยาธ : อาหายภงคฤ เปิง ซงกราน ในภาษามอญ มีความหมายว฽ า ข฾าวสงกรานตแ ซึ่งมีความแตกต฽างไปจากข฾าวแช฽ทั่วไปที่ มีขายตามท฾องตลาดในปใจจุบัน ข฾าวแช฽นี้จัดเป็นอาหาร ทานเล฽ น จะมี เ ฉพาะในช฽ ว งเดื อ นสงกรานตแ เ ท฽ า นั้ น เนื่องจากเป็นช฽วงที่มีอากาศร฾อน การทําเปิงซงกรานอย฽างประณีตของชาวมอญ แต฽โบราณนั้น จะต฾องมีคุณสมบัติที่เรียกว฽า “ถึงพร฾อม ด฾ ว ยลั ก ษณะเจ็ ด ” ๙ คื อ ข฾ า วที่ จ ะใช฾ หุ ง ทํ า ข฾ า วแช฽ จะต฾องใช฾ข฾าวเปลือก ๗ กํา ซ฾อมมือถึง ๗ ครั้ง และต฾อง นํ า มาซาวน้ํ า ลอยดอกมะลิ ใ ห฾ ส ะอาดอี ก ๗ ครั้ ง ครั้ น เมื่ อ จะหุ ง ก็ จ ะต฾ อ งหุ ง กั น กลางแจ฾ ง มี ก ารทํ า ราชวัตรรั้วล฾อมปใกฉัตรปใกธง ด฾วยถือว฽าเปิงซงกรานนี้ คือข฾าวที่เป็นสิริมงคล จากนั้นก็จะนําน้ําสะอาดใส฽ไว฾ใน ตุ฽ ม ใบย฽ อ มๆ ลอยดอกมะลิ อบควั น เที ย นไว฾ ใ ห฾ ห อม ข฾า มคื น เมื่ อ จะนํ า มารับ ประทานก็ จ ะนํ า ข฾ า วใส฽ ถ฾ ว ย และตักน้ําลอยดอกมะลิใส฽ตามลงไป ข฾าวแช฽ก็จะเย็น ชื่นใจตามธรรมชาติ นอกจากนี้ยังมีการทําเครื่องเคียง ประกอบอาทิ งาปิทอด (กระปิทอด) , พริกหยวกสอด ไส฾,กระเทียมดองผัดไข฽ ,ปลาแห฾งปุน , เนื้อเค็มฉีกฝอย, หัวไชโปฺวผัดไข฽เค็ม ชาวมอญบ฾ า นเสากระโดงในอดี ต จะให฾ ความสํ า คั ญ เป็ น อย฽ า งยิ่ ง กั บ กรรมวิ ธี ก ารทํ า ข฾ า วแช฽ จะนิยมทําประกอบสํารับเพื่อถวายพระเท฽ านั้น แต฽ใน ยุ ค ปใ จ จุ บั น นี้ ช าวบ฾ า นจะต฾ อ งทํ า ในปริ ม าณมากขึ้ น

เสาหงส์ภายในวัดทองบ่อ. (๒๕๕๖). (ภาพนิ่ง) พระนครศรีอยุธยา : ปัทพงษ์ ชื่นบุญ

เปิงซงกรานอาหารมงคลของชาวมอญ. (๒๕๕๗). (ภาพนิ่ง). พระนครศรีอยุธยา. ธนิสร เพ็ชรถนอม.

I วารสารวิชาการ อยุธยาศึกษา I ปีที่ ๖ / ๒๕๕๗ I๓๓


พิธแี ห่นู่ในงานเทศกาลสงกรานต์ชุมชนมอญบ้านเสากระโดง. (๒๕๕๖, ๒๕๕๗). (ภาพนิ่ง). พระนครศรีอยุธยา: ปัทพงษ์ ชื่นบุญ และธนิสร เพ็ชรถนอม.

ธู่ : ปืธป้าแห่งสยวงสวยยค์ ประเพณีสงกรานตแ ซึ่งเป็นเทศกาลที่ชาวมอญ บ฾านเสากระโดงทุกคน ไม฽ว฽าจะออกไปประกอบอาชีพ อยู฽ ไ กลแค฽ ไ หน เมื่ อ ถึ ง วั นสงกรานตแ จ ะต฾ อ งพยายาม เดินทางกลับมารวมกับครอบครัวและญาติพี่น฾องเพื่อ ร฽วมประเพณีที่สําคัญนี้ โดยมีหัวใจของงานอยู฽ที่การแห฽ “นู฽ ” หรื อ ธง ๑ ๐ ซึ่ ง มี ลั ก ษณะคล฾ า ยธงตะขาบ ที่ มี ลั ก ษณะเป็ น ผ฾ า ผื น ยาว ขนาดกว฾ า งประมาณ ๑ - ๒ เมตร ยาวประมาณ ๑๐-๑๕ เมตร มีไม฾คั่นเป็น ช฽อง ๆ ตลอดผืน ประดับตกแต฽งจนเกิด เป็นลวดลาย สีสันสวยงาม ชาวมอญเชื่ อ ว฽ า การแห฽ นู฽ ขึ้ น สู฽ เ สาหงสแ นี้ มี อานิ ส งสแ ม าก เป็ น การบู ช าพระสั ม มาสั ม พุ ท ธเจ฾ า และเพื่ออุทิศให฾กับบรรพบุรุษผู฾ล฽วงลับ นอกจากนี้ยัง เชื่ อ ว฽ า เป็ น การสะเดาะเคราะหแ ใ ห฾ กั บ “กร฿ า บนาม” ๓๔ I วารสารวิชาการ อยุธยาศึกษา I ปีที่ ๖ / ๒๕๕๗ I

หรือผู฾ที่เกิดตรงกับวันเนา ซึ่งเป็นวันว฽างคั่นระหว฽างปี เก฽ากับปีใหม฽ บุคคลดังกล฽าวอาจประสบเคราะหแกรรมที่ ไม฽คาดฝใน จะต฾องมีการสะเดาะเคราะหแด฾วยการแขวนนู฽ หรือธงที่มีขนาดเล็กไว฾ที่เสาหงสแใกล฾กับเคหะสถานของ ตน ในวันที่มีพิธีแห฽นู฽นั้น ชาวมอญบ฾านเสากระโดง ทุกคนจะแต฽งกายอย฽างสวยงามตามวัฒนธรรมดั้ง เดิม โดยจะตั้งขบวนแห฽ไปรอบหมู฽บ฾านอย฽างสนุกสนานรื่น เริ ง อั น ประกอบด฾ ว ยขบวนนั ก ฟู อ นรํ า ขบวนแห฽ นู฽ ขบวนปล฽อยนกปล฽อยปลา ขบวนแห฽ไม฾ค้ําโพธิ์ ขบวน ชักเกวียนที่ประดิษฐานพระพุทธรูปหินอ฽อนศิลปะสกุล ช฽า งมัณ ฑะเลยแ อั นเป็ นพระพุ ท ธรู ป ศัก ดิ์ สิท ธิ์ ประจํ า หมู฽บ฾าน และจะต฾องนํามาสรงน้ําในช฽วงบ฽าย ประเด็นที่ น฽าสนใจคือมีขบวนเกวียนแห฽รู ปจําลองของพระมหา เถรคั น ฉ฽ อ ง สมเด็ จ พระนเรศวรมหาราช และ


พระสุพรรณกัลยา ซึ่งสะท฾อนถึงการนําประวัติศาสตรแ เข฾ามาเป็นส฽วนหนึ่งของการประกอบพิธีกรรมดังกล฽าว ด฾วย จากนั้นจะทําการยกนู฽ขึ้นสู฽เสาหงสแ การถวาย ไม฾ค้ําโพธิ์ รวมทั้งเลี้ยงอาหารกลางวันผู฾มาร฽วมงานทุก คนด฾ว ยข฾าวแช฽ จนกระทั่งในตอนบ฽ ายจะมีพิธีส รงน้ํ า พระบนรางไม฾ไผ฽ จึงเป็นอันเสร็จกิจกรรม

อธาคดของชุภชธภอญน้าธเสากยะโณง ในปใจจุบันนี้ วัฒนธรรมและการดํารงชีวิตของ ชุมชนชาวมอญที่บ฾านเสากระโดงแห฽งนี้กําลังจะหมดไป เยาวชนรุ฽น ใหม฽ ไม฽ นิย มสื่ อสารหรื อพู ดคุ ยด฾ วยภาษา มอญ มี เ พี ย งผู฾ สู ง อายุ ใ นหมู฽ บ฾ า นที่ ยั ง พู ด ภาษามอญ สวดมนตแภาษามอญ สําหรับผู฾ที่สามารถเขียนและอ฽าน ภาษามอญได฾มีจํานวนน฾อยลงมาก ระบบการค฾าขายสินค฾าทางเรือหมดไปอย฽า ง รวดเร็ ว เนื่ อ งจากเส฾ น ทางคมนาคมที่ ส ะดวกขึ้ น มีถ นนตั ด ผ฽ าน จึง ไม฽ มีใ ครนิ ย มแจวเรื อ ขายสิ นค฾ า อี ก ต฽ อ ไป การขายตั บ จากจึ ง อาศั ย การสื่ อ สารทาง โทรศั พ ทแ มื อ ถื อ ที่ ร วดเร็ ว กว฽ า และใช฾ ร ถในการขนส฽ ง สิน ค฾ า แทน แต฽ ก็ไ ม฽ สามารถสร฾า งรายได฾ ที่ มั่ นคงหรื อ ประกอบเป็ น อาชี พ หลั ก ดั ง เช฽ น ในอดี ต ได฾ อี ก ต฽ อ ไป เพราะปใจจุบันผู฾คนนิยมหันมาปลูกบ฾านโดยใช฾กระเบื้อง มุง หลั ง คา สิน ค฾า ประเภทตั บจากจึ งแทบจะไม฽ เป็ น ที่ ต฾องการของตลาด อีกทั้งเมื่อมีนิคมอุตสาหกรรมเกิดขึ้น มากมายในย฽านบางปะอิน วังน฾อย นวนคร รุ฽นลูกหลาน ของชาวมอญบ฾านเสากระโดงจึงหันไปประกอบอาชีพ ตามโรงงานอุตสาหกรรม บางส฽วนก็ไปประกอบอาชีพ รับจ฾างตามบริษัทเอกชน หรือรับราชการ แม฾วั ฒนธรรมจะเปลี่ ยนไปตามสภาพสั ง คม แต฽พระภิกษุสงฆแที่วัดทองบ฽อ ยังรักษาเอกลักษณแการ สวดพระอภิธรรมภาษามอญตลอดมาปใจจุบันพระครู อาทรพิพัฒนโกศล หรือ พระอาจารยแสุทัศนแ ธรรมอุบล เจ฾าอาวาสวัดทองบ฽อ มีความคิดที่จะจัดตั้งศูนยแศึกษา ภาษามอญ โดยจัดการสอนหนังสือภาษามอญ ให฾กับ เด็ก เยาวชนและผู฾ที่สนใจ รวมทั้งทําการฟื้นฟูประเพณี ดั้ ง เดิ ม ของชาวมอญขึ้ น มาเพื่ อ รั ก ษาวั ฒ นธรรม และประเพณีอันดีงามนี้ไว฾มิให฾สูญหายไปกับกาลเวลา

หรือกลายเป็นเรื่องเล฽าขานที่เป็นเพียงความทรงจําใน อดีตที่ลางเลือน ดังนั้น ประเพณีตามวิถีวัฒนธรรม รวมทั้ง ร ว ม กิ จ ก ร ร ม ท า ง ศ า ส น า เ ช่ น ป ร ะ เ พ ณี สงกรานต์ ประเพณี การตั กบาตรน้าผึ้ ง เทศกาล เข้าพรรษา เทศกาลออกพรรษา การเทศน์มหาชาติ จึ ง เป็ น เพี ย งสิ่ ง เดี ย วที่ ยั ง เป็ น เครื่ อ งยึ ด โยงจิ ต ใจ รวมทั้ ง สานสายสั ม พั น ธ์ ข องชุ ม ชนชาวมอญบ้ า น เสากระโดงไว้ ใ ห้ยังคงอยู่สืบไป สมดังคากล่าวที่ว่ า “สิ้นแผ่นดิน แต่ไม่สิ้นชาติ” ๏

เชิงอยยต ๑

ศู นยแ ม อญศึ กษา. (๒๕๕๐). นาชมพิ พิ ธภั ณฑ์ พื้ นบ้ า นวั ด ม่ว ง. หน฾า ๒๓. ๒ ส.พลายน้อย (นามแฝง). (๒๕๑๕). เล่าเรื่องพม่ารามัญ. หน฾า ๒๑๒. ๓ แหล่งเดิม. หน฾า ๓๑๓ – ๓๑๔. ๔ แหล่งเดิม. หน฾า ๓๑๔. ๕ คณะกรรมการชําระประวัติศาสตรแไทยฯ. (๒๕๓๔). คาให้การขุน หลวงวัดประดู่ทรงธรรม เอกสารจากหอหลวง. หน฾า ๑๓. ๖ แหล่งเดิม. หน฾า ๑๔ ๗ พระยาโบราณราชธานินทรแ. ประชุมพงศาวดารภาคที่ ๖๓ เรื่อง กรุงเก฽า. หน฾า๑๘๙. ๘ แหล่งเดิม. หน฾า๑๙๒. ๙ ส.พลายน฾อย (นามแฝง). (๒๕๑๕). เล่มเดิม. หน฾า ๓๑๔. ๑๐ แหล่งเดิม. หน฾า ๓๒๓.

นยยฒาธุกยภ กรมศิลปากร. (๒๕๑๑). ประชุมพงศาวดารภาคที่ ๖๓ เรื่องกรุงเก฽า. พิมพแครั้ง ที่ ๔ เนื่องในงานพระราชทานเพลิงศพนายพิมล บุญอาภา. กรุงเทพฯ: โรงพิมพแการศาสนา. คณะกรรมการชําระประวัติศาสตรแไทยฯ . (๒๕๓๔). คาให้การขุนหลวงวั ด ประดู่ทรงธรรม เอกสารจากหอหลวง. กรุงเทพฯ : สํานั กเลขาธิการ นายกรัฐมนตรี จวน เครือวิชฌยาจารยแ. (๒๕๔๓). ประเพณีมอญที่สาคัญ. กรุงเทพฯ : พิฆเณศ พริ้นทแติ้ง เซ็นเตอรแ. จําลอง ทองดี. (๒๕๒๙). แผ่นดินประเทศมอญ. กรุงเทพฯ: สมาพันธุแ. มานพ แก฾วหยก. (๒๕๕๔, มกราคม - เมษายน). มอญค้าขายทางเรือในอดีต. รักษแวัฒนธรรมกลุ฽มชาติพันธุแ. ปีที่ ๒ (ฉบับที่ ๑) : หน฾า ๑๐. วลัยลักษณแ ทรงศิริ. (๒๕๕๖). มอญบางปะอิ น. มู ลนิธิเล็ ก-ประไพ วิริยะ พันธุแ. สืบค฾นเมื่อวันที่ ๒๔ มิถุนายน ๒๕๕๖, จาก www.lek-prapai.org. ศูนยแมอญศึกษา. (๒๕๕๐). นาชมพิพิธภั ณฑ์พื้นบ้านวัดม่วง. กรุงเทพฯ: กระทรวงวัฒนธรรม. สมบัติ พลายน฾อย. (๒๕๑๕). เล่าเรื่องพม่ารามัญ. กรุงเทพฯ: แพร฽พิทยา. สํานักวรรณกรรมและประวัติศาสตรแ กรมศิลปากร. (๒๕๕๑). โบราณสถานใน จังหวัดพระนครศรีอยุธยา เล่ม ๒. กรุงเทพมหานคร: ทวีวัฒนแการพิมพแ.

I วารสารวิชาการ อยุธยาศึกษา I ปีที่ ๖ / ๒๕๕๗ I๓๕


บรรยากาศงานเทศกาลสงกรานต์ชุมชนมอญบ้านเสากระโดง ประจ้าพุทธศักราช ๒๕๕๗. (๒๕๕๗). (ภาพนิ่ง). พระนครศรีอยุธยา: ปัทพงษ์ ชื่นบุญ และธนิสร เพ็ชรถนอม.

๓๖ I วารสารวิชาการ อยุธยาศึกษา I ปีที่ ๖ / ๒๕๕๗ I


งาธแถงหมวกอมุทมา:

ศิฤบกยยภแห่งธ้ําจิดธ้ําใจของคธใธถ้องติ่ธ* ฝัฐย์ แดงฝัธท์**

“งานแทงหยวก” เป็นศิลปกรรมท้องถิ่นที่มีต้นธารเกิดจากน้าใจไมตรีของผู้คนที่อยู่ร่วมกันใน สังคมแบบไทยสมัยก่อน ซึ่งเดิมทีมิได้เป็นงานอาชีพแสวงหารายได้ หากแต่เป็นงานช่วยเหลือเกื้อกูล กันในเครือญาติ หรือคนในละแวกท้องถิ่นเดียวกันที่ต่างก็รู้จักหน้าค่าตากันเป็นอย่างดี ยามที่บ้านไหน มีงานบุญ หรือ งานศพใดๆ บรรดาชาวบ้านที่อาศัยอยู่ในละแวกใกล้เคียงกัน ต่างมีความยินดีที่จะ หยิบ ยื่น ภูมิ ปัญ ญาความรู้ และฝีมือพื้น บ้า น ในการฉลุ สลัก หยวกกล้ วยให้ เ ป็น ลวดลายต่ าง ๆ มา ประดับประดาสถานที่จัดงานนั้น ๆ ด้วยความสมัครใจ โดยมีเพียงความภาคภูมิ และสินน้าใจที่เป็น สิ่ง ของเล็ ก ๆ น้ อย ๆ เช่ น ผ้าขาวม้ า ผืน เดี ย ว หรื อสุ ร าหนึ่ ง ขวดเป็ น สิ่ ง ตอบแทน หาได้ มี กา รตั้ ง ค่าตอบแทนเป็นเงินตราเหมือนดังทุกวันนี้

* บทความนี้ เขียนขึ้นจากการสัมภาษณแ นายสุวิทยแ ชูชีพ ช฽างแทงหยวกรุ฽นสุดท฾ ายแห฽ง ย฽านวัดปุาโค เมื่อวันที่ ๒๑ กุมภาพันธแ ๒๕๕๗ ทีโ่ รงเรียนวัดปุาโค ตําบลบ฾านเกาะ อําเภอพระนครศรีอยุธยา จังหวัดพระนครศรีอยุธยา. ** นักวิชาการศึกษา สถาบันอยุธยาศึกษา มหาวิทยาลัยราชภัฏพระนครศรีอยุธยา. I วารสารวิชาการ อยุธยาศึกษา I ปีที่ ๖ / ๒๕๕๗ I๓๗


ครูสุวิทย์ ชูชีพ ช่างแทงหยวกคนสุดท้าย? แห่งย่านวัดปุาโค พระนครศรีอยุธยา

ธ้ําใจของช่างแถงหมวก ครู สุ วิ ท ยแ ชู ชี พ วั ย ๖๔ ปี ที่ อ าจเป็ น ลมหายใจสุ ดท฾ าย ของงานแทงหยวกในท฾อ งถิ่ นย฽ า น วัด ปุา โค ตํา บลบ฾ านเกาะ อํ าเภอพระนครศรี อ ยุธ ยา ได฾เล฽าเรื่องราวเกี่ยวกับงานแทงหยวกในท฾องถิ่น ของ อยุธยา จึง ทราบว฽างานแทงหยวกในอยุธยานั้น เคยมี อยู฽ ทั่ ว ไปในตํ า บลต฽ า ง ๆ เมื่ อ มี ง านบุ ญ เช฽ น งาน แห฽เทียนพรรษา งานโกนจุก งานเทศกาลลอยกระทง สงกรานตแ หรื อ แม฾ แ ต฽ ง านฌาปนกิ จ ศพ ชาวบ฾ า นใน ละแวกท฾ อ งถิ่ น นั้ น ๆ ก็ จ ะขั น อาสา ช฽ ว ยกั น ตกแต฽ ง สถานที่ โดยนําภูมิปใญญาการฉลุสลักหยวกกล฾วยให฾เกิด เป็ น ลวดลายสวยงาม ที่ สื บ ทอดอยู฽ ภ ายในท฾ อ งถิ่ น ซึ่ง เรียกกัน ว฽ า “การแทงหยวก” เพื่อประดั บประดา สถานที่ ใ นงานพิ ธี เ หล฽ า นั้ น ด฾ ว ยความสมั ค รสมาน สามัคคี ฝีไม฾ลายมือของช฽างแทงหยวกในแต฽ละท฾องที่ จึ ง ย฽ อ มมี เ อกลั ก ษณแ และลวดลายที่ วิ จิ ต รพิ ส ดาร แตกต฽ า งออกไป อั น เป็ น เรื่ อ งของความภาคภู มิ ใ จ และนํามาสู฽ ก ารประชัน ขัน แข฽ง ระหว฽า งช฽างในแต฽ละ หมู฽บ฾ าน ถึง ขนาดมีการ “หวงวิชา” หรือบ฾ างก็ มีการ แอบ “ลั ก จํ า ” กระบวนการและลวดลายในการ แทงหยวกของกันและกันอย฽างชนิดที่ไม฽มีใครยอมใคร ช฽างแทงหยวกบางคนถึงกับรีบนําผลงานแทงหยวกที่ใช฾ ประดับงานเสร็จแล฾วมาโยนทิ้งน้ํา เพื่อปูองกันผู฾ อื่นมา ๓๘ I วารสารวิชาการ อยุธยาศึกษา I ปีที่ ๖ / ๒๕๕๗ I

แอบลั ก จํ า ลวดลายหยวกสลั ก ของตนเลยที เ ดี ย ว เว฾นเสียแต฽จะเป็นการเข฾ามานั่งพูดคุย แลกเปลี่ยนวิชา ความรู฾เกี่ยวกับการแทงหยวกระหว฽างกันอย฽างเป็นเรื่อง เป็นราวเท฽านั้น ครูสุวิทยแ เกิดและเติบโตอยู฽ในย฽านวั ดดุสิตดาราม ก฽อนจะย฾ายมาอาศัยอยู฽ที่ย฽านวัดปุาโค ซึ่งตั้งอยู฽ ในละแวกใกล฾ เ คี ย งกั น เริ่ ม เรี ย นรู฾ ง านแทงหยวกมา ตั้ง แต฽อ ายุ ๑๘ ปีจ ากครู ค นแรกคื อนายฟื้น สั ง ขแ เ งิ น ผู฾มีศักดิ์เป็นลุง ครูคนที่สองคือ นายเลียบ ตรีภาค ที่เคย เป็ น ช฽ า งปลู ก เรื อ นร฽ ว มกั น มา และครู ค นสุ ด ท฾ า ยคื อ นายสุ บิ น เริ ง ใจ ซึ่ ง ครู สุ วิ ท ยแ มั ก จะระลึ ก ถึ ง ครู ผู฾ ถ฽ายทอดวิชาความรู฾ในการแทงหยวกทั้ง สามท฽านนี้ให฾ ฟใง อยู฽เสมอ สะท฾อนถึง ความกตัญ โูของ “ศิษยแมีครู ” ผู฾นี้ได฾อย฽างดี ครู เ ล฽ า ว฽ า เดิ ม ที เ ดี ย วการแทงหยวกนั้ น ถือเป็นงานบุญ หรืองานช฽วยเหลือแบ฽งปในกันของคนใน ท฾องถิ่น กล฽าวคือ บ฾านไหนมีต฾นกล฾วยน้ําว฾า หรือกล฾วย ต า นี ที่ กํ า ลั ง เ ห ม า ะ สํ า ห รั บ นํ า ม า แ ท ง ห ย ว ก ก็จะแบ฽งปในต฾นกล฾วยมาให฾ ส฽วนคนไหนที่มีฝีมือในการ แทงหยวก ก็ชวนกันมาแทงหยวก อันเป็นกิจกรรมที่ทํา ร฽วมกันด฾วยน้ําใจ และความสามัคคีกลมเกลียว ระหว฽าง ทีท่ ํางานไป ก็คุยเรื่องต฽าง ๆ กันไปเหมือนพี่เหมือนน฾อง เจ฾ า ภาพก็ จ ะเตรี ย มหมากไว฾ ใ ห฾ เ คี้ ย ว มี สุ ร าไว฾ ใ ห฾ ดื่ ม มีผ฾าขาวม฾าไว฾ให฾ใช฾ ถือเป็นสินน้ําใจ เล็ก ๆ น฾อย ๆ จน


ครู สุ วิ ท ยแ เ ล฽ า ว฽ า หลายปี ที่ ล฽ ว งเลยมา ครูแทบไม฽เคยต฾องเสียเงิน ซื้อผ฾าขาวม฾า มาใช฾เองเลย ความสุ ข ที่ แ ท฾ จ ริ ง ของการ แทงหยวก มิได฾สลักสําคัญอยู฽ที่สินน้ําใจ อย฽างใด หากแต฽ เป็น ความภาคภูมิใจใน ผลงาน ของช฽างแทงหยวกเอง ด฾วยหัวใจ ที่เบิกบาน และอิ่มเอิบที่ได฾มีส฽วนร฽วมใน งานบุญ งานประเพณีต฽าง ๆ หรือแม฾แต฽ ในพิ ธี เ ผาศพ ช฽ า งแทงหยวกก็ ยิ น ดี นําฝีมือเข฾าช฽วยเหลือ ประดับประดาเชิง ตะกอนเผาศพด฾ ว ยความเคารพที่ มี ต฽อผู฾ตายเป็นวาระสุดท฾าย ครู สุ วิ ท ยแ เล฽ า ให฾ ฟใ ง อี ก ว฽ า ยามที่ มี ใ ครมา ชื่นชมผลงานการแทงหยวกของครูอย฽างเข฾าอกเข฾าใจ ตั ว ครู เ องก็ จ ะนึ ก ชื่ น ชมผู฾ นั้ น อยู฽ ใ นใจเช฽ น เดี ย วกั น ว฽ า เป็ น ผู฾ ที่ ส ามารถ “ดู ล ายเป็ น ” และเข฾ า ถึ ง ความ งดงามของศิ ลปะแห฽ ง การแทงหยวกได฾ อ ย฽ างแท฾ จ ริ ง เพียงใด น้ําใจของช฽างแทงหยวกนี่เองที่คงเป็นพื้นที่ เล็ก ๆ ให฾ช฽างแทงหยวกสามารถดํารงตนอยู฽อย฽างเป็นที่ รั ก ใคร฽ ข องคนในท฾ อ งถิ่ น ที่ อ ยู฽ ร฽ ว มกั น อย฽ า งเกื้ อ กู ล และอาทรซึ่งกันและกัน เมื่อกาลเวลาเคลื่อ นคล฾ อยไป จากสิน น้ําใจ เล็ ก ๆ น฾ อ ย ๆ ที่ มิ ใ ช฽ ร ายได฾ เริ่ ม พั ฒ นาขึ้ น มาเป็ น การตอบแทนน้ําใจด฾วยเงินตราที่เจ฾าภาพบรรจงใส฽ซอง ตามค฽านิยมสมัยใหม฽ และแปรเปลี่ ยนไปสู฽การว฽าจ฾า ง ที่ มี อั ต ราค฽ า จ฾ า ง และค฽ า วั ส ดุ ตามข฾ อ ตกลงระหว฽ า ง เจ฾าภาพกับช฽างแทงหยวก อัน ขึ้นอยู฽กับความยากง฽าย ของลวดลาย ขนาดของชิ้ นงาน ค฽ ารถรับส฽ ง ที่คิดเป็ น ระยะทางใกล฾ -ไกล หรือมีผู฾มารับ - มาส฽ง อย฽างไร และ วัสดุอุปกรณแในการแทงหยวก เช฽น ถ฾าเป็นหยวกกล฾วย ที่ เ จ฾ า ภาพหามาเอง ช฽ า งแทงหยวกก็ คิ ด เพี ย งอั ต รา ค฽าแรง หรือแล฾วแต฽การตกลงเจรจาระหว฽างกัน สํ า หรั บ อั ต ราค฽ า จ฾ า งแทงหยวกในปใ จ จุ บั น ถ฾าเป็นงานทั่วไป ที่มีระดับความยากไม฽สูงนัก ก็จะคิด ค฽าจ฾างอยู฽ที่ประมาณ ๓,๐๐๐ บาทต฽องาน หรือถ฾ามีการ

เมรุปร่าที่ประดับด้วยงานแทงหยวก ภายในเมรุลอยทรงมณฑป ในพิธีฌาปนกิจแห่งหนึ่งที่อ่าเภอบางปะหัน เมื่อประมาณ พ.ศ. ๒๔๙๘

สลั ก ลวดลายวิ จิ ต รบรรจงมากขึ้ น เช฽ น มี รั ด เกล฾ า ด฾วยแล฾ว ราคาก็จะอยู฽ที่ ๖,๐๐๐ บาท หรือถ฾าทําเป็น เรือนบุษบกราคาก็จะสูงถึง ๑๐,๐๐๐ บาท เป็นต฾น เมื่อได฾เงินค฽าจ฾างแล฾ว ก็จะนํามาแบ฽งสรรกับ คณะทํางานซึ่งมีประมาณ ๓-๔ คน เป็นรายได฾ตกอยู฽ที่ คนละประมาณ ๑,๐๐๐ บาท ถือว฽าเป็นรายได฾ค฽อนข฾าง ดี แต฽ก็มิใช฽ว฽าจะมีรายได฾จากการแทงหยวกเข฾ามามาก เสียจนสามารถยึดเป็นอาชีพหลักได฾ เพราะครูสุวิทยแเอง ยังต฾องมีรายได฾จากการทําสวน การค฾าขาย และการทํา บายศรีเป็นรายได฾หลักในการเลี้ยงชีพอยู฽นั่นเอง

ฤภหามใจของงาธแถงหมวกอมุทมา ครูสุวิทยแ กล฽าวถึงลมหายใจเฮือกต฽อไปของ งานแทงหยวกอยุธยา ว฽าคงจะอยู฽รอดต฽อไปได฾ยากนัก เพราะทุกวันนี้มีเพียงหลานชายซึ่งเป็นญาติห฽าง ๆ อายุ ประมาณ ๓๐ ปีเศษ เป็นผู฾สืบทอดงานศิลป฼นี้อยู฽เพียง คนเดียวเท฽านั้น ด฾ว ยความเปลี่ย นแปลงต฽ า ง ๆ ทั้ ง ทางด฾ า น ค฽ า นิ ย มของผู฾ ค นในปใ จ จุ บั น เป็ น ผลให฾ ค นนิ ย มปลู ก กล฾วยกัน น฾อยลง และเจ฾าภาพที่ยัง มีความนิยมใช฾ง าน แทงหยวกเป็นส฽วนประกอบของการจัดงานพิธีต฽าง ๆ ก็น฾อยลงมากด฾วยเช฽นกัน เพราะต฽างก็หันไปนิยมใช฾วัสดุ อย฽างอื่นทดแทน เช฽น ดอกไม฾ปลอมที่ทําจากพลาสติก I วารสารวิชาการ อยุธยาศึกษา I ปีที่ ๖ / ๒๕๕๗ I๓๙


โฟม หรื อ ดอกไม฾สด ที่มี ร฾านรับจั ดดอกไม฾ ในงานพิ ธี ต฽าง ๆ ซึ่งมีการลงทุนเปิดร฾านเป็นธุรกิจแบบสมัยใหม฽ มี ทํ า เลที่ ตั้ ง ชั ด เจน และเป็ น ที่ รู฾ จั ก ในสั ง คมอยุ ธ ยา ยุคใหม฽ ทําให฾ภูมิปใญญาชาวบ฾านอย฽างงานแทงหยวก ในท฾องถิ่น ไม฽สามารถที่จะพัฒนาตัวเองได฾ทันต฽อความ เปลี่ย นแปลงที่ เกิ ด ขึ้น งานแทงหยวกจึง ถู กมองข฾ า ม และนับวันช฽างแทงหยวกก็ค฽อย ๆ ลดน฾อยลง จนเหลือ เพียงครูสุวิทยแ ซึ่งเป็นช฽างแทงหยวกรุ฽นสุดท฾ายแห฽งย฽าน วัดปุาโค ด฾ ว ย ค ว า ม ตั้ ง ใ จ รั ก ษ า ภู มิ ปใ ญ ญ า ก า ร แทงหยวกของโรงเรี ยนวั ดปุ าโค ซึ่ งเป็ น สถานศึก ษา ขนาดเล็ กในท฾อ งถิ่น ได฾ ว฽าจ฾างให฾ครูสุ วิทยแ มาเป็นครู พิเศษ สอนวิชาการแทงหยวกให฾แก฽นักเรียนในโรงเรียน ซึ่งแม฾ ว฽ าจะมี ค฽า ตอบแทนเพี ยง ๓๐๐ บาท ต฽ อเดือ น อันเทียบเท฽าได฾กั บอัตราค฽ าจ฾างขั้น ต่ํา ต฽อวัน ที่ลูกจ฾า ง ทั่วไปพึ ง ได฾ รับ ในปใจจุ บัน ก็ตาม ครู สุ วิทยแ ก็ ยินดีสอน ศิษยแตัวน฾อยระดับประถมศึกษา ด฾วยความหวังที่จะให฾ พวกเขาช฽วยสานต฽อลมหายใจของงานแทงหยวกอยุธยา ให฾คงอยู฽ต฽อไป ความหวั ง ของครู สุ วิ ท ยแ ก็ คื อ การได฾ ป ลู ก จิตสํานึกให฾ เยาวชนสามารถซึมซับถึงความงดงามของ ศิลปะแห฽ง งานแทงหยวก และสามารถ “ดูลายเป็น ” มีความหวงแหน และรู฾คุณ ค฽า ของงานศิลปะ และยั ง หวังในประการสุดท฾ายว฽าเยาวชนจะได฾นําความรู฾จาก การแทงหยวก ไปฝึกฝนฝีมือด฾วยใจที่สนุกรัก และนํา ความรู฾และฝีมือไปใช฾ในการแทงหยวก เพื่อช฽วยเหลือ เครือญาติในการจัดงานพิธีต฽าง ๆ สิ่งเล็ก ๆ น฾อย ๆ ที่ครูสุวิทยแ ต฾องการฝากถึง หน฽วยงานราชการ และสถานศึกษาต฽าง ๆ ที่ต฾องการ เป็ น ส฽ ว นหนึ่ ง ในการสื บ สานงานแทงหยวกให฾ อ ยู฽ คู฽ท฾องถิ่นต฽อไป ก็คือการที่หน฽วยงานต฽าง ๆ ได฾พึงระลึก ถึ ง คุ ณ ค฽ า ความงดงามของงานแทงหยวก ด฾ ว ยการ ส฽งเสริมให฾งานศิลปกรรมท฾องถิ่นชนิดนี้ เข฾ามาเป็นส฽วน หนึ่ง ในการประดั บประดาสถานที่ใ นการจัดกิจ กรรม ต฽าง ๆ ของจังหวัด เพื่อทดแทนวัสดุตกแต฽งอื่น ๆ ที่ทํา จากโฟมหรือพลาสติก อันเป็นมลพิษต฽อสภาพแวดล฾อม

๔๐ I วารสารวิชาการ อยุธยาศึกษา I ปีที่ ๖ / ๒๕๕๗ I

เมื่ อ นั้ น ช฽ า งแทงหยวกก็ จ ะมี ร ายได฾ เ ลี้ ย ง ปากท฾ อ ง และจุ น เจื อ ครอบครั ว เสมื อ นเป็ น การต฽ อ ลมหายใจให฾สามารถสืบสานงานศิลป฼ถิ่นกรุงเก฽าชนิดนี้ ให฾สามารถประคองตัวให฾อยู฽รอดได฾ ท฽ามกลางกระแส แห฽งทุนนิยมที่ถาโถมรุนแรงอยู฽ในปใจจุบัน

ส่งถ้าม เมื่ อ งานแทงหยวกอั น เป็ น ศิ ลปกรรมแห่ ง น้าจิตน้าใจของคนท้ อ งถิ่น ภายใต้รั้วของสังคมที่ มี ความถ้ อ ยที ถ้ อ ยอาศั ย เริ่ ม เข้ า สู่ ยุ ค สมั ย ใหม่ แ ห่ ง สังคมทุนนิยม ที่ผู้คนต่างจาเป็นต้อ งใช้เงินตรามา เป็นอานาจในการดารงชีพอย่างไม่มีผู้ใดหลีกเลี่ยงได้ แล้ว ทาให้งานแทงหยวก มิได้อ ยู่บนฐานของน้าใจ ไมตรี เ หมื อ นก่ อ นไปโดยปริ ย าย เมื่ อ นั้ น ผู้ ค นจึ ง ไม่ จาเป็ นต้ อ งพึ่ งพาอาศัย ฝี มื อ ของช่ างแทงหยวกใน ท้องถิ่นอีกต่อไป กลับมองหาวัสดุทางเลือกในการจัด งานที่ เ หมาะสมแก่ ฐ านะและก าลั ง ทรั พ ย์ ข องตน ที่มักจะเน้นแต่ความสะดวก และประหยัดกว่า หรือ หากรายใดมีฐานะดี และมีกาลังทรัพย์มาก ก็มักเลือก วั ส ดุ ที่ ดู ห รู ห ราและทั น สมั ย กว่ า ส่ ง ผลให้ ง าน แทงหยวกที่เคยได้รับความนิยมจากคนในท้อ งถิ่นที่ สืบต่อลมหายใจกันมาจากรุ่นสู่รุ่น ได้มาหยุดยืนอยู่ ณ จุ ด ที่ ล มหายใจสุ ด ท้ า ยก าลั ง รวยริ น ใกล้ จ ะ หมดสิ้นไป อุปมาคล้ายกับหยวกกล้วยที่แม้ครั้งหนึ่ง จะถูกนามาสลักเสลาจนวิจิตรงดงามเพียงใด สุดท้าย ก็ย่อมต้องถูกย่อยสลายไปตามกาลเวลาอยู่นั่นเอง ๏

นยยฒาธุกยภ สุวิทยแ ชูชีพ. (๒๕๕๗, ๒๑ กุมภาพันธแ). สัมภาษณแโดย พัฑรแ แตงพันธแ ที่วัดปุาโค พระนครศรีอยุธยา.


วิตีวัฑธทยยภ ปู้คธแฤะสามธ้ํา ดํานฤภหายาช* ธัธถ์ธฟัส ณ่าธชัมสิถทิ์**

“ประวัติศาสตร์ท้องถิ่น” ที่ผ่านมามีนักวิชาการหลายท่านได้ให้คานิยามไว้ซึ่งมีทั้งแตกต่างหรือคล้ายคลึง กั น แต่ จ ะขอยกความหมายของศาสตราจารย์ พิ เ ศษ ดร.ศรี ศั ก ร วั ล ลิ โ ภดม นั ก วิ ช าการด้ า นโบราณคดี แ ละ มานุษยวิทยา และที่ปรึกษามูลนิธิเล็ก -ประไพ วิริยะพันธุ์ กล่าวไว้ว่า “ประวัติศาสตร์ท้อ งถิ่น เป็นการศึกษา เรื่องราวของท้องถิ่นอันเป็นบริเวณที่มีชุมชนอยู่รวมกันและมีความสัมพันธ์กันทางเศรษฐกิจ สังคมระบบความเชื่อ พิธีกรรมและการเมืองการปกครอง จนกล่าวได้ว่าทาให้ผู้คนในท้อ งถิ่นนั้ น ๆ มีอ ะไรหลายๆอย่างร่วมกันและ คล้ายคลึงกันจนมีจิตสานึกว่าเป็นคนถิ่นเดียวกัน การศึกษาเช่นนี้เน้นอดีตมาจนถึงปัจจุบันโดยแสดงให้เห็นว่ามี การพั ฒ นาทางสั ง คมและวั ฒ นธรรมเกิ ด ขึ้ น ในท้ อ งถิ่ น หนึ่ ง ๆได้ อ ย่ า งไร เช่ น ท้ อ งถิ่ น นั้ น มี ส ภาพแวดล้ อ ม อย่างไร ตั้งอยู่ตาแหน่งไหนภายในเขตอาเภอใด จังหวัดไหนและภูมิภาคใดมีหลักฐานทางด้านประวัติศาสตร์และ โบราณคดี ที่แสดงความเป็นมาทางวัฒนธรรมอย่างไรบ้าง บรรดากลุ่มชนที่อยู่รวมกันเป็นชุมชนที่สืบมาจนปัจจุบัน เป็นพวกไหน อยู่ในท้องถิ่นมาแต่ดั้งเดิมหรือเคลื่อนย้ายมาจากที่อื่นเมื่อเข้ามาอยู่ในท้องถิ่นเดียวกันแล้ว มีความ ขัดแย้งหรือมีเหตุการณ์ทางประวัติศาสตร์อย่างใดเกิดขึ้น” * ข฾อมูลจากโครงการ กระบวนการมีส฽วนร฽วมของชุมชนในการดูแลรักษาและใช฾ประโยชนแคลองบางพระครู ต.มหาราช อ.มหาราช

จ.พระนครศรีอยุธยา ** นักวิจัยประจําศูนยแประสานงานวิจัยเพื่อท฾องถิ่น จังหวัดพระนครศรีอยุธยา I วารสารวิชาการ อยุธยาศึกษา I ปีที่ ๖ / ๒๕๕๗ I๔๑


บรรยากาศการเก็บข้อมูลประวัติศาสตร์ท้องถิ่นของทีมวิจัย ต.มหาราช

การศึกษาประวัติศาสตรแท฾องถิ่นที่ผ฽านมานั้น มีการศึกษากันอยู฽หลากหลายแห฽งหนที่ ส฽วนใหญ฽แล฾ว อาจเป็นแค฽นักวิชาการเท฽านั้นที่เป็นผู฾เข฾าไปศึกษาหา ความรู฾และนํามาสรุปเนื้อหาสาระเพื่อนํามาเป็นข฾อมูล ทางประวั ติ ศ าสตรแ ห รื อ นํ า มาใช฾ ป ระโยชนแ ท างด฾ า น วิชาการเพียงเท฽านั้น แต฽สิ่งสําคัญที่อาจหลงลืมกันไป คือการให฾เจ฾าของชุมชนหรือเจ฾าของบ฾านนั้นเป็นผู฾สืบหา ข฾อมูลประวัติศาสตรแการเปลี่ยนแปลงด฾วยตัวเอง ซึ่งจะ ๔๒ I วารสารวิชาการ อยุธยาศึกษา I ปีที่ ๖ / ๒๕๕๗ I

เป็นบ฽อเกิดของการเห็นรากเหง฾าของตนเอง เห็นการ เปลี่ย นแปลงที่เ กิ ดขึ้ น เห็น ปใญ หาที่ เกิ ดขึ้ น พร฾ อมกั บ การเปลี่ยนแปลงทางประวัติศาสตรแ และนําไปสู฽การ แก฾ไขปใญหาร฽วมกันอย฽างถูกที่ถูกทาง ซึ่งท฾ายที่สุดแล฾ว จะเป็น บ฽อ เกิด ทํา ให฾ คนในชุ มชนนั้น เกิ ดความรู฾สึ กถึ ง ความเป็นเจ฾าของร฽วมกัน เกิดความหวงแหนในบ฾านเกิด เมืองนอนของตนเองและทําให฾ชุมชนท฾องถิ่นของตนเอง นั้ น เข฾ ม แข็ ง ได฾ กระบวนการศึ ก ษาประวั ติ ศ าสตรแ


ท฾องถิ่นจึง เป็นขั้นตอนที่สําคัญหรือจะกล฽าวได฾ว฽าเป็น หัวใจสําคัญของการทํางานวิจัยสายพันธุแใหม฽ที่เรียกว฽า งานวิจัยเพื่อท฾องถิ่ น(Community-Based Research)* ซึ่งมักจะนําวิธีการศึกษาประวัติศาสตรแท฾องถิ่นมาเป็น ส฽วนหนึ่ง ของกระบวนการวิจัยอยู฽เสมอ นับเป็นเวลา ๑๐ กว฽าปีมาแล฾วที่งานวิจัยสายพันธุแใหม฽นี้เติบโตมาจน ขยายนักวิจัยไปทั่วประเทศ และแตกหน฽อมาเป็นศูนยแ ประสานงานในจังหวัดต฽างๆ ศู น ยแ ป ระสานงานวิ จั ย เพื่ อ ท฾ อ งถิ่ น จั ง หวั ด พระนครศรีอยุธยานั้น จึงมีบทบาทหน฾าที่สําคัญในการ หนุนเสริมให฾ชาวบ฾านเป็นนักวิจัยและมุ฽งเน฾นให฾ชุมชน ได฾ ใ ช฾ ป ระโยชนแ จ ากงานวิ จั ย อย฽ า งแท฾ จ ริ ง โครงการ กระบวนการมีส฽วนร฽วมของชุมชนในการดูแลรักษาและ ใช฾ประโยชนแคลองบางพระครู ตําบลมหาราช อําเภอ มหาร าช จั ง หวั ดพ ร ะ น คร ศรี อยุ ธ ยา หั ว หน฾ า โครงการวิจัยคือคุณฌานราเมศวรแ กลมกล฽อม ซึ่ง อยู฽ ภายใต฾ ก ารดู แ ลของศู น ยแ ป ระสานงานฯ และเป็ น โครงการหนึ่ ง ที่ ใช฾ ก ระบวนการศึ กษาประวั ติ ศาสตรแ ท฾องถิ่นในเรื่องความสัมพันธแคนกับสายน้ําซึ่ง ในที่นี้จะ หมายถึ ง คลองบางพระครู เ พราะเป็ น สายน้ํ า ที่ มี ความสําคัญกับคนในชุมชน ตําบลมหาราชในอดีตเป็น อย฽างมาก ก฽อนที่จะกล฽าวถึงประวัติศาสตรแท฾องถิ่นของ ตําบลมหาราชนั้น ผู฾เขียนขอฉายให฾เห็นภาพขั้นตอน การทํางานต฽างๆของทีมวิจัยในการได฾มาของข฾อมูลเป็น อั น ดั บ แรก เพราะจะทํ า ให฾ ผู฾ อ฽ า นนั้ น สามารถเห็ น บรรยากาศความสนุก ความอบอุ฽นที่คนในชุมชนมีให฾ ต฽อกัน เรียกได฾ว฽ายิ่งคุยยิ่งเพลิน ๓ วัน ๓ คืนไม฽มีทาง จบก็ว฽าได฾ จากการสืบเสาะข฾อมูลนั้นทีมวิจัยชาวบ฾าน ใช฾ เ วที ก ารประชุ ม ในการวางแผนการเก็ บ ข฾ อ มู ล ใน รูปแบบต฽างๆ ไม฽ว฽าจะเป็นการจัดเวทีหมู฽บ฾าน หรือการ แบ฽ ง ที ม เพื่ อ สอบถามข฾ อ มู ลจากผู฾ เ ฒ฽ า ผู฾ แ ก฽ ต ามบ฾ า น แม฾กระทั่งการค฾นหาประเด็นคําถามในการชวนคุยกับ กลุ฽มเปูาหมายที่จะไปศึ กษาร฽ วมกั น จนเป็ นที่ม าของ

* สามารถอ฽ า นรายละเอีย ดได฾ ที่ สํ านั ก งานนกองทุ น ส นั บ ส นุ น ก า ร วิ จั ย ( ส ก ว . ) ฝุ า ย วิ จั ย เ พื่ อ ท฾ อ ง ถิ่ น http://vijai.trf.or.th

ประวัติศาสตรแท฾องถิ่น “ประวัติศาสตรแความสัมพันธแคน กับสายน้ําตําบลมหาราช”

ควาภเบ็ธภาของดํานฤภหายาช ถ฾าจะกล฽าวถึง ตําบลมหาราช หลายท฽านก็คง จะต฾ อ งนึ ก ถึ ง ประวั ติ ศ าสตรแ ใ นสมั ย กรุ ง ศรี อ ยุ ธ ยา ณ ทุ฽งมหาราชแห฽งนี้ ซึ่งในโบราณยุคโน฾นเรียกว฽า“ทะเล มหาราช” โดย ณ สถานที่แห฽งนี้ได฾ปรากฏมาตั้งแต฽สมัย กรุงศรีอยุธยาเป็นราชธานี เป็นพื้นที่ลุ฽มยามหน฾าน้ําจะ ปรากฏเป็ น ผื น น้ํ า กว฾ า งใหญ฽ ทิ ศ เหนื อ จรดตํ า บล พิต เพี ย น ตํ า บลบ฾า นนา ตํ า บลบ฾ า นขวาง ทิ ศ ใต฾ จ รด ตําบลมหาราช ตําบลหั วไผ฽ ทิศ ตะวั นออกจรดตํ าบล น้ําเต฾า ตําบลเจ฾าปลุก ทิศตะวันตกจดตําบลบ฾านใหม฽ ตําบลท฽าตอ ตําบลบ฾านขวาง ในอดีตนั้นเป็นพื้นที่ที่มี ประวัติศาสตรแที่สําคัญ คือ ในสงครามกู฾อิสรภาพช฽วง ระหว฽ า ง พ.ศ. ๒๑๒๗-๒๑๓๕ สมเด็ จ พระนเรศวร มหาราชทรงใช฾ยุทธวิธีในการซุ฽มโจมตีกองเสบียง และ การออกปล฾น ค฽ า ย ทั้ ง ทางบกและทางน้ํ า ในครั้ ง นั้ น สมเด็ จ พระนเรศวรมหาราชทรงประดิ ษ ฐแ ปื น ใหญ฽ ชื่อ "พระกาฬมฤตยู" ลงเรือ สําเภาที่วัดช฽องลม เหนือ หั ว แหลม (วั ดอุ โ ลมปใ จ จุ บั น ) ขั บ ไ ล฽ ตี ทั พ พ ม฽ า ถือเป็นการรบร฽วมกัน ระหว฽างทางบกกับทางเรือเป็ น ครั้งแรกในประวัติศาสตรแ อีกทั้งยังเคยเป็นฐานที่ตั้ง ทัพ ของแม฽ ทั พ นายกอง ของพระเจ฾ า แผ฽ น ดิ น ในสมั ย กรุง ศรีอยุธยา ที่ยกทัพมาปราบผู฾รุกราน ทุกครั้ง ที่มา พักแรมก็จะเกิดความพึงพอใจ เพราะมีอากาศดี ลมพัด เย็นสบาย เมื่อบ฾านเมืองมีความสงบสุขดีแล฾ ว จึงได฾มา สร฾างวัดขึ้น เมื่อสร฾างเสร็จจึงขนานนามว฽า "วัดช฽องลม" ต฽ อ มาระยะหนึ่ ง เปลี่ ย นชื่ อ เป็ น "วั ด อู฽ ล ม" แล฾ ว เปลี่ยนเป็น "วัดอุณาโลม" โดยไม฽ทราบเหตุผล และใน ตอนหลังสมัยพระครูเนกขัมมวิสุทธิคุณ เป็นเจ฾าอาวาส ได฾เปลี่ยนชื่อเป็น "วัดอุโลม" มาจนถึงปใจจุบัน ในสมั ย รัชกาลที่ ๕ และรัชกาลที่ ๖ ได฾เคยเสด็จมาประทับแรม บริ เ วณวั ด อุ โ ลม ในคราวเสด็ จ พระราชดํ า เนิ น ทาง ชลมารคไปยั ง จั ง หวั ด ลพบุ รี โดยผ฽ า นเส฾ น ทางคลอง บางพระครู และแม฽น้ําลพบุรี ถึง ๓ ครั้ง ครั้งที่หนึ่ง พ.ศ. ๒๔๑๕ ครั้ ง ที่ ส อง พ.ศ.๒๔๒๑ ครั้ ง ที่ ส าม พ.ศ.๒๔๒๖ I วารสารวิชาการ อยุธยาศึกษา I ปีที่ ๖ / ๒๕๕๗ I๔๓


กายดั้งติ่ธฏาธ ในสมั ย ก฽ อ นปี พ .ศ.๒๕๐๐ ผู฾ ค นส฽ ว นใหญ฽ มักจะนิยมปลูกบ฾านเรือนใกล฾กับสายน้ําเพราะสามารถ ใช฾ แม฽ น้ํา ลํ าคลองเป็ นที่ สัญ จรหลัก ตํา บลมหาราชก็ เช฽ น กั น เป็ น เพราะมี ส ายน้ํ า พาดผ฽ า นถึ ง ๓ สายมา บรรจบกันคือ แม฽น้ําลพบุรี คลองหนองหม฾อและคลอง บางพระครูเป็นเหตุให฾มีผู฾คนหลั่งไหลเข฾ามาอยู฽ พักพิง และเริ่มตั้งรกรากจนกระทั่งก฽อเกิดเป็นชุมชน และเป็น แหล฽งรวมการนําสินค฾ามาแลกเปลี่ยนซื้อขายกันอย฽าง คับคั่ง มีประชาชนเชื้อสายต฽างๆ เข฾ามาค฾าขาย ทํามา หากิน เช฽น ชาวมอญจากเมืองปทุมได฾มาขายหม฾อดิน ชาวจีนมาอยู฽แพขายของโชวแห฽วย และอื่น ๆ เช฽นกาแฟ ข฾าวแกง กเวยเตี๋ยว ชาวมุสลิมมีการติดต฽อค฾าขายทั่วไป โดยจะใช฾ เ ส฾น ทางคลองบางพระครูเ ป็ น หลั ก เมื่ อ มา ค฾าขายและเห็นช฽องทางในการสร฾างเนื้อสร฾างตัวก็เริ่ม สร฾างแพ สร฾างบ฾านเรือนอยู฽อาศัยเป็นการถาวร สภาพ คลองในอดีต กว฾าง ๕๐ เมตร ลึกประมาณ ๖ เมตร ซึ่ง มากกว฽าปใจจุบันมาก กระแสน้ํา จะแรงและมากในฤดู น้ําหลากน้ํามาก ในฤดูแล฾งน้ําแห฾ง ตลอดคลองจะไม฽มี สะพาน ไม฽มีประตูระบายน้ํา แต฽มีคลองซอย เช฽น คลอง ตามาก คลองตาปุู ย คลองขี้ ( อาจม) คลองเทพโยธา คลองควาย ริม ๒ ฝใ่งคลองมีการใช฾ประโยชนแปลูกผัก สวนครัว มีต฾นไม฾ใหญ฽ น้ําท฽วมทุกปี ต฾นข฾าวสูง ๔.๙๐ เมตร เคยน้ําท฽วมติดต฽อกันถึง ๑๐ ปี ในแม฽น้ํามีแพทั้ง ๒ ฝใ่ง บริเวณกลางแม฽น้ําเรือใหญ฽แล฽นผ฽านได฾ ต฽อมา แม฽น้ําลพบุรีหลัง จากปี ๒๕๐๐ เขตหน฾าวัดอุโลม เขา เรียกกันว฽า เกาะมอญสาเหตุที่เรียกว฽าเกาะมอญเป็น เพราะชาวมอญมั ก นิ ย มนํ า เรื อ สิ น ค฾ า มาจอดขายอยู฽ บริเวณนั้นผู฾คนจึงเรียกติดปากต฽อมาและเรียกมาจนทุก วันนี้ เหนือวัดโบสถแขึ้น ไปเรีย กว฽าบ฾า นไทย ส฽วนบ฾า น มหาราช จะอยู฽บริเวณใต฾ศาลเจ฾าตาเจ฾ายาย หรือ หมู฽ ๑ และหมู฽ ๒ ของ ต.มหาราช ในปใจจุบัน

กายบฤูกสย้างน้าธเยือธ การ ตั้ ง บ฾ า นเรื อน นั้ น จะ มี ๒ ก ลุ฽ ม คื อ กลุ฽มอาศัยอยู฽ในแพมีอาชีพค฾าขายเป็นหลัก ส฽วนใหญ฽ คนที่มาขายของในแพจะไม฽ใช฽ คนในพื้นที่จะเป็นคนที่ อื่นมาหากินที่ นี่ และกลุ฽มบ฾ านที่ อยู฽บ นบกนั้นเป็นคน ๔๔ I วารสารวิชาการ อยุธยาศึกษา I ปีที่ ๖ / ๒๕๕๗ I

ส฽วนน฾อยที่เป็ นคนพื้นที่ดั้ง เดิมที่มีอาชีพทํานาแต฽ก็จะ พายเรือขายของในคลองกันเป็นส฽วนมาก เช฽นข฾าวเม฽า ทอด กล฾วยแขก ข฾าวโพดคั่ว น้ํามันบัว (กก.ละ ๙ สลึง) มะพร฾าว (ขายลูกละ ๖ สลึง) น้ําตาลปี๊บ ถุงขนมใช฾เป็น ถุงกระดาษพับ หรือ ทําใบตองเป็นกระทงใส฽ขนมและ จักสานเครื่อ งใช฾ -เครื่องมือ ต฽า งๆเป็ นงานอดิเรก เช฽ น จักสาน สุ฽ม เสื่อ กําแผง ลอบ เสื่อรําแพน ฯลฯ องคแประกอบบ฾านลักษณะโดยทั่วไปของคน อยู฽บนบก ถ฾าเป็นคนมีฐานะก็มักจะนิยมปลูกบ฾านทรง ไทย หรื อ ทรงปใ้ น หยา หน฾ า ต฽ า งกํ า แพงเป็ น ฝาเฟี้ ย ม มีนอกชานไว฾ใช฾สอยประโยชนแอื่นๆ ทําไต฾ถุนสูงปูด฾วยไม฾ จริง และหลังคามักจะมุงสังกะสี ส฽วนคนที่ยากจนก็จะ ปลูกบ฾านด฾วยไม฾ไผ฽มุงด฾วยจาก พื้นไม฾กระดาน นอกชาน พื้นไผ฽ผ฽าซีก (ขี้ฟาก) พื้นครัวไม฾ไผ฽ขี้ฟาก ตอม฽อใช฾ซอไม฾ ไผ฽แก฽ค้ํายัน ผนังขัดแตะ เสื่อรําแพน หน฾าต฽างกําแผงมี ไม฾ค้ําแผง บ฾านทุกบ฾านจะปลูกให฾ใต฾ถุนสูงส฽วนใหญ฽แล฾ว จะสู ง ประมาณ ๒ เมตร เพราะจะมี น้ํ า ท฽ ว มทุ ก ปี บริเวณบ฾านก็จะมีพื้นที่สําหรับทํายุ฾งข฾าว หรือกระพ฾อม (ไม฾ไผ฽สานยาด฾วยขี้ควาย) สําหรับเก็บข฾าวไว฾กินและใช฾ ทําพันธุแปลูกในฤดูทํานาต฽อไป และจะมีคอกควายอยู฽ บนโคกถมสูงเพื่อหนีน้ํา ใช฾ไม฾ไผ฽ล฾อมสี่ด฾านประตูเปิดปิด ใช฾ ไ ม฾ ไ ผ฽ เ ลื่ อ น สระด฾ ว ยหนามไผ฽ กั น ขโมย-กระสื อ นอกจากนั้นยัง มีลานนวดข฾าวพร฾อมทั้ง สีฝใด และกอง ฟาง และเนื่ อ งจากเป็ น พื้ น ที่ ลุ฽ ม บ฾ า นทุ ก บ฾ า นจะมี สะพานท฽ า น้ํ า และทุ ก บ฾ า นจะมี เ รื อ จอดไว฾ เช฽ น เรื อ แตะ โปง พะม฾ า หมู สั ม ปใ้ น บด กระแชง ขุ ด มาด เพียว, ๒ ตอน , หางยาว) การมีสะพานท฽าน้ําไว฾ใช฾ ใน การอาบน้ํา ใช฾ตักน้ํา ไปใช฾บนบ฾า น ใช฾ล฾างจาน ซักผ฾ า ใส฽บาตรพระตอนเช฾า หรือลงมาคุยกัน ผู฾ที่อยู฽แพลอย น้ํา คนมีฐานะจะอยู฽แพที่เป็นโปฺะทําด฾วยไม฾สัก ใช฾ลูกปะ สักแทนตะปู แล฾วใช฾ชันยา เพื่อไม฽ให฾น้ําเข฾าได฾ ทําให฾แพ สามารถลอยน้ําอยู฽ได฾ ส฽วนผู฾ที่ยากจนจะอยู฽แพไม฾ไผ฽ ทํา ลูกบวบแล฾วใช฾ผิวไม฾ไผ฽มามัดหรือเรียกว฽า "ขันชะเนาะ" ทําลูกบวบให฾แพลอยน้ําส฽วนพื้นแพจะปูด฾วยไม฾ไผ฽ผ฽าสี่ หลังคามุงจาก


ร่างแผนที่การตั้งบ้านเรือนริมน้่า ต่าบลมหาราช ในอดีต I วารสารวิชาการ อยุธยาศึกษา I ปีที่ ๖ / ๒๕๕๗ I๔๕


ชีวิดควาภเบ็ธอมู่ ชี วิ ต ของคนในชุ ม ชนจะเริ่ ม ต฾ น เช฾ า วั น ใหม฽ ตั้งแต฽ ตี ๔ ก็จะลุ กจากที่นอนมาทํา กิจวัต รประจําวั น ของแต฽ละครอบครัว แม฽บ฾านก็จะตื่นมาคอยหุงข฾าวหา กับข฾าวกับปลาเตรียมไว฾ ส฽วนพ฽อบ฾านก็จะตระเตรียม ควาย อุปกรณแทํานาและอุปกรณแหาปลาเพื่อมากินใน บ฾าน จากนั้นจึงค฽อยออกไปทํางาน เครื่ องมือหาปลาที่ ทํากันเองนั้นมีอยู฽หลายประเภท โดยใช฾วัสดุในท฾องถิ่น เช฽นไม฾ไผ฽ ส฽วนมากจะเป็นไผ฽สีสุกชาวบ฾านปลูกไว฾เพื่อใช฾ ประโยชนแได฾สารพัดและใช฾ภูมิปใญญาของตนเองในการ ประดิษฐแเพื่อให฾เหมาะสมกับชนิดสัตวแน้ํา เช฽น เบ็ดราว แห ลอบ อวน ตุ฾ม ยอ ชะนาง อีจู฾ รัน พายช฾ อน ฉมวก ข฽าย โพงพาง สระโอ (กรี ดปลาหลด) สุ฽ ม ส฾อม (แทง ปลาไหล) เบ็ดตกปลา งาแซง ในสมัยก฽อนนั้น หนอง หม฾อเป็นหนองที่มีปลาชุกชุมมาก มีนายอากรประมูล หนองต฽าง ๆ ในเขตอําเภอมหาราช มีหนองหม฾อและ ลูกหนองต฽าง ๆ เช฽น หนองโคกทอง หนองกุ฾ง หนอง สาหร฽าย หนองโรง หนองกระจับ หนองลาด หนองลาด ทา หนองลาดมนตแ หนองขี้นก หนองขี้คร฾าน หนองคา หนองหน฾าวัว หนองบางขายหมู หนองหลวง หนองเมฆ โดยเปิดให฾ประมูลเป็นเวลา ๓ ปี ราคา ๓ แสนบาท พืชผักมาจาก ปลูกผัก -หาปลาเอง จะจัดซื้อ จากท฾องถิ่นอื่นไม฽มากจะปลูกผักนานาชนิดกันแทบจะ ทุ ก หลั ง คาเรื อ น พื ช ที่ ป ลู ก ได฾ แ ก฽ ถั่ ว แขก ถั่ ว ดํ า งา ถั่วแระ บวบ แตงไทย แตงโม แตงกวา ปอ ฯลฯ ซึ่งจะ ใช฾แรงงานคนตัก น้ํารดทุกช฽ วงเช฾ าหรื อเย็น ในระยะ ประมาณปีพ.ศ. ๒๕๑๐-๒๕๑๕ เริ่มมีการใช฾เครื่องดูด น้ํ า เนื่ อ งจากเริ่ ม มี ก ารทํ า ข฾ า วโพด (นายประเสริ ฐ พ฽วงผจง น฽าจะเป็นรายแรกผู฾นําเริ่มปลูกในพื้นที่) ซึ่ง เป็น พืช ต฾องการน้ํา มากประเภทเครื่ องยุ คแรกนั้ นคื อ เครื่องยนตแเบนซิน Visconsin ภาชนะก็ใช฾ทะนานตวง ข฾าวสาร จานสังกะสีเคลือบ/กระเบื้องเคลือบ เปิบข฾าว ด฾ ว ยมื อ ใช฾ ก ะลาตั ก น้ํ า ดื่ ม ถ฾ า จะชํ า ระร฽ า งกายจะ อาบน้ําในคลอง และตักน้ําใส฽โอ฽งนํามาใช฾ในห฾องส฾วม เรียกส฾วมหลุม บ฾างก็เรียกฐาน หรือ เว็จ) หลังจากเสร็จ กิ จ ธุ ร ะแล฾ ว ช฽ ว งค่ํ า บ฾ า นไกล฾ เ รื อ นเคี ย งก็ ม ารวมกลุ฽ ม สนทนา ใครมีวิทยุก็นําวิทยุฟใง หรือบ฾านใครมีโทรทัศนแ ก็ ไ ปรวมกลุ฽ ม ดู กั น ระบบส฽ อ งสว฽ า งในยุ ค นั้ น จะใช฾ ๔๖ I วารสารวิชาการ อยุธยาศึกษา I ปีที่ ๖ / ๒๕๕๗ I

ตะเกียง เช฽น กระป฻อง รั้ว ลาน เจ฾าพายุ ต฽อมาเริ่ม มี โรงปใ่นไฟฟูาที่ท฾ายวัดปากคลองก็เริ่มได฾ไช฾ไฟฟูากันแต฽ก็ จะมีใช฾เป็นช฽วงเวลาเท฽านั้น บ฾านไหนที่มีการคลอดลูกก็ จะเรี ย กหมอตํ า แยที่ อ ยู฽ ใ นชุ ม ชน ซึ่ ง มี อ ยู฽ ป ระมาณ ๓ คน คือ ยายฉิม ,ยายช฾อย, ยายไล฾ บ฾านใดมีงานบวช ก็จะเริ่มจากวันเตรียมงาน (ขนของมาบ฾าน), วันสุกดิบ (เตรี ย มทํ าของ แช฽ ถั่ว กวนถั่ ว ทํ าขนมหวาน เตรีย ม ปอกมะพร฾าว ตําพริกแกง รวนหมู (สําหรับแกงในงาน) วันงานเริ่มจากทําขวัญ นาค ที่บ฾าน แล฾วแห฽นาคไปวัด ตอนเช฾า ทางเรื อ เวีย นรอบโบสถแ เข฾ าโบสถแ กลั บมา ฉลองพระที่บ฾ าน ระหว฽ างบวชเป็นพระจะต฾อ งมารั บ บาตรที่บ฾านโยมพ฽อ แม฽ ตลอดพรรษา ระยะเวลาในการ บวชลูกหลานจะไม฽ต่ํากว฽า ๑ พรรษา เนื่องด฾วยต฾องการ ให฾บุตรหลานได฾ร่ําเรียนศึกษาธรรมะหาความรู฾ไ ปด฾วย เมื่อเจ็บปุวยมักจะรักษาโดยแพทยแแผนไทย เช฽น ตาริด ตาหยวน และรั ก ษาแพทยแ ปใ จ จุ บั น ควบคู฽ ด฾ ว ยคื อ หมอสาย (ประจําสุขศาลา) , หมอเดชา (บ฾านกะทุ฽ม) ถ฾ามีคนตายจะเก็บศพเอาไว฾ก฽อน พอถึงเดือน ๔-๕ ช฽วง ที่ ว฽ า งจากการทํ า นา ก็ จ ะนํ า ศพมาทํ า ฌาปนกิ จ แต฽สมัยนี้ตายแล฾วสวด ๓-๗ วัน ก็ทําพิธีเผา การเผาศพ จะวางเผาบนเชิงตะกอน ลักษณะเป็นอิฐก฽อสูง ๒ ข฾าง ไม฾ฟืนที่ได฾จากการเรี่ยไร (สัปเหร฽อจะออกเรี่ยไรเมื่อรู฾ว฽า มีคนตาย หรือผู฾ ที่ไ ปเผาศพจะแบกฟืนไปคนละท฽อ น เพื่ อ บริ จ าคเป็ น เชื้ อ ไฟในวั น เผาศพ)จะวางเป็ น ฐาน ด฾านล฽าง วางทับด฾วยโลงศพ แล฾วจึงจุดไฟเผา บ฾างก็ทํา พิธีปใ กธงบนหลั ง คาเชิ ง ตะกอนก฽อ นทํ าพิธี เผา ผู฾ ที่ม า ร฽วมงานจะกว฾างเอาธง แล฾วเก็บไปไถ฽กับทางเจ฾าภาพ ร฽างของศพจะคว่ําหน฾าก฽อนเผา สัปเหร฽อยุคนั้นได฾แก฽ ตาสุข เกตุถาวร มี ชื่อเสี ยงมาก เพราะเป็นผู฾ มีความ รับผิดชอบสูง เมื่อมีคนตาย ไปบอกให฾มาทําศพ ขณะที่ ตนเองไถนาอยู฽ ก็จะทิ้ง คั นไถทันที เมื่อสิ้น ตาสุขแล฾ ว ต฽อมานายสมัย ชีอยู฽ ทําหน฾าที่แทน สถานที่ต฽อโลงศพ จะมีศ าลาอยู฽ ท฾า ยบ฾ า น เมื่อ มี คนตายพวกผู฾ ชายก็ จ ะ ช฽วยกันต฽อโลงให฾ ในสถานที่เดียวกันนี้เคยมีเรื่องเล฽าว฽า มีผีดุชอบดึง เรือผู฾ที่พายผ฽านไปมา ชาวบ฾านจึง ต฾องให฾ หมอผีชื่อตาศรมาช฽วยปราบ


เมื่อถึงฤดูน้่าหลาก น้่าก็จะท่วมบริเวณทุ่งมหาราช กลายเป็นผืนน้่ากว้างใหญ่ ที่ชาวบ้านเรียกว่า "ทะเลมหาราช"

อาชีฝเกษดยกยยภ "ถําธา" ใธถุ่งภหายาช สมัยก฽อนใช฾ควายไถนา ซึ่งมักจะเลี้ยงไว฾เพื่อ ใช฾งานเพื่อทํานากันเกือบทุกบ฾าน ประเภทนาจะเป็นนา ปี หว฽านไถกลบ ทําในช฽วงวันแรกนาขวัญเป็นต฾นไปของ ทุกปี พันธุแข฾าวที่นิยมในอดีตเช฽น จําปาจีน สายบัว นาง ปทุม ปิ่นแก฾ว (นาลุ฽ม) ขาวปทุม พญานอนทุ฽ง (บ฾างก็ เรียกข฾าวตกเตียงเพราะแก฽ช฾า) หอมปทุม เป็นข฾าวหนี น้ําต฾นข฾าวสูง ๔.๙๐ เมตร เมื่อข฾าวเริ่มตั้งท฾องก็จะมีพิธี รั บ ขวั ญ ข฾ า ว โดยการนํ า ผลไม฾ หมากพลู ใส฽ ช ะลอม เอาธงปใ ก บนชะลอม ผู ก กั บ ไม฾ แ ขวนไว฾ แล฾ ว เอาหวี กระจก แปูง (นําแปูงโดยที่ต฾นข฾าว เอากระจกส฽อง หวีที่ ต฾นข฾าว) มีคําพูดเป็นกลอน หรือพูดแต฽สิ่งดี ๆ โดยส฽วน ใหญ฽ ใ ห฾ ผู฾ ห ญิ ง เป็ น คน ทํ า เมื่ อ ถึ ง ช฽ ว ง เก็ บ เกี่ ย ว จะเกี่ยวด฾วยเคียวใช฾วิธีลงแขก เอาแรงกัน ผลผลิตที่ได฾ จะหาบลงเรือ บรรทุกกลับมาเก็บไว฾ที่ลานข฾าว เพื่อรอ นวดต฽ อ ไป ซึ่ ง จะใช฾ ค วายหลาย ๆ ตั ว (๒-๔ ตั ว ) ผูกเรียงกันแล฾วไล฽ให฾เดินย่ําบนกองฟอนข฾าวที่เรียงไว฾ เป็นวงกลม เดินวนไปในทิศทางเดียว เป็นเวลานานจน เห็นว฽าข฾าวร฽วงจากรวงแล฾วจึงหยุด คัดเอาฟางออกด฾วย คันฉาย แล฾วจึงมาฝใดด฾วยสีฝใด

ควาภมิ่งใหญ่ของดฤาณธ้ําหธองหภ้อใธถุ่ง ถะเฤภหายาช ตลาดหนองหม฾ อ อยู฽ ห฽ า งจากวั ด หน฾ า วั ว ประมาณ ๒๐๐-๓๐๐ เมตร ตลาดจะเริ่ ม เปิ ด ขาย ในช฽วงน้ําลด ชาวบ฾าน พ฽อค฾า แม฽ค฾าที่อยู฽ในอาณาเขต ใกล฾ เ คี ย ง เช฽ น ตลาดปากคลองช฾ าง ตลาดมหาราช และตําบลใกล฾เคียง จะเริ่มขนของมายัง บริเวณที่เคย ค฾าขายเมื่ อปีก฽ อน ปลูก ร฾านขายของและที่ พักด฾ วยไม฾ ลูกบวบ เป็นตลาดหลังคามุงจาก สองแถว เว฾นที่ว฽างให฾ ผู฾ซื้อเดินตรงกลาง ตั้งเรียงรายอยู฽สองริมฝใ่งน้ํา มีความ ยาวประมาณ ๑๐๐ เมตร มีสะพานข฾ามคลองเป็นไม฾ กระดาน ๒ แผ฽น วางไว฾อย฽างง฽าย ๆ สําหรับยกได฾เมื่อมี เรื อ ผ฽ า นเข฾ า -ออก ตลาดมี ข นาดใหญ฽ มี สิ น ค฾ า หลากหลายชนิด เช฽น ร฾านทําทอง ขายทอง ร฾านขาย จักรยาน ซ฽อมจักรยาน ร฾านรับตัดเสื้อผ฾า ร฾านขายยา ร฾ า น ตี เ ห ล็ ก ร฾ า น ย฾ อ ม ผ฾ า ร฾ า น ข า ย เ สื้ อ ผ฾ า เครื่องปใ้นดินเผา เช฽น หม฾อ ครก โอ฽ง อ฽าง กระถาง ร฾าน ขายเกลือ ร฾านขายจาก ร฾านขายขนม และอาหารเช฽น กเวยเตี๋ยวผัด กเวยเตี๋ยวน้ํา ขนมถ฾วยฟู ปลาแนมเป็น ขนมที่ ขึ้ น ชื่ อ ว฽ า มี ร สชาติ อ ร฽ อ ยมาก มี โ รงงิ้ ว โรงฝิ่ น และโรงน้ําปลาขนาดใหญ฽ (ของนายฮั้ว) ตั้งอยู฽ริมคลอง I วารสารวิชาการ อยุธยาศึกษา I ปีที่ ๖ / ๒๕๕๗ I๔๗


คลองบางพระครู

หนองหม฾ อ ส฽ ว นปลามี ว างขายไม฽ ม าก เนื่ อ งจาก ชาวบ฾านสามารถหากินกันได฾ทั่วไป เพราะมีชุกชุมมาก เพี ย งแค฽ มื อ เปล฽ า ก็ ส ามารถจั บ ปลาได฾ อ ย฽ า งง฽ า ยดาย ในเพลาเช฾ า จะเนื อ งแน฽ น ไปด฾ ว ยผู฾ ค น พ฽ อ ค฾ า แม฽ ค฾ า บริเวณโขดสูงจะขายขนมสอดไส฾ ขนมตาล ขนมถ฾วย ขนมถ฾ ว ยฟู ขนมไข฽ เ หี้ ย ผั ก สด ผลไม฾ ต ามฤดู ก าล และของใช฾ในชีวิตประจําวัน พ฽อค฾าแม฽ค฾าจากที่อื่น ๆ ก็มีมากมาย ต฽างก็หาบของมาขายเช฽นพ฽อค฾าแม฽ค฾าจาก บางนา บางมอญ บ฾ านขวาง ท฽า ตอ ซึ่ ง ออกเดิน ทาง แต฽ เ ช฾ า ตรู฽ โดยมี ช าวบ฾ า นหลวง โคกโพธิ์ ดอนทอง บ฾านเจ฾ าปลุก บ฾า นโรงช฾ าง บ฾ านน้ํ าเต฾า บ฾า นกระช฽อ ง บ฾า นไทย บ฾ านพิ ตเพีย น ต฽า งก็ เ ดิน ทางมาซื้อ สิน ค฾ า และนําสินค฾ามาจําหน฽าย จนกระทั่งช฽วงสายประมาณ ๐๙.๐๐-๑๐.๐๐ น. ตลาดเริ่มกลับ สู฽ความเงีย บเหงา อี ก ครั้ ง พ฽ อ ค฾ า แม฽ ค฾ า ชาว บ฾ า น เริ่ มทยอ ยก ลั บ และเตรียมตัวนําสินค฾ามาขายในวันต฽อไป ระยะเวลา การขายเป็นช฽วงหน฾าแล฾ง ประมาณ ๓-๔ เดือนเท฽านั้น เพราะตลาดตั้ง อยู฽บ ริเวณราบลุ฽ม เมื่อ ถึง ฤดูน้ํ าหลาก น้ําก็จะท฽วมบริเวณพื้นที่ของตลาดกลายเป็นผืนน้ํากว฾าง ใหญ฽ ที่ชาวบ฾านเรียกว฽า "ทะเลมหาราช" แต฽เมื่อถึงฤดู น้ําหลากแพต฽างก็จะล฽องมาอยู฽บริเวณคลองบางพระครู เพื่อหลีกเลี่ยงกระแสน้ําที่แรงในฤดูน้ําหลาก

กายคภธาคภ

บน: เรือมังกรทวี ๒ ล่าง: เรือเมล์แดง พ.ศ.๒๕๐๔ ภาพโดย คุณทองค่า เทศทวี (ผดุงธรรม) ๔๘ I วารสารวิชาการ อยุธยาศึกษา I ปีที่ ๖ / ๒๕๕๗ I

มีก ารเดิน เรื อ โดยใช฾แ ม฽น้ํ า ลพบุรี วิ่ง ตั้ง แต฽ ลพบุรี มหาราช พระนครศรีอยุธยา ท฽าเตียน กรุงเทพฯ ใช฾ เ วลาเดิ น ทางเป็ น วั น มี ท฽ า เรื อ ใหญ฽ อ ยู฽ ที่ ห น฾ า ศาล เจ฾าตา เจ฾ายาย และที่หน฾าบ฾านของแต฽ละบ฾าน ถ฾าจะขึ้น เรือในตอนกลางวันใช฾โบกมือเรียก ถ฾าเป็นเวลากลางคืน หรือเช฾ามืด จะใช฾ตะเกียง ใส฽ตะกร฾าคอยโบกเรียกเรือ แต฽ถ฾า จะไปคลองหนองหม฾อต฾ องโดยสารเรือจ฾ างจาก บริเวณแพศาลเจ฾ ามหาราช แจวเข฾าคลองหนองหม฾ อ ผ฽ า นหลั ง วั ด อุ โ ลมก็ ม าถึ ง ตลาดหนองหม฾ อ ได฾ ส ะดวก ในสมัย ก฽อนบรรดาเรื อต฽ าง ๆ เช฽ น เรือ มาด เรือ แจว เรือกระแชง แจวเข฾าออกเป็นประจํา เพื่อนําสินค฾าเข฾า มาขาย เช฽นน้ําตาล มะพร฾าว ซึ่งชาวบ฾านจะแจวเรือไป ซื้ อ ที่ บ฾ า นบางช฾ า งแล฾ ว นํ า มาขายที่ ต ลาดหนองหม฾ อ


เรือที่เป็นเรือโดยสารจะเป็น เรือแดงรับผู฾โ ดยสารจาก มหาราช ไปกลับจังหวัดพระนครศรีอยุธยา เรือ โดยสารมีหลายขนาด เช฽น เรือ แดงเรื อ แดงรั บ ผู฾ โ ดยสารจากมหาราช ไป -กลั บ จั ง หวั ด พระนครศรีอยุธยา เรือที่มีขนาดใหญ฽ เช฽น เรือมังกรทวี ๑ ขนาด ยาว ๘ วา กว฾าง ๔.๕ เมตร เป็นเรือสูง ๑ ชั้น ครึ่ง และเรือมังกรทวี ๒ ยาว ๑๑ วา ๒ ศอก กว฾าง ๕ เมตร ต฽อเมื่อ พ.ศ. ๒๔๗๘ เจ฾าของชื่อนางทองคํ า เทศทวี ต฽อเองจากจังหวัดนครสวรรคแ กระดูกงูเรือใช฾ไม฾ ตะเคียน แผ฽นเดียวยาวจรดหัวเรือถึงท฾ายเรือ เป็นเรือ ๒ ชั้น มีห฾องเครื่อง และมีร฾านอาหารในเรือ เป็นเรือที่ ใช฾ บ รรทุ ก ของมาขาย หรื อ มาส฽ ง ตามแพที่ จ อดอยู฽ จุผู฾โดยสารประมาณ ๕๐๐ คน ส฽วนใหญ฽ วิ่งผ฽าน บ฾าน แพรก ปากคลองช฾ า ง มหาราช ตาลเอน นครหลวง อยุธ ยา บางปะอิน บ฾ านกระแชง สามโคก ปทุม ธานี กรุ ง เทพ ท฽ า เตี ย น และมั ก จะใช฾ บ รรทุ ก น้ํ า มั น ถั ง ละ ๒๐๐ ลิตร ประมาณ ๒๐ ถัง นํามาขายที่ตลาดในราคา ถั ง ละ ๑,๒๐๐ บาท ช฽ ว งฤดู แ ล฾ ง เรื อ จะจอดอยู฽ ที่ กระดานปูาย (หรือบ฾านตาลเอน) ผู฾โดยสารจะไปขึ้นเรือ ต฾องใช฾เรือพายไปขึ้นที่กระดานปูาย เรือขนส฽งสินค฾าจะเป็นเรือกระแชง หรือเรียก อี ก อย฽ า งว฽ า เรื อ ประทุ น ค฾ า ขายส฽ ง ข฾ า วโพด ข฾ า ว เรื อ ประทุ น ขนาดเล็ ก จะขายน้ํ า ตาล ข฾ า วสาร เสื่ อ ลําแพน แตงกวา แตงโม ผักดอง กล฾วยตาก ล฽องมาจาก ลพบุรี ผ฽ านคลองบางพระครู ไปจนถึ ง อํา เภอท฽ าเรื อ และเรือเครื่องเทศเป็นเรือของชาวอิสลาม จากอยุธยา มาขายสินค฾าหลายชนิดทั้งของกินและของใช฾ เช฽น เปล, ปลาตะเพียนแขวน, ชฎา ฯลฯ การขนส฽งทางบกนั้น ส฽วนใหญ฽ทางเดินบนบกจะเป็นทางควาย ทางคนเดิน เป็นปุาแต฽ก็จะมีจะมี รถสิบล฾อขนข฾าวจากแหล฽ง ต฽าง ๆ เช฽ น บ฾ า นแพรก ลพบุ รี ดอนทอง ไผ฽ ห ลิ่ ว มาพั ก ไว฾ บริเวณต฾นคลองบางพระครูบริเวณหลังวัดอุโลมเคยเป็น ท฽าข฾าวแหล฽ง ใหญ฽ เพื่อรอทยอยส฽ งต฽อไปโรงสี อยุธยา โดยทางเรือผ฽านคลองบางพระครู ตลอดสองฝใ่ง คลอง เรือแล฽นผ฽านกลางคลองได฾

ควาภเชื่อ วัฑธทยยภแฤะบยะเฝฒี วัดที่เป็นที่พึ่งทางใจของคนในชุมชนนั้นมีอยู฽ ๕ วั ด ด฾ ว ยกั น คื อ วั ด วั ง วั ด อุ โ ลม วั ด โบสถแ วั ด ตาล และวัดไชย ในอดีตการสร฾างวัดนั้นตามความเชื่อทาง พระพุทธศาสนานั้นจะได฾บุญมาก ทําให฾คนที่มีฐานะนั้น มั ก จะสร฾ า งวั ด เพื่ อ สร฾ า งบุ ญ บารมี รวมทั้ ง การสร฾ า ง วั ด เพื่ อ เป็ น อนุ ส รณแ ส ถานแห฽ ง ชั ย ชนะ เช฽ น วั ด ชั ย เป็ น ต฾ น วั ด จะเป็ น ศู น ยแ ก ลางของคนในชุ ม ชนเช฽ น สถานที่ประชุมของส฽วนราชการต฽างๆ เป็นทั้งสถานที่ เรียน การจัดงานบุญตามประเพณีที่มี เช฽น การทําบุญ ตรุ ษ สงกรานตแ เดื อ น ๕ ,ทํ า บุ ญ กวนข฾ า วทิ พ ยแ ที่ วั ด กลางเดือน ๖ แรม ๑ ค่ํา ,ทําบุญ เข฾าพรรษาเดือน ๘, ทําบุญวันสารทไทย เดือน ๑๐ ทําบุญออกพรรษาเดือน ๑๑ เป็นต฾น การนับถือสิ่งศักดิ์สิทธิ์ของคนชุมชนนั้น ไม฽ได฾มีเพียงแค฽ทางศาสนาอย฽างเดียวเท฽านั้นแต฽จะมีการ เคารพผีเจ฾าพ฽อ เจ฾าแม฽และผีบรรพบุรุษ จากความเชื่อ นั้นทําให฾เกิดศาลเจ฾าต฽าง ๆ มากมาย เช฽นศาลเจ฾าตาเจ฾า ยาย ศาลเจ฾ า แม฽ ร฽ ม ไทร เจ฾ า พ฽ อ หนวดแดง เจ฾ า พ฽ อ พระราม พ฽อขุนช฾าง เจ฾าพ฽อเดชา ฯลฯ

กายศึกษาของคธภหายาชใธอณีด สถานที่ศึกษานั้นจะอยู฽ที่ศาลาวัด มีพระเป็น ผู฾สอน ต฽อมามีการสร฾างโรงเรียนขึ้นใช฾แทนศาลาวัดแต฽ ก็ยังคงอยู฽ในบริเวณวัด การไปโรงเรียนต฾องอาศัยการ พายเรือและมักจะส฽ง บุตรหลานเข฾าเรียนอายุ ๗ ขวบ การแต฽ง กายของนักเรียนจะไม฽มีเครื่องแบบเหมือนใน ปใจจุบันแต฽มักจะนิยมให฾นักเรียนหญิงนุ฽งผ฾าถุง เสื้อคอ กระเช฾ า นั ก เรี ย นชายกางเกงหู รู ด เสื้ อ คอกลมขาว (เสื้ อ กุ ย เฮง) ไม฽ มี ร องเท฾ า ใส฽ มี ก ารเรี ย นตั้ ง แต฽ ชั้ น ป.๑-ป.๔ และขยายจนถึ ง ป.๗ ข฾ า วจะใส฽ ปิ่ น โต หรือ หม฾ ออวยไปเอง เวลาครู สอนจะจดบั นทึ กลงบน กระดานชนวนดิ น สอหิ น ระยะ ๒๐ ปี ต฽ อ มาเริ่ ม มี เครื่องแบบ นักเรียนหญิงใส฽เสื้อขาวคอบัว กระโปรงสี กรมท฽า จีบรอบตัว นักเรียนชายเสื้อขาวคอเชิ้ต กางเกง ขาสั้นสีกากี มีครูมาสอนแทนพระ การลงโทษนักเรียน ในสมัยนั้นจะให฾อมบอระเพ็ดขนาดเท฽าองคุลี พร฾อมให฾ ท฽ อ งบทกลอนว฽ า "บอเอเ ย บอระเพ็ ด หวานสะเด็ ด น้ํ า ตาลทราย" พร฾ อ มทํ า โทษด฾ ว ยการไปเช็ ด ขี้ ห มา I วารสารวิชาการ อยุธยาศึกษา I ปีที่ ๖ / ๒๕๕๗ I๔๙


เมื่อโรงเรียนเลิกกลับไปบ฾านให฾อ฽านหนังสือช฽วงค่ําก฽อน เข฾านอน ขณะอ฽านหนังสือให฾อ฽านดัง ๆ พระอาจารยแจะ คอยพายเรือมาฟใงตามบ฾าน หากไม฽ได฾ยิน ยามเช฾าไป เรียนหนังสือจะถูกทําโทษ สมัยก฽อนเมื่อจบ ป.๔ แล฾ว ไปเรี ย นต฽ อ อี ก ๓ ปี ก็ จ ะรั บ ได฾ วุ ฒิ ปบ. หรื อ ครู ประชาบาล จบ ม.๓ ไปเรี ย นต฽ อ ครู ว. หรื อ ครู ประกาศนียบัตรจังหวัดต฾องเรียน ๒ ปี ถ฾าจบ ม.๘ ก็ เที ย บเท฽ า ปริ ญ ญาตรี ใ นสมั ย นี้ เครื่ อ งแบบครู ประชาบาลสี เ ขี ย วขี้ ม฾ า มี ขี ด ที่ ไ หล฽ เงิ น เดื อ น ๆ ละ ๑๐ บาท ใส฽ อ ยู฽ ป ระมาณ ๕ ปี จึ ง ยกฐานะเป็ น ข฾ า ราชการครู เ ป็ น ชุ ด สี ก ากี และ/หรื อ สี ก รมท฽ า ได฾รับเงินเดือน ๓๐ บาท ลูกหลานที่เป็นผู฾มีฐานะจะ ถูก ส฽ ง ไปเรี ย นในตัว เมื อ ง โดยนั่ ง เรือ โดยสาร ไปเข฾ า โรงเรียนประจําในตัวเมือง ครบ ๓ เดือน จึงจะอนุญาต ให฾กลับได฾หนึ่งครั้ง

กายเบฤี่มธแบฤงจากมุคเพื่องพู สู่มุคตณตอม เนื่ อ งด฾ ว ยพื้ น ที่ ตํ า บลมหาราชนั้ น เป็ น ที่ ลุ฽ ม ย฽อมเกิดปใญหาน้ําท฽วมอย฽างหนักจนกระทั่งข฾าวในนา เสี ย หายต฽ อ เนื่ อ ง ๑๐ ปี ระบบเศรษฐกิ จ ในชุ ม ชน มหาราชตกต่ํ าอย฽ างมาก ทํา ให฾มี การระบาดของการ พนันเป็นอย฽างหนัก โดยเฉพาะหวยใต฾ดิน มีเรื่องเล฽าว฽า ขนาดนับเงินที่ซื้อหวยช฽วยกันนับตั้งแต฽หัวค่ําจนถึงเที่ยง คื น ก็ ไ ม฽ ห มด เนื่ อ งด฾ ว ยมี ข าประจํ า ต฽ า ง ๆ มากมาย หวยที่มหาราชมีชื่อเสียงมาก ดังไปถึงอําเภอบ฾านแพรก เมื่อถึงเวลาเก็บเงินต฾องใช฾เรือปรื๋อ วิ่งลัดทุ฽ง ไปเก็บเงิน มาส฽ง เจ฾ามื อ ประกอบกับเมื่ อยุคสมัยเปลี่ยนไปเริ่ม มี

ความเจริ ญ มากขึ้ น จึ ง มี ก ารสร฾ า งมี ก ารสร฾ า งถนน (สาย ๓๔๗) ในปี พ.ศ.๒๕๐๘ จาก จัง หวัดลพบุรีมา สิ้นสุดที่ หมู฽ที่ ๓ ตําบลมหาราช ริมฝใ่งคลองบางพระครู และ สร฾ า งจากอํ า เภอบางปะหั น มาสิ้ น สุ ด ที่ หมู฽ ที่ ๑ ตําบลมหาราช ริมคลองบางพระครู มีสะพานเชื่อมถึง กันระหว฽างคลองชุมชนคนอยู฽แพ ก็เริ่มย฾ายขึ้นมาปลูก บ฾านอยู฽บนบก เพราะการเดินทางทางบกสะดวกกว฽า ทางน้ํ า แต฽ ก ารดํ า รงชี วิ ต ก็ ยั ง ใช฾ น้ํ า และลํ า คลอง เหมือนเดิม แต฽เรือที่ใช฾การคมนาคมมีการเลี่ยนแปลงไป จากที่ใช฾เรือขนาดใหญ฽ก็เริ่มมีเรือหางยาว เรือสองตอน เรือด฽วนเจ฾าพระยา เพราะว฽า มีสะพานทําให฾เรือใหญ฽ อย฽างเรือมังกรทวี, เรือแดง แล฽นไม฽ได฾ แล฾วต฽อมามีการ สร฾ า งถนน ก็ มี ร ถวิ่ ง เข฾ า มารั บ คนแทนเรื อ ทํ า ให฾ ความสําคัญของแม฽น้ําลําคลองในปใจจุบันหมดไป ต฽อมา เริ่ม มีฝาย กั้ นน้ํา เพื่อ ประโยชนแทางด฾า นเกษตรกรรม บริ เวณถนนชลประทานปใ จ จุบั น วิ ถีข องน้ํ าก็ เ ปลี่ ย น ส฽ง ผลทําให฾ชาวเรือ ชาวแพ และประชาชนบริเวณริม คลองบางพระครูและริมแม฽น้ําลพบุรีมีวิถีชีวิตเปลี่ยนไป เกษตรกรเริ่มทํานาปรังหนักขึ้นพร฾อมทั้งใช฾สารเคมีมาก ขึ้นเป็นเท฽าตัวส฽งผลทําให฾น้ําเสียเมื่อปล฽อยมาจากเขื่อน ทํ า ให฾ ป ลาที่ เ คยมี ชุ ก ชุ ม เริ่ ม ลดน฾ อ ยลง ประเพณี การละเล฽นเช฽นการเล฽นเพลงเรือก็หมดไป ความสัมพันธแ ของคนเริ่ ม เสื่ อ มถอยลง แม฽ น้ํ า และลํ า คลองถู ก ใช฾ ประโยชนแน฾อยลง เริ่มตื้นเขินและมีปใญหาตลิ่งพังอย฽า ง หนั ก จากการที่ มี เ ขื่ อ นมากั้ น น้ํ า และเมื่ อ ผู฾ ค นใช฾ ประโยชนแน฾อยลงย฽อมขาดการเอาใจใส฽สายน้ําที่เคยใช฾ อย฽างที่ควรจะเป็นอย฽างแต฽ก฽อน ๏

ปู้ให้ข้อภูฤ กํานันเพ็ญศรี ถาวรกูล, นางสาวกิมเฮี๊ยะ เกตุสมพงษแ , ครูวิเชียร-ครูฉวี ผดุงพจนแ, นางบุญเสริม ปานแปะ, นายละมูล-นางอารี วีระสัย, ยายละมูล เทียมเศวตร, นางทองแถม สุธีวร, ครูสุภา สุภาพักตรแ, นายประเสริฐ พ฽วงผจง, นางสําเนียง ผดุงขวัญ, นายสมพงษแ สุภาพักตรแ, นายแผน ผดุงสุทธิ์, นายสมศักดิ์ บันลือสินธุแ, นางสาวมาลา ผดุงวัตร ครูสําอางคแ, ผู฾ใหญ฽สํารวย, ตาชื้น-ยายกองนายกมล วีระสัย,ผู฾ใหญ฽ละม฽อม วีระสัย, ยายน้ําวน, นางวิเชียร ธาราภูมิ , นาย ประสิทธิ์ เทียมสีฟูา , นายสมพร จิตรสิขเรศ(จุก) นายละเอียด เกตุหิรัญ , นายแนม, นางนวลพรรณ อธิคมานนทแ , พระครูสุขุมโชติธรรม, หลวงตาหวัง (ทวี อภิวัฒโน), นางทองคํา เทศทวี, ครูบุญสืบ เทียมคชสาร

คฒะถํางาธ นายฌาณราเมศวรแ กลมกล฽อม, นางสาวนิราพร กรีถาวร, นางทวี ศรีกมล ,นางสาวสุพัตรา คุ฾มพุ฽ม, นางไพรินทรแ สําเภาลอย นายอานันทแ วีระสัย, นาย วิศิษยแศักดิ์ หลวงหาญ, นางอุษา ทรงปใญญา, จรัญ ผดุงโภค ,นางสิริมา นิวาศานนทแ, นางสมศรี แซ฽หุ฽น นางสางนัยนา เฉลิมภักตรแ , นางชําเรือง ปรางรักยิ้ม , พ.อ.อ.ฤกษแ ทรัพยแสุริต , นางจําเรียง รักสุข , นางอุไรวรรณ โต฿ะมุข

๕๐ I วารสารวิชาการ อยุธยาศึกษา I ปีที่ ๖ / ๒๕๕๗ I


ควาภถยงจําถี่...เกาะฤอม

นุญสภหญิง ฝฤเภืองณี*

เมื่อวันที่ ๘-๙ กุมภาพันธ์ ๒๕๕๗ ผู้เขียนได้มีโอกาสเข้ารับการอบรมโครงการวิจัยประวัติศาสตร์ท้อ งถิ่น จัดโดยสถาบันอยุธยาศึกษา ศาสตราจารย์พิเศษศรีศักร วัลลิโภดม เป็นวิทยากรหลัก เป็นความทรงจาและความ ประทับใจครั้งหนึ่งในชีวิตของผู้เขียน ในวันแรกของการอบรมได้รับฟังถึงประวัติศาสตร์ท้องถิ่น “ชุมชนหัวรอ” จากวิทยากร ทาให้ผู้เขียนเริ่มสนใจในชุมชนนี้ เพราะเป็นชุ มชนที่ผู้เขียนรู้จักมาตั้งแต่เด็ก ได้สัมผัสถึงวิถีชีวิตของ คนในชุมชนรวมถึงคนที่เข้ามาจับจ่ายใช้สอย ตั้งแต่อดีตถึงปัจจุบันหัวรอมีการเปลี่ยนแปลงไปตามยุคตามสมัย จาก ตลาดที่สาคัญของอยุธยา แปลงสภาพมาเป็นตลาดของชุมชนหนึ่งในอยุธยาเท่านั้น ตลาดที่เป็นศูนย์รวมของเรื อน แพ ก็เหลือเพียงภาพถ่าย พ่อค้าเรือนแพก็ขึ้นมาค้าขายบนบกตามการคมนาคมและสภาพการใช้ชีวิตที่เปลี่ยนไป เดิมชุมชนหัวรอนั้น มีการกล฽าวถึงไว฾ในอดีต โดยพระยาโบราณราชธานินทรแได฾บรรยายไว฾ในตํานานกรุงเก฽า ดังนี้ “ภายหลังเมื่อสร฾างกรุงแล฾ว ขุดคูขื่อหน฾าแยกจากแม฽น้ําที่ เหนือปูอมเพชร เห็นสายน้ําจะพัดลงทางคูขื่อหน฾าแรง เกิดกลัวแม฽น้ําข฾างเมืองจะตื้น จึงทํารอทํานบกั้นไว฾ที่ปากคูตรงหน฾าปูอมมหาไชย (คือที่ตลาดหัวรอเดี๋ยวนี้) เพื่อจะกันให฾ น้ําไหลเข฾าไปทางข฾างเมืองให฾แรง สําหรับจะได฾กัดให฾ลําน้ําลึกอยู฽เสมอ”๑ สิ่งเหล฽านี้ทําให฾ผู฾เขียนสะท฾อนใจ อยากย฾อน เวลากลับไปเหมือนเดิม แต฽ก็มิอาจทําได฾ จึงได฾แต฽เพียงจินตนาการตามที่วิทยากรบรรยายถึงสภาพความเป็นอยู฽จริง ณ ช฽วงเวลาดังกล฽าว * อาจารยแประจําคณะศิลปศาสตรแ มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีราชมงคลสุวรรณภูมิ ๑ พระยาโบราณราชธานินนทรแ. (๒๔๗๙). ประชุมพงศาวดาร ภาคที่ ๖๓ เรื่องกรุงเก่า พิมพแในงานพระราชทานเพลิงศพ พระยาโบราณราชธานินทรแ (พร เดชะคุปตแ) ณ เมรุวัดเทพศิรินทราวาส เมื่อวันที่ ๑๓ กุมภาพันธแ ๒๔๗๙ พิมพแที่โรงพิมพแโสภณพิ พรรฒธนากร. I วารสารวิชาการ อยุธยาศึกษา I ปีที่ ๖ / ๒๕๕๗ I๕๑


วันที่สองของการอบรม เป็นการลงภาคสนาม ผู฾ เ ขี ย น ได฾ นึ ก ในใจว฽ า “ขอให฾ ไ ด฾ ไ ปเกาะลอย ” และสมใจนึก ผู฾เขียนอยู฽กลุ฽มที่จะศึกษาชุมชนเกาะลอย จริงๆ สมาชิกจะมีด฾วยกัน ๕ คน นอกเหนือจากผู฾เขียน แล฾ ว ยั ง ประกอบด฾ ว ย ๑.นายโสฬส ปริ ยั ติ ฆ รพั น ธแ ๒.นายชาญณรงคแ พุ฽ ม บ฾ า นเช฽ า ๓.นายวรรณพงษแ ปาละกะวงษแ ณ อยุ ธ ยา และ๔.นายศั ก รภพณแ ปริยัติฆรพันธแ ในช฽ว งเช฾ าวัน นั้นสมาชิก กลุ฽ม เกาะลอยและ กลุ฽ ม อื่ น ๆ ได฾ นั่ ง รถตุ฿ ก ตุ฿ ก จากสถาบั น อยุ ธ ยาศึ ก ษา เดินทางไปที่ตลาดหัวรอ ได฾รับฟใงเรื่องราวจากผู฾อาวุโส ที่ ถ฽ า ยทอดเรื่ อ งราวของตลาดหั ว รอในอดี ต ได฾ อ ย฽ า ง น฽าสนใจ ก฽อให฾เกิดจินตนาการว฽าตลาดแห฽งนี้มีชีวิตชีวา ความเป็นอยู฽ของผู฾คน มีกลุ฽ มชาวจีนเป็นส฽ว นใหญ฽ สังเกตจากศาลเจ฾าแม฽ต฾นจัน จากนั้ น แต฽ ล ะกลุ฽ ม ก็ มุ฽ ง สู฽ จุ ด หมายที่ จ ะลง ปฏิบัติในแต฽ละพื้นที่ สมาชิกกลุ฽มเกาะลอยได฾ข฾ามเรือ จ า ก ฝใ่ ง ต ล า ด หั ว ร อ ไ ป ที่ วั ด ม ณ ฑ ป พ ว ก เ ร า ลั ด เลาะ เมี ย งมอง แต฽ ไ ม฽ พ บพระภิ ก ษุ ใ นวั ด แห฽ ง นี้ เป็นวัดที่สถาปใตยกรรมน฽าสนใจ พวกเราเดินทางไปทาง ทิ ศ ใต฾ ข องเกาะพบซากปรั ก หั ก พั ง ที่ มี ร฽ อ งรอยของ โ บ ร า ณ ส ถ า น ผู฾ เ ขี ย น พ บ สิ่ ง ก฽ อ ส ร฾ า ง ค ล฾ า ย หอระฆัง ซึ่งทราบจากพี่เลี้ยงกลุ฽ม (คุณพัฑรแ แตงพันธแ) ว฽าคือ หอระฆังวัดสะพานเกลือ สิ่งที่ขัดต฽อสายตาของ ผู฾ เ ขี ย นยิ่ ง นั ก เห็ น จะเป็ น เสาไฟฟู า ระโยงระยาง พ าดผ฽ า น โบร าณส ถาน ที่ ผู฾ เ ขี ย น รู฾ สึ ก หว ง แห น กลายเป็ น สมบั ติ ข องชาติ ที่ ถู ก ละเลยไม฽ เ ห็ น คุ ณ ค฽ า ยิ่งกว฽านั้นยัง พบบ฾านสมัยใหม฽ที่รุกล้ําเข฾ ามา อย฽างไม฽ สนใจว฽าโบราณสถานจะหลั่งน้ําตา ก฽อนที่จะได฾พูดคุย กับชาวบ฾านที่อยู฽บนเกาะ ผู฾ เ ขี ย นหลงเพลิ น เดิ น ตาม ศาสตราจารย์ พิ เ ศษ ศรีศักร วัลลิโภดม จึงพบว฽าตัวเองมายืนอยู฽ที่วิทยาลัย การต฽อเรือเสียแล฾ว เขาเล฽าลือว฽ามีตําหนักสะพานเกลือ ของกรมขุนมรุพงษแ ศิริพัฒนแ เคยเห็นภาพวาดลายเส฾น ที่อาจารย์ไพฑูรย์ ขาวมาลา ได฾เ ขียนไว฾ จากความ ทรงจําขณะที่เป็นครูสอนอยู฽ที่วิทยาลัยการต฽อเรืออย฽าง สวยงามที่สถาบันอยุธยาศึกษา

๕๒ I วารสารวิชาการ อยุธยาศึกษา I ปีที่ ๖ / ๒๕๕๗ I


เมื่ อ ย฾ อ นกลั บ มาทางเดิ ม พบสมาชิ ก กลุ฽ ม พูด คุ ย กั บ คุ ณ ปู า คุณ ลุ ง ที่ อ าศั ย อยู฽ บนเกาะ “คนบน เกาะ” ทุ ก คนมี อั ธ ยาศั ย ดี ม าก พร฾ อ มจะถ฽ า ยทอด เรื่ อ งราวเกาะลอยกว฽ า ๑๐๐ ปี ภาคภู มิ ใ จที่ รั ช ก าลที่ ๕ เสด็ จ ปร ะทั บ ณ เก าะลอยแห฽ ง นี้ สอดคล฾องกับเรื่องราวที่ พระยาโบราณราชธานินทร์ ได฾เล฽าไว฾ในตํานานกรุงเก฽า (๒๔๗๙ : ๑๕๒-๑๕๓) ค ว า ม ว฽ า “ …ค รั้ น ถึ ง วั น ที่ ๒ ๘ พ ฤ ศ จิ ก า ย น พ ร ะ พุ ท ธ ศั ก ร า ช ๒ ๔ ๕ ๐ พ ร ะ บ า ท ส ม เ ด็ จ พระจุ ล จอมเกล฾ า เจ฾ า อยู฽ หั ว เสด็ จ พระราชดํ า เนิ น แต฽ กรุ งเทพพ ร ะมหาน ครขึ้ น ไปประ ทั บ พ ลั บ พ ลา ณ เกาะลอย วั น ที่ ๓๐ พฤศจิ ก ายน และวั น ที่ ๑ ที่ ๒ ธั น วาคม เวลาบ฽ า ยเสด็ จ พระราชดํ า เนิ น โดย กระบวนพระราชอิสสริยยศ ทั้งทางชลมารคสถลมารค เข฾าไปทรงบําเพ็ญพระราชกุศลในพระที่นั่งสรรเพ็ชญแ ปราสาทแล฾ว เสด็จพระราชดําเนินกลับมาประทั บแรม ที่พลับพลาเกาะลอย มีมหรสพโขน ๒ โรง หุ฽น ๒ โรง ละคร ๒ โรง มอญรํ าโรง ๑ เทพทองโรง ๑ และมี ระเบงโมงครุ฽ม กุ ลาตีไ ม฾ ไม฾ลอย ญวนหก นอนหอก นอนดาบ ไต฽ลวด กระอั้วแทงควายแทงวิไสย กับสรรพ กิฬา มีแข฽งระแทะ วิ่งวัวคน ชกมวย ขี่ช฾างไล฽ม฾า ๓ วัน ค่ํ า มี ด อกไม฾ ไ ฟทั้ ง ๓ คื น เมื่ อ เสร็ จ พระราชพิ ธี แ ล฾ ว รุ฽ง ขึ้นเวลาบ฽ายเสด็จพระราชดําเนินทอดพระเนตรใน พระราชวังอีกเวลาหนึ่ง…” เมื่อได฾สอบถามข฾อมูลท฾องถิ่นสมควรแก฽เวลา แล฾ ว สมาชิ ก ต฾ อ งแยกเดิ น วนรอบเกาะเป็ น สองทาง ผู฾ เ ขี ย นพร฾ อ มกลุ฽ ม ย฽ อ ยของเรามุ฽ ง ตรงไปที่ วั ด แค ส฽วนอีกกลุ฽มมุ฽งเดินทางไปที่วิทยาลั ยการต฽อเรือ เมื่อถึง วัดแคได฾พบเด็กชายตัวน฾อยทําหน฾าที่แนะนําสิ่งสําคัญ ภายในวัดความเป็นมาต฽าง ๆ และยังเล฽าว฽ามีเพื่อนคน อื่นทําหน฾าที่มัคคุเทศกแน฾อย เล฽าเรื่องประวัติของวัดแค ได฾อย฽างน฽าฟใง ต฽ อ จากนั้ น พวกเรามุ฽ ง หน฾ า เดิ น ไปชมโรงเจ ซึ่ ง เล฽ า กั น ว฽ า ชาวจี น มาไหว฾ เ ทพเจ฾ า ที่ โ รงเจนี้ ในช฽ ว ง เทศกาล จากโรงเจมองเห็ นเกาะเล็ก ๆ ฝใ่ ง ตรงข฾า ม บ฾านสีเขียวริมน้ํา เบื้องหลังแมกไม฾เล฽ากันว฽ามี หลวงพ฽อ องคแใหญ฽สีขาว ศักดิ์สิทธิ์ ประดิษฐานอยู฽ ชาวบ฾านเรียก กั น ว฽ า วั ด ช่ อ ง ล ม ส ม า ชิ ก ต฽ า ง ชื่ น ช ม ส า ย น้ํ า

และธรรมชาติแล฾วพวกเราย฾อนกลับมาที่วัดแคอีกครั้ ง ห นึ่ ง พ บ ส ม า ชิ ก ที่ แ ย ก กั น ไ ป ม า ร ว ม ตั ว กั น ที่ ร฾านกเวยเตี๋ยวแสนอร฽อย เมื่ออิ่มหมีพีมันดีแล฾ว สมาชิก กลุ฽ ม เราก็ ข฾ า มฝใ่ ง จากหน฾ า วั ด มณฑปไปยั ง ท฽ า หน฾ า พระราชวังจันทรเกษม วัดมณฑปนี้พ฽อของผู฾เขียนเคย เล฽าว฽าสมัยเด็กมาเรียนหนังสือที่โรงเรียนอยุธยานุสรณแ มาฝากตัวเป็นศิษยแพระผู฾ใหญ฽ทรงสมณศักดิ์ ที่อุปการะ เลี้ยงดูเด็กจากชนบท ศิษยแวัดหลายคน รุ฽นเดียวกับพ฽อ ได฾รับราชการเป็นครู การเดินทางครั้งนี้ นับเป็นครั้ง แรกของผู฾ เขี ยนที่เ หยี ยบย฽า งและสัม ผัส ดิน แดนเกาะ ลอย ซึ่งก฽อนหน฾านี้เคยได฾เฝูามองยามค่ําคืน จากตลาด โต฾ รุ฽ ง หน฾ า พระราชวั ง จั น ทรเกษม เห็ น ไฟที่ ป ระดั บ ประดาวัดอย฽างงดงาม แต฽สภาพวัดปใจจุบันของวัดเท฽าที่ เห็นยามกลางวันค฽อนข฾างทรุดโทรม เงียบเหงา ต้อ งขอขอบคุณสถาบันอยุธยาศึ กษาที่ใ ห้ ประสบการณ์ใหม่ ความรู้สึกต่อการอนุรักษ์วิถีชีวิต ดั้งเดิมของผู้คนให้เห็นค่าของอดีตที่จะเป็นบทเรียน ต่ อ ไป ประการส าคั ญ ผู้ เ ขี ย นขอให้ ต ระหนั ก ถึ ง สิ่ง แวดล้อ มบนเกาะที่ ทาให้ เ กาะไม่ น่า ดู การไม่ มี ระบบกาจัดขยะอย่างถูกวิธี เกาะลอยแห่งนี้หากมี สภาพดี มี ต้น ไม้ ใ หญ่ ที่ยั งรั กษาไว้ได้ เกาะลอยจะ สามารถพั ฒ นาเป็ น แหล่ ง ท่ อ งเที่ ย วเชิ ง วิ ถี ชุ ม ชน เล่าเรื่องราวในอดีตได้เป็นอย่างดี เป็นสถานที่หนึ่งที่ ผู้คนมีเสน่ห์ ยิ้มแย้ม น่ารัก ย่อ มทาให้หวนระลึกถึง ความทรงจาที่...เกาะลอย เช่นเดียวกับผู้เขียนที่แรก ได้มาเยือนถิ่นเกาะลอยเป็นครั้งแรก ไม่อ ยากเชื่อว่า ยังมีสถานที่เช่นนี้ในกรุงเก่าของเรา ๏

นยยฒาธุกยภ พระยาโบราณราชธานินทรแ . (๒๔๗๙). ประชุม พงศาวดาร ภาคที่ ๖๓ เรื่องกรุงเก่า พิมพแในงานพระราชทานเพลิงศพพระยา โบราณราชธานินนทรแ (พร เดชะคุปตแ ) ณ เมรุวัดเทพศิริน ทราวาส เมื่อวันที่ ๑๓ กุมภาพันธแ ๒๔๗๙ พิมพแที่โรงพิมพแ โสภณพิพรรฒธนากร.

I วารสารวิชาการ อยุธยาศึกษา I ปีที่ ๖ / ๒๕๕๗ I๕๓


คฤองภหาธาค:

คฤองบยะวัดิศาสดย์ถี่ตกู ฤืภ

วัธฤีม์ กยะจ่างวี*

หากกล่าวถึง “คลองมหานาค” หลายคนคงนึกถึงคลองมหานาคที่กรุงเทพมหานคร แต่จะมีสักกี่คนที่จะ ทราบว่ า คลองมหานาคที่ ก ล่ า วถึ ง มี แ หล่ ง ก าเนิ ด อยู่ ที่ จั ง หวั ด พระนครศรี อ ยุ ธ ยา และเป็ น คลองส าคั ญ ทาง ประวัติศาสตร์ที่เกิดจากความร่วมมือร่วมใจของผู้คนที่ ช่วยกันขุดคลองนี้ เพื่อ ใช้ป้อ งกัน ข้าศึกที่ยกทัพเข้ามาตี กรุ ง ศรี อ ยุ ธ ยาในสมั ย สมเด็ จ พระมหาจั ก รพรรดิ ดั ง ปรากฏข้ อ ความในพระราชพงศาวดารกรุ ง ศรี อ ยุ ธ ยา ฉบับสมเด็ จพระพนรัตน์ ความว่ า “ฝ่ายพระมหานาคบวชอยู่ ณ วัด ภูเขาทอง, สึ กออกรับ ตั้งค่ ายกั นทัพ เรือ , ตั้งค่ายแต่วัดภูเขาทองลงมาจนวัดป่าพลู พวกกาลังญาติโยมทาสชายหญิงของมหานาคช่วยกันขุดคูนอกค่า ย กันทัพเรือ, จึงเรียกว่าคลองมหานาค” (กรมศิลปากร ๒๕๑๔: ๔๒) คลองมหานาคปรากฏในเหตุการณแทางประวัติศาสตรแเพียงครั้ง เดียว เพราะหลัง จากเสร็จศึกในครั้ง นี้แล฾ว ทัพ พม฽ าเลื อ กที่จ ะเข฾า ตี ก รุ งศรี อ ยุธ ยาด฾ านทิ ศ ตะวั น ออกบริ เวณคู ขื่ อหน฾ า (แม฽ น้ํ าปุ า สั ก) แทน จนเป็ น เหตุใ ห฾ เ สี ย กรุงศรีอยุธยาครั้งที่ ๑ ใน พ.ศ.๒๑๑๒ และเมื่อคลองมหานาคไม฽ได฾ถูกใช฾ประโยชนแในฐานะการปูองกันข฾าศึก เหมือน ครั้งแรกที่ขุด การลดบทบาทของคลองเส฾นนี้จึงเหลือเพียงการใช฾ประโยชนแในการเป็นเส฾นทางสัญจรทางน้ําที่เชื่อมต฽อกับ แม฽น้ําเจ฾าพระยา แม฽น้ําลพบุรีและคูคลองต฽างๆ รวมทั้งยังเป็นจุดนัดพบหรือที่ชุมนุมของนักกลอนที่นิยมเล฽นเพลงเรือ เพลงสักวาในช฽วงฤดูน้ําหลากในบริเวณทุ฽งภูเขาทองด฾วย

* ภัณฑารักษแประจําพิพิธภัณฑสถานแห฽งชาติเจ฾าสามพระยา จังหวัดพระนครศรีอยุธยา ๕๔ I วารสารวิชาการ อยุธยาศึกษา I ปีที่ ๖ / ๒๕๕๗ I


แนวคลองมหานาค คัดจากแผนที่ฉบับพระยาโบราณราชธานินทร์

แธวคฤองภหาธาคกันสฟาฝกายเบฤี่มธแบฤง ในสถานการณแ ปใ จ จุ บั น บทบาทของแม฽ น้ํ า ลํ า ค ลอง ถู ก ล ดค ว าม สํ า คั ญ ลง เ นื่ อ ง จาก ก า ร เปลี่ยนแปลงวิถีชีวิตและวัฒนธรรมที่เป็นอยู฽ และการ พัฒนาเมืองโดยไม฽คํานึงถึงประวัติศาสตรแและภูมิหลัง ของแม฽ น้ํ า ลํ า คลอง ส฽ ง ผลให฾ เ กิ ด การบุ ก รุ ก และ ถมลําคลอง จนทําให฾แนวคลองมีการเปลี่ยนสภาพและ ลดขนาดลงจนทําให฾แนวคลองหายไปในที่สุด แนวโน฾ ม การขยายตั ว ของชุ ม ชนเมื อ งใน ยุ ค ปใ จ จุ บั น มี อั ต ราการขยายตั ว สู ง ขึ้ น อย฽ า งรวดเร็ ว ความจําเป็นในการหาพื้ นที่ในการปลูกสร฾างบ฾านเรือน อยู฽ อ าศั ย ของประชาชนจึ ง มี ค วามจํ า เป็ น เร฽ ง ด฽ ว น และการพั ฒ นาบ฾ า นเมื อ งให฾ ทั น สมั ย ตอบสนอง ความต฾ องการของชุ ม ชนก็มี ส฽ วนทํา ให฾ วิ ถีชี วิ ตดั่ ง เดิ ม เปลี่ ย นแปลงไป การเปลี่ ย นแปลงดัง กล฽ า วส฽ ง ผลให฾ คลองมหานาคที่ ทํ า ขุ ด ตั้ ง แต฽ ใ นสมั ย กรุ ง ศรี อ ยุ ธ ยา เปลี่ ยนสภาพเป็ นคลองเส฾นเล็ก ๆ ที่ห ากไม฽ สัง เกตจะ ไม฽ ท ราบเลยว฽ า มี ค ลองมหานาคแห฽ ง นี้ อ ยู฽ บ ริ เ วณ วัดภูเขาทองด฾วย คลองเส฾นนี้เชื่อมระหว฽างตําบลภูเขาทองกับ ตํ า บลท฽ า วาสุ ก รี (หั ว แหลม) จากการลงสํ า รวจ

แนวคลองมหานาค พบว฽ า แนว ค ล อ ง นี้ มี จุ ด เ ริ่ ม ต฾ น บ ริ เ ว ณ ด฾ า น ห น฾ า ท า ง เ ข฾ า เ จ ดี ยแ วั ด ภู เ ขาทองและขุ ด หั ก เลี้ ย วไป ทาง ทิ ศ ตะวั น ตกอ฾ อ มไ ปทาง ด฾ า นข฾ า งของวั ด คลองมหานาค บริเวณนี้มี ถนนลาดยางขนาบกับ แนวคลองและมีก ารตั ดถนนทั บ บนแนวคลองเข฾าสู฽วัด จ า ก ถ น น ท า ง เ ข฾ า วัดภูเขาทองยังปรากฏแนวคลอง ที่ ย า ว ต฽ อ เ นื่ อ ง ไ ป ท า ง ด฾ า น ทิศตะวัน ออกและหัก เลี้ ยวลงไป ทางใต฾ผ฽า นพื้นที่ ชุมชนภูเขาทอง แ น ว ค ล อ ง บ ริ เ ว ณ นี้ มี ก า ร ปลูกสร฾างบ฾านเรือนรุกล้ําเข฾าไปในแนวคลองและมีการ ทํ า ถนนตั ด เข฾ า ชุ ม ชนเป็ น ช฽ ว งๆ แม฾ ก ารทํ า ถนนเข฾ า ชุมชนดัง กล฽าวจะมีการสร฾างท฽อระบายน้ําไว฾ด฾านล฽า ง แต฽ ก็ ไ ม฽ ไ ด฾ ช฽ ว ยให฾ ก ระแสน้ํ า ไหลผ฽ า นได฾ อ ย฽ า งสะดวก เนื่ อ งจากในฤดู แ ล฾ ง ท฽ อ ดั ง กล฽ า วมี สิ่ ง ปฏิ กู ล และ เศษวัชพืชอุดตันอยู฽ภายในเป็นจํานวนมาก แนวคลองนี้ หักเลี้ยวไปทางทิศตะวันออกทางเหนือของวัดกงจักร และและหักเลี้ยวลงทางใต฾ คลองมหานาคส฽วนนี้แยก ออกเป็น ๒ ทาง เส฾นหนึ่งไหลลงใต฾ไปบรรจบกับแม฽น้ํา ลพบุ รี ที่ บ ริ เ วณด฾ า นทิ ศ ตะวั น ตกของวั ด ศาลาปู น (ปใจจุบันไม฽ปรากฏแนวคลองแล฾วเนื่องจากคลองตื้นเขิน และมี ก ารปลูก บ฾า นเรื อ นทั บแนวคลอง) ส฽ วนอี กเส฾ น หนึ่งหักเลี้ยวไปทางทิศตะวันตกผ฽านหลังวัดพรหมนิวาส หรื อวั ดขุ นยวน ผ฽า นหน฾า วั ดปุ าพลูแ ละไปออกแม฽ น้ํ า เจ฾าพระยาบริเวณชุมชนหัวแหลม

สาเหดุกายเสื่อภสฟาฝของคฤองภหาธาค จากการสํ า รวจแนวคลองคลองมหานาค ตั้งแต฽วัดภูเขาทอง ตําบลภูเขาทอง จนถึงบริเวณชุมชน หัวแหลม ตําบลท฽าว฽าสุกรี พบว฽าคลองมหานาคมีสภาพ เสื่ อ มโทรมและแนวคลองบางส฽ ว นขาดหายไป เมื่ อ พิ จ ารณาความเสื่ อ มสภาพของคลองมหานาค พบสาเหตุหลักๆ ดังนี้คือ I วารสารวิชาการ อยุธยาศึกษา I ปีที่ ๖ / ๒๕๕๗ I๕๕


ถนนลาดยางขนาบกับแนวคลอง และถนนตัดทับแนวคลองเข้าสู่วัด

๒. การพั ฒนาสาธารณูป โภค ได฾แ ก฽ การ สร฾างถนนตัดเข฾าชุมชน การดําเนินการดังกล฽าวทําให฾ แนวคลองถูกตัดเป็นส฽วนๆ ทําให฾คลองขาดเป็นช฽วง ๆ มี ลั ก ษณะเหมื อ นบ฽ อ น้ํ า ที่ เ ต็ ม ไปด฾ ว ยวั ช พื ช และ สิ่ง ปฏิกูล จนไม฽สามารถทํา ให฾น้ําระบายได฾เหมือนใน อดีต ๓. การขาดจิ ต ส านึ ก ในการบ ารุ ง รั ก ษา การที่ แ นวคลองมหานาคผ฽ า นหน฽ ว ยงานราชการ ศาสนสถานและบ฾ า นเรื อ นประชาชนทั้ ง ๒ ชุ ม ชน กับไม฽มีการบํารุงรักษา แต฽กับ ปล฽อยปละละเลย และ ทิ้ง ล฾า งโดยไม฽ให฾ ความสนใจอย฽า งจริ ง จัง ซึ่ง เป็ นเหตุ หนึ่ง ที่ทําให฾คลองไม฽สามารถระบายน้ําได฾ โดยเฉพาะ ช฽วงฤดูน้ําหลาก ๔. ป ระชา ชน ไม่ ท รา บ ควา มส า คั ญ แล ะไม่ ไ ด้ รั บ ควา มรู้ ทา งด้ า น ประวั ติ ศ า ส ตร์ โดยเฉพาะประวัติศาสตรแท฾องถิ่น โดยปใจจุบันมีผู฾สนใจ ศึกษาประวัติศาสตรแท฾องถิ่นน฾อยมากเนื่องจากให฾ความ สนใจกับเทคโนโลยีสมัยใหม฽มากกว฽า

กายณูแฤยักษา สฟาฝแภ่ธ้ํา คู คฤอง ๑. การขยายตัวของชุมชน สิ่งที่น฽าสังเกตคือ ในอดีตชาวบ฾านในพื้นที่เขตตําบลภูเขาทองและตําบล ท฽ า วาสุ ก รี (หั ว แหลม) จะปลู ก บ฾ า นเรื อ นอยู฽ อ าศั ย บริ เ วณริ ม แม฽ น้ํ า เจ฾ า พระยา เมื่ อ มี ก ารเปลี่ ย นแปลง เส฾ น ทางคมนาคมจากทางน้ํ า มาเป็ น ทางบกรวมทั้ ง การเพิ่มจํานวนประชากรในชุมชน การกระจายตัวใน การปลูกสร฾างบ฾านเรือนจึงมีมากขึ้น และรุกล้ําเข฾าไปใน แนวคลอง ซึ่งการรุกล้ํามี ๒ ลักษณะ คือ ๑.๑ การปลูกบ฾านยื่นเข฾าไปในแนวคลอง ทําให฾แนวคลองถูกลดขนาดให฾แคบและตื้นเขินลง ๑.๒ การปลู ก บ฾ า นค฽ อ มคลองหรื อ ทับแนวคลองจนทําให฾แนวคลองหายไป การปลูกสร฾างบ฾านเรือนทั้ง ๒ ลักษณะทําให฾ แนวคลองบางส฽วนตื้นเขินและบางส฽วนหายไป ซึ่งหาก ยังคงปล฽อยให฾มีการปลูกสร฾างบ฾านเรือ นในลักษณะนี้ เพิ่ ม มากขึ้ น คลองมหานาคคงจะหายไปจากจั ง หวั ด พระนครศรีอยุธยาอย฽างแน฽นอน ๕๖ I วารสารวิชาการ อยุธยาศึกษา I ปีที่ ๖ / ๒๕๕๗ I

การดู แ ลรั ก ษา สภาพแม฽ น้ํ า คู คลอง เป็น เรื่ องที่หน฽ วยงานภาครั ฐและชุ มชนต฾ อ งเข฾า มามี ส฽วนร฽วม โดยแนวทางการอนุรักษแดังกล฽าวเป็นหนึ่งใน นโยบายการอนุ รั ก ษแ แ ละพั ฒ นาสิ่ ง แวดล฾ อ มแม฽ น้ํ า คู คลอง ของกองอนุรักษแสิ่ง แวดล฾อมธรรมชาติ และ ศิลปกรรม ซึ่งข฾อมูลดังกล฽าวปรากฏในเอกสารเผยแพร฽ ตาม พรบ. ข฾อมูลข฽าวสาร ความว฽า “การดูแลรักษา สภาพแม฽น้ํา คู คลองในปใจจุบัน อยู฽ในความรับผิดชอบ ของหลายหน฽วยงาน และมีกฎหมายหลายฉบับเข฾ามา เกี่ ย วข฾ อ ง ดั ง นั้ น เพื่ อ ให฾ แ ม฽ น้ํ า คู คลอง มี คุ ณ ภาพ สิ่ ง แวดล฾ อ มที่ ดี ทั้ ง ในด฾ า นคุ ณ ภาพน้ํ า ระบบนิ เ วศ สภาพ แวดล฾ อ ม ตลอ ดจน คง ความสํ า คั ญ ทาง ประวัติศาสตรแและอนุรักษแวัฒนธรรมของชุมชนริมน้ํา เอาไว฾ อย฽างเหมาะสม จึงสมควรกําหนดนโยบายด฾าน การอนุ รั ก ษแ แ ละพั ฒ นา สภาพแวดล฾ อ มทางแม฽ น้ํ า คู คลองขึ้น เพื่อให฾เ กิดการประสานความร฽วมมือให฾ การดํ า เนิ น งานเป็ น ไปในทิ ศ ทางเดี ย วกั น ” และมี เปูาหมายที่สําคัญคือ


แนวคลองมหานาคที่แยกมาจากวัดศาลาปูน ผ฽านหลังวัดพรหมนิวาส

แนวคลองมหานาคที่ไหลไปออกแม฽น้ําเจ฾าพระยา

การปลูกบ฾านยื่นเข฾าไปในแนวคลอง

การปลูกบ฾านค฽อมคลองหรือทับแนวคลอง

๑. พัฒนาและดํารงรักษาแม฽น้ํา คู คลองไป กว฽าที่เป็นอยู฽ ๒. เร฽งฟื้นฟูแม฽น้ํา คู คลอง ที่เสื่อมโทรมให฾ สามารถนํามาใช฾ประโยชนแในด฾านการคมนาคมขนส฽ง การเกษตร การอุ ปโภคและบริ โภค และวิถี ชีวิ ตของ ประชาชน ๓. ให฾ประชาชนที่อาศัยอยู฽ริมแม฽น้ํา คู คลอง มีส฽วนในการอนุรักษแและพัฒนาที่สอดคล฾องกับวิถีชีวิต ของชุมชนและศักยภาพของ แม฽น้ํา คู คลอง ๔. ให฾ มีก ลไกในการกํา กั บดู แ ลการอนุรั ก ษแ และพัฒนาแม฽น้ํา คู คลอง ทั้งในระดับท฾องถิ่น ระดับ ภาค และระดับประเทศ โดยมีกฎหมายรองรับ

๕. ให฾มีการขึ้นทะเบียนแม฽น้ํา คู คลอง ที่ควร อนุรักษแ เพื่อให฾มีการดูแลรักษา และใช฾ประโยชนแอย฽าง เหมาะสม จา ก น โ ย บ า ย ก า ร อ นุ รั ก ษแ แ ละ พั ฒ น า สิ่งแวดล฾อมแม฽น้ํา คู คลอง ดังกล฽าวเป็นข฾อมูลที่ยืนยัน ได฾ว฽าภาครัฐได฾ให฾ความสําคัญเกี่ยวกับการอนุรักษแแม฽น้ํา คู คลอง เป็ น อย฽ า งมาก แต฽ ก ารดํ า เนิ น การอนุ รั ก ษแ คู ค ลอง จํ า เป็ น ต฾ อ งประสานขอความร฽ ว มมื อ ทั้ ง ใน ส฽วนหน฽วยงานภาครัฐ เอกชน และชุมชน เพื่อช฽วยกัน ผลั กดั น ให฾ ก ารอนุรั ก ษแแ ละพั ฒนาเป็ น ไปในแนวทาง เดียวกันและเกิดขึ้นได฾ตามเปูาหมายที่วางไว฾

I วารสารวิชาการ อยุธยาศึกษา I ปีที่ ๖ / ๒๕๕๗ I๕๗


ข้อเสธอแธะ การอนุรักษแและพัฒนาคลอง มหานาคเป็นเรื่องที่ทําได฾ยาก เนื่องจาก ท฾องถิ่นเองยัง ไม฽ให฾ความสําคัญกับการ ดู แ ลรั ก ษาแนวลํ า คลอง ดั ง จะเห็ น ได฾ จากการอนุ ญ าตให฾ มี ก ารปลู ก สร฾ า ง บ฾ า นเรื อ นบนแนวคลองและบางส฽ ว น รุ ก ล้ํ า เข฾ า ไปในแนวคลองทํ า ให฾ แ นว คลองขาดหายไป การกระทําลักษณะนี้ ชี้ใ ห฾ เ ห็น ถึ ง การปล฽อ ยปละละเลยของ เจ฾าหน฾าที่ท฾องถิ่นที่ไม฽ได฾ให฾ความสําคัญ กับคลองประวัติศาสตรแ อาจจะสืบเนื่อง จากการไม฽ ท ราบข฾ อ มู ล หรื อ การขาด จิตสํานึกในการดูแลรักษา หากองคแ ก รท฾ อ งถิ่ น หั น มา ศึกษาข฾อมูลในท฾องถิ่นของตนเองอย฽าง จริงจัง คงจะทราบถึงความสําคัญของ คลองเส฾น นี้ เพราะหากมี ก ารอนุ รั ก ษแ และพัฒนาคลองมหานาคอย฽างจริงจัง คงจะช฽วยให฾ชุมชนเกิดรายได฾จากการ ท฽องเที่ยวและการเกษตร รวมทั้งยังช฽วย บรรเทาปใญหาอุทกภัยในฤดูน้ําหลากได฾ ด฾วย ดัง นั้นการประสานความร฽ว มมื อ ระหว฽ า งหน฽ ว ยงานและชุ ม ชนจึ ง มี ความสําคั ญ อย฽ างเร฽ง ด฽ว น เพราะหาก ป ล฽ อ ย ทิ้ ง ไ ว฾ ใ น ลั ก ษ ณ ะ นี้ ค ล อ ง ประวั ติ ศ าสตรแ ข องชาวพระนคร ศรี อ ยุ ธ ยาคงจะเหลื อ เพี ย งชื่ อ คลอง อย฽างแน฽นอน ๏

การสร้างถนนตัดเข้าชุมชน

วัชพืชและขยะมูลฝอยภายในคลอง

นยยฒาธุกยภ กรมศิลปากร. (๒๕๔๕). การบูรณะเจดีย์ภูเขาทอง. กรุงเทพฯ : อมรินทรแพริ้นติ้งแอนดแพับลิซชิ่ง. กรมศิลปากร. (๒๕๔๕). คลองและท่าเรือจ้างสมัยโบราณกรุงศรีอยุธยา. กรุงเทพฯ : บ.ประชาชน. กรมศิลปากร. (๒๕๑๔). พงศาวดารกรุงศรีอยุธยา ฉบับสมเด็จพระพนรัตน์ วัดพระเชตุพน. พระนคร : คลังวิทยา. กองอนุรักษแสิ่งแวดล฾อมธรรมชาติและศิลปกรรม. สืบค฾นจาก webcache. googleusercontent.com ดุษฎี ท฾ายตะคุ. (๒๕๔๙). กลยุทธในการอนุรักษแพัฒนาศูนยแกลางเมืองในนครประวัติศาสตรแ. วารสารวิชาการ คณะสถาปัตยกรรมศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย. (๙). หน฾าที่ ๒๓๑- ๒๔๘.

๕๘ I วารสารวิชาการ อยุธยาศึกษา I ปีที่ ๖ / ๒๕๕๗ I


จิดยกยยภผาปธัง วัณชุภฝฤธิกามายาภ: ฝุถทศิฤบ์ดาภฝยะยาชศยัถทา ใธฝยะนาถสภเณ็จฝยะจอภเกฤ้าฯ

สุยิธถย์ ศยีสังข์งาภ*

พระอุโบสถและพระเจดีย์คู่ วัดชุมพลนิกายาราม

ควาภธํา การสร้างสรรค์ทางศิลปกรรมเป็นภาพสะท้อนที่ดีเยี่ยมของความรู้สึกนึกคิดจากผู้คนและสังคมร่วมสมัย เมื่อสภาพทางสังคมและวัฒนธรรมเปลี่ยนแปลง ผลงานศิลปกรรมย่อมมีการแปรผัน ทั้งแนวคิด รูปลักษณ์ และ สุนทรียภาพ เมื่อเข฾าสู฽ รัชสมั ยของพระบาทสมเด็จพระจอมเกล฾ าเจ฾ าอยู฽หั ว อาจกล฽าวได฾ว฽า เป็นยุ คแรกของการพัฒนา กรุงรัตนโกสินทรแสู฽แนวทางการพัฒนาอย฽างโลกตะวันตก ทัศนะของการมองโลกที่เป็นปใจจุบัน หรือการให฾ความสําคัญ กับ วิ ถี โ ลกที่ เ ป็ น จริ ง ได฾ แ สดงออกไปพร฾ อ มๆ กั บ การปริ ว รรตพุ ท ธศาสนา โดยให฾ ค วามสํ า คั ญ กั บ แก฽ น สาระจาก พระไตรปิฎก มากกว฽าจะยึดติดอยู฽กับ เนื้อหาที่มีในอรรถกถา หรือฎีกาต฽างๆ รวมไปถึง การรั บรู฾รูปลักษณแใหม฽ทาง ศิลปกรรมอย฽างไม฽เคยปรากฏมาก฽อน จึง เป็ นเหตุ ให฾ ในยุคสมัยดัง กล฽าว เกิด พัฒนาการทางด฾ านศิล ปกรรมครั้ ง ใหญ฽ แม฾จ ะยัง คงมีค วามสั มพัน ธแ สืบเนื่องมาจากรูปแบบศิลปกรรมดั้งเดิม แต฽ก็มีการเปลี่ยนแปลงโดยเฉพาะในคติสัญ ลักษณแอย฽างลุ฽มลึก และควรค฽า แก฽การทําความเข฾าใจ

* รองผู฾อํานวยการสถาบันอยุธยาศึกษา ฝุายวิชาการ มหาวิทยาลัยราชภัฏพระนครศรีอยุธยา I วารสารวิชาการ อยุธยาศึกษา I ปีที่ ๖ / ๒๕๕๗ I๕๙


เหดุแห่งกายเบฤี่มธแบฤงใธยัชสภัม ฝยะนาถสภเณ็จฝยะจอภเกฤ้าเจ้าอมูห่ ัว เมื่อเจ฾าฟูามงกุฎทรงสิ้นหวังจากการได฾รับสืบ ต฽อ ราชสมบั ติ จ ากพระบาทสมเด็ จพระพุ ท ธเลิ ศ หล฾ า นภาลัยแล฾ว ก็ไ ด฾ทรงตัดสินพระทัยที่จะทรงมุ฽งศึกษา พระพุ ท ธศาสนาอย฽ า งจริ ง จั ง โดยทรงประทั บ อยู฽ ณ วัดสมอราย (วัดราชาธิวาส) และทรงเริ่มการศึกษา พุทธศาสนาทางด฾าน “วิปัสสนาธุระ” เป็นลําดับต฾ น จากนั้น จึ ง เสด็ จ มาประทั บ ยั งวั ด มหาธาตุ เพื่ อศึ ก ษา ทางด฾าน “คันถธุระ” โดยมุ฽งเน฾นที่จะเรียนรู฾หลั กธรรม จากพระไตรปิ ฎ กอย฽ า งลึ ก ซึ้ ง เป็ น หลั ก จน ทรงมี พระปรีชาด฾านภาษามคธและอ฽านพระไตรปิฎกได฾อย฽าง แตกฉานด฾วยพระองคแเอง๑ ซึ่ ง คงเป็ น เหตุ สํ า คั ญ ที่ ทํ า ให฾ พ ระองคแ ท รง พบว฽าข฾อวัตรปฏิบัติต฽างๆ ของคณะสงฆแในช฽วงเวลานั้น ได฾มีความคลาดเคลื่อนไปจากพุทธบัญญัติเป็นอย฽างมาก ประกอบกับทรงพบพระภิกษุมอญรูปหนึ่งชื่อ “ซาย” ฉายา “พุ ทธวัง โส” ๒ ที่ เคยบวชเรีย นจากเมื องมอญ เป็นผู฾มีความรู฾ความชํานาญในวินัย ปิฎก และปฏิบั ติ ตามพระธรรมวินัยอย฽างเคร฽งครัด จึงได฾เสด็จไปศึกษา และแลกเปลี่ยนความคิดเห็นต฽อกันเสมอ จนกระทั่งใน ปี พ.ศ.๒๓๗๒ ได฾เสด็จกลับมาประทับยังวัดสมอรายอีก ครั้ง แล฾วจึงทรงทําทัฬหีกรรมอุปสมบทใหม฽ ตามอย฽าง พิธีในศาสนวงศแ นิกายสีมากัลยาณีของรามัญประเทศที่ สืบกันมาจากลังกา๓ และในที่สุดจึงทรงดําริจัดตั้งนิกาย เพื่อมุ฽งหวังจะฟื้นฟูและปฏิรูปพระพุทธศาสนา โดยทรง สถาปนาขึ้นเป็น “ธรรมยุติกนิกาย” ด฾วยพระประสงคแที่จ ะให฾พระพุทธศาสนามี ความรุ฽ ง เรื อ งสื บ ไป จึ ง ทรงพิ จ ารณาแก฾ ไ ข ปรั บ ปรุ ง และวางระเบียบแบบแผนปฏิบัติของสงฆแ เช฽นการวาง ระเบีย บทําวั ดไหว฾พ ระเช฾ าเย็นขึ้ นใหม฽ เป็นภาษาบาลี การวางระเบียบอักขระวิธี การออกเสียงภาษาบาลีตาม หลักสากล เพื่อให฾เป็นผลดีต฽อการชําระพระไตรปิฎก และอรรถกถาต฽อไป เป็นต฾น โดยเฉพาะอย฽างยิ่งการที่ทรงให฾ความสําคัญ กับเนื้อหาในพระไตรปิฎก มากกว฽าที่จะทรงเน฾นการใช฾ อรรถกถา และฎีกาอย฽างที่เคยปฏิบัติสืบเนื่องมาก฽อน

๖๐ I วารสารวิชาการ อยุธยาศึกษา I ปีที่ ๖ / ๒๕๕๗ I

แม฾ภ ายหลั ง ที่ พระองคแ ไ ด฾ ลาสิก ขาและเสด็ จขึ้ น ครอง ราชสมบัติแล฾ ว ก็มิไ ด฾ทรงทิ้ง พระราชภารกิจเกี่ย วกั บ พระพุ ท ธศาสนา โดยยั ง คงให฾ เป็ น พระราชกรณีย กิ จ สํ า คั ญ ซึ่ ง เป็ น เ หตุ ให฾ พุ ทธ ศา สน าโ ดย เฉ พ า ะ ธรรมยุ ติ ก นิ ก ายยั ง คงสื บ เนื่ อ งและรุ฽ ง เรื อ งจนจวบ ปใจจุบัน

วัณชุภฝฤธิกามายาภ จังหวัณฝยะธคยศยีอมุทมา เมื่อพระบาทสมเด็จพระจอมเกล฾าเจ฾าอยู฽หัว ทรงมีพระราชประสงคแ จะขอผาติกรรมพระนารายณแ ราชนิ เ วศนแ ที่ จั ง หวั ด ลพบุ รี ซึ่ ง ได฾ รั บ การกํ า หนด วิ สุ ง คามสี ม า ให฾ ก ลายเป็ น วั ด ในช฽ ว งปลายรั ช สมั ย สมเด็จพระนารายณแ ให฾กลับมาเป็นพระราชวัง ดังเดิม อีกครั้ง โดยในการผาติกรรมครั้งนั้นเป็นเหตุให฾พระองคแ ทรงโปรดให฾ มี ก ารปฏิ สัง ขรณแพ ระอารามขึ้ น ๓ แห฽ ง ประกอบด฾วย วัดชุมพลนิก ายาราม วัดเสนาสนาราม จังหวัดพระนครศรีอยุธยา และวัดกวิศรารามจัง หวัด ลพบุ รี เพื่ อเป็ นการแลกกับ พระนารายณแ ราชนิเ วศนแ ให฾กลับเป็นพระราชวังดังกล฽าวข฾างต฾น

บยะวัดิกายสย้าง แฤะบฎิสังขยฒ์ วัณชุภฝฤธิกามายาภ วัดแห฽ง นี้มีนามเดิมว฽า “วัดชุมพล” เมื่อครั้ง ปฏิสัง ขรณแพระอาราม พระบาทสมเด็จพระจอมเกล฾า เจ฾ า อยู฽ หั ว ทรงพระราชทานนามใหม฽ ว฽ า “วั ด ชุ ม พล นิกายาราม”๔ ในราชพงศาวดารกรุ ง ศรี อ ยุ ธ ยา ฉบั บ พั น จั น ทนุ ม าศ (เจิ ม ) และฉบั บ จั ก พรรดิ พ งศแ (จาด) ระบุ ข฾ อ ความที่ ใ กล฾ เ คี ย งกั น ว฽ า วั ดชุ ม พลนิ ก ายาราม สร฾างขึ้น ในรัชกาลสมเด็จพระเจ฾าปราสาททอง เมื่อปี พ.ศ.๒๑๗๕ เพื่ อ เป็ น พระอารามในพระราชวั ง บางปะอิน๕ แต฽ยังมีผู฾ตั้งข฾อสังเกตว฽าอาจมีความเป็นไป ได฾ที่อาจสร฾างขึ้นหลังจากปี พ.ศ.๒๑๙๓ โดยวิเคราะหแ จากหลั กฐาน “แผนที่ ” ซึ่ ง ชาวตะวั นตกทํ า ไว฾ แต฽ ก็ ไม฽ ไ ด฾ เป็ น ปใญ หาในทางวิช าการ เพราะจากหลั กฐาน ทั้งสองฝุายก็ยังอยู฽ในช฽วงเวลาที่ไม฽ห฽างกันมากนัก


จิตรกรรมฝาผนัง เรื่อง “ท้าวมหาราชทัง้ ๔ เฝูาพระพุทธเจ้าที่เขาคิชฌกูฏ”

ส฽วนการบูรณปฏิสังขรณแ ครั้งใหญ฽ เกิดขึ้น ใน รั ช สมั ย พระบาทสมเด็ จ พระจอมเกล฾ า เจ฾ า อยู฽ หั ว ราวปี พ.ศ. ๒๔๐๕- ๒๔๐๖ แม฾ไม฽ปรากฏรายละเอียด ว฽ามีการเปลี่ยนแปลงพระอารามมากน฾อยเพียงใด แต฽ก็ เชื่ อว฽ ารู ปลั กษณแข องพระอุ โบสถที่ป รากฏในปใจ จุบั น น฽าจะได฾รับการบูรณะในสมัยพระบาทสมเด็จพระจอม เกล฾ า เจ฾ า อยู฽ หั ว เป็ น ส฽ ว นใหญ฽ ไม฽ ว฽ า จะเป็ น เครื่ อ งบน หลั ง คา ตัว พระอุโ บสถ เสมา กํ าแพงแก฾ ว รวมไปถึ ง จิตรกรรมฝาผนัง หลังจากนั้นจึงมีการบูรณะอีกครั้งใน สมัยพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล฾าเจ฾าอยู฽หัว ๖ แต฽คง เป็ น การบู ร ณะตามรู ป แบบที่ ป รากฏแล฾ ว ในรั ช กาล พระจอมเกล฾าฯ เป็นหลักสําคัญ

จิดยกยยภผาปธังใธฝยะอุโนสต วัณชุภฝฤธิกามายาภ ด฾ ว ย แ ร ง บั น ด า ล ใ จ ห รื อ อิ ท ธิ พ ล ที่ สืบ เนื่ องมาจากพระราชศรั ท ธาของพระบาทสมเด็ จ พ ร ะ จ อ ม เ ก ล฾ า เ จ฾ า อ ยู฽ หั ว ที่ ท ร ง เ ป็ น ผู฾ ก฽ อ ตั้ ง ธ ร ร ม ยุ ติ ก นิ ก า ย ขึ้ น ตั้ ง แ ต฽ ใ น รั ช ส มั ย ข อ ง พระบาทสมเด็ จ พระนั่ง เกล฾ า เจ฾า อยู฽ หั ว นั้ น ครั้ ง เมื่ อ พระองคแ ท รงขึ้ น ครองราชยแ แ ล฾ ว ก็ ท รงอุ ป ถั ม ภแ ใ ห฾ ธรรมยุ ติ ก นิ ก ายมี ค วามรุ฽ ง เรื อ งขึ้ น สื บ ไป ดั ง นั้ น จึ ง ปรากฏพระอารามหลายแห฽ง ที่พระองคแทรงสถาปนา หรือทรงบูรณะขึ้นตามลําดับตลอดรัชกาล

I วารสารวิชาการ อยุธยาศึกษา I ปีที่ ๖ / ๒๕๕๗ I๖๑


และได฾ปรากฏอย฽างชัดเจนในงานจิตรกรรม ฝาผนัง ที่พระอุโบสถวัดชุมพลนิกายาราม โดยเฉพาะ เนื้อหาเรื่อง “พระอดีตพุทธเจ้าและพุทธประวัติของ พระพุทธเจ้าองค์ปัจจุบัน” ที่ได฾รับการศึกษาและเรียบ เรียงขึ้นใหม฽ จาก “พระไตรปิฎก”โดยตรง จึงปรากฏ รูปลักษณแ องคแประกอบ และการสื่อความใหม฽ ที่มีการ ปรับเปลี่ยนจากขนบนิยมของจิตรกรรมฝาผนังเดิม ที่ สืบเนื่องมาตั้งแต฽สมัยต฾นรัตนโกสินทรแ จิตรกรรมฝาผนังภายในพระอุโบสถวัดชุมพล นิกายาราม ได฾บรรยายเนื้อหาเรื่องพระอดีตพุทธเจ฾ า และพุทธประวัติ ของพระพุ ทธเจ฾าองคแปใ จจุบัน ที่ได฾ มี การสอบทานเนื้อหาใหม฽ การให฾ความสําคัญกับเนื้อหา ที่ปรากฏในพระไตรปิฎกเป็นชั้นต฾น ประกอบกับมีแผ฽น จารึกหินอ฽อนจําหลักอธิบายเนื้อหาในส฽วนต฽างๆ ทําให฾ เราสามารถทราบเนื้อหาและตําแหน฽งของเรื่องในงาน จิตรกรรมตามลําดับภายในพระอุโบสถ ดังนี้ ๑. ผนั ง ด฾านหลั งพระประธาน แบ฽งเนื้อหา ออกเป็น ๓ ตอนหลัง ประกอบด฾วย ๑.๑ พุท ธประวั ติ พระวิ ปใสสี พุ ทธเจ฾ า ตั้งแต฽เสด็จปฏิสนธิในครรภแ จนถึง เหตุการณแก฽อนการ ตรัสรู฾ ๑.๒ พุท ธประวั ติ พระวิ ปใสสี พุ ทธเจ฾ า หลังการตรัสรู฾จนถึงทรงประทานอนุญาตให฾พุทธสาวก ไปเผยแผ฽พระศาสนาในสถานที่ต฽างๆ ๑.๓ ภาพซุ฾มเรือนแก฾ว โดยบนยอดสุด ของซุ฾มเรือนแก฾ว ปรากฏพระมหาพิชัยมงกุฎเปล฽งรัศมี (พระราชลัญ จกรประจําพระองคแของพระบาทสมเด็จ พระจอมเกล฾าเจ฾าอยู฽หัว) ๒. ผนังด฾านซ฾ายมือของพระประธาน ตั้งแต฽ ส฽ ว นคอสองจนถึ ง ผนั ง ระหว฽ า งห฾ อ ง เขี ย นเนื้ อ หา ประกอบด฾วย ๒.๑ พุท ธประวั ติ พระวิ ปใสสี พุ ทธเจ฾ า ตั้งแต฽ทรงแสดงโอวาทปาฏิโมกขแจนถึงเหตุการณแถวาย พุทธพยากรณแ

๖๒ I วารสารวิชาการ อยุธยาศึกษา I ปีที่ ๖ / ๒๕๕๗ I

๒.๒ พุทธประวัติ พระสิกขีพุทธเจ฾า ๒.๓ พุทธประวัติ พระเวสสภูพุทธเจ฾า ๓. ผนังด฾านขวามือของพระประธาน ตั้งแต฽ ส฽ ว นคอสองจนถึ ง ผนั ง ระหว฽ า งห฾ อ ง เขี ย นเนื้ อ หา ประกอบด฾วย ๓.๑ พุทธประวัติพระกกุสันธพุทธเจ฾า ๓.๒ พุทธประวัติพระโกนาคมนพุทธเจ฾า ๓.๓ พุทธประวัติพระกัสสปพุทธเจ฾า ๔.ผนังด฾านหน฾าพระประธาน เขียนจิตรกรรม ฝาผนั ง เรื่ อ ง พุ ท ธประวั ติ พ ระโคตมพุ ท ธเจ฾ า หรื อ พระพุทธเจ฾าองคแปใจจุบัน แม฾ ม องในภาพรวม จะยั ง เห็ น ลั ก ษณะ ที่สืบ เนื่ องจากจิ ตรกรรมฝาผนัง ที่สร฾ างสรรคแ ขึ้น ก฽อ น หน฾ า นี้ แต฽ ใ นเชิ ง เนื้ อ เรื่ อ งและความหมาย จะ พบ พั ฒ นาการและความแตกต฽ า งอย฽ า งชั ด เจน เช฽ น การปฏิเสธ เรื่อง “ภัทรกัลป์ ” หรือ “พระอดีตพุท ธ ๒๘ พระองค์” ซึ่ง เป็นแนวคิดสําคัญ ที่ปรากฏในงาน จิตรกรรมฝาผนังก฽อนหน฾านี้ อีกทั้งยังมีการสร฾างสรรคแ จิตรกรรมที่มี ความพิเศษ สามารถวิเคราะหแไ ด฾เป็น ๓ ลักษณะ คือ ๑. จิ ต รกรรมที่ ยั ง คงแสดงรู ป แบบ และ เนื้อหาสืบเนื่องจากที่เคยปรากฏในอดีต ๒. จิตรกรรมที่ได฾รับการสร฾างสรรคแขึ้นใหม฽ จากเนื้อหาที่ไม฽เคยปรากฏในจิตรกรรมฝาผนังในอดีต ๓. การออกแบบเชิ ง สุ น ทรีย ภาพ ที่ แ สดง คว ามสั ม พั น ธแ ร ะ หว฽ าง จิ ต ร ก ร ร มฝาผนั ง แล ะ สถาปใตยกรรมภายใน เนื่องจากบทความนี้มุ฽ง แสดงลักษณะสําคัญ ของการพัฒนารูปแบบศิลปะโดยเฉพาะจิตรกรรมที่มี ความสั ม พั น ธแ กั บ คติ ท างพระพุ ท ธศาสนาที่ มี ค วาม เปลี่ยนแปลงในสมัยรัชกาลที่ ๔ จึงขอวิเคราะหแแต฽เพียง กรณี ศึ ก ษาบางส฽ ว นเพื่ อ ความชั ด เจน โดยเฉพาะ ภาพจิ ต รกรรมที่ ไ ด฾ รั บ การสร฾ า งสรรคแ ใ หม฽ และ ความสัมพันธแกับสถาปใตยกรรมภายในเป็นหลัก


จิตรกรรมฝาผนังด้านหน้าพระประธานใกล้ผนังระหว่างห้อง เรื่อง “ท้าวมหาราชทั้ง ๔ เฝูาพระพุทธเจ้าที่เขาคิชฌกูฏ”

จิตรกรรมฝาผนัง ภาพซุ้มเรือนแก้ว ประดับยอดด้วยพระมหาพิชัยมงกุฎ เปล่งรัศมี

พระประธานทั้ง ๗ องค์ ภายในพระอุโบสถ อันมีพระวิปัสสีพุทธเจ้าเป็นองค์ส่าคัญ I วารสารวิชาการ อยุธยาศึกษา I ปีที่ ๖ / ๒๕๕๗ I๖๓


นถวิเคยาะห์เฉฝาะจิดยกยยภผาปธังฟาฝ “ถ้าวภหายาชถั้งสี่ถี่เผ้าฝยะฝุถทเจ้าถี่ เขาคิชฌกูฎ” เป็นภาพจิตรกรรมที่ได฾รับการสร฾างสรรคแใหม฽ และได฾รับความสําคัญ โดยวิเคราะหแได฾จากตําแหน฽งของ ภาพ ซึ่ ง อยู฽ ที่ ผ นั ง ด฾ า นหน฾ า พระประธาน เยื้ อ งลงมา เหนือบริเวณผนังระหว฽างห฾อง ซึ่งเป็นตําแหน฽งที่อยู฽ใกล฾ ระดั บ สายตา และ มี บ ทบาทในฐาน ะตํ า แหน฽ ง ประจันหน฾ากับพระประธาน จากจดหมายเหตุ รั ช กาลที่ ๔ จ.ศ.๑๒๒๕ เลขที่ ๑๓๔ เรื่อง “สมณสาสแน เรื่องสมณสาสแนมาแต฽ ลังกา” โดยมีรายละเอียดความว฽า ... “เรื่องพระโคดม อยู฽ด฾านน฽า เขียนเปนเลาไปตั้งแต฽ประสูต รจนนิพพาน และให฾มีเรื่องอาฏานาฎิยะสูตรอยูต฽ รงกลางประตู...”๗ ประกอบกับบริเวณตอนล฽างของภาพมีแผ฽น จารึกหินอ฽อนเขียนข฾อความบรรยายใต฾ภาพความว฽า “ครั้ ง หนึ่ ง พระองคแ เ สด็ จ ไปประทั บ เขา คิ ช ฌกู ฏ ท฾ า วมหาราชทั้ ง ๔ มาเฝู า ให฾ เ สนายั ก ษแ , คนธรรพแ, กุมภัณฑแ, นาค รักษารอบ ท฾าวเวสสวรรณ มหาราช กราบทูลให฾พระองคแสอนภิกษุบรรสัท ให฾เรียน อาฏานาฏิ ย คถา กั น อมนุ ษ ยแ ร฾ า ย พระองคแ ก็ ใ ห฾ ภิ ก ษุ เรียนตามคําท฾าวเวสสวรรณกราบทูล” ซึ่งเนื้อหาของภาพตอนนี้ตั้งใจแสดงเนื้อหาใน “ อ า ฏา น า ฏิ ย สู ต ร ” ซึ่ ง เป็ น พ ร ะ สู ต ร หนึ่ ง ใ น สุตตันตปิฎก ทีฆนิกาย ว฽าด฾วยท฾าวจตุโลกบาลเข฾าเฝูา พระพุ ทธเจ฾า โดยท฾ าวเวสสุ วรรณมหาราชถวายมนตแ คุ฾ ม ครองที่ ชื่ อ ว฽ า “อาฏานาฏิ ย ะ” ซึ่ ง ขึ้ น ต฾ น ด฾ ว ย คํานมัสการพระพุทธเจ฾าทั้ง ๗ พระองคแ ประกอบด฾วย

ขอ น อ บ น฾ อ มพ ร ะ โ ก ณา คม น พุ ทธ เจ฾ า ผู฾ลอยบาปแล฾ว อยู฽จบพรหมจรรยแ ขอนอบน฾ อมพระกั ส สปพุ ทธเจ฾ า ผู฾ หลุ ด พ฾ น แล฾วจากกิเลสทั้งปวง ขอนอบน฾ อ มพระโคตมพุ ท ธเจ฾ า ผู฾ ท รง พระฉัพพรรณรังสี ผู฾ทรงสิริ ผู฾ทรงแสดงธรรมขจัดทุกขแ ทั้งปวง”๘ อีกทั้งจํานวนของพระพุทธเจ฾าทั้ง ๗ พระองคแ นี้ มีความสอดคล฾องกับจํานวนพระประธานทั้ง ๗ องคแ และจํานวนพระอดีตพุทธที่ปรากฏในจิตรกรรมฝาผนัง อย฽างชัดเจน นอกจากการนําเนื้อหาที่ปรากฏในพระสูตรฯ มาแสดงอย฽างชัดเจนแล฾ว ในเชิงรายละเอียดของภาพ จิตรกรรมฝาผนังได฾พยายามบรรยายภาพจิตรกรรมตาม เนื้ อ หาที่ ป รากฏอย฽ า งรอบคอบ และละเอี ย ดลออ ดังปรากฏชัดเจนในลักษณะของ “ท้าวมหาราชทั้ง ๔” หรือที่มักเรียกในปใจจุบันว฽า “ท้าวจตุโลกบาล” นั่นเอง ในภาพจิตรกรรมฝาผนังที่สร฾างสรรคแขึ้นก฽อน สมั ย รั ช กาลที่ ๔ ปรากฏภาพท฾ า วจตุ โ ลกบาลใน พุทธประวัติหลายตอน เช฽นตอน “มหาภิเนษกรมณ์ ” หรือตอนเจ฾ าชายสิทธัต ถะเสด็จออกบรรพชา โดยใน ภาพจิตรกรรมมักเขียนภาพท฾าวจตุโลกบาลมีลักษณะ อย฽า งเทพบุตร และมีลั กษณะเหมื อนกันทุ กพระองคแ ตัวอย฽างเช฽น ในจิตรกรรมฝาผนังตอนมหาภิเนษกรมณแ ที่ พ ระอุ โ บสถวั ด สุ ว รรณาราม, วั ด ไชยทิ ศ หรื อ ที่ วัดดุสิตดาราม กรุงเทพมหานคร เป็นต฾น แต฽ในจิตรกรรมฝาผนังที่วัดชุมพลนิกายาราม แห฽งนี้ ท฾าวจตุโลกบาลทั้ง ๔ องคแ ถูกสร฾างสรรคแขึ้นใหม฽ ตามลักษณะที่ปรากฏเนื้อความว฽า

“ขอนอบน฾ อ มพระวิ ปใ ส สี พุ ท ธเจ฾ า ผู฾ ท รง พระจักษุทรงพระสิริ ขอนอบน฾ อ มแด฽ พ ระสิ ขี พุ ท ธเจ฾ า ผู฾ ท รง อนุเคราะหแสัตวแทั้งปวง ขอนอบน฾อมพระเวสสภูพุทธเจ฾า ผู฾ชําระกิเลส ได฾แล฾ว มีตบะ ขอนอบน฾ อ มพระกกุ สั น ธพุ ท ธเจ฾ า ผู฾ ท รง เอาชนะมารและกองทัพได฾

“เหล฽ า คนธรรพแ ผู฾ มี ฤ ทธิ์ ม ากในทิ ศ บู ร พา จงคุ฾มครองข฾าพเจ฾าให฾เป็นผู฾ไม฽มีโรค มีความสุข เหล฽ า กุ ม ภั ณ ฑแ ผู฾ มี ฤ ทธิ์ ม ากในทิ ศ ทั ก ษิ ณ จงคุ฾มครองข฾าพเจ฾าให฾เป็นผู฾ไม฽มีโรค มีความสุข เ ห ล฽ า น า ค ผู฾ มี ฤ ท ธิ์ ม า ก ใ น ทิ ศ ป ร ะ จิ ม จงคุ฾มครองข฾าพเจ฾าให฾เป็นผู฾ไม฽มีโรค มีความสุข เหล฽ายักษแผู฾มีฤทธิ์มากในทิศอุดร จงคุ฾มครอง ข฾าพเจ฾าให฾เป็นผู฾ไม฽มีโรค มีความสุข

๖๔ I วารสารวิชาการ อยุธยาศึกษา I ปีที่ ๖ / ๒๕๕๗ I


ท฾ า วธตรฐเป็ น ผู฾ รั ก ษาโลกทิ ศ บู ร พา ท฾ า ว วิรุฬหกรักษาโลกทิศทักษิณ ท฾าววิรูปใกษแรักษาโลกทิศ ประจิม ท฾าวกุเวรรักษาโลกทิศอุดร”๙ โดยช฽ า งเขี ย น ได฾ ถ฽ า ยทอดรู ปแบบทาง จิตรกรรมไทย คือ - ท฾ า วกุ เ วร รั ก ษาโลกทิ ศ อุ ด ร เขี ย นให฾ มี รูปลักษณะเป็นยักษแ กายสีเขียว สวมมงกุฎยอดน้ําเต฾า และนั่งแวดล฾อมด฾วยกลุ฽มยักษแ - ท฾าววิรูปใกษแ รักษาโลก ทิศประจิม เขียนให฾ มีรูปลักษณะเป็นเทพบุตร กายสีขาว สวมมงกุฎยอด นาค และนั่ ง แวดล฾ อ มด฾ ว ยกลุ฽ ม นาค ที่ นิ มิ ต กายเป็ น มนุษยนาค กายสีขาวสวมมงกุฎยอดนาคเช฽นเดียวกัน - ท฾าววิรุฬหก รักษาโลกทิศทักษิณ เขียนให฾ มีรูปลักษณะเป็นยักษแโล฾น กายสีทอง นั่งแวดล฾อมด฾วย กลุ฽มยักษแ (หรือในที่นี้อาจหมายถึงกุมภัณฑแ) - ท฾าวธตรฐ รัก ษาโลกทิ ศบูรพา เขียนให฾ มี รูปลักษณะคล฾ายมนุษยแผู฾ชาย ไม฽สวมมงกุฎ นั่งแวดล฾อม ด฾วยมนุษยแผู฾ชาย (หรือในที่นี้อาจหมายถึงคนธรรพแ)

ซึ่งเนื้อความในอาฏานาฏิยสูตรสามารถสรุป ได฾ ว฽ า ท฾ าวเวสสุ ว รรณนั้ น เป็น ใหญ฽ ข องยั กษแ ทั้ ง หลาย ท฾าว วิรูปใกขแเป็นใหญ฽ของพวกนาค ท฾าววิรุฬหกเป็ น ใหญ฽ ใ นพวกกุ ม ภั ณ ฑแ และท฾ า วธตรฐเป็ น ใหญ฽ ใ นหมู฽ คนธรรพแ จึงมีความใกล฾เคียงกับที่ปรากฏในจิตรกรรม ฝาผนังเป็นอย฽างมาก

นถวิเคยาะห์เฉฝาะกายออกแนนโคยงสี ฟามใธฝยะอุโนสต ภายในพระอุโบสถมี “เสาในประธาน” ทั้งสิ้น ๔ คู฽ โดยเขี ย นจิ ต รกรรมตกแต฽ ง เป็ น ภาพ “เครื่ อ ง แขวน” ประดับเสาแบบที่เคยปรากฏก฽อนหน฾านี้ แต฽ ประเด็นสําคัญอยู฽ที่ว฽า พื้นเสาแต฽ละคู฽มีการระบายสีรอง พื้นที่แตกต฽างกันตามลําดับ คือ - เสาคู฽ ที่ ห นึ่ ง นั บ จากผนั ง ด฾ า นหลั ง พระ ประธาน ระบายพื้นหลังด฾วยสีขาวแรเส฾นด฾วยสีมอคราม (สีฟูา)

จิตรกรรมฝาผนัง และสถาปัตยกรรมภายใน ของพระอุโบสถวัดชุมพลนิกายาราม I วารสารวิชาการ อยุธยาศึกษา I ปีที่ ๖ / ๒๕๕๗ I๖๕


- เสาคู฽ที่สองระบายสีพื้นด฾วยสีขาว แรเส฾น ด฾วยสีหงชาด (สีชมพู) - เสาคู฽ที่สามระบายสีพื้นด฾วยสีชาด (สีแดง) - เสาคู฽ที่สี่ระบายด฾วยสีคราม (สีน้ําเงิน) ซึ่งแสดงให฾เห็นถึงการใช฾งานจิตรกรรมฝาผนัง ในฐานะศิลปะตกแต฽งเพื่อสร฾างสุนทรียภาพ และการสื่อ ความหมายเชิงสัญลักษณแใหม฽ อย฽างเด฽นชัด กล฽าวคือมี การใช฾ “ทั ศ นธาตุ ” และ “ความรู้ สึ ก ”จากงาน จิตรกรรมมาเป็นส฽วนหนึ่งของการสร฾าง “เอกภาพ” ที่ มีความสอดคล฾องกับสถาปใตยกรรมภายใน เนื่องจาก ผนังด฾านหลังพระประธานเขียนเป็นรูปซุ฾มเรือนแก฾ว บน ยอดสุดของซุ฾มเรือนแก฾วประดิษฐาน “พระมหาพิชัย มงกุฎ” อั นเป็น พระราชลัญจกรประจําพระองคแของ พระบาทสมเด็จพระจอมเกล฾าเจ฾าอยู฽หัว เบื้องหน฾าของ จิตกรรมภาพซุ฾มเรือนแก฾ว ประดิษฐานพระพุทธปฏิมา ปร ะ ธาน คื อ “พ ระวิ ปั ส สี พุ ท ธเ จ้ า ” อั น เป็ น พระพุ ท ธเจ฾ า พระองคแ แ รกตามเนื้ อ หาที่ ป รากฏใน จิตรกรรมฝาผนัง สีของเสาในประธานที่แตกต฽างกันมี ความสอดคล฾องไปกับระยะของแสงรัศมีจากพระราช ลัญจกรและพระประธานที่ ทําให฾เสาต฾ นที่ใกล฾กับพระ พุทธปฏิมาจะมี สี สว฽าง ด฾ว ยสีขาว สีช าด และสี คราม ตามลําดับ จึง อาจเป็ น ดัง “ปริ ศ นาธรรม” ที่ แสดงให฾ เห็นถึงสิ่งที่ใกล฾พระพุทธศาสนา (?) ย฽อมพบแสงสว฽าง ซึ่งเป็นอีกรูปแบบหนึ่งของงานจิตรกรรมฝาผนังที่นิยม ในรั ชสมัย ของพระองคแ (ประเด็ นนี้ยั งอาจสื่ อไปถึ ง ส ถ า น ะ แ ห฽ ง “ พ ร ะ จั ก ร พ ร ร ดิ ร า ช ” ข อ ง พระบาทสมเด็ จ พระจอมเกล฾ า ฯ ก็ เ ป็ น ได฾ ซึ่ ง เป็ น ประเด็นที่ต฾องวิเคราะหแอย฽างลึกซึ้งต฽อไป)

สยุบ จิตรกรรมฝาผนังภายในพระอุโบสถวัดชุมพล นิกายาราม เป็นตัวอย฽างอันดียิ่งที่แสดงถึง แนวทางใน การสร฾ า งสรรคแ และแสดงออกทางจิ ต รกรรมไทย ในช฽วงสมัยของการเปลี่ยนแปลงสภาพสังคมวัฒนธรรม ในสยาม ด฾วยพระราชศรัทธาของพระบาทสมเด็จของ พระจอมเกล฾ า เจ฾ า อยู฽ หั ว ที่ ท รงมี ทั ศ นะต฽ อ เนื้ อ หาใน พระพุ ท ธศาสนา โดยแสดงออกในรู ป ลั ก ษณแ ที่ ยั ง ๖๖ I วารสารวิชาการ อยุธยาศึกษา I ปีที่ ๖ / ๒๕๕๗ I

สามารถสืบเนื่องจากรูปแบบจากจิ ตรกรรมไทยแบบ ประเพณีนิยมที่เกิดขึ้นตั้งแต฽สมัยต฾นรัตนโกสินทรแ และ ได฾ มี ก ารพั ฒ นาให฾ มี เ นื้ อ หาตามหลั ก ปฏิ บั ติ ข อง ธรรมยุติกนิกายได฾อย฽างลึกซึ้ง และแยบยล เช฽น ๑ .ก า ร ศึ ก ษ า เ นื้ อ ห า เ รื่ อ ง พ ร ะ อ ดี ต พระพุ ท ธเจ฾ า และพุ ทธประวั ติข องพระพุ ท ธเจ฾ าองคแ ปใ จ จุ บั น ที่ ป รากฏในพระไตรปิ ฎ กโดยตรง ทั้ ง ใน มหาปทานสูตร พระสุตตันปิ ฎก และอาฎานาฎิยสูตร ซึ่ง เป็นพระคัม ภีรแชั้น ต฾น อันเป็ น ไปตามหลักการตาม ธรรมยุติกนิกาย และพระราชศรัทธาในพระบาทสมเด็จ พระจอมเกล฾าฯ ๒. เป็นเครื่องแสดงความลึกซึ้ง ของคุณค฽าใน การศึกษาตามพระไตรปิฎก ภาพจิตรกรรมฝาผนังจึงมี การถ฽ายทอดให฾เป็นจริงตามพุทธบัญญัติที่กล฽าวไว฾อย฽าง ละเอียดรอบคอบ เช฽น ลักษณะของท฾าวจตุโลกบาลทั้งสี่ องคแ ช฽างได฾เขียนตามที่พรรณนาไว฾ในตามสุตตันปิ ฎก และอาฎานาฎิยสูตรอย฽างใกล฾เคียง ๓. การสร฾างสรรคแคุณค฽าเชิง สุนทรียภาพ ที่ สร฾างความสัมพันธแระหว฽างจิตรกรรมฝาผนัง สัญลักษณแ และสถาปใตยกรรมภายใน แสดงให฾เห็นการสร฾างสรรคแ เชิงศิลปกรรมที่ใช฾การประสานร฽วมกัน ทุกองคแประกอบ ตั้ง แต฽พระประธาน เสาร฽วมใน และจิตรกรรมฝาผนัง ก฽อให฾เกิดทัศนมิติ ที่สามารถนําพาผู฾คนเข฾าสู฽เปูาหมาย สูงสุดของงานจิตรกรรมฝาผนังได฾อย฽างยอดเยี่ยม ด฾วยพระปรีชา และพระวินิจฉัยอันลึกซึ้งของ พระบาทสมเด็จพระจอมเกล฾ าเจ฾าอยู฽หัว เราอาจจะยัง ไม฽เข฾าถึงเหตุผลที่แท฾จริง ของพระราชศรัทธาถึงการยก ย฽องพระวิปใสสีพุทธเจ฾า ขึ้นเป็นพระพุทธเจ฾าองคแปฐม อันเป็นแนวคิดหลักในการสร฾างสรรคแจิตรกรรมฝาผนัง ภายในวัดชุมพลนิกายาราม และยังมีข฾อน฽าสงสัยว฽าเหตุ ใดจึงใช฾คติความเชื่อ และรูปลักษณแของพุทธศาสนาฝุาย “ธรรมยุติกนิกาย” มาเป็นแบบอย฽างในพุทธสถานของ “มหานิ ก าย” ซึ่ ง ยั ง คงเป็ น ข฾ อ สงสั ย ที่ ร อการศึ ก ษา ค฾นคว฾าต฽อไป อย่ า งไรก็ ต ามการแปลความหมายในเชิ ง ประติมานวิทยา และคติ สัญลักษณ์ต่างๆ ที่ปรากฏ ในงานจิตรกรรมฝาผนัง ที่สร้างสรรค์ขึ้นตามพระราช


ศรัท ธาของพระบาทสมเด็ จพระจอมเกล้า เจ้ าอยู่หั ว ได้ส ะท้ อ นให้ เห็ น ความปรารถนาที่ ส าคั ญ ที่ สุ ด ของพระองค์ ป ระการหนึ่ ง คื อ การใช้ “ปัญญา” ในการรับรับรู้โลกภายนอกอย่างเป็นปัจจุบัน เพราะหากขาดซึ่ง ปัญญาแล้ว ก็ไม่มีทางเข้าถึงความหมายอันมหาศาล ที่สอดแทรกเป็นส่วน หนึ่ งในงานจิต รกรรมและศิ ลปกรรมตามพระราชศรัท ธาของพระองค์ อย่างน่าเสียดาย ๏

เชิงอยยต ๑

สมคิด จิระทัศนกุล . (๒๕๔๗). รูปแบบพระอุโบสถและพระวิหารในสมัยพระบาทสมเด็จ พระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว. หน฾า ๑๓. ๒ ประยุทธ สิทธิพันธแ. (๒๕๑๖). สมเด็จพระจอมเกล้า เจ้ากรุงสยาม เล่มต้น. หน฾า ๓๐. ๓ สมเด็จพระญาณสังวร (สุวทฒโน). (๒๕๓๑). พุทธศาสนวงศ์. หน฾า ๕๕. ๔ หอสมุดแห฽งชาติ. (๒๕๐๕-๒๕๐๖). พระราชพงศาวดารกรุงรั ตนโกสินทร์ ฉบับหอสมุ ด แห่งชาติ. หน฾า ๗๖๖. ๕ กรมศิลปากร. (๒๕๐๗). พระราชพงศาวดารกรุงศรีอยุธยา ฉบับพันจันทุมาศ (เจิม) กับ พระจักพรรดิพงศ์ (จาด). หน฾า ๓๔๔, ๘๖๗. ๖ กรมศิลปากร. (๒๕๓๐). ประวัติวัดชุมพลนิกายาราม จังหวัดพระนครศรีอยุธยา. หน฾า ๒๐๒๒. ๗ หอสมุดแห฽งชาติ. จดหมายเหตุรัชกาลที่ ๔. สมุดขอเฝูา. เส฾นดินสอขาว. จ.ศ.๑๒๒๕. เลขที่ ๑๓๔. ๘ พระสูตรและอรรถกถา แปล ทีฆนิก าย ปาฏิก วรรค เล่ มที่ ๓ ภาคที่ ๒. (๒๕๒๗). หน฾ า ๑๒๔-๑๒๕. ๙ เรื่องเดียวกัน.

นยยฒาธุกยภ ญาณสังวร (สุวฑฒโน), สมเด็จพระ. (๒๕๓๑). พุทธศาสนวงศ์. กรุงเทพฯ : โรงพิมพแมหามงกุฎราช วิทยาลัย. _______. (๒๕๒๓). ประวัติวัดชุมพลนิกายาราม. กรุงเทพฯ : กรมศิลปากร. _______. (๒๕๒๓). ประวัติวัดชุมพลนิกายาราม จังหวัดพระนครศรีอยุธยา. กรุงเทพฯ : อมรินทรแ. ประยุทธ สิทธิพันธแ. (๒๕๑๖). สมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว เล่มต้น. กรุงเทพฯ : โรงพิมพแมิตร สยาม. พระราชพงศาวดารกรุ ง ศรี อ ยุ ธยา ฉบั บ พั น จั น ทุ ม าศ (เจิ ม ) กั บ พระจั ก รพรรดิ พ งศ์ (จาด). (๒๕๐๗). พระนคร : คลังวิทยา, พระสูตรและอรรถกถา แปล ทีฆนิกาย ปาฏิกวรรค เล่มที่ ๓ ภาคที่ ๒. (๒๕๒๗). กรุงเทพฯ : มหา มงกุฎราชวิทยาลัย. สมคิด จิระทัศนกุล . (๒๕๔๗). พระอุโบสถและพระวิหารในสมัยพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้ า เจ้าอยู่หัว. กรุงเทพฯ: เมืองโบราณ. หอสมุดแห฽งชาติ. จดหมายเหตุรัชกาลที่ ๔. สมุดขอเฝูา. เส฾นดินสอขาว. จ.ศ.๑๒๒๕. เลขที่ ๑๓๔. หอสมุดแห฽งชาติ. (๒๕๐๕-๒๕๐๖). พระราชพงศาวดารกรุงรัตนโกสินทร์ ฉบับหอสมุดแห่งชาติ. พระนคร : คลังวิทยา. อิสรา อุปถัมภแ. (๒๕๔๙). จิตรกรรมฝาผนังวัดชุมพลนิกายาราม: การวิเคราะห์จากมุมมองใหม่. สารนิพนธแปริญญา มหาบัณฑิต. บัณฑิตวิทยาลัย มหาวิทยาลัยศิลปากร.

I วารสารวิชาการ อยุธยาศึกษา I ปีที่ ๖ / ๒๕๕๗ I๖๗


ฤักษฒะปสภใธจิดยกยยภวัณ จอก ดอ จี เภืองอภยบุยะ : ยูบแนนแฤะนยินถถางวัฑธทยยภ

วยวิถม์ สิธทุยะหัส*

ภาพประกอบ ๑ วัดจอก ตอ จี อมรปุระ

วัดจอก ตอ จี ตั้งอยู่ที่เมืองอมรปุระเป็นเมืองหลวงที่พระเจ้าปดุงย้ายจากอังวะมายังอมรปุระ (ภาพที่ ๑) วัดนี้สร้างขึ้นในสมัยพระเจ้าปกันมินหรือพระเจ้าพุกามแห่งราชวงศ์คองบอง ในปี พ.ศ. ๒๓๙๐ ตรงกับรัชสมัย พระบาทสมเด็จพระนั่งเกล้าเจ้าอยู่หัวแห่งกรุงรัตนโกสินทร์วัดนี้ตั้งอยู่บริเวณริมทะเลสาบตองตะมานการเดินทาง ต้องข้ามสะพานไม้อูเบงยาวประมาณ ๑,๒๐๐ เมตร (ภาพที่ ๒)

* ครู วิทยฐานะชํานาญการ กลุ฽มสาระการเรียนรู฾ศิลปะ (ทัศนศิลป฼) โรงเรียนสมโภชกรุงอนุสรณแ (๒๐๐ ปี) กรุงเทพมหานคร ๖๘ I วารสารวิชาการ อยุธยาศึกษา I ปีที่ ๖ / ๒๕๕๗ I


ภาพประกอบ ๒ สะพานไม้อูเบง อมรปุระ

รู ป แบบทางศิ ลปะของวั ด โดยเฉพาะเจติ ย วิ ห ารได฾ แ นวคิ ด ในการสร฾ า งมาจากอานั น ทเจดี ยแ ๑ รายละเอียดภายในวัดโดยเฉพาะงานจิตรกรรม รูปแบบ ทางศิ ล ปกรรมน฽ า จะได฾ รั บ อิ ท ธิ พ ลจากศิ ล ปะไทย สันนิษฐานว฽าได฾รับอิทธิพลจากศิลปะอยุธยาตอนปลาย เมื่อครั้ง เสียกรุงศรีอยุธยาครั้งที่ ๒ ใน พ.ศ. ๒๓๑๐ มีเชลยชาวอยุธยาได฾ถูกกวาดต฾อนเข฾ามายัง กรุง อัง วะ เป็นจํานวนมาก รวมถึงที่เ มื องสะกาย เนื่องด฾วยทาง กรุงอังวะต฾องการที่จะตัดกําลังกรุงศรีอยุธยามิให฾ฟื้นคืน ได฾ อี ก เชลยชาวอยุ ธ ยามี ทั้ ง พระบรมวงศานุ ว งศแ ข฾าราชการ ทหาร ประชาชน และส฽วนหนึ่ง ก็คือผู฾ที่ มี ความสามารถทางด฾านศิลปะอย฽างช฽างเขียน โขน ละคร สอดคล฾องกับบทความประวัติศาสตรแพม฽าว฽า พระเจ฾ า ช฾ า งเผื อ กมี คํ า สั่ ง ให฾ จั บ พระบรมวงศานุ ว งศแ ไ ปยั ง กรุ ง อั ง วะ รวมทั้ง ได฾ เ ก็ บ สมบั ติ แ ละเกณฑแ ไ พร฽ พ ลใน อาชี พ ต฽ า งๆ ได฾ แ ก฽ ช฽ า งเขี ย น ช฽ า งฟู อ น นั ก ดนตรี ช฽างแกะสลัก ช฽างทองและเงิน ช฽างมุก ช฽างลงรักปิดทอง กลับไปในครั้งนั้นด฾วย๒ ตัวอย฽า งหลัก ฐานงานศิลปกรรม จิต รกรรม ภายในวิหารวัดมหาเตงดอจีที่เมืองสะกายเป็นสิ่งที่บอก ได฾ว฽า คือฝี มือของช฽ างชาวอยุธยา เพราะรายละเอีย ด

ภาพประกอบ ๓ จิตรกรรมภายในอุโบสถวัดมหาเตงดอจี ศิลปะอยุธยาตอนปลาย สะกาย

ของสี เส฾น ในงานจิตรกรรม ประติมากรรมเป็นแบบ ศิลปะอยุธยาตอนปลายทั้งสิ้น (ภาพที่ ๓) ดังนั้น ศิลปะ ในวัดจอก ตอ จี จึงปรากฏถึงอิทธิพลจากศิลปะอยุธยา ตอนปลายตามไปด฾วย อาจเป็นเพราะเมืองอมรปุระซึ่ง เป็นเมืองหลวงอีกแห฽งหนึ่งห฽างจากอังวะเมืองหลวงเก฽า ไม฽มาก อยู฽ในบริเวณเดียวกัน รูปแบบทางศิลปะอาจสืบ ต฽อจากของเก฽าด฾วยรวมถึงเมืองสะกายมีจิตรกรรมของ ช฽างชาวอยุธยาซึ่ง ระยะทางใกล฾เคียงกับเมืองอมรปุระ ด฾วย ดังนั้นศิลปะไทยในวัดจอก ตอ จี จึงมีแนวโน฾ มว฽า น฽าจะได฾อิทธิพลจากศิลปะอยุธยาตอนปลาย ตัวอย฽าง งานศิลปะที่ศึกษาคือจิตรกรรมรายละเอียดมีดังต฽อไปนี้

จิดยกยยภ ๑. ลายกรอบย่ อ มุ ม (ภาพที่ ๔) ลั ก ษณะ คล฾ายกับลายกรอบย฽อมุม ในศิลปะอยุธยาตอนปลาย ตั ว อย฽ า งเช฽ น ลายกรอบย฽ อ มุ ม บนเพดาน ที่ อุ โ บสถ วั ด สระบั ว เพชรบุ รี (ภาพที่ ๕) หากเปรี ย บเที ย บ รูปแบบแล฾ว มีรูปแบบคล฾ายกัน เป็นลายที่ใช฾เขียนบน เพดาน มีลายดาวเพดาน ลายประจํายาม เหมือนกัน และจิตรกรรมเพดานที่วัดอุบาลีเตง เมืองพุกามก็เขียน เพดานลักษณะนี้เช฽นกัน (ภาพที่ ๖)

I วารสารวิชาการ อยุธยาศึกษา I ปีที่ ๖ / ๒๕๕๗ I๖๙


ภาพประกอบ ๔ ลายกรอบย่อมุมบนเพดาน เจติยวิหารวัดจอก ตอ จี อมรปุระ ภาพประกอบ ๗ เทพนมแบบที่ ๑ องค์ที่ ๑ วัดจอก ตอ จี อมรปุระ

ภาพประกอบ ๕ ลายกรอบย่อมุมบนเพดานอุโบสถวัดสระบัว เพชรบุรี

ภาพประกอบ ๘ เทวดาบนหน้าต่างวัดสระบัว เพชรบุรี ภาพประกอบ ๖ ลายกรอบย่อมุมบนเพดานวัดอุบาลีเตง พุกาม

๗๐ I วารสารวิชาการ อยุธยาศึกษา I ปีที่ ๖ / ๒๕๕๗ I


ภาพประกอบ ๙ เทพนมแบบที่ ๑ องค์ที่ ๒ วัดจอก ตอ จี อมรปุระ

ภาพประกอบ ๑๐ เทพนมแบบที่ ๒ วัดจอก ตอ จี อมรปุระ

ภาพประกอบ ๑๑ เทพนมแบบที่ ๓ วัดจอก ตอ จี อมรปุระ

๒.เทพนม เทพนมแบบที่ ๑ องคแ ที่ ๑ ลั ก ษณะเทพนมแบบที่ ๑ (ภาพที่ ๗) เมื่อพิจารณาจากรายละเอียดของเครื่องทรง มีรูปแบบ ของศิลปะไทย ได฾แก฽ กระบังหน฾า มงกุฎ กรรเจียก กุณฑล กรองศอ พาหุ รั ด ทองกร ใบหน฾ า ทํา คิ้ ว โก฽ง คล฾ ายศิ ล ปะไทยแต฽ ไ ม฽ โก฽ ง มาก รวมทั้ง ตา จมูก ปาก เส฾น หนวด มองจากภาพรวมแล฾วมีความเป็น ศิลปะไทยแต฽ยัง ไม฽เหมือนเสียทีเดียว มีลายกนกสามตัวแทรกอยู฽ ทางด฾านข฾างลําตัว ลายกนกแบ฽งเป็นสามตัวสะบัดด฾วยยอดหางไหล คล฾ายศิลปะไทย และโผล฽ขึ้นจากดอกบัวเหมือนเทพนมในศิลปะไทย เที ย บได฾ กั บ จิ ต รกรรมเทวดาบนหน฾ า ต฽ า งวั ด สระบั ว เพชรบุ รี (ภาพที่ ๑๑) สิ่งที่แตกต฽างจากศิลปะไทย คือ รูปหน฾าค฽อนข฾างกลมเป็น แบบท฾องถิ่น ไม฽เหมือนใบหน฾ารูปไข฽ในจิตรกรรมไทย คอสั้น นิ้วมือ ไม฽อ฽อ นช฾อยกรีด กรายเหมือ นจิต รกรรมไทย รูป ร฽างค฽ อนข฾า งอวบ ต฽างจากจิตรกรรมไทยที่นิยมรูปร฽างสะโอดสะอง ในส฽วนนี้อาจเป็น ความนิยมของการเขียนรูปเทพนมแบบพม฽าก็เป็นได฾ องค์ที่ ๒ ด฾านตรงข฾ามมีภาพเทพนมแบบที่ ๑ อีกหนึ่งองคแ ที่มีลักษณะเครื่องทรงคล฾ายกับศิลปะไทยโดยเฉพาะใบหน฾ามีเค฾าของ จิต รกรรมไทยมากกว฽ า องคแแ รก คือ คิ้ วโก฽ ง เหมื อนคั นธนูเ หมื อ น ศิ ล ปะไทยมาก ตาเหลื อ บต่ํ า เหนื อ ริ ม ฝี ป ากเขี ย นหนวดสะบั ด ออกเป็นหางไหล ใบหน฾าหวานเป็นรูปไข฽ ความชัดเจนของเครื่อง ทรงแบบไทย ได฾แก฽ กระบัง หน฾า มงกุฎ กรรเจียกปลายกนกเปลว ค฽ อ น ข฾ า ง พ ริ้ ว ก ว฽ าอ ง คแ ที่ ๑ มี กุ ณฑ ล ก ร อ ง ศอ สั ง ว าล ทับทรวงลายประจํายาม (ภาพที่ ๙) เป็นไปได฾ว฽าช฽างเขียนมีความ เข฾ า ใจในคติ นิ ย มในการเขี ย นใบหน฾ า ตามคติ นิ ย มจิ ต รกรรมไทย ประเพณีมากกว฽า กล฽ าวได฾ว฽าเทพนมองคแนี้ มีความเป็นศิลปะไทย มากกว฽าองคแที่ ๑ อาจเป็ น ช฽ า งคนละคนกั บ เทพนมองคแ ที่ ๑ เพราะว฽ า รายละเอียดของเครื่อ งทรงต฽างกัน กล฽าวคือช฽างที่เขียนองคแที่ ๒ มี ค วามเข฾ า ใจในรู ป แบบการเขี ย นเทพนมแบบจิ ต รกรรมไทย ประเพณีและมีความชํานาญในการเขียนลายไทยมากกว฽าองคแที่ ๑ มาก หรืออาจเป็นช฽างคนเดียวกันแต฽ต฾องการความแตกต฽างทางด฾าน มุมมองก็เป็นได฾ เพื่อไม฽ให฾ภาพเขียนเกิดความซ้ําจนเกินไป

ภาพประกอบ ๑๒ เทพนมแบบที่ ๔ วัดจอก ตอ จี อมรปุระ I วารสารวิชาการ อยุธยาศึกษา I ปีที่ ๖ / ๒๕๕๗ I๗๑


ภาพประกอบ ๑๓ เทวดาเหาะ วัดจอก ตอ จี อมรปุระ

ภาพประกอบ ๑๔ การประดับชายไหวชายแครง ของเทวดาและอมนุษย์ จิตรกรรมฝาผนัง ภายในอุโบสถวัดใหญ่สุวรรณาราม เพชรบุรี ภาพประกอบ ๑๗ ภาพยักษ์บนเพดานวัดจอก ตอ จี อมรปุระ

ภาพประกอบ ๑๕ ภาพนักสิทธิ์วิทยาธร จิตรกรรมฝาผนัง ภายในอุโบสถวัดเกาะแก้วสุทธาราม เพชรบุรี

ภาพประกอบ ๑๖ ภาพนักสิทธิ์วิทยาธรจิตรกรรมฝาผนัง ภายในศาลาการเปรียญวัดใหญ่สุวรรณาราม เพชรบุรี ๗๒ I วารสารวิชาการ อยุธยาศึกษา I ปีที่ ๖ / ๒๕๕๗ I

ภาพประกอบ ๑๘ ใบหน้ายักษ์ จิตรกรรม ภายในอุโบสถวัดช่องนนทรี กรุงเทพฯ


ภาพประกอบ ๑๘ ใบหน้ายักษ์ จิตรกรรมภายในอุโบสถ วัดใหญ่สุวรรณาราม เพชรบุรี

เทพนมแบบที่ ๒ มี ร ายละเอี ย ดคล฾ า ยกั บ เทพนมแบบที่ ๑ พนมมื อ ถื อ ช฽ อ ดอกไม฾ ๔ ช฽ อ นั่ ง ขั ด สมาธิ (ภาพที่ ๑๐) คื อ ประกอบด฾ ว ยมงกุ ฎ สวมกรรเจียก ไม฽ใส฽กุณฑล กรองศอแบบไทย แต฽มงกุฎ และกรรเจี ยกเขี ย นไม฽ ค฽ อยคํ า นึง ถึ ง สั ดส฽ ว นที่ถู ก ต฾ อ ง เพราะว฽ากรรเจียกใหญ฽มาก กรรเจียกเขียนคล฾ายกนก ใบเทศมีเส฾นแร สิ่ ง ที่ แ ตกต฽ า งจากศิ ล ปะไทย คื อ ใบหน฾ า เหลี่ ย มแสดงความเป็ น ท฾ อ งถิ่ น ปากเล็ ก คิ้ ว ไม฽ โ ก฽ ง มีรอยยิ้มเป็นธรรมชาติ ชุดที่สวมคล฾ายกับเสื้อ น฽าจะ เป็นชุดเครื่องทรงแบบวัฒนธรรมพม฽า เทพนมแบบที่ ๒ มีการผสมผสานกันในเรื่องของเครื่องแต฽งกายระหว฽าง ศิลปะไทยกับศิลปะพม฽า เมื่อเปรีย บเทียบกับ เทพนม แบบที่ ๑ ที่มีความเข฾มข฾นของศิลปะไทยมากกว฽า อาจ เป็นไปได฾ว฽า ช฽างเขียนมีหลายคน เพราะทั้งสี สัดส฽ วน เส฾ น ต฽า งกั น หรื อ เป็ น ช฽ า งคนเดีย วกั น ต฾อ งการความ แปลกใหม฽ด฾วยการรวมรูปแบบงานศิลปะทั้ง พม฽าและ ไทยไว฾ด฾วยกัน เทพนมแบบที่ ๓ มีลักษณะคล฾ายกับเทพนม แบบที่ ๒ ประกอบด฾วยมงกุฎ ๓ ยอด กรรเจียกมีขนาด ใหญ฽ ไ ม฽คํ า นึ งถึ ง สั ดส฽ ว น พนมมื อถื อ ช฽ อดอกไม฾ ข นาด ใหญ฽ ก ว฽ า ลํ า ตั ว ออกช฽ อ เป็ น ธรรมชาติ นั่ ง พั บ เพี ย บ ใบหน฾ าเป็น แบบท฾ องถิ่น สวมชุดเครื่องทรงแบบพม฽ า (ภาพที่ ๑๑) เทพนมแบบที่ ๔ มีรูปแบบคล฾ายกับเทพนม แบบที่ ๒ และ ๓ คือ สวมมงกุฎแบบไทยแต฽สวมใส฽ชุด และหน฾าตาและการแต฽งกายเป็นพม฽า เข฾าใจว฽าน฽าจะ

ภาพประกอบ ๒๐ ภาพร่างหัวโขน ทศกัณฐ์ (Dasagiri)

เลียนแบบการแต฽งกายของชนชั้นสูงในสมัยนั้น แต฽ยังคง มี ล ายกนกออกมาจากลํ า ตั ว ทั้ ง สองข฾ า งเหมื อ นกั บ เทพนมองคแอื่นๆ ที่น฽าสัง เกต คือ ลายกนกของเทพนมแบบที่ ๔ ไม฽ค฽อยเป็นแบบศิลปะไทยเท฽าที่ควร คือการแบ฽งของ ตัวกนกดูสับสน ช฽างเขียนอาจไม฽เข฾าใจในรูปแบบลาย กนกแบบไทย มี ก ารพนมมื อ ถื อ ช฽ อ ดอกไม฾ เ ช฽ น กั น หรือรูปแบบของลายกนกไทยเริ่มกลืนกลายเป็นแบบ ท฾องถิ่นพม฽าไปแล฾ว มีข฾อแตกต฽างจากเทพนมแบบที่ ๓ คือ มงกุฎมีขนาดเล็กเหมือนทรงกรวย กรรเจียกไม฽ใหญ฽ ทําให฾ม฾วนไปอยู฽ด฾านหลัง (ภาพที่ ๑๒) ๓.เทวดาเหาะ ลักษณะเป็นเทวดาอยู฽ในท฽า เหาะมือถือสิ่งของต฽างกัน บางองคแพนมมือถือช฽อดอกไม฾ บางองคแ ถือ ช฽ อดอกไม฾ อย฽ า งเดี ย วไม฽ พนมมือ หรื อ ถื อ สิ่ ง ของคล฾ า ยกั บ หนั ง สื อ หรื อ คั ม ภี รแ สี ห น฾ า แววตา เป็นธรรมชาติ หันหน฾าไปด฾านข฾างหรือด฾านหลัง สิ่ง ที่ ปรากฏในศิลปะไทยจากรูปแบบเครื่องทรงของเทวดา เหาะ คือ มงกุฎ กรรเจียก กรองศอ พาหุรัด ทองกร สังวาล ปใ้นเหน฽ง สวมเฉพาะองคแที่ไม฽ใส฽เสื้อ ทุกองคแจะ คล฾องผ฾าห฽มเฉียงคล฾ายผ฾าสไบหรือคล฾องไหล฽ไว฾ ชายผ฾า สะบัดออกพลิ้วไหว สวมเสื้อแขนสั้น ท฽อนล฽างสวมสนับ เพลา (ภาพที่ ๑๓) ประดับชายไหว ชายแครง ลักษณะ ของ “ชายไหว ชายแครง” ที่ส฽วนปลายสะบัดไปข฾าง หลั ง เป็ น ริ้ ว ประดิ ษ ฐแ ซ฾ อ นกั น สองชั้ น เมื่ อ ยามนั่ ง ย฽อมถือเป็นเอกลักษณแอย฽างหนึ่งซึ่งพบในงานจิตรกรรม ไทยประเพณี ดัง ปรากฏตัวอย฽างในจิตรกรรมฝาผนั ง สมัยอยุธยาตอนปลายโดยทั่วไป๓ I วารสารวิชาการ อยุธยาศึกษา I ปีที่ ๖ / ๒๕๕๗ I๗๓


ตั ว อย฽ า งงานจิ ต รกรรมฝาผนั ง สมั ย อยุ ธ ยา ตอนปลายที่วัดใหญ฽สุวรรณาราม เพชรบุรี ภาพเทวดา ที่ แ ต฽ ง เครื่ อ งทรงประดั บ ชายไหวชายแครง รวมทั้ ง ลวดลายผ฾านุ฽งคล฾ายกัน (ภาพที่ ๑๔) ส฽วนท฽าทางการถือ ต฾นไม฾หรือสิ่งของยังเปรียบเทียบได฾กับจิตรกรรมอยุธยา ตอนปลายเปรียบเทียบกับ ภาพนักสิทธิ์วิทยาธรเหาะ จิตรกรรมฝาผนั ง ภายในอุโ บสถวั ดใหญ฽ สุว รรณาราม เพชรบุ รี (ภาพที่ ๑๕) และภาพนั ก สิ ท ธิ์ วิ ท ยาธร จิตรกรรมฝาผนังศาลาการเปรียญของวัดใหญ฽สุวรรณารามเช฽นกัน (ภาพที่ ๑๖) ๔.ใบหน้ า ยั ก ษ์ จากการพิ จ ารณารู ป แบบ พบว฽ามีความเป็ นศิลปะไทยค฽อนข฾างมาก ส฽วนศีรษะ สวมกระบั ง หน฾ า กรรเจี ย กกนกเปลวแบ฽ ง สามตั ว พาหุรัดเป็นลายประจํายาม ทองกรประดับลายกระจัง รวน ใบหน฾าเป็ นแบบยักษแ ในจิ ตรกรรมประเพณีไทย ศีรษะเป็นวงก฾นหอยคือมีปลายคิ้วสะบัดเป็นหางไหล ตาโพลง เขี้ย วงอโง฾ง ลํา ตัว ล่ํ าสั น ด฾ า นหลั งเป็ นพั น ธุแ พฤกษาแตกช฽อ (ภาพที่ ๑๗) หากสังเกตการระบายสี พันธุแพฤกษาจะพบว฽ามีการไล฽น้ําหนักอ฽อนแก฽ตามแบบ ศิลปะตะวันตก คิดว฽าในระยะนี้ช฽างเขียนภาพคงได฾รับ เทคนิคแบบตะวันตกมาด฾วย รูปแบบของใบหน฾ายักษแ สามารถเทียบได฾กั บจิต รกรรมสมั ยอยุ ธยาตอนปลาย ได฾ แ ก฽ จิ ต รกรรมฝาผนั ง วั ด ช฽ อ งนนทรี กรุ ง เทพฯ (ภาพที่ ๑๘) จิ ต รกรรมฝาผนั ง วั ด ใหญ฽ สุ ว รรณราม เพชรบุรี (ภาพที่ ๑๙) การเข฾ามาของยักษแไทยนี้เคยมีการนําเสนอ ส า ร ค ดี เ กี่ ย ว กั บ ก ลุ฽ ม เ ช ล ย ช า ว อ ยุ ธ ย า ข อ ง รองศาสตราจารยแ ดร.สุเนตร ชุตินธรานนทแ สันนิษฐาน ได฾ว฽าน฽าจะมาจากกลุ฽มเชลยชาวอยุธยาที่เป็นพวกโขน ละคร ซึ่งแต฽ก฽อนในบริเวณวัดจอก ตอจี มีเรื่องเล฽ากัน ว฽ามีหัวโขนยักษแที่เชลยชาวอยุธยานําติดตัวมาตั้งแต฽ช฽วง เสียกรุงครั้งที่ ๒ นํามาบูชาไว฾ที่ศาลเพียงตา ต฽อมาเกิด ไฟไหม฾ ศ าล หั ว โขนยั ก ษแ พ ลอยเสี ย หายไปด฾ ว ยจึ ง ไม฽ ปรากฏหลักฐานให฾เห็นจนกระทั่งทุกวันนี้ ๔ เรื่องนี้จึง กลายเป็ น คํ า บอกเล฽ า ต฽ อ กั น มา แม฾ ว฽ า หลั ก ฐานของ หัวโขนไม฽มีแล฾ว ในประเด็นนี้วิเคราะหแได฾ว฽าแนวโน฾ม ของการนํ า หั ว โขนจากชาวอยุ ธ ยานั้ น น฽ า จะมี ค วาม เป็นไปได฾เพราะปรากฏหลักฐานศิ ลาจําหลั กหินเรื่อ ง ๗๔ I วารสารวิชาการ อยุธยาศึกษา I ปีที่ ๖ / ๒๕๕๗ I

รามเกีย รติ์ พบภายในสํานักสงฆแบายารแจี (Bayarkyi) ตั้งอยู฽ภายในเขตบูดาลิน (Butalin) ซึ่งอยู฽ทางภาคเหนือ ของเมืองมนยวา มณฑลสะกาย นั ก วิ ช าการพม฽ า สั น นิ ษ ฐานว฽ า ศิ ล าจํ า หลั ก ดัง กล฽าวน฽าจะถูกสร฾างขึ้นเมื่อประมาณ พ.ศ. ๒๓๘๙ ตรงกับสมัยราชวงศแคองบองร฽วมสมัยกับตอนต฾นของ กรุ ง รั ต นโกสิ น ทรแ ๕ ตรงกั บ รั ช สมั ย พระบาทสมเด็ จ พระนั่งเกล฾าเจ฾าอยู฽หัว รายละเอียดของศิลาจําหลักเรื่อง รามเกี ยรติ์ จ ะสลั ก เป็ นประติ มากรรมภาพนู นต่ํ า เล฽ า เรื่องในตอนต฽างๆตามท฾องเรื่อง พบลักษณะหัวโขนยักษแ เช฽น ทศกัณฐแ (Dasagiri) เข฾าใจว฽าได฾รับอิทธิพลจากงาน ช฽างไทย (ภาพที่ ๒๐) สิ่งที่สามารถเปรียบเทียบได฾กับยักษแแบบไทย ในจิตรกรรมเพดานวัดจอก ตอ จี คือ แผ฽นศิลาจําหลัก ที่ ๑๐๑ ภาษาพม฽าเขียนว฽า “น฾องชายของทศกัณฐแ ” สันนิษฐานว฽าเป็น “ยักษแกุมภกรรณ” เป็นประเภทยักษแ หัวโล฾น ปากแสยะ ตาโพลง มีกายสีเขียว มีอาวุธประจํา กายคื อ หอกโมกขศั ก ดิ์ ลั ก ษณะเศี ย รเที ย บได฾ กั บ หัวโขนอย฽างไทย๖ อาจกล฽าวได฾ว฽ายักษแกุมภกรรณจาก ศิล าจํ าหลั ก นี้มี รู ป แบบใกล฾เ คี ย งกั บ ยั กษแ แ บบไทยใน จิตรกรรมเพดานวัดจอก ตอ จี ด฾วยลักษณะเป็นยักษแ หัวโล฾นรวมถึงรายละเอียดต฽างๆ มีความคล฾ายกัน แสดง ให฾ เห็ น ว฽า ยั กษแ แบบไทยนี้มี มาก฽ อนแล฾ว (ภาพที่ ๒๑) ศิลาจําหลักเหล฽านี้สร฾างขึ้นก฽อนการสร฾างวัดจอก ตอจี ประมาณ ๑ ปี ตามเอกสารของนักวิชาการที่ได฾กล฽าวถึง ประวัติก ารสร฾างในข฾างต฾นว฽ าสร฾ างใน พ.ศ. ๒๓๙๐ อาจทําให฾เชื่อได฾ว฽าศิลาจําหลักเรื่องรามเกียรติ์คงจะเป็น ต฾น แบบให฾ แ ก฽จิ ตรกรรมวัด จอก ตอจีด฾ วย จะว฽ าด฾ ว ย เหตุผลทางด฾ านพื้นที่คงเป็นได฾เพราะศิลาจําหลักอยู฽ที่ มณฑลสะกาย ซึ่ง ใกล฾ กับเมืองอมรปุระการถ฽ายทอด งานศิลปกรรมจึงน฽าจะเป็นไปได฾สูง อีก ประการหนึ่ง ที่ เ กี่ย วกั บคณะโขนละคร จากอยุ ธ ยาว฽ า เมื่ อ พม฽ า ได฾ พ วกละครไปจากกรุ ง ศรี อยุ ธ ยา พระเจ฾ า อั ง วะมั ง ระให฾ เ ล฽ น ละครไทยถวาย ทอดพระเนตร ครั้นได฾ ทอดพระเนตรก็โปรดยกย฽องว฽า กระบวนรํา ของไทยงามกว฽า ละครพม฽า จึ ง มีรั บสั่ ง ให฾


ภาพประกอบ ๒๑ แผ่นศิลาจ่าหลักที่ ๑๐๑ สันนิษฐานว่าเป็น “ยักษ์กุมกรรณ” ส่านักสงฆ์บายาร์จี (Bayarkyi) เขตบูดาลิน (Butalin) ภาคเหนือของเมืองมนยวา มณฑลสะกาย

ภาพประกอบ ๒๒ รอยพระพุทธบาทบนเพดานเจติยวิหาร วัด จอก ตอ จี เมืองอมรปุระ

ภาพประกอบ ๒๓ รอยพระพุทธบาทจ่าหลักไม้ วัดพระรูป สุพรรณบุรี

รวบรวมไทยพวกละครและปี่ พ าทยแ ไ ว฾ เ ป็ น กรมหนึ่ ง ต฽ า งหาก ประทานที่ ใ ห฾ ตั้ ง บ฾ า นเรื อ นอยู฽ ใ นราชธานี สําหรับเล฽นละครไทยในงานมหรสพของหลวง มิให฾ต฾อง มีหน฾าที่ราชการอย฽างอื่น เมื่อย฾ายราชธานีไปตั้งที่เมือง ไหนพวกละครก็ย฾ายตามไปด฾วย๗ หากว฽าคณะโขนละคร เข฾ามาอาศัยอยู฽ในเมืองอังวะภายหลังเสียกรุงศรีอยุธยา คงจะแสดงเพื่อรับราชการในพระราชสํานักพม฽า ต฽อมา มีการย฾ายเมืองหลวงไปยังเมืองอมรปุระ คณะโขนละคร คงจะย฾ า ยตามไปด฾ ว ยเนื่ อ งจากเป็ น งานราชการ การย฾ายเมืองหลวงโดยทั่วไปน฽าจะต฾องการกําลังคน จึง อาจมีการอพยพกลุ฽มคนในสาขาอาชีพต฽างๆ รวมทั้งช฽าง เขียนด฾วยก็อาจเป็นได฾ เมื่อมีการสร฾างวัดจอก ตอ จี คงได฾ช฽างเขียน ชาวอยุ ธ ยารุ฽ น ลู ก หลานมาดํ า เนิ น งานในการเขี ย น จิตรกรรม หากเชื่อว฽าคณะโขนละครย฾ายตามมาด฾ว ย แรงบันดาลใจในการเขียนจิตรกรรมอิทธิพลศิลปะไทย อาจได฾แนวคิดจากรูปแบบของโขนละคร เพราะเมื่อมี การย฾ายเมืองหลวงไปอยู฽ที่ใด คณะโขนละครก็ย฾ายตาม ไปด฾วย เพื่อไปรับใช฾แสดงให฾ชนชั้นสูงได฾รับชม เมื่อย฾าย เมืองหลวงมายังเมืองอมรปุระ มีการสร฾างวัดจอก ตอ จี ในพ.ศ.๒๓๙๐ เป็ น เจติ ย วิ ห ารหลั ง ใหญ฽ เ ลี ย นแบบ อานันทเจดียแ ซึ่งเป็นวัดสําคัญวัดหนึ่งในเมืองนี้ คิดว฽าผู฾ ที่สั่ง ให฾ สร฾ างคงเป็ นบุ คคลในชนชั้ นสู ง หรือ กษั ตริ ยแใ น สมั ย นั้ น งานศิ ล ปกรรมที่ ส ร฾ า งขึ้ น น฽ า จะได฾ รั บ การ คั ด เลื อ กเป็ น อย฽ า งดี ใ นเรื่ อ งของฝี มื อ เชิ ง ช฽ า งทั้ ง ประติมากรรม จิตรกรรม ในเวลานั้นห฽างจากช฽วงเสีย กรุง ครั้ ง ที่ ๒ มาถึ ง ๘๐ ปีจึง สร฾างวั ดจอก ตอ จี ช฽า ง เขียนชาวอยุธยาอาจเป็นรุ฽น ลูกหลานที่ยั ง คงสื บทอด ฝีมือเรื่อยมา รูปแบบจึงเริ่มปรับเปลี่ยนผสมผสานกับ รสนิยมแบบพม฽าบ฾างแล฾ว ๕.รอยพระพุ ท ธบาท การเขี ย นภาพรอย พระพุทธบาทในพม฽ามีตั้งแต฽สมัยพุกาม โดยเขียนรอย พระพุทธบาทบนเพดานเจติยวิหาร ภายในเจติยวิหาร วัดจอก ตอ จี เช฽นกัน คงได฾แนวความคิดในการเขียน สืบต฽อมาด฾วย เมื่อพิจารณารูปแบบรอยพระพุทธบาท บนเพดานวัดจอก ตอ จี สันนิษฐานว฽ารูปแบบของรอย พุ ท ธบาทน฽ า จะได฾ รั บ อิ ท ธิ พ ลจากศิ ล ปะอยุ ธ ยาด฾ ว ย (ภาพที่ ๒๒) I วารสารวิชาการ อยุธยาศึกษา I ปีที่ ๖ / ๒๕๕๗ I๗๕


รายละเอียดของรอยพระพุทธบาทจะเขียน เป็นรูปหอยสัง ขแ ๕ ตัวตรงปลายนิ้วเท฾าทั้ง ๕ รูปหอย สังขแน฽าจะเป็นลายมงคลที่แสดงถึงความอุดมสมบูรณแ เป็นความเชื่อของชาวพม฽าว฽า พระพุทธเจ฾าเสด็จมายัง แม฽ น้ํ า มหานั ม มทาในอิ น เดี ย ๑ ใน ๕ ของสถานที่ ศักดิ์สิทธิ์จากทั่วโลก แต฽ชาวพม฽าเชื่อว฽าแม฽น้ําสายนี้อยู฽ ในเมืองพม฽าด฾วย รอยพระพุทธบาทที่ชเวเสดตอรัชกาล พระเจ฾ า สอลู เมื่ อ พระพุ ท ธเจ฾ า เสด็ จ มายั ง แม฽ น้ํ า มหานั มมทา มี พญานาคคอยคุ฾ มครองดู แลในสายน้ํ า ด฾วยเหตุจึงเขียนรูปหอยสังขแเพื่อเป็นสัญลักษณแว฽าอยู฽ใน น้ํา สะท฾อนกับความเชื่อของชาวพม฽าเกี่ยวกับการบูชา รอยพระพุทธบาทที่ว฽าต฾องประพรมน้ําให฾ชุ฽มตลอดเวลา ประหนึ่งว฽าอยู฽ในสายน้ํานั่นเอง๘ ส฽ ว นวงกลมกลางฝุ า เท฾ า ที่ แ บ฽ ง เป็ น รู ป เท฾ า ขนาดเล็ก บรรจุสัญ ลักษณแต฽างๆไว฾ ๑๐๘ ชนิด คงจะ เป็นสิ่งมงคล ๑๐๘ ประการ มีทั้ง ปราสาท สัตวแ ฯลฯ เทียบได฾กับศิลปะอยุธยา ตั วอย฽าง คือ รอยพระพุทธ บาทจําหลักไม฾ วัดพระรูป สุพรรณบุรี (ภาพที่ ๒๓) สิ่ ง ที่ ค ล฾ า ยกั น คื อ รู ป ร฽ า งของรอยพระ พุทธบาท และมีผังกลมอยู฽กลางฝุาเท฾าแบ฽งเป็น ๑๐๘ ช฽องเพื่อใส฽สัญลักษณแสิ่งมงคล ๑๐๘ ประการ สิ่งที่แตกต฽างกัน คือรอยพระพุทธบาทจําหลัก ไม฾ วัดพระรูป ทําส฽วนนิ้วเท฾าม฾วนเป็นก฾นหอย ๖.ราชรถ เป็นพาหนะชนิดหนึ่งที่มีเอกลักษณแ ของศิลปะไทย มีลายกนกเกรินประดับแบ฽งสามตัวเป็น กนกเปลว ชั้นหลังคาเป็นแบบศิลปะไทย (ภาพที่ ๒๔) จากภาพ น฽ า จะเป็ น การจํ า ลองระบบจั ก รวาล ประกอบด฾วยดาวต฽างๆ สัตวแที่วิ่งภายในเกริน ดูแล฾วคือ กระต฽ายอยู฽ในวงกลมสีขาวนวล ข฾างหลังมีเทวดาซ฾อน อยู฽ ข฾ า งหน฾ า ลากด฾ ว ยม฾ า กํ า ลั ง วิ่ ง ไปข฾ า งหน฾ า น฽ า จะ หมายถึงการโคจรของพระจันทรแ ราชรถแบบนี้ปรากฏ ในงานจิ ตรกรรมฝาผนั งเหนือ ประตู ทางเข฾า วิห ารวั ด พญาตงซู อมรปุระ ราชรถ มีชั้นหลังคายอดปยาทาด แบบพม฽า แต฽กนกทางด฾านข฾างยังมีเค฾าของงานช฽างไทย ซึ่งผสมในรสนิยมแบบพม฽า (ภาพที่ ๒๕) สันนิษฐานว฽า เป็ น งานต฾ นสมั ย ราชวงศแ ค องบอง ราวพุ ทธศตวรรษ ที่ ๒๔๙

๗๖ I วารสารวิชาการ อยุธยาศึกษา I ปีที่ ๖ / ๒๕๕๗ I

ภาพประกอบ ๒๔ ราชรถบนเพดานเจติยวิหาร วัดจอก ตอ จี อมรปุระ

ภาพประกอบ ๒๕ ราชรถในงานจิตรกรรมฝาผนัง เหนือประตูทางเข้า วิหารวัดพญาตงซู อมรปุระ

๗.ลายพั น ธุ์ พ ฤกษา จิ ต รกรรมบนเพดาน เจติย วิ หาร ยั ง มี ส฽ วนประกอบของ ลายพั นธุแ พ ฤกษา อย฽าง ดอกไม฾หรือลายกนกที่น฽าจะมีความสัมพันธแกับ ศิลปะอยุธยาตอนปลาย ได฾แก฽ ช฽อดอกไม฾มีใบไม฾ม฾วน เปรี ย บเที ย บกั บ จิ ต รกรรมฝาผนั ง วั ด มหาเตงดอจี เมืองสะกาย (ภาพที่ ๒๖ ) และ(ภาพที่ ๒๗) ทั้งนี้น฽าจะ สืบมาจากลายพันธุแพฤกษา จิตรกรรมอยุธยาตอนปลาย ภายในอุโบสถวัดใหญ฽สุวรรณาราม เพราะว฽ามีรูปแบบที่ คล฾ายกัน


ภาพประกอบ ๒๖

ภาพประกอบ ๒๗

เปรียบเทียบลายพันธุ์พฤกษาระหว่างจิตรกรรมภายในวัดจอก ตอ จี อมรปุระ (ภาพประกอบ ๒๖) และจิตรกรรมภายในวัดมหาเตงดอจี สกาย (ภาพประกอบ ๒๗)

ภาพประกอบ ๒๙

ภาพประกอบ ๓๐

เปรียบเทียบลายกนกเปลวสามตัว ระหว่างจิตรกรรม ภายในวัดจอก ตอ จี เมืองอมรปุระ (ภาพประกอบ ๒๙) และลายกนกสามตัวจิตรกรรมภายในวัดสระบัว เพชรบุรี (ภาพประกอบ ๓๐)

ภาพประกอบ ๒๘ ลายพันธุ์พฤกษาภายในอุโบสถวัดใหญ่สุวรรณาราม เพชรบุรี

จากรูปของลายพันธุแพฤกษาทั้งสองแบบนี้มี ระเบียบเดียวกันทั้ง สี ลาย ใบไม฾ม฾วนสีเขียว พื้นสีแดง มีระเบียบเดียวกัน เป็นไปได฾ว฽าลายพันธุแพฤกษาอาจสืบ มาจากจิตรกรรมวัดมหาเตงดอจี โดยการถ฽ายทอดมา จากช฽างรุ฽นดั้งเดิมสู฽ช฽างรุ฽นลูกหลาน

จากภาพจะเห็นว฽า ลายกนกทั้งสองภาพมีความ ใก ล฾ เ คี ย ง กั น คื อ แบ฽ ง เป็ น สามตั ว แบบก น กเปลว แตกออกเป็นช฽อเหมือนธรรมชาติต฽างกันตรงที่กนกของ จิต รกรรมวั ด สระบั ว มี ค วามสู ง เพรี ย วมากกว฽ า เล็ ก น฾ อ ย มีนักวิชาการพม฽าชื่อว฽าอูอเยมยิ่นให฾ข฾อคิดเห็นเกี่ยวกับลาย กนกแบบอยุธยาตอนปลายว฽าเป็นลายพันธุแพฤกษาหรื อ “knout” เรียกว฽าดอกไม฾แบบอยุธยา (Yodaya flower design) (ภาพที่ ๓๑) ซึ่ง แพร฽หลายในสมัยยานะตะปง ตอนปลาย หรือยุคคองบองตอนปลาย ที่เมืองมัณฑเลยแ ต฽อมาด฾วย๑๐ กนกและลายพันธุแพฤกษาของจิตรกรรมวัด จอก ตอ จี ก็ จั ด ว฽ า เป็ น ยุ ค คองบองตอนปลายเช฽ น กั น เพราะตรงกับสมัยพระเจ฾าปกันมิน เป็นระยะเวลาที่ห฽าง จากก฽อนสมัยมัณฑเลยแไม฽นานนัก I วารสารวิชาการ อยุธยาศึกษา I ปีที่ ๖ / ๒๕๕๗ I๗๗


สรุปได฾ว฽าการนําเข฾ามาของศิลปะไทยในวัดจอก ตอ จี อมรปุระ น฽าจะได฾รับอิทธิพลจากเมืองที่อยู฽ใกล฾เคียงอย฽าง สะกาย มนยวา แบบศิลปะ อยุธยาตอนปลาย เปรียบเทียบได฾กับศิลปะอยุธยาตอนปลายที่ยังเหลืออยู฽ใน ดินแดนไทยอย฽างพระนครศรีอยุธยา เพชรบุรี กรุ งเทพฯ รายละเอียดของ ศิ ลปะไทยในวั ด จอก ตอ จี อมรปุ ร ะมี ค วามสอดคล฾ อ งกั บ ศิ ล ปะไทยใน วัดพม฽าในเมืองใกล฾เคียง และเปรียบเทียบได฾กับศิลปะอยุธยาในดินแดนไทย ได฾ ค฽ อ นข฾ า งชั ด เจน ดั ง นั้ น จึ ง มี แ นวโน฾ ม ว฽ า ศิ ล ปะไทยในวั ด จอก ตอ จี อมรปุระ น฽าจะมีรูปแบบสืบต฽อจากศิลปะไทยแบบอยุธยาตอนปลายในวัด พม฽ า ที่ อ ยู฽ บ ริ เ วณใกล฾ เ คี ย งกั น โดยเฉพาะรู ป แบบจิ ต รกรรมมี ค วาม เปลี่ยนแปลงเข฾ากับรสนิยมแบบพม฽าบ฾างแล฾ว เนื่องด฾วยเวลาที่ผ฽านมานาน แต฽ส฽วนใหญ฽ยังคงรักษาระเบียบแบบอยุธยาตอนปลาย อาจสืบต฽องานช฽างมา จนถึ ง รุ฽ น ลู ก หลาน อาจกล฽ า วได฾ ว฽ า เป็ น ฝี มื อ รุ฽ น ลู ก หลานของชาวอยุ ธ ยา ที่ถูกกวาดต฾อนตั้งแต฽เสียกรุงครั้งที่ ๒ เหตุผลที่สืบต฽อมาได฾อาจเป็นเพราะมี ช฽างชาวอยุธยา โขนละครเข฾ามาอาศัยเป็นจํานวนมาก ศิลปะอยุธยาแขนง ต฽างๆได฾รับการสนับสนุนจากชนชั้นปกครอง พม฽ามีการย฾ายเมืองหลวงอยู฽ บ฽อยครั้ง เมื่อจะสร฾างศาสนสถานแห฽งใหม฽ก็คงจะต฾องระดมช฽างฝีมือเข฾ามา ทํา งาน จึ ง เป็ น โอกาสของช฽ า งลู ก หลานชาวอยุ ธ ยาที่เ หลื อ อยู฽ ไ ด฾ สื บ ทอด รูปแบบของงานช฽างต฽อมา ในช฽วงเวลาของการสร฾างวัดจอก ตอ จี ตรงกับ สมัยพระบาทสมเด็จพระนั่งเกล฾าเจ฾าอยู฽หัว แห฽งกรุงรัตนโกสินทรแ การนําเข฾า จากศิลปะไทยในสมัยนี้ความเป็นไปได฾ค฽อนข฾างน฾อย เหตุผลวิเคราะหแไ ด฾ว฽า การที่จะสร฾างงานศิลปกรรมใดๆก็ตามในระดับสํ าคัญ ของเมืองหลวง คื อ อมรปุระ คิดว฽าต฾องได฾รับความเห็นชอบจากชนชั้นปกครอง ผู฾นําทางศาสนา มี คํ า สั่ ง กํ า หนดรู ป แบบค฽ อ นข฾ า งชั ด เจน ในเวลานั้ น จั ด ว฽ า อยู฽ ใ นช฽ ว ง กรุงรัตนโกสินทรแตอนต฾นเป็นสังคมไทยประเพณีก฽อนที่ ชาติตะวันตกเข฾ามา ครอบงํา ทางพม฽าอยู฽ในช฽วงที่วัฒนธรรมตะวันตกคืบคลานเข฾ามาบ฾างแล฾ว ไทยกับพม฽าคงสถานภาพที่ไม฽เกี่ยวข฾องกันในแง฽ของการเมือง เพราะราชวงศแ จักรีกับราชวงศแคองบองก็เป็นคู฽สงครามกัน แม฾ว฽าในช฽วงนี้ไทยกับพม฽าไม฽ไ ด฾ ทําสงครามกันแล฾วก็ตาม ความรู฾สึกนึกคิดของคนไทยในกรุงรัตนโกสินทรแก็คงจะเป็นแบบ อยุธยาตอนปลายอยู฽คนไทยคงมองพม฽าเป็นเมืองคู฽สงครามมากกว฽าเป็นมิตร ไม฽ น฽ าจะมี ช฽า งจากกรุง รั ตนโกสิน ทรแ เดิ น ทางเข฾า ไปเขี ย นจิ ต รกรรมไทยที่ อมรปุร ะในพม฽า นั บตั้ ง แต฽ เ สีย กรุง ศรี อยุ ธ ยาครั้ง ที่ ๒ พ.ศ. ๒๓๑๐ พ.ศ. ๒๓๙๐ ผ฽านมาเวลาไม฽นานเพียงแค฽ ๘๐ ปี การติดต฽อกันในด฾านงาน ช฽างที่เป็นทางการระดับอาณาจักรมาแลกเปลี่ยนสังสรรคแกันไม฽น฽าเป็นไปได฾ เพราะเรื่องของสงคราม ดังนั้นรูปแบบศิลปะไทยในวัดจอก ตอ จี จึงน฽าจะ เป็นงานช฽างของลูกหลานชาวอยุธยาในดินแดนพม฽าที่ยัง สืบต฽อมามากกว฽า ด฾วยเหตุผลดังกล฽าว ๏

๗๘ I วารสารวิชาการ อยุธยาศึกษา I ปีที่ ๖ / ๒๕๕๗ I

ภาพประกอบ ๓๑


เชิงอยยต ๑

ธิดา สาระยา. (๒๕๕๔). มัณฑเล นครราชธานี ศูนย์กลางแห่ง จักรวาล. หน฾า ๑๑๕. ๒ อรวินทแ ลิขิตวิเศษกุล. (๒๕๕๓). ช฽างอยุธยาในเมืองพม฽ารามัญ หลักฐานศิ ลปกรรม ฝี มือช฽า งกรุง ศรี ในเมื องสะกาย มินบู และมนยวา. หน฾า ๑๘ (อ฾างอิงจาก Siam Society Journal. (1959). Intercourse Between Burma and Siam as Recorded in Hmannam Yazawindawgyi. p. 48 - 55. ๓ อรวินทแ ลิขิตวิเศษกุล . (๒๕๕๓). ช่างอยุธยาในเมืองพม่ า รามัญ หลักฐานศิลปกรรม ฝีมือช่างกรุงศรีในเมืองสะกาย มินบู และ มนยวา. หน฾า ๗๐. ๔ เชษฐแ ติงสัญชลี, อาจารยแประจําภาควิชาประวัติศาสตรแศิลปะ. สัมภาษณแ, ๔ มกราคม ๒๕๕๕. ๕ อรวินทแ ลิขิตวิเศษกุล. (๒๕๕๓). ช่างอยุธยาในเมืองพม่ารามัญ หลักฐานศิลปกรรม ฝีมือช่างกรุงศรีในเมืองสะกาย มินบู และมนยวา. หน฾า ๘๙. ๖ เรื่องเดียวกัน, หน฾า ๑๐๒ ๗ ดํารงราชานุภาพ. (๒๕๔๖). สมเด็จกรมพระยา, ละครฟ้อนรา ประชุ มเรื่ องละครฟ้อนรากับ ระบ าราเต้น ตาราฟ้อ นรา ตานานเรื่อ ง ละครอิเหนา ตานานละครดึกดาบรรพ์. หน฾า ๓๒๘ – ๓๒๙. ๘ เชษฐแ ติงสัญชลี. บรรยาย. ๙ อรวิ นทแ ลิ ขิ ตวิ เศษกุ ล . (๒๕๕๓). ช่ า งอยุ ธยาในเมื อ งพม่ า รามัญ หลักฐานศิลปกรรม ฝีมือช่างกรุงศรี ในเมืองสะกาย มินบู และ มนยวา. หน฾า ๑๐๔. ๑๐ สุรสวัสดิ์ ศุขสวัสดิ์ , หม฽อมหลวงและรุจยา อาภากร, หม฽อม ราชวงศแ. (๒๕๔๙). ชาวอยุธยาที่เมืองสะกาย. หน฾า ๗๕ – ๗๖.

นยยฒาธุกยภ ฉัตตริน เพียรธรรม. (๒๕๕๕). ลายกรอบย฽อมุมบนเพดานวัดอุบาลีเตง พุกาม. ภาพถ฽าย. _______. (๒๕๕๓). การประดั บชายไหวชายแครงของเทวดาและ อมนุษยแ จิตรกรรมฝาผนังภายในอุโบสถวัดใหญ฽สุวรรณาราม เพชรบุรี. ภาพถ฽าย. _______. (๒๕๕๓). ภาพนั ก สิท ธิ์วิ ท ยาธรจิ ตรกรรมฝาผนั งภายใน อุโบสถวัดเกาะแก฾วสุทธาราม เพชรบุรี. ภาพถ฽าย. _______. (๒๕๕๓). ภาพนักสิทธิ์วิทยาธรจิตรกรรมฝาผนังภายในศาลา การเปรียญวัดใหญ฽สุวรรณาราม เพชรบุรี. ภาพถ฽าย. เชษฐแ ติ ง สั ญชลี . อาจารยแ ป ระจํ า ภาควิ ช าประวั ติศ าสตรแ ศิ ล ปะ. สัมภาษณแ, ๔ มกราคม ๒๕๕๕. _______. บรรยาย. _______. (๒๕๕๕). สะพานไม฾อูเบก อมรปุระ. ภาพถ฽าย. _______. (๒๕๕๕). ลายกรอบย฽อมุมบนเพดานเจติยวิหารวัดจอก ตอ จี อมรปุระ. ภาพถ฽าย. _______. (๒๕๕๕). เทพนมแบบที่ ๑ องคแที่ ๑ วัดจอก ตอ จี อมรปุระ. ภาพถ฽าย. _______. (๒๕๕๕). เทพนมแบบที่ ๑ องคแที่ ๒ วัดจอก ตอ จี อมรปุระ. ภาพถ฽าย. _______. เทพนมแบบที่ ๒ วัดจอก ตอ จี อมรปุระ. ภาพถ฽าย, ๒๕๕๕. _______. เทพนมแบบที่ ๓ วัดจอก ตอ จี อมรปุระ. ภาพถ฽าย, ๒๕๕๕.

(๒๕๕๕). เทพนมแบบที่ ๔ วั ดจอก ตอ จี อมรปุ ระ. ภาพถ฽าย. _______. เทวดาเหาะ วัดจอก ตอ จี อมรปุระ. ภาพถ฽าย, ๒๕๕๕. _______. (๒๕๕๕). ภาพยั ก ษแ บ นเพดานวั ดจอก ตอ จี อมรปุ ระ. ภาพถ฽าย. _______. (๒๕๕๕). รอยพระพุทธบาทบนเพดานเจติยวิหารวัด จอก ตอ จี อมรปุระ. ภาพถ฽าย. _______. (๒๕๕๕). ราชรถบนเพดานเจติยวิหารวัดจอก ตอ จี อมรปุระ. ภาพถ฽าย. _______. (๒๕๕๕). ลายพันธุแพฤกษาระหว฽างจิตรกรรมภายในวัดจอก ตอ จี อมรปุระ. ภาพถ฽าย. _______. (๒๕๕๕). ลายกนกเปลวสามตัวจิตรกรรมภายในวัดจอก ตอ จี อมรปุระ. ภาพถ฽าย. ณัฐิกา โชติวรรณ. (๒๕๕๔). รอยพระพุทธบาทจําหลักไม฾ วัดพระรูป สุพรรณบุรี. ภาพถ฽าย. ธิ ด า สาระยา. (๒๕๕๔). มั ณ ฑเล นครราชธานี ศู น ย์ ก ลางแห่ ง จักรวาล. กรุงเทพมหานคร : สํานักพิมพแเมืองโบราณ. ดํารงราชานุ ภาพ, สมเด็ จฯกรมพระยา. (๒๕๔๖). ละครฟ้อ นร า ประชุ ม เรื่ อ งละครฟ้ อ นรากั บ ระบ าร าเต้น ต าราฟ้ อ นร า ต านานเรื่ อ งละครอิ เ หนา ต านานละครดึ ก ด าบรรพ์ . กรุงเทพฯ: มติชน, วรพัท ธแ ภควงศแ . (๒๕๕๕). จิ ตรกรรมภายในอุ โบสถวั ดมหาเตงดอจี ศิลปะอยุธยาตอนปลาย สะกาย. ภาพถ฽าย. _______. (๒๕๕๕). ลายกรอบย฽ อมุม บนเพดานอุ โบสถวั ดสระบั ว เพชรบุรี. ภาพถ฽าย. _______. (๒๕๕๔). เทวดาบนหน฾าต฽างวัดสระบัว เพชรบุรี. ภาพถ฽าย. _______. (๒๕๕๓). ใบหน฾ ายั ก ษแ จิ ตรกรรมภายในอุโบสถวั ดใหญ฽ สุวรรณาราม เพชรบุรี. ภาพถ฽าย. _______. (๒๕๕๓). ลายพันธุแพฤกษาภายในอุโบสถวัดใหญ฽สุวรรณาราม เพชรบุรี. ภาพถ฽าย. _______. (๒๕๕๔). ลายกนกเปลวสามตัวจิตรกรรมภายในวัดสระบัว เพชรบุรี. ภาพถ฽าย. สุรสวัสดิ์ ศุขสวัสดิ์, หม฽อมหลวง. และรุจยา อาภากร, หม฽อมราชวงศแ. (๒๕๔๙). ชาวอยุธยาที่เมืองสะกาย. กรุงเทพฯ: สายธาร. เสมอชัย พูลสุวรรณ. (๒๕๓๙). สัญลักษณแในงานจิตรกรรมไทยระหว฽าง พุ ท ธศตวรรษที่ ๑๙ - ๒๔. กรุ ง เทพฯ: สํ า นั ก พิ ม พแ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตรแ, อรวิ นทแ ลิ ขิ ตวิ เศษกุ ล . (๒๕๕๓). ช฽ า งอยุ ธ ยาในเมื องพม฽ า รามั ญ หลั ก ฐานศิ ลปกรรม ฝี มือช฽ า งกรุ ง ศรี ใ นเมื องสะกาย มิ นบู และมนยวา. กรุงเทพฯ: สมาคมอิโคโมสไทย. _______.

I วารสารวิชาการ อยุธยาศึกษา I ปีที่ ๖ / ๒๕๕๗ I๗๙


๘๐ I วารสารวิชาการ อยุธยาศึกษา I ปีที่ ๖ / ๒๕๕๗ I


วิฝิทศิฤบะไถม สุยิธถย์ ศยีสังข์งาภ สืบสานอย่างสร้างสรรค์ เพื่ออนุรักษ์ศิลปะไทยอย่างยั่งยืน

ไกยสยยาชสีห์ ยาชาแห่งบ่าหิภฝาธด์

ฟาฝฤามเส้ธเฝื่อกายสืนสาธ

ไตรภู มิ พ ระร่ ว งได้ พ รรณน า ลั กษ ณ ะ ของสิงห์ไว้ ๔ ตระกูล ได้แก่ ๑. ติณ ราชสี หแ คื อราชสี หแที่ มีก ายหม฽ น ดังสีปีกนกเขา รูปร฽างคล฾ายแม฽โค กินหญ฾าเป็นอาหาร ๒. กาฬราชสีหแ คื อราชสีหแที่มีก ายสีดํ า ดั่งวัวดํา กินหญ฾าเป็นอาหาร

๓. ปใณฑุราชสีหแ คือสิงหแที่มีกายเหลือง ดั่งใบไม฾กินเนื้อสัตวแและเนื้อคนเป็นอาหาร ๔. ไกรสรราชสีหแ เป็นสิงหแมีปากแดงดุจ ครั่ ง มี สร฾ อ ยคอแดงและขาวสลั บ กัน กลางหลัง แต฽ ศีรษะถึงโคนหางเป็นรอยสามรอบสีถ้ําทองและถ้ําแก฾ว เมื่ อ ออกจากถ้ํ า ครั้ ง ใดก็ ตั้ ง เท฾ า หลั ง ให฾ เ สมอกั น ดี แล฾วเหยียดเท฾าหน฾ายืดกายสยายสร฾อยคออย฽างผึ่งผาย I วารสารวิชาการ อยุธยาศึกษา I ปีที่ ๖ / ๒๕๕๗ I๘๑


เมื่ อ ตั้ ง ตั ว ตรงแล฾ ว ก็ จ ามดั ง สนั่ น ดุ จ เสี ย งฟู า ฟาด เมื่ อ สลั ด ขนให฾ ห มดผงธุ ลี แ ล฾ ว ก็ เ ผ฽ น โผนและเปล฽ ง สี ห นาท ๓ ครั้ ง เสี ย งลั่ น ก฾ อ งไปไกลรั ศ มี ห นึ่ ง โยชนแ หมู฽จตุบาทและทวิบาทมิอาจดํารงตนอยู฽ได฾ ต฽างสะดุ฾ง ตกใจกลั ว จนตั ว สั่ น และเผ฽ น หนี ซุ ก ซ฽ อ นด฾ ว ยความ กลัวตาย แม฾วัว ควาย ช฾าง ม฾า ที่มนุษยแเลี้ยง เมื่อ ได฾ ยิน เสี ยงไกรสรสีห ราชแผดเสี ยงเมื่ อใด ก็แ ตกตื่ น เชือกและปลอกขาด ไกรสรสีหราชเป็นราชสีหแกินสัตวแ และมีอํานาจเหนือสัตวแทั้งปวง๑ อี ก ทั้ ง ใน “มหาอุ ก กุ ส ชาดก” ยั ง มี ก าร กล฽ า วถึ ง เรื่ อ งสั ต วแ ๔ เท฾ า ทั้ ง หลายประชุ ม กั น ตั้ ง ราชสีหแให฾เป็นพระราชา๒ สิ ง หแ จึ ง เป็ น สั ญ ลั ก ษณแ บ อกสิ่ ง ซึ่ ง ต฾ อ งการ แสดงออกถึงนัยสําคัญต฽างๆ กล฽าวคือ - เป็นสัตวแที่มีอยู฽จริงในธรรมชาติที่เรียกว฽า “สิงโต” หรือ “ราชสีห์” เป็นเจ฾าแห฽งปุา เป็นสัตวแที่ได฾รับ ยกย฽องว฽าเป็นสัตวแที่อยู฽เหนือสัตวแทั้งปวงในธรรมชาติและ ผื นปุ า ได฾ รั บการนั บถื อในฐานะสั ต วแ ที่ มี อํ านาจ สั ต วแ ศักดิ์สิทธิ์ และสัตวแที่เป็นอันตรายต฾องได฾รับการยําเกรง - เป็ น สั ญ ลั ก ษณแ แ ทนพระโพธิ สั ต วแ ด฾ ว ย ปรากฏในชาดกว฽ า พระพุ ท ธเจ฾ า องคแ ปใ จ จุ บั น เคย เสวยพระชาติ เ ป็ น “สิ ง ห์ ” หรื อ “ราชสี ห์ ” และ บําเพ็ญบารมีด฾วยทั้งสิ้น - เป็ น สั ญ ลั ก ษณแ แ ทน อํ า น าจแห฽ ง อง คแ มหาจักรพรรดิ เป็นเครื่องหมายที่ปรากฏเป็นสัญลักษณแ ของผู฾ ที่ เ ป็ น จั ก รพรรดิ ร าช และเป็ น สั ญ ลั ก ษณแ ข อง พระราชอํานาจบนพื้นพิภพของพระจักรพรรดิด฾วย๓ - เป็นสัญลักษณแแทนเทพอารักษแ ด฾วยเชื่อว฽า จากอํานาจ พละกําลัง และความดุร฾ายน฽ายําเกรงของ สิงหแ จึงได฾ถูกใช฾เพื่อเป็นผู฾คุ฾มครองศาสนา ศาสนสถาน และยั ง สามารถเปรี ย บได฾ กั บ อํ า นาจแห฽ ง พระมหา จักรพรรดิผู฾คอยปกปูองพระศาสนานั่นเอง ด฾ ว ยเหตุ ดั ง กล฽ า วข฾ า งต฾ น ทํ า ให฾ “สิ ง ห์ ” กลายเป็ น สั ญ ลั ก ษณแ ที่ มี ค วามสํ า คั ญ ทั้ ง “รู ป ” และ “นาม” ที่ ไ ด฾ รั บ การถ฽ า ยทอดรู ป แบบ คติ ค วามเชื่ อ และพัฒนารูป ลักษณแไปพร฾ อมๆ กั บบทบาทหน฾าที่ใ น วัฒนธรรมต฽างๆ เช฽น ทั้งเปอรแเซีย อินเดีย ศรีลังกา จีน ชวา ขอม พม฽า และไทยอย฽างมีนัยสําคัญ ๏ ๘๒ I วารสารวิชาการ อยุธยาศึกษา I ปีที่ ๖ / ๒๕๕๗ I

เชิงอยยต ๑

เจือ สะตเวทิน. ตาหรับวรรณคดี. หน฾าที่ ๑๔๔. รุ฽ง โรจนแ ภิร มยแอนุกูล . (๒๕๕๒). การศึกษาเชิง วิเคราะห์ที่มาของสมุดภาพไตรภูมิ. วิทยานิพนธแปริญญา ปรั ช ญาดุ ษ ฎี บั ณ ฑิ ต บั ณ ฑิ ต วิ ท ยาลั ย มหาวิ ท ยาลั ย ศิลปากร. หน฾าที่ ๓๑๙. ๓ กิร ติ เอี่ยมดารา. (๒๕๕๒). สิงห์ศิลาจีนในพระ บรมหาราชวัง. การค฾นคว฾าอิสระ ปริญญาศิลปะศาสตรแ มหาบั ณ ฑิ ต บั ณ ฑิ ต วิ ท ยาลั ย มหาวิ ท ยาลั ย ศิ ล ปากร. หน฾าที่ ๗๐. ๒


จณหภามเหดุฝยะธคยศยีอมุทมา ฝัฐย์ แดงฝัธท์ บันทึกเหตุการณ์สาคัญ เพื่อเป็นความทรงจาร่วมกันของชาวจังหวัดพระนครศรีอยุธยา

วาธวัธของอมุทมาเวิฤณ์เอ็กซ์โบ ๒๐๒๐ ตลอดช่ ว งเวลาระหว่ า ง พ.ศ . ๒ ๕๕๓ -๒๕ ๕๖ “ อยุ ธย า เวิลด์เอ็กซ์โป ๒๐๒๐” เป็นคาที่ถูก พูดถึงกันมากในจังหวัดพระนครศรี อยุ ธ ยา นั บ เป็ น เรื่ อ งน่ า อั ศ จรรย์ ที่ จั ง หวั ด หนึ่ ง ซึ่ ง ชาวไทยรู้ จั ก ดี ใ น หลากหลายแง่ มุ ม ไม่ ว่ า จะเป็ น ใน ฐานะราชธานี เ ก่า ๔๑๗ ปี – นคร ประวั ติ ศ าสตร์ ม รดกโลก - แหล่ ง เกษตรกรรม-อุ ต สาหกรรม และ อื่น ๆ ตามแต่จะนิยามแห่งนี้ จะรับ การคั ด เลื อ กให้ เ ป็ น ตั ว แทนของ ประเทศไทย ในการเสนอตั ว เป็ น เจ้ า ภาพจั ด งานมหกรรมโลก ใน พ.ศ. ๒๕๖๓ หรื อ ที่ มี ก ารเรี ย กกั น อย่ า งแพร่หลายว่ า “อยุ ธยาเวิ ล ด์ เอ็ ก ซ์ โ ป ๒๐๒๐” ที่ ก ล่ า วขานว่ า เป็นมหกรรมที่สาคัญเป็นอันดับที่ ๓ ของมวลมนุ ษ ยชาติ รองจากการ แข่ ง ขั น กี ฬ าโ อลิ ม ปิ ก แล ะ การ แข่งขันฟุตบอลโลก

เพื่อมิให้เรื่องราวของ “อยุธยาเวิลด์ เอ็กซ์โป ๒๐๒๐” ถูกลืมเลือนเหมือนละอองฝุ่นที่ ปลิ ว หายไปตามกาลเวลา จึ ง เป็ น เรื่ อ งที่ น่ า จดจ าและค้ น หาค าตอบให้ ไ ด้ ว่ า จั ง หวั ด พระนครศรี อยุ ธยามี ดีอะไร จึ งได้ บั น ดาลใจให้ รั ฐบาลตั ดสิ น เลื อกอยุ ธ ยาให้เ ป็ น ตั ว แทนของ ประเทศไทย ในการเป็นสถานที่จัดงานเวิลด์เอ็กซ์โป ๒๐๒๐ ...ทาไมรัฐบาลถึงเลือกอยุธยา ?

I วารสารวิชาการ อยุธยาศึกษา I ปีที่ ๖ / ๒๕๕๗ I๘๓


กายเสธอดัวเบ็ธเจ้าฟาฝ เวิฤณ์เอ็กซ์โบ ๒๐๒๐ ความคิ ดเกี่ ยวกั บ เวิ ลดแ เอ็กซแโป ๒๐๒๐ เริ่มมีขึ้นในสมัยรัฐบาล นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ จากการศึกษา รอยทางแห฽ งความสํ าเร็ จในการจั ด มหกรรมโลกที่นครเซียงไฮ฾ สาธารณรั ฐ ประชาชนจี น และเมื องไอจิ ประเทศ ญี่ ปุ น ที่ ทั้ งสองประเทศประสบ ความสําเร็จในการจัดงานอย฽างมากนั้น รั ฐบาลได฾ มอบหมายให฾ สํ านั กงาน ส฽งเสริมการจัดประชุมและนิทรรศการ หรือ สสปน. ศึกษาความเป็นไปได฾ในการ เป็ นเจ฾ าภาพงานเวิ ลดแ เอ็ กซแ โปของ ประเทศไทย สสปน. ดําเนินการศึกษา และวิเคราะหแถึง ผลประโยชนแด฾าน ต฽าง ๆ ที่ประเทศไทยจะได฾รับ หาก ได฾ รั บ เลื อ กเป็ น เจ฾ า ภาพจั ด งาน มหกรรมโลก อันได฾แก฽ประโยชนแใน เชิงเศรษฐกิจ ที่จะทําให฾รายได฾ของ ประเทศเพิ่มขึ้น จากแนวโน฾มของ ผู฾ เ ข฾ า ชมงานที่ ค าดการณแ ว฽ า จะ มากกว฽า ๑๐ ล฾านคน ซึ่งจะส฽งผล ให฾เกิดการกระตุ฾นการใช฾ จ฽าย จาก ก า ร ล ง ทุ น ป ลู ก ส ร฾ า ง ศ า ล า (พาวิ ลเลี่ยน ) ของประเทศต฽าง ๆ ช฽วยลดอัตราการว฽างงาน จากการ จ฾ า งแรงงานจํ า นวนมาก และยั ง เพิ่มขีดความสามารถของประเทศ ในการแข฽งขันกับนานาประเทศได฾ อย฽างมีเสถียรภาพ รวมทั้งเป็นการ เสริมสร฾างการเรียนรู฾ของประชาชน ในด฾านศิลปวัฒนธรรม เทคโนโลยี จากประเทศอื่น ๆ เป็นช฽องทางใน ก า ร ป ร ะ ช า สั ม พั น ธแ ป ร ะ เ ท ศ และส฽ ง เสริ ม แหล฽ ง ท฽ อ งเที่ ย วแห฽ ง ใหม฽ ที่จะได฾จากสิ่งปลูกสร฾างต฽าง ๆ ๘๔ I วารสารวิชาการ อยุธยาศึกษา I ปีที่ ๖ / ๒๕๕๗ I

ซึ่ ง สามารถพั ฒ นาให฾ เป็ น ศู น ยแ ป ร ะ ชุ ม นิ ท ร ร ศ ก า ร โ ด ย มี โ ค ร ง ส ร฾ า ง ก า ร ค ม น า ค ม ที่ เพี ยบพร฾ อมจากการจัด งาน อัน มี ส฽ ว นช฽ ว ยให฾ ป ระเทศไทยเจริ ญ รุ ด ห น฾ า แ ล ะ ยั ง เ ป็ น ก า ร ประชาสัมพันธแประเทศไทยให฾เป็น ที่รู฾จักในสากลอีกด฾วย จากความฝในของรัฐบาล นํามาสู฽การลงมติคณะรัฐมนตรี ใน การอนุมัติหลักการโครงการเสนอ ตัวเป็นเจ฾าภาพจัดงานมหกรรมโลก เวิลดแ เอ็กซแโป ๒๐๒๐ ของประเทศ ไทย เมื่อวันที่ ๒๐ เมษายน ๒๕๕๓ และจากการประชุ ม คณะทํ า งาน ย฽ อ ย เ พื่ อ จั ด ห า ส ถ า น ที่ ตั้ ง ที่ เหมาะสมของการจัดงานมหกรรม โลก เวิ ลดแ เ อ็ก ซแ โ ป ๒๐๒๐ ครั้ ง ที่ ๑ / ๒ ๕ ๕ ๓ เ มื่ อ วั น ที่ ๑ ๐ พฤษภาคม พ.ศ. ๒๕๕๓ ที่ประชุม มี ม ติ เ ห็ น ช อ บ ใ ห฾ ก ร ะ ท ร ว ง มหาดไทยแจ฾ง กรอบการพิจารณา ใ น ก า ร จั ด ห า ส ถ า น ที่ จั ด ง า น มหก ร ร มโ ลก เวิ ลดแ เอ็ ก ซแ โ ป ๒๐๒๐ ไปยังผู฾ว฽าราชการจังหวัดที่ สนใจจะเสนอตั ว เป็ น เจ฾ า ภาพจั ด งานมหกรรมโลก เวิ ล ดแ เอ็ ก ซแ โ ป ๒๐๒๐ โดยสรุปได฾ว฽ามี ๖ จังหวัดที่ สนใจเสนอตัวเป็นเจ฾าภาพจัดงาน ได฾ แ ก฽ ชลบุ รี เชี ย งใหม฽ จั น ทบุ รี เพชรบุ รี ภู เ ก็ ต และพระนคร ศรี อ ยุ ธ ยา โดยจั ง หวั ด พระนครศรี อ ยุ ธยา เสนอพื้ นที่ บ ริ เวณตรง ข฾ามศูนยแศิลปาชีพบางไทร อําเภอ บางไทรเป็นสถานที่สําหรับจัดงาน โ ด ย ภ า ย ห ลั ง ก า ร พิ จาร ณาด฾ ว ยหลั ก เก ณฑแ ก าร คั ด เลื อ กจากการมี ศั ก ยภาพด฾ า น

พื้ น ที่ ด฾ า นความพร฾ อ ม ด฾ า นการ ค ม น า ค ม ด฾ า น ทั ศ น ค ติ ข อ ง ประชาชน แนวทางการพั ฒ นา พื้ น ที่ ห ลั ง จั ด ง า น แ ล ะ ค ว า ม เพี ย งพอทางด฾ า นสาธารณู ป โภค จึ ง ไ ด฾ คั ด เ ลื อ ก ใ ห฾ เ ห ลื อ เ พี ย ง ๓ จั ง หวั ด โดยเรี ย งตามลํ า ดั บ จั ง หวั ด ที่ ไ ด฾ ค ะแนนสู ง สุ ด ได฾ ดั ง นี้ คื อ จั ง หวั ด พระนครศรี อ ยุ ธ ยา ชลบุรี และเชียงใหม฽ (ตาราง ๑ ) ส ส ป น . ใ น ฐ า น ะ ฝุ า ย เลขานุการของคณะทํางานเตรียมการ เสนอตัวเป็นเจ฾าภาพมหกรรมโลก จึง ได฾ นํ าข฾ อมู ลการศึ กษาเบื้ องต฾ น ๓ จังหวั ด พร฾ อมด฾วยแนวคิดในการจั ด งาน Balanced Life, Sustainable Living โ ด ย ค ณ ะ รั ฐ ม น ต รี มี ม ติ รั บ ท ร า บ แ ล ะ เ ห็ น ช อ บ เมื่ อ วั น ที่ ๒๔ สิ ง หาคม พ.ศ. ๒ ๕ ๕ ๓ ยั ง ผลให฾ น ายอ ภิ สิ ท ธิ์ เวชชาชีวะ นายกรัฐมนตรี ปรบเท฾า เข฾ า ประกาศเจตนารมณแ ใ นการ เสน อ ตั ว เป็ น เจ฾ าภา พ จั ด ง า น มหก ร ร มโ ลก เวิ ลดแ เอ็ ก ซแ โ ป ๒๐๒๐ เพื่อยืนยันความพร฾อมและ ศั ก ยภาพของประเทศไทยแก฽ นานาชาติใ นงาน “เซีย งไฮ฾ เวิ ล ดแ เอ็ ก ซแ โ ป ๒๐๑๐” เมื่ อ วั น ที่ ๕ กั น ยายน ๒๕๕๓ โดยได฾ ก ล฽ า วไว฾ ประโยคหนึ่งว฽า “ความสํ า เร็ จ ของงาน มหกรรมโลก ที่ น ครเซี่ย งไฮ฾ ยั ง ไ ด฾ แ ร ง บั ล ด า ล ใ จ เช฽นเดียวกับแรงผลักดันให฾กับ ประเทศไทยในการนํา เสนอ ชื่อเพื่อเข฾าการคัดเลือกให฾เป็น เจ฾าภาพจัดงานมหกรรมโลก ในอนาคตอัน ใกล฾ ในปี ค.ศ. ๒๐๒๐”


ดายาง ๑ กายฝิจายฒาหฤักเกฒฐ์กายคัณเฤือกฝื้ธถี่ใธกายจัณงาธภหกยยภโฤก หลักเกณฑ์พิจารณา

ความส้าคัญ

อยุธยา

ชลบุรี

เชียงใหม่

จันทบุรี

เพชรบุรี

ภูเก็ต

มีศักยภาพด฾านพื้นที่ (มีกรรมสิทธิ์และลงทุนไม฽สูงมาก) ความพร฾อมด฾านคมนาคม (ใกล฾สนามบิน เข฾าถึง สะดวก มีโครงข฽ายคมนาคมพร฾อมทางด฾านรถไฟ แม฽น้ํา หรือทะเล) ทัศ นคติที่ ดีต฽อโครงการฯ ของประชาชน และ อปท.ในพื้นที่ มี แ นวคิ ด หรื อ แผนงานชั ดเจน ในการพั ฒ นา พื้นที่โครงการภายหลังเสร็จสิ้นการจัดงาน มา ตรฐ า น แ ล ะความเพี ย งพ อด฾ า นที่ พั ก สาธารณูปโภค และการรักษาพยาบาล

๓๐

๑.๙

๑.๔

๒.๖

๒.๕

๑.๒

๒.๐

๓๐

๓.๙

๓.๔

๑.๖

๑.๔

๒.๔

๑.๙

๑๕

๐.๕

๐.๔

๐.๖

๐.๖

๐.๕

๐.๗

๑๕

๐.๖

๐.๕

๐.๗

๐.๗

๐.๔

๐.๓

๑๐

๑.๐

๐.๘

๐.๙

๐.๔

๐.๖

๐.๘

๗.๘๙

๖.๕๔

๖.๓๐

๕.๕๔

๕.๐๐

๕.๖๓

ที่มา: สํานักงานส฽งเสริ มการจัดประชุมและนิท รรศการ. (๒๕๕๕). การเสนอจังหวัดพระนครศรีอยุ ธยาเป็นเจ฾ าภาพจัดงาน World Expo ๒๐๒๐. การนําเสนอข฾อมูลในการประชุมคณะทํางานเตรียมความพร฾อมของจังหวัดพระนครศรีอยุธยาในการเสนอตัวเป็นเจ฾าภาพจัดงานมหกรรมโลก World Expo ๒๐๒๐ ครั้งที่๑/๒๕๕๕ ณ ศาลากลางจังหวัดพระนครศรีอยุธยา

นับ เป็ น การประกาศก฾ อ ง ของรั ฐ บาลไทย ที่ เ ริ่ ม ทํ า ให฾ น านา ประเทศ รวมถึงประชาชนชาวไทย รับ รู฾ ถึ ง ความเจตนารมณแ อั น มุ฽ ง มั่ น ข อ ง รั ฐ บ า ล ใ น ก า ร เ ส น อ ตั ว เป็ น เจ฾ า ภาพจั ด งานมหกรรมโลก รั ฐ บ า ล ไ ด฾ ใ ห฾ ค ว า ม สํ า คั ญ ใน การทํ า ง าน อย฽ า ง ใก ล฾ ชิ ด กั บ สํานักงานมหกรรมโลก (Bureau of International Expositions - BIE) ซึ่งเป็น หน฽วยงานที่ดูแลลิขสิทธิ์การ จัดงานเวิลดแเอ็กซแโป โดยรัฐบาลได฾ เชิ ญ นายวิ น เซ นทแ กอนซาเลซ ลอซเซอทาเลซ เลขาธิการสํานักงาน มหกรรมโลก ผู฾ ดู แ ลกระบวนการ นําเสนอและติดสินใจเลือกเจ฾าภาพ จั ด งาน พร฾ อ มคณะ เพื่ อ มาตรวจ เยี่ยมความพร฾อมของประเทศไทยใน การเสนอตัวเป็นเจ฾าภาพ พร฾อมทั้ง ประชุ ม หารื อ กั น ระหว฽ า งวั น ที่ ๑๐ – ๑๖ มกราคม ๒๕๕๔ โดยได฾ เดินทางตรวจความพร฾อมสถานที่จัด

งาน ทั้ ง ๓ จั ง หวั ด เพื่ อ คั ด สรร จังหวัดที่มีความพร฾อมและเหมาะสม สําหรับการจัดงานมากที่สุด เวลานี้ชาวอยุธยาจึงเปี่ยม ด฾วยความหวัง ดั่งแสงแห฽งอรุณรุ฽ง ที่ เริ่ ม ทอแสงสี ท องเรื่ อ ๆ ที่ ป ลาย ขอบฟูา

ยุ่งอยุฒของ อมุทมา เวิฤณ์ เอ็กซ์โบ ๒๐๒๐ วันที่ชาวจังหวัดพระนครศรี อ ยุ ธ ยา เริ่ ม รั บ รู฾ ไ ด฾ ถึ ง การเข฾ า สู฽ วาระสํ า คั ญ แห฽ ง การถู ก เลื อ กเป็ น สถานที่จัดงานเอ็กซแโป ๒๐๒๐ นั้น คื อ ช฽ ว ง เ ว ล า ที่ น า ย วิ น เ ซ น ทแ กอนซาเลซ ลอซเซอทาเลซ เลขาธิ ก ารสํ า นั ก งานมหกรรมโลก เดิ น ทางมาตรวจความพร฾ อ มของ จังหวัด พระนครศรีอ ยุธยา ในวัน ที่ ๑๒ มกราคม ๒๕๕๔ เนื่องจากทาง จั ง หวั ด ได฾ เ ร฽ ง ประชาสั ม พั น ธแ ใ ห฾

ประชาชนได฾ ตื่ น ตั ว เกี่ ย วกั บ การ เสนอตั วเป็ น สถานที่ จั ด งาน โดยมี การประดั บ ปู า ยประชาสั ม พั น ธแ ขนาดใหญ฽ สีฟูา และ สีส฾ม ที่มีความ สวยงามชัดเจน และสะดุดสายตาไป ตลอดถนนสายสํ า คั ญ ในเมื อ ง มี ข฾อความให฾ประชาชนรับรู฾ว฽าจังหวัด พระนครศรีอยุธยา มีความพร฾อมใน การเป็นสถานที่จัดงาน เวิลดแ เอ็ก ซแ โป ทาง จั ง หวั ดพ ร ะ น คร ศรี อ ยุ ธ ยา โดยนายวิ ท ยา ผิ ว ผ฽ อ ง ผู฾ ว฽ าร าช ก า ร จั ง ห วั ด ไ ด฾ แ สด ง ศักยภาพในการเสนอตัวเป็นเจ฾าภาพ โดยนํ า คณะกรรมการเดิ น ทางไป เยี่ ย มชมศู น ยแ ศิ ล ปาชี พ บางไทร อํ า เภอบางไทร ซึ่ ง ใกล฾ กั บ สถานที่ สําหรับจัดงาน เยี่ยมชมอาคารแสดง การฝึกอาชีพ ชมการแสดง ๔ ภาค และเลี้ ย งรั บ รองด฾ ว ยอาหารและ บรรยากาศแบบไทยโบราณ พร฾อม ชมนิ ท รรศการจํ า ลองการจั ด งาน I วารสารวิชาการ อยุธยาศึกษา I ปีที่ ๖ / ๒๕๕๗ I๘๕


เวิ ล ดแ เ อ็ ก ซแ โ ป ๒๐๒๐ จากนั้ น นํ า คณะ ขึ้ น เฮ ลิ ค อปเต อรแ มาลง ที่ มหาวิ ท ยาลั ย ราชภั ฏ พระนคร ศ รี อ ยุ ธ ย า พ า ช ม ศู น ยแ ศึ ก ษ า ประวั ติ ศ าสตรแ พ ระนครศรี อ ยุ ธ ยา และวั ด ไชยวั ฒ นาราม โดยผ฽ า น โบราณสถานที่ สํ า คั ญ ในอุ ท ยาน ประวั ติ ศาสตรแ แวะชมพิพิ ธ ภัณ ฑสถานแห฽ ง ชาติ เ จ฾ า สามพร ะยา และเลี้ ย งอาหารค่ํ า บนเรื อ สํ า ราญ “ก รุ ง ศรี ป ริ๊ นเซ ส” นั บ ว฽ าเป็ น ช฽วงเวลาแห฽ง ความหวัง และความ ตื่ น เ ต฾ น ที่ จั ง ห วั ด พ ร ะ น ค ร ศรี อ ยุ ธ ยาจะได฾ มี โ อกาสอั น สํ า คั ญ จะ ไ ด฾ รั บ เ ลื อ ก เ ป็ น ส ถ า น ที่ จั ด มหกรรมที่ยิ่ง ใหญ฽ระดับโลก อันจะ เชิ ด หน฾ า ชู ต าจั ง หวั ด แห฽ ง นี้ ให฾ โ ดด เด฽นเป็นที่กล฽าวถึง อย฽ า งไรก็ ดี จั ง หวั ด พระนครศรีอ ยุธยา และอี กสองจัง หวั ด คู฽แข฽งอย฽าง เชียงใหม฽ และชลบุรี ที่ ต฽ า งก็ มี จุ ด แข็ ง ที่ แ ตกต฽ า งกั น ไป ยั ง ต฾ อ งผ฽ า นการพิ จ ารณาคั ด เลื อ ก โดยมีการศึกษาความเหมาะสมตาม ขั้นตอนดังนี้ ขั้นตอนแรก คือ การเยี่ยม ชมสถานที่ แ ละวางแผนงานทาง ก า ย ภ า พ เ พื่ อ ป ร ะ เ มิ น ค ว า ม เหมาะสมของสถานที่ การยอมรั บ ทางวั ฒ นธรรม และภาพลั ก ษณแ สากลในการเป็ น สถานที่ จั ด งาน รวมทั้ ง ผลกระทบทางสั ง คมที่ อ าจ กระทบต฽อชุมชนใกล฾เคียง พิจารณา จํ า น ว น ป ร ะ ช า ก ร ป ริ ม า ณ นักท฽องเที่ยว และแนวโน฾มในการใช฾ จ฽าย พิจารณาปริมาณ และคุณภาพ ที่ พั ก ที่ ไ ด฾ ม าตรฐานซึ่ ง อยู฽ ใ นระยะ การเดินทางสําหรับรองรับผู฾เข฾าชม

งาน รว มทั้ ง การ ประ มาณการ จํ า นวนผู฾ เ ข฾ า ชมงาน เมื่ อ เที ย บกั บ เกณฑแมาตรฐานของมหกรรมโลก นอกจากนี้ ยั ง จั ด ทํ า การ ประเมินความเหมาะสมของสถานที่ โ ด ย พิ จ า ร ณ า จ า ก ปใ จ จั ย ด฾ า น ภูมิประเทศ ความลาดชัน เส฾นทาง น้ํ า ทํ า เลที่ อ ยู฽ อ าศั ย ที่ มี อ ยู฽ แ ล฾ ว การท฽ ว มของน้ํ า ระบบโครงสร฾ า ง พื้ น ฐาน ที่ ส ร฾ าง ไว฾ แ ล฾ ว เป็ น ต฾ น ขั้ น ตอนต฽ อ มา เป็ น การพิ จ ารณา ความสามารถในการจั ด การด฾ า น ก า ร เ งิ น แ ล ะ เ ศ ร ษ ฐ กิ จ เ ช฽ น การจัดทํานโยบายบัตรเข฾างานและ ราคาบัตร ประเมินค฽าใช฾จ฽ายในการ ดํ า เนิ น งานสํ า หรั บ คณะผู฾ จั ด งาน เอ็กซแโป และกําไร รวมทั้งผลสูญเสีย จากการดําเนินงาน แผนการพัฒนา สถานที่หลังจากจัดงาน การประเมิน มูลค฽าเงินลงทุนสําหรับคณะผู฾จดั งาน เอ็กซแโปและรัฐบาลแห฽งประเทศไทย รวมถึ ง การจั ด ทํ า การวิ เ คราะหแ การเงิ น โดยรวมและผลตอบแทน ก าร ลง ทุ น ส าห รั บ รั ฐบ าล แห฽ ง ประเทศไทย จ า ก ก า ร ศึ ก ษ า แ ล ะ ป ร ะ เ มิ น ข อ ง ส ส ป น . พ บ ว฽ า จังหวัดพระนครศรีอยุธยา เป็นเมือง ที่ ส อ ด ค ล฾ อ ง กั บ แ น ว คิ ด ใ น การกํ า หนดหั ว ข฾ อ สํ า หรั บ จั ด งาน ม า ก ที่ สุ ด คื อ Redefine Globalisation: Balanced Life, Sustainable Living หรื อ นิ ย าม ให ม฽ โ ลก าภิ วั ต นแ : วิ ถี ที่ ยั่ ง ยื น เพื่ อโลกที่ สมดุ ล ที่ สะท฾ อนถึ ง การ พัฒ นาที่ ใส฽ ใ จสภาพแวดล฾อ ม และ ความพอเพี ย ง ซึ่ ง เป็ น หั ว ข฾ อ ที่ สสปน. ได฾พัฒนาแนวความคิด โดย

๘๖ I วารสารวิชาการ อยุธยาศึกษา I ปีที่ ๖ / ๒๕๕๗ I

ผ฽านกระบวนการรวบรวมข฾อมูลจาก หน฽ ว ยงาน หรื อ องคแ ก รที่ สํ า คั ญ ระดับชาติ และระดับภูมิภาค ด฾ ว ยความพร฾ อ มอั น เป็ น พื้ น ฐา น ขอ ง จั ง หวั ด พ ร ะ น คร ศรีอยุธยา ที่ประกอบด฾วยภาคการ ผ ลิ ต ที่ สํ า คั ญ ข อ ง ป ร ะ เ ท ศ ทั้ ง ภ า ค อุ ต ส า ห ก ร ร ม แ ล ะ ภ า ค เกษตรกรรม จึ ง มี ค วามลงตั ว ด฾ ว ย ค ว า ม ทั น ส มั ย แ ล ะ วั ฒ น ธ ร ร ม และ ใน ทาง ปร ะ วั ติ ศ า สต รแ นั้ น อยุ ธ ยาเป็ น เมื อ งแห฽ ง การสาน สัม พั น ธแท างการทู ต จึ ง เป็ นโอกาส สําคัญ ในการส฽ง เสริมความสัมพัน ธแ อันดีระหว฽างมิตรประเทศ ทั้งในแง฽ การทูต ตลอดจน การถ฽ายทอดองคแ ความรู฾ แ ละเทคโนโลยี จึ ง นั บ ว฽ า มี ความสอดคล฾ อ งกั บ แนวคิ ด ของ สสปน. ได฾อย฽างสมบูรณแแบบ สําหรับรายละเอียดในการ พิจารณาคัดเลือกจัง หวัดพระนครศรีอยุธยาให฾เป็นสถานที่จัดงานนั้น จากการศึ ก ษาของ สสปน. พบว฽ า จั ง ห วั ด พ ร ะ น ค ร ศ รี อ ยุ ธ ย า มีศักยภาพที่สําคัญ โดดเด฽น คือ เป็น จั ง ห วั ด ที่ มี พื้ น ที่ พ ร฾ อ ม จั ด ง า น มหกรรมโลก เวิลดแ เอ็กซแโป ๒๐๒๐ ไม฽น฾อยกว฽า ๑,๐๐๐-๑,๕๐๐ ไร฽ ที่มี กรรมสิ ท ธิ์ และไม฽ ต฾ อ งลงทุ น ปรั บ พื้นที่ ในด฾ า นความพร฾ อ มด฾ า น โครงสร฾างพื้นฐาน แม฾เป็นจัง หวัดที่ ไม฽มี ท฽าอากาศยานนานาชาติ แต฽ ก็ เป็นจัง หวัด ที่ อยู฽ห฽างจากท฽าอากาศ ยานนานาชาติ สุ ว รรณภู มิ ไม฽ เ กิ น ๒๐๐-๒๕๐ กิโลเมตร และห฽างจาก ท฽าอากาศยานดอนเมือง ซึ่งเป็นท฽า อ า ก า ศ ย าน ที่ ส า ม าร ถ ร อ ง รั บ


เที่ ย วบิ น เหมาลํ า และเที่ ย วบิ น ส฽ ว นตั ว เพี ย งระยะทางประมาณ ๓๐ กิ โ ลเมตร มี โ ครงข฽ า ยการ คมนาคมทางถนน ทางหลวงพิเศษ ระหว฽างเมือง สามารถใช฾ระยะเวลา เดินทางจากกรุงเทพฯ ไม฽เกิน ๑๐๐ นาที และจากการที่จังหวัดพระนคร ศรี อ ยุ ธ ยา ตั้ ง อยู฽ ใ นยุ ท ธศาสตรแ สําคัญ ของโครงการพัฒนาระบบ โครงสร฾างพื้นฐานของประเทศ อันมี แผนการลงทุ นโครงข฽ า ยระบบราง ความเร็วสูง ใช฾ระยะเวลาในเดินทาง จากกรุ ง เทพฯ ไม฽ เ กิ น ๖๐ นาที มี โ ครงการรถไฟฟู า ส฽ ว นต฽ อ ขยาย (สายสีแดง) ที่ขยายจากท฽าอากาศ ยานดอนเมืองมาถึงสถานที่จัดงาน ได฾อย฽างสะดวกรวดเร็ว และสามารถ เชื่ อ มรถไฟฟู าไปถึ งท฽ า อากาศยาน นานาชาติสุวรรณภูมิ นอกจากนี้ยังมี ทางเลื อ กโครงข฽ า ยคมนาคมการ ขนส฽ง เช฽น ทางแม฽น้ํา และทางรถไฟ อีกด฾วย

จังหวัดพระนครศรีอยุธยา ซึ่งตั้งอยู฽ไม฽ไกลจากกรุงเทพมหานคร ที่สามารถเดินทางด฾วยเครือข฽ายการ คมนาคมที่ ส มบู ร ณแ ทํ า ให฾ส ามารถ เดิ น ทางไปยั ง สถานที่ จั ด งานได฾ ภายใน ๔๕ นาที จึง ทําให฾มี ความ พร฾อมด฾านสถานที่พักและสิ่งอํานวย ความสะดวกต฽ าง ๆ โดยมี โ รงแรม ระดับ ๓-๕ ดาว ธุรกิจบริการ ได฾แก฽ ร฾ า นอาหาร ร฾ า นจํ า หน฽ า ยสิ น ค฾ า ที่ ระลึ ก และสปา ซึ่ ง มี ที่ พั ก มากถึ ง ๖๐,๐๐๐ ห฾อง สํ า ห รั บ ทั ศ น ค ติ ข อ ง ประชาชน และองคแการบริหารส฽วน ท฾อ งถิ่ น ในพื้ นที่ ที่มี ต฽อ โครงการนั้ น นั บ ว฽ า จั ง หวั ด พระนครศรี อ ยุ ธ ยา เป็นจังหวัดที่ให฾การสนับสนุนในการ เ ส น อ ตั ว เ ป็ น เ จ฾ า ภ า พ จั ด ง า น มหกรรมโลก เวิ ลดแ เอ็ ก ซแ โ ป เป็ น อย฽ า งดี จ ากผู฾ ว฽ า ราชการจั ง หวั ด พระนครศรีอยุ ธยา หน฽ว ยราชการ สถานศึ ก ษา และประชาชนอย฽ า ง แข็งขัน เต็มกําลัง และต฽อเนื่อง

ในส฽ ว นแผนงานในการ พัฒนาพื้นที่โครงการภายหลัง เสร็จ สิ้น การจั ด งานนั้ น สามารถพั ฒ นา เป็ น ศู น ยแ ก ลา ง ก าร จั ด ปร ะ ชุ ม นิทรรศการ หรือสถาบันการศึกษา โดยพั ฒ นาการเรี ย นรู฾ ข องสั ง คม ห รื อ เ ป็ น ศู น ยแ ก า ร เ รี ย น รู฾ ท า ง วัฒนธรรมภูมิปใญ ญาท฾องถิ่นระดั บ โลก ตลอดจนการพัฒนาพื้นที่ส฽ว น หนึ่ง ให฾เป็นที่อยู฽อาศัย ภายหลัง การ จัดงานมหกรรมโลก เวิลดแ เอ็กซแโป ๒๐๒๐ ได฾ กล฽าวโดยสรุปคือ จัง หวัด พร ะ น คร ศรี อ ยุ ธ ยา เป็ น เมื อ ง ประวัติศาสตรแ ที่เคยเป็นศูนยแกลาง แห฽ ง สั ม พั น ธภาพกั บ นานาอารยะ ประเทศ และในปใจจุบันอยุธยาเป็น เ มื อ ง ที่ มี ก า ร พั ฒ น า ทั้ ง ใ น แ ง฽ อุ ต สาหกรรม และเกษตรกรรม ควบคู฽ ไ ปกั บ การรั ก ษาวั ฒ นธรรม เก฽ า แก฽ และการพั ฒ นานวั ต กรรม สมัยใหม฽ จึงลงตัวด฾วยความทันสมัย และวัฒนธรรม

ผู้ว่าราชการจังหวัด ในฐานะผู้น่า องค์การบริหาร ส่ ว นท้ อ งถิ่ น ได้ ร ณรงค์ ใ ห้ ป ระชาชนชาวอยุ ธ ยา แสดงทั ศ นคติ ที่ ดี ต่ อ โครงการฯ ด้ ว ยการเขี ย น ความรู้ สึ ก ของตนที่ มี ต่ อ โครงการเวิ ล ด์ เ อ็ ก ซ์ โ ป ๒๐๒๐

I วารสารวิชาการ อยุธยาศึกษา I ปีที่ ๖ / ๒๕๕๗ I๘๗


นอกจากนั้ น อยุ ธ ยายั ง ตั้งอยู฽ในใจกลางของประเทศ ไม฽ไกล จากเมืองหลวง มีเส฾นทางหลวงสาย หลั ก เชื่ อ มโยงการคมนาคมสู฽ ภ าค อื่น ๆ และสามารถรองรับการขยาย ทาง หล ว ง แล ะ เส฾ น ท าง ร ถไ ฟ ความเร็ ว สู ง เชื่ อ มต฽ อ กั บ ประเทศ เพื่อนบ฾านในภูมิภาคนี้ ด฾ ว ยความเพี ย บพร฾ อ ม สมบูรณแแบบทางด฾านทรัพยากรทาง ธรรมชาติ พื้ น ฐานทางประวั ติ ศาสตรแ แ ละวั ฒ นธรรม นวั ต กรรม สมั ย ใหม฽ และระบบโครงสร฾ า ง พื้นฐานในอนาคตอันใกล฾ ผนึก เข฾ า กั บ ความมุ฽ ง มั่ น แข็ ง ขั น ของส฽ ว น ร า ช ก า ร ใ น จั ง ห วั ด พ ร ะ น ค ร ศรีอยุธยาทั้งหลายเหล฽านี้ ทําให฾ใน ที่สุด คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบให฾ จั ง หวั ด พระนครศรี อ ยุ ธ ยาเป็ น ตั ว แทนของประเทศไทย ในการ เ ส น อ ตั ว เ ป็ น เ จ฾ า ภ า พ จั ด ง า น ม ห ก ร ร ม โ ล ก เ วิ ล ดแ เ อ็ ก ซแ โ ป เมื่ อ วั นที่ ๔ เมษายน ๒๕๕๔ ภายในแนวความคิ ด “วิ ถี ที่ ยั่ ง ยื น เพื่ อ โ ลก ที่ ส มดุ ล – นิ ย ามให ม฽ ของ โลก าภิ วั ต นแ ” (“Balanced Life, Sustainable Living - Let’s Redefine Globalization”) โดย นายอภิ สิ ท ธแ เวชชาชี ว ะ นายกรัฐมนตรี ได฾ลงนามยื่นเสนอจังหวัด พระนครศรี อ ยุ ธ ยาเป็ น ตั ว แทน ประเทศไทย ในการประมูลสิทธิ์การ เป็ น เจ฾ า ภาพ จั ด ง าน เมื่ อ วั น ที่ ๒๙ เมษายน ๒๕๕๔ เมื่ อ นั้ น แสงสี ท องแห฽ ง รุ฽ ง อรุ ณ ของ “อยุ ธ ยาเวิ ล ดแ เ อ็ ก ซแ โป ๒๐๒๐” ก็เจิดจรัส เสมือนรุ฽งเช฾า ที่ เ ซ็ ง แซ฽ ด฾ ว ยเสี ย งไก฽ ขั น ซาบซ฽ า น

สดใส ทํา ให฾ อยุ ธ ยาเปรีย บเสมื อ น ลูกปใดเม็ดงาม ที่ถูกคัดสรรออกจาก ถุง ลูกปใดหลากสี กลายเป็นตัวแทน ๑ เดียว ของประเทศไทย ในการทํา หน฾าที่ต฾อนรับ และจัดงานมหกรรม โลก เวิลดแเอ็กซแโป ๒๐๒๐ ใน พ.ศ. ๒๕๖๓

แธวคิณ แฤะสัญฤักษฒ์ ตราสัญลักษณแสําหรับการ เสนอตั ว เป็ น เจ฾ า ภาพการจั ด งาน มหกรรมโลก อยุธยา เวิลดแ เอ็กซแโป ๒๐๒๐ มีแนวคิดการออกแบบด฾วย การ นํ า เสน อ “ปลาตะ เพี ยน ” สั ญ ลั ก ษณแ ที่ มี ชื่ อ เสี ย งของจั ง หวั ด พระนครศรีอยุธยา ผนวกเข฾ากับการ ใช฾ ลายประจํา ยามที่ แสดงถึ ง ความ เป็นไทย และการนําโครงสร฾างของ โลกที่แสดงถึง ความเป็นสากล และ คว า ม ยิ่ ง ใ ห ญ฽ ขอ ง ก า ร จั ด ง า น มหกรรมโลก มาพัฒนางานต฽อจนได฾ ตราสัญลักษณแ ซึ่ง “ปลาตะเพียน” บนตราสัญลักษณแนี้กํา ลังว฽ายอยู฽บน ทรงโค฾งของลูกโลกและมุ฽ง หน฾าทาง ทิศตะวันออก สื่อให฾เห็นถึงการเปิด บ฾ า นต฾ อ นรั บ ของประเทศไทย ใน นามทวี ปเอเชี ยและโลกตะวันออก ที่ พ ร฾ อ มจะนํ า เสนอศั ก ยภาพและ ความพร฾อ มในด฾า นต฽ า งๆ ผ฽ า นการ จัดงานมหกรรมโลกเวิลดแ เอ็ กซแโ ป ๒๐๒๐ นอกจากนี้ “ปลาตะเพี ยน” เป็นสั ตวแน้ํ าที่จ ะอาศั ยอยู฽ เฉพาะใน แหล฽งน้ําสะอาดตามธรรมชาติ จึงถือ เป็ น อี ก หนึ่ ง ในแนวคิ ด ที่ แ ฝงไว฾ ใ น การเลื อ กใช฾ ป ลาตะเพี ย นเป็ น ตรา สัญ ลั กษณแ ทั้ ง นี้ เพื่อ มุ฽ ง ตอบโจทยแ “นิ ย ามใหม฽ ข องโลกาภิ วั ต นแ วิ ถี ที่

๘๘ I วารสารวิชาการ อยุธยาศึกษา I ปีที่ ๖ / ๒๕๕๗ I

ยั่งยืน เพื่อโลกที่สมดุล ” ในแง฽ของ การให฾ ค วามสํ า คั ญ กั บ ระบบนิ เ วศ การอนุรั กษแ ธรรมชาติ และการอยู฽ ร฽วมกันระหว฽างมนุษยแกับธรรมชาติ อย฽างยั่งยืน และประการสุดท฾าย ชื่อ ของปลา “ตะเพียน” ยังพ฾องเสียง กับ ความหมายของคํา ว฽ า “เพี ย ร” ซึ่งถือเป็นคุณลักษณะประการสําคัญ ที่ จ ะนํ า ไปสู฽ ก ารบรรลุ เ ปู า หมาย ร฽วมกัน ลายประจายาม เป็นหนึ่ง ในแม฽ ล ายไทยพื้ น ฐานซึ่ ง ถู ก นํ า ไป ประกอบในงานสถาปใตยกรรมและ จิ ต ร กรร มใน ลั ก ษณะ ที่ มี ค วาม โ ด ด เ ด฽ น แ ล ะ เ ป็ น ที่ น฽ า จ ด จํ า นอกจากนี้ รู ป ทรงของลายประจํ า ยาม ยังสื่อให฾เห็นถึง “ความสมดุล” และ “การเจริญ เติบโตในทุกมิติ ” จาก รู ปแบบขอ ง ลายที่ มี ค ว าม สมมาตรและพุ฽ง ออกจากจุดกํา เนิด ไปยั ง ทุ ก ทิ ศ ทาง สอดคล฾ อ งกั บ แนวคิดหลักของงาน “นิยามใหม฽ ของโลกาภิวัตนแ-วิถีที่ยั่งยืน เพื่อโลก ที่สมดุล” ที่มุ฽งเน฾นการเจริญเติบโต ในทุ กๆด฾ านไปพร฾ อมๆกัน อั นจะ นํ า มาสู฽ ก ารอยู฽ ร฽ ว มกั น อย฽ า งสมดุ ล และยั่งยืน รู ป ทรงโค้ ง นู น และเส้ น ขอบฟ้า มุ฽ง สื่อให฾เห็นถึง ความเป็น สากลในระดับโลก (Global) ทั้งใน แง฽ของการจัดงาน ซึ่งเป็นมหกรรม ของมวลมนุษยชาติที่ใหญ฽ที่สุดเป็น อันดับสามของโลก และในแง฽ของ วาระการจัด งานที่ ถูก นํา เสนอผ฽า น แ น ว คิ ด ห ลั ก ที่ ป ร ะ เ ท ศ ไ ท ย มุ฽งผลักดันจุดเด฽นของตนเองให฾เป็น วิธีคิดในระดับสากล


เภื่ออมุทมาเวิฤณ์เอ็กซ์โบ ๒๐๒๐ เคฤื่อธคฤ้อมไบ นั บ จากวั น ที่ ๔ เมษายน ๒๕๕๔ ที่ ค ณะรั ฐ มนตรี มี ม ติ ใ ห฾ จั ง หวั ด พระนครศรี อ ยุ ธ ยาเป็ น สถานที่สําหรับจัดงานมหกรรมโลก แต฽ก็สร฾างความภาคภูมิใจให฾กับชาว จัง หวั ดพระนครศรีอยุธ ยาอยู฽ ได฾ไ ม฽ นาน จังหวัดพระนครศรีอยุธยาก็ถูก ท฾าทายด฾วยบทพิสูจนแความพร฾อมที่ ยากยิ่ง เมื่อต฾องเผชิญกับมหาวิกฤต อุทกภัยอย฽างมิอาจต฾านทานได฾เลย (เดื อ นกั น ยายน – พฤศจิ ก ายน ๒๕๕๔) พิ บั ติ ภั ย ครั้ ง นี้ ทิ้ ง มรดก ความเสียหายให฾แก฽ทุกอําเภออย฽าง รุนแรง ตามถนนหนทางเต็มไปด฾วย คราบโคลนตะกอน และขยะที่ พั ด พามากั บ น้ํ า รวมทั้ ง ซากต฾ น ไม฾ เน฽ า เกลื่ อ นทั้ ง เมื อ ง จนดู เ หมื อ น ความหวั ง ของอยุ ธ ยาที่ จะเป็ น เจ฾ า ภาพงานมหกรรมโลกจะหลุ ด ลอยไปแล฾วในเวลานั้น แต฽สิ่งอัศจรรยแก็บังเกิดขึ้น ในพระนครศรีอยุธยา เมืองหลวงเก฽า แห฽ ง นี้ไ ด฾ รั บการฟื้น ฟู จนกลับ มาสู฽ ภาวะปกติไ ด฾อย฽างรวดเร็ว แต฽หาใช฽ ด฾ ว ยปาฏิ ห าริ ยแ หรื อ ฤทธิ เ ดชของ เทพยดาแต฽อย฽างใด หากเป็นความ ร฽วมมือร฽วมใจ ของคนอยุธยา และ คนไทย ทั้งภาครัฐ ภาคเอกชน ภาค ประชาชน และจิ ต อาสา ร฽ ว มกั น ฟื้นฟูอยุธยาให฾กลับมายืนหยัดอย฽าง สง฽างามยิ่งกว฽าเดิม ประหนึ่งไม฽เคย เกิดพิบัติอะไรขึ้นมาก฽อน สะท฾อนถึง สายเลื อ ดนั ก สู฾ ข องชาวจั ง หวั ด พระนครศรีอยุธยา และความสมาน สามั ค คี ข องคนไทย ที่ น฽ า จะสร฾ า ง ความเชื่ อมั่นในความพร฾อมสําหรับ

การเป็นเจ฾าภาพมหกรรมโลกได฾ไ ม฽ น฾อย นั บ จากวิ ก ฤติ นั้ น เป็ น ต฾ น มา จั ง หวั ด พร ะนครศรี อ ยุ ธ ยา และหน฽วยงานต฽าง ๆ ในจัง หวัด ได฾ ร฽ว มมื อ กั น จัด กิ จ กรรมต฽า ง ๆ เพื่ อ เผยแพร฽จุดแข็ง ในการเป็นเจ฾าภาพ จั ด งานมหก รร มโลก ให฾ เ ป็ น ที่ ปร ะ จั ก ษแ ว฽ าจั ง ห วั ด พ ร ะ น ค ร ศรีอยุธยามีความพร฾อมทุกด฾าน เป็น นครประวั ติ ศ าสตรแ ที่ มี เ รื่ อ งราว ความสั ม พัน ธแ กับ นานาประเทศมา อย฽ า งยาวนาน เป็ น นครแห฽ ง ความ หลากหลายทางเชื้ อ ชาติ ศ าสนา ที่ ต฽ า งอยู฽ ร฽ ว มกั น ได฾ อ ย฽ า งสั น ติ สุ ข โดยทางจั ง หวั ดพระนครศรีอ ยุธยา ร฽วมกับหน฽วยงานภาครัฐและเอกชน ภายในจังหวัด ได฾จัดกิจกรรมต฽าง ๆ ออกมาอย฽า งสม่ํา เสมอ โดยเฉพาะ เทศกาลความสั ม พั น ธแ ระหว฽ า ง อยุธยากับประเทศต฽าง ๆ ที่เคยเข฾า มาตั้งถิ่นฐานในอดีต เช฽น เปอรแเซีย เน เธ อรแ แลนดแ โ ปร ตุ เ กส และ ศรี ลั ง กา รวมทั้ ง การสอดแทรก เนื้ อ หาการประชาสั ม พั น ธแ ค วาม พร฾อมของจังหวัดพระนครศรีอยุธยา ลงในกิจกรรมหรื อเทศกาลประจําปี ต฽าง ๆ อย฽างต฽อเนื่อง ตั้งแต฽ปลายปี ๒๕๕๔ และตลอดทั้ง ปี ๒๕๕๕ อัน ประกอบไปด฾วยกิจกรรมต฽าง ๆ อาทิ ๑. งา น เ ฉลิ มฉล อ ง ๒ ทศวรรษ อยุธยามรดกโลก จัดขึ้น ระหว฽ า งระหว฽ า งวั น ที่ ๙ – ๑๓ ธั น ว า ค ม ๒ ๕ ๕ ๔ โ ด ย ท ท ท . พระนครศรี อยุธยา ร฽ว มกับจัง หวั ด พ ร ะ น ค ร ศ รี อ ยุ ธ ยา แ ละ ก ร ม ศิ ล ปากร ซึ่ ง แม฾ จ ะจั ด ขึ้ น ที่ ห น฾ า ศู น ยแ บ ริ ก ารข฾ อ มู ล ท฽ อ งเที่ ย วเพี ย ง

แห฽ ง เดี ย ว (ศาลากลางจัง หวัด หลั ง เก฽า) ซึ่งต฽างจากทุกปี แต฽ก็มีกิจกรรม อันหลากหลาย เช฽น การแสดงทาง วั ฒ นธรรมไทยร฽ ว มสมั ย และการ แสดงจากนานาชาติ มี ก ารจํ า ลอง ตลาดโบราณ จําหน฽ายอาหาร และ เครื่องดื่ม อันเป็น ส฽วนสําคัญในการ ประชาสัมพันธแการท฽องเที่ยวจังหวัด ภายหลังประสบอุทกภัย ๒.เทศกาลความสัมพันธ์ อยุธยากับนานาชาติ เป็นกิจกรรมที่ จั ด โดยจั ง หวั ด พระนครศรี อ ยุ ธ ยา ร฽ ว มกั บ หน฽ ว ยงานภาคส฽ ว นต฽ า ง ๆ ภายในจัง หวั ด ซึ่ง จั ด เป็ นกิ จ กรรม ย฽ อ ย ๆ ติ ด ต฽ อ กั น โดยมี ค วามมุ฽ ง หมายเพื่ อ ชี้ ใ ห฾ ช าว โ ลก เห็ น ว฽ า จัง หวัดพระนครศรี อยุธ ยาเคยเป็ น นครที่ ไ ด฾ รั บ รองการมาเยื อ นของ นานาประเทศมาตั้ง แต฽สมัยโบราณ ที่เ ป็ น จุ ด เริ่ ม ต฾ น แห฽ ง ความสั ม พั น ธแ อันยาวนานระหว฽างประเทศไทย กับ ชนชาติ ต฽ า ง ๆ โดยในการจั ด งาน ย฽ อ ยในแต฽ ล ะครั้ ง จะสอดแทรก เนื้อหาของความสัมพันธแทางการทูต ก า ร ค฾ า แ ล ะ สั ง ค ม วั ฒ น ธ ร ร ม ระหว฽างอยุ ธยากับชาติ ต฽าง ๆ ซึ่ง มี การเชิญแขกคนสําคัญ เช฽น ทูตหรือ ผู฾แทนของชาติต฽าง ๆ มาร฽วมงาน มี สิ น ค฾ า ของที่ ร ะลึ ก และอาหาร เครื่องดื่ม ทั้งที่แปลกตาและคุ฾นเคย กั น อยู฽ ข ายกั น อย฽ า งคึ ก คั ก มี ก าร แสดงทางวัฒนธรรมร฽วมสมั ยเป็นที่ สนใจของชาวจั ง หวั ด พระนคร ศ รี อ ยุ ธ ย า แ ล ะ ทั่ ว ไ ป ไ ม฽ น฾ อ ย ประกอบไปด฾วย - ง าน ตรุ ษจี น ก รุ ง เก฽ า อยุ ธ ยามหามงคล จั ด ขึ้ น ระหว฽ า ง วันที่ ๒๔ – ๒๙ มกราคม ๒๕๕๕ I วารสารวิชาการ อยุธยาศึกษา I ปีที่ ๖ / ๒๕๕๗ I๘๙


- เทศกาลความสั ม พั น ธแ อยุ ธ ยา - ฮอลัน ดา จั ด ขึ้น ระหว฽ า ง วันที่ ๘ - ๑๐ มิถุนายน ๒๕๕๕ - เทศกาลความสั ม พั น ธแ อยุ ธ ยา-เปอรแ เ ซี ย ระหว฽ า งวั น ที่ ๒๒ - ๒๔ มิถุนายน ๒๕๕๕ - เทศกาลความสั ม พั น ธแ อยุ ธ ยา - ศรี สั ง กา ระหว฽ า งวั น ที่ ๒ – ๔ สิงหาคม ๒๕๕๕ - เทศกาลความสั ม พั น ธแ อยุธยา - ฝรั่งเศส ระหว฽างวันที่ ๒๔ - ๒๖ สิงหาคม ๒๕๕๕ - เทศกาลความสั ม พั น ธแ ไทย - ญี่ ปุ น ระหว฽ า งวั น ที่ ๑ - ๘ กั น ยายน ๒๕๕๕ ซึ่ ง จั ด ที่ บ ริ เ วณ ศูนยแศึกษาประวัติศาสตรแพระนครศรีอยุธยา ๓.ลอยกระทงกรุงเก่า ใน การจัดงานลอยกระทงกรุงเก฽าของ ทางจังหวัดพระนครศรีอยุธยา ที่จัด ขึ้ น ณ อนุ ส รณแ ส ถานแห฽ ง ความ จงรั ก ภั ก ดี ทุ฽ ง หั น ตราประจํ า ปี ๒๕๕๕ ซึ่ ง นอกเหนื อจากกิจ กรรม ลอยกระทงแล฾ ว ยั ง มี กิ จ กรร ม ประชาสั ม พั น ธแ ก ารเสนอตั ว เป็ น เจ฾ า ภาพงานมหกรรมโลก เวิ ล ดแ เอ็ กซแ โ ป ๒๐๒๐ โดยมี ก ารแข฽ง ขั น Walk Rally และมี กิ จ กรรมการ แข฽งขันทางน้ํา การประกวดกระทง พร฾อมด฾วยการแสดงจากดาราศิลปิน จํานวนมาก รวมทั้งได฾ฟื้นฟูประเพณี โบราณเก฽ า แก฽ คื อ พิ ธี อ าบน้ํ า เพ็ ญ โ ด ย เ ก จิ อ า จ า ร ยแ ใ น จั ง ห วั ด พระนครศรีอยุธยาอีกด฾วย ๔.งานยอยศยิ่งฟ้าอยุธยา มรดกโลก งานยอยศยิ่ ง ฟู า อยุ ธ ยา มรดกโลก หรือ งานมรดกโลก ที่ใน

ปีนี้ได฾เพิ่มเนื้อหาการประชาสัมพันธแ เวิ ล ดแ เอ็ ก ซแ โ ป ๒ ๐๒ ๐ เข฾ า ไ ป ในการแสดงแสงเสี ย ง ในชื่ อ ชุ ด “ยอยศยิ่งฟูาอยุธยามหานคราเกริก เก รี ย ง ไ ก ร ” ที่ แบ฽ ง ก า ร แส ด ง ออกเป็น ๔ องกแ หรือ ๔ ฉาก องกแที่ ๑ สร฾ า งบ฾ า นแปงเมื อ ง องกแ ที่ ๒ รุ฽งเรืองงามวิจิตร องกแที่ ๓ สถิตในใจ ป ร ะ ช า แ ล ะ อ ง กแ ที่ ๔ ม ห า นคราเกริ ก เกรี ย งไกร ที่ ก ล฽ า วถึ ง ความเจริ ญ ในทุ ก ด฾ า นของจั ง หวั ด พระนครศรีอยุธยา พร฾อมทั้งในงาน ยัง มีนิ ท รรศการให฾ ค วามรู฾เ กี่ ยวกั บ เวิลดแ เอ็กซแโป ๒๐๒๐ อันแสดงถึง ความพยายามในการประชาสัมพันธแ ความพร฾ อ มของจั ง หวั ด พระนครศรี อ ยุ ธ ย า ที่ เป็ น ตั ว แท น ข อ ง ประเทศไทย ในการเสนอตั ว เป็ น เจ฾ า ภาพจั ด งาน เวิ ล ดแ เอ็ ก ซแ โ ป ๒๐๒๐ กิ จ กรรมเหล฽ า นี้ สะท฾ อ น ถึงความมุ฽งมั่น ในการผลักดั นอย฽า ง สร฾ างสรรคแ ของภาคส฽ว นต฽ าง ๆ ใน จั ง หวั ด พระนครศรี อ ยุ ธ ยา เพื่ อ ขั บ เคลื่ อ นให฾ จั ง หวั ด พระนคร ศรี อ ยุ ธยาได฾ มีโ อกาสก฾ า วออกไปสู฽ สายตาของนานาชาติ ที่ได฾เริ่มต฾นขึ้น จากบรรดาชาติ ต฽ า ง ๆ ที่ เ คยมี สั ม พั น ธ ภ า พ ร฽ ว ม กั น ม า ใ น ประวัติศาสตรแ เพื่อสานสัมพันธแนั้น ให฾แน฽นแฟูน เป็นสายใยที่จะนําไปสู฽ ความร฽ ว มมื อ ในการ สนั บ สนุ น จั ง หวั ด พระนครศรี อ ยุ ธ ยา และ ประเทศไทยให฾ ไ ด฾ รั บ โอกาสอั น สํ า คั ญ ในการเป็ น เจ฾ า ภาพจั ด งาน มหกรรมแห฽งมวลมนุษยชาติ อยุธยา เวิลดแเอ็กซแโป ๒๐๒๐

๙๐ I วารสารวิชาการ อยุธยาศึกษา I ปีที่ ๖ / ๒๕๕๗ I

จ า ก จุ ด นี้ จ ะ เ ห็ น ว฽ า วั น เวลาของอยุ ธ ยาเวิ ล ดแ เ อ็ ก ซแ โ ป ๒๐๒๐ มิ เ คลื่ อ นคล฾ อ ยไปอย฽ า ง ราบรื่ น หากแต฽จํ าต฾องฝุาวิก ฤตภั ย ร฾ายแรง แต฽ก็ยังกัดฟในลุกขึ้นยืนหยัด มุ฽ ง มั่ น แสดงศั ก ยภาพและความ พร฾ อ มของตนเองให฾ เ ห็ น เป็ น ที่ ประจักษแโดยทั่วกัน และการเดินทาง แสนเพลิ น นี้ กํ า ลั ง มาถึ ง ช฽ ว งเวลา สําคัญ

วัธฝยุ่งธี้ของอมุทมาเวิฤณ์ เอ็กซ์โบ: ควาภหวังใธกาย เบ็ธเจ้าฟาฝ วั น ที่ ๓ ๐ ม ก ร า ค ม เลขาธิ ก ารสํ า นั ก งานมหกรรมโลก หรือ BIE พร฾อมคณะ เดินทางเยือน ประเทศไทย เพื่อรับฟใง ข฾อมูล และ ลงพื้ น ที่ สํ า รวจความพร฾ อ มของ ประเทศไทย ที่เสนอตัวเพื่อประมูล สิทธิ์ เป็นเจ฾าภาพจัดงานเวิลดแเอ็กซแ โป ๒๐๒๐ ที่อําเภอบางไทร จังหวัด พระนครศรี อ ยุ ธ ยา ซึ่ ง เป็ น การ สํารวจพื้นที่ครั้ง สุดท฾ายก฽อนการลง มติคัดเลือกประเทศเจ฾าภาพการจัด งาน ในการประชุ มสมั ชชาใหญ฽ ใ น เดือนพฤศจิกายน ๒๕๕๖ ใน ช฽ ว ง เ ย็ น น า ยวิ ทย า ผิ ว ผ฽ อ ง ผู฾ ว฽ า ร า ช ก า ร จั ง ห วั ด พระนครศรีอยุธยา นําคณะฯ ลงเรือ บริ เวณท฽า เรือ องคแ ก ารบริห ารส฽ ว น จังหวัด ตําบลประตูชัย เพื่อชมความ งาม และวิถีชีวิตของประชาชนสอง ฝใ่ง แม฽น้ําเจ฾าพระยา และเทีย บท฽าที่ วัดไชยวัฒนาราม เยี่ยมชมซุ฾มสาธิต งานหัตถกรรม เช฽น การร฾อยมาลั ย การทํ า เครื่ อ งหอม การแกะสลั ก ผลไม฾ และการสานปลาตะเพี ย น


พร฾ อ มการแสดงต฽ า ง ๆ อาทิ รํ า กลองยาว และการแสดงแสงเสีย ง อย฽างงดงามตระการตา พร฾อมด฾วย การเลี้ ย งรั บ รองอาหารค่ํ า ซึ่ ง แม฾ จังหวัดพระนครศรีอยุธยาจะมีคู฽แข฽ง ในการประมู ลสิ ทธิ เป็ นเจ฾า ภาพจั ด งานที่มีศักยภาพมากหลายประเทศ อย฽าง บราซิลที่เสนอ เซาเปาโล ริโอ เดอจาเนโร และสหรัฐ อาหรั บเอมิ เรสตแ ที่ เ สนอ นครดู ไ บ เป็ น ต฾ น อย฽ า งไรก็ ต ามผู฾ ว฽ า ราชการจั ง หวั ด พระนครศรีอยุธยา ยังมีความมั่นใจ อย฽างมากที่อยุธยาของไทยจะได฾รับ การคั ด เลื อ กเป็ น สถานที่ จั ด งาน มหกรรมโลก ทุกย฽างก฾าวที่ร฽วมเดินทาง กั น มาตลอดทั้ ง วั น ของพระนครศรีอยุธยา ทั้งเหน็ดเหนื่อยจากความ พยายาม มีช฽วงที่ล฾มเจ็บแสนสาหั ส แต฽แล฾วก็จับมือกันลุกขึ้นสู฾ พร฾อมทั้ง ยั ง แสดงศั ก ยภาพอย฽ า งเต็ ม กํ า ลั ง เพื่อให฾เป็นที่ประจักษแถึงความพร฾อม ของพระนครศรีอยุธยา ในการเป็น สถานที่ จั ด งานมหกรรมที่ ยิ่ ง ใหญ฽ แห฽ ง มวลมนุ ษ ยชาติ และในวั น ที่ แสนจะเหน็ดเหนื่อย ก฽อนที่แสงของ อยุธยาเวิลดแเอ็กซแโป ๒๐๒๐ จะลับ ปลายขอบฟูา ผู฾คนทั้งหลายต฽างจับ

มือให฾กําลัง ใจกันและกัน พร฾อมเฝูา รอฟใ ง คํ า ตอบ ด฾ วยความหวั ง และ ความเชื่ออย฽างเต็มเปี่ยมว฽า จะมีวัน พรุ฽ ง นี้ ข อง อยุ ธ ยาเวิ ล ดแ เ อ็ ก ซแ โ ป ๒๐๒๐

เภื่อ “อมุทมาเวิฤณ์เอ็กซ์โบ ๒๐๒๐” ฤาฤันขอนพ้าไบ เมื่อวานวันเคลื่อนผ฽านไป จนสุ ด ท฾ า ยก็ ห าได฾ มี “วั น พรุ฽ ง นี้ ” ของ อยุ ธ ยาเวิ ล ดแ เ อ็ ก ซแ โ ป ๒๐๒๐ อย฽างที่หลายคนตั้ง ความหวัง เอาไว฾ เพราะเมื่อย฽างสู฽เดือนมิถุนายน พ.ศ. ๒๕๕๖ นาย บิ เ ซนเต กอนซาเลส โลสเซรแตาเลส เลขาธิการใหญ฽ของ บีไออี ก็ได฾ออกมาเปิดเผยว฽า จังหวัด พระนครศรี อยุธยาของไทย ถูกตั ด สิ ท ธิ์ อ อกจากการเสนอตั ว เป็ น สถานที่จัดงาน เวิลดแเอ็กซแโป ๒๐๒๐ เป็นที่เรียบร฾อยแล฾ว อย฽างไม฽ทันได฾ เข฾ า ไปชิ ง ชั ย ในการประชุ ม สมั ช ชา ใหญ฽ เ พื่ อ ลงมติ คั ด เลื อ กประเทศ เจ฾ า ภาพการจั ด งานในช฽ ว งเดื อ น พฤศจิ ก ายน ๒๕๕๖ เนื่ อ งจาก กระทรวงการต฽างประเทศในรัฐบาล ภายใต฾ ก ารนํ า ของนายกรั ฐ มนตรี ยิ่งลักษณแ ชินวัตร ไม฽ยืนยันแผนใน

การสนับสนุนการจัดงานให฾ทันตาม กําหนดเวลา ทางบี ไ ออีจึง กัง วลว฽ า รั ฐ บาลไทยอาจจะไม฽ ไ ด฾ ใ ห฾ ก าร สนั บ สนุ น ใน ก าร จั ด ง าน อ ย฽ า ง เพียงพอ ส฽ ง ผลให฾ โ อกาสในการ เสนอตั วเป็น เจ฾ าภาพเวิล ดแ เ อ็ก ซแโ ป ใ น ค . ศ . ๒ ๐ ๒ ๐ ข อ ง จั ง ห วั ด พระนครศรี อ ยุ ธ ยาหลุ ด ลอยไป เฉย ๆ โดยปราศจากคําอธิบายจาก รัฐบาล ประหนึ่งว฽าตลอดระยะเวลา ๒-๓ ปีที่ผ฽านมา ไม฽เคยมีการพูดคุย ถึงเรื่องอยุธยาเวิลดแเอ็กซแโป ๒๐๒๐ กั น ม า ก฽ อ น ยุ ติ ง บ ป ร ะ ม า ณ ประชาสั มพัน ธแที่ ผ฽านมากว฽า ๔๐๐ ล฾านบาท รวมทั้ ง ยุ ติความหวัง ของ ชาวอยุธยา และคนไทยทั้งประเทศ ให฾ นิ่ ง ลง ปล฽ อ ยให฾ ก าลเวลาคอย ลบเลือนความทรงจําของชาวอยุธยา และคนไทยที่เคยมีความหวังในการ เป็ น เจ฾ า ภาพจั ด งาน เวิ ล ดแ เ อ็ ก ซแ โ ป ๒๐๒๐ ให฾จางลงไปเอง

เมื่อนั้น “อยุธยาเวิลด์ เอ็ ก ซ์ โ ป ๒๐๒๐” ก็ ค่ อ ย ๆ ลาลับขอบฟ้าไป ๏

แผนผังแสดงพื้นทีโ่ ครงการ อยุธยาเวิลด์เอ็กซ์โป ๒๐๒๐ ซึ่งก่าหนดที่ตั้งไว้ทางด้านทิศตะวันออกของศูนย์ปาชีพบางไทร

I วารสารวิชาการ อยุธยาศึกษา I ปีที่ ๖ / ๒๕๕๗ I๙๑


นุษยาคัภภฒีศยียาชฟัฎ อยอุภา โฝทิ์จิ๋ว* ยกย่องเชิดชูเกียรติ ผู้มผี ลงานดีเด่นด้านการศึกษาวัฒนธรรม และภูมปิ ญ ั ญาท้องถิ่น และสร้างคุณประโยชน์แก่สังคม

โคยงกายมกม่องปู้ภีปฤงาธณีเณ่ธ

ณ้าธกายศึกษา วัฑธทยยภ แฤะฟูภิบัญญาถ้องติธ่ บยะจําฝุถทศักยาช ๒๕๕๗

สถาบั น อยุ ธ ยาศึ ก ษา หน฽ ว ยงานด฾ า นการศึ ก ษาค฾ น คว฾ า และสื บ สานศิ ล ปวั ฒ นธรรมท฾ อ งถิ่ น ในสั ง กั ด มหาวิทยาลัยราชภัฏพระนครศรีอยุธยา ได฾จัดพิธีมอบรางวัล “บุษราคัมมณีศรีราชภัฏ” ครั้งที่ ๑๑ ขึ้นเมื่อวันที่ ๒๑ มีนาคม พ.ศ.๒๕๕๗ ณ หอประชุมมหาวิทยาลัยราชภัฏพระนครศรีอยุธยา การจัดโครงการในครั้งนี้มีวัตถุประสงคแเพื่อ เป็นการยกย฽องเชิดชูเกียรติ ผู฾มีผลงานดีเด฽นด฾านการศึกษา วัฒนธรรม และภูมิปใญญาท฾องถิ่น รวมทั้งสร฾างคุณประโยชนแ แก฽สังคม ซึ่งปีนี้ถือเป็นครั้งพิเศษที่ได฾ขยายขอบเขตครอบคลุมพื้นที่ให฾บริการของมหาวิทยาลัยราชภัฏพระนครศรีอยุธยา จึงไม฽เพียงแต฽พิจารณามอบรางวัลแก฽ผู฾มีผลงานดีเด฽นด฾านวัฒนธรรมในพื้นที่จังหวัดพระนครศรี อยุธยาเท฽านั้น ยังรวมถึง จังหวัดนครนายก และจังหวัดอ฽างทองอีกด฾วย สําหรับผู฾ที่ได฾รับรางวัลบุษราคัมมณีศรีราชภัฏ ประจําพุทธศักราช ๒๕๕๗ นี้ มีจํานวนทั้งสิ้น ๗ ท฽าน ในสาขา ต฽าง ๆ ประกอบด฾วย สาขาศิลปกรรม ๓ ท฽าน สาขาภาษาและวรรณกรรม ๑ ท฽าน สาขาส฽งเสริมศิลปวัฒนธรรม ๑ ท฽าน และสาขาการศึกษาและพัฒนาคุณภาพชีวิต ๒ ท฽าน ซึ่งในระหว฽างการจัดพิธีมอบรางวัลนั้น สถาบันอยุธยาศึกษา ได฾จัด ให฾มีการเสวนาแลกเปลี่ยนถึงความรู฾สึกที่ได฾มีโอกาสรับรางวัลครั้ง นี้ โดยมีนายปใทพงษแ ชื่นบุญ นักวิชาการ ประจํา สถาบันอยุธยาศึกษา เป็นผู฾ดําเนินรายการ ซึ่งมีสาระสําคัญที่น฽าสนใจดังต฽อไปนี้

๙๒ I วารสารวิชาการ อยุธยาศึกษา I ปีที่ ๖ / ๒๕๕๗ I


ฝัธจ่าอากาศเอกสุยเณช เณชคง สาขาศิลปกรรม ด้านช่างแทงหยวก พั น จ฽ า อากาศเอกสุ ร เดช เดชคง หรื อ ครู สุรเดช ช฽างแทงหยวกแห฽งเมืองอ฽างทอง ได฾เล฽าถึงความ ภาคภู มิ ใ จที่ สุ ด ในชี วิ ต ที่ ไ ด฾ มี โ อกาสเข฾ า เฝู า ฯ สมเด็ จ พระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี โดยบังเอิญ ว฽า “ผมได้มีโอกาสรับเชิญจากท่านจเด็ด อินสว่าง ซึ่ง ท่านเป็นปลัดกีฬาท่องเที่ยว ให้ไปท่าเมรุแทงหยวก เผาศพบิ ด าของท่ า นที่ จั ง หวั ด สุ พ รรณบุ รี เสร็ จ แล้ ว สมเด็จพระเทพฯ ท่านเสด็จไปเสวยพระกระยาหารที่นั่น ตอนกลางวัน ท่านมาเป็นองค์ประธาน ขณะที่รถขับผ่าน เมรุ ห ยวกที่ สนามกี ฬ าโรงเรี ย นนั้ น ปรากฏว่ า สมเด็ จ พระเทพฯ ท่านรับสั่งให้คนขับรถจอด แล้วพระองค์ท่าน ก็เสด็จพระราชด่าเนินขึ้น ไปดูเมรุ พระองค์ตรัสว่า งาน แทงหยวกนี้มันใกล้จะสูญสลายไปทุกขณะ อยากจะให้ ช่วยอนุรั กษ์ สืบสาน พัฒนา งานแทงหยวก ให้ คงอยู่ เป็นมรดกของชาติ ต่อไป แล้วตอนสุดท้าย ท่านก็ตรัสว่า งานแทงหยวกนี้ ฉั น ก็ แ ทงได้ แ ต่ ถ้ า จะให้ ส วยแบบนี้ กล้วยคงหมดหลายดงแน่ แล้วท่านก็รับสั่งให้ จเด็ด อิน สว่าง เอารูปพระราชทานที่ถ่ายที่เมรุนั่นมาให้ผม แล้ว ท่าน ก็เขียนค่าชมเชย อันนี้เป็นที่ประทับใจของสกุลช่าง แทงหยวก อ่างทองเป็นอย่างมาก” ครูสุรเดช ยังได฾ฝากฝใงถึงงานแทงหยวกว฽าเป็น งานที่หาดูได฾ยาก ไม฽ค฽อยมีหลักฐานหลงเหลือ เพราะเมื่อ ใช฾งานเสร็จแล฾วก็ต฾องทิ้งไป แต฽นับว฽าเป็นเรื่องโชคดีอยู฽ บ฾างที่ในปใจจุบันมีเทคโนโลยีในการบันทึกเป็นภาพถ฽าย ไว฾ จึงอยากให฾คนรุ฽นหลังๆ ช฽วยกันรักษาภูมิปใญญาแทง หยวกนี้ให฾คงอยู฽ต฽อไป

คุฒสุวิถม์ ชูชีฝ สาขาศิลปกรรม ด้านช่างแทงหยวก ครูสุวิทยแเป็น ช฽างแทงหยวกประจําย฽านวัดปุา โค อําเภอพระนครศรีอยุธยา และยังเป็นครู พิเศษสอน วิชาการแทงหยวกให฾กับนักเรียนโรงเรียนเทศบาลวัดปุา โคอีกด฾วย ครูเล฽าถึงภูมิปใญญาการแทงหยวกว฽า

“ผมได้เห็น การแทงหยวกในวันนี้นะครับ ก็ดี ใจและคิดว่า สถาบันอยุธยาศึกษา เป็นแหล่ง ที่จะรักษา ให้วิชาแขนงนี้ไม่ให้สูญ เหมือนกับได้ปลุกสิ่ง ที่ตายแล้ว ให้ฟื้นขึ้น และผมเชื่อว่าเด็กรุ่นหลังของเราที่ไม่เคยเห็น จะได้เห็นฝีมือศิลปะของการแทงหยวก แต่ละหมู่บ้าน สมัยก่อนการแทงหยวกนี้ มีทุกหนทุกแห่ง ถ้าจะเรียกได้ ว่าประจ่าวัดเลยก็ว่าได้ และอีกอย่างหนึ่งศิลปะการแทง หยวกนี้ไม่ใช้เฉพาะงานตาย ที่จริงใช้ได้หลากหลาย และ เป็นการต่อยอดไปได้อีกไกล ผมก็ขอชมเชยบรรพบุรุษของเราได้เอาสิ่งที่ ไม่ มีค่ามาเป็นสิ่ง ที่มีค่า บรรพบุรุษของเราได้ให้เกียรติแก่ ผู้ตาย ได้ให้เกียรติแก่เด็กไว้จุก แก่เด็กไว้แกละ แล้วเป็น การช่วยเหลือเกื้อกูลซึ่งกันและกันในหมู่บ้าน งานแทง หยวกท่างานเป็นทีม ไม่ใช่ท่างานคนเดียว เป็นน้่าหนึ่งใจ เดี ย วกั น ของคนในหมู่ บ้ า น และผมได้ ดี ใ จที่ ผ มที่ ไ ด้ ถ่ายทอดให้กับเด็กนักเรียน ผมเชื่อว่าวิชาแขนงนี้ จะไม่ สู ญ หายจากพวกคณะครู ช่ า งต่ า ง ๆ ทุ ก รู ป ทุ ก นามนี่ แหละครับ”

คุฒวิธัม มิธณีวิถม์ สาขาศิลปกรรม ด้านการตีมีดอรัญญิก ถ฾ า พู ด ถึ ง ร฾ า นมี ด อรั ญ ญิ ก แล฾ ว นั้ น หลาย ๆ ท฽านคงจะรู฾จั กร฾ านมี ดอรัญ ญิก ที่ชื่ อว฽า วิ นัย รวยเจริ ญ เพราะเป็นแหล฽ง ผลิต แหล฽งเรียนรู฾การตีมีดที่มีชื่อเสียง มากของอําเภอนครหลวง จังหวัดพระนครศรีอยุธยา คุ ณ วิ นั ย เล฽ า ถึ ง ความภาคภู มิ ใ จ ที่ เ กิ ด มาใน แผ฽นดิน ไทยแล฾ วก็สืบทอดภูมิปใ ญ ญาท฾อ งถิ่น ได฾มีส฽ว น ร฽วมอนุรักษแในภูมิปใญญาท฾องถิ่นของปูุย฽าตายาย ซึ่งเป็น ชาวลาวเวียงจันทนแ ทีอ่ พยพมาในปลายกรุงศรีอยุธยาว฽า “ผมเนี่ยมีความภาคภูมิใจ ที่เกิดมาในแผ่นดิน ไทยแล้ ว ก็ สื บ ทอดภู มิ ปั ญ ญาท้ อ งถิ่ น ได้ มี ส่ ว นร่ ว ม อนุรักษ์ในภูมิปัญญาท้องถิ่นของปูุย่าตายายของพวกผม นี้ ซึ่งประวัติก็บ่งบอกว่าเป็นชาวลาวเวียงจันทน์นะครับ ซึ่ง อพยพมาในปลายกรุ ง ศรี อยุ ธ ยา ตอนนี้ ผ มก็ไ ด้ สื บ ทอดภูมิปัญญาท้องถิ่น .. ผมมีความภาคภูมิใจว่าผมเป็น ส่วนหนึ่งที่ได้ท่าเหล็ก จากเศษเหล็ก ให้มีคุณค่า และให้ มีประโยชน์ได้ใช้สอย แล้วก็สืบทอดให้กับลูกหลาน ซึ่ง ทางกลุ่มผมนี้ไ ด้ตั้ง กลุ่มมีดอรัญ ญิก วินัยรวยเจริญ ซึ่ง I วารสารวิชาการ อยุธยาศึกษา I ปีที่ ๖ / ๒๕๕๗ I๙๓


เป็นศูนย์เรียนรู้ ดูงานให้กับสถาบันการปกครองท้องถิ่น หรือว่าจะเป็นกลุ่มอาชีพ ตอนนี้ทางสถาบันอยุธยาศึกษา ได้สนับสนุน ให้รางวัลบุษราคัมแก่ผม ผมมีความภาคถูมิใจมาก จาก ๔๙ ปี ซึ่ง ผมได้สืบทอดภูมิปัญญามา ผมหายเหนื่อ ย และมีความภาคภูมิใจที่จะ ต่อยอดภูมิปัญญาท้องถิ่นอัน นี้ และอนุรักษ์วัฒนธรรมไทยของเราไว้” สิ่งบันดาลใจของคุณสุรเดชที่ทําให฾เขาคงความ เป็นช฽างตีมีดมาจนถึงทุกวันนี้ คือเหตุการณแสําคัญในชีวิต เมื่อ พ.ศ. ๒๕๒๙ พระบาทสมเด็จพระเจ฾าอยู฽หัวภูมิพล อดุลยเดช ทรงเสด็จพระราชดําเนินทอดพระเนตรมาตี มีดอรัญญิกด฾วยพระองคแเองเพียงลําพัง ขณะนั้นคุณสุรเดช อายุประมาณ ๒๐ ปี ได฾มี โอกาสเข฾าเฝูากราบแทบพระบาท พระองคแทรงตรัสว฽า จะมาทอดพระเนตร การตีมีดของชาวอรัญญิก และทรง มีรับสั่งว฽า “การตีเหล็กแบบโบราณแบบนี้ ไม฽มีที่ไหนใน โลก นอกจากอรัญญิก ฉันได฾ยินชื่อมานานแล฾วแต฽ไม฽มี โอกาสได฾มา อยากให฾อนุรักษแเอาไว฾” ด฾วยความปลาบปลื้มใจในพระมหากรุณาธิคุณ ที่ทรงมีค วามหวงแหนภูมิปใ ญญาการตีมีด จึง เป็น แรง บันดาลใจให฾คุณวินัย เสนอตัวเข฾าไปรับใช฾ประชาชนใน หมู฽บ฾าน เพื่ออนุรักษแภูมิปใญญาท฾องถิ่นนี้ไว฾ตราบเท฽านาน และมุ฽ ง มั่ น ที่ จ ะต฽ อ ยอดพั ฒ นางานตี มี ด เพื่ อ เป็ น การ สนองพระราชดํ าริ ของพระบาทสมเด็ จพระเจ฾าอยู฽หั ว สืบไป

อาจายม์บยะสงค์ อุ่ธเณช สาขาภาษา และวรรณกรรม จัง หวัดพระนครศรีอยุธยา นับว฽าเป็นเมืองที่ “เลิศล้ํา กานทแกวี” มาตั้งแต฽ในอดีตกาล จวบจนปใจจุบัน ก็ยังมีกวีที่ยังทําหน฾าที่สืบสานบทเพลง และวรรณกรรม พื้น บ฾ านให฾เ ป็ น มรดกวั ฒ นธรรม ตกทอดมาสู฽ ปใจ จุ บั น สมั ย โดยมี ก ารรวมตั ว กั น เป็ น ชมรม ชื่ อ ว฽ า ชมรมนั ก กลอน อาจารยแประสงคแ อุ฽นเดช เป็นสมาชิกคนหนึ่ง ในชมรมนั ก กลอน และเป็น ผู฾ มีส฽ ว นร฽ ว มในการแต฽ บ ท ประพันธแที่ใช฾ประกอบงาน และพิธีต฽าง ๆ ของจังหวัด ๙๔ I วารสารวิชาการ อยุธยาศึกษา I ปีที่ ๖ / ๒๕๕๗ I

พระนครศรี อ ยุ ธ ยา อาทิ บทเห฽ เ รื อ บทเล฽ น เพลง พวงมาลัยต฽างๆ ในโอกาสที่ อ าจารยแ ป ระสงคแ อุ฽ น เดช ได฾ รั บ รางวั ล ยกย฽ อ งเชิ ด ชู เ กี ย รติ ผู฾ มี ผ ลงานดี เ ด฽ น ด฾ า น การศึ ก ษา วั ฒ นธรรม และภู มิ ปใ ญ ญาท฾ อ งถิ่ น สาขา ภาษา และวรรณกรรม จึงได฾แต฽งบทประพันธแขึ้นมา อัน สะท฾อนได฾ถึงอุดมการณแของนักกลอน ไว฾ดังนี้ ธรรมดานักกลอนไม่นอนเปล่า เขียนเรื่องราวขจรไกลในแหล่งหน้า แม้ภูมิรู้จะมีน้อยด้อยปัญญา สู่อุตส่าห์ฝึกฝนจนเชี่ยวชาญ เพื่อถ่ายทอดอุดมการณ์และสานฝัน เพื่อสร้างสรรค์ความรื่นรมผสมผสาน สื่อภาษาผ่านอักษรเป็นกลอนการ ให้มวลชนชื่นบาลญาณยินยล เพื่อสอดคล้องค่าขวัญอยุธยา ที่มีมาแน่วแน่ตั้งแต่ต้น เลิศล้่ากานท์กวีที่นิพนธ์ เหล่านักกลอนทุกคนต่างภูมิใจ ขอเป็นหนึ่งในผู้ซึ่งได้สืบทอด มิใช่ยอดกวีแท้มาแต่ไหน แต่รักในคุณค่าภาษาไทย มอบดวงใจแด่กลอนกลางนิรันดรเทอญ

คุฒณุฤม์ฝิชัม โกภฤวาธิช สาขาส่งเสริมศิลปวัฒนธรรม คุณดุลยแพิชัย โกมลวานิช เป็นบุคคลตัวอย฽าง ที่ มี ค วามสามารถทางด฾ า นศิ ล ปวั ฒ นธรรมและการ ออกแบบ โดยเฉพาะการนําวัฒนธรรมและภูมิปใญ ญา ท฾ อ งถิ่ น มาใช฾ เ ป็ น แนวคิ ด ในการสร฾ า งสรรคแ ผ ลงาน ออกแบบที่ มี เ อกลั ก ษณแ เ ฉพาะตั ว สะท฾ อ นให฾ เ ห็ น ถึ ง คุณค฽าความงามและประโยชนแใช฾สอย ผลงานได฾รับการ เผยแพร฽ทั้งในระดับประเทศและในต฽างประเทศ และได฾ อุ ทิ ศ ตนเพื่ อ สื บ สานงานศิ ล ปะ และมรดกภู มิ ปใ ญ ญา ท฾องถิ่น ให฾ดํารงอยู฽คู฽กับชุมชนมาเป็นระยะเวลายาวนาน ตลอดจนถ฽ายทอดความรู฾ให฾กับ เยาวชน และผู฾ที่สนใจ


เพื่อให฾ทุก คนร฽ว มตระหนัก ถึงคุ ณค฽า และความสําคั ญ ของวัฒนธรรมและภูมิปใญญาท฾องถิ่น ช฽ว งหนึ่ง ในการเสวนา คุณ ดุลวิชั ย ได฾ พูด ถึ ง การพัฒนา “เมือง” กับ “ศิลปะ” ไว฾อย฽างน฽าสนใจมาก ความตอนหนึ่งว฽า “ผมจะนึ กถึ ง ประเด็ น เมื อ งเสมอว฽ าต฾ อ งเกิ ด เมือง ถ฾าเราไม฽ใช฾ศิลปะกับเมืองศิลปะก็จะเป็นเหมือนกับ หิ่งห฾อยตัวเล็ก ๆ ซึ่งวันหนึ่งเมื่อแสงไฟกระจ฽างขึ้น แสง หิ่งห฾อยตรง ๆ นั้นก็ดับไปแล฾วมันก็มีแสงไฟตรงนั้นก็เป็น หลอดนั บ ชนิ ด แสงหิ่ ง ห฾ อ ยซึ่ ง มั น เป็ น เบื้ อ งของ วั ฒ นธรรมมั น เป็ น แสงธรรมชาติ ส ติ ปใ ญ ญาของมวล มนุษยแโดยใช฾พื้นฐานที่เหมาะสมตรงนั้นมันก็จะหมดไป อยุธยามีรหัสชีวิตมีรหัสวัฒนธรรมมีรหัสภูมิศาสตรแซ฽อน อยู฽ในนั้นมากมายเหลือเกินใช฾เวลาในการพิจารณาตรง นั้นอย฽างถี่ถ฾วนก็ถือเป็นโอกาสอันดีสําหรับคนรุ฽นใหม฽”

อาจายม์ชาดยี สูวัสกุ สาขาการศึกษา และพัฒนาคุณภาพชีวิต อาจารยแชาตรี สู วัสกุ แต฽เ ดิมท฽า นเป็น ศิลปิ น นักเขียนภาพและได฾ผันตัวเองมาสู฽การทําเกษตรกรรม อาจารยแเล฽าถึงแนวคิดการอนุรักษแทุเรียนโบราณว฽า คือ การอ฽อนน฾อมต฽อธรรมชาติซึ่งเกิดจากการทํางานศิลปะ อาจารยแกล฽าวว฽า “สมัยก่อนนี้คนจะละเอียดประณีตทุกอย่างไม่ ว่าในเรื่องของอาหารการกิน เรื่องของงานฝีมือต่างๆ จน เกิ ด เป็ น งานศิ ลปะ จากนั้ น ก็ ก ลายมาเป็ น วั ฒ นธรรม อาจารย์ชาตรีกล่าวว่า สมัยก่อนนั้น ว่าทุเรียนลูกหนึ่ง ราคาเท่ากับทองค่า ๑ บาท เป็นสิ่งที่ยืนยันว่าอันนี้เป็น เรื่องที่น่าจะเป็นวัฒนธรรมได้ ที่เชื่อมโยงกับวัฒนธรรม วิถีชีวิต” หากท฽ า นใดสนใจวิ ถี ชี วิ ต แบบธรรมชาติ ต฾องการที่จะเรียนรู฾เกี่ยวกับการทําสวนทุเรียนก็สามารถ เข฾ามาได฾ที่ สวนละอองฟูา ซึ่งอาจารยแเป็นศูนยแอนุรักษแ พันธุทุเรียนโบราณด฾วยแล฾วก็ยังเป็นแหล฽งเรียนรู฾ด฾วย

อาจายม์กัฤมา ภั่งคั่ง สาขา การศึกษาและพัฒนาคุณภาพชีวิต อาจารยแ กัล ยา มั่ ง คั่ง เป็น ข฾ าราชการครู มา กว฽า ๓๐ ปี วิธีการสอนของอาจารยแ คือ อาจารยแจะพา เด็กนักเรียนลงไปเรียนรู฾เกี่ยวกับเรื่องภูมิปใญญาท฾องถิ่น ของจัง หวัดนครนายก เพราะว฽าจะทําให฾เด็กได฾พบกับ ประสบการณแจริง นักเรียนก็ไ ด฾ศึกษาเรียนรู฾ไ ปด฾วย ที่ โรงเรี ย นนั้ น จะมี โ ครงการส฽ ง เสริ ม ความเป็ น เลิ ศ ของ นักเรียน โดยจะมีการแข฽งขันโรงเรียนระดับกลุ฽ม ระดับ อําเภอ ระดับจังหวัด ซึ่งทางโรงเรียนก็จะวัดแววนักเรียน นั ก เรี ย นคนไหนมี ค วามสามารถ อาจารยแ กั ล ยาก็ จ ะ ส฽ง เสริมให฾นักเรียนได฾ประสบความสําเร็จ จนสามารถ ได฾รับรางวัลต฽าง ๆ จํานวนมาก อาจารยแกัลยา มั่งคั่ง ถ฽ายทอดเรื่องราวต฽าง ๆ ด฾วยความปลาบปลื้มใจ ในฐานะเรือจ฾างผู฾เสียสละ นอกจากนี้ ในช่ ว งท้ า ยของกิ จ กรรมนั้ น อาจารย์ประสงค์ อุ่นเดช ได้เป็นตัวแทนของผู้ได้รับ รางวั ล ยกย่ อ งเชิ ด ชู เ กี ย รติ ผู้ มี ผ ลงานดี เ ด่ น ด้ า น การศึกษา วัฒนธรรม และภูมิปัญญาท้องถิ่น ประจา พุทธศักราช ๒๕๕๗ ไว้ดังนี้ สถาบันอันทรงค่า อยุธยาศึกษาผู้สร้างสรรค์ เชิดชูเกียรติ มอบรางวัลสิ่งส้าคัญ ก้าลังใจที่ท่านนั้นให้แก่เรา จะรักษาผลงานที่ดีเด่น เพื่อให้เป็นมรดกไทยไม่สูญเปล่า ให้อนุชนรุ่นหลังที่ยังเยาว์ ได้รับเอาเป็นแบบอย่างในทางดี การศึกษาศิลปวัฒนธรรม ภูมิปัญญาเลิศล้​้าเทิดศักดิ์ศรี เป็นพลังให้เด็กไทยใฝ่ท้าดี สร้างผลงานเช่นนี้นิรันดร๏

I วารสารวิชาการ อยุธยาศึกษา I ปีที่ ๖ / ๒๕๕๗ I๙๕


วยยฒกยยภถ้องติ่ธกยุงเก่า บัถฝงษ์ ชื่ธนุญ ภูมปิ ัญญา และเรื่องเล่า จากเอกสารโบราณของชาวกรุงเก่า ในศูนย์ข้อมูลสถาบันอยุธยาศึกษา

ดํายามา คาตาอาคภ ฝิไชมสงคยาภ แฤะโหยาศาสดย์ ณูรกษ์มาภด่าง ๆ*

ถี่ภา เอกสารโบราณเล฽มนี้ เดิมเป็นสมบัติตกทอดของตระกูล สุวรรณวณิช ซึ่งมีถิ่นฐานอยู฽ที่ตําบลหัวรอ อําเภอ เมือง จัง หวัดพระนครศรีอยุธยา ต฽อมานายบุญเรือน และนางวิรัช สุวรรณวณิช ได฾มอบให฾กับสํานักศิลปวัฒนธรรม วิทยาลัยครูพระนครศรีอยุธยา ในขณะนั้น เมื่อวันที่ ๑๕ สิง หาคม พ.ศ.๒๕๒๕ ปใจจุบันเก็ บรักษาไว฾ในคลัง เอกสาร โบราณของสถาบันอยุธยาศึกษา มหาวิทยาลัยราชภัฏพระนครศรีอยุธยา

ฤักษฒะของเอกสายโนยาฒ เอกสารโบราณเล฽มนี้ เป็นสมุดไทยขาว ลงรักทึบที่ปกหน฾า-ปกหลัง และสันทั้ง ๔ ด฾าน ปกหน฾าปิดทองคําเปลว มีขนาดความกว฾าง ๑๑.๖ เซนติเมตร ยาว ๓๔.๔ เซนติเมตร หนา ๒.๔ เซนติเมตร มีจํานวนหน฾ารวม ๑๕๖ หน฾า สภาพ โดยรวมค฽อนข฾างสมบูรณแ มีเฉพาะหน฾าปลายที่เกิดการชํารุดฉีกขาด และมีร฽องรอยของเชื้อรา ลักษณะตัวอักษรที่ใช฾ เป็นอักษรไทย สลับกับอักษรขอมไทย เขียนด฾วยเส฾นหมึกดํา สลับกับดินสอดํา เรียงเป็น ระเบียบอย฽างสวยงาม นอกจากนี้ยังมีลักษณะเด฽นอีกประการหนึ่งคือ มีการเขียนภาพลายเส฾นตัวพระตัวนาง และสัตวแ หิมพานตแ ประกอบคําอธิบายด฾วย * ผู฾ร฽วมสํารวจ และเก็บข฾อมูล : นายพีร ภัทร ห฾าวเหิม นักศึกษา สาขา ประวัติศ าสตรแ คณะมนุษ ยศาสตรแและสัง คมศาสตรแ มหาวิทยาลัยมหาสารคาม ๙๖ I วารสารวิชาการ อยุธยาศึกษา I ปีที่ ๖ / ๒๕๕๗ I


เธื้อหา หน฾าต฾น – หน฾า ๔๘ เริ่มต฾นด฾วยบทไหว฾ครู ต฽อด฾วยการบอกคาถาสํารับเสกน้ํารักษาแผล ๑ แล฾วกล฽าวถึงสูตรยาสมุนไพรต฽าง ๆ เพื่อ ใช฾สําหรับรักษาโรคฝีหนองและแผลต฽างๆ ตามร฽างกาย จากนั้นจะเป็นภาพวาดประกอบอธิบายลักษณะฝีหนองที่ขึ้นตาม ร฽างกาย อายุของโรค และวิธีแก฾ไข หน฾า ๔๘ - หน฾า๖๖ บอกคาถาสําหรับปลุกเสก อัญเชิญเทวดาและสิ่งศักดิ์สิทธิ์ ขับไล฽อุบาทวแและสิ่ งต฽าง ๆ ก฽อนเดินทางออกจาก เคหะสถาน๒ หน฾า ๖๘ – หน฾า ๑๕๖ เป็นตําราผูกดวง ดูฤกษแยามต฽าง ๆ ได฾แก฽ การดูวันข฾างขึ้นข฾างแรมสําหรับการเพาะปลูกพืชพันธุแธัญญาหาร , ตําราพิไชยสงคราม ,การดูฤกษแยามสําหรับใส฽น้ํามันทาตัว ,การดูฤกษแยามเพื่อเลือกเสื้อผ฾าสําหรับนุ฽งห฽ม , การดูลั กษณะ วัวควาย และการดูฤกษแยามสําหรับปลูกเรือน เป็นต฾น

เป็นพระคาถาภาษาบาลี อักษรขอมไทย สลับด฾วยพระคาถาภาษาบาลี อักษรขอมไทย I วารสารวิชาการ อยุธยาศึกษา I ปีที่ ๖ / ๒๕๕๗ I๙๗


อามุแฤะคุฒค่าของเอกสายโนยาฒ เอกสารโบราณเล฽มนี้ มิได฾มีการกล฽าวถึงชื่อของผู฾เขียน และวันเวลาในการเขียน แต฽จากการปริวรรตและการ ตรวจสอบในเบื้องต฾นสันนิษฐานว฽า ไม฽ได฾เขียนเสร็จพร฾อมกันในคราวเดียว แต฽เป็นตําราที่มีการเขียนเพิ่มเติมสืบต฽อกันมา โดยผู฾เขียนมากกว฽า ๓ คน เพราะปรากฏว฽าบางช฽วงมีลักษณะลายมือที่แตกต฽างกัน อย฽างไรก็ตามในหน฾า ๗๗ ปรากฏ การข฾อความแทรกเขียนด฾วยดินสอดํากล฽าวว฽า “ วัดพุตเดือนสิบสองแรมสิบสามคาจุลสักราชพรรสอ่งร้อย สีสีบแปตปีมเมียฉ่อ่ศกฯ ท้ฯนายนั้นมา ข้อรั อรับทาหนังสือประกันตัวนายนั้นมาอยู่บ้านนั้นแขวงนั้นอุไทยกรุงเก่า นายนั้น นายนั้น

จาเจ้าจาเลยยังมี.....”

จากข฾อความดังกล฽าว สันนิษฐานว฽าจะเป็นข฾อความใหม฽ที่สุดในบรรดาเนื้อหาทั้งหมด จึงพอที่จะกําหนดอายุ ได฾ ในเบื้ อ งต฾ น ว฽ า เอกสารโบราณฉบั บ นี้น฽ าจะเขี ยนขึ้ นในช฽ วงระหว฽า งรัช กาลที่ ๕ ถึ ง ช฽ วงต฾ นรั ชกาลที่ ๖ แห฽ ง กรุ ง รัตนโกสินทรแ เอกสารโบราณฉบับนี้ สะท฾อนถึงคติความเชื่อ วิถีชีวิตของผู฾คนในช฽วงยุคสมัยที่ตรงกับ“มณฑลกรุงเก฽า” ที่ยังมี ความเชื่อในเรื่องของสิ่งเหนือธรรมชาติ ความช฽างสัง เกตและละเอียดรอบคอบในการใช฾ชีวิตประจําวัน รวมทั้งสะท฾อน ภาพชีวิตของสังคมกสิกรรมออกมาในรูปแบบของตําราเพาะปลูก และตําราดูลักษณะวัวควาย นอกจากนี้ยังแสดงออก ถึงความรอบรู฾ของผู฾แต฽งในเรื่องตํารายารักษาโรคต฽าง ๆ จึงนับว฽าเอกสารโบราณตํารายา ,คาถาอาคม ,พิไชยสงคราม และโหราศาสตรแ ดูฤกษแยามต฽าง ๆ ฉบับนี้ เป็นเอกสารที่มีคุณค฽ายิ่งฉบับหนึ่ง ที่ควรแค฽แก฽การศึกษาองคแความรู฾ทางด฾าน ภูมิปใญญาในอดีตต฽อไป

๙๘ I วารสารวิชาการ อยุธยาศึกษา I ปีที่ ๖ / ๒๕๕๗ I


ศูธม์ข้อภูฤอมุทมาศึกษา สาทิมา ฤามฝิกุธ ปริทัศน์วรรณกรรมอยุธยาจากศูนย์ข้อมูลสถาบันอยุธยาศึกษา

นุฝเฝสัธธิวาส :

ธวธิมามถี่เบ็ธภากกว่าธวธิมาม

บัถฝงษ์ ชื่ธนุญ

ในช฽ ว งสองสามปี ม านี้ หลายท฽านคงจะคุ฾นเคยเป็นอย฽างดี กั บ นว นิ ย าย ทั้ ง ที่ เ ป็ น รู ปเล฽ ม หนั ง สื อ ที่ มี ก ารตี พิ ม พแ แ ล฾ ว เช฽ น พรายพยากรณแ, ลูก ทุ฽ งโมดิฟ ายดแ ฯลฯ หรือที่ผ฽านการโลดเเล฽นบนจอ เงิ น มาแล฾ ว อย฽ า งเช฽ น “ดาวเกี้ ย ว เดือน” ทางไทยทีวีสีช฽อง ๓ ที่เพิ่ง จบไปเมื่ อ ต฾ น ปี ๒๕๕๗ นวนิ ย าย เหล฽ า นี้ ล฾ ว นแล฾ ว แต฽ เ กิ ด จากการ รั ง สรรคแ โ ดยปลายปากกาของ นัก เขี ยนรุ฽น ใหม฽ไ ฟแรงที่มี นามว฽ า “รอมแพง” หรือคุณอุ฾ย จันทรแยวีรแ ส ม ป รี ด า ซึ่ ง มี ดี ก รี จ บ จ า ก มห า วิ ท ย าลั ย ศิ ล ป าก ร ค ณ ะ โบราณคดี วิชาเอกประวัติศาสตรแ ศิ ล ปะ ซึ่ ง มี แ นวคิ ด ในการแต฽ ง นวนิ ย ายที่ ไ ม฽ เ หมื อ นใคร และ

ค฽อ นข฾า งจะฉี ก ขนบวิ ธีเ ดิ ม ในการ แต฽งนวนิยายโดยทั่วไป ในบรรดานวนิ ย ายของ คุ ณ รอมแพง “บุ พ เพสั น นิ ว าส” เป็นหนึ่งในหลาย ๆ เรื่องที่โดดเด฽น และมีเนื้อหาที่น฽าสนใจเป็นอย฽างยิ่ง เพราะผู฾แต฽ ง ได฾นําความรู฾ทางด฾า น ประวัติศาสตรแ ศิลปะ ภาษาศาสตรแ และขนบธรรมเนียมประเพณีไ ทย โบราณ ที่ ไ ด฾ จ ากการค฾ น คว฾ า ทาง วิ ช าการมาถ฽ า ยทอดลงในเนื้ อ หา ของนวนิ ย ายดั ง กล฽ า วด฾ ว ย โดย สมมุติให฾นางเอกของเรื่องคือ เกศ สุ ร างคแ ที่ เ ติ บ โตในยุ ค ปใ จ จุ บั น ประสบอุบัติเหตุถึงขั้นเสียชีวิ ต แต฽ ดวงจิตกลับย฾อนเวลาไปเข฾าในร฽าง ของแม฽ ห ญิ ง การะเกด ธิ ด าของ พระยารามณรงคแ แห฽ ง เมื อ งสอง แคว ซึ่งเสียชีวิตลงด฾วยคําสาปแช฽ง จากมนตรากฤษณะกาลี ช฽วงเวลา ดัง กล฽ า วอยู฽ ในยุ คสมัย ของรั ชกาล สมเด็จพระนารายณแมหาราชแห฽ ง กรุ ง ศรี อ ยุ ธ ยา ที่ สํ า คั ญ คื อ แม฾ ว฽ า เก ศสุ ร างคแ จ ะ เกิ ดใน ร฽ าง ใหม฽ แต฽ ด วงจิ ต นั้ น ยั ง คงเป็ น คนในยุ ค ปใ จ จุ บั น จึ ง ไ ด฾ เ ห็ น เหตุ ก าร ณแ บ฾านเมืองต฽าง ๆ ที่ผ฽านช฽วงยุคเวลา ของสมเด็ จพระนารายณแมหาราช จนกระทั่งผลัดเปลี่ยนแผ฽นดินเข฾าสู฽ ยุคแห฽งราชวงศแบ฾านพลูหลวง ซึ่งใน

ยุ ค ปใ จ จุ บั น ของเกศสุ ร างคแ นั้ น คื อ “ อ ดี ต ที่ ก ล า ย เ ป็ น บั น ทึ ก ประวัติศาสตร์” นอกจากนี้ผู฾แต฽งยังได฾สร฾าง เหตุการณแให฾เกศสุรางคแ (การะเกด) ได฾เข฾ามาผูกพันและพบรักกับหมื่น สุ น ทร เทวา (เดช) บุ ต รชายของ ออกญาโหราธิบดีกับคุณหญิงจําปา และหมื่นสุนทรเทวานี้เอง คือผู฾ที่ได฾ ชักพาให฾เกศสุรางคแได฾เข฾ามาพัวพัน บุคคลที่มีอยู฽จริง ในประวัติศาสตรแ ไทยหลายคนเช฽น แม฽มะลิ หรืออีก ชื่อหนึ่งคือนางตอง กีมารแ, ออกญา โ ห ร า ธิ บดี , จ มื่ น ศ รี สิ ท ธิ บ ว ร (ศรี ป ราชญแ ) , พระวิ สู ต รสุ น ทร (โกษาปาน), ขุ น เหล็ ก (พระยา โกษาธิ บ ดี ) , ออ กหลวงศรี ย ศ (หลานเฉก อะหมัด) , ออกหลวงสร ศักดิ์ (พระเจ฾าเสือ) , ออกพระเพท ราชา , ออกหลวงสุ ร ะสงคราม ( ค อ น ส แ ต น ติ น ฟ อ ล ค อ น ) , อาจารยแชีปะขาวแห฽งสํานักดาบวัด พุทไธศวรรยแ ฯลฯ แต฽ อ ย฽ า งไรก็ ต าม หั ว ใจ สํ า คั ญ ข อ ง น ว นิ ย า ย เ รื่ อ ง บุ พ เพสั น นิ ว าสนี้ ไม฽ ไ ด฾ มุ฽ ง เน฾ น เรื่ อ งราวของบุ พ เพสั น นิ ว าสของ ความรั ก ดั ง เช฽ นนวนิ ย ายอื่ นทั่ ว ๆ ไปเพี ย งอย฽ า งเดี ย ว หากเป็ น การ I วารสารวิชาการ อยุธยาศึกษา I ปีที่ ๖ / ๒๕๕๗ I๙๙


ดําเนินเหตุการณแที่กําลังคุกรุ฽นด฾วย การแย฽ ง ชิง อํา นาจภายในราชวงศแ ปราสาททองและความขัดแย฾งของ ชาวต฽ า งชาติ ใ นแผ฽ น ดิ น กรุ ง ศรี อยุธยา เกศสุรางคแ แม฾รู฾อยู฽เต็มอก ว฽าจะเกิดสิ่งใดขึ้น แต฽ก็ไม฽อาจแสดง ความรู฾สึกที่เป็นคําพูดออกไปได฾ ทํา ให฾เธอรู฾สึกทุกขแเสียยิ่งกว฽าไม฽รู฾ หาก เพราะคํ า ว฽ า “สิ่ ง ใดจะเกิ ด ก็ ต฾ อ ง เ กิ ด ” เ ธ อ จึ ง ไ ด฾ แ ต฽ เ ฝู า ม อ ง ประวัติศาสตรแเคลื่อนไปอย฽างที่เคย เ ป็ น โ ด ย ที่ เ ธ อ ไ ม฽ อ า จ ไ ป เปลี่ ย นแปลงแตะต฾ อ งประวั ติ -

ศาสตรแ ดั ง ตั ว อย฽ า งในเหตุ ก ารณแ มรณกรรมของของออกญาโหราธิ บดี ที่บรรยายไว฾ว฽า “...เธอใจหาย วู บ เมื่ อ นึ ก ได้ ว่ า ประวั ติ ศ าสตร์ ก่าลังท่าหน้าที่ของมันอย่างซื่อตรง สิ่งที่บันทึกไว้จนถึงรุ่นเธอนั้น ก่าลัง ถู ก พิ สู จ น์ ใ ห้ เ ธอได้ เ ห็ น อี ก ครั้ ง ออกญาโหราธิบดีก่าลังจะตาย...” ในส฽ ว นอื่ น ๆ นอกจากนี้ ยังมีการสอดแทรกเชิง อรรถที่เป็น คํ า อ ธิ บ า ย เ พิ่ ม เ ติ ม ก า ร ใ ห฾ เกร็ ด ความรู฾ ท างภาษา ตํ า นาน และความเชื่อ อีก มาก รวมทั้ ง คุ ณ

รอมแพง ยังได฾แทรกบรรณานุกรม ท฾ า ยเ ล฽ ม เพื่ อ ก าร ค฾ น คว฾ าทา ง วิชาการ จึง นับว฽า บุพเพสันนิวาส นอกจากจะมี อ รรถรสเข฾ ม ข฾ น ใน เนื้ อ หาแล฾ ว ยั ง ไ ด฾ ค ว ามรู฾ ทาง วิ ช าการเพิ่ ม ขึ้ น เป็ น อย฽ า งดี จึ ง นับว฽านวนิยายเรื่อง บุพเพสันนิวาส จึ ง เป็ น น ว นิ ย า ยกึ่ ง ตํ า ร าทา ง วิ ช าการอี ก เล฽ ม หนึ่ ง ที่ ค วรค฽ า แก฽ การสะสมไว฾บนหิ้ง หนัง สือของทุก ท฽าน.

ฝยะมาโนยาฒยาชทาธิธถย์ (ฝย เณชะคุบด์) กันเภืองฝยะธคยศยีอมุทมา : บยิถัศธ์ว่าณ้วม “กยุงเก่าเฤ่าเยื่อง” สยยธิฝธท์งาธเขีมธของฝยะมาโนยาฒยาชทาธิธถย์ กําฝฤ จําบาฝัธท์

บทความนี้ ตี พิ ม พ์ ค รั้ ง แรก เนื่ อ งในงาน “๑๔๒ ปี ชาตกาล พระยาโบราณราชธานินทร์ ” วันที่ ๒๓ กุมภาพันธ์ พ.ศ.๒๕๕๖ ครั้ ง ที่ ๒ ในวารสารวิ ชาการมนุ ษ ย์ศ าสตร์ แ ล ะ สั ง ค ม ศ า ส ต ร์ ม ห า วิ ท ย า ลั ย ร า ช ภั ฏ พระนครศรีอยุธยา ปีที่ ๑ ฉบับที่ ๑ (มกราคม – มิถุนายน ๒๕๕๖

เมื่ อ เดื อ นมี น าคม พ.ศ. ๒๕๕๔ สํานักพิมพแมติชนได฾ตีพิมพแ หนังสือรวมผลงานและชีวประวั ติ ของพระยาโบราณราชานินทรแ (พร เดชะคุ ป ตแ ) อดี ต สมุ ห เทศาภิ บ าล มณฑลกรุ ง เก฽ า โดยใช฾ ชื่ อ เล฽ ม ว฽ า “กรุงเก฽าเล฽าเรื่อง : สรรนิพนธแงาน เขี ย น ของ พ ร ะ ยาโ บร าณร าช ธ า นิ น ท รแ ”๑ ป ก ติ แ ล฾ ว คํ า ว฽ า “สรรนิ พ นธแ ” ชวนให฾ นึ ก ถึ ง งาน ร ว บ ร ว ม ผ ล ง า น ข อ ง นั ก คิ ด ปใ ญ ญ าชน สมั ย ใหม฽ ที่ มี ค ว าม หลากหลายทั้งในด฾านเนื้อหา และ ปริ ม าณ เพราะนั ก คิ ด ปใ ญ ญาชน สํ า คั ญ ๆ นั้ น เขามั ก ทุ฽ ม เทสร฾ า ง ผลงานโดยใช฾เวลานานทั้งชีวิต จึงมี

๑๐๐ I วารสารวิชาการ อยุธยาศึกษา I ปีที่ ๖ / ๒๕๕๗ I

ผลงานออกมาเป็ น จํ า นวนมาก การรวบรวมไว฾ ในที่เ ดีย วกั น ก็จ ะ สะดวก ในการศึก ษาค฾ นคว฾ า ชี วิ ต และงานของท฽านเหล฽านั้น ได฾ง฽า ย และเป็นระบบมากขึ้น ทั้งยังเป็นวิธี สําคัญ ในการเก็บรั กษาผลงานอั น ทรงคุณค฽าไว฾ได฾อีกด฾วย ทั้งนี้ชื่อหลักของเล฽มที่ว฽า “กรุ ง เก฽ า เล฽ า เรื่ อ ง” นั้ น นั บ ว฽ า มี ความเหมาะสมสอดคล฾ อ งกั บ วิ ธี การทํ า งานของพระยาโบราณราชธานินทรแ ที่ให฾ความสําคัญ กั บ ข฾ อ มู ล เชิ ง ประจั ก ษแ จ ากภู มิ ส ถาน ของเมื อ งพระนครศรี อ ยุ ธ ยา มา เป็นปใจจัยกําหนดประเด็น สืบค฾น และตรวจสอบข฾ อ เท็ จ จริ ง ทาง


ประวั ติศ าสตรแ กล฽า วคื อ ให฾ “กรุ ง เก฽า” เป็นผู฾เล฽าเรื่องราวอดีตของ “กรุงเก฽า” เอง ทั้งนี้ขึ้นอยู฽กับข฾อ วิ นิ จ ฉั ย ข อ ง พ ร ะ ย า โ บ ร า ณ ราชธานินทรแ ต฽อสภาพท฾องถิ่นที่ได฾ พบเห็นด฾วยตนเองเป็นสําคัญ วิธีการก็แสนจะเรียบง฽าย อย฽างการเดินท฽องสํารวจไปทั่วทุก หัวระแหง แต฽ลําพังการเดินสํารวจ อย฽างเดียวก็คงพบเห็นอะไร ไม฽ได฾ มากไปกว฽า ที่ ตาเห็ น จากผลงาน เขียนที่ปรากฏการอ฾างอิงที่แม฽นยํา ส ะ ท฾ อ น ว฽ า พ ร ะ ย า โ บ ร า ณ ราชธานินทรแได฾อ฽านศึกษาพระราชพงศาวดารกรุ ง ศรี อ ยุ ธ ยามาเป็ น อย฽ า งดี ในข฾ อ วิ นิ จ ฉั ย ของท฽ า น บางครั้งเห็นคล฾อยตามกับพระราชพงศาวดาร บางครั้ ง ก็ เ ห็ น แย฾ ง ขึ้ น อยู฽ กั บ ว฽ า ข฾ อ มู ล จากพระราชพงศาวดารกับภูมิสถานของท฾องถิ่น มี ค วามสอดคล฾ อ งตรงกั น หรื อ เป็ น ปใ จ จั ย เอื้ อ ให฾ เ กิ ด เหตุ ก ารณแ ต฽างๆ ในอดีตนั้นหรือไม฽ มากน฾อย เพียงใด “กรุงเก฽าเล฽าเรื่อง” แบ฽ง เนื้อ หาออกเป็น ๒ ภาค คื อ ภาค ประวัติ กับ ภาคผลงาน แต฽ละบท ของทั้งสองภาคให฾เชิงอรรถอ฾างอิง และอธิ บ ายขยายความเพิ่ ม เติ ม โดยผศ.ดร.ปรีดี พิศภูมิวิถี เจ฾าของ ง าน เขี ย น และ เป็ น ผู฾ ร ว บร ว ม หลั ก ฐานประวั ติ ศ าสตรแ ไ ทยสมั ย อยุธยาหลายชิ้น คํานําที่เขียนโดย อาจารยแ ป รี ดี ยั ง ถื อ ได฾ ว฽ า สรุ ป ย฽ อ คุ ณู ป การของพ ระยาโบราณ ราชธานิ น ทรแ ที่ มี ต฽ อ การศึ ก ษา ประวัติศาสตรแ และโบราณคดีเมือง พระนครศรี อ ยุ ธ ยาได฾ เ ป็น อย฽ า งดี

ในที่ นี้ ผู฾ เ ขี ย นจะเพี ย งแค฽ นํ า เอา ข฾อสรุปดังกล฽าวมาขยายความและ ชี้ให฾เห็นประเด็นอื่นเพิ่มเติมเท฽านั้น เมื่อเทียบกับเล฽มอื่นก฽อน หน฾านี้ “กรุงเก฽าเล฽าเรื่อง” นับเป็น เล฽ ม ที่ร วมประวั ติ และผลงานของ พระยาโบราณราชธานิ น ทรแ ไว฾ อย฽างเป็นระบบและด฾วยปริมาณที่ มาก ที่ สุ ด เท฽ า ที่ เ คยมี ม าใน รู ป พ฿อคเก็ตบุ฿ค ภาคประวัติ, ประกอบด฾วย เรื่อง “พระยาโบราณราชธานินทรแ (พร เดชะคุปตแ)” พระนิพนธแสมเด็จ ฯ กรมพระยาดํ า รงราชานุ ภ าพ ทรงเล฽าประวัติภูมิหลังของพระยาโบราณราชธานิน ทรแ เพื่อ พิม พแใ น งานพระราชทานเพลิง ศพพระยาโบราณราชธานินทรแ เมื่อวันที่ ๑๓ กุมภาพันธแ พ.ศ.๒๔๗๙ ตามด฾วย เรื่อง “เทศนาจริยประวัติพระยาโ บ ร า ณ ร า ช ธ า นิ น ท รแ ” โ ด ย พ ร ะ อ ม ร า ภิ รั ก ขิ ต ( เ ล฽ หแ ชิ น ประหั ษ ฐแ ) พิ ม พแ ค รั้ ง แรกในงาน พระราชทานเพลิ ง ศพพระยา โบราณราชานิ น ทรแ เมื่ อ ปี พ.ศ. ๒๔๗๙ ข฾อเขียนในภาคนี้สะท฾อน ว฽ า พระยาโบราณราชธานิ น ทรแ ได฾รับการยอมรับนับถือจากบุคคล สํ า คั ญ สมั ย เดี ย วกั น เพี ย งใด อาทิ เช฽ น จากพระบาทสมเ ด็ จ พระ จุลจอมเกล฾าเจ฾าอยู฽หัว , พระบาทสมเด็จ พระมงกุ ฎเกล฾ าเจ฾ า อยู฽ หั ว , สมเด็ จ ฯ กรมพระยาดํ า รงราชานุภาพ, พระอมราภิรักขิต (เล฽หแ ชิน ประหัษฐแ) เป็นต฾น ภาคผลงาน,ประกอบด฾ วย งานเขี ย นที่ เ คยตี พิ ม พแ ม าก฽ อ น ได฾แก฽ เรื่อง “คําถวายชัยมงคลของ

ข฾าราชการและราษฎรมณฑลกรุง เก฽า ” และ “พระราชดํ ารัส ตอบ ข฾ า ราชการและราษฎรในมณฑล กรุงเก฽า” เนื่องในงานพระราชพิธี รัช มั ง คลาภิ เ ษก พ.ศ.๒๔๕๐ ใน ว โ ร ก า ส ที่ พ ร ะ บ า ท ส ม เ ด็ จ พระจุ ล จอมเกล฾ า เจ฾ า อยู฽ หั ว ทรง ครองราชยแครบ ๔๐ ปี ซึ่งเป็นงาน พระ ราชพิ ธี ที่ พ ระ ยาโ บร าณ ราชธานิ น ทรแ เ ป็ น ผู฾ ป ฏิ บั ติ ห น฾ า ที่ ถวายจนแล฾ ว เสร็ จดั ง พระราช ประสงคแ งานพระราชพิธีดังกล฽าว มุ฽ ง บวงสรวงอดี ต กษั ต ริ ยแ ก รุ ง ศรี อยุ ธยาโดยเน฾น สมเด็ จ พระรามาธิ บ ดี ที่ ๒ เพราะตามพระราชพง ศาวดาร ฉบั บ ชํ า ร ะเมื่ อ ต฾ น รั ต นโกสิ น ทรแ ระบุ ว฽ า ทรงเป็ น กษัตริยแที่ครองราชยแยาวนานที่สุด ภายหลั ง เมื่ อ ค฾ น พบพ ระร าช พงศาวดารฉบั บ หลวงประเสริ ฐ อักษรนิติ์ (แพ ตาละลักษณแ) จึงได฾ ข฾อมูล ใหม฽ที่ เชื่อได฾ว฽า สมเด็ จพระ บ ร ม ไ ต ร โ ล ก น า ร ถ ท ร ง เ ป็ น พระมหากษั ต ริ ยแ ที่ ค รองราชยแ ยาวนานที่สุดในสมัยกรุงศรีอยุธยา๒ บทความเรื่อ ง “ตํ านาน กรุงเก฽า” ตีพิมพแครั้งแรกเนื่องใน ง า น พ ร ะ ร า ช พิ ธี รั ช มั ง ค ล า ภิ เ ษ ก พ ร ะ บ า ท ส ม เ ด็ จ พระจุลจอมเกล฾าเจ฾าอยู฽หัวทรงบาง สรวงอดี ต พระมหากษั ต ริ ยแ ส ยาม ณ พระราชวั ง โบราณ มณฑล กรุง เก฽า พ.ศ.๒๔๕๐ โดยครั้ง นั้ น ได฾ ส ร฾ า งปะรํ า พิ ธี จํ า ลองพระที่ นั่ ง สรรเพชรแ ม หาปราสาทขึ้ น ใหม฽ บ ท ค ว า ม “เ รื่ อ ง เ กี่ ย ว กั บ พระนครศรีอยุธยา” พิมพแในงาน ฌาปนกิจศพนางสุวรรณ เดชะคุปตแ

I วารสารวิชาการ อยุธยาศึกษา I ปีที่ ๖ / ๒๕๕๗ I๑๐๑


เมื่อปี พ.ศ.๒๕๐๔ เรื่อง “แก฾ค ดี พระเจ฾าปราสาททอง” เคยตีพิมพแ อยู฽ในชุดประชุมพงศาวดาร (ภาคที่ ๖๓) ร฽ ว มกั บ ผลงานสํ า คั ญ อย฽ า ง “อธิบายแผนที่พระนครศรีอยุธยา กับคํ าวิ นิจ ฉัย ของพระยาโบราณราชธานินทรแ”๓ ที่พิเศษแตกต฽างจากเล฽ม อื่ น ก฽ อ นนี้ คื อ การรวบรวมงาน เขียนที่ไ ม฽เ คยตี พิมพแสาธารณะมา ก฽อน จึงไม฽ค฽อยเป็นที่รับรู฾กันเท฽าไร อย฽างเช฽น บทความเรื่อง “ตํานาน ปูอมเพชร” เขียนที่บ฾านพรพินิต ใกล฾ปูอมเพชร ซึ่ง เป็นบ฾านพักของ พระยาโบราณราชธานิ น ทรแ ใ น พ ร ะ น ค ร ศ รี อ ยุ ธ ย า เ มื่ อ ปี พ.ศ. ๒๔๖๑ การที่พระยาโบราณราชธานิ น ทรแ ใ ช฾ คํ า ว฽ า “ตํ า นาน” สําหรับงานเล฽าประวัติความเป็นมา ของสถานที่ สํ า คั ญ นี้ ยั งไม฽ เ ป็ น ที่ แน฽ชัดนั กว฽า เป็นเพราะท฽ านเห็ น ด฾ ว ยกั บ สมเด็ จ พระมหาสมณเจ฾ า กรมพระยา วชิรญาณวโรรส และ พระบาทสมเด็ จ พระมงกุ ฎ เกล฾ า เ จ฾ า อ ยู฽ หั ว ที่ ท ร ง พ ร ะ บ ร ม ร า ช วิ นิ จ ฉั ย ใ ห฾ ใ ช฾ คํ า ว฽ า “ประวั ติ ศ าสตรแ ” สํ า หรั บ งาน ศึก ษาค฾ นคว฾ า เกี่ ยวกั บ ข฾ อเท็ จ จริ ง ของเหตุ ก ารณแ อ ดี ต หรื อ จะเห็ น พ฾องกับสมเด็จฯ กรมพระยาดํารง ร า ช า นุ ภ า พ ที่ ท ร ง เ ห็ น แ ย฾ ง พระบาทสมเด็ จ พระมงกุ ฏ เกล฾ า เจ฾ า อยู฽ หั ว ในข฾ อ วิ นิ จ ฉั ย ว฽ า ด฾ ว ย “ป ร ะ วั ติ ศ า ส ต รแ ” ว฽ า คํ า ว฽ า “ตํานาน” กับ “พงศาวดาร” ยัง ใช฾ได฾อยู฽ นั บ ว฽ า เป็ น ประเด็ น ย฾ อ น แย฾ง (Irony) อย฽างหนึ่ง ที่ผู฾ได฾รับ

ยกย฽ อ งเป็ น “พระบิ ด าแห฽ ง วิ ช า ประวัติศาสตรแไทย” มิไ ด฾เห็นด฾วย กั บ ตั ว บท (text) ของ “ประวั ติ ศาสตรแ ” ทั้ ง นี้ สื บ เนื่ อ งจากวิ ธี การศึกษาอดีตของพระองคแเองด฾วย ที่ ยั ง มุ฽ ง เน฾ น ขนบการเขี ย นแบบ ตํ า นานและพระราชพงศาวดาร เ พื่ อ ย ก ย฽ อ ง เ ชิ ด ชู ส ถ า บั น พระมหากษัตริยแกับความเป็นชาติ ในส฽ ว นนี้ ผู฾ เ ขี ย นมองว฽ า พระยาโบราณราชธานินทรแอาจจะ ประนีประนอมกับทั้งสองฝุาย โดย ในกรณีที่ต฾องการแสดงความอ฽อน น฾อมถ฽อมตน ว฽าสิ่ง ที่ตนเองเขียน เล฽ า นั้ น เป็ น แต฽ เ พี ย งเรื่ อ งเล฽ า ยังไม฽อาจวางใจให฾เป็นข฾อเท็จจริงที่ สัมบูรณแได฾ ก็จะใช฾ตามความหมาย ของสมเด็ จ ฯ กรมพระยาดํ า รงราชานุภ าพ แต฽ เ มื่อ เห็ น เป็ น จริ ง แท฾ แ น฽ น อนที่ สุ ด แล฾ ว ก็ ใ ช฾ ต ามที่ พระบาทสมเด็ จ พระมงกุ ฎ เกล฾ า เจ฾าอยู฽หัวทรงมีข฾อวินิจฉัย เ พ ร า ะ รู฾ จั ก ป ร ะ นี ประนอมผ฽ อนปรนกั บทั้ ง สองฝุา ย ดังนี้ หรือเพราะเหตุใดไม฽ทราบแน฽ ชั ด จึ ง ทํ า ให฾ พ ร ะยาโ บร าณราชธานินทรแเป็นหนึ่งในข฾าราชการ จํานวนน฾อย จากยุคปฏิรูปรัชกาล ที่ ๕ ที่ได฾รับราชการสนองพระเดช พระคุณ ต฽อ ในรัช กาลที่ ๖ แม฾แ ต฽ สมเด็ จ ฯ กรมพระยาดํ า รงราชานุภาพ ก็ไม฽ทรงมีโอกาสเช฽นนี้เท฽าไร นัก อย฽างไรก็ตาม ข฾อเขียนในภาค ประวั ติ นี้ ก็ ส ะท฾ อ นว฽ า พระยาโบราณราชธานิ น ทรแ ไ ด฾ รั บ ความ ย อ ม รั บ นั บ ถื อ จ า ก ส ม เ ด็ จ ฯ กร มพ ระ ยาดํ า ร งร าชานุ ภ าพ ค฽อนข฾างมาก การที่พระยาโบราณ

๑๐๒ I วารสารวิชาการ อยุธยาศึกษา I ปีที่ ๖ / ๒๕๕๗ I

ราชธานินทรแ มีภูมิหลังการเข฾าสู฽รั้ว วัง ด฾วยบิดานํามาฝากกับสมเด็จฯ กรมพระยา ดํารงราชานุภาพตั้งแต฽ ยั ง เยาวแ วั ย ก็ ไ ม฽ ป รากฏว฽ า จะถู ก หมิ่นแคลนแต฽อย฽างใด ภายหลั ง เปลี่ ย นแปลง การปกครอง พ.ศ.๒๔๗๕ สมเด็จฯ กรมพระยาดํา รงราชานุภ าพต฾ อ ง เสด็จไปประทับและพักอาศัยอยู฽ที่ ปีนัง (ในประเทศมาเลเซียปใจจุบัน) ข฾ า ร า ช ก า ร ชั้ น ผู฾ ใ ห ญ฽ ส มั ย สมบูร ณาญาสิท ธิร าชยแที่ ยัง มีชี วิ ต อยู฽ ข ณะนั้ น ในสายพระเนตร สมเด็ จ ฯ กรมพระยาดํ า รงราชานุ ภ าพ ย฽ อ มถื อ เป็ น บุ ค คลสํ า คั ญ และแบบอย฽ า งของยุ ค สมั ย ก฽ อ น ๒ ๔ ๗ ๕ ดั ง นั้ น ก า ร ถึ ง แ ก฽ มรณกรรมของ พระยาโบราณ ราชธานิ น ทรแ เมื่ อ ปี พ.ศ.๒๔๗๙ โดยที่พระองคแไม฽อาจมาร฽วมงานพิธี ศพได฾ คงจะยังความเศร฾าพระทัย ให฾ พ ระองคแ ไ ม฽ น฾ อ ย เมื่ อ ได฾ รั บ ติ ด ต฽ อ ให฾ เ ขี ย นประวั ติ พ ระยา โบราณราชธานิ น ทรแ สํ า หรั บ งาน พระราชทานเพลิ ง ศพ ก็ ท รงรั บ เขี ย นให฾ อ ย฽ า งเต็ ม พระทั ย ด฾ ว ย เพราะเคยสนิทสนมและได฾ไ ต฽สวน ความรู฾กันมาแต฽ก฽อนก็ส฽วนหนึ่ง เรื่องต฽ อมาคือ “ระยะทาง เสด็จพระราชดําเนินประพาสทรง บ ว ง ส ร ว ง อ ดี ต ม ห า ร า ช ณ พระราชวังกรุงศรีอยุธยาในรัชกาล ที่ ๖” และ “ระยะทางเสด็จพระ ร า ช ดํ า เ นิ น ป ร ะ พ า ส ตั้ ง แ ต฽ พระราชวั ง จัน ทรเกษมถึ ง จั ง หวั ด ลพบุ รี ใ นรั ช กาลที่ ๖” พระยา โบราณราชธานิน ทรแ เขี ยนขึ้น เพื่ อ ทู ล เกล฾ า ฯ ถวายพระบาทสมเด็ จ


พระมงกุฎเกล฾าเจ฾าอยู฽หัว เนื่องใน วโรกาสที่จ ะเสด็ จพระราชดํ าเนิ น มายังพระนครศรีอยุธยาและลพบุรี เมื่อปี พ.ศ.๒๔๖๔ บทความเรื่ อ ง “ชุ ม ชน ต฽างด฾าวที่เข฾ามาตั้งบ฾านเรือนในกรุง ศรี อ ยุ ธ ยา” เขี ย นเพื่ อ ตอบข฾ อ ซัก ถามของสมเด็ จ ฯ กรมพระยา ดํ า รงราชานุ ภ าพ ลงวั น ที่ ๒๓ สิ ง ห า ค ม พ . ศ . ๒ ๔ ๗ ๕ ห ลั ง เปลี่ ย นแปลงการปกครอง พ.ศ. ๒๔๗๕ ไม฽ น าน อั น เป็ น หลั ก ฐาน ลายลั ก ษณแ ที่ สะท฾ อ นว฽ า สมเด็ จ ฯ กรมพระยา ดํารงราชานุภาพ ทรง รับรู฾ถึง การมีอยู฽ของชุมชนต฽างชาติ ตลอดจนบทบาทของชาวต฽างชาติที่ มีต฽อกรุงศรีอยุธยา บทความสุดท฾ายในส฽วนนี้ ก็ ไ ด฾ แ ก฽ เรื่ อ ง “พระอธิ บ ายของ สมเด็ จ ฯ กรมพระยาดํ า รงราชานุภาพ เกี่ยวกับเรื่องแก฾คดีพระเจ฾า ป ร า ส า ท ท อ ง ” ล ง วั น ที่ ๑ ๗ มกราคม พ.ศ.๒๔๗๙ สมเด็ จ ฯ กรมพระยาดํ า รงราชานุ ภ าพทรง นิพนธแเพื่อตอบคําถามของพระยา อนุ ม านราชธน เกี่ ย วกั บ ความ เป็นมาของพระราชนิพนธแวิจารณแ พระเจ฾าปราสาททอง ที่พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล฾าเจ฾าอยู฽หัว ท ร ง มี ไ ป ถึ ง พ ร ะ ย า โ บ ร า ณ ราชธานินทรแ ให฾แก฾ถวายความเห็น ตามความรู฾ในพระราชพงศาวดาร ของ พระยาโบราณราชธานินทรแ ทั้งนี้สมเด็จฯ กรมพระยา ดํ า ร ง ร า ช า นุ ภ า พ ท ร ง ใ ห฾ อรรถาธิบายตามที่เคยได฾ยินได฾ฟใง มาว฽ า เมื่ อ ครั้ ง พระบาทสมเด็ จ พระจุ ล จอมเกล฾ า เจ฾ า อยู฽ หั ว ทรง

เสด็ จ ปร ะ ทั บ ณ พ ร ะ ร าชวั ง บางปะอิ น พระยาโบราณราชธานิ นทรแ เข฾ า เฝู า ถวายงานใกล฾ ชิ ด วั น หนึ่ ง ทรงตรั ส บริ ภ าษติ เ ตี ย น พระเจ฾ า ปราสาททอง พระยา โบราณราชธานิ นทรแกราบทูลแย฾ ง แก฾ต฽างให฾แก฽พระเจ฾าปราสาททอง จนทรงมีพระราชดํารัสว฽า “พระยา โบราณชอบแก฾ก็ดีแล฾ว ฉันจะเป็ น โจทกแ ฟู อ งพระเจ฾ า ปราสาททอง ให฾พระยาโบราณเป็นทนายแก฾ แล฾ว มาอ฽านฟใงกันเล฽น” จึงทรงพระราช นิพนธแก ล฽าวโทษพระเจ฾าปราสาท ทองพระราชทานไปยั ง พระยา โบราณราชธานินทรแ ให฾แต฽งคําแก฾ มาทู ล เกล฾ า ถวาย แม฾ ส มเด็ จ ฯ กรมพระยาดํ า รงราชานุ ภ าพจะ สรุ ป ความเห็ น ว฽ า “เป็ น แต฽ อ ย฽ า ง หนังสือแต฽งเล฽นเท฽านั้น ” แต฽ก็ทรง ยกย฽ อ งคํ า แก฾ ข องพระยาโบราณ ราชธานินทรแว฽า “เป็นหนังสือแต฽งดี แม฾สมเด็จพระพุทธเจ฾าหลวงก็โปรด คํ า แก฾ ขอ ง พร ะยาโ บราณร าช ธานินทรแ” จะเห็ น ได฾ ว฽ า แม฾ จ ะเป็ น ยุคสมบูรณาญาสิทธิราชยแ องคแพระ ประมุ ข กลั บ รั บ ฟใ ง ความเห็ น ที่ แตกต฽าง แสดงความชื่นชม โดยไม฽ ถือเอาเป็นเหตุให฾ทรงพิโรธเอาโทษ แก฽ พ ระยาโบราณราชธานิ น ทรแ กลั บ เห็ น เป็ น เรื่ อ งสนุ ก ที่ ไ ด฾ ส อบ ความรู฾ กั บ ผู฾ มี วิ ช า ทั้ ง นี้ เ พราะ พระยาโบราณราชธานินทรแเป็นคน โปรดที่ถ วายงานใกล฾ ชิ ด มี ความ สนิท สนม ถึ ง ขั้ นจัด อยู฽ใ นสถานะ “พระสหาย” ที่สามารถตรัสหยอก ล฾ อ โดยไม฽ ถื อ พระองคแ ก็ ด฾ ว ยส฽ ว น หนึ่ ง สํ า คั ญ กว฽ านั้ น ก็ คื อ การตอบ

แก฾ ไ ขพระราชวิ จ ารณแ (คื อ การ วิจารณแพระราชวิจารณแอีกต฽อหนึ่ง) ของพระยาโบราณราชธานินทรแนั้น แ ส ด ง อ อ ก ถึ ง ค ว า ม ร อ บ รู฾ ใ น พระราชพงศาวดารอย฽างมาก และ เต็มไปด฾วยความอ฽อนน฾อมถ฽อมตน แสดงความจงรั ก ภั ก ดี ต฽ อ สถาบั น พระมหากษั ตริ ยแ แตกต฽ างจากคํ า วิ จ ารณแ ข องนั ก คิ ด ปใ ญ ญาชนยุ ค สมั ยเดีย วกั น อย฽ างกรณีพ ระองคแ เจ฾ า ปฤษฎางคแ , เที ย นวรรณ วรรณโภ, ก.ศ.ร.กุหลาบ, นรินทรแ ภาษิต เป็นต฾น๔ อย฽างไรก็ตามแม฾สมเด็จฯ กรมพระยาดํารงราชานุภาพจะทรง ให฾ ค วามเห็ น ว฽ า เป็ น เรื่ อ ง “แต฽ ง เล฽น” ก็คงทําให฾คนรุ฽นหลังที่ได฾อ฽าน พระราชวิจ ารณแ ดัง กล฽ า ว ไม฽อ าจ เห็นคล฾อยตามได฾โดยง฽าย สมเด็จฯ กรมพระยาดํารงราชานุภาพเองก็ ยั ง ทรงเล฽ า ว฽ า พระบาทสมเด็ จ พระจุ ล จอมเกล฾ า เจ฾ า อยู฽ หั ว ทรง บริ ภ าษติ เ ตี ย นพระเจ฾ า ปราสาท ทองอยู฽ก฽อนที่จะมีพระราชวิจารณแ ไปยัง พระยาโบราณราชธานิน ทรแ อยู฽ ก฽ อ น แล฾ ว พ ระราชวิ จ าร ณแ ดั ง กล฽ า วจึ ง เป็ น “ผล” มาจาก “เหตุ” คือ ความรู฾และมุมมองที่มี ต฽ อ พ ร ะ เจ฾ า ปร าสาททอ ง ขอ ง เจ฾ า นายในราชสํ า นั ก สยามสมั ย รั ช กาลที่ ๕ จึ ง ไม฽ น฽ า จะเป็ น แค฽ เรื่องอ฽านเล฽นสนุก หรือหากจะมอง เป็นเรื่องอ฽านสนุก ก็ยังเกิดคําถาม ได฾อีกว฽า เพราะเหตุใดความสนุกจึง มาจากการบริ ภ าษอดี ต กษั ต ริ ยแ ทําไมจึงบริภาษถึงพระเจ฾าปราสาท ทอ ง ผิ ด กั บ พ ร ะ ม หา ก ษั ตริ ยแ กรุงศรีอยุธยาพระองคแอื่นที่ไม฽ค฽อย

I วารสารวิชาการ อยุธยาศึกษา I ปีที่ ๖ / ๒๕๕๗ I๑๐๓


ปรากฏนักว฽าจะถูกบริภาษในแบบ เดียวกันนี้ พระเจ฾าปราสาททองถูก รับรู฾อย฽างไรในยุคสมัยพระพุทธเจ฾า หลวง? สํ า หรั บ คํ า ถามนี้ เมื่ อ นํา เอาพระราชวิจ ารณแนี้ ไปสืบ หา บริ บ ท ก็ จ ะเห็ น ได฾ ว฽ า พระเจ฾ า ปราสาททองตามความรั บ รู฾ ที่ ปรากฏในพระราชวิจารณแดังกล฽าว สอดคล฾องกับพระเจ฾าปราสาททอง ตามความรับรู฾ร฽วมสมั ยรัชกาลที่ ๕ เรื่ อ งของพระเจ฾ า ปราสาททองที่ เ ป็ น ขุ น น า ง แ ล฾ ว ยึ ด อํ า น า จ ปราบดาภิ เ ษกขึ้ น เป็ น กษั ต ริ ยแ ปลดพระอาทิตยวงศแ พระราชโอรส สมเด็ จ พระเจ฾ า ทรงธรรม ลงเป็ น ไพร฽ แล฾ ว ให฾ ป ระหารเสี ย ซึ่ ง เป็ น เรื่ อ งราวที่ ป รากฏจากหลั ก ฐาน บั น ทึ ก ของฟาน ฟลี ท (Jeremais van Vliet) พ฽ อ ค฾ า ชาวฮอลั น ดา ๕ นับเป็นเรื่อ งเล฽าตอกย้ํ าความกลั ว หนึ่งในราชสํานักรัชกาลที่ ๕ เ นื่ อ ง จ า ก เ จ฾ า ฟู า จุฬาลงกรณแได฾รับสถาปนาขึ้นเป็น กษั ต ริ ยแ ขณะยั ง ทรงพระเยาวแ มี พระชันษาเพียง ๑๕ ปี โดยทรงขึ้น สื บ ราชยแ ต฽ อ จากพระบาทสมเด็ จ พระจอมเกล฾าเจ฾าอยู฽หัว พระราชบิด าของพระองคแ อ ย฽ า งกะทั น หั น หลังกลับจากเสด็จประพาสหว฾ากอ พระบาทสมเด็ จ พระจอมเกล฾ า เจ฾ า อยู฽ หั ว ทรงประชวรหนั ก จน สวรรคต ขุนนางข฾าราชสํานักต฽าง หวาดหวั่นกันว฽า ขุนนางผู฾ใหญ฽ที่มี อํา นาจมากในขณะนั้น อย฽ า งเช฽ น สมเด็ จ เจ฾ า พระยาบรมมหาศรี สุริยวงศแ (ช฽วง บุนนาค) จะคิดการ

ปราบดาภิ เ ษกแบบเดี ย วกั บ ที่ พระเจ฾าปราสาททองทรงกระทําใน สมัยกรุงศรีอยุธยา ความหวาดกลัวดังกล฽าว แ ส ด ง อ อ ก ใ น รู ป ข อ ง ข฽ า ว ลื อ แพร฽ ห ลายในช฽ ว งต฾ น รั ช กาลที่ ๕ จนกระทั่ ง สมเด็ จ พระพุ ฒ าจารยแ (โต พรหมรัง สี) พระเถระผู฾ใหญ฽ที่ เป็ น ที่ เ คารพศรั ท ธาแก฽ ช าวบ฾ า น ชาวเมือง ต฾องมาแก฾ไขสถานการณแ และยั บ ยั้ ง เหตุ ร฾ า ยที่ อ าจเกิ ด ขึ้ น โดยทรงจริย วัต รนุ฽ง ห฽มแบบธุ ดงคแ ถือตะเกียงที่จุดไฟส฽องสว฽างในเวลา กลางวั น เดิ น ไปตามถนนจนถึ ง เรือนที่พักของสมเด็จเจ฾าพระยาฯ เป็ น สัญ ลั กษณแ ว฽า บ฾ านเมือ งยามนี้ ช฽ า งมื ด มนเสี ย ยิ่ ง กระไร สมเด็ จ เจ฾ า พระยาฯ ออกมาถวายการ ต฾อนรับและให฾คํารับรองแก฽สมเด็จ พระพุฒาจารยแ (โต พรหมรังสี) ว฽า บ฾านเมืองไม฽ไ ด฾มืดมนหรือมีปใญ หา อย฽างที่ร่ําลือกัน อันเป็นการยืนยัน ว฽า ตนจะไม฽ ทํา การปราบดาภิ เ ษก นั่นเอง แม฾เหตุการณแจะเป็นปกติ เรี ย บร฾ อ ย เรื่ อ ยมาจนพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล฾าเจ฾าอยู฽หัว ทรงเจริ ญ พระชั น ษาเข฾ า พิ ธี บ รม ราชาภิเ ษกครั้ง ที่ ๒ เมื่อ วันที่ ๑๕ กันยายน พ.ศ.๒๔๑๖ สามารถว฽า ร า ช กิ จ ไ ด฾ แ ล฾ ว ก็ ต า ม ค ว า ม คลางแคลงใจของชาวเมื อ งทั้ ง ใน และนอกราชสํ า นั ก ต฽ อ สมเด็ จ เจ฾าพระยาฯ ก็ยังมีอยู฽ เมื่อพระเจ฾า ปราสาททองในแง฽ค วามรั บรู฾ นี้ถู ก นํามาเทียบเคียงเป็นภาพแทนของ บุคคลอื่นดังนี้ จึงเป็นไปได฾ว฽าพระ เจ฾าปราสาททองที่พระบาทสมเด็จ

๑๐๔ I วารสารวิชาการ อยุธยาศึกษา I ปีที่ ๖ / ๒๕๕๗ I

พระจุลจอมเกล฾าเจ฾าอยู฽ทรงบริภาษ ตําหนิ ติเตียนนั้น จะมิใช฽พระเจ฾า ปราสาททองในอดีตจริงๆ หากแต฽ หมายถึ ง ผู฾ ที่ถู กมองว฽ าอาจจะเป็ น ดั่ง พระเจ฾าปราสาททองในอดีตก็ เป็นได฾ ตามความในพระราช วิ จ ารณแ ป ระเด็ น ที่ เ ป็ น หั ว ใจหลั ก สํ า คั ญ อยู฽ ที่ ท รงแสดงให฾ เ ห็ น ว฽ า กษัต ริยแ ที่มาจากขุน นาง แม฾ไ ด฾ชื่ อ เป็นกษัตริยแก็ยัง ใช฾ “สันดานไพร฽ ” ดัง เดิ ม ไม฽ ไ ด฾เ พีย บพร฾ อมทั้ ง ด฾ า น จริ ย วั ต ร บุ ญ ญาบารมี ความรู฾ คว ามสามาร ถ จึ ง ก ลั บ พึ่ ง แต฽ ไสยศาสตรแ และมากด฾ ว ยเล฽ หแ เพทุบาย๖ การแก฾โจทยแของพระยาโบราณราชธานิ น ทรแ ออกมาใน ลั ก ษณะมุ฽ ง ประเด็ น ไปที่ พ ระเจ฾ า ปราสาททององคแจริงในอดีต ไม฽ได฾ แก฾ในข฾อที่ว฽าเป็นไพร฽มาแต฽เก฽าก฽อน เพราะเป็นข฾อเท็จจริงตามพระราช พงศาวดาร ครั้ น จะว฽ า ทรงเป็ น โอรสลับของพระเอกาทศรถ ใครก็ รู฾ว฽าเป็นแต฽เพียงเรื่องเล฽าที่สร฾างขึ้น ภายหลัง ซึ่ง พระยาโบราณราช ธานินทรแจะเห็นแย฾งเป็นอื่นไปจาก ที่พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล฾า เจ฾าอยู฽หัวทรงมีพระราชวิจารณแคง ไม฽ ไ ด฾ จึ ง เป็ น การแก฾ แ ต฽ เ ฉพาะ ประเด็นปลีกย฽อย ไม฽ไ ด฾แก฾ส฽วนที่ เป็ น ประเด็ น หลั ก ใจกลางสํ า คั ญ จริงๆ แต฽อย฽างใด กล฽าวเฉพาะกรณีสมเด็จ เจ฾ า พระยาบรมมหาศรี สุ ริ ย วงศแ บทบาทในช฽วงหลังปฏิรูป ก็มีเหตุ ให฾ทรงขัดเคืองพระทัยอยู฽บ฾าง จาก การที่สมเด็จเจ฾าพระยาบรมมหาศรี สุริยวงศแเป็นขุนนางผู฾ใหญ฽ของกลุ฽ม


ที่ เ รี ย ก ว฽ า “ส ย า ม เ ก฽ า ” (Old Siamese) มีแนวคิดอนุรักษแนิยม จั ด อยู฽ ใ นฝุ า ยตรงข฾ า มการปฏิ รู ป เพื่ อ สร฾ า งความทั น สมั ย อั น เป็ น นโยบายสํ า คั ญ ใน รั ช กาลที่ ๕ นโยบายนี้ เ ป็ น ที่ เ ห็ น พ฾ อ งและ ปฏิ บั ติ ร฽ ว มกั น ของกลุ฽ ม “สยาม ใหม฽” (Young Siamese) ซึ่งเป็น ขุนนางรุ฽นใหม฽ มีแนวคิดสมัยใหม฽ และนิยมวิทยาการความก฾าวหน฾ า ของโลกตะวันตก๗ พระยาโบราณราชธานิ นทรแเ องก็จั ดอยู฽ ในกลุ฽ มสยาม ใหม฽ มณฑลกรุ ง เก฽ า และเมื อ ง พระนครศรี อ ยุ ธ ยาก็ เ ป็ น เมื อ งที่ พระบาทสมเด็จ พระจุลจอมเกล฾ า เจ฾ า อยู฽ หั ว ทร ง ท ดล อง ใช฾ เป็ น แม฽ แ บบของการปฏิ รู ป มณฑล เทศาภิบาล มณฑลกรุงเก฽าตั้งขึ้น เมื่อ พ.ศ.๒๔๓๘ ประกอบด฾วยหัว เมื อ ง ต฽ า ง ๆ ไ ด฾ แ ก฽ อ฽ า ง ท อ ง , พระพุทธบาท, สระบุรี , ลพบุรี , พรหมบุรี , อินทรแบุรี และสิงหแบุรี ต฽อมาทรงให฾ อินทรแบุรีไปรวมเป็น ส฽วนหนึ่งของสิงหแบุรี ในปีเดียวกัน นั้น ทรงโปรดฯ ตั้งให฾พระเจ฾าบรม วงศแเธอ กรมขุนมุรพงศแศิริพัฒนแ ดํารงตําแหน฽งข฾าหลวงเทศาภิบาล ต฽อมา พ.ศ.๒๔๔๖ พระยาโบราณราชธานินทรแก็ได฾รับแต฽งตั้งให฾ดํารง ตําแหน฽ง ข฾าหลวงเทศาภิบาลแทน พระเจ฾ า บรมวงศแ เ ธอ กรมขุ น มุรพงศแศิริพัฒนแ ใ น ยุ ค ก า ร ป ก ค ร อ ง มณฑลเทศาภิบาล เมืองพระนครศรีอยุธยาได฾ยกระดับฐานะจากหัว เมื อ งแบบเก฽ า สู฽ ก ารเป็ น เมื อ ง ส มั ย ใ ห ม฽ มี ก า ร ท ด ล อ ง ใ ช฾

เทคโนโลยีและวิทยาการสมัยใหม฽ หลายอย฽าง อันเป็นฐานให฾กับการ พัฒนาความทันสมัยในเวลาต฽อมา ได฾ แ ก฽ การรถไฟ, เส฾ น ทางสาย กรุง เทพฯ-กรุง เก฽า ได฾เริ่มสร฾างขึ้น ในปี พ.ศ.๒๔๓๔ แล฾ ว เสร็ จ และ ทรงเสด็จเป็นประธานเปิดกิจการ รถไฟสายนี้ เมื่ อวั นที่ ๒๖ มีน าคม พ.ศ.๒๔๓๙ นั บ เป็ น การรถไฟที่ ทั น สมั ย ที่ สุ ด เท฽ า ที่ มี ใ นเอ เชี ย ตะวันออกเฉียงใต฾ขณะนั้น การโทร เลข, ไ ด฾ ว าง ส ายโ ทร เลขจา ก กรุ ง เทพฯ ถึ ง บางปะอิ น เริ่ ม เปิ ด ให฾บริการแก฽ประชาชนทั่วไป ตั้งแต฽ ปี พ . ศ . ๒ ๔ ๒ ๖ เ ป็ น ลํ า ดั บ ม า การศึกษา, สําหรับมณฑลกรุงเก฽า ได฾ก฽อตั้ง โรงเรียนฝึกหัดครูกรุง เก฽า (ภายหลั งยกระดั บเป็ นมหาวิทยาลั ย ราชภั ฏ พระนครศรี อ ยุ ธ ยา) เมื่ อ วั น ที่ ๑ กรกฎาคม พ.ศ.๒๔๔๘ พร฾ อ มกั บ ให฾ ตั้ ง โรงเรี ย นสตรี ชั้ น มั ธ ย ม สํ า ห รั บ ป ร ะ จํ า ม ณ ฑ ล พระราชทานนามว฽ า “โรงเรี ย น จอมสุรางคแอุปถัมภแ” การยุติธรรม, ได฾ตั้งศาลมณฑลเมื่อปี พ.ศ.๒๔๓๐ การปกครองท฾ อ งถิ่ น , มี ก ารตั้ ง ผู฾ใ หญ฽ บ฾ านขึ้ น เป็น ครั้ ง แรกที่ บ฾ า น เกาะ บางปะอิ น เมื่ อ วั น ที่ ๒๓ กุมภาพันธแ พ.ศ.๒๔๓๐ นอกจากนี้ ใ นระหว฽ า งที่ รั้ ง ตํ า แหน฽ ง ข฾ า หลวงเทศาภิ บ าล พระยาโบราณราชธานินทรแได฾ริเริ่ม ก฽อ ตั้ง “อยุธ ยาพิ พิธ ภัณ ฑสถาน” จากการรวบรวมโบราณวั ต ถุ ม า จั ด เก็ บรั ก ษาไ ว฾ ที่ พ ร ะ ร าชวั ง จัน ทรเกษม กลายเป็ น แบบอย฽ า ง การจั ด พิ พิ ธ ภั ณ ฑแ ต ามหั ว เมื อ ง โดยเฉพาะหัวเมื องที่เ คยเป็ นอดี ต

อาณาจักรโบราณตามภูมิภาคต฽างๆ ในยุคปฏิรูปรัชกาลที่ ๕ การเข฾าใจ สภาพของท฾ อ งถิ่ น มี ค วามสํ า คั ญ เ พื่ อ จ ะ ไ ด฾ ร ว ม ศู น ยแ อํ า น า จ สู฽ ส฽ ว นกลางได฾ ต รงตามพระราช ประสงคแ เสมือนหนึ่งว฽าส฽วนกลาง รั บ รู฾ แ ล ะ เ ข฾ า ใ จ ใ น ส ภ า พ วิ ถี วั ฒ น ธ ร ร มข อ ง ค น ใน ท฾ อ ง ถิ่ น ขณะที่ที่อื่นความไม฽เข฾าใจในเรื่องนี้ เป็น สาเหตุความขัดแย฾ง ถึง ขั้นเกิด กบฏขึ้ น ในท฾ อ งถิ่ น เช฽ น กบฏผู฾ มี บุญในอิสาณ, กบฏพระยาผาบ แม฽ ทัพเชียงใหม฽, กบฏเงี้ยว เมืองแพร฽, กบฏเจ฾าหัวเมืองปใตตานี เป็นต฾น๘ จากที่ผู฾เขียนได฾ไปสํารวจ ดู ค ร฽ า วๆ ก็ พ บว฽ า ในพิ พิ ธ ภั ณ ฑแ พระราชวัง จันทรเกษมที่พัฒนามา จาก “อยุ ธ ยาพิ พิ ธ ภั ณ ฑสถาน” สมั ย พระยาโบราณราชธานิ น ทรแ ได฾ เ ก็ บ รั ก ษาและจั ด แสดงผลงาน ศิล ปะสํ าคั ญ อั น เป็ น หลั กฐานทาง ประวัติศาสตรแและโบราณคดี ไม฽ว฽า จะเป็ น ศิ ล ปะทวาราวดี , ศิ ล ปะ ลพบุรี , ศิล ปะอู฽ ทอง เป็นต฾ น ใน ส฽ ว นเกี่ ย วกั บ แหล฽ ง โบราณสถาน พระยาโบราณราชธานินทรแ ก็เป็นผู฾ หนึ่ ง ที่ ค฾ นพบและรั บ รู฾ถึ ง การมี อ ยู฽ ขอ งอ ยุ ธ ยาสมั ย ก฽ อน พร ะเจ฾ า รามาธิบดีที่ ๑ ที่เรียกว฽า “อโยธยา ศรี ร ามเทพนคร” เพราะโบราณสถาน น อ ก เก าะ เมื อ ง ทาง ทิ ศ ตะวันออก ฝใ่งขวาของแม฽น้ําปุาสัก ที่พระยาโบราณราชธานินทรแกล฽าว ถึ ง ใน “พรรณนาภู มิ ส ถานพระนครศรี อ ยุ ธ ยา” มั ก มี อ ายุ เ ก฽ า แก฽ กว฽าปี พ.ศ.๑๘๙๓ อันเป็นปีที่พระ เจ฾ า รามาธิ บ ดี ที่ ๑ ทรงย฾ า ยจาก เวียงเล็ก วัดพุทไธสวรรยแ มาสร฾าง

I วารสารวิชาการ อยุธยาศึกษา I ปีที่ ๖ / ๒๕๕๗ I๑๐๕


พระราชวังอยู฽บริเวณหนองโสน ติด กั บ แยกปากแม฽ น้ํ า เจ฾ า พระยากั บ แม฽ น้ํ า ล พ บุ รี (ค ล อ ง เ มื อ ง ใ น ปใจจุบัน) จากที่กล฽าวมา จะเห็นได฾ ว฽าข฾ าราชการสมัยปฏิรู ปรั ชกาลที่ ๕ ซึ่งพระยาโบราณราชธานินทรแมี สั ง กั ด และเป็ น ส฽ ว นหนึ่ ง ของกลุ฽ ม ดังกล฽าวนี้ เป็นกลุ฽มข฾าราชการหัว สมัยใหม฽ มีลักษณะเป็นปใญญาชน ที่รู฾จักสร฾างสรรคแสิ่งใหม฽ๆ ไม฽ใช฽แค฽ ระดับชั้นนักปฏิบัติที่คอยแต฽สนอง พระราชดําริ จึงปรากฏผลงานเป็น หลักฐานให฾ชนรุ฽นหลังได฾ศึกษาเป็น แบบอย฽าง ไม฽ใช฽คนทํางานที่นั่งอยู฽ แต฽ ใ น ห฾ อ ง ขลุ ก อยู฽ แ ต฽ กั บ โต฿ ะ ทํ า งาน หากแต฽ มี วิ ญ ญาณความ

เป็ น นั ก สํ า รวจ ท฽ อ งโลกกว฾ า ง ออกไปพบเห็นสิ่งต฽างๆ แล฾วนําสิ่งที่ พบเห็นนั้น มาเป็นองคแความรู฾หรือ คู฽ มื อ การปฏิ บั ติ ง านต฽ อ ไป ด฾ ว ย พร฾ อ มเปิ ด ใจเรี ย นรู฾ ยึ ด ถื อ สิ่ ง รอบตัวและบุคคลสามัญในท฾องถิ่น เป็นครู คว ามสํ า เร็ จขอ งก าร ปฏิรูปในรัชกาลที่ ๕ ส฽วนหนึ่งก็มา จากการที่ ท รงเห็ น คุ ณ ค฽ า ของคน เหล฽านี้และใช฾งานได฾ตรงตามความ เชี่ยวชาญและความสนใจใฝุรู฾ ให฾ โ อ ก า ส ใ น ก า ร แ ส ด ง ค ว า ม รู฾ ความสามารถ ไม฽กีด กันหรือเห็ น เป็ น คู฽ แ ข฽ ง ถึ ง ข น าด ยอ มรั บ ความเห็ นที่ แตกต฽า ง กระทั่ง การ โต฾แย฾งความเห็นเบื้องบน ก็ทรงรับ

ฟใ ง แ ล ะ แ ส ด ง ค ว า ม ชื่ น ช ม ความสําเร็จของพระยาโบราณราช ธานิ น ทรแ จ ริ ง ๆ แยกไม฽ อ อกจาก พระบรมราโชบายในรั ช กาลที่ ๕ รวมถึ ง งานทางประวั ติ ศ าสตรแ โบราณคดีของพระยาโบราณราช ธ านิ น ทรแ ก็ แ ยก ไ ม฽ อ อ ก จา ก ประวั ติ ศ าสตรแ ข องการปฏิ รู ป ใน รัช กาลที่ ๕ ดุ จ เดี ย วกั น แท฾ จ ริ ง แล฾ ว บทบาทพระยาโบราณราช ธานิ น ทรแ ใ นสมั ย ก฽ อ นนั้ น ก็ คื อ ตั ว แ ทน ข อ ง พ ร ะ บ า ท สม เ ด็ จ พระจุ ล จอมเกล฾ า เจ฾ า อยู฽ หั ว และ ก ลุ฽ ม ส ย า ม ใ ห ม฽ ใ น ท฾ อ ง ถิ่ น พระนครศรีอยุธยานั่นเอง.

เชิงอยยต ๑

วรรณศิริ เดชะคุปตแ และ ปรีดี พิศภูมิวิถี (บก.). กรุงเก฽าเล฽าเรื่อง กรุงเทพฯ : มติชน, ๒๕๕๔. พระราชพงศาวดารกรุงเก฽าฉบับหลวงประเสริฐ (นนทบุรี : สํานักพิมพแมหาวิทยาลัยสุโขทัยธรรมาธิราช, ๒๕๔๙) น. ๑๙-๒๓. ๓ ประชุมพงศาวดารภาคที่ ๖๓ เรื่องกรุงเก฽า พระนคร : โรงพิมพแโสภณพิพรรฒธนากร, ๒๔๗๙ (พิมพแในงานพระราชทานเพลิงศพ พระยาโบราณราชธานินทรแ (พร เดชะ คุปตแ) ณ เมรุวัดเทพศิรินทราวาส เมื่อวันที่ ๑๓ กุมภาพันธแ พ.ศ. ๒๔๗๙) ในชุดประชุมพงศาวดารภาค ๖๓ นี้ประกอบด฾วยผลงานเขียนของพระยาโบราณราชธานินทรแ ได฾แก฽ เรื่องแก฾คดีพระเจ฾าปราสาททอง, ตํานานกรุงเก฽า, ภูมิสถานพระนคร, แม฽น้ําลําคลองนอกพระนคร, วิจารณแเพลงยาวพยากรณแกรุงศรีอยุธยา, ภูมิแผนที่พระนครศรีอยุธยา, ว฽า ด฾วยพระราชวังหลวง, ว฽าด฾วยที่สํานักงานรัฐบาลและประตู เป็นต฾น ; นอกจากนี้ยังมีฉบับที่พิมพแแยกออกมาโดยคุรุสภาดู พระยาโบราณราชธานินทรแ. อธิบายแผนที่ พระนครศรีอยุธยากับคําวินิจฉัย ของพระยาโบราณราชธานินทรแ ฉบับชําระครั้งที่ ๒ และเรื่องศิลปและภูมิสถานอยุธยาของกรมศิลปากร พระนคร : โรงพิมพแคุรุสภา, ๒๕๐๙ ; สํานักพิมพแต฾นฉบับนํากลับมาพิมพแใหม฽เมื่อเร็วๆ นี้ดู พระยาโบราณราชธานินทรแ (พร เดชะคุปตแ). อธิบายแผนที่พระนครศรีอยุธยากับคําวินิ จฉัยของพระยาโบราณราช ธานินทรแ ฉบับชําระครั้งที่ ๒ และภูมิสถานกรุงศรีอยุธยา นนทบุรี : สํานักพิมพแต฾นฉบับ , ๒๕๕๐. ๔ ดูรายละเอียดใน ลิขิต ธีระเวคิน. วิวัฒนาการการเมืองการปกครองไทย กรุงเทพฯ : สํานักพิมพแจุฬาลงกรณแมหาวิทยาลัย , ๒๕๓๐ ; สุธาชัย ยิ้มประเสริฐ. สายธาร ประวัติศาสตรแประชาธิปไตยไทย กรุงเทพฯ : พี. เพรส, ๒๕๕๑. ๕ การที่บันทึกของฟาน ฟลีท ปรากฏอยู฽ในชุดประชุมพงศาวดาร (ภาคที่ ๗๙) ที่สมเด็จฯ กรมพระยาดํารงราชานุภาพเป็นผู฾รวบรวมขึ้น ย฽อมเป็นสิ่งยืนยันกับเราได฾ว฽า หลักฐานชิ้นนี้เป็นที่รับรู฾กันในหมู฽ชนชั้นนําสยามมาตั้งแต฽สมัยรัชกาลที่ ๕ แล฾วเป็นอย฽างน฾อย และพระราชวิจารณแพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล฾าเจ฾าอยู฽หัว ก็มีประเด็น คล฾ายคลึงกับที่ฟาน ฟลีท (หรือที่ชาวสยามรู฾จักในนาม “วันวลิต” ) เคยบันทึกเล฽าไว฾ ทั้งนี้เราต฾องเข฾าใจด฾วยว฽าฟาน ฟลีท เป็นพ฽อค฾าฮอลันดาบริษัท V.O.C. ที่มีข฾อขัดแย฾งใน เรื่องผลประโยชนแทางการค฾ากับพระเจ฾าปราสาททอง มุมมองของฟาน ฟลีท ก็ย฽อมมีแนวโน฾มที่จะแสดงออกถึงความขัดแย฾งดังกล฽าวนั้นด฾วย ดูรายละเอียดบันทึกนี้ใน ประชุม พงศาวดารภาคที่ ๗๙ จดหมายเหตุวันวลิต (ฉบับสมบูรณแ) กรุงเทพฯ : โรงพิมพแทําเนียบนายกรัฐมนตรี , ๒๕๐๗ ; รวมบันทึกประวัติศาสตรแอยุธยาของฟาน ฟลีต (วัน วลิต) แปลโดย นันทา วรเนติวงศแ และ วนาศรี สามนเสน, กรุงเทพฯ : กรมศิลปากร, ๒๕๔๖ (พิมพแในวาระ ๔๐๐ ปี สัมพันธไมตรีไทย-เนเธอรแแลนดแ พ.ศ. ๒๕๔๗) ; ภาษาอังกฤษดู Jeremie van Vliet. Historical account of Siam in the ๑๗th century translated by W.H. Mundie, Bangkok : s.n., ๑๙๐๔. ๖ สุจิตตแ วงษแเทศ. การเมือง "อุบายมารยา" แบบมาคิอาเวลลี (Macchiavelli) ของพระเจ฾าปราสาททอง กรุงเทพฯ : มติชน, ๒๕๔๙. ๗ ดูรายละเอียดจากงานศึกษาหัวข฾อการปฏิรูปรัชกาลที่ ๕ ใน David K. Wyatt. The politcs of reform in Thailand : education in the reign of King Chulalongkorn London : Yale University Press, ๑๙๖๙ ; จักรกฤษณแ นรนิติผดุงการ. สมเด็จพระเจ฾าบรมวงศแเธอ กรมพระยาดํารงราชานุภาพ กับกระทรวงมหาดไทย กรุงเทพฯ : มติชน, ๒๕๔๕ ; วุฒิชัย มูลศิลป฼. มณฑลเทศาภิบาล : วิเคราะหแเปรียบเทียบ กรุงเทพฯ : สมาคมสังคมศาสตรแแห฽งประเทศไทย, ๒๕๒๔ ; ชัยอนันตแ สมุทวณิช. ๑๐๐ ปี แห฽งการปฏิรูประบบราชการ : วิวัฒนาการของอํานาจรัฐและอํานาจการเมือง กรุงเทพฯ : สถาบันนโยบายศึกษา , ๒๕๓๘ ; เตช บุนนาค. การปกครองระบบ เทศาภิบาลของประเทศสยาม พ.ศ. ๒๔๓๕-๒๔๕๘ กระทรวงมหาดไทยสมัยสมเด็จพระเจ฾าบรมวงศแเธอ กรมพระยาดํารงราชานุภาพ (The provincial administration of Siam, ๑๘๙๒-๑๙๑๕ : the Ministry of the Interior under Damrong Rajanubhab) กรุงเทพฯ : สํานักพิมพแมหาวิทยาลัยธรรมศาสตรแและมูลนิธิโครงการตํารา สังคมศาสตรแและมนุษยศาสตรแ, ๒๕๓๒. ๘ ดูรายละเอี ยดได฾จ ากบทความต฽างๆ ใน พรเพ็ญ ฮั่นตระกูล และอัจ ฉราพร กมุ ทพิสมัย (บก.). ความเชื่อพระศรีอาริยแและกบฏผู฾ มีบุญในสังคมไทย กรุงเทพฯ : สร฾างสรรคแ, ๒๕๒๗. ๒

๑๐๖ I วารสารวิชาการ อยุธยาศึกษา I ปีที่ ๖ / ๒๕๕๗ I


ฟาฝยํารกวัธวาธเภืองอมุทมา อามุวัฑธ์ ค้าปฤ ราฤกบรรยากาศของเมืองพระนครศรีอยุธยาในอดีต เล่าเรื่องราวด้วยภาพถ่ายเก่า และปัจจุบัน

“ย้าธอัภฝย”

ห้างสยยฝสิธค้าเก่าแก่แห่งฝยะธคยศยีอมุทมา

ร้านอัมพร หรือ ห้างอัมพร สาขาหัวรอ เป็นห้างสรรพสินค้า เก่าแก่ใ นเมืองอยุธยา ตั้งอยู่บริเวณฝั่งตรง ข้ามสานักงานที่ดิน จังหวัดพระนครศรีอยุธยา ดาเนินกิจการมาตั้งแต่ พ.ศ. ๒๕๐๕ และได้ขยายกิจการเปิดสาขาที่ ตลาดเจ้าพรหมใน พ.ศ. ๒๕๓๗ สาขาโรจนะในปี ๒๕๔๒ และแอมโปมอลล์หรือ เดอะสกาย ช้อ ปปิ้ง เซ็นเตอร์ ใน พ.ศ. ๒๕๕๐ หากย฾อนกลับไปเมื่อ ๕๒ ปีที่แล฾ว ชาวอยุธยาจักคงรู฾สึกตื่นเต฾นที่จะมีห฾างสรรพสินค฾าให฾จับจ฽ายใช฾ สอยอย฽าง สะดวกสบายในเมือง โดยที่ไม฽ต฾องเดินทางขึ้นรถไฟ ข฾ามเรือเมลแ กว฽าครึ่งค฽อนวัน เพื่อไปห฾างสรรพสินค฾าในกรุงเทพฯ ดั่ง ไฮโซกรุงเก฽า เราอาจปฏิเสธไม฽ได฾เลยว฽า ห฾างอัมพรนั้นเป็นส฽วนหนึ่ง ของบันทึกความทรงจําของชาวอยุธยา ไม฽ว฽าจะเป็น ภาพยามสุข พ฽อแม฽จูงมือลูกหลานพากันซื้อของต฽างๆ เหล฽าแม฽บ฾านคุยกันเรื่องลูกขณะติดฝนอยู฽ที่หน฾าห฾ าง หรือเรื่องน฽า หงุดหงิดของเพื่อนรักที่มาสายกว฽าเวลานัดนับชั่วโมง ฯลฯ ใครหลายคนที่ได฾เห็นภาพนี้ ก็อาจหวนคิดเรื่องราวในอดีตที่ เกี่ยวข฾องกับห฾างอัมพร และนั่งแอบยิ้มมุมปากอยู฽ในขณะนี้ก็เป็นไปได฾ ๏

I วารสารวิชาการ อยุธยาศึกษา I ปีที่ ๖ / ๒๕๕๗ I๑๐๗


กายเสธอนถควาภเฝื่อดีฝิภฝ์

ใธวายสายอมุทมาศึกษา ฉนันถี่ ๗ / ๒๕๕๘ ข้อกําหธณปฤงาธวิชากายถี่ฤงดีฝิภฝ์ใธวายสาย ๑.เป็นบทความทางวิชาการ เกี่ยวกับจังหวัดพระนครศรีอยุธยา อาทิ ด฾านประวัติศาสตรแ ด฾านศิลปวัฒนธรรม ด฾านภูมิปใญญาท฾องถิ่น และด฾านสิ่งแวดล฾อม โดยเป็นบทความที่ยังไม฽เคยตีพิมพแเผยแพร฽มาก฽อน ๒.บทความมีความยาว พร฾อมภาพประกอบ ไม฽เกิน ๑๕ หน฾ากระดาษ เอ ๔ ๓.แนบประวัติผู฾เขียน ระบุชื่อ-สกุล ตําแหน฽ง หน฽วยงาน สถานที่ติดต฽อ หมายเลขโทรศัพทแ โทรสาร อีเมลแ เพื่อ การติดต฽อกลับ ๔.ส฽งต฾นฉบับพิมพแ พร฾อมแผ฽นซีดีข฾อมูล จํานวน ๑ ชุด ถึงฝุายวิชาการ สถาบันอยุธยาศึกษา มหาวิทยาลัย ราชภัฏพระนครศรีอยุธยา ๙๖ ถนนปรีดี พนมยงคแ ตําบลประตูชัย อําเภอพระนครศรีอยุธยา จังหวัดพระนครศรีอยุธยา ๑๓๐๐๐ ก฽อนวันที่ ๓๐ เมษายน พ.ศ. ๒๕๕๘ กองบรรณาธิการสงวนสิทธิ์ที่จะไม฽ส฽งคืนต฾นฉบับพิมพแและซีดีข฾อมูล ๕.ต฾นฉบับจะต฾องผ฽านการประเมินคุณภาพโดยผู฾ทรงคุณวุฒิ ทั้งนี้กองบรรณาธิการอาจขอให฾ผู฾เขียนปรับปรุง แก฾ไขบทความก฽อนการตีพิมพแ ซึ่งผู฾เขียนจะต฾องแก฾ไขต฾นฉบับให฾เสร็จ และส฽งคืนกองบรรณาธิการภายในเวลาที่กําหนด หากเลยกําหนดจะขอสงวนสิทธิ์ในการงดลงตีพิมพแ ๖.กองบรรณาธิการจะส฽งวารสารจํานวน ๓ เล฽ม ให฾แก฽เจ฾าของผลงานที่ได฾รับการตีพิมพแ ๗.กองบรรณาธิการขอสงวนสิทธิ์ในการนําบทความที่ได฾รับการตีพิมพแ ไปเผยแพร฽ในเว็บไซตแสถาบันอยุธยา ศึกษา www.ayutthayastudies.aru.ac.th สอบถามข฾ อ มู ลเพิ่ ม เติ ม ได฾ที่ นายพั ฑ รแ แตงพั น ธแ นั กวิ ช าการศึ ก ษา ฝุ า ยวิ ช าการ สถาบั น อยุ ธ ยาศึ ก ษา มหาวิทยาลัยราชภัฏพระนครศรีอยุธยา โทรศัพทแ / โทรสาร ๐๓๕-๒๔๑-๔๐๗ E-mail: ayutthayastudy@yahoo.co.th

๑๐๘ I วารสารวิชาการ อยุธยาศึกษา I ปีที่ ๖ / ๒๕๕๗ I



Issuu converts static files into: digital portfolios, online yearbooks, online catalogs, digital photo albums and more. Sign up and create your flipbook.