หนังสือชี้แจงแก้ข้อกล่าวหา น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร ต่อ ป.ป.ช.

Page 1

หนังสือชี้แจงแก้ ข้อกล่ าวหา

เลขที่ ๓๘/๙ หมู่ที่ ๙ แขวงคลองกุ่ม เขตบึงกุ่ม กรุ งเทพมหานคร วันที่ ๓๑ มีนาคม ๒๕๕๗ เรื่อง ชี้แจงแก้ขอ้ กล่าวหา (ครั้งที่ ๑) เรียน ประธานและกรรมการ ป.ป.ช. อ้ างถึง บันทึกการแจ้งข้อกล่าวหานางสาวยิ่งลักษณ์ ชินวัตร นายกรัฐมนตรี ฉบับลงวันที่ ๒๗ กุมภาพันธ์ ๒๕๕๗ คดีหมายเลขดาที่ ๕๗๓๐๐๓๐๖๐๕ สิ่งทีส่ ่ งมาด้ วย ๑. บัญชีลาดับพยานบุคคลอ้างนาสื บ รวม ๑๑ คน ๒. บัญชีลาดับพยานเอกสารอ้างนาสื บ รวม ๕๙ รายการ ตามที่ เมื่ อ วัน ที่ ๒๗ กุ ม ภาพัน ธ์ ๒๕๕๗ คณะกรรมการ ป.ป.ช. อ้า งว่า คณะกรรมการ ป.ป.ช.ได้ทาการไต่สวนข้อเท็จจริ งโดยรวบรวมพยานหลักฐานที่เกี่ยวข้องกับข้อ กล่าวหาพบว่ามีมูลจึงได้แจ้งข้อกล่าวหาข้าพเจ้า ว่า ระหว่างวันที่ ๙ ตุลาคม ๒๕๕๕ ถึงวันที่ ๙ ธันวาคม ๒๕๕๖ เวลากลางวันและกลางคืนต่อเนื่ องกัน สถานที่เกิ ดเหตุ แขวงดุสิต เขตดุสิ ต กรุ งเทพมหานคร กล่าวหาอ้างว่า ข้าพเจ้าได้กระทาความผิดฐานเป็ นเจ้าพนักงานปฏิบตั ิหรื อละ เว้นการปฏิบตั ิหน้าที่โดยมิชอบเพื่อให้เกิดความเสี ยหายแก่ผหู้ นึ่ งผูใ้ ด หรื อปฏิบตั ิหรื อละเว้นการ ปฏิบตั ิหน้าที่โดยทุจริ ตตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา ๑๕๗ และความผิดฐานเป็ นเจ้าหน้าที่ ของรัฐปฏิบตั ิ ห รื อละเว้นการปฏิบัติอย่างใดในตาแหน่ งหรื อหน้าที่ หรื อใช้อานาจในตาแหน่ ง หรื อหน้าที่โดยมิชอบเพื่อให้เกิ ดความเสี ยหายแก่ผหู้ นึ่ งผูใ้ ด หรื อปฏิบตั ิหรื อละเว้นการปฏิบัติ หน้าที่โดยทุจริ ต ตามพระราชบัญ ญัติประกอบรัฐธรรมนู ญว่าด้วยการป้ องกันการปราบปราม การทุจริ ต พ.ศ. ๒๕๔๒ และที่แก้ไขเพิ่มเติม มาตรา ๑๒๓/๑ อีกทั้งกล่าวหาอ้างว่าข้าพเจ้าจงใจ ใช้อานาจหน้าที่ขดั ต่อบทบัญญัติแห่ งรัฐธรรมนูญ มาตรา ๑๗๘ โดยอ้างว่าอันเป็ นเหตุแห่ งการ


ถอดถอนออกจากตาแหน่งตามรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช ๒๕๕๐ มาตรา ๒๗ ๐ –ดั ง มี ร ายละเอี ย ดตาม บั น ทึ ก การแจ้ ง ข้ อ กล่ า วหา นางสาวยิ่ ง ลัก ษณ์ ชิ น วัต ร นายกรัฐมนตรี คดีหมายเลขที่ ๕๗๓๐๐๓๐๖๐๕ ข้อ ๑ ถึง ข้อ ๕ ซึ่ งเป็ นการกล่าวหาว่ากระทา ความผิด ใน ๒ สถานะ คื อ ในสถานะนายกรั ฐ มนตรี ผูด้ ู แลนโยบายโดยรวมและในฐานะ ประธาน กขช. ที่มีห น้าที่ เกี่ ยวกับการเสนอกรอบนโยบายข้าว อนุมัติแผนงานโครงการ ดูแล ปฏิบตั ิตามนโยบายและอื่น ๆ โดยในการกล่าวหาตาม ข้อ ๑ ถึง ข้อ ๕ ข้างต้น คณะกรรมการ ป.ป.ช. มีเอกสารอ้างอิง ๑๐ รายการตามตารางอ้างอิง คือ ลาดับ ที่

เอกสารจาก

เลขที่เอกสาร

ลงวันที่

เรื่ อง

๑.

สานักงาน ป.ป.ช.

ปช๐๐๐๒/๐๑๑๐

๑๕ พ.ย. ๕๓

ข้ อ เสนอแนะเพื่ อ ป้ องกั น การทุ จ ริ ต ในการ แทรกแซงตลาดข้ าวของรั ฐบาล

๒.

สานักงาน ป.ป.ช.

-

ส.ค. ๕๓

ผลวิ จัย ของ ป.ป.ช. โครงการศึ กษามาตรการ แทรกแซงตลาดข้ า วเพื่ อ ป้ องกั น การทุ จ ริ ต (TDRI)

๓.

สานักงาน ป.ป.ช.

ปช๐๐๐๓/๐๑๑๘

๗ ต.ค. ๕๔

ยืนยันข้ อเสนอแนะของคณะกรรมการ ป.ป.ช. ในการแก้ ปั ญ หาการทุ จริ ตจากการแทรกแซง ตลาดข้ าวข้ องรั ฐบาล

๔.

สานักงาน ป.ป.ช.

ปช ๐๐๐๓/๐๑๙๘

๓๐ เม.ย. ๕๕

ข้ อเสนอแนะของ ป.ป.ช. เพื่อป้ องกันการทุจริ ต

๕.

สานักเลขาฯ ครม.

นร ๐๕๐๖/๑๖๓๓๔

๒๒ มิ.ย. ๕๕

มติ ครม.ยืนยันดาเนินโครงการต่ อ

๖.

สภาฯอภิปราย

-

๒๕-๒๗ พ .ย. การทุจริ ต ๕๕

๗.

วรงค์ เดชกิจวิกรม

-

๑๘ เม.ย. ๕๖

การทุจริ ต

๘.

คณะอนุ กรรมการปิ ด กค ๐๒๐๑/ล.๑๕๖๙ บัญชี ฯ ของ กขช.

๙ ต.ค. ๕๕

แจ้ งการขาดทุนนาปี ๕๔/๕๕ จานวน ๓๒,๐๐๐ ล้านบาท

๙.

คณะอนุ กรรมการปิ ด กค ๐๒๐๑/๘๐๘๑ บัญชี ฯ ของ กขช.

๒๓ พ.ค. ๕๖

แจ้ งการขาดทุ น ๓ ครั้ ง ๒๒๐,๙๖๘.๗๘ ล้ า น บาท

๑๐.

สตง.

๓๐ ม.ค. ๕๗

แจ้ งผลการตรวจสอบโครงการรั บจานา

ตผ ๐๐๑๒/๐๒๘๐


นอกจากนี้ เมื่ อวันที่ ๑๑ มี นาคม๒๕๕๗ คณะกรรมการ ป.ป.ช.ได้อนุ ญ าตให้ ทนายความของข้าพเจ้าตรวจพยานหลักฐานที่ใช้ในการการกล่าวหาข้าพเจ้าจานวน ๔๙ แผ่น และอนุญาตให้ทนายความข้าพเจ้าถ่ายเอกสารดังกล่าวทั้ง ๔๙ แผ่นปรากฏตามเอกสารที่แนบ ท้ายหนังสื อชี้แจงข้อกล่าวหานี้ (เอกสารแนบท้ายหมายเลข ๑-รวม๔๙หน้า ประทับหมายเลข ๐๐๑ ถึงหมายเลข ๐๔๙) โดยจากบัน ทึ ก การแจ้ง ข้อกล่า วหาของ คณะกรรมการ ป.ป.ช.ลงวัน ที่ ๒๗ กุมภาพันธ์ ๒๕๕๗ คณะกรรรมการ ป.ป.ช.ได้ต้ งั ประเด็นในการกล่าวหา โดยมีประเด็นการ กล่าวหาที่ สื บเนื่ องมาจาก “การอ้ างว่ านายกรั ฐ มนตรี รับทราบข้ อ เท็จจริ งใน ๗ ประเด็น (๗ เหตุผลหลัก)” อันนาไปสู่การกล่าวหาข้าพเจ้า คือ ประเด็นแรก อ้างว่า นายกรัฐมนตรี ได้รับทราบข้อเสนอแนะ คณะกรรมการ ป.ป.ช. ว่า “ในอดี ต ได้ก่อให้เกิ ด ปั ญ หามากมาย..และประการสาคัญ มี ปัญหาในการทุจริ ตทุก ขั้นตอน” (เอกสาร คณะกรรมการ ป.ป.ช. ๗ ต.ค. ๕๔) คณะกรรมการ ป.ป.ช. ได้มีหนังสื อแจ้ง ไปยังนายกฯ ยืนยัน “ข้อเสนอแนะของคณะกรรมการ ป.ป.ช.” ว่าการจานาก่อให้เกิ ด ปั ญ หา มากมาย โดย ๑) บิดเบือนกลไกตลาด มากจนเกินไปหรื อไม่ ๒) มีขา้ วในโกดัง เสี ยค่าใช้จ่ายในการเก็บรักษาเป็ นจานวนมากหรื อไม่ ๓) ข้าวเสื่ อมคุณภาพเพราะระบายออกไม่ทนั ทาให้ราคาข้าวตกต่าหรื อไม่ ๔) มีปัญหาทุจริ ตในทุกขั้นตอนหรื อไม่ ๕) ผูไ้ ด้รับผลประโยชน์เป็ นเพียงคนบางกลุ่ม ไม่ครอบคลุมเกษตรกรอย่าง ทัว่ ถึงหรื อไม่ ซึ่ งคณะกรรมการ ป.ป.ช. อ้างว่า นาไปสู่การทุจริ ตหรื อแสวงหาผลประโยชน์ที่ ไม่ควรได้โดยชอบด้วยกฎหมาย อันก่อให้เกิ ดความเสี ยหายแก่ประเทศชาติและคณะกรรมการ ป.ป.ช.เห็นว่า “รัฐบาลจึ งควรยกเลิกโครงการจานาข้าวเปลือก และนาระบบการประกันความ เสี่ ย งด้า นราคาข้า วมาด าเนิ น การ ซึ่ งจะส่ ง ผลให้ ก ารค้า ข้า วด าเนิ น การไปตามกลไกตลาด ก่อให้เกิดผลประโยชน์ทางเศรษฐกิจในภาพรวม อีกทั้งสามารถป้ องกันการดาเนินนโยบายอย่าง ไม่เหมาะสม” (อ้างการศึกษาของ TDRI ก่อนที่รัฐบาลยิ่งลักษณ์จะเข้ามา)


ประเด็นที่สอง อ้างว่า นายกรัฐมนตรี รับทราบผลการติด ตามของ ป.ป.ช. ว่า มี “ปั ญ หาการทุจ ริ ตเชิ ง นโยบาย และในขั้น ตอนและกระบวนการด าเนิ น โครงการ” (เอกสาร ป.ป.ช. ๓๐ เม.ย. ๕๕) ป.ป.ช.มีหนังสื อแจ้งไปยัง นายกรัฐมนตรี สรุ ปว่า คณะกรรมการ ป.ป.ช. ได้ติดตาม พบว่า ... โครงการได้ก่อให้เกิ ดปัญหาต่างๆ โดยเฉพาะอย่างยิง่ “ปัญหาการทุจริ ตเชิง นโยบาย” และในส่วนของขั้นตอน และกระบวนการดาเนินโครงการ ประเด็ น ที่ส าม อ้า งว่า นายกรั ฐ มนตรี รั บ ทราบเกี่ ย วกับ เรื่ อ งทุ จ ริ ต จากการ อภิปรายไม่ไว้วางใจของฝ่ ายค้านในสภา (๒๕-๒๗ พ.ย. ๒๕๕๕) ประเด็นทีส่ ี่ นายกรัฐมนตรี รับทราบปัญหาจาก การตั้งกระทูถ้ ามเรื่ องการระบาย ข้าวแบบรัฐต่อรัฐ และปัญหาโครงการรับจานาข้าวของนายวรงค์ (๑๘ เม.ย. ๒๕๕๖) ประเด็นทีห่ ้ า นายกรัฐมนตรี ในฐานะ ประธาน กขช. ทราบจากรายงานจากคณะ อนุฯ กขช. (๙ ต.ค. ๒๕๕๕) ว่ามีการขาดทุน ๓๒,๓๐๑ ล้านบาท และรับทราบข้อสังเกตและ ข้อเสนอแนะ ๕ ข้อที่เป็ นจุดอ่อนของโครงการ (แต่ไม่มีเรื่ องการทุจริ ต) โดยคณะอนุกรรมการปิ ดบัญชีฯ รายงาน อ้างว่า ว่ามีการขาดทุน ๓๒,๓๐๑ ล้าน บาท และรับทราบข้อสังเกตและข้อเสนอแนะ ๕ ข้อได้แก่ (๑) ราคาสู งกว่าตลาดมาก เป็ นภาระของรัฐ..ควรลดปริ มาณและราคาลงให้ เหมาะสม..และช่วยเพิ่มประสิ ทธิภาพแทนราคาจานาสู งกว่าราคาตลาด .. เสี่ ยงเป็ นภาระรายจ่าย ของรัฐและขาดทุนจานวนมาก (ทั้งการอุดหนุนเกษตรกร และ ค่าใช้จ่ายอื่นๆ เช่น สี แปรสภาพ ขนส่ง... ดังนั้นปริ มาณการรับจานา..ที่ไม่ทาให้กลไกตลาดถูกแทรกแซงมากจนเกินไป โดยการ ก าหนดราคารั บจ าน าควรอยู่ในระดับ ที่ เหมาะสม สอดคล้องกับต้นทุน การผลิตที่ เกษตรกร รับภาระอยู่ .. ควรมุ่งช่วยเหลือเกษตรกรผูป้ ลูกข้าวอย่างยัง่ ยืน ..ประสิ ทธิภาพ..เพิ่มผลผลิตต่อไร่ คุณภาพวัตถุดิบ..ลดต้นทุนการผลิตข้าว (๒)รับซื้ อทุกเมล็ดกระตุน้ ให้ผลิตข้าวเพิ่ม คุณภาพต่า เป็ นภาระในอนาคต การรับจานาในราคาสู งและไม่จากัดปริ มาณเป็ นแรงกระตุน้ ให้เกษตรกรเพิ่มรอบการผลิตมาก ขึ้น..ปริ มาณข้าวสูง..คุณภาพข้าวด้อยลง..สร้างภาระรัฐบาล (๓) รัฐบาลกลายเป็ นผูค้ า้ ข้าวรายใหญ่..ทาลายตลาดเอกชนโดยเฉพาะ  ตลาดกลางข้าวเปลือกถูกทาลาย  โรงสี ผูส้ ่งออก ในโครงการ ได้เปรี ยบ โรงสี นอกโครงการ  ข้าวไทย แพง กว่าข้าวคู่แข่ง ทาให้ไทยสูญเสี ยตลาด


(๔) รับซื้ อทุกเม็ดเกิดความเสี่ ยง สวมสิ ทธิ์จากประเทศเพื่อนบ้านและคุณภาพข้าว ต่า การรับจานาข้าวเปลือกทุกเม็ดโดยไม่จากัดพื้นที่และวงเงิน...ส่ งผลต่อความเสี่ ยงในการเกิ ด ความเสี ยหายต่อโครงการ...โดยเฉพาะประเด็นข้า วสวมสิ ทธิ์ .. ปริ มาณรั บจ าน าสู ง เกิ นกว่า ข้อเท็จจริ ง แต่คุณภาพข้าวต่ากว่าราคาจานา (๕)โครงการของประเทศไทยส่ งผลให้ราคาข้าวในตลาดโลกสูงขึ้น ประเทศไทย ส่ ง ออกไม่ ไ ด้แ ละได้มี ก ารสรุ ป อ้า งว่า “โครงการของประเทศไทยส่ ง ผลให้ ร าคาข้า วใน ตลาดโลกสูงขึ้น ..ประเทศส่งออกรายอื่น ได้ประโยชน์ ..ประเทศไทยไม่สามารถจาหน่ายข้าวใน โครงการได้ เนื่องจากราคาจานาสูงกว่าราคาตลาดโลก ...” คณะกรรมการ ป.ป.ช. อ้างว่า “แม้นายกรัฐมนตรี จะได้รับข้อเท็จจริ งดังกล่าว แต่ ยังดาเนินการโครงการรับจานาข้าวเปลือกนาปรังปี ๒๕๕๕ และโครงการรับจานาข้าวเปลือกนา ปรัง ๒๕๕๕/๕๖ ต่อมาตามลาดับ” ประเด็นทีห่ ก - คณะอนุฯ กขช. แจ้ง นายกรัฐมนตรี ในฐานะประธาน กขช. (๒๓ พ.ค. ๒๕๕๕) ว่าโครงการฯ ขาดทุน ๒๒๐,๙๖๘ ล้านบาท (แต่ไม่มีเรื่ องการทุจริ ต..) คณะกรรมการ ป.ป.ช. อ้า งว่า คณะอนุ ฯ ได้ร ายงานผลการปิ ดโครงการ..ว่า โครงการรับจ านาข้า วเปลือกนาปี ปี ๒๕๕๔/๒๕๕๕ โครงการรับจ านาข้าวเปลือกนาปรั ง ๒๕๕๕ และโครงการรับจานาข้าวเปลือกนาปรัง ๒๕๕๕/๒๕๕๖ มีผลขาดทุนรวม ๒๒๐,๙๖๘ ล้านบาท คณะกรรมการ ป.ป.ช. อ้างว่า แม้นายกรัฐมนตรี จะได้รับข้อเท็จจริ งดังกล่าว แต่ย งั ดาเนินการโครงการรับจานาข้าวเปลือกในฤดูการผลิตต่อมา ประเด็น ที่เจ็ด - นายกรั ฐมนตรี ไ ด้รั บข้อมู ลเป็ นหนัง สื อจาก สตง (๓๐ ม.ค. ๒๕๕๗) ซึ่ ง อ้ า งว่ า ว่า โครงการจ าน ามี จุ ด อ่ อ นหรื อ ความเสี ยงทุ ก ขั้น ตอน กระทบต่ อ งบประมาณแผ่นดินและเกษตรกร และไม่เกิดการพัฒนาข้าวอย่างยัง่ ยืน สานัก งานการตรวจเงินแผ่นดิ นอ้างว่า จากการตรวจสอบของสานักงานการ ตรวจเงินแผ่นดินพบว่า (๑)การดาเนินการมีจุดอ่อน หรื อความเสี่ ยงในทุกขั้นตอน (๒)เกิ ดผลกระทบสร้างความเสี ยหายต่อเงินงบประมาณแผ่นดินและเกษตรกร ความเสี่ ยงต่อระบบการคลัง ..ไม่ก่อให้เกิดการพัฒนาการผลิตข้าวอย่างยัง่ ยืน และ สานักงานการตรวจเงินแผ่นดินเสนอแนะว่า (๑) พิจารณาทบทวน ยุติการดาเนินโครงการ


(๒) กรณีจ่ายเงินล่าช้าควรมีมาตรการเยียวยาให้เกษตรกร นอกจากนี้ มีขอ้ กล่าวหาย่อย เรื่ อง “ชาวนาไม่ได้รับเงิน" (ในบันทึกการแจ้งข้อ กล่าวหา ข้อ ๔) อ้างว่ามีขอ้ เท็จจริ ง ว่ามีชาวนาที่เข้าร่ วมโครงการรับจานาข้าวยังไม่ได้รับเงินอยู่ เป็ นจานวนมาก ทาให้ได้รับความเดือดร้อน คณะกรรมการ ป.ป.ช. อ้า งว่า - แทนที่ท่านจะระงับยับยั้งโครงการ กลับยืนยันที่ จะดาเนินโครงการต่อไป อันก่อให้เกิดผลเสี ยหายแก่ราชการมากขึ้นเรื่ อยๆ ทั้งๆ ที่ท่านมีอานาจ ตาม พ.ร.บ. ระเบียบบริ หารราชการแผ่นดิน พ.ศ. ๒๕๓๔ มาตรา ๑๑ (๑) และในฐานะประธาน คณะกรรมการนโยบายข้าวแห่งชาติ ที่จะระงับยับยั้งโครงการฯ ดังกล่าวได้ โดยหนังสือนี้ ข้ าพเจ้า นางสาวยิ่งลักษณ์ ชินวัตร นายกรัฐมนตรี ขอใช้ สิทธิตาม รัฐธรรมนู ญและตามกฎหมาย ขอชี้แจงแก้ ข้อกล่ าวหาตามสิ ทธิ พร้ อ มขอนาทนายความและ/ หรือบุคคลที่ไว้ วางใจเข้ าฟั งการชี้แจง และขอใช้ สิทธินาสื บแก้ ข้อกล่ าวหาโดยอ้ างพยานบุคคล และนาพยานหลักฐานมาเองในบางปากและประสงค์ ให้ คณะกรรมการ ป.ป.ช.เรียกหรือไต่ สวน พยานหลักฐานนั้น ๆ ด้ วย ซึ่งข้ าพเจ้าจักได้ แจกแจงต่ อไปนั้น ซึ่ ง ข้ า พเจ้ า ขอชี้ แ จงแก้ ข้ อ กล่ าวหาเป็ นหนั ง สื อ โดยข้ าพเจ้ าขอปฏิ เสธ ว่ า ระหว่ างวัน ที่ ๙ ตุ ล าคม ๒๕๕๕ ถึ งวัน ที่ ๙ ธั น วาคม ๒๕๕๖ เวลากลางวัน และกลางคื น ต่ อเนื่องกัน ข้ าพเจ้ า มิได้ กระทาความผิด “ฐานเป็ นเจ้ าพนักงานปฏิบัติหรือละเว้ นการปฏิบัติ หน้ าที่โดยมิชอบเพื่อให้ เกิดความเสียหายแก่ ผู้หนึ่งผู้ใด หรือปฏิบัติหรือละเว้ นการปฏิบัติหน้ าที่ โดยทุ จ ริ ต ตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา ๑๕๗ และมิ ไ ด้ ก ระท าความผิ ด “ฐานเป็ น เจ้ าหน้ าที่ของรัฐปฏิบัติหรือละเว้ นการปฏิบัติอ ย่ างใดในตาแหน่ งหรื อหน้ าที่หรือใช้ อ านาจใน ตาแหน่ งหรือหน้ าที่โดยมิชอบเพื่อให้ เกิดความเสี ยหายแก่ ผู้หนึ่งผู้ใด หรือปฏิบัติหรือละเว้นการ ปฏิบั ติ หน้ าที่โดยทุจ ริ ต ตามพระราชบั ญ ญั ติป ระกอบรั ฐ ธรรมนู ญ ว่ าด้ วยการป้ องกัน การ ปราบปรามการทุจริต พ.ศ. ๒๕๔๒ และทีแ่ ก้ ไขเพิ่มเติม มาตรา ๑๒๓/๑ อีกทั้งข้ าพเจ้ ามิได้ จงใจ ใช้ อานาจหน้ าที่ขัดต่ อบทบัญญัติแห่ งรัฐธรรมนูญ มาตรา ๑๗๘ และไม่ มีเหตุแห่ งการถอดถอน ออกจากตาแหน่ งตามรัฐธรรมนูญแห่ งราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช ๒๕๕๐ มาตรา ๒๗๐ ดัง เหตุ ผ ลรายละเอีย ดข้ อเท็จจริงและข้ อ กฎหมายดังที่จะได้ ก ราบเรีย น ตามล าดับ เป็ นข้ อ ๆ ไป ดังต่อไปนี้


ข้ อ ๑. กระบวนการรับคาร้ องและเริ่มคดีของคณะกรรมการ ป.ป.ช. ไม่ชอบด้ วย กฎหมาย และคณะกรรมการ ป.ป.ช. ผู้ไต่ สวนไม่ มีอานาจกล่ าวหาเสี ยเองเพิ่มเติมจากคาร้ อ ง ถอดถอนอี ก หนึ่ งประเด็ น โดยอ้ างว่ ากระท าความผิ ด ตาม มาตรา ๖๖ แห่ ง พระราชบั ญ ญั ติ ประกอบรัฐ ธรรมนูญว่ าด้ วยการป้ องกันและปราบปรามการทุจริต พ.ศ. ๒๕๔๒ และ ที่แ ก้ ไข เพิ่มเติมคือไม่มอี านาจกล่ าวหา “กรณีคณะกรรม ป.ป.ช. มีเหตุอันควรสงสัยว่ าข้ าพเจ้าได้ ปล่ อย ให้ มีก ารทุ จริ ตในโครงการรั บ จานาข้ าวและการระบายข้ าวโดยเพิ ก เฉยไม่ ระงับยั บยั้งความ เสี ยหายที่เกิดขึ้นแก่ ทางราชการตามที่มีหน้ าที่ ” เพิ่มเติมจากกรณีกล่ าวหาร้ องขอให้ ถอดถอน ข้ าพเจ้าอันสืบเนื่องมาจากการอภิปรายไม่ไว้วางใจรัฐบาล ของพรรคฝ่ ายค้านในสภา ข้า พเจ้า ขอชี้ แจงแก้ ข ้อ กล่า วหาว่า กระบวนการรั บ ค าร้ อ งและเริ่ ม คดี ข อง คณะกรรมการ ป.ป.ช. ไม่ชอบด้วยกฎหมาย เพราะการดาเนิ นกระบวนการของคณะกรรมการ ป.ป.ช.ไม่ ชอบด้ วยหลักนิติธรรม มีลัก ษณะเป็ นการด าเนินการตามอ าเภอใจ (มาตรา ๓ วรรค สอง แห่ งรัฐธรรมนูญแห่ งราชอาณาจักรไทย พุ ทธศักราช ๒๕๕๐ ) และจงใจฝ่ าฝื นบทบัญญัติ ของกฎหมายที่คณะกรรมการ ป.ป.ช. เองจะต้องยึดถือปฏิบตั ิ อย่างเคร่ งครัด และฝ่ าฝื นระเบียบ คณะกรรมการป้ องกั น และปรามปราบการทุ จ ริ ตแห่ ง ชาติ ว่า ด้ว ย ประมวลจริ ยธรรม คณะกรรมการป้ องกันและปรามปราบการทุจ ริ ตแห่ งชาติ ข้าราชการ และลูก จ้างส านัก งาน คณะกรรมการป้ องกันและปราบปรามการทุจริ ตแห่งชาติ พ.ศ. ๒๕๕๑ เนื่องจาก ๑.๑ กระบวนการรับคาร้ องและเริ่มคดีของคณะกรรมการ ป.ป.ช. ไม่ชอบ การรับคาร้องของคณะกรรมการ ป.ป.ช. และเริ่ มคดีไม่เป็ นไปตาม มาตรา ๖๑แห่งพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการป้ องกันและปราบปรามการทุจริ ต พ.ศ. ๒๕๔๒ และ ที่แก้ไขเพิม่ เติม ที่บญั ญัติวา่ การร้ องขอให้ ถอดถอนจากตาแหน่ งตามมาตรา ๕๙ และมาตรา ๖๐ ต้ องทาเป็ นหนังสื อระบุ ชื่อ อายุ ที่อยู่ หมายเลขประจาตัวประชาชนพร้ อ ม สาเนาบัตรประจาตัวประชาชน บัตรประจาตัวประชาชนที่หมดอายุ หรือบัตรหรือหลักฐานอื่น ใดของทางราชการที่มีรูปถ่ ายสามารถแสดงตนได้ และลงลายมือ ชื่อของผู้ร้องขอ โดยระบุวัน เดือน ปี ที่ลงลายมือชื่อให้ ชัดเจน และ ต้ องระบุพฤติการณ์ ที่กล่ าวหาผู้ดารงตาแหน่ งตามมาตรา ๕๘ เป็ นข้ อ ๆ อย่ างชั ด เจนว่ ามีพ ฤติการณ์ ร่ารวยผิดปกติ ส่ อไปในทางทุจริตต่ อหน้ าที่ ส่ อ ว่ า


กระทาผิดต่ อตาแหน่ งหน้ าทีร่ าชการ ส่ อว่ากระทาผิดต่ อตาแหน่ งหน้ าที่ในการยุติธรรม หรือส่ อ ว่ า จงใจใช้ อ านาจหน้ าที่ขั ด ต่ อ บทบั ญ ญั ติ แ ห่ งรั ฐ ธรรมนู ญ หรื อ กฎหมายใด และต้ อ งระบุ พยานหลักฐานหรือเบาะแสตามสมควรและเพียงพอที่คณะกรรมการ ป.ป.ช. จะดาเนินการไต่ สวนข้ อเท็จจริงต่ อไปได้ และให้ ยื่น คาร้ องขอดังกล่ าวต่ อประธานวุฒิสภาภายในหนึ่งร้ อยแปด สิ บ วันนับ แต่ วันที่ผู้ริเริ่มรวบรวมรายชื่ อไปแสดงตนต่ อ ประธานวุฒิสภา และไม่เป็ นไปตาม มาตรา ๖๒ ที่บญั ญัติวา่ ในกรณีที่สมาชิกสภาผู้แทนราษฎรร้ องขอให้ ถอดถอนผู้ดารงตาแหน่ ง ตามาตรา ๕๘ ออกจากตาแหน่ ง หรือในกรณีทสี่ มาชิกวุฒิสภาร้ องขอให้ ถอดถอนสมาชิกวุฒสิ ภา ออกจากตาแหน่ ง ให้ นาบทบัญญัติมาตรา ๖๑ มาใช้ โดยอนุโลม กล่าวคือ ทั้ง ๆ ที่คณะกรรมการ ป.ป.ช. ทราบว่า เมื่อวันที่ ๑๕ พฤศจิกายน ๒๕๕๖ นายถาวร เสนเนียม นายสาทิตย์ วงศ์หนอง เตย นายวิทยา แก้วภราดัย นายชุมพล จุลใส นายพุทธิ พงษ์ ปุณณกันต์ นายเอกณัฏ พร้อมพันธุ์ และนายณัฏฐพล ที ปสุ วรรณ มิได้เป็ นสมาชิกสภาผูแ้ ทนราษฎรพรรคประชาธิ ปัตย์แล้ว และ สื่ อมวลชนเสนอข่าวดังกล่าวปรากฏตามหนังสื อพิมพ์ การยื่นคาร้องจึ งไม่ชอบด้วยมาตรา ๖๑ แห่งกฎหมายฯ ข้างต้น เนื่องจากบุคคลดังกล่าวพ้นจากสมาชิกสภาผูแ้ ทนราษฎร จึงไม่มีอานาจ ร่ ว มลงชื่ อ ในการยื่ น ค าร้ อ งต่ อ ประธานวุฒิ ส ภาเพื่ อ “ให้ ด าเนิ น การส่ ง เรื่ องดัง กล่ า วให้ คณะกรรมการป้ องกันและปรามปราบการทุจ ริ ตแห่ งชาติด าเนิ นการไต่ส วน และดาเนิ นการ เพื่อให้วฒ ุ ิ ส ภามีมติถอดถอนนางสาวยิ่งลัก ษณ์ ชินวัตร นายกรั ฐมนตรี ออกจากตาแหน่ งตาม บทบัญ ญั ติ มาตรา ๒๗๐ ของรั ฐ ธรรมนู ญ แห่ ง ราชอาณาจัก รไทย พุ ท ธศัก ราช ๒๕๕๐” ประกอบกับตามคาร้องก็มิได้มีการระบุในคาร้องเกี่ยวกับรายละเอียดของข้อเท็จจริ งเกี่ ยวกับชื่อ อายุ ที่อยู่ ของผูย้ ื่นคาร้อง นอกจากนี้ ตวั อักษรที่พิมพ์ในคาร้องกับตัวอักษรที่พิมพ์ทา้ ยคาร้องก็ เป็ นคนละแบบกันทาให้มีพิรุธสงสัยว่ามีการแอบอ้างชื่อ หรื อใช้ลายมือชื่อเดิมมาประกอบ หาใช่ การลงนามตามคาร้องนั้น ๆ ไม่ โดยคณะกรรมการ ป.ป.ช. ก็มิได้ไต่สวนแสดงให้ปรากฏโดยชัด แจ้งเป็ นที่ยุติวา่ มีการตรวจสอบลายมือชื่ อดังกล่าวว่าผูย้ ื่นคาร้องมี อานาจในการยื่นค าร้องจริ ง แต่เมื่อวันที่ ๒๘ มกราคม ๒๕๕๗ คณะกรรมการ ป.ป.ช. กลับมีมติให้ไต่สวนข้อเท็จจริ งโดยให้ คณะกรรมการ ป.ป.ช. ทั้งคณะเป็ นองค์คณะในการไต่สวนข้าพเจ้า โดยรี บด่วน โดยอ้างว่า “มี พฤติการณ์ส่อว่าจงใจใช้อานาจหน้าที่ขดั ต่อบทบัญญัติแห่ งรัฐธรรมนูญหรื อกฎหมาย ด้วยการ แถลงนโยบายต่อรัฐสภาว่าจะป้ องกันและปราบปรามการทุจริ ตและประพฤติมิชอบในภาครัฐ


อย่างจริ งจัง เข้มงวดในการบังคับใช้กฎหมายเพื่อแก้ไขปัญหาการทุจริ ตและประพฤติมิชอบของ เจ้าหน้าที่ของรัฐ แต่กลับปล่อยให้มีการทุจริ ตในโครงการรับจานาข้าวและการระบายข้าว และ โดยอ้างว่า มีเหตุอนั ควรสงสัยว่านางสาวยิ่งลักษณ์ ชินวัตร ได้ปล่อยให้มีการทุจริ ตในโครงการ รับจานาข้าวและการระบายข้าว โดยเพิกเฉยไม่ระงับยับยั้งความเสี ยหายที่เกิดขึ้นแก่ทางราชการ ตามอานาจหน้าที่” จากที่กล่าวมาแล้วข้างต้นจึงเป็ นข้อสังเกตและมีขอ้ ระแวงสงสัยอย่างมีขอ้ พิ รุ ธ อย่า งยิ่ง ว่า เป็ นการรั บ ค าร้ อ งและเริ่ ม คดี ต่ อ ข้า พเจ้า ตามอ าเภอใจ เป็ นการไม่ ช อบด้ว ย รัฐธรรมนูญ มาตรา ๓ วรรคสอง และไม่ชอบด้วย พระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วย การป้ องกันและปราบปรามการทุจริ ต พ.ศ. ๒๕๔๒ และ ที่แก้ไขเพิ่มเติม มาตรา ๖๑ และมาตรา ๖๒ ๑.๒ คณะกรรมการ ป.ป.ช. ใช้ อานาจเกินขอบแห่ งอานาจ คณะกรรมการป.ป.ช.ไม่มอี านาจกล่ าวหาเพิ่มเติมนอกเหนือจาก “กรณี ร้ องขอให้ ถอดถอนทีส่ ื บเนื่องมาจากการอภิปรายไม่ไว้ วางใจ โดยอ้ างว่าข้ าพเจ้ากระทาความผิด ไม่ เ ข้ มงวดแต่ ป ล่ อ ยให้ มี ก ารทุ จ ริ ต ในโครงการรั บ จ าน าข้ า วทั้ ง ๆที่ ไ ด้ รั บ ค าแนะน าจาก คณะกรรมการ ป.ป.ช. แล้ ว แต่ ไม่ยกเลิกโครงการรับจานาข้ าว” เดิมเมื่อวันที่ ๙ ตุลาคม ๒๕๕๔ คณะกรรมการ ป.ป.ช. เคยใช้อานาจ หน้าที่ ข องตนเองตามมาตรา ๑๙ (๑๑) แห่ งพระราชบัญ ญัติประกอบรั ฐธรรมนู ญ ว่าด้วยการ ป้ องกันและปราบปรามการทุจริ ต พ.ศ. ๒๕๔๒ และที่แก้ไขเพิ่มเติมเสนอแนะนายกรัฐมนตรี วา่ รัฐบาลควรยกเลิกโครงการรับจานาข้าวเปลือกและให้นาระบบการประกันความเสี่ ยงด้านราคา ข้าวมาดาเนิ นการ แต่รัฐบาลของข้าพเจ้ามิได้ยกเลิกโครงการรับจานาข้าวดังที่คณะกรรมการ ป.ป.ช. เสนอแนะ จึงถือว่าคณะกรรมการ ป.ป.ช. เข้ามาเป็ นผูม้ ี ส่วนได้เสี ยและเป็ นปฏิปักษ์อย่าง ร้ายแรงกับรัฐบาลของข้าพเจ้าในการดาเนินโครงการรับจานาข้าวดังกล่าวที่รัฐบาลของข้าพเจ้า ยังคงด าเนิ นการโครงการดัง กล่าวต่อไปตามนโยบายของรัฐบาล ข้อ ๑.๑๑ ที่ ได้แถลงไว้กับ รัฐสภา ในขณะที่คณะกรรมการ ป.ป.ช. ก็อา้ งว่ายังคงติดตามนโยบายรั บจานาข้าวของรัฐบาล ต่อไป ต่อมามีการอภิปรายไม่ไว้วางใจรัฐบาลของข้าพเจ้าในสภาผูแ้ ทนราษฎร ระหว่างวันที่


๑๐

๒๕ - ๒๗ พฤศจิ กายน ๒๕๕๕ ในประเด็นเกี่ ยวกับการดาเนิ นโครงการตามนโยบายรั บ จานาข้าวและการระบายข้าวที่ฝ่ายค้านโดยนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ อ้างว่ารัฐบาลของข้าพเจ้าไม่ เข้มงวดในการบังคับใช้กฎหมายเพื่อแก้ไขปั ญหาการทุจริ ตและประพฤติ มิชอบของเจ้าหน้าที่ ของรั ฐ แต่ ก ลับ ปล่ อ ยให้ มี ก ารทุ จ ริ ต ในโครงการรั บ จ าน าข้า วและระบายข้า ว ซึ่ งตาม กระบวนการเป็ นกรณี สืบเนื่ องที่จะต้องร้องขอต่อคณะกรรมการ ป.ป.ช. ให้ถอดถอนข้าพเจ้า ออกจากตาแหน่งนายกรัฐมนตรี ดว้ ยเพียงกรณี น้ ี กรณี เดียวเท่านั้น ดังนั้น ในการประชุมของ คณะกรรมการ ป.ป.ช. ครั้ งที่ ๕๓ ๙-๗ /๒ ๕๕๗ เมื่ อ วัน ที่ ๒ ๘ มกราคม ๒๕๕ ๗ คณะกรรมการ ป.ป.ช. จึ ง คงมีอานาจเพียงกรณี มีมติให้ไต่สวนข้อเท็จจริ งข้าพเจ้าในเรื่ องกรณี กล่า วหา “โดยอ้ า งว่ า มี พ ฤติ ก ารณ์ ส่ อไปในทางทุ จ ริ ต ต่ อหน้ า ที่ ส่ อว่ า กระท าความผิ ด ต่ อ ตาแหน่ งหน้ าที่ ราชการ ส่ อว่ าจงใจใช้ อานาจที่ ขัดต่ อบทบัญญัติแห่ งรั ฐธรรมนูญหรื อกฎหมาย ตามรั ฐธรรมนูญแห่ งราชอาณาจั กรไทย พ.ศ. ๒๕๕๐ มาตรา ๒๗๐ - กรณี ร้องขอให้ ถอดถอน นางสาวยิ่งลักษณ์ ชินวัตร ออกจากตาแหน่ ง นายกรั ฐมนตรี โดยอ้ างว่ามีพฤติการณ์ ส่อว่าจงใจ ใช้ อานาจหน้ าที่ ขัดต่ อบทบั ญ ญั ติแห่ งรั ฐธรรมนูญ หรื อกฎหมาย ด้ วยการแถลงนโยบายต่ อ รั ฐ สภาว่ า จะป้ องกั น และปราบปรามการทุ จ ริ ต และประพฤติ มิ ชอบในภาครั ฐ อย่ า งจริ งจั ง เข้ มงวดในการบังคับใช้ กฎหมายเพื่อแก้ ไขปั ญหาการทุจริ ตและประพฤติ มิช อบของเจ้ าหน้ าที่ ของรั ฐ แต่ ก ลับปล่ อยให้ มี ก ารทุจ ริ ตในโครงการรั บจ านาข้ า วและการระบายข้ าว” เท่า นั้น คณะกรรมการ ป.ป.ช. ไม่มอี านาจในการมีมติให้ไต่สวนข้าพเจ้า “โดยอ้ างว่ากระทาความผิดต่ อ ตาแหน่ งหน้ าที่ราชการตามประมวลกฎหมายอาญา หรื อกระทาความผิดต่ อตาแหน่ งหน้ าที่หรื อ ทุจริ ตต่ อหน้ าที่ ตามกฎหมายอื่น ตามมาตรา ๖๖ แห่ งพระราชบัญญัติประกอบรั ฐธรรมนูญว่ า ด้ วยการการป้ องกั น และปราบปรามการทุจ ริ ต พ.ศ. ๒๕๔๒ และที่ แก้ ไ ขเพิ่ มเติ ม - กรณี คณะกรรมการ ป.ป.ช. อ้ างว่ ามีเหตุอันควรสงสั ยว่ านางสาวยิ่งลักษณ์ ชิ นวัตร นายกรั ฐมนตรี ได้ ปล่อยให้ มีการทุจริ ตในโครงการรั บจานาข้ าวและการระบายข้ าว โดยเพิกเฉยไม่ ระงับยับยั้ง ความเสี ยหายที่เกิดขึน้ แก่ ทางราชการตามที่ มีอานาจหน้ าที่ ” แต่อย่างใด เพราะ คณะกรรมการ ป.ป.ช. ได้เปิ ดช่องทางสาหรับการกล่าวหากรณี อา้ งว่า “มีเหตุอันควรสงสั ยว่ านางสาวยิ่งลักษณ์ ชิ นวัต ร นายกรั ฐมนตรี ได้ ปล่ อยให้ มีการทุจริ ตในโครงการรั บจานาข้ าวและการระบายข้ าว โดยเพิกเฉยไม่ ระงับยับยั้งความเสี ยหายที่ เกิ ดขึน้ แก่ ทางราชการตามที่มีอานาจหน้ าที่ ” ด้วยการ


๑๑

เริ่ ม ช่ องทางด้ว ยการใช้อานาจหน้า ที่ ข องตนเองตามมาตรา ๑๙ (๑๑) แห่ ง พระราชบัญ ญัติ ประกอบรัฐธรรมนู ญว่าด้วยการป้ องกันและปราบปรามการทุจริ ต พ.ศ. ๒๕๔๒ และที่แก้ไ ข เพิ่มเติมเสนอแนะนายกรัฐมนตรี วา่ รัฐบาลควรยกเลิกนโยบายโครงการรับจานาข้าวเปลือกและ นาระบบการประกันความเสี่ ยงด้านราคาข้าวมาดาเนินการ – เสี ยแล้ว เมื่อคณะกรรมการ ป.ป.ช. เลือกที่จะใช้อานาจหน้าที่ในช่องทางขั้นต้น ตามมาตรา ๑๙ (๑๑) คณะกรรมการ ป.ป.ช. จึงไม่ มีอานาจที่จะเลือกใช้บทบัญญัติมาตรา ๖๖ แห่งพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการ การป้ องกันและปราบปรามการทุจริ ต พ.ศ. ๒๕๔๒ และที่แก้ไขเพิ่มเติม มากล่าวหาข้าพเจ้าว่า “กรณี คณะกรรมการ ป.ป.ช. อ้ างว่ า มี เ หตุ อั น ควรสงสั ยว่ า นางสาวยิ่ ง ลั ก ษณ์ ชิ น วั ต ร นายกรั ฐมนตรี ได้ ปล่อยให้ มีการทุจริ ตในโครงการรั บจานาข้ าวและการระบายข้ าว โดยเพิกเฉย ไม่ ระงับยับยั้งความเสี ยหายที่เกิ ดขึน้ แก่ ทางราชการตามที่มีอานาจหน้ าที่ ” พร้อม ๆ กัน ทั้งสอง กรณี ในวันที่ ๒๘ มกราคม ๒๕๕๗ แต่อย่างใด เพราะหากยอมให้คณะกรรมการ ป.ป.ช. มี อานาจกระทาได้เช่นนั้นก็จะกลายเป็ นว่าคณะกรรมการ ป.ป.ช. มีอานาจเหนือรัฐบาลสามารถสั่ง รัฐบาลให้ดาเนิ นโครงการตามนโยบายที่คณะกรรมการ ป.ป.ช. ต้องการได้ตามอาเภอใจ หาก รัฐบาลไม่ดาเนินการตามที่คณะกรรมการ ป.ป.ช. ต้องการตามที่ได้ให้คาแนะนา ตามมาตรา ๑๙ (๑๑) แห่งพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการการป้ องกันและปราบปรามการทุจริ ต พ.ศ. ๒๕๔๒ และที่ แ ก้ไ ขเพิ่ ม เติ ม รั ฐบาลก็ อาจถูก ด าเนิ น คดี โ ดยอาศัย มาตรา ๖๖ แห่ ง พระราชบัญ ญัติประกอบรัฐธรรมนู ญ ว่าด้วยการการป้ องกันและปราบปรามการทุจริ ต พ.ศ. ๒๕๔๒ และที่แก้ไขเพิ่มเติมได้ ซึ่ งถือว่าเป็ นการใช้อานาจโดยไม่ชอบด้วยหลักนิ ติธรรม อัน เป็ นการใช้อานาจฝ่ าฝื นบทบัญญัติมาตรา ๓ วรรคสอง ตามรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พ.ศ. ๒๕๕๐ อัน เท่ า กั บ ว่า คณะกรรมการ ป.ป.ช. มี อ านาจกล่ า วหาได้ ใ นประเด็ น ที่ คณะกรรมการ ป.ป.ช. ให้เสนอคาแนะนา และหากไม่ดาเนิ นการตามที่คณะกรรมการ ป.ป.ช. แนะนาก็จะถูกดาเนินคดีโดยคณะกรรมการ ป.ป.ช. จะเป็ นผูก้ ล่าวหาเสี ยเองในประเด็นที่ฝ่าฝื น ไม่ปฏิบตั ิตามคาแนะนา ซึ่ งหากคณะกรรมการ ป.ป.ช. มีอานาจกระทาได้เช่นนั้น ก็จะเป็ นการ ใช้อานาจโดยการแทรกแซงอานาจฝ่ ายบริ หารโดยไม่ชอบด้วยรัฐธรรมนูญขัดกับหลักนิติธรรม เป็ นการไม่ ช อบด้ว ยหลัก การแบ่ ง แยกอ านาจซึ่ งคณะกรรมการ ป.ป.ช. ไม่ มี อ านาจที่ จ ะ ดาเนิ นการดังกล่าวได้ ซึ่ งมีแต่จะก่อให้เกิ ดความเสี ยหายต่อบ้านเมืองอย่างใหญ่หลวง ไร้ความ


๑๒

ซึ่ งความยุติธรรม เพราะตามรัฐธรรมนูญก็เห็นเป็ นการชัดเจนตามหลักการแบ่งแยกอานาจและ ตามหลักนิ ติธรรมอยู่แล้วว่าคณะกรรมการ ป.ป.ช. ไม่มีอานาจสั่งให้รัฐบาลซึ่ งเป็ นฝ่ ายบริ หาร ดาเนิ นการตามนโยบายใดๆ ตามที่คณะกรรมการ ป.ป.ช. ต้องการ นอกจากนี้ การดาเนิ นการ ตามกระบวนการคณะกรรมการ ป.ป.ช. เป็ นการดาเนิ นการอันเป็ นมีผลเป็ นคาสั่งทางปกครอง โดยใช้ห ลัก กฎหมายมหาชนและใช้วิธีการไต่สวน ซึ่ งพระราชบัญ ญัติวิธีปฏิ บตั ิ ราชการทาง ปกครอง พ.ศ. ๒๕๓๙ มาตรา ๑๓ บัญญัติวา่ “เจ้ าหน้ าที่ ดังต่ อไปนีจ้ ะทาการพิจารณาทาง ปกครองไม่ ได้ (๑) เป็ นคู่กรณี เอง...” มาตรา ๑๔ บัญญัติวา่ “เมื่อมีกรณี ตามมาตรา ๑๓ หรื อ คู่กรณี คั ดค้ านให้ เจ้ าหน้ าที่ ผ้ ูนั้นหยุดเรื่ องไว้ ก่ อ น...” มาตรา ๑๕ วรรคสอง บัญญัติวา่ “ถ้า คณะกรรมการที่มีอานาจพิจารณาทางปกครองคณะใดมี ผถู้ กู คัดค้าน ในระหว่างที่กรรมการผูถ้ กู คัด ค้า นต้อ งออกจากที่ ป ระชุ ม ...” จึ ง เห็ น ได้ว่า ในคดี น้ ี ไม่ ว่า กรณี จ ะเป็ นอย่ า งไรก็ ต าม คณะกรรมการ ป.ป.ช. ที่ปฏิบตั ิหน้าที่อยูใ่ นขณะนี้ หากอยูใ่ นฐานะเป็ นผูก้ ล่าวหาเสี ยเองเท่ากับ เป็ นคู่กรณี คณะกรรมการ ป.ป.ช. ที่มีสถานะเป็ นคู่กรณีไม่มีอานาจในการไต่สวนพิจารณาคดีน้ ี ต่อไปในอีกกรณีหนึ่งด้วย อย่างไรก็ดีในกรณีดงั กล่าวข้างต้นบทบัญญัติตามรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักร ไทย พ.ศ. ๒๕๕๐ มาตรา ๒๗๕ วรรคสี่ บัญญัติวา่ “...ในกรณี ที่ผ้ ูถกู กล่ าวหาตามวรรคหนึ่ง เป็ นผู้ดารงตาแหน่ งนายกรั ฐมนตรี รั ฐมนตรี ประธานสภาผู้แทนราษฎร หรื อประธานวุฒิสภา ผู้เสี ยหายจากการกระทาดังกล่าว จะยื่นคาร้ องต่ อคณะกรรมการป้ องกันและปราบปรามทุจริ ต แห่ งชาติเพื่อให้ ดาเนินการตามมาตรา ๒๕๐ (๒) หรื อจะยื่นคำร้ องต่ อที่ประชุมใหญ่ ศำลฎีกำ เพื่อขอให้ ตั้งผู้ไต่ สวนอิสระตำมมำตรำ ๒๗๖ ก็ได้ …” และบทบัญญัติตามรัฐธรรมนูญ แห่ ง ราชอาณาจักรไทย พ.ศ. ๒๕๕๐ มาตรา ๒๗๗ วรรคหนึ่ง บัญญัติว่า “ในการพิจารณาคดี ให้ ศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดารงตาแหน่ งทางการเมืองยึดสำนวนของคณะกรรมกำรป้ องกัน และปรำบปรำมกำรทุ จ ริ ต แห่ งชำติ ห รื อ ของผู้ ไต่ สวนอิส ระ แล้ วแต่ ก รณี เป็ นหลั ก ในกำร พิจำรณำและอาจไต่ สวนหาข้ อเท็จจริ งและพยานหลักฐานเพิ่มเติมได้ ตามที่ เห็นสมควร...” จาก บทบัญญัติดงั กล่าวข้างต้น ช่ องทางในการดาเนินกระบวนพิจารณา “โดยชอบ” ด้วยบทบัญญัติ ดัง กล่า วข้างต้น อันเป็ นปฏิปัก ษ์ ต่อกันอย่ างร้ ายแรงอย่ างมีอ คติ ในประเด็นเกี่ยวกับการเลือ ก นโยบายในการแทรกแซงกลไกการตลาดของการค้ าข้ าว ว่า “ควรเป็ นไปตามนโยบายโครงการ


๑๓

รับจานาข้าวของรัฐบาล” หรือ “ควรเป็ นการเลือกนโยบายในการแทรกแซงกลไกการตลาดของ การค้า ข้า วด้ว ยการน าระบบประกัน ความเสี่ ย งด้า นราคาข้า วมาด าเนิ น การตามนโยบายที่ คณะกรรมการ ป.ป.ช. ต้องการ” ข้อขัดแย้งระหว่างข้าพเจ้ากับคณะกรรมการ ป.ป.ช. นั้น ควร เป็ นการขอให้ดาเนิ นการตั้ง “ผู้ไต่ สวนอิสระ” ตามกระบวนการที่บญั ญัติไว้ในรัฐธรรมนูญแห่ ง ราชอาณาจักรไทยข้างต้นเท่านั้น เพราะกรณี ดงั กล่าวข้างต้นสานวนของผูไ้ ต่สวนอิสระเท่านั้นที่ ศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผูด้ ารงตาแหน่งทางการเมืองจะยึดเป็ นหลักในการพิจารณา เพราะผู้ ไต่สวนอิสระมิได้เป็ นคู่กรณีกบั ข้าพเจ้าและไม่มีปัญหาเรื่ องความเป็ นกลางกับข้าพเจ้าแต่อย่างใด ประกอบกับ พระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญว่ าด้ วยการการป้ องกันและปราบปรามการ ทุจ ริ ต พ.ศ. ๒๕๔๒ และที่แ ก้ ไขเพิ่ มเติ ม เป็ นเพี ย งกฎหมายล าดั บ รอง กรณี ต ามปั ญ หา คณะกรรมการ ป.ป.ช. จึ งไม่มีอานาจใช้บทบัญญัติ มาตรา ๖๖ แห่ งพระราชบัญญัติประกอบ รัฐธรรมนูญว่าด้วยการการป้ องกันและปราบปรามการทุจริ ต พ.ศ. ๒๕๔๒ และที่แก้ไขเพิ่มเติม แต่จะต้องใช้บทบัญญัติตามรัฐธรรมนู ญแห่ งราชอาณาจักรไทย พ.ศ. ๒๕๕๐ มาตรา ๒๗๕ วรรคสี่ เรื่ อง “กำรตั้งผู้ไต่ สวนอิสระ” มาแก้ไขปั ญ หากรณี ดงั กล่าวเพื่ออานวยความยุติธรรม ให้ กับ ข้า พเจ้า ตามสิ ท ธิ ในกระบวนการยุติ ธ รรม ตามบทบัญ ญัติ มาตรา ๔๐ (๔) , (๗) ประกอบมาตรา ๓ วรรคสอง ตามรัฐธรรมนูญแห่ งราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช ๒๕๕๐ ให้มีความเหมาะสม อย่างเป็ นธรรม และมีโอกาสในการต่อสู้คดีอย่างเพียงพอ และเป็ นไปโดย ชอบด้วยหลักนิติธรรมเท่านั้น ความยุติธรรมจึงจะบังเกิดขึ้นได้ในสังคมไทย นอกจากนี้ รั ฐ ธรรมนู ญ แห่ งราชอาณาจัก รไทย พ.ศ. ๒๕๕๐ มาตรา ๒๗๒ วรรคสอง บัญญัติว่า “...ให้ คณะกรรมการป้ องกันและปราบปรามการทุจริ ตแห่ งชาติทา รายงานเสนอต่ อวุฒิสภาโดยในรายงานดังกล่ าวต้ องระบุให้ ชั ดเจนว่าข้ อกล่ ำวหำตำมคำร้ องขอ ข้ อ ใดมีมูล หรื อ ไม่ เพียงใด มีพ ยำนหลัก ฐำนที่ควรเชื่ อ ได้ เพีย งใด พร้ อมทั้ งระบุข้ อยุติว่าจะ ดาเนินการอย่ างไร...” ตามบทบัญญัติดงั กล่าวแสดงให้เห็นว่า คณะกรรมการ ป.ป.ช. ต้องอยูใ่ น ฐานะเป็ น “คนกลำง” ระหว่างผูก้ ล่าวหากับผูถ้ กู กล่าวหาเท่านั้น ในการพิจารณาคาร้องถอดถอน ว่า มี พ ยานหลัก ฐานที่ ค วรเชื่ อ ถื อ ได้เพี ย งใด และมี มู ล ตามค าร้ อ งขอให้ ถ อดถอนหรื อ ไม่


๑๔

คณะกรรมการ ป.ป.ช. ไม่มีอานาจที่จะพิจารณาไต่สวนในประเด็นอื่นนอกคาร้องขอถอดถอน โดยคณะกรรมการ ป.ป.ช. จะเข้ า ไปเป็ นคู่ ก รณี ในฐานะผู้ก ล่ า วหาเสี ยเอง แล้ว น า พยานหลักฐานทั้งหมดมารวมกับคาร้องถอนถอนของผูร้ ้องมาเพื่อกล่าวหาว่ากระทาความผิดต่อ ตาแหน่งราชการตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา ๑๕๗ หาได้ไม่ ดังนั้น ในคดี น้ ี จึงต้องด าเนิ นการผ่านผูไ้ ต่สวนอิสระตามที่ ได้รับแต่งตั้ง จากที่ ประชุ มใหญ่ ศาลฎี ก า ผูท้ ี่ มี ก รณี เป็ นปฏิ ปัก ษ์อ ย่างร้ า ยแรงนั้น ไม่อาจจะเป็ นกรรมการหรื อ คณะกรรมการในการไต่สวนคดีน้ ี ได้เพราะจะเป็ นการขัดรัฐธรรมนูญ แห่ งราชอาณาจักรไทย มาตรา ๓ วรรคสอง อันเป็ นผลทาให้ศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผูด้ ารงตาแหน่งทางการเมืองไม่ มีอานาจยึดเอาสานวนที่คณะกรรมการ ป.ป.ช. ดาเนิ นการโดยมิชอบดังกล่าวมาเป็ นหลักในการ พิ จ ารณา เพราะถื อ เป็ นพยานหลัก ฐานที่ ไ ด้ ม าโดยไม่ ช อบ ทั้ งนี้ ตามรั ฐ ธรรมนู ญ แห่ ง ราชอาณาจักรไทย พุทธศัก ราช ๒๕๕๐ มาตรา ๒๗๗ วรรคแรก ด้วยเหตุผลดังกล่าวมาแล้ว ข้างต้น ด้ วยเหตุผลข้ อเท็จจริงและข้ อกฎหมายดังกล่ าวมาแล้ วข้ างต้ น ข้ าพเจ้าจึงติดใจขอ ใช้ สิทธิ โดยชอบด้ วยกฎหมายนาสื บแก้ ข้อกล่ าวหาในประเด็นดังกล่ าวข้ างต้ น ทั้งด้ วยการอ้ าง พยานบุคคลและนาพยานหลักฐานมาเองในบางปากและประสงค์ให้ คณะกรรมการ ป.ป.ช.เรียก หรือไต่ สวนพยานหลักฐานนั้น ๆ ด้ วย ซึ่งจะขอแจ้งรายละเอียดการนาสืบแก้ ข้อกล่ าวหาข้ างต้ น ในประเด็นนีใ้ นชั้นการนาสืบแก้ ข้อกล่ าวหาต่ อไป ๑.๓ คณะกรรมการไต่ สวนข้ อเท็จจริงไม่ชอบด้ วยกฎหมาย คณะกรรมการไต่ ส วนข้ อ เท็จ จริ งไม่ ช อบด้ ว ยกฎหมาย กล่ าวคื อ คณะกรรมการบางท่ าน คือ นายวิชา มหาคุ ณ มีลัก ษณะต้ อ งห้ ามตามระเบีย บคณะกรรมการ ป้ องกันและปรามปราบการทุจริตแห่ งชาติ ว่ าด้ วย ประมวลจริยธรรมคณะกรรมการป้ องกันและ ปรามปราบการทุ จริ ตแห่ งชาติ ข้ าราชการ และลู ก จ้ างสานัก งานคณะกรรมการป้ องกันและ ปราบปรามการทุจริตแห่ งชาติ พ.ศ. ๒๕๕๑ ข้ อ ๒๗ , ๒๘ ,๒๙ ,และข้ อ ๓๔ ข้าพเจ้าขอชี้แจงข้อกล่าวหาว่า การตั้งคณะกรรมการไต่สวนข้อเท็จจริ งบางท่าน คือ นายวิชา มหาคุณ มีลกั ษณะต้องห้ามตามระเบียบคณะกรรมการป้ องกันและปรามปราบการ


๑๕

ทุจ ริ ตแห่ ง ชาติ ว่าด้วย ประมวลจริ ยธรรมคณะกรรมการป้ องกันและปรามปราบการทุ จ ริ ต แห่ งชาติ ข้าราชการ และลูก จ้างส านัก งานคณะกรรมการป้ องกันและปราบปรามการทุจ ริ ต แห่งชาติ พ.ศ. ๒๕๕๑ ข้อ ๒๗ , ๒๘ ,๒๙ ,และข้อ ๓๔ เพราะตามหนังสื อที่ ปช ๐๐๑๒/๐๐๙๘ ลงวันที่ ๓๑ มกราคม ๒๕๕๗ กรณี มีมติก าหนดให้ค ณะกรรมการ ป.ป.ช. ทั้งคณะ เป็ นองค์ คณะในการไต่สวนข้อเท็จจริ ง โดยมอบหมายให้ นายวิชา มหาคุณ และนายประสาท พงษ์ศิวา ภัย กรรมการ ป.ป.ช. เป็ นกรรมการผูร้ ับผิดชอบสานวนการไต่สวนข้อเท็จจริ ง.....นั้น เห็นว่า มติ คณะกรรมการ ป.ป.ช. ดัง กล่า ว กรณี ต้ งั นายวิช า มหาคุ ณ ขัด ต่อ พระราชบัญ ญัติป ระกอบ รัฐธรรมนู ญ ว่าด้วยการป้ องกันและปราบปรามการทุจริ ต พ.ศ. ๒๕๔๒ (แก้ไ ขเพิ่มเติ ม พ.ศ. ๒๕๕๐ และฉบับที่ ๒ พ.ศ.๒๕๕๔) มาตรา ๑๐๗ ประกอบรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช ๒๕๕๐ มาตรา ๒๗๙ เนื่ องจากนายวิชา มหาคุณ มีสาเหตุโกรธเคืองกับข้าพเจ้า โดยข้าพเจ้าเห็นว่า เฉพาะนายวิชา มหาคุณ ได้ให้สัมภาษณ์ ต่อหนังสื อพิมพ์กรุ งเทพธุรกิจ , AS TV ,ผูจ้ ดั การออนไลน์ และทางสถานีโทรทัศน์ THAI PBS ในรายการ “ตอบโจทย์” ออกอากาศ เมื่อวันที่ ๖ ธันวาคม ๒๕๕๖ โดยนายวิชา มหาคุณ ได้ให้สัมภาษณ์ ในทานองเป็ นการชี้นาต่อ สังคม ว่า ข้าพเจ้าผูถ้ ูกกล่าวหา ได้กระทาผิดแล้ว ทั้งที่การไต่สวนข้อเท็จจริ งยังไม่เสร็จสิ้ นและ ข้าพเจ้ายังไม่มีโอกาสยื่นคาชี้แจง และขอตรวจพยานเอกสาร อันเป็ นการขัดต่อรัฐธรรมนูญ และ พระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญ ว่าด้วยการป้ องกันและปราบปรามการทุจริ ต พ.ศ. ๒๕๔๒ (แก้ไขเพิ่มเติ ม พ.ศ.๒๕๕๐ และฉบับที่ ๒ พ.ศ.๒๕๕๔) ซึ่ งข้าพเจ้าได้ยื่นค าขอคัดค้านและ ขอให้เปลี่ยนตัวบุคคลเป็ นกรรมการผูร้ ับผิดชอบสานวนการไต่สวนข้อเท็จจริ ง รายนายวิชา มหา คุณ ปรากฏตาม หนังสื อ เรื่อ ง คัด ค้ านและขอเปลี่ย นตัวบุ คคล ฯ เมื่อ วันที่ ๑๑ กุมภาพั นธ์ ๒๕๕๗ พยานเอกสารในล าดับที่ ๑ เพื่อให้ข ้าพเจ้าได้รั บสิ ทธิ ในกระบวนการยุติธรรมอย่า ง เหมาะสม แต่คณะกรรมการ ป.ป.ช. ได้มีหนังสื อลงวันที่ ๑๙ กุมภาพันธ์ ๒๕๕๗ เรื่ อง ขอให้ไป รับทราบข้อกล่าวหา และแจ้งด้วยว่า มีมติยกคาคัดค้าน โดยพิจารณาเห็นว่า คาคัดค้านดังกล่าว ไม่เข้าเหตุ อย่างหนึ่ งอย่างใด ตามมาตรา ๔๖ พระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญ ว่าด้วยการ ป้ องกันและปราบปรามการทุจริ ต พ.ศ. ๒๕๔๒ (แก้ไขเพิ่มเติม พ.ศ.๒๕๕๐ และฉบับที่ ๒ พ.ศ. ๒๕๕๔) ปรากฏว่ า ต่อมาระหว่า งวันที่ ๙ – ๑๒ มี นาคม ๒๕๕๗ นายวิชา มหาคุ ณ ก็ย งั ให้ สัมภาษณ์ต่อ หนังสื อพิมพ์ ฐานเศรษฐกิจ ในลักษณะทานองพูดจา “เหน็บแนม อันเป็ นการพูดจา


๑๖

กระทบกระเทียบ กระแหนะกระแหน ในลักษณะถากถาง ดูถูก เย้ยหยัน และดูหมิ่นข้าพเจ้าให้ ได้รับความเสี ยหาย” เช่น ให้สัมภาษณ์วา่ “ดิฉันไม่ มีเวลา ต้ องไปถางต้ องไปดับไฟป่ า ท่ านก็ส่ง ค าชี้ แ จงเป็ นลายลั ก ษณ์ อั ก ษรมา” รวมทั้ง ข้อ ความที่ ว่า “ไม่ มีใ ครนั่ งอยู่ ขออยู่ ข อตายคา ประชาธิปไตย” ซึ่ งข้าพเจ้าเห็นว่าถ้อยคาดังกล่าวเป็ นถ้อยคาที่ถากถาง ดูถกู เย้ยหยัน และดูหมิ่น ข้าพเจ้า จนต่อมาในวันที่ ๒๐ มีนาคม ๒๕๕๗ ข้าพเจ้าจึงได้ยื่นคาร้องคัดค้านและเรี ยกร้องให้ นายวิชา มหาคุณ ถอนตัวจากการปฏิบัติหน้าที่เป็ นกรรมการ ป.ป.ช. ผูร้ ับผิดชอบสานวนและ กรรมการไต่สวนข้อเท็จจริ งในคดีของข้าพเจ้า ปรากฏตาม หนังสื อเรื่อง คัดค้ านนายวิชา มหา คุณ และเอกสารทีส่ ่ งมาด้ วย พยานเอกสารในลาดับที่ ๒ ซึ่ งต่อมาคณะกรรมการ ป.ป.ช. ก็ได้มีค าสั่ง ให้ยกค าคัดค้าน ฉบับลงวันที่ ๒๐ มีนาคม ๒๕๕๗ ของข้าพเจ้าอีก ข้าพเจ้าเห็นว่า คณะกรรมการ ป.ป.ช. เป็ นส่วนหนึ่งขององค์กร ในกระบวนการยุติธรรม การที่ ข ้าพเจ้าตั้งข้อรั งเกี ยจนายวิชา มหาคุณ ดังกล่าวและได้ยื่นค า คัดค้านไปยังคณะกรรมการ ป.ป.ช.ถึง ๒ ครั้ง ย่อมแสดงให้เห็นว่าข้าพเจ้าไม่มีความเชื่อมัน่ ที่จะ ให้นายวิชา มหาคุณ เป็ นกรรมการ ป.ป.ช.ผูร้ ับผิดชอบสานวนและกรรมการไต่สวนข้อเท็จจริ ง ในคดีของข้าพเจ้า ซึ่ งการตั้งข้อรังเกี ยจดังกล่าวของข้าพเจ้านั้น หากทางคณะกรรมการ ป.ป.ช. จะดาเนิ นการเปลี่ยนตัวกรรมการ ป.ป.ช. เป็ นกรรมการป.ป.ช. ท่านอื่น ก็มิใช่เป็ นเรื่ องกระทา การตามที่ขา้ พเจ้าในฐานะผูถ้ ูกกล่าวหาต้องการ แต่คณะกรรมการ ป.ป.ช. มีบุคลากรที่มีความรู้ ความสามารถและมีความเป็ นกลางอยูเ่ ป็ นจานวนมากย่อมที่จะทาหน้าที่เป็ นผูร้ ับผิดชอบสานวน ของข้าพเจ้าแทนนายวิชา มหาคุณได้ และจะเป็ นการป้ องกันข้อครหาจากสังคมได้ อีกทั้งข้าพเจ้า ยังเห็นได้วา่ ในการรับฟังพยานหลักฐานและ/หรื อข้อเท็จจริ งใด ๆ จากนายวิชา มหาคุณ จึงเป็ น พยานหลักฐานที่ไม่ควรรับฟั งเข้าสู่ ส านวนใด ๆ ทั้งสิ้ น เพราะเป็ นพยานหลักฐานที่มีที่มาจาก บุคคลที่มีอคติต่อข้าพเจ้าและมีปัญหาด้านจริ ยธรรมของคณะกรรมการ ป.ป.ช. ตามระเบียบของ คณะกรรมการ ป.ป.ช. ตามที่กล่าวมาแล้วข้างต้น ข้ า พเจ้ า จึ ง เห็ นว่ า นายวิ ช า มห าคุ ณ มี ล ั ก ษ ณ ะต้ อ งห้ า มตามระเบี ยบ คณะกรรมการป้ องกั น และปรามปราบการทุ จ ริ ตแห่ ง ชาติ ว่า ด้ว ย ประมวลจริ ยธรรม คณะกรรมการป้ องกันและปรามปราบการทุจ ริ ตแห่ งชาติ ข้าราชการ และลูก จ้างส านัก งาน


๑๗

คณะกรรมการป้ องกันและปราบปรามการทุจริ ตแห่งชาติ พ.ศ. ๒๕๕๑ ข้อ ๒๗ , ๒๘ ,๒๙ และ ข้อ ๓๔ ด้วยเหตุผลข้อเท็จจริ งและข้อกฎหมายดังที่กล่าวมาแล้วข้างต้น และเห็ นว่าความเห็ น ต่างๆ ของนายวิชา มหาคุณ มีปัญหาอย่างยิ่งในการรับฟั งเข้าสู่สานวนที่คณะกรรมการ ป.ป.ช. ท่านอื่นควรมีขอ้ สังเกตข้อระแวงสงสัยต่อนายวิชา มหาคุณ ในสานวนที่บุคคลท่านนี้นาเสนอทั้ง ในข้อเท็จจริ งและในข้อกฎหมายด้วยความระมัดระวังเป็ นอย่างยิ่งโดยเฉพาะใน การนาเสนอ พยานหลัก ฐานต่อที่ ประชุมคณะกรรมการที่ อาจเป็ นการน าเสนอเอกสารแต่ในแง่มุมที่ เป็ น ผลร้ายต่อผูถ้ ูกกล่าวหาเท่านั้น พยานหลักฐานที่เป็ นคุณแก่ผถู้ ูกกล่าวหาอาจหาได้นาเสนอต่อที่ ประชุมกรรมการหรื อไม่ ๑.๔ คณะกรรมการ ป.ป.ช.ด าเนินการไต่ สวนโดยไม่ เป็ นธรรม รวบรั ด รีบร้ อน เร่ งรีบ อย่ างเป็ นพิเศษ การด าเนินการไต่ สวนของคณะกรรมการ ป.ป.ช. เป็ นการไม่ ชอบ ด้ วยพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนู ญว่ าด้ วยการป้ องกันและปราบปรามการทุจริต พ.ศ. ๒๕๔๒ และ ทีแ่ ก้ ไขเพิ่มเติม มาตรา ๑๒๓/๑ ในลักษณะเป็ นการไต่ สวนข้ อเท็จจริงทีม่ คี วามรวบ รัด รีบร้ อน และเร่ งรีบ อย่ างยิ่งเป็ นพิเศษอันเป็ นการรับฟั งพยานหลักฐานทีเ่ ป็ นปฏิปักษ์ ปิ ดบัง พยานหลักฐานในการตรวจพยานหลักฐาน โดยมุ่งแต่ จะเอาผิดผู้ถูกกล่ าวหาอย่ างข้ าพเจ้าโดยไม่ รวบรวมพยานหลัก ฐานที่อ าจพิสูจน์ ความบริสุทธิ์ของข้ าพเจ้ าที่ถู ก กล่ าวหาจึงถือ ว่ าเป็ นการ ปฏิบัติหน้ าที่ โดยไม่ชอบด้ วยกฎหมายทาให้ ข้าพเจ้าได้ รับความเสียหาย กล่าวคือ ๑.๔.๑ ในการประชุม ครั้งที่ ๕๓๙-๗/๒๕๕๗ วันที่ ๒๘ มกราคม ๒๕๕๗ คณะกรรมการ ป.ป.ช. ได้มีมติกาหนดให้ คณะกรรมการ ป.ป.ช. ทั้งคณะ เป็ นองค์คณะ ในการไต่ ส วนข้อ เท็จ จริ ง และมอบหมายให้ น ายวิช า มหาคุ ณ กรรมการ ป.ป.ช. และนาย ประสาท พงษ์ศิวาภัย กรรมการ ป.ป.ช. เป็ นกรรมการผูร้ ับผิดชอบการไต่สวนข้อเท็จจริ ง รวมทั้ง แต่ง ตั้งคณะพนัก งานเจ้า หน้า ที่ ฝ่ ายเลขานุ ก ารในการไต่ส วนข้อเท็จ จริ ง ของคณะกรรมการ ป.ป.ช. ด้วย แต่หลังจากนั้น ๒๑ วัน คือวันที่ ๑๙ กุมภาพันธ์ ๒๕๕๗ คณะกรรมการ ป.ป.ช. ได้ มีหนังสื อ ที่ ป.ช.๐๐๑๒/๐๑๔๑ ลงวันที่ ๑๙ กุมภาพันธ์ ๒๕๕๗ แจ้งให้ขา้ พเจ้าได้รับทราบข้อ กล่าวหา นั้น จากข้อเท็จจริ งข้างต้นจึ งเห็นได้วา่ การไต่สวนข้อเท็จจริ ง และการแจ้งข้อกล่าวหา


๑๘

ข้าพเจ้านั้นเป็ นไปโดยรวบรัด รี บร้อน และเร่ งรี บอย่างยิ่ง ทั้งที่ ตามข้อกล่าวหานั้นอ้างว่า “ ข้ า พ เจ้ า ใน ฐ า น ะ น าย ก รั ฐ ม น ต รี ที่ เป็ น หั วห น้ ารั ฐ บ าล แ ล ะ ใน ฐ าน ะ ป ร ะ ธ า น คณะกรรมการนโยบายข้าวแห่งชาติ (กขช.) ปล่อยปละละเลยให้มีการทุจริ ตในทุกขั้นตอนของ โครงการรับจานาข้าว และปฏิบตั ิหรื อละเว้นการปฏิบตั ิหน้าที่ ไม่ระงับยับยั้งโครงการรับจานา ข้าวของรัฐบาล ” ซึ่ งเป็ นที่ทราบกันดีวา่ โครงการรับจานาข้าวของรัฐบาลนั้นได้ดาเนินการมา เป็ นเวลา ๒ ปี เศษนับตั้งแต่ปีการผลิตข้า วเปลือกปี ๒๕๕๔/๕๕ ถึง ปี การผลิตข้า วเปลือกปี ๒๕๕๖/๕๗ ซึ่ งเกี่ยวข้องกับหน่วยงานราชการหลายหน่วยงาน มีท้ งั กระทรวงพาณิชย์ กระทรวง เกษตรและสหกรณ์ กระทรวงการคลัง ส านัก งบประมาณ ส านักพัฒ นาเศรษฐกิ จ และสัง คม แห่ งชาติ องค์การคลังสิ นค้า (อคส.) องค์การตลาดเพื่อเกษตรกร (อ.ต.ก.) รวมทั้งเกี่ ยวข้องกับ คณะกรรมการนโยบายข้า วแห่ ง ชาติ คณะอนุ ก รรมการนโยบายข้า วแห่ ง ชาติ จ านวน ๑๒ อนุกรรมการ และแต่ละคณะอนุกรรมการมีการแต่งตั้งคณะทางานอีกด้วย อีกทั้งโครงการรับ จานาข้าวมีการดาเนินกระบวนการขั้นตอนทั้งการขึ้นทะเบียนเกษตรกร รับจานาข้าว จานายุง้ ฉาง จานาใบประทวนและการระบายข้าว การชาระคืนเงินกูข้ องเกษตรกร ซึ่ งจะเห็นว่าเกี่ยวข้อง กับส่ วนราชการ และบุคคลหลายฝ่ าย รวมทั้งประชาคมเกษตรกร ปรากฏตามผังการบริหารงาน การด าเนิ น โครงการรั บ จาน าข้ าว พยานเอกสารในล าดั บ ที่ ๓ เมื่ อข้อเท็จ จริ ง และพยาน เอกสาร และพยานบุคคลจานวนมาก ดังนั้นจึงเห็นได้วา่ การไต่สวนข้อเท็จจริ งในสานวนจึ งมี ลักษณะ รวบรัด เร่ งรี บ และรี บร้อน โดยไม่รอบคอบ รวมทั้งมีลกั ษณะที่ยงั มีความเคลือบแคลง น่าสงสัยอยู่เป็ นจานวนมาก เป็ นการขัดต่อหลักนิติธรรมและไม่เป็ นธรรม โดยเฉพาะเมื่อเทียบ กับคดีของผูด้ ารงตาแหน่ งทางการเมืองอื่น เช่น คดีเกี่ ยวกับโครงการประกันราคาข้าวที่มีนาย อภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ กับพวกเป็ นผูถ้ กู กล่าวหา คดีทุจริ ต ปรส. คดีทุจริ ตคุรุภณ ั ฑ์อาชีวะศึกษา คดี ทุจริ ตโครงการไทยเข้มแข็ง คดีก่อสร้างสถานี ตารวจ จานวน ๓๙๐ กว่าแห่ง ซึ่ งล้วนแต่เป็ นคดี ของผูด้ ารงตาแหน่งทางการเมืองทั้งสิ้ น และเป็ นคดีที่มีผกู้ ล่าวหาก่อนคดีของข้าพเจ้า แต่การไต่ สวนข้อเท็จจริ งของกรรมการ ป.ป.ช. กลับล่าช้า ซึ่ งแตกต่างกับคดีของข้าพเจ้าซึ่ งใช้ระยะเวลา ไต่สวนข้อเท็จจริ งเพียง ๒๑ วัน ก็แจ้งข้อกล่าวหากับข้าพเจ้าแล้ว และที่น่าประหลาดใจก็คือ คดี รับจ าน าข้าวของนายบุญ ทรง เตริ ย าภิ ร มย์ รั ฐมนตรี ว่าการกระทรวงพาณิ ชย์รัฐบาลเดี ย วกับ ข้าพเจ้าเป็ นรัฐมนตรี ที่เกี่ ยวข้องกับการระบายข้าวโดยตรงคณะกรรมการ ป.ป.ช. กลับแจ้งข้อ


๑๙

กล่าวหาหลังข้าพเจ้า ดังนั้นการรวบรัด เร่ งรี บ และรี บร้อน ดาเนินคดีกบั ข้าพเจ้าดังกล่าวจึงถือว่า มีขอ้ พิรุธเคลือบแคลงสงสัยในคุณธรรมทางกฎหมายของกระบวนการแห่งคดี ๑.๕ การรับ ฟั งพยานบุ คคลของคณะกรรมการป.ป.ช.ปากนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ และปากนายวรงค์ เดชกิจวิกรม เป็ นไปโดยมิชอบด้ วยกฎหมาย นอกจากนี้ ในประการส าคัญการรับฟั งพยานบุคคลนั้นเห็นได้วา่ มี การอ้างพยานบุคคลจากการอภิปรายของนายแพทย์วรงค์ เดชกิ จวิกรม และนายอภิสิทธิ์ เวชชา ชี ว ะ นั้น เป็ นพยานหลัก ฐานที่ ไ ม่ ช อบด้ว ยกฎหมาย เพราะเป็ นการรั บ ฟั ง พยานบุ ค คลที่ มี ข้อบกพร่ องอันกระทบต่อความน่าเชื่อถือของพยานหลักฐานโดยมีพฤติการณ์พิเศษแห่ งคดีที่ไม่ อาจเชื่ อ และไม่อาจรับฟั งพยานหลักฐานของบุค คลทั้งสองที่ มีลกั ษณะที่เป็ นโทษแก่ ขา้ พเจ้า เนื่องจากเป็ นที่ทราบกันดีวา่ พยานทั้งสองปากนั้น นอกจากจะสังกัดพรรคประชาธิปัตย์ ยิ่งเป็ น พรรคการเมืองที่เป็ นคู่แข่งทางการเมืองและเป็ นคู่แข่งทางนโยบายเกี่ยวกับนโยบายการรับจานา ข้าวแล้ว ประการสาคัญการดาเนิ นการนโยบายเรื่ องข้าวที่จะช่วยชาวนานั้น ก็ยงั มีความแตกต่าง กันโดย นายอภิสิทธิ์ฯ ในสมัยที่เป็ นรัฐบาลได้ใช้นโยบายประกันราคาข้าว มาใช้เป็ นนโยบายใน การดาเนิ นการเกี่ยวกับข้าวในขณะนั้น อีกทั้งที่มีการกล่าวอ้างว่ามีขอ้ เท็จจริ งเรื่ องการทุจริ ตใน ทุกขั้นตอนของโครงการรับจานาข้าว หรื อที่มีการอ้างข้อเท็จจริ งว่าโครงการรับจานาข้าวมีการ ขาดทุน จานวนกว่า ๒ แสนล้านบาทนั้น ล้วนแต่เป็ นสิ่ งที่เป็ นการคาดการณ์จินตนาการเท่านั้น การที่คณะกรรมการ ป.ป.ช. นาพยานทั้งสองปากดังกล่าวมารับฟังประกอบการพิจารณาไต่สวน นั้น จึ งเป็ นไปโดยไม่ชอบด้วยกฎหมาย เพราะเป็ นการนาพยานที่ เป็ นปฏิ ปัก ษ์อย่างชัด แจ้ง มี ความเคลือบแคลง ระแวงสงสัย ไม่น่าเชื่อถืออย่างยิ่งต่อการรับฟั งพยานหลักฐานมารับฟั งเป็ น โทษแก่ ขา้ พเจ้า คาให้ก ารของพยานบุค คลทั้งสองปากดังกล่าวจึ งถือว่าเป็ นพยานหลักฐานที่ ได้มา โดยไม่ชอบด้วยประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา ๒๒๗/๑ ไม่มีน้ าหนัก เพียงพอที่จะรับฟัง เพื่อกล่าวหาข้าพเจ้าได้ ๑.๖ มติคณะกรรมการป.ป.ช.ในการประชุมครั้งที่ ๕๓๙-๗/๒๕๕๗ เมื่อวันที่ ๒๘ มกราคม ๒๕๕๗ ทีม่ ีมติให้ ไต่ สวนข้ อเท็จจริง ไม่ ชอบด้ วยระเบียบคณะกรรมการป.ป.ช.ว่ า ด้ วยการไต่ สวนข้ อเท็จจริง


๒๐

มติคณะกรรมการป.ป.ช.ในการประชุมครั้งที่ ๕๓๙-๗/๒๕๕๗ เมื่อวันที่ ๒๘ มกราคม ๒๕๕๗ ที่ มีมติ ให้ไ ต่ส วนข้อเท็จ จริ ง ว่านายกรั ฐมนตรี เป็ นผูส้ ่ วนร่ วมในการ กระทาความผิด กรณีเหตุอนั ควรสงสัยว่า นายกรัฐมนตรี ได้ปล่อยให้มีการทุจริ ตในโครงการรับ จานาข้าวและการระบายข้าว โดยเพิกเฉยไม่ระงับยับยั้งความเสี ยหายที่ เกิ ดขึ้นกับทางราชการ ตามที่ มี อ านาจหน้ า ที่ -นั้น ไม่ ช อบด้ว ยระเบี ย บคณะกรรมการป.ป.ช.ว่า ด้ว ยการไต่ ส วน ข้อเท็จจริ ง พ.ศ.๒๕๕๕ ข้อ ๓๕ เพราะการอ้างว่ามีการไต่สวนข้อเท็จจริ งแล้ว ได้พบว่ามี นายกรัฐมนตรี ในฐานะเจ้าหน้าที่ ของรัฐ มีส่ วนร่ วมในการกระทาความผิด ไม่มีมูลความจริ ง เพี ยงพอแก่ ก ารที่ จ ะมี มติ ข องคณะกรรมการ ป.ป.ช. ตามค าสั่ งที่ ๒๗/๒๕๕๗ ลงวันที่ ๒๘ มกราคม ๒๕๕๗ ข้อ ๑.๒ “กรณีคณะกรรมการ ป.ป.ช.มีเหตุอนั ควรสงสัยว่า นางสาวยิ่งลักษณ์ ชินวัตร นายกรัฐมนตรี ได้ปล่อยให้มีการทุจริ ตในโครงการรับจานาข้าวและการระบายข้าว โดย เพิกเฉยไม่ระงับยับยั้งความเสี ย หายที่ เกิ ด ขึ้นกับทางราชการตามที่มีอานาจหน้าที่ ”แต่อย่างใด เนื่ อ งจาก ผลของการไต่ ส วนข้ อ เท็ จ จริ งกรณี นายบุ ญ ทรง เตริ ยาภิ ร มย์ เมื่ อ ครั้ งเป็ น รัฐมนตรี วา่ การกระทรวงพาณิ ชย์ กับพวกนั้น ได้ความว่า มีส่วนร่ วมในการกระทาความผิดเรื่ อง การขายข้าวแบบจีทูจีเพื่อการระบายข้าว ตามนโยบายรัฐบาลข้อ ๑.๑๑ โครงการรับจานาข้าว แต่ ตามข้ อเท็จจริงที่ได้ ความดังกล่ าว ไม่ มีข้อเท็จจริงที่เป็ นการเพียงพอที่จะมีเหตุอันควรสงสัยว่ า “นายกรัฐมนตรี ได้ ปล่ อยให้ มกี ารทุจริตในโครงการรับจานาข้ าวและการระบายข้ าว โดยเพิกเฉย ไม่ระงับยับยั้งความเสียหายที่เกิดขึ้นกับทางราชการตามที่มีอานาจหน้ าที่ ” ดังที่มีการกล่าวอ้าง ตามมติ ในการประชุม ครั้ งที่ ๕๓๙-๗/๒๕๕๗ เมื่ อวันที่ ๒๘ มกราคม ๒๕๕๗ จึงไม่ เข้ า เงือ่ นไขทีเ่ ริ่มคดี ด้ วยการสั่งให้ ไต่ สวนข้ าพเจ้ าได้ ตามระเบียบคณะกรรมการป.ป.ช.ว่าด้วยการ ไต่สวนข้อเท็จจริ ง พ.ศ.๒๕๕๕ ข้อ ๓๕ ซึ่ งกรณี ดงั กล่าวยังได้ความอีกว่า นายวิชา มหาคุณ กรรมการป.ป.ช.ได้ให้ ข่า วกับสื่ อมวลชนตอนหนึ่ งว่า "เรามีมติ เป็ นเอกฉั นท์ แต่ มีมติอ ยู่ อันหนึ่งที่มกี ารหารือกันว่าจะแจ้งข้ อกล่ าวหา น.ส.ยิ่งลักษณ์ ไปในคราวเดียวกันเลยหรือไม่ แต่ ที่ ประชุ มเห็นว่าควรจะรอไว้ ก่อน เพื่อให้ โอกาสในการไต่ สวนก่ อน ซึ่งเราให้ ความเป็ นธรรมที่สุด แล้ ว" ปรากฏตาม หนังสื อพิมพ์ คมชัดลึก ออนไลน์ วันที่ ๑๖ มกราคม ๒๕๕๗ ซึ่ งการประชุม ของคณะกรรมการป.ป.ช. ให้สัมภาษณ์ด ังกล่าวข้างต้นนั้น เท่ากับเป็ นการยอมรับอยู่ในตัวว่า ผลการไต่ส วนของอนุกรรมการไต่สวนกรณี นายบุญ ทรงฯ ถือว่า ข้อเท็จจริ งที่ ปรากฏในการ


๒๑

ประชุมของคณะกรรมการ ป.ป.ช.นั้น ไม่ได้ขอ้ เท็จจริ งเพียงพอที่จะฟังว่า นายกรัฐมนตรี มีส่วน ร่ ว มในการกระท าความผิ ด ดัง ที่ ค ณะกรรมการป.ป.ช. อ้า ง จึ ง เป็ นไม่ ช อบด้ว ยระเบี ย บ คณะกรรมการป.ป.ช.ว่าด้วยการไต่สวนข้อเท็จจริ ง พ.ศ.๒๕๕๕ ข้อ ๓๕ ๑.๗ การตรวจพยานหลักฐานไม่ ชอบด้ วยระเบียบคณะกรรมการ ป.ป.ช.ว่ า ด้ วยการไต่ สวนข้ อเท็จจริง พ.ศ.๒๕๕๕ ข้ อ ๔๐ ในชั้นตรวจพยานหลัก ฐาน ภายหลังที่ข ้าพเจ้ารับทราบข้อกล่าวหาแล้วนั้น มิ ไ ด้เป็ นเพื่ อ ประโยชน์ แ ห่ ง ความยุติ ธ รรมของข้า พเจ้ า เพราะกระบวนการตรวจสอบ พยานหลักฐานในสานวนการไต่สวนข้อเท็จจริ งเพื่อจะใช้ประกอบในการชี้แจงข้อกล่าวหาของ ข้าพเจ้าไม่ได้รับความร่ วมมือจากเจ้าหน้าที่สานักงานคณะกรรมการ ป.ป.ช.อย่างเพียงพอที่จะ นาเอาพยานหลักฐานที่ได้จากการตรวจไปทาชี้แจงแก้ขอ้ กล่าวหา อันถือว่าเป็ นการไม่ชอบ ด้วย ระเบียบคณะกรรมการ ป.ป.ช.ว่าด้วยการไต่สวนข้อเท็จจริ ง พ.ศ.๒๕๕๕ ข้อ ๔๐ เนื่องจาก ใน การตรวจพยานหลักฐานนั้น จะต้องเป็ นไปตามสิ ทธิ ในกระบวนการยุติธรรมทางอาญาของผู้ ถูกกล่าวหา ที่ จะต้องได้รับการคุ้มครองตามรัฐธรรมนู ญแห่ งราชอาณาจักรไทย พ.ศ.๒๕๕๐ มาตรา ๔๐ (๒) (๗) ประกอบระเบียบคณะกรรมการป้ องกันและปรามปราบการทุจริ ตแห่งชาติ ว่าด้วย การไต่สวนข้อเท็จจริ ง พ.ศ. ๒๕๕๕ ข้อ ๔๐ วรรคสอง และ วรรคสาม ในอันที่ขา้ พเจ้า ต้องได้รับสิ ทธิ์ในการได้รับทราบข้อเท็จจริ งและตรวจสอบ หรื อได้รับทราบพยานหลักฐานตาม สมควร แต่ปรากฏข้อเท็จจริ งว่า ในวันตรวจพยานหลักฐาน เมื่อวันที่ ๑๑ มีนาคม ๒๕๕๗ นั้น กรรมการไต่ส วนข้อเท็จจริ ง กลับมอบเอกสารให้เพียง ๑๒ รายการ จ านวน ๔๙ แผ่น เท่านั้น ส่ วนพยานหลักฐานอย่างอื่น “ อ้ างไม่ มี” แต่นายวิชา ฯ กลับไปให้สัมภาษณ์ต่อหนังสื อพิมพ์ ฐานเศรษฐกิ จ ว่า “แต่ เ รื่ อ งจ าน าข้ าวจีทู จี บั งเอิ ญ ท่ านเป็ นประธาน กขช.ไม่ ใ ช่ รั บ ผิ ด ชอบ เฉพาะตัวงานที่เป็ นนายกฯ ท่ านไปยุ่งเกี่ยวด้ วยในฐานะประธาน กขช. มัน ๒ ซ้ อน ท่ านรับ รู้ ทั้งหมดว่าจะทาอย่ างไรเอาจีทูจหี รือไม่ จะบอกว่ าไม่ ได้ รับผิดชอบโดยตรงมอบให้ รมต.ไปดูแล แล้ ว มันไม่ใช่ หนีไม่พ้นเลย ท่านรับรู้ หมด มีมติในทีป่ ระชุมชัดเจน เวลารายงานท่ านสุ ภา ปิ ยะ จิตติ ซึ่งเป็ นรองประธานคณะอนุกรรมการปิ ดบัญชี ก็ส่งตรงถึงประธานซึ่งก็คอื นายกรัฐมนตรี ...” คาว่ า “แต่ เรื่องจานาข้ าวจีทูจี บังเอิญท่ านเป็ นประธาน กขช.” และ “...รับรู้หมด มีมติในที่


๒๒

ประชุมชัดเจน...” แสดงว่ายังมีเอกสารเกี่ยวกับจีทูจี และมติที่ประชุม ที่กรรมการ ป.ป.ช. ไม่ได้ ให้ตรวจและไม่มอบให้แก่ขา้ พเจ้า และการที่นายวิชาฯ กรรมการ ป.ป.ช. ผูร้ ับผิดชอบสานวน นาข้อเท็จจริ งในสานวนไปเปิ ดเผยต่อสาธารณชน อันไม่ใช่เป็ นประโยชน์แก่ทางราชการ แทนที่ จะน ามาให้ ข ้า พเจ้า ตรวจสอบตามสิ ท ธิ ที่ รั ฐ ธรรมนู ญ คุ้ม ครอง การกระท าของนายวิช า ฯ กรรมการ ป.ป.ช.ผูร้ ับผิดชอบสานวน จึงเป็ นการขัดต่อกฎหมายและตามระเบียบคณะกรรมการ ป.ป.ช. ว่าด้วย ประมวลจริ ยธรรม ฯ พ.ศ. ๒๕๕๑ ข้อ ๓๔ นอกจากนี้ เมื่อข้าพเจ้าได้รับเอกสาร จ านวน ๔๙ แผ่น และน ามาตรวจสอบแล้วปรากฏว่า เอกสารล าดับ ที่ ๘ - ๙ นั้น ไม่ ไ ด้ใ ห้ รายละเอียดคาอภิปรายของนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ และของนายวรงค์ เดชกิจวิกรม ให้เฉพาะใบ ปะหน้าและคาอภิปรายนายอภิสิทธิ์ ๑ หน้า และใบปะหน้ากระทูถ้ ามของนายวรงค์ เดชกิจวิกรม ๑ หน้า โดยไม่มีเอกสารรายละเอียดประกอบ อีกทั้งเมื่อนาเอกสารทั้ง ๔๙ แผ่นไปตรวจสอบกับ บันทึ ก แจ้ง ข้อกล่าวหาแล้ว ก็ปรากฏว่าไม่มีเอกสารใดๆเกี่ ย วข้องกับข้อหาในอันที่ จะทาให้ ข้าพเจ้าเข้าใจข้อหาได้ดี จากสภาพของพยานหลัก ฐานในชั้นตรวจพยานหลัก ฐานข้างต้นจึ ง ขัดแย้งต่อข้อเท็จจริ งที่นายวิชา มหาคุณ ที่เป็ นกรรมการ ป.ป.ช. ผูร้ ับผิดชอบสานวน อ้างว่า “คดี ดังกล่าวได้ไต่สวนมาเป็ นปี แล้ว” และขัดแย้งกับมติในการประชุมของคณะกรรมการ ป.ป.ช. ครั้ งที่ ๕๓๙-๗/๒๕๕๗ เมื่ อวัน ที่ ๒๘ มกราคม ๒๕๕๗ อัน แสดงว่า เพิ่ ง มี ม ติ ให้ ไ ต่ ส วน ข้อเท็จจริ ง โดยให้คณะกรรมการ ป.ป.ช. ทั้งคณะเป็ นองค์คณะในการไต่สวน นอกจากนี้ จาก การให้สัมภาษณ์ต่อสื่ อมวลชนของ นายวิชา มหาคุณ ตามหนังสื อพิมพ์ฐานเศรษฐกิ จการเมือง เมื่อวันที่ ๙-๑๒ มีนาคม ๒๕๕๗ มีบางช่วงบางตอนว่า “ กรณี ของนายกไต่ส วนมาเป็ นปี แล้ว เริ่ มตั้งแต่มีการแจ้งให้นายกทราบเตือนว่าเรื่ องจานาข้าวมันทุจริ ตมาก....” และอีกตอนหนึ่ งว่า “แต่เรื่ องจานาข้าว จี ทูจี บัง เอิญท่านเป็ นประธาน กขช. ไม่ใช่รับผิด ชอบต่องานที่เป็ นนายกฯ ท่านไปยุง่ เกี่ ยวด้วยในฐานะประธาน กขช. มัน ๒ ซ้อน ท่านรับรู้ท้ งั หมดว่าจะทาอย่างไร เอาจี ทู จี หรื อไม่ จะบอกว่าไม่ได้รับผิดชอบโดยตรงมอบให้ รมต. ไปดูแลแล้ว มันไม่ใช่หนี ไม่พน้ เลย ท่านรั บรู้ห มด มี มติ ในที่ ประชุมชัด เจน เวลารายงานท่านสุ ภ า ปิ ยะจิ ตติ ซึ่ งเป็ นรองประธาน คณะอนุก รรมการปิ ดบัญ ชี ก็ส่ งตรงถึงประธาน ก็คือนายกรัฐมนตรี ซึ่ งจากการให้สัมภาษณ์ ดังกล่าว ข้างต้นนั้น คาว่าไต่สวนมาเป็ นปี หรื อท่านรับรู้หมด มีมติที่ประชุมชัดเจน...” ซึ่งแสดง ให้ เห็นว่ า คณะกรรมการ ป.ป.ช. ต้ องมีเอกสารอีกเป็ นจานวนมาก อาทิเช่ น มติที่ประชุ มที่นาย


๒๓

วิชา ฯให้ สัมภาษณ์ ถึงเป็ นมติที่ประชุมอะไรที่นายวิชาฯมีอยู่ และเป็ นเอกสารในสานวนการไต่ สวนข้ อเท็จจริงหรือไม่ กรรมการ ป.ป.ช. มิได้ ให้ ผู้ถูกกล่ าวหาตรวจสอบ ปรากฏตามคาร้ องขอ ตรวจพยานหลักฐานเพิ่มเติม ฉบับลงวันที่ ๑๘ มีนาคม ๒๕๕๗ ในสานวนคดี การกระทาของคณะกรรมการ ป.ป.ช. ที่ไม่มีการให้ทนายความของข้าพเจ้าตรวจ พยานหลักฐานใด ๆ ทั้งสิ้ น และเพียงแต่ถา่ ยเอกสาร จานวน ๔๙ แผ่น มอบให้ทนายความของ ข้าพเจ้าเท่านั้น จึงถือว่าคณะกรรมการ ป.ป.ช. ปิ ดบัง ซ่ อนเร้นพยานหลักฐานเพื่อไม่ให้ขา้ พเจ้า ได้เข้าใจข้อหาได้ดี และเพื่อไม่ให้ช้ ีแจงแก้ขอ้ กล่าวหาได้อย่างถูกต้องอันเป็ นการเอาเปรี ยบใน เชิ งคดี มุ่งแต่จะเอาผิด หรื อกล่าวโทษกับข้า พเจ้า ในลัก ษณะที่ เป็ นการฝ่ าฝื นต่อหลัก การตาม บทบัญญัติแห่ งรัฐธรรมนูญ พุทธศักราช ๒๕๕๐ ตามมาตรา ๔๐ (๒) (๗) และถือว่าเป็ นการขัด จริ ยธรรมตามระเบียบคณะกรรมการป้ องกันและปราบปรามการทุจริ ตแห่งชาติ ว่าด้วย ประมวล จริ ย ธรรมคณะกรรมการป้ องกัน และปราบปรามการทุจ ริ ต แห่ ง ชาติ ข้า ราชการ และลูก จ้า ง ส านัก งานคณะกรรมการป้ องกัน และปราบปรามการทุ จ ริ ต แห่ ง ชาติ พ.ศ.๒๕๕๑ ข้อ ๓๔ ประกอบ ข้อ ๒๙ ที่จะต้องรวบรวมพยานหลักฐานที่อาจพิสูจน์ความบริ สุทธิ์ ของผูถ้ กู กล่าวหา ด้วย แต่ค ณะกรรมการ ป.ป.ช. ที่ เป็ นองค์คณะในการไต่สวนหาได้กระทาไม่ ดังเหตุผลและ ข้อเท็จจริ งและข้อกฎหมายดังกล่าวมาแล้วข้างต้น สรุ ป-จากเหตุผลข้อเท็จจริ งและข้อกฎหมายดังกล่าวมาแล้วข้างต้น จึ งถือว่าการ ดาเนิ นการไต่สวนข้อเท็จจริ งของคณะกรรมการ ป.ป.ช. ในชั้นรับคาร้องและเริ่ มคดี น้ นั เป็ น การดาเนิ นการที่ถือว่าไม่ชอบด้วย ตามพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการป้ องกัน และปราบปรามการทุจริ ต พ.ศ. ๒๕๔๒ และ ที่แก้ไขเพิ่มเติม มาตรา ๑๒๓/๑ โดยเที ยบเคี ยง ตามนัยแห่งคาพิพากษาฎีกาที่ ๓๕๐๙/๒๕๔๙ คดีระหว่าง นายประทีป ปิ ติสันต์ โจทก์ นาย สุกรี สุจิตติกุล จาเลย ข้ าพเจ้าขออ้ างนาสืบพยานบุคคล ราย พลตารวจโท ดร.วิเชียรโชติ สุ กโชติรัตน์ อดีตกรรมการป.ป.ช. เพื่อหักล้ างนาสื บการใช้ อานาจของคณะกรรมการป.ป.ช.ที่ไต่ สวนคาร้ อง ถอดถอนตามรัฐธรรมนูญฯ มาตรา ๒๗๒ แต่ กลับเป็ นผู้กล่ าวหาร่ วมด้ วยกับผู้ร้องถอดถอนและ พิจารณาคดีคาร้ องถอดถอนรวมกันกับคดีที่คณะกรรมการป.ป.ช.กล่ าวหาโดยผิดระเบียบการไต่


๒๔

สวนของคณะกรรมการป.ป.ช. ตามเนือ้ หาประเด็นดังที่ได้ กล่ าวมาข้ างต้ น พยานบุคคลในลาดับ ที่ ๑ ข้ อ ๒. นายกรัฐมนตรีมไิ ด้ กระทาความผิดในการดาเนินโครงการรับจานาข้ าว ข้าพเจ้าฯ ในฐานะนายกรัฐมนตรี มิได้กระทาความผิด ในการดาเนิ นโครงการรับ จานาข้าว ตามบันทึกการแจ้งข้อกล่าวหาของคณะกรรมการ ปปช. ข้า พเจ้าขอชี้ แจงแก้ข ้อกล่าวหาว่า ข้า พเจ้ามิ ไ ด้ก ระทาความผิด ตามที่ ก ล่า วหา ข้างต้นแต่อย่างใดทั้งสิ้ น และลาพังเพียงข้อมูลต่างๆ ที่ปรากฏในบันทึกการแจ้งข้อกล่าวหาของ คณะกรรมการ ป.ป.ช. ฉบับลงวันที่ ๒๗ กุมภาพันธ์ ๒๕๕๗ และข้อมูลตามภาพถ่ายเอกสาร จานวน ๔๙ แผ่น ที่เจ้าหน้าที่ของคณะกรรมการ ป.ป.ช. มอบให้ทนายความของข้าพเจ้า เมื่อไป ขอตรวจพยานหลักฐานนั้น ก็ไม่เป็ นการเพียงพอที่จะชี้วา่ มีมูลความผิดใดๆ ดังที่มีการกล่าวอ้าง ในบันทึกการแจ้งข้อกล่าวหาของคณะกรรมการ ป.ป.ช. เพราะ ๒.๑ นายกรัฐมนตรีเป็ นหนึ่งในคณะรัฐมนตรี ทีด่ าเนินโครงการรับจานาข้ าว ข้าพเจ้าในฐานะนายกรัฐมนตรี ตามบทบาทอานาจหน้าที่ และความรับผิดชอบ ของนายกรัฐมนตรี ในโครงการรับจานาข้าว ข้าพเจ้ากระทาการในฐานะเป็ นหนึ่ งในรัฐมนตรี ของ “คณะรัฐมนตรี ” ที่ดาเนินโครงการรับจานาข้าวตามที่รัฐบาลได้แถลงไว้กับรัฐสภา ข้าพเจ้า จึงมิได้เป็ นผูก้ ระทาความผิดใดๆ ทั้งสิ้ นตามที่มีการแจ้งข้อกล่าวหา ๒.๒ นายกรัฐมนตรีปฏิบัติตามหลักความรับผิดชอบร่ วมกัน ตามรัฐธรรมนูญ ฯ มาตรา ๑๗๑ เมื่ อค านึ งถึ ง บ ทบาทและอ านาจห น้ า ที่ และความรั บ ผิ ด ชอบของ นายกรัฐมนตรี จ ะเห็ นว่า ข้าพเจ้า มีฐานะเป็ นหัวหน้ารั ฐบาลที่ มีบทบาทในทางการบริ ห ารรั ฐ (governmental) ซึ่ งมีพ้ืนฐานมาจากหลักการปกครองใน “ระบบรัฐสภา” ที่ถือหลักการบริ หาร กิ จการของรัฐในรู ปของ “คณะบุคคล” (collective body) โดยยึดหลักความรับผิดชอบร่ วมกัน (collective responsibility) โดยตามรั ฐธรรมนู ญ แห่ ง ราชอาณาจัก รไทย มาตรา ๑๗๑ ระบุ ว่า คณะรัฐมนตรี มีหน้ าที่บริหารราชการแผ่ นดินตามหลักความรับผิดชอบร่ วมกัน และในบันทึก


๒๕

การแจ้ง ข้อ กล่ า วหาของคณะกรรมการ ป.ป.ช. เอง ก็ ย อมรั บ ในประเด็ น ของหลัก ความ รับผิดชอบร่ วมกัน รวมทั้งในบันทึกการแจ้งข้อกล่าวหาดังกล่าวก็มีขอ้ ความระบุชดั แจ้งว่าเป็ น การกล่าวหาข้าพเจ้า ในฐานะนายกรั ฐมนตรี บริ ห ารราชการแผ่นดิ นร่ วมกับรั ฐมนตรี อื่นตาม บทบัญญัติแห่งรัฐธรรมนูญ ตามกฎหมาย และตามนโยบายที่ได้แถลงไว้ต่อรัฐสภา ๒.๓ นโยบายรับจานาข้ าวเป็ นหนึ่งในนโยบายเร่ งด่ วนของรัฐบาล ข้ อ ๑.๑๑ ซึ่งตรงกับแนวนโยบายพืน้ ฐานแห่ งรัฐ ตามรัฐธรรมนูญฯ มาตรา ๘๔(๘) การบริ หารราชการแผ่นดินของข้าพเจ้าโดยมีนโยบายรับจานาข้าวเป็ นส่วน หนึ่ งของนโยบายรัฐบาลที่แถลงต่อรัฐสภา นั้น นโยบายการรับจานาข้าวเป็ นนโยบายตาม ข้อ ๑.๑๑ โดยเป็ น ๑ ใน ๑๖ โครงการที่รัฐบาลต้องเร่ งดาเนิ นการอย่างรี บด่วน และเป็ นโครงการที่ ตรงกับแนวนโยบายพื้นฐานแห่งรัฐตามรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช ๒๕๕๐ มาตรา ๘๔(๘) ที่ทุกรัฐบาลต้องปฏิบตั ิ ซึ่ งนโยบายรับจานาข้าวก็เป็ นนโยบายที่รัฐบาลไทยได้ถือ ปฏิ บัติ กั น มาเนิ่ น นานแล้วโดย ตั้ง แต่ ปี ๒๕๑๘ เป็ นต้น มา รั ฐ บาลให้ ค วามสนใจกับ การ แทรกแซงราคาข้าวเปลือกภายในประเทศมากขึ้น มีการปรับปรุ งแก้ไขเปลี่ยนแปลงกันมาโดย ตลอดมิใช่เพิ่งจะมาริ เริ่ มดาเนิ นการในสมัยรัฐบาลของข้าพเจ้า แต่คณะกรรมการ ป.ป.ช. เองได้ แสดงในบันทึกการแจ้งข้อกล่าวหาว่าคณะกรรมการ ป.ป.ช. มีอคติไม่ชอบนโยบายรับจานาข้าว โดยอ้า งอิง ข้อมูลด้า นเดี ย วที่ เป็ นความเห็ น ของคณะกรรมการ ป.ป.ช. ว่า รั ฐบาลควรยกเลิก โครงการรับจานาข้าวและนาระบบประกันความเสี่ ยงด้านราคาข้าวมาดาเนินการ อ้างว่า จะส่งผล ให้การผลิตและการค้าข้าวดาเนิ นการไปตามกลไกการตลาด อ้างว่าจะก่อให้เกิ ดผลประโยชน์ ทางเศรษฐกิจในภาพรวม อ้างว่าการยกเลิกโครงการรับจานาข้าวและนาระบบประกันความเสี่ ยง ด้านราคาข้าวมาใช้จะป้ องกันการทุจ ริ ตและไม่ก่อให้เกิ ดความเสี ยหายแก่ประเทศชาติท้ งั ๆ ที่ คณะกรรมการ ป.ป.ช. เองก็ไม่มีความเชี่ยวชาญในด้านการดาเนินนโยบายเกี่ยวกับการผลิตและ การค้าข้าวแต่อย่างใด กลับมาให้ความเห็นและใช้ความเห็นดังกล่าวกล่าวหาข้าพเจ้าโดยอคติ โดยอ้างพยานหลักฐานอ้างลอยๆ ว่าข้าพเจ้ารับทราบข้อมูลในเรื่ องต่างๆ ซึ่ งล้วนแต่เป็ นเรื่ องของ การด าเนิ น การของคณะรั ฐบาลของข้า พเจ้า ที่ รั บ ผิ ด ชอบในรู ป แบบของคณะรั ฐมนตรี ซ่ ึ ง รั บผิด ชอบต่ อรั ฐสภาตามบทบัญ ญัติรั ฐธรรมนู ญ ในทางการเมื อ งซึ่ งรั ฐสภามี ก ระบวนการ ตรวจสอบการกระทาของรัฐบาลอยูแ่ ล้วตามบทบัญญัติของรัฐธรรมนูญ


๒๖

๒.๔ ความรั บ ผิ ด ชอบของรั ฐ บาลตามที่ แ ถลงนโยบายต่ อรั ฐ สภา ตาม รัฐธรรมนูญฯ มาตรา ๑๗๘ ดัง นั้น เมื่ อคณะรั ฐ มนตรี ไ ด้แถลงนโยบายที่ จ ะใช้ในการบริ ห ารราชการ แผ่นดิ นต่อรัฐสภาแล้วตามบทบัญ ญัติ ของรัฐธรรมนู ญ มาตรา ๑๗๘ ซึ่ งได้บัญ ญัติให้เห็ นถึง ความรับผิดชอบของคณะรัฐมนตรี ซึ่ งในที่น้ ี ยอ่ มจะต้องหมายความรวมถึงนายกรัฐมนตรี เนื่ อง ด้วยมีฐานะเป็ นรัฐมนตรี ผหู้ นึ่ ง ด้วยว่า ในการบริ หารราชการแผ่นดินรัฐมนตรี ตอ้ งดาเนิ นการ ตามบทบัญญัติแห่ งรัฐธรรมนูญ กฎหมาย และนโยบายที่ได้แถลงไว้ตามมาตรา ๑๗๖ และต้อง รับผิดชอบต่อสภาผูแ้ ทนราษฎรในหน้าที่ ของตน รวมทั้งต้องรั บผิดชอบร่ วมกันต่อรัฐสภาใน นโยบายทัว่ ไปของคณะรัฐมนตรี ซึ่ งหากพิจารณาบทบัญญัติมาตรา ๑๗๘ นี้ แล้ว เห็นได้วา่ มุ่ง หมายให้รัฐมนตรี จะต้องดาเนิ นการใด ๆ ในการบริ ห ารราชการแผ่นดิ นที่ จะต้องเป็ นไปตาม บทบัญญัติแห่ งรัฐธรรมนูญที่ได้บญ ั ญัติไว้ บรรดาบทบัญญัติของกฎหมายที่เกี่ ยวข้อง และต้อง ดาเนิ นการให้เป็ นไปตามนโยบายที่ได้แถลงไว้ต่อรัฐสภาก่อนเข้าบริ ห ารราชการแผ่นดินตาม มาตรา ๑๗๖ ของรัฐธรรมนู ญ โดยไม่อาจด าเนิ นการใด ๆ ในลักษณะที่ เป็ นการฝ่ าฝื นหรื อไม่ ปฏิ บตั ิ ตามรวมทั้งกระทาการใด ๆ เพื่อมิให้เป็ นไปตามบทบัญ ญัติของรัฐธรรมนู ญ กฎหมาย หรื อบรรดานโยบายที่คณะรัฐมนตรี ได้แถลงไว้ต่อรัฐสภา และหากพิจารณาบทบัญญัติในมาตรา ๑๗๘ นี้ แล้ว จะเห็ น ได้ว่า ได้บัญ ญัติ ไ ว้อ ย่า งชัด เจนว่า การที่ รั ฐ มนตรี ต้อ งด าเนิ น การตาม บทบัญญัติแห่ งรัฐธรรมนูญ กฎหมาย และนโยบายที่ได้แถลงไว้ต่อรัฐสภานี้ จะต้องรับผิดชอบ ต่อสภาผูแ้ ทนราษฎรในหน้าที่ของตน รวมทั้งต้องรับผิดชอบร่ วมกันต่อรัฐสภาในนโยบายทัว่ ไป ของคณะรัฐมนตรี โดยหากพิจารณาประกอบกับบทบัญญัติอื่น ๆ ของรัฐธรรมนูญที่ระบุถึงการ ตรวจสอบและควบคุมการบริ ห ารราชการแผ่นดิ น อันได้แก่บทบัญ ญัติตามรัฐธรรมนู ญ แห่ ง ราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช ๒๕๕๐ ในส่ วนที่ ๙ “การควบคุมการบริ หารราชการแผ่นดิน” โดยเฉพาะในมาตรา ๑๕๖ ที่กาหนดให้สมาชิกสภาผูแ้ ทนราษฎรหรื อสมาชิกวุฒิสภามีสิทธิ ต้ งั กระทูถ้ ามรัฐมนตรี เกี่ ยวกับงานในหน้าที่ หรื อในมาตรา ๑๕๘ และมาตรา ๑๕๙ ที่ก าหนดให้ สมาชิ กสภาผูแ้ ทนราษฎรมีสิ ทธิ เข้าชื่ อเสนอญัตติขอเปิ ดอภิ ปรายทั่วไปเพื่อลงมติ ไม่ไว้วางใจ นายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรี เป็ นรายบุคคลหรื อในมาตรา ๑๖๑ สมาชิกวุฒิสภามีสิทธิเข้าชื่อขอ เปิ ดอภิปรายทัว่ ไปในวุฒิสภาเพื่อให้คณะรัฐมนตรี แถลงข้อเท็จจริ งหรื อชี้ แจงปั ญหาข้อสาคัญ


๒๗

เกี่ ย วกับการบริ ห ารราชการแผ่นดินโดยไม่มีก ารลงมติ ยิ่งแสดงให้เห็ นว่าการดาเนิ นการของ รั ฐมนตรี ในการบริ ห ารราชการแผ่น ดิ น ที่ จ ะต้องด าเนิ น การให้ เป็ นไปตามบทบัญ ญัติ แห่ ง รัฐธรรมนูญ กฎหมาย และนโยบายที่แถลงไว้ โดยเป็ นกรณี ที่รัฐมนตรี ตอ้ งรับผิดชอบต่อสภา ผูแ้ ทนราษฎรและรัฐสภา ซึ่ งมีกระบวนการตรวจสอบควบคุมการบริ หารราชการแผ่นดินดังที่ได้ กล่าวมา หากรัฐมนตรี ไม่ดาเนินการ ฝ่ าฝื น ไม่ปฏิบตั ิตาม หรื อกระทาการใด ๆ ในลักษณะที่เป็ น การส่ อว่าจะไม่ด าเนิ นการตามที่ บัญ ญัติไ ว้ในรั ฐธรรมนู ญ กฎหมาย หรื อนโยบายที่ แถลงไว้ ดังกล่าว ย่อมจะเป็ นการด าเนิ นการที่ เป็ นการฝ่ าฝื นหรื อไม่ป ฏิ บัติตามมาตรา ๑๗๘ ซึ่ งอาจ นาไปสู่การที่จะถูกเสนอให้มีการถอดถอนออกจากตาแหน่งรัฐมนตรี ได้ตามมาตรา ๒๗๐ ของ รัฐธรรมนูญฯ ๒.๕ การปฏิบัติหน้ าที่ของนายกรัฐ มนตรี ตามหลักการพื้นฐาน ตาม ตามรัฐธรรมนูญฯ มาตรา ๑๗๘ การแปลงนโยบายเป็ นแผนงานของหน่ วยงานต่ างๆทีเ่ กี่ยวข้ อง ในการปฏิบตั ิหน้าที่ของข้าพเจ้าในฐานะนายกรัฐมนตรี จึงย่อมจะต้อง อยู่บนหลักการพื้นฐานตามบทบัญ ญัติมาตรา ๑๗๘ ของรัฐธรรมนู ญ ฯ กล่าวคือ รั ฐมนตรี จ ะ กระทาการใด ๆ ในลักษณะที่เป็ นการไม่ดาเนิ นการให้เป็ นไปตามบทบัญ ญัติของรัฐธรรมนู ญ กฎหมาย และนโยบายที่ได้แถลงไว้ต่อรัฐสภาไม่ได้ ซึ่ งที่ผ่านมาข้าพเจ้าในฐานะนายกรัฐมนตรี บริ หารราชการแผ่นดินโดยชอบด้วยรัฐธรรมนูญ โดยชอบด้วยกฎหมาย และเป็ นการชอบด้วย นโยบายที่แถลงไว้ต่อรั ฐสภาทุกประการ โดยเฉพาะโครงการรับจานาข้าว ข้าพเจ้า “ ในฐานะ นายกรัฐมนตรี ” มิ ได้กระทาความผิดใด ๆ ตามบันทึกการแจ้งข้อกล่าวหาของคณะกรรมการ ป.ป.ช. แต่อย่า งใดทั้ง สิ้ น การกล่า วหาของคณะกรรมการ ป.ป.ช. เป็ นเพี ย งการคาดคะเนที่ จินตนาการเอาเองโดยอคติ ดังเหตุผลข้อเท็จจริ งและข้อกฎหมายดังกล่าวมาแล้วข้างต้น “หน่ วยงานต่ างๆ ที่เกี่ยวข้ อง” ของราชการมีหน้ าที่และความรับผิดชอบ ในการด าเนินการให้ นโยบายของรัฐบาลบรรลุตามเป้ าประสงค์ ที่กาหนด การที่คณะรั ฐมนตรี ของข้ าพเจ้ าด าเนิน การให้ เป็ นไปตามนโยบายที่แ ถลงไว้ ต่อ รั ฐ สภา เมื่อ วัน ที่ ๒๓ สิ งหาคม ๒๕๕๔ ตามโครงการรั บ จานาข้ าว พร้ อ มกับ มีก ารติ ด ตาม ตรวจสอบ และประเมิน ผลการ


๒๘

ด าเนิ นการให้ เป็ นไปตามนโยบายดั งกล่ าว ข้ าพเจ้ าในฐานะนายกรั ฐ มนตรี จึงไม่ ได้ ก ระท า ความผิดใด ๆ ดังทีค่ ณะกรรมการ ป.ป.ช.แจ้งข้ อกล่ าวหาแต่ อย่ างใดทั้งสิ้น เนื่องจาก หากพิจารณาความในตอนท้ายของมาตรา ๑๗๖ ของรัฐธรรมนูญแล้ว ที่ บัญ ญัติให้ เมื่ อแถลงนโยบายต่ อรั ฐสภาแล้วต้องจัด ท าแผนการบริ ห ารราชการแผ่นดิ น เพื่ อ กาหนดแนวทางการปฏิบตั ิราชการแต่ละปี ซึ่ งในแผนการบริ หารราชการแผ่นดินจะนานโยบาย ที่คณะรัฐมนตรี ได้แถลงไว้ต่อรัฐสภามากาหนดมาตรการ และรายละเอียดของแนวทางในการ ปฏิบตั ิราชการแผ่นดิน หรื อที่เรี ยกว่าการนานโยบายที่แถลงไว้มาแปลงให้เป็ นแผนงานในการ บริ หารราชการแผ่นดินที่ “หน่วยงานต่าง ๆ ที่เกี่ ยวข้อง ” สามารถนาไปปฏิบตั ิต่อไป จะเห็นว่า ในการนานโยบายเกี่ ยวกับการป้ องกันและปราบปรามการทุจริ ตและประพฤติมิชอบในภาครัฐ ตาม “นโยบายเร่ งด่วนของรัฐบาลของข้าพเจ้า ข้อ ๑.๓” และในการนาเอา “นโยบายการยกระดับ สิ นค้าเกษตร และให้เกษตรกรเข้าถึงแหล่งเงินทุน และการนาระบบจานาสิ นค้าเกษตรมาใช้ใน การสร้างความมัน่ คงด้านรายได้ให้แก่เกษตรกร และการรับจานาข้าวเปลือกเจ้าและข้าวเปลือกหอม มะลิ ตามนโยบายเร่ งด่วนของรัฐบาลของข้าพเจ้า ข้อ ๑.๑๑” ที่ก าหนดในนโยบายที่แถลงต่อ รัฐสภา เมื่อวันที่ ๒๓ สิ งหาคม ๒๕๕๔ มากาหนดมาตรการและรายละเอียดในการปฏิบตั ิ ไว้ ด้วยเช่นกันในแผนบริ หารราชการแผ่นดิน พ.ศ. ๒๕๕๕-๒๕๕๘ โดยรัฐบาลของข้าพเจ้า มีการ นาเอานโยบายตามข้อ ๑.๓ (ป้ องกันและปราบปรามการทุจริ ตและประพฤติมิชอบในภาครัฐ) มี การนามาปฏิบตั ิอย่างจริ งจัง และมีการนาเอานโยบายตามข้อ ๑.๑๑ (ยกระดับราคาสิ นค้าเกษตร และให้เกษตรกรเข้าถึงแหล่งเงินทุนซึ่ งระบุถึงการใช้ระบบการรับจานาสิ นค้าเกษตรและการรับ จานาข้าวเปลือก) มาเป็ นวิธีการในการดาเนิ นการตามนโยบายอย่างเร่ งด่วนตามลาดับซึ่ งมีการ กาหนดเป้ าประสงค์เชิงนโยบายและตัวชี้วดั รวมถึงกลยุทธ์หรื อวิธีการที่ จะปฏิ บตั ิ รวมถึงการ กาหนดแนวทางการติดตาม ตรวจสอบ และประเมินผลเพื่อให้เป็ นไปตามนโยบายดังกล่าว โดย ในการจัดทาแผนการบริ หารราชการแผ่นดินนั้น ปรากฏชัดเจนมีกระบวนการ ขั้นตอน รวมถึง ”หน่วยงานต่างๆ ที่เกี่ ยวข้อง” เข้าร่ วมในการจัดทาแผนบริ หารราชการแผ่นดิน และหน่วยงาน ตามที่ระบุไว้ในระเบียบสานักนายกรัฐมนตรี วา่ ด้วยการจัดทาแผนบริ หารราชการแผ่นดิน พ.ศ. ๒๕๔๗ และที่ แก้ไ ขเพิ่ม เติ ม เช่น เลขาธิ ก ารคณะกรรมการพัฒ นาการเศรษฐกิ จ และสัง คม แห่ งชาติ ผู้อ านวยการส านั ก งบประมาณ เลขาธิ ก ารสภาความมั่ น คงแห่ งชาติ อธิ บ ดี


๒๙

กรมบัญชีกลาง ผูอ้ านวยการสานักงานเศรษฐกิจการคลัง เลขาธิการคณะรัฐมนตรี เป็ นต้น โดยมี การรวบรวมข้อมูลจากส่ วนราชการที่ เกี่ ย วข้องกับนโยบายแต่ละเรื่ องมาร่ วมกันจัด ท าแผน บริ หารราชการแผ่นดิน ส่ วนในการปฏิบัติเพื่อให้นโยบายบรรลุผลและเป็ นไปโดยถูกต้องตาม กฎหมายและกฎระเบียบที่เกี่ยวข้อง ย่อมเป็ นหน้าที่ของ “หน่วยงานต่างๆที่เกี่ยวข้อง” ที่มีหน้าที่ และความรั บผิดชอบในการดาเนิ นการปฏิบัติให้เป็ นไปตามนโยบายนั้น ๆ เพื่อให้บรรลุตาม เป้ าประสงค์ที่กาหนด ๒.๖ การยืนยันดาเนินการโครงการรับจานาข้ าวต่ อไปกับ “ทฤษฎีการ กระทาของรัฐบาล” การที่ ค ณะรั ฐมนตรี ที่ มีข ้าพเจ้าเป็ นนายกรัฐมนตรี ย งั คงยืนยัน ดาเนิ น โครงการต่อไปให้เป็ นไปตามนโยบายที่แถลงไว้ต่อรัฐสภาเมื่อวันที่ ๒๓ สิ งหาคม ๒๕๕๔ ใน เรื่ องที่ ถูก กล่าวหา นั้น เป็ น “การกระท าทางการเมื องหรื อการกระท าของรั ฐบาล” (act of government หรื อ act of state)เป็ นเรื่ องการตัดสิ นใจเลือกทิศทางการบริ หารราชการแผ่นดิน เป็ น การใช้อานาจขององค์กรบริ หารในฐานะที่เป็ นองค์กรตามรัฐธรรมนูญ และเป็ นการกระทาใน ฐานะที่ เป็ นรัฐบาลโดยการกระท าทางรั ฐบาลมี ลกั ษณะเป็ นการกระทาในความสัมพัน ธ์กับ รัฐสภาและการกระทาในความสัมพันธ์ระหว่างประเทศ โดยนายกรั ฐมนตรี และรั ฐมนตรี มี อานาจกระทาการได้สองฐานะด้วยกัน คือ กระทาการในฐานะที่เป็ นรัฐบาล และกระทาในฐานะ ที่เป็ น “องค์กรของรัฐฝ่ ายปกครอง” หรื อ “เจ้าหน้าที่ของรัฐฝ่ ายปกครอง” ทั้งนี้ หากพิจารณาจาก กฎหมายอันเป็ นแหล่งที่มาของอานาจกระทาการแล้ว ถ้าการกระทาการของนายกรัฐมนตรี เป็ นไป โดยอาศัยอานาจตามรัฐธรรมนูญก็จะถือได้วา่ เป็ นการกระทาในฐานะที่เป็ น “รัฐบาล” แต่ในกรณี ที่ กระทาการโดยอาศัยอานาจตามพระราชบัญญัติ ก็จะถือว่ากระทาการในฐานะที่เป็ น “องค์กรของ รัฐฝ่ ายปกครอง” สาหรับเจ้าหน้าที่ของรัฐฝ่ ายปกครองซึ่ งได้แก่ องค์กรหรื อเจ้าหน้าที่ที่อยู่ใน บัง คับ บัญ ชาหรื อ ในก ากับ หรื อ ควบคุม ดู แลโดยตรงหรื อ โดยอ้อ มของนายกรั ฐ มนตรี ห รื อ รัฐมนตรี (ซึ่ งกรณี น้ ีนายกรัฐมนตรี เป็ นผูม้ ีอานาจหน้าที่ตามมาตรา ๑๑ (๑) แห่งพระราชบัญญัติ ระเบี ย บบริ ห ารราชการแผ่น ดิ น ฯ นั่น เอง) มี ฐานะเป็ น “องค์ก รของรั ฐฝ่ ายปกครอง” หรื อ


๓๐

“เจ้า หน้าที่ ของรัฐฝ่ ายปกครอง” ตามทฤษฎี การกระทาของรัฐบาลเป็ นแนวคิดเกี่ ยวกับการจากัด อานาจของศาลในการควบคุมการกระทาของฝ่ ายบริ หาร ก่อให้เกิดผลทางกฎหมายกับรัฐบาลไม่ตอ้ ง ถูกควบคุมโดยศาล จะนาเรื่ องไปฟ้ องศาลไม่ได้ แม้วา่ จะก่ อให้เกิ ดความเสี ยหายก็ตาม แต่ก าร กระทาดังกล่าวจะตกอยู่ ในความควบคุมทางการเมือง โดยกระบวนการทางการเมือง เช่น การ ลงมติไม่ไว้วางใจของรัฐสภา จึ งเป็ นการกระทาที่อยู่นอกเหนื อการควบคุมทางศาลโดยสิ้ นเชิง เมื่อหน้าที่ในฐานะรัฐบาลมีระบบการควบคุมตรวจสอบทางการเมืองอยูแ่ ล้ว จึงไม่ควรอยูภ่ ายใต้ บังคับแห่งประมวลกฎหมายอาญา มาตรา ๑๕๗ ดังนั้น การดาเนินการของนายกรัฐมนตรี ตามโครงการรับจานาข้าวที่เป็ นนโยบายของ รัฐบาลซึ่ งได้แถลงต่อสภา จึ งเป็ นการกระทาในการบริ หารราชการแผ่นดินที่ อาศัยอานาจตาม รัฐธรรมนูญ (มาตรา ๑๗๑ มาตรา ๑๗๖ และมาตรา ๑๗๘) จึ งเป็ น “การกระทาของรัฐบาล”ในขณะที่ การใช้อานาจของนายกรัฐมนตรี ตามมาตรา ๑๑ (๑) เป็ นการกระทาในฐานะที่เป็ นเจ้าหน้าที่ของ รัฐฝ่ ายปกครอง การใช้อานาจหน้าที่เกี่ ยวกับนโยบายของรัฐบาลตามรัฐธรรมนูญ เป็ นส่ วนหนึ่ ง ของการใช้อานาจหน้าที่ของฝ่ ายบริ หาร โดยอานาจหน้าที่ของฝ่ ายบริ หารในการปกครองหรื อ บริ หารกิจการของรัฐแบ่งได้เป็ นสองส่ วน ซึ่ ง ส่ วนแรกอานาจหน้าที่ของรัฐบาลซึ่ งเป็ นองค์กรที่ มีอานาจหน้าที่ในการกาหนดและกากับนโยบายของรัฐในระดับสู งสุด ซึ่ งเรี ยกว่า “ฝ่ ายบริ หาร” หรื อ “รั ฐ บาล”โดยองค์ ก รบริ หารของประเทศไทยนั้ น คณะรั ฐ มนตรี เป็ นองค์ ก รกลุ่ ม ประกอบด้วยนายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรี มีอานาจหน้าที่ในการบริ หารราชการแผ่นดิน เป็ นผู้ กากับนโยบายและวางแนวทางในการบริ หารประเทศ และคอยควบคุมกากับและชี้แนะให้เจ้าหน้าที่ ของรัฐปฏิบตั ิเพื่อให้เป็ นไปตามนโยบายอานาจหน้าที่ของรัฐบาลจะเป็ นการใช้อานาจทางการเมือง อันเป็ น “การกระทาทางรัฐบาล”และเป็ นการกระทาที่อยู่ในขอบเขตของรัฐธรรมนูญ เป็ น “อานาจ หน้ าทีต่ ามรัฐธรรมนูญมาตรา ๑๗๖” การดาเนินการของรัฐบาลซึ่ งนายกรัฐมนตรี เป็ นหัวหน้ารัฐบาล ตามโครงการรับจานาข้าวจึ งเป็ นการกระทาของรัฐบาล เป็ นอานาจหน้าที่ตามรัฐธรรมนูญ และ ส่วนที่สอง อานาจหน้าที่ของฝ่ ายปกครอง ซึ่ งเป็ นองค์กรที่มีอานาจหน้าที่ในการดาเนิ นการหรื อ เป็ นฝ่ ายปฏิบตั ิเพื่อให้เป็ นไปตามนโยบายที่รัฐบาลได้กาหนดไว้ ถือได้วา่ เป็ นการกระทาในทาง


๓๑

ปกครองอันเป็ นอานาจหน้าที่ในการจัดทาบริ การสาธารณะ เป็ นการกระทาในฐานะฝ่ ายปกครอง ซึ่ งอาจเป็ นการกระทาตามที่กฎหมายต่าง ๆ กาหนดให้เป็ นอานาจหน้าที่โดยฝ่ ายปกครองนี้ อาจ เป็ นคณะรัฐมนตรี รัฐมนตรี หรื อเจ้าหน้าที่ของรัฐก็ได้ องค์กรฝ่ ายบริ หารที่ ใช้อานาจตามที่ ก าหนดไว้ในรั ฐธรรมนู ญในส่ วนแรกอันเป็ น “การกระท าทางรั ฐ บาล” นั้ น จะต้อ งรั บ ผิ ด ชอบต่ อ รั ฐ สภา เรื่ อ งใดที่ ฝ่ ายบริ ห ารซึ่ งได้แ ก่ คณะรัฐมนตรี หรื นายกรัฐมนตรี ในฐานะหัวหน้ารัฐบาลได้มีมติหรื อดาเนิ นการในทางนโยบาย ไปแล้ว ย่อ มถื อว่า ได้ย อมรั บ ความรั บ ผิด ชอบต่ อรั ฐสภาโดยตรงตามการปกครองระบอบ ประชาธิปไตย องค์กรอื่นซึ่ งใช้อานาจตามรัฐธรรมนูญไม่สมควรเข้าแทรกแซงอานาจฝ่ ายบริ หาร ในส่วนที่เป็ นงานนโยบายของรัฐบาลแต่มีอานาจตรวจสอบการทางานของฝ่ ายบริ หารเฉพาะใน ส่วนที่เป็ นงานประจามิให้ขดั ต่อกฎหมาย การดาเนินการตามโครงการรับจานาข้าวจึงเป็ นการใช้อานาจทางบริ หารของรัฐตาม รัฐธรรมนูญ เพื่อการพัฒ นาประเทศ นายกรัฐมนตรี ในฐานะหัวหน้ารั ฐบาลมิ ได้ใช้อานาจทาง บริ หารของรัฐตามพระราชบัญญัติหรื อกฎหมายอื่นที่มีผลใช้บงั คับดังเช่นพระราชบัญญัติ อานาจ ดังกล่าวเป็ นเรื่ องในทางการเมืองที่มีความสัมพันธ์เกี่ ยวข้องกับการใช้อานาจอธิ ปไตยโดยตรง ของรัฐ ซึ่ งคณะกรรมการ ป.ป.ช.ที่เป็ นองค์กรบังคับใช้กฎหมายจะเข้ามาแทรกแซงการดาเนิ นนโยบาย ของฝ่ ายบริ หารไม่ได้ รวมทั้งไม่ถือว่าการใช้อานาจของนายกรัฐมนตรี ในฐานะหัวหน้ารัฐบาลเป็ นเจ้า พนักงานหรื อเจ้าหน้าที่ของรัฐที่ใช้อานาจหน้าที่ตามที่กฎหมายได้กาหนดไว้ กรณี จึงไม่สามารถ นาบทบัญ ญัติเรื่ องความรั บผิดทางอาญาตามมาตรา ๑๕๗ แห่ งประมวลกฎหมายอาญา และ มาตรา ๑๒๓/๑ แห่ งพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการป้ องกันและปราบปรามการ ทุจริ ต พ.ศ. ๒๕๔๒ ซึ่ งมี วตั ถุประสงค์ที่จะมุ่งคุม้ ครองสังคมไม่ให้ได้รับความเสี ยหายจากการ ปฏิ บัติหน้าที่ ของเจ้าหน้าที่ ของรั ฐ ผูม้ ี หน้าที่ ตามกฎหมาย มาบังคับใช้ รวมทั้งมิ ได้เป็ นกรณี ที่ นายกรัฐมนตรี มีพฤติการณ์ส่อว่ากระทาผิดต่อตาแหน่งหน้าที่ราชการตามมาตรา ๒๗๐ ของรัฐธรรมนูญ แห่ งราชอาณาจักรไทย ซึ่ งมุ่งประสงค์จะใช้บงั คับเฉพาะกรณี ที่นายกรัฐมนตรี ได้ใช้อานาจหน้าที่ ตามพระราชบัญ ญัติห รื อกฎหมายอื่นที่มีผลใช้บงั คับดังเช่นพระราชบัญ ญัติอนั เป็ นอานาจใน ฐานะที่เป็ นฝ่ ายปกครอง


๓๒

การบังคับใช้มาตรา ๑๕๗ แห่ งประมวลกฎหมายอาญา และมาตรา ๑๒๓/๑ แห่ ง พระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการป้ องกันและปราบปรามการทุจริ ต พ.ศ. ๒๕๔๒ กับการพิจารณาการดาเนิ นการทางปกครองในโครงการรับจานาข้าวนั้น ขอบเขตของความผิด ตามมาตราดังกล่าวประสงค์ที่จะมุ่งคุม้ ครองประชาชนมิให้ได้รับความเดือดร้อนเสี ยหายจากการ ปฏิ บัติ ห น้ า ที่ ข องเจ้ า พนั ก งาน แต่ ก็ ต้อ งไม่ ท าให้ เกิ ด ปั ญ หาและอุป สรรคต่ อ หน้ า ที่ ข อง นายกรัฐมนตรี ในการบริ หารราชการแผ่นดิน ในส่วนที่เป็ นการดาเนิ นการทางนโยบายของรัฐบาล การตีความบังคับใช้มาตรา ๑๕๗ และมาตรา ๑๒๓/๑ จึ งควรมีข อบเขตจ ากัด หากตีค วามให้ ครอบคลุมถึงการกระทาทางนโยบาย ซึ่ งเป็ นกรณีที่นายกรัฐมนตรี เลือกใช้ตามความเหมาะสมของ สถานการณ์ อันอยู่ในดุลพินิจของนายกรัฐมนตรี และไม่ไ ด้มีก ารฝ่ าฝื นกฎหมายหรื อมี เจตนา พิเศษที่ชดั เจนแล้ว(ซึ่ งไม่รวมถึงเล็งเห็นผล) ก็จะเป็ นการขัดต่อหลักกฎหมายอาญาที่ตอ้ งมีความ ชัดเจนแน่นอนตามมาตรา ๒ วรรคหนึ่ ง แห่ งประมวลกฎหมายอาญา หากคณะกรรมการ ป.ป.ช. นามาตรา ๑๕๗ และมาตรา ๑๒๓/๑ มาตีความและบังคับใช้กบั การกระทาทางนโยบายย่อมเป็ น การบัง คับ ใช้ก ฎหมายตามอาเภอใจและเห็ นได้ ว่า การใช้อ านาจของนายกรั ฐ มนตรี ในทาง นโยบายซึ่ งเป็ นอานาจตามรัฐธรรมนูญเพื่อควบคุมและกากับการปฏิบตั ิให้หน่วยงานและเจ้าหน้าที่ ของรัฐดาเนิ นการเพื่อให้เป็ นไปตามนโยบายดังกล่าว โดยไม่มีพฤติ การณ์ว่าเป็ นการประพฤติ มิ ชอบ นั้น การใช้อานาจดังกล่าวศาลปกครองและศาลอาญายังไม่เคยเข้ามาตรวจสอบในเรื่ องการ ดาเนินการในลักษณะนี้แต่อย่างใด ๒.๗ นายกรัฐมนตรี มิได้ ละเว้ นกระทาการโดยไม่ ใช้ อานาจ ตามมาตรา ๑๑(๑) แห่งพระราชบัญญัติบริ หารราชการแผ่นดิน พ.ศ. ๒๕๓๔ ข้าพเจ้า ในฐานะนายกรั ฐมนตรี มิ ไ ด้ละเว้นกระทาการโดยไม่ใช้อานาจตาม มาตรา ๑๑ (๑) แห่ งพระราชบัญญัติบริ ห ารราชการแผ่นดิน พ.ศ. ๒๕๓๔ เกี่ ยวกับการดาเนิ น โครงการรับจานาข้าว ดังที่ค ณะกรรมการ ป.ป.ช. กล่าวหาตามบันทึ กการแจ้งข้อกล่าวหาแต่ อย่างใด เนื่องจาก ๒.๗.๑ อานาจหน้าที่นายกรัฐมนตรี ตามมาตรา ๑๑ หากเพื่อให้นโยบายบรรลุเป็ น “การกระทาของรัฐบาล” , แต่หากเพื่อควบคุมกากับการปฏิบตั ิหน้าที่ของรัฐที่มิใช่เพื่อบรรลุ


๓๓

นโยบาย เป็ น “การกระทาทางปกครอง” อานาจนายกรัฐมนตรี ตามมาตรา ๑๑ แห่งพระราชบัญญัติระเบียบบริ หาร ราชการแผ่นดิน พ.ศ. ๒๕๓๔ ซึ่ งบัญญัติวา่ “มาตรา ๑๑ นายกรัฐมนตรี ในฐานะหัวหน้ารัฐบาลมีอานาจหน้าที่ ดังนี้ (๑) ก ากับโดยทั่วไปซึ่ งการบริ ห ารราชการแผ่นดิน เพื่อการนี้ จะสั่งให้ ราชการส่วนกลาง ราชการส่วนภูมิภาค และส่วนราชการซึ่ งมีหน้าที่ควบคุมราชการส่วนท้องถิ่น ชี้แจง แสดงความคิดเห็ น ทารายงานเกี่ ย วกับการปฏิ บัติร าชการ ในกรณี จาเป็ นจะยับยั้งการ ปฏิบตั ิ ราชการใด ๆ ที่ขดั ต่อนโยบายหรื อมติของคณะรัฐมนตรี ก็ได้และมีอานาจสั่งสอบสวน ข้อเท็จจริ งเกี่ ยวกับการปฏิบตั ิราชการของราชการส่ วนกลาง ราชการส่ วนภูมิภาค และราชการ ส่วนท้องถิ่น (๒) มอบหมายให้ ร องนายกรั ฐ มนตรี ก ากับ การบริ ห ารราชการของ กระทรวงหรื อทบวงหนึ่งหรื อหลายกระทรวงหรื อทบวง (๓) บังคับบัญชาข้าราชการฝ่ ายบริ ห ารทุกตาแหน่ง ซึ่ งสังกัดกระทรวง ทบวง กรมและส่วนราชการที่เรี ยกชื่ออย่างอื่นที่มีฐานะเป็ นกรม (๔) สัง่ ให้ขา้ ราชการซึ่งสังกัดกระทรวง ทบวง กรมหนึ่งมาปฏิบตั ิราชการ สานักนายกรัฐมนตรี โดยจะให้ขาดจากอัตราเงินเดือนทางสังกัดเดิมหรื อไม่ก็ได้ ในกรณี ที่ให้ ขาดจากอัตราเงินเดือนทางสังกัดเดิม ให้ได้รับเงินเดือนในสานักนายกรัฐมนตรี ในระดับ และขั้น ที่ไม่สูงกว่าเดิม (๕) แต่ ง ตั้ง ข้า ราชการซึ่ งสั ง กัด กระทรวง ทบวง กรมหนึ่ งไปด ารง ตาแหน่งของอีกกระทรวง ทบวง กรมหนึ่ง โดยให้ได้รับเงินเดือนจากกระทรวง ทบวง กรมเดิม ในกรณี เช่นว่านี้ ให้ข ้าราชการซึ่ งได้รั บแต่ง ตั้ง มี ฐานะเสมื อนเป็ นข้าราชการสัง กัดกระทรวง ทบวง กรม ซึ่ งตนมาดารงตาแหน่งนั้นทุกประการ แต่ถา้ เป็ นการแต่งตั้งข้าราชการตั้งแต่ตาแหน่ง อธิบดีหรื อเทียบเท่าขึ้นไป ต้องได้รับอนุมตั ิจากคณะรัฐมนตรี (๖) แต่ ง ตั้ง ผู้ท รงคุ ณ วุฒิ เป็ นประธานที่ ป รึ ก ษา ที่ ป รึ ก ษา หรื อ คณะที่ ปรึ กษาของนายกรัฐมนตรี หรื อเป็ นคณะกรรมการเพื่อปฏิบตั ิราชการใด ๆ และกาหนดอัตราเบี้ย ประชุมหรื อค่าตอบแทนให้แก่ผซู้ ่ ึ งได้รับแต่งตั้ง (๗) แต่งตั้งข้าราชการการเมืองให้ปฏิบตั ิราชการในสานักนายกรัฐมนตรี


๓๔

(๘) วางระเบียบปฏิบตั ิราชการ เพื่อให้การบริ หารราชการแผ่นดินเป็ นไป โดยรวดเร็วและมีประสิ ทธิภาพ เท่าที่ไม่ขดั หรื อแย้งกับพระราชบัญญัติน้ ีหรื อกฎหมายอื่น (๙) ดาเนิ น การอื่ น ๆ ในการปฏิ บัติตามนโยบายระเบี ย บตาม (๘) เมื่ อ คณะรัฐมนตรี ให้ความเห็นชอบแล้ว ให้ใช้บงั คับได้” บทบัญญัติมาตรา ๑๑ ดังกล่าวเป็ นกฎหมายหลักในการบริ หารราชการแผ่นดินที่ กาหนดให้นายกรัฐมนตรี ในฐานะหัวหน้ารัฐบาลมีอานาจหน้าที่กากับโดยทัว่ ไปซึ่ งการบริ หาร ราชการแผ่นดิ น มี อานาจสั่งให้ร าชการส่ วนกลาง ราชการส่ วนภูมิภ าค และส่ วนราชการที่ มี หน้าที่ควบคุมราชการส่ วนท้องถิ่นชี้แจงและแสดงความคิดเห็น ทารายงาน เกี่ ยวกับการปฏิบตั ิ ราชการ ในกรณีจาเป็ นจะยับยั้งการปฏิบตั ิราชการใด ๆ ที่ขดั ต่อนโยบายหรื อ มติคณะรัฐมนตรี ก็ ได้ มีอานาจสั่งสอบสวนข้อเท็จจริ งเกี่ ยวกับการปฏิบตั ิราชการของราชการส่ วนกลาง ราชการ ส่วนภูมิภาค และราชการส่วนท้องถิ่น มีอานาจบังคับบัญชาข้าราชการฝ่ ายบริ หารในทุกตาแหน่ง สังกัด กระทรวง ทบวง กรม และส่ วนราชการที่ เรี ยกชื่ ออย่า งอื่นที่ มีฐานะเป็ นกรม รวมทั้ง มี อานาจดาเนินการอื่น ๆ ในการปฏิบตั ิตามนโยบาย นอกจากนี้ อานาจหน้าที่ ข องนายกรั ฐมนตรี ตามมาตรา ๑๑ นั้น แม้ว่าจะเป็ น อานาจหน้าที่ ที่ มีที่ มาจากกฎหมายระดับ พระราชบัญ ญัติ แต่ เช่น เดี ย วกับอ านาจหน้า ที่ ข อง คณะรัฐมนตรี ตามที่ ได้ก ล่าวไว้ขา้ งต้นว่า หากเป็ นกรณี ที่นายกรั ฐมนตรี ใช้อานาจหน้าที่ เพื่อ ควบคุมหรื อก ากับการปฏิ บตั ิข องเจ้าหน้าที่ของรัฐ เพื่อให้นโยบายของรัฐบาลบรรลุเป้ าหมาย แล้ว การใช้อานาจหน้าที่ ของนายกรัฐมนตรี ดงั กล่าวก็จะมีสถานะเป็ น “การกระทาทางรัฐบาล” แต่ หากเป็ นกรณี ที่ นายกรั ฐมนตรี ใช้อ านาจหน้า ที่ เพื่ อ ควบคุ ม หรื อ ก ากับ การปฏิ บัติ ห น้า ที่ ข อง เจ้าหน้าที่ของรัฐตามกฎหมายต่างๆ แล้ว การใช้อานาจหน้าที่ของนายกรัฐมนตรี ในกรณี น้ ีก็จะมี สถานะเป็ น “การกระทาทางปกครอง” ดังนั้น กรณีการดาเนินการของนายกรัฐมนตรี ตามโครงการรับจานาข้าว ซึ่ งเป็ น นโยบายของรัฐบาลโดยใช้อานาจหน้าที่ ตามมาตรา ๑๑ ในการควบคุมหรื อก ากับการปฏิ บัติ หน้าที่ของเจ้าหน้าที่ของรัฐซึ่ งไม่ได้อาศัยอานาจตามกฎหมายในระดับพระราชบัญญัติหรื อกฎหมาย อื่นที่มีผลใช้บงั คับดังเช่นพระราชบัญญัติแล้ว จึงมีสถานะเป็ น “การกระทาของรัฐบาล”


๓๕

๒.๗.๒ การกล่าวหาของพนักงาน ป.ป.ช.ว่าไม่ระงับยับยั้งโครงการฯเป็ น ความผิดนั้น-เป็ นการกล่าวหาที่ไม่คานึงถึงหลักการบริ หารราชการแผ่นดิน และความจริ งมิได้ ก่อความเสี ยหายแก่ทางราชการมากขึ้นเรื่ อยๆแต่อย่างใด การที่คณะกรรมการ ป.ป.ช. กล่าวหาตามบันทึกการแจ้งข้อกล่าวหาอ้าง ว่า “แทนที่ท่านจะระงับยับยั้งโครงการรั บจานาข้ าว กลับยืนยันที่จะดาเนินการโครงการต่ อไป อันจะก่ อให้ เกิ ดความเสี ยหายแก่ ทางราชการมากขึน้ เรื่ อยๆ ทั้งที่ท่านมีอานาจหน้ าที่ตาม พ.ร.บ. ระเบี ย บบริ หารราชการแผ่ นดิ น พ.ศ. ๒๕๓๔ มาตรา ๑๑(๑) และในฐานะประธาน คณะกรรมการนโยบายข้าวแห่ งชาติ ที่จะสั่ งระงับยับยั้งการดาเนินโครงการรั บจานาข้ าวดังกล่าว ได้ ” นั้น เป็ นการกล่า วหาที่ ไ ม่ ค านึ ง ถึง กฎหมายหลัก ในการบริ ห ารราชการแผ่น ดิ น ตาม บทบัญ ญัติข องรัฐธรรมนู ญ ตลอดจนพระราชบัญ ญัติร ะเบี ยบบริ หารราชการแผ่นดิน พ.ศ. ๒๕๓๔ รวมทั้ง พระราชกฤษฎีกาว่าด้วยการหลักเกณฑ์และวิธีการบริ หารกิจการบ้านเมืองที่ดี พ.ศ. ๒๕๔๖ เพราะนายกรั ฐมนตรี ได้ดาเนิ นการตามกรอบของรัฐธรรมนู ญ กฎหมาย และ นโยบายที่แถลงไว้ต่อรัฐสภาและใช้ดุลพินิจในการบริ หารราชการแผ่นดินตามความเหมาะสม กับสถานการณ์และข้อเท็จจริ งที่เกิ ดขึ้ นแล้ว ทั้งในด้านนโยบายการป้ องกันและปราบปรามการ ทุจริ ตและประพฤติมิชอบในภาครัฐอย่างจริ งจัง และนโยบายการยกระดับสิ นค้าเกษตรและให้ เกษตรกรเข้าถึงแหล่งเงินทุน โดยการนาระบบจานาสิ นค้าเกษตรมาใช้ในการสร้างความมัน่ คง ด้านรายได้ให้แก่เกษตรกรซึ่ งเริ่ มจากการรับจานาข้าวเปลือกเจ้าและข้าวเปลือกหอมมะลิ กรณีจึง ไม่ เป็ นไปตามข้ อ กล่ า วหาของคณะกรรมการ ป.ป.ช. ที่ ก ล่ า วหาต่ อ ข้ า พเจ้ า ในฐานะ นายกรัฐมนตรี ทั้งนี้ เนื่องจาก ๑) ข้าพเจ้าบริ หารราชการตาม “หลักความรับผิดชอบร่ วมกัน” ตามบทบัญ ญัติข องรั ฐ ธรรมนู ญ แห่ ง ราชอาณาจัก รไทย พุท ธศัก ราช ๒๕๕๐ มาตรา ๑๗๑ ได้ก าหนดให้ค ณะรั ฐมนตรี ประกอบด้วยนายกรั ฐมนตรี ค นหนึ่ ง และ รัฐมนตรี อื่นอีกไม่เกินสามสิ บห้าคน มีหน้าที่บริ หารราชการแผ่นดินตาม “หลักความรับผิดชอบ ร่ วมกัน ” ซึ่ งโดยข้อเท็จจริ งแล้ว นายกรัฐมนตรี ก็เป็ นรัฐมนตรี คนหนึ่ ง เพียงแต่ในการทางาน ขององค์กรที่มีลกั ษณะเป็ นองค์กรกลุ่มย่อมจะต้องมีผเู้ ป็ นหัวหน้าหรื อผูน้ าองค์กรกลุ่มหรื อเพื่อ กากับควบคุมการทางานโดยทัว่ ไปของบุคคลอื่นที่อยูร่ วมกันเป็ นองค์กรกลุม่ นั้น ๆ เพื่อให้แต่ละ คนปฏิบตั ิและทาหน้าที่ในส่ วนที่แต่ละบุคคลซึ่ งรับผิดชอบให้สาเร็ จตามเป้ าหมายขององค์ก ร กลุม่ และถูกต้องตามหลักเกณฑ์ที่เกี่ยวข้อง ดังเช่นรู ปแบบของการปฏิบตั ิงานขององค์กรกลุม่ อื่น


๓๖

ๆ เช่น คณะกรรมการหรื อ คณะท างาน เป็ นต้น ที่ ย่อมจะมี ประธานของคณะกรรมการหรื อ คณะทางานนั้นเพื่อกากับควบคุมให้ปฏิบตั ิงานหรื อทาหน้าที่ตามที่กรรมการหรื อคณะทางานนั้น จะต้องปฏิ บัติ ในกรณี ท านองเดี ย วกับ คณะรั ฐ มนตรี ซ่ ึ งประกอบด้วยนายกรั ฐ มนตรี และ รัฐมนตรี อื่นอีก ไม่เกิ นสามสิ บห้าคน ก็เป็ นองค์ก รที่ ได้รั บการแต่ง ตั้งเข้ามาทาหน้า ที่ ในการ บริ หารราชการแผ่นดิน ตามบทบัญญัติของรัฐธรรมนูญแห่ งราชอาณาจักรไทยซึ่ งได้กาหนดไว้ ว่าก่อนที่จ ะเข้าบริ หารราชการแผ่นดิน คณะรั ฐมนตรี จ ะต้องแถลงนโยบายต่อรัฐสภา เพื่อให้ รัฐสภาได้รับทราบถึงแนวทางและนโยบายในการบริ หารราชการแผ่นดินของคณะรัฐมนตรี วา่ เป็ นไปตามนโยบายพื้นฐานแห่ งรัฐตามหมวด ๕ ของรัฐธรรมนูญ แห่ งราชอาณาจักรไทย และ สามารถติดตามตรวจสอบว่าคณะรัฐมนตรี ได้ด าเนิ นการให้เป็ นไปตามนโยบายที่ได้แถลงต่อ รัฐสภาไว้หรื อไม่ อันเป็ นความรับผิดชอบของคณะรัฐมนตรี และรัฐมนตรี ตามบทบัญ ญัติของ รัฐธรรมนูญ ในการบริ หารราชการแผ่นดินนอกจากจะเป็ นไปตาม บทบัญญัติของรัฐธรรมนูญ แล้ว ในการบริ ห ารราชการแผ่นดิ นจะต้องเป็ นไปตามกฎหมายที่ เป็ นหลัก การส าคัญ ในการ บริ หารราชการแผ่นดิน ได้แก่ พระราชบัญญัติระเบียบบริ หารราชการแผ่นดิน พ.ศ. ๒๕๓๔ ด้วย ซึ่ งตามกฎหมายดังกล่าวมีการบัญญัติถึงการปฏิบตั ิหน้าที่ของนายกรัฐมนตรี รัฐมนตรี อื่น และ คณะรัฐมนตรี ไว้ดว้ ย โดยเฉพาะในส่ วนที่ เกี่ ย วข้องกับนายกรัฐมนตรี ด ังปรากฏในหมวด ๑ การจัด ระเบียบราชการในสานักนายกรัฐมนตรี ซึ่ งได้กาหนดภาระหน้าที่ของนายกรัฐมนตรี ไว้ท้ งั ใน ฐานะของรัฐมนตรี ที่กากับควบคุมการปฏิบตั ิงานของสานักนายกรัฐมนตรี ซ่ ึ งนายกรัฐมนตรี จะ เป็ นผู้บั ง คั บ บั ญ ชาข้ า ราชการและรั บ ผิ ด ชอบในการก าหนดนโยบาย เป้ าหมาย และ “ผลสัมฤทธิ์ของงาน” ในสานักนายกรัฐมนตรี ให้สอดคล้องกับนโยบายที่คณะรัฐมนตรี แถลงไว้ ต่อรัฐสภาหรื อที่คณะรัฐมนตรี กาหนดหรื ออนุมตั ิตามมาตรา ๑๐ แห่ งพระราชบัญญัติระเบียบ บริ หารราชการแผ่นดิน พ.ศ. ๒๕๓๔ ส าหรั บกรณี นายกรัฐมนตรี ในฐานะหัวหน้ารั ฐบาลซึ่ งในการบริ ห ารราชการ แผ่นดิน นอกจากกรณีที่นายกรัฐมนตรี จะต้องเป็ นรัฐมนตรี ในฐานะหัวหน้าของรัฐมนตรี อื่นใน คณะรัฐมนตรี ที่จะกากับ โดยทัว่ ไปในการปฏิบัติงานของรัฐมนตรี อื่นให้ปฏิบตั ิห น้าที่ของตน แล้วตามพระราชบัญญัติระเบียบบริ หารราชการแผ่นดิน พ.ศ. ๒๕๓๔ นี้ นายกรัฐมนตรี จะต้อง “กากับโดยทัว่ ไป” ถึงการปฏิบตั ิหน้าที่ของส่วนราชการและหน่วยงานของรัฐต่าง ๆ ทั้งราชการ


๓๗

ส่ วนกลาง ราชการส่ วนภูมิภาค และราชการส่ วนท้องถิ่น รวมตลอดถึงข้าราชการ พนักงาน และ เจ้าหน้าที่ของรัฐต่าง ๆ เพื่อให้ปฏิบตั ิหน้าที่ตามอานาจหน้าที่ ของส่ วนราชการ หน่วยงาน หรื อ เจ้าหน้าที่ของรัฐนั้น ๆ ด้วย ทั้งนี้ เพื่อให้นโยบายที่ได้แถลงไว้ต่อรัฐสภาก่อนเข้าบริ หารราชการ แผ่นดิน เป็ นไปตามตามนโยบายและเป้ าประสงค์รวมถึงตามกระบวนการที่ได้กาหนดไว้ ๒) อานาจหน้า ที่ ข องข้า พเจ้า ในฐานะหั วหน้ารั ฐบาล ตามมาตรา ๑๑ เป็ น อานาจหน้าที่โดยทัว่ ไป อานาจหน้าที่ในฐานะหัวหน้ารัฐบาลตามรายละเอียดที่กาหนดในมาตรา ๑๑ แห่ งพระราชบัญญัติระเบียบบริ หารราชการแผ่นดิน พ.ศ. ๒๕๓๔ เป็ น “อานาจหน้ าที่โดยทั่ว ๆ ไป” ที่จ ะทาให้ก ารบริ ห ารราชการแผ่นดินเกิ ด ประสิ ทธิ ภ าพและเหมาะสมกับสถานการณ์ที่ เกิดขึ้น รวมทั้งที่จะกากับดูแลผูม้ ีอานาจหน้าที่โดยตรงในเรื่ องนั้น ๆ ไม่วา่ จะเป็ นรัฐมนตรี ส่วน ราชการหรื อหน่วยงานของรัฐ ข้าราชการ พนักงานของรัฐ หรื อเจ้าหน้าที่ของรัฐ ให้ดาเนิ นการ ตามอานาจหน้าที่ ได้อย่างรวดเร็ วและมีประสิ ทธิ ภ าพ สอดคล้องกับนโยบายของรัฐบาลที่ไ ด้ แถลงไว้ต่อรัฐสภา ๓) อานาจหน้าที่ ทั่วไปของนายกรัฐมนตรี ต้องค านึ งถึง “หลัก การบริ ห าร กิจการบ้านเมืองที่ดี” ในเรื่ อง “การมีผรู้ ับผิดชอบต่อผลงาน” ตามมาตรา ๓/๑ แห่งพ.ร.บ.ระเบียบ บริ หารราชการแผ่นดิน พ.ศ. ๒๕๓๔ แม้วา่ มาตรา ๑๑ (๑) แห่ ง พระราชบัญ ญัติระเบี ยบบริ ห ารราชการแผ่นดิ น พ.ศ. ๒๕๓๔ จะได้บัญ ญัติให้ อ านาจแก่ น ายกรั ฐมนตรี ในฐานะหั วหน้า รั ฐ บาลที่ จ ะก ากับ โดยทัว่ ไปซึ่ งการบริ ห ารราชการแผ่นดิ น ฯลฯ แต่ในการใช้อานาจดังกล่าวก็จ ะต้องค านึ งถึง “หลักการบริหารกิจการบ้ านเมืองที่ดี”ในเรื่ องของ “การมีผู้รับผิดชอบต่ อผลงาน” ตามนัยของ มาตรา ๓/๑ แห่งพระราชบัญญัติระเบียบบริ หารราชการแผ่นดิน พ.ศ. ๒๕๓๔ ที่บญั ญัติวา่ “มาตรา ๓/๑ การบริ หารราชการตามพระราชบัญญัติน้ ีตอ้ งเป็ นไปเพื่อประโยชน์ สุ ข ของประชาชน เกิ ด ผลสัมฤทธิ์ ต่อภารกิ จ ของรั ฐ ความมี ประสิ ทธิ ภาพ ความคุ้มค่าในเชิ ง ภารกิ จแห่ งรัฐการลดขั้นตอนการปฏิบัติงาน การลดภารกิ จและยุบเลิกหน่วยที่ ไม่จาเป็ น การ กระจายภารกิจและทรัพยากรให้แก่ทอ้ งถิ่น การกระจายอานาจตัดสิ นใจ การอานวยความสะดวก และการตอบสนองความต้องการของประชาชน ทั้งนี้ โดยมีผู้รับผิดชอบต่ อผลของงาน การจัดสรรงบประมาณ และการบรรจุและแต่งตั้งบุค คลเข้าด ารงตาแหน่งหรื อ ปฏิบตั ิหน้าที่ตอ้ งคานึงถึงหลักการตามวรรคหนึ่ง


๓๘

ในการปฏิบตั ิหน้าที่ของส่ วนราชการ ต้องใช้วิธีการบริ หารกิ จการบ้านเมืองที่ ดี โดยเฉพาะอย่างยิ่งให้คานึ งถึงความรับผิดชอบของผูป้ ฏิ บตั ิงาน การมี ส่วนร่ วมของประชาชน การเปิ ดเผยข้อมูล การติดตามตรวจสอบและประเมินผลการปฏิบตั ิงาน ทั้งนี้ ตามความเหมาะสม ของแต่ ละภารกิ จ เพื่ อประโยชน์ ในการด าเนิ น การให้ เป็ นไปตามมาตรานี้ จะตราพระราช กฤษฎีกากาหนดหลักเกณฑ์และวิธีการในการปฏิบตั ิราชการและการสั่งการให้ส่วนราชการและ ข้าราชการปฏิบตั ิก็ได้” ๔) อานาจการกากับโดยทัว่ ไปของนายกรัฐมนตรี ในลักษณะการกระทาของ รัฐบาลรับผิดชอบต่อสภา การก ากับโดยทั่วไป ยัง ไม่ใช่อานาจก ากับโดยตรง ที่ จ ะเอื้ออานวยต่อการ กระทาความผิดในทางกฎหมายอาญา ฐานปฏิบตั ิหน้าที่โดยมิชอบได้ ทั้งนี้ ศาลฎีกาได้เคยตัดสิ น ไว้ในหลายคดีวา่ การจะถือเป็ นความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา ๑๕๗ นั้น ผูก้ ระทา ความผิด ต้องมีอานาจกากับโดยตรง อาทิเช่น คาพิพากษาศาลฎีกาที่ ๓๒๗๘/๒๕๒๒ วินิจฉัยว่า กรณี จะเป็ นความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา ๑๕๗ ต้องเป็ นการปฏิ บตั ิหรื อละเว้น การปฏิบตั ิ เฉพาะแต่ตามหน้าที่ของเจ้าพนักงานผูน้ ้ นั โดยตรง ตามที่ได้รับมอบหมาย หรื อให้มี หน้าที่ น้ ัน ๆ เท่า นั้น (และค าพิ พากษาศาลฎี ก าที่ ๖๕๖๔/๒๕๔๒ และ ๑๐๐๕/๒๕๔๙ ก็ ไ ด้ วินิจฉัยไปในทานองเดียวกัน) เมื่ อยัง ไม่ ป รากฏ บทบั ญ ญั ติ แ ห่ งกฎห มายที่ บั ญ ญั ติ ไ ว้โ ดยเฉพาะ ให้ นายกรัฐมนตรี มีอานาจในการป้ องกันและปราบปรามการทุจริ ตโดยตรง นายกรัฐมนตรี จึ งมี เพีย ง “อานาจก ากับโดยทั่วไป” ในเชิ ง การขับเคลื่อนนโยบายตามที่ แถลงไว้ ในลักษณะการ กระทาของรัฐบาล (Acts of Government) ที่ มีเพียงความรับผิดชอบต่อรัฐสภาในนโยบายที่ไ ด้ แถลงไว้ เท่านั้น ตามนัยแห่ งรัฐธรรมนูญ มาตรา ๑๗๖ จึ งมิใช่เป็ นความรับผิดส่วนตัว และหาก ปรากฏว่า มีบุคคลในชั้นผูป้ ฏิบตั ิตามนโยบายรับจานาข้าว ถูกกล่าวหาว่าทุจริ ตหรื อประพฤติมิ ชอบ ก็เป็ นเพียงการกระทาส่วนตัวของบุคคลนั้นๆ ไม่ใช่กรณีที่นายกรัฐมนตรี ต้องมาร่ วมรับผิด ด้วย ๕) การละเลยหรื อเพิกเฉย ต้องมีหน้าที่โดยตรง การจะถือว่า “ละเลยหรื อเพิกเฉย” ในลักษณะมีเจตนางดเว้นการที่จะต้องกระทา


๓๙

เพื่อป้ องกันผลนั้น ตามนัยแห่ งประมวลกฎหมายอาญา มาตรา ๕๙ วรรคสาม ต้องปรากฏว่า ผูก้ ระทาความผิด มีหน้าที่โดยตรงด้วย เมื่อไม่ปรากฏบทบัญญัติแห่งรัฐธรรมนูญ หรื อกฎหมาย อันแสดงถึ งอานาจหน้า ที่ ของนายกรั ฐมนตรี ที่ มี อยู่ “โดยตรง” จึ ง ยัง ไม่มีมูล เพี ย งพอ ที่ จ ะ กล่าวหาว่า นายกรัฐมนตรี งดเว้นการปฏิบตั ิหน้าที่โดยทุจริ ต อีกทั้ง ไม่ปรากฏบัญญัติแห่งกฎหมายใด ให้นายกรัฐมนตรี เป็ นผูป้ ราบปรามการ ทุจริ ตและเป็ นทนายของแผ่นดิน เพื่อฟ้ องข้าราชการ หรื อเจ้าหน้าที่ของรัฐ ที่กระทาการทุจริ ต เป็ นรายบุคคล อีกด้วย ๖) อานาจหน้าที่ของประธานคณะกรรมการนโยบายข้าวแห่ งชาติ (กขช.) เป็ น อานาจเชิงการกาหนดกรอบนโยบายและยุทธศาสตร์ ส่วนกรณีที่ขา้ พเจ้าดารงตาแหน่งประธานคณะกรรมการนโยบายข้าวแห่งชาติ ก็ เป็ นเพี ย งอ านาจหน้ า ที่ ใ นเชิ ง การก าหนดกรอบนโยบายและยุ ท ธศาสตร์ เพื่ อ เสนอต่ อ คณะรั ฐ มนตรี ส่ ว นการติ ด ตาม ก ากับ ดู แ ลการปฏิ บัติ ต ามนโยบาย ก็ เป็ นเพี ย งการก ากั บ โดยทัว่ ไป ส่วนหากข้าราชการหรื อเจ้าหน้าที่ของรัฐ รายอื่นๆ ไม่ได้ปฏิบตั ิตามกรอบนโยบาย ที่ ฝ่ ายบริ หารได้วางไว้ ก็เป็ นความรับผิดส่วนบุคคล ที่นายกรัฐมนตรี ไม่ตอ้ งร่ วมรับผิดด้วย บันทึกแจ้งข้อกล่าวหา ควรมีเนื้อหาแห่งข้อกล่าวหาที่ชดั เจนเพียงพอ เพื่อให้ท่าน ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร ในฐานะผูถ้ กู กล่าวหา ได้เข้าใจถึงข้อกล่าวหาเพียงพอ ในระดับที่สามารถต่อสู้ แก้ขอ้ กล่าวหาได้อย่างมีประสิ ทธิ ภาพ ทั้งนี้ ตาม รัฐธรรมนูญ มาตรา ๔๐ ได้บญั ญัติวา่ “บุคคล ย่อมมี สิ ทธิ ในกระบวนการยุติธรรม ดัง ต่อไปนี้ ... (๒) สิ ทธิ พ้ื นฐานในกระบวนพิจารณา ... ได้รับทราบข้อเท็จจริ งและตรวจสอบเอกสารอย่างเพียงพอ … (๗) ในคดีอาญา ผูต้ ้องหาหรื อ จาเลย มีสิทธิ ได้รับการสอบสวนหรื อการพิจารณาคดี ที่ถูกต้อง รวดเร็ว และเป็ นธรรม โอกาส ในการต่อสู้คดีอย่างเพียงพอ การตรวจสอบหรื อได้รับทราบพยานหลักฐานตามสมควร” และตามนัยแห่ งมาตรา ๑๓ พระราชกฤษฎี ก าว่า ด้วยการหลัก เกณฑ์และวิธีการ บริ หารกิจการบ้านเมืองที่ดี พ.ศ. ๒๕๔๖ ที่บญั ญัติวา่ ให้คณะรัฐมนตรี จดั ให้มีแผนการบริ หาร ราชการแผ่นดินตลอดระยะเวลาการบริ หารราชการของคณะรัฐมนตรี เมื่ อ คณะรั ฐ มนตรี ได้ แ ถลงนโยบายต่ อ รั ฐ สภาแล้ว ให้ ส านั ก เลขาธิ ก าร คณะรัฐมนตรี สานักเลขาธิการนายกรัฐมนตรี สานักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและ


๔๐

สังคมแห่ ง ชาติ และส านัก งบประมาณ ร่ วมกันจัด ทาแผนการบริ ห ารราชการแผ่นดิ น เสนอ คณะรัฐมนตรี พิจารณาภายในเก้าสิ บวันนับแต่วนั ที่คณะรัฐมนตรี แถลงนโยบายต่อรัฐสภา เมื่อคณะรัฐมนตรี ให้ความเห็นชอบในแผนการบริ หารราชการแผ่นดินตามวรรค หนึ่ ง แล้ว ให้ มีผ ลผู ก พั นคณะรั ฐมนตรี รั ฐมนตรี และส่ วนราชการ ที่ จ ะต้องดาเนิ น การจัด ท า ภารกิจให้เป็ นไปตามแผนการบริ หารราชการแผ่นดินนั้น นอกจากนี้ จะเห็ นได้ว่ามาตรา ๑๑ (๑) นี้ บัญ ญัติ ไว้ว่า “...ก ากั บโดยทั่วไป...” ซึ่ ง ความหมายของคาว่า “กากับโดยทัว่ ไป” ย่อมจะต้องหมายถึงติดตาม ตรวจสอบ และประเมินผลการ ปฏิบตั ิของหน่วยงานและเจ้าหน้าที่ที่มีอานาจหน้าที่และรับผิดชอบโดยตรงในการปฏิบตั ิงานใน เรื่ อ งนี้ ว่า กระท าการไปตามบทบัญ ญั ติ ข องรั ฐ ธรรมนู ญ กฎหมาย นโยบายและมติ ข อง คณะรัฐมนตรี ที่กาหนดหรื อมอบหมายไว้หรื อไม่ อย่างไร โดยไม่เป็ นการใช้อานาจที่จะก้าวล่วง ต่ออานาจหน้าที่ตามกฎหมายที่บญั ญัติไว้เป็ นการเฉพาะของส่วนราชการ หน่วยงานของรัฐหรื อ เจ้าหน้าที่ของรัฐด้วย อีกทั้งการใช้อานาจของนายกรัฐมนตรี ตามมาตรา ๑๑ (๑) แห่ งพระราชบัญญัติ ระเบียบบริ หารราชการแผ่นดิน พ.ศ. ๒๕๓๔ นี้ ก็จะต้องพิจารณาถึงบทบัญญัติของกฎหมายอื่น ๆ ที่เกี่ยวข้องด้วยเช่นกัน ไม่วา่ จะเป็ นบทบัญญัติของรัฐธรรมนูญ กฎหมายอื่น ระเบียบ ประกาศ ข้อบังคับ หรื อมติของคณะรัฐมนตรี กรณี น้ ี ที่ ค ณะกรรมการ ป.ป.ช. กล่า วหาข้า พเจ้า ดัง กล่า วมาแล้ว ข้า งต้น นั้ น ข้า พเจ้า ในฐานะนายกรั ฐ มนตรี ข อชี้ แ จงแก้ข ้อกล่า วหาว่า - คณะรั ฐมนตรี ที่ มี ข ้า พเจ้า เป็ น นายกรัฐมนตรี ได้แถลงนโยบายต่อรัฐสภาเมื่อวันที่ ๒๓ สิ งหาคม ๒๕๕๔ ก่อนที่จะเข้าบริ หาร ราชการแผ่นดิน ซึ่ งตามนโยบายได้แถลงต่อรัฐสภานั้น ได้กาหนดไว้ใน ข้อ ๑. นโยบายเร่ งด่วน ที่จะเริ่ มดาเนิ นการในปี แรก โดยในข้อ ๑.๓ ระบุเป็ นใจความว่า “จะป้ องกันและปราบปรามการ ทุจริ ตและประพฤติมิชอบในภาครัฐอย่างจริ งจัง” และโดยในข้อ ๑.๑๑ ระบุเป็ นใจความว่า “จะ ยกระดับราคาสิ นค้าเกษตรและให้เกษตรกรเข้าถึงแหล่งเงินทุน โดยดูแลราคาสิ นค้าเกษตรให้มี เสถียรภาพที่เหมาะสม คานึงถึงกลไกราคาตลาดโลกโดยใช้วิธีบริ หารจัดการทางการตลาด และ กลไกตลาดซื้ อขายล่วงหน้ารวมทั้งผลักดันให้เกษตรกรสามารถขายสิ นค้าเกษตรได้ในราคาสู ง เพียงพอเมื่อเทียบกับต้นทุน และนาระบบจานาสิ นค้าเกษตรมาใช้ในการสร้างความมัน่ คงด้าน รายได้ให้แก่เกษตรกรเริ่ มต้นจากการรับจานาข้าวเปลือกเจ้า และข้าวเปลือกหอมมะลิความชื้น


๔๑

ไม่เกินร้อยละ ๑๕ ที่เกวียนละ ๑๕,๐๐๐ บาท และ ๒๐,๐๐๐ บาท ตามลาดับ” ซึ่ งตามมาตรา ๑๗๘ แห่ งรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช ๒๕๕๐ บัญญัติวา่ “ ในการบริ หารราชการ แผ่นดิ น รัฐมนตรี ตอ้ งดาเนิ นการตามบทบัญ ญัติแห่ งรัฐธรรมนูญ กฎหมาย และนโยบายที่ได้ แถลงไว้ตามมาตรา ๑๗๖ และต้องรับผิดชอบต่อสภาผูแ้ ทนราษฎรในหน้าที่ของตน รวมทั้งต้อง รับผิด ชอบร่ วมกันต่อรั ฐสภาในนโยบายทั่วไปของคณะรั ฐมนตรี ” ดัง นั้น คณะรั ฐบาลของ ข้า พเจ้า จึ ง มี ห น้า ที่ ต้อ งด าเนิ น การให้ เป็ นไปตามนโยบายที่ แ ถลงไว้ต่ อ รั ฐ สภา และการที่ นายกรัฐมนตรี จะใช้อานาจในฐานะหัวหน้ารัฐบาลตามมาตรา ๑๑ แห่ งพระราชบัญญัติระเบียบ บริ หารราชการแผ่นดิน พ.ศ. ๒๕๓๔ ก็จะต้องสอดคล้องกับนโยบายที่ได้แถลงไว้ต่อรัฐสภาและ บทบัญญัติของรัฐธรรมนูญดังกล่าวด้วย สาหรับกรณี ที่ตามข้อกล่าวหาที่วา่ “ การที่นางสาวยิ่งลักษณ์ ชิ นวัตร ในฐานะ นายกรัฐมนตรี และอยูใ่ นฐานะหัวหน้ารัฐบาลซึ่ งได้กาหนดนโยบายการรับจานาข้าวมาตั้งแต่ตน้ และอยู่ในฐานะประธานคณะกรรมการนโยบายข้าวแห่ งชาติที่มีอานาจหน้าที่เป็ นการกาหนด นโยบายและส่วนร่ วมในการบริ หารโครงการรับจานาข้าวซึ่ งสานักงาน ป.ป.ช. ได้มีหนังสื อแจ้ง แล้วว่าการดาเนิ นโครงการรับจานาข้าวดังกล่าวก่อให้เกิ ดปั ญ หาและความเสี ยหายและยังแจ้ง ด้วยว่าการดาเนินการตามโครงการได้ก่อให้เกิดปัญหาด้านต่าง ๆ อย่างมากมาย โดยเฉพาะอย่าง ยิ่งปั ญ หาการทุจริ ตเชิ งนโยบายในส่ วนของขั้นตอนและกระบวนการในการดาเนิ นโครงการ และยังได้ทราบเรื่ องการทุจริ ตในการดาเนิ นโครงการรับจานาข้าวและการระบายข้าวจากการ อภิปรายในสภาผูแ้ ทนราษฎร นอกจากนี้ ยงั ได้ทราบรายงานเรื่ องผลการดาเนินโครงการที่ผา่ นมาว่า มีการขาดทุนถึงสองแสนล้านบาท ประกอบกับได้รับทราบหนังสื อจากสานัก งานการตรวจเงิ น แผ่นดินว่าการด าเนิ นโครงการรับจานาข้าวเปลือกได้เกิ ดผลกระทบสร้างความเสี ยหายต่อเงิน งบประมาณและเกษตรกร มีความเสี่ ยงต่อระบบการคลังของประเทศ และไม่เกิดการพัฒนาการ ผลิตข้าวอย่างยัง่ ยืน อีกทั้งปรากฏว่ามีชาวนาเข้าร่ วมโครงการรับจานาข้าวที่ยงั ไม่ได้รับเงินอยู่ เป็ นจานวนมากทาให้ได้รับความเดื อดร้อนเสี ยหาย โดยแทนที่นางสาวยิ่งลัก ษณ์ ชินวัตร ใน ฐานะนายกรัฐมนตรี จะระงับ ยับยั้ง โครงการรับจานาข้าว กลับยืนยันที่จะดาเนินโครงการต่อไป อัน จะก่ อ ให้ เกิ ด ความเสี ย หายแก่ ท างราชการมากขึ้ นไปเรื่ อ ย ๆ ทั้ง ที่ มี อ านาจหน้ า ที่ ต าม พระราชบัญญัติระเบียบบริ หารราชการแผ่นดิน พ.ศ. ๒๕๓๔ มาตรา ๑๑ (๑) ที่จะสั่งระงับยับยั้ง การดาเนินโครงการรับจานาข้าวได้” นั้น


๔๒

ในกรณี เช่นนี้ แม้วา่ มาตรา ๑๑ (๑) ดังกล่าวจะให้อานาจแก่ นายกรัฐมนตรี ใน ฐานะหัวหน้ารัฐบาลที่จะ “กากับโดยทัว่ ไป” ในการบริ หารราชการแผ่นดิน ซึ่ งรวมไปถึงอานาจ ในการสั่งระงับ ยับยั้ง การปฏิ บตั ิ ราชการใด ๆ ก็ตาม แต่เมื่ อตามที่ไ ด้ช้ ี แจงมาแล้วว่า อานาจ หน้าที่ในมาตรานี้ของนายกรัฐมนตรี เป็ นเพียงอานาจกากับโดยทัว่ ไปเพื่อให้การบริ หารราชการ แผ่นดินเป็ นไปด้วยความเรี ยบร้อยและกากับควบคุมให้ส่วนราชการและเจ้าหน้าที่ของรัฐ ไม่วา่ จะเป็ นราชการส่ วนกลาง ราชการส่ วนภูมิภาค หรื อราชการส่ วนท้องถิ่น ปฏิบตั ิหน้าที่ ของตน อย่างถูกต้องตามกฎหมาย และตามนโยบายและมติคณะรัฐมนตรี การปฏิ บัติ ห น้าที่ ในเรื่ อ งใดย่อ มเป็ นอานาจหน้า ที่ โ ดยตรงของส่ วนราชการ หน่วยงานของรัฐ หรื อเจ้าหน้าที่ของรัฐที่มีอานาจหน้าที่ในเรื่ องนั้นโดยตรงหรื อตามที่มีกฎหมาย เฉพาะให้อานาจ ๗)การสัง่ ระงับยับยั้งการปฏิบตั ิราชการ ต้องกระทา “เท่าที่จาเป็ น” การจะสั่งระงับ ยับยั้ง การปฏิบตั ิราชการใดก็จะต้องกระทาเท่าที่จาเป็ นไม่เป็ น การเข้าไปก้าวล่วงหรื อขัดแย้งกับอานาจหน้าที่ของหน่วยงานหรื อเจ้าหน้าที่ของรัฐที่มีกฎหมาย เฉพาะรองรับอยู่ รวมทั้งการปฏิบตั ิราชการนั้น ๆ จะต้องเป็ นกรณี ที่ขดั ต่อนโยบายหรื อมติของ คณะรัฐมนตรี อีกด้วย นายกรัฐมนตรี มิไ ด้มีอานาจหน้า ที่ ในเรื่ องดัง กล่าวโดยตรง ดัง จะเห็ นได้ตาม คาสั่งคาร้ องของศาลปกครองสู งสุ ด ที่ ๓๗๘/๒๕๔๖ เรื่ อง คดีพิพาทเกี่ ยวกับการที่เจ้าหน้าที่ของ รัฐละเลยต่อหน้าที่ตามที่กฎหมายกาหนดให้ตอ้ งปฏิบตั ิและการกระทาละเมิดของเจ้าหน้าที่ของ รัฐละเลยต่อหน้าที่ตามที่กฎหมายกาหนดให้ตอ้ งปฏิบตั ิ ซึ่ งศาลปกครองชั้นต้นเห็นว่าตามมาตรา ๑๑ (๑) แห่ งพระราชบัญ ญัติระเบีย บบริ ห ารราชการแผ่นดิน พ.ศ. ๒๕๓๔ นายกรัฐมนตรี ใน ฐานะผูถ้ ูกฟ้ องคดีมิได้มีหน้าที่โดยตรงในการที่จะจัดสรรงบประมาณในการก่อสร้างถนนเพื่อ บรรเทาความเดื อดร้อ นให้ผูฟ้ ้ องคดี แต่เป็ นอานาจหน้า ที่ โ ดยตรงขององค์ก รปกครองส่ วน ท้องถิน่ อีกทั้งการจะจัดสรรงบประมาณเพื่อดาเนินการตามที่ผถู้ ูกฟ้ องคดีร้องขอหรื อไม่น้ นั ถือ ได้วา่ เป็ นเรื่ องการใช้ดุลพินิจในทางนโยบาย และศาลปกครองสู งสุดก็วินิจฉัยเพิ่มเติมด้วยว่า “... การดาเนิ นการจัดสรรงบประมาณให้แก่ส่ วนราชการต่าง ๆ ย่อมเป็ นไปตามนโยบายทางการ


๔๓

บริ หารราชการของรัฐบาลที่กาหนดไว้ในพระราชบัญญัติงบประมาณรายจ่ายประจาปี ซึ่ งได้ผา่ น การพิจารณาเห็นชอบจากรัฐสภาซึ่ งเป็ นฝ่ ายนิติบญั ญัติแล้ว เมื่อผูถ้ กู ฟ้ องคดีไม่ได้มีหน้าที่จดั สรร งบประมาณในการก่อสร้างเพื่อบรรเทาความเดือดร้อนให้แก่ผฟู้ ้ องคดี ผูถ้ ูกฟ้ องจึ งมิได้กระทา การหรื องดเว้นกระทาการอย่างหนึ่ งอย่างใดที่เป็ นเหตุให้ผฟู้ ้ องคดีได้รับความเดือดร้อนเสี ยหาย ...” ๘) หากนายกรัฐมนตรี สั่งระงับยับยั้ง การด าเนิ นโครงการรับจานาข้าว จะไม่ เป็ นไปตามรัฐธรรมนูญฯ มาตรา ๑๗๘ เมื่อตามข้อเท็จจริ งคณะรัฐมนตรี ได้แถลงนโยบายต่อรัฐสภาก่อนเข้าบริ ห าร ราชการแผ่นดินถูกต้องตามกระบวนการในมาตรา ๑๗๖ ของรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย โดยตามนโยบายที่แถลงหรื อระบุถึงนโยบายการป้ องกันและปราบปรามการทุจริ ตในภาครั ฐ อย่า งจริ ง จัง และนโยบายยกระดับ สิ น ค้า เกษตรและให้ เกษตรกรเข้า ถึง แหล่ง เงิ น ทุ น เช่ น ก าหนดการน าระบบสิ นค้า เกษตรมาใช้ในการสร้า งความมั่น คงด้า นรายได้ให้แก่ เกษตรกร เริ่ มต้นจากการจานาข้าวเปลือกเจ้าและข้าวเปลือกหอมมะลิดว้ ยแล้ว การที่นายกรัฐมนตรีจะใช้ อานาจหน้ าที่ในฐานะหัวหน้ ารั ฐบาลตามมาตรา ๑๑ (๑) แห่ งพระราชบัญ ญัติร ะเบี ย บบริ ห าร ราชการแผ่ น ดิ น พ.ศ. ๒๕๓๔ สั่ ง ระงับ ยั บ ยั้ ง การด าเนิ น โครงการรั บ จ าน าข้ า วตามที่ คณะกรรมการ ป.ป.ช. แจ้ง ในข้อ กล่า วหา ก็ จะเป็ นการใช้ อ านาจหน้ าที่โดยไม่ เป็ นไปตาม บทบัญญัติของรัฐธรรมนูญในมาตรา ๑๗๘ ที่นายกรัฐมนตรีในฐานะรัฐมนตรีคนหนึ่งที่จะต้ อง ดาเนินการให้ เป็ นไปตามบทบัญญัติของรัฐธรรมนูญ กฎหมาย และนโยบายทีแ่ ถลงไว้ต่อรัฐสภา อันเป็ นเหตุที่จะทาให้ถูกร้องเพื่อถอดถอนออกจากตาแหน่งตามมาตรา ๒๗๐ ของรัฐธรรมนูญ ได้ เนื่องจากจงใจไม่ปฏิบตั ิตามบทบัญญัติของรัฐธรรมนูญ ๙) นายกรั ฐมนตรี จะใช้อานาจสั่งระงับยับยั้ง ฯ ตามมาตรา ๑๑(๑) เป็ นดุลพินิจ และตามดุลพินิจ ต้องเห็นว่าเป็ นกรณีจาเป็ นและไม่ขดั กับนโยบายรัฐบาล นอกจากนี้ การที่จะใช้อานาจสั่งระงับยับยั้ง การปฏิบตั ิราชการใด ๆ ตามมาตรา ๑๑ (๑) แห่ งพระราชบัญญัติระเบียบบริ หารราชการแผ่นดิน พ.ศ. ๒๕๓๔ ก็ได้ระบุไว้ชดั เจนว่า จะต้ องเป็ นกรณีจาเป็ นและเป็ นกรณีทกี่ ารปฏิบัติราชการนั้นขัดต่ อนโยบายหรื อมติคณะรัฐมนตรี


๔๔

ดังจะเห็นได้ ว่าเป็ นการให้อานาจแก่นายกรัฐมนตรี ที่จะใช้ ดุลพินิจในการบริหารราชการแผ่ นดิน ที่จะดาเนินการใด ๆ เพื่อประโยชน์แก่การบริ หารราชการแผ่นดิน ๑๐) นายกรัฐมนตรี ยังไม่มีค วามจ าเป็ นที่ จะระงับยับยั้งฯ ตามมาตรา ๑๑ (๑) แห่งพระราชบัญญัติระเบียบบริ หารราชการแผ่นดิน พ.ศ. ๒๕๓๔ ต่อโครงการรับจานาข้าว เมื่อ คณะกรรมการป.ป.ช. เตือน ก็มิได้นิ่งเฉย แต่มีการตั้งคณะกรรมการอานวยการตรวจสอบเพื่อ ป้ องกันการทุจ ริ ตในการรับจ านาข้า ว การเยียวยา ฟื้ นฟู และป้ องกันสาธารณภัย และการใช้ จ่ายเงินงบประมาณขององค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น ลงวันที่ ๖ กรกฎาคม ๒๕๕๕ หากเห็นว่ายังไม่มคี วามจาเป็ นที่จะใช้อานาจในการสั่งระงับ ยับยั้งตามมาตรา ๑๑ (๑) ยังให้อานาจนายกรัฐมนตรี ในฐานะหัวหน้ารัฐบาลที่จะมีอานาจสัง่ สอบสวนข้อเท็จจริ ง เกี่ยวกับการปฏิบตั ิราชการด้วยก็ได้ ซึ่ งในกรณีของการดาเนินโครงการรับจานาข้าวที่สานักงาน ป.ป.ช. มี หนังสื อแจ้งมายังนายกรัฐมนตรี เมื่อวันที่ ๗ ตุลาคม ๒๕๕๔ และวันที่ ๓๐ เมษายน ๒๕๕๕ ที่สรุ ปว่า “คณะกรรมการ ป.ป.ช. ได้ดาเนินการติดตาม การดาเนิ นการตามโครงการรับ จานาข้าวของรัฐบาลแล้ว พบว่ามี การด าเนิ นการตามโครงการอันก่อให้เกิ ด ปั ญ หาด้านต่าง ๆ อย่างมากมาย โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ปั ญ หาการทุจ ริ ตเชิ งนโยบาย และในส่ วนของขั้นตอนและ กระบวนการในการด าเนิ น โครงการ” ข้า พเจ้า ในฐานะนายกรั ฐมนตรี ก็ ไ ด้มี ค าสั่ ง ส านัก นายกรัฐมนตรี ที่ ๑๕๖/๒๕๕๕ เรื่ อง แต่งตั้งคณะกรรมการอานวยการตรวจสอบเพื่อป้ องกัน การทุจ ริ ตในการรั บจานาข้า ว การเยีย วยา ฟื้ นฟู และป้ องกันสาธารณภัย และการใช้จ่า ยเงิ น งบประมาณขององค์ก รปกครองส่ วนท้องถิ่น ลงวัน ที่ ๖ กรกฎาคม ๒๕๕๕ เพื่อตรวจสอบ ป้ องกัน และปราบปรามการทุ จ ริ ต ในการด าเนิ น การตามนโยบายการรั บ จ าน าข้า ว โดยมี หน่ วยงานที่ เกี่ ย วข้อง เช่ น กระทรวงการคลัง กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ และกระทรวง พาณิ ชย์ ให้ ค วามร่ วมมื อและหากพบว่ามี ก ารทุจ ริ ตก็จ ะมี ก ารด าเนิ น การตามกฎหมายอย่า ง เคร่ งครัดต่อไป ๒.๗.๓ การไม่ระงับยับยั้ง โครงการรับจานาข้าวของนายกรัฐมนตรี คือ การไม่ใช้อานาจตามมาตรา ๑๑(๑) และดาเนินโครงการต่อไป-เป็ นการชอบแล้ว


๔๕

ตามบันทึกการแจ้งข้อกล่าวหาของคณะกรรมการ ป.ป.ช. ข้อ ๔ ที่กล่าวหา ว่า “เมื่อนายกรัฐมนตรี ได้รับทราบข้อเท็จจริ งเกี่ยวกับปัญหาและการทุจริ ต รวมทั้งความเสี ยหาย ที่เกิดขึ้นในโครงการรับจานาข้าวแล้ว แทนที่นายกรัฐมนตรี จะระงับยับยั้งโครงการรับจานาข้าว กลับยืนยันที่จะดาเนิ นโครงการต่อไป ทั้งที่มีอานาจหน้าตามมาตรา ๑๑ (๑) แห่งพระราชบัญญัติ ระเบีย บบริ ห ารราชการแผ่นดิ น พ.ศ. ๒๕๓๔ ที่จ ะสั่งยับยั้งการดาเนิ นโครงการรับจานาข้า ว ดังกล่าวได้” นั้น ข้อเท็จจริ งและข้อกฎหมายมิได้เป็ นไปตามที่คณะกรรมการ ป.ป.ช. มีบนั ทึก การแจ้งข้อกล่าวหา กล่าวคือ นายกรัฐมนตรี ซ่ ึ งเป็ นผูบ้ งั คับบัญชาสูงสุ ดของรัฐบาลนั้น มีหลายสถานะทับซ้อน กันอยู่ นายกรัฐมนตรี มีอานาจหน้าที่ในการบริ หารราชการแผ่นดินตามมาตรา ๑๑ ซึ่ งอาจเป็ น การกากับควบคุมสั่งการเพื่อประสานนโยบายของหน่วยงานต่าง ๆ และเจ้าหน้าที่ของรัฐให้ไปใน แนวทางเดี ยวกัน หรื อในแนวทางของนโยบายที่ คณะรัฐมนตรี ได้แถลงต่อสภา ในแง่น้ ี ก ารใช้ อานาจของนายกรัฐมนตรี ก็จะมีลกั ษณะเป็ น “กิ จการที่ฝ่ายบริ หารปฏิบตั ิในฐานะของรัฐบาล” หรื อ “การกระทาทางรัฐบาล” ซึ่ ง แม้ศาลก็ไม่เข้าไปตรวจสอบการใช้อานาจ รวมทั้งไม่ได้มี ฐานะเจ้าพนัก งานหรื อเจ้า หน้าที่ ข องรั ฐตามมาตรา ๑๕๗ แห่ ง ประมวลกฎหมายอาญา หรื อ มาตรา ๑๒๓/๑ แห่ งพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการป้ องกันและปราบปรามการ ทุจริ ต พ.ศ. ๒๕๔๒ มาตรา ๑๑ (๑) เป็ นส่ วนหนึ่งของระบบการควบคุมการใช้อานาจขององค์กร ของรั ฐ ฝ่ ายบริ ห ารซึ่ งเป็ นการควบคุม ภายใน โดยให้ เป็ นอ านาจของนายกรั ฐมนตรี ซ่ ึ งเป็ น ผูบ้ งั คับบัญชาสูงสุดขององค์กรของรัฐฝ่ ายบริ หาร การใช้อานาจในการควบคุมดังกล่าวเป็ นคนละ เรื่ องกับ “การปฏิบัติห น้า ที่ โดยมิ ชอบด้วยกฎหมายของเจ้าพนัก งาน” ซึ่ งเป็ นเรื่ องการปฏิ บัติ หน้าที่ของเจ้าพนักงานที่กฎหมายต่าง ๆ ได้ให้อานาจไว้ ๑) การยืนยันดาเนิ นโครงการรับจานาข้าวต่อไป-เป็ นการตัดสิ นใจทางการเมือง ที่นายกรัฐมนตรี ไม่อาจใช้อานาจตามมาตรา ๑๑(๑) ขัดแย้งกับรัฐบาล การใช้อานาจของนายกรัฐมนตรี ตามาตรา ๑๑ (๑) ในการที่จะพิจารณาสั่งระงับ ยับยั้งการดาเนิ นโครงการรับจานาข้าวนั้น เนื่ องจากการดาเนิ นการโครงการรับจานาข้าวเป็ นเรื่ อง


๔๖

นโยบายของรัฐบาลที่ได้แถลงต่อรัฐสภา การใช้อานาจหน้าที่ของนายกรัฐมนตรี ตามมาตรา ๑๑ (๑)ก็ ย่อมจะต้องสอดคล้องกับนโยบายของรัฐบาล ในเมื่อรัฐบาลได้พิจารณาทบทวนภายหลังจาก ทราบปัญหาต่าง ๆ แล้ว ยังคงยืนยันที่จะดาเนินโครงการต่อไปอันเป็ นการตัดสิ นใจทางการเมือง นายกรัฐมนตรี ก็ยอ่ มจะไม่สามารถใช้อานาจตามาตรา ๑๑ (๑) ให้ขดั แย้งกับรัฐบาลได้ แม้จะถือว่าการใช้อานาจของนายกรัฐมนตรี ตามมาตรา ๑๑ จะมีฐานะเป็ นเจ้า พนักงานหรื อเจ้าหน้าที่ของรัฐ แต่นายกรัฐมนตรี ได้ดาเนินการใช้อานาจตามมาตรา ๑๑ (๑) ใน การสัง่ การต่าง ๆ ที่เห็นว่าเหมาะสม โดยมิได้เพิกเฉยหรื อละเลยเพื่อป้ องกันไม่ให้โครงการรับจานา ข้าวเกิดการทุจริ ตหรื อเกิดปัญหารวมทั้งความเสี ยหาย ดังรายละเอียดข้อเท็จจริ ง ดังกล่าวมาแล้ว ข้างต้น และตามรายละเอียดที่จะได้นาสื บแก้ขอ้ กล่าวหาต่อไปซึ่ งจะมีการอ้างพยานบุคคล และ นาส่งพยานเอกสารประกอบด้วย ๒) ศาลตรวจสอบการใช้อานาจของนายกรั ฐมนตรี ในการใช้มาตรา ๑๑(๑) เฉพาะกรณีที่เป็ นเรื่ อง “การใช้ดุลพินิจไม่ชอบ” การดาเนิ นการใช้อานาจของนายกรัฐมนตรี ตามมาตรา ๑๑ (๑) ดังกล่าว เป็ นที่ ยอมรั บ กัน ว่า ศาลไม่ ว่า จะเป็ นศาลยุติธ รรมหรื อศาลปกครองจะมาตรวจสอบว่า ไม่ถูก ต้อ ง หรื อไม่เหมาะสมไม่ได้ ยกเว้นแต่เป็ นเรื่ องการใช้ดุลพินิจไม่ชอบ และไม่วา่ ผลจะออกมาจะดี หรื อไม่ดีก็ตาม เพราะไม่เช่นนั้นจะขัดกับหลักการแบ่ งแยกอานาจ เป็ นการเข้ามาแทรกแซงฝ่ าย บริ ห าร คณะกรรมการ ป.ป.ช. และศาลจึ งไม่อาจนามาตรา ๑๕๗ แห่ งประมวลกฎหมายอาญา และ มาตรา ๑๒๓/๑แห่ งพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการป้ องกันและปราบปรามการ ทุจริ ต พ.ศ. ๒๕๔๒ มาบังคับใช้ได้ ๓) นายกรัฐมนตรี ใช้ดุลพินิจโดยชอบ ไม่ได้มีพฤติการณ์ที่เป็ นการใช้ดุลพินิจ โดยชอบ ไม่มีพฤติการณ์ใช้ดุลพินิจโดยไม่สุจริ ต การใช้อานาจของนายกรัฐมนตรี ตามาตรา ๑๑ (๑) แตกต่างจากกรณี ที่ศาลฎีก า แผนกคดีอาญาของผูด้ ารงตาแหน่งทางการเมืองได้มีคาพิพากษาศาลฎีกาที่ อ.ม. ๗/๒๕๕๒ และ คาพิพากษาที่ อ.ม. ๑๐/๒๕๕๒ ซึ่ งเป็ นกรณี ที่มติค ณะรัฐมนตรี ข ัด ต่อกฎหมาย แต่ในการใช้ อานาจของนายกรัฐมนตรี ตามมาตรา ๑๑ (๑) ซึ่ งเป็ นเรื่ องการใช้อานาจในการควบคุมกากับให้


๔๗

การดาเนินการโครงการรับจานาข้าวบรรลุผลตามนโยบายของรัฐบาล ไม่ได้ มีการดาเนินการที่ขดั ต่อ กฎหมายแต่อย่างใด และเป็ นการใช้ดุลพินิจโดยชอบ ไม่ได้มีพฤติการณ์วา่ เป็ นการใช้ดุลพินิจโดย ไม่สุจริ ต คณะกรรมการ ป.ป.ช. และศาลจึงไม่ สามารถเข้ ามาตรวจสอบเพื่อให้ นายกรัฐมนตรี ต้ องรับผิดชอบ ดังนั้น หากไม่ปรากฏข้อเท็จจริ งว่านายกรัฐมนตรี มีเจตนาทุจริ ตหรื อเจตนาร้ายแล้ว ย่ อมไม่ เป็ นความผิดอาญาตามมาตรา ๑๕๗ แห่ งประมวลกฎหมายอาญา และมาตรา ๑๒๓/๑ แห่ งพระราชบัญ ญัติประกอบรั ฐธรรมนู ญ ว่าด้วยการป้ องกันและปราบปรามการทุจ ริ ต พ.ศ. ๒๕๔๒ ๔) การตรวจการใช้อานาจนายกรัฐมนตรี โครงการรับจานาข้าว ตามมาตรา ๑๑ (๑) เป็ นเรื่ องตรวจสอบนโยบายของรัฐบาล เป็ นการตรวจสอบกัน ตามรัฐธรรมนูญฯมิ ใช่การ ตรวจสอบควบคุมทางอาญา การใช้อานาจของนายกรัฐมนตรี ตามมาตรา ๑๑ (๑) เกี่ ยวกับโครงการรับจานา ข้าวนั้นเป็ นนโยบายของรัฐบาล ควรเป็ นความรับผิดทางการเมือง ซึ่ งเป็ นการควบคุมตรวจสอบ การใช้อานาจทางนโยบายทางการเมือง ซึ่ งควรมีการตรวจสอบกันตามรัฐธรรมนู ญ มิ ใช่การ ตรวจสอบควบคุ มทางอาญา ซึ่ งมี วตั ถุประสงค์มุ่ ง การคุ้มครองทางสั ง คมให้ เกิ ด ความสงบ เรี ยบร้อย และการแก้ไขผูก้ ระทาความผิด การให้มีการตรวจสอบทางอาญาได้จะทาให้การตรวจสอบการใช้อานาจรัฐเกิ ด ความสั บ สนก่ อ ให้ เกิ ด การก้า วก่ า ยกลไกตรวจสอบซึ่ งอยู่ใ นความรั บ ผิ ด ชอบของรั ฐ สภา โดยเฉพาะอย่ า งยิ่ ง การแทรกแซงดุ ล พิ นิ จ ในการตั ด สิ นใจของนายกรั ฐ มนตรี ซึ่ งเป็ น ผูบ้ งั คับบัญชาเจ้าหน้าที่ของรัฐ ๕) การจะผิดตามมาตรา ๑๕๗ แห่งประมวลกฎหมายอาญา และมาตรา ๑๒๓/ ๑ แห่ งพระราชบัญ ญัติประกอบรัฐธรรมนูญ ว่าด้วยการป้ องกันและปราบปรามการทุจริ ต พ.ศ. ๒๕๔๒ จะต้องมีเจตนาพิเศษ คือ “เพื่อให้เกิดความเสี ยหายแก่ผหู้ นึ่งผูใ้ ด” แต่โครงการรับจานา ข้าวเป็ นโครงการที่ชาวนาได้รับประโยชน์-จึงไม่มีเจตนาพิเศษที่จะผิดอาญาดังกล่าว การกระทาความผิดตามมาตรา ๑๕๗ แห่ งประมวลกฎหมายอาญา และมาตรา ๑๒๓/๑ แห่ งพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการป้ องกันและปราบปรามการทุจริ ต


๔๘

พ.ศ. ๒๕๔๒ จะต้องมีเจตนาพิเศษ คือ “ เพื่อให้ เกิดความเสียหายแก่ ผู้หนึ่งผู้ใด” ซึ่ งนายกรัฐมนตรี ได้ดาเนินการเกี่ยวกับโครงการรับจานาข้าว เพื่อให้ชาวนาได้รับประโยชน์ ดังรายละเอียดที่กล่าว มาแล้วข้างต้นแล้วนั้น การที่นายกรัฐมนตรี ไม่ได้ยกเลิกโครงการรับจานาข้าว ก็ไม่ได้มีเจตนา พิเศษเพื่อให้รัฐบาลหรื อชาวนาได้รับความเสี ยหายแต่อย่างใด ๖) การที่ชาวนายังไม่ได้รับเงิน ส่ วนการที่ ช าวนายัง ไม่ ไ ด้รั บ เงิ น นั้ น ก็ มิ ไ ด้เป็ นผลมาจากการการที่ ข ้า พเจ้า ดาเนิ นการโครงการรั บจานาข้า วดัง กล่า วในฐานะนายกรัฐมนตรี แต่อย่างใด ซึ่ งรายละเอีย ด ข้าพเจ้าจะได้ช้ ีแจงแก้ขอ้ กล่าวหาในประเด็นนี้ในคาให้การชี้แจงแก้ขอ้ กล่าวหาข้อต่อไป ๒.๗.๔ นายกรั ฐ มนตรี ใ นฐานะประธานคณะกรรมการนโยบายข้ าว แห่ งชาติมไิ ด้ กระทาความผิดใดๆ ตามทีค่ ณะกรรมการ ป.ป.ช. มีบันทึกการแจ้งข้ อกล่ าวหา นายกรัฐมนตรี ในฐานะประธานคณะกรรมการนโยบายข้าวแห่งชาติมิได้ กระทาความผิดใดๆ ตามที่คณะกรรมการ ป.ป.ช. มีบนั ทึกการแจ้งข้อกล่าวหา - เนื่องจาก การมีคณะกรรมการนโยบายข้าวแห่ งชาติ สื บเนื่ องมาจากการที่ขา้ พเจ้า ในฐานะนายกรั ฐ มนตรี ได้มี ค าสั่ ง ส านั ก นายกรั ฐ มนตรี ที่ ๑๕๓/๒๕๕๔ เรื่ อ ง แต่ ง ตั้ง คณะกรรมการนโยบายข้าวแห่ งชาติ ลงวันที่ ๘ กันยายน ๒๕๕๔ โดยอาศัยอานาจตามมาตรา ๑๑ (๖) แห่ ง พระราชบัญ ญัติ ร ะเบี ย บบริ ห ารราชการแผ่ น ดิ น พ.ศ. ๒๕๓๔ ที่ ใ ห้ อ านาจ นายกรั ฐ มนตรี ในฐานะหั ว หน้ า รั ฐ บาลในการแต่ ง ตั้ง ผู้ท รงคุ ณ วุฒิ เป็ นคณะที่ ป รึ ก ษาของ นายกรัฐมนตรี หรื อเป็ นคณะกรรมการเพื่อปฏิบตั ิราชการใด ซึ่ งคณะกรรมการดังกล่าวมีอานาจ หน้าที่ ดังต่อไปนี้ ๑. เสนอกรอบนโยบายและยุทธศาสตร์ขา้ วต่อคณะรัฐมนตรี ท้ งั ในระยะสั้น และระยะยาวเพื่อให้การจัดการข้าวสอดคล้องกันทั้งระบบและมีการพัฒนาต่อเนื่อง ๒. อนุมตั ิแผนงาน โครงการ และมาตรการเกี่ ยวกับการผลิตและการตลาด ข้าว ๓. ส่งเสริ มและสนับสนุนการศึกษาวิจยั และพัฒนา เพื่อเพิ่มคุณภาพ


๔๙

ลดต้นทุน และส่ งเสริ มการผลิตข้าวที่สอดคล้องกับความต้องการของตลาดโลก โดยผ่านกองทุน วิจยั พัฒนาและส่งเสริ มการผลิตและการตลาด ๔. พิ จ ารณาหลัก เกณฑ์ และวิธี ก ารสนั บ สนุ น ช่ ว ยเหลื อ เกษตรกร สถาบันเกษตรกร ผูป้ ระกอบการโรงสี ผูค้ า้ และผูส้ ่ งออกข้าว เพื่อให้การบริ หารจัดการข้าวทั้ง ระบบเป็ นไปอย่างมีประสิ ทธิภาพ ๕. ติ ดตาม ก ากับดู แลการปฏิ บัติ ตามนโยบาย มาตรการ และโครงการที่ อนุมตั ิ ๖. แต่งตั้งคณะอนุกรรมการ คณะทางาน และคณะที่ปรึ กษา เพื่อดาเนิ นการ ด้านการผลิต การตลาด และการแก้ไขปัญหาเกี่ยวกับข้าว ๗. เชิญบุคคลที่เกี่ ยวข้องมาชี้แจงหรื อขอเอกสารหลักฐาน โดยให้ส่วนราชการ รัฐวิสาหกิ จ หรื อหน่ วยงานของทางราชการให้ ความร่ วมมื อและสนับสนุ นการด าเนิ นการของ คณะกรรมการ ๘. ดาเนินการอื่นตามที่นายกรัฐมนตรี หรื อคณะรัฐมนตรี มอบหมาย” ๑.) ลักษณะของอานาจหน้าที่ของคณะกรรมการนโยบายข้าวแห่งชาติ อานาจหน้าที่ของคณะกรรมการนโยบายข้าวแห่งชาติ จะเห็นได้วา่ เป็ นเพียงเรื่ องการ ดาเนินการต่างๆ ในทางปฏิบตั ิเพื่อให้โครงการรับจานาข้าวซึ่ งเป็ นนโยบายของรัฐบาลบรรลุผลโดย ไม่ได้เป็ นการดาเนินการโดยอาศัยอานาจตามกฎหมายใด มีลักษณะเป็ นงานนโยบาย การใช้อานาจ หน้าที่ของคณะกรรมการฯ จึ งเป็ น “การกระทาทางรัฐบาล” นอกจากนี้ นายกรัฐมนตรีก็มีฐานะเป็ น ประธาน ไม่ได้ มอี านาจดาเนินการแทนคณะกรรมการฯ เป็ นเอกเทศแต่ อย่ างใด คณะกรรมการดัง กล่า วเป็ นองค์ก รที่ มี ห น้ า ที่ ห ลัก ในการให้ ค าปรึ ก ษาแก่ นายกรั ฐมนตรี เกี่ ยวกับการด าเนิ นการโครงการรั บจ านาข้าว คณะกรรมการฯ ไม่ไ ด้เป็ นผูใ้ ช้ อานาจหน้าที่ทางกฎหมายแต่อย่างใด ประกอบกับคณะกรรมการดังกล่ าวไม่ได้ มีอานาจในการ มีมติสั่งยกเลิกโครงการรับจานาข้ าว เป็ นเพียงทาหน้าที่ที่ปรึ กษาและดาเนิ นการต่าง ๆ ในบาง เรื่ อง เพื่อให้การดาเนิ นการโครงการรับจานาข้าวบรรลุผล นายกรัฐมนตรี ในฐานะประธานคณะ


๕๐

กรรมการฯ ก็ไม่มีอานาจที่จะกระทาการดังข้อที่ถกู กล่าวได้ ข้าพเจ้าในฐานะนายกรัฐมนตรี จึงไม่ ต้ อ งรั บ ผิ ด ตามมาตรา ๑๕๗ แห่ งประมวลกฎหมายอาญ า และมาตรา ๑๒๓ /๑ แห่ ง พระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการป้ องกันและปราบปรามการทุจริ ต พ.ศ. ๒๕๔๒ ดังที่คณะกรรมการ ป.ป.ช. มีบนั ทึกการแจ้งข้อกล่าวหาแต่อย่างใด ๒.) หากคณะกรรมการ ป.ป.ช ชี้มูลความผิดนายกรัฐมนตรี จะขัดกับรัฐธรรมนูญ ฯ มาตรา ๑๘๑ ทั้ง นี้ การด าเนิ น การของคณะกรรมการ ปปช. ยัง ขัด กับ หลัก กฎหมายขัด กัน กล่าวคือในกรณี น้ ี ตามกฎหมายรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช ๒๕๕๐ มาตรา ๑๘๑ บัญ ญัติวา่ “คณะรัฐมนตรี ที่พน้ จากตาแหน่ง ต้องอยู่ในตาแหน่ งเพื่อปฏิ บตั ิ หน้าที่ ต่อไป จนกว่าคณะรัฐมนตรี ชุดใหม่จะเข้ารับหน้าที่ แต่ในกรณี พน้ จากตาแหน่งตามมาตรา ๑๘๐ (๒) คณะรัฐมนตรี และรัฐมนตรี จะปฏิบตั ิหน้าที่ได้เท่าที่จาเป็ นภายใต้เงื่อนไขที่กาหนด....” และตาม พระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการปราบปรามและป้ องกันการทุจริ ต พุทธศักราช ๒๕๔๒ มาตรา ๕๕ บัญ ญัติว่า “ ในกรณี ที่ค ณะกรรมการ ป.ป.ช. มี มติ วา่ ข้อกล่าวหาใดมี มูล และข้อกล่าวหานั้นเป็ นเรื่ องตามมาตรา ๔๓ (๑) หรื อ (๒) นับแต่วนั ที่คณะกรรมการ ป.ป.ช. มี มติดงั กล่าวผูถ้ ูกกล่าวหาจะปฏิ บตั ิห น้าที่ต่อไปมิได้จนกว่าวุฒิ สภาจะมีมติห รื อศาลฎี กาแผนก คดี อาญาของผู้ด ารงตาแหน่ ง ทางการเมื องจะมี ค าพิ พ ากษา แล้วแต่ก รณี ” จึ ง เห็ นได้ว่าการ ดาเนินการของคณะกรรมการ ปปช.ในขณะนี้ที่หากจะมีการชี้มูลความผิด ก็จะขัดกับบทบัญญัติ ตามกฎหมายรัฐธรรมนูญที่กาหนดให้นายกรัฐมนตรี ตอ้ งอยูใ่ นตาแหน่งเพื่อปฏิบตั ิหน้าที่ต่อไป จนกว่าคณะรัฐมนตรี ชุดใหม่จะเข้ารับหน้าที่ ซึ่ งโดยผลของกฎหมายขัดกันดังกล่ าวจึงต้ องบังคับ ใช้ กฎหมายที่มีศักดิ์สูงกว่ าคือกฎหมายรัฐธรรมนูญ ดังนั้นในขณะนี้ คณะกรรมการ ปปช.จึงยัง ไม่มีอานาจที่จะสอบสวนและชี้มูลความผิดได้จนกว่าจะมีคณะรัฐมนตรี ชุดใหม่จะเข้ารับหน้าที่ แต่อย่างไรก็ดี เหตุแห่งการต้องหยุดปฏิบตั ิหน้าที่น้ ี ไม่ใช่เหตุแห่งการพ้นความเป็ นรัฐมนตรี ตาม รัฐธรรมนู ญ มาตรา ๑๘๒ ดังนั้น แม้ ว่า นายกรัฐมนตรี จะถูก ชี้มูลโดยคณะกรรมการ ป.ป.ช. บุ คคลในคณะรั ฐ มนตรี ที่ได้ ยุ บ สภาแล้ ว ก็สามารถปฏิบัติหน้ าที่ รั ก ษาการในตาแหน่ ง ตาม รัฐธรรมนู ญ มาตรา ๑๘๑ ต่ อไปได้ เพราะการหยุดปฏิบัติหน้ าที่ เป็ นเหตุเฉพาะตัว และไม่ ใช่


๕๑

เหตุที่ทาให้ นายกรัฐมนตรี ต้ องพ้ นจากความเป็ นรัฐมนตรี จึงไม่ อาจจะทาให้ รัฐมนตรีท้งั คณะ ต้ องพ้ นจากการเป็ นรัฐมนตรีรักษาการ ซ้าซ้ อนอีก ภายหลังได้ มกี ารยุบสภาผู้แทนราษฎรแล้ ว

ดัง นั้ นจึ ง สรุ ป ได้ว่า การท าหน้ า ที่ ข องนายกรั ฐ มนตรี ต ามบทบาทหน้ าที่ ใ น โครงการรั บจานาข้ าวไม่ มี ความผิ ด ใด ๆทั้งสิ้ นตามที่ถู ก กล่ าวหา เพราะ ตามบทบาทอานาจ หน้ า ที่ แ ละความรั บ ผิ ด ชอบของนายกรั ฐ มนตรี ใ นโครงการรั บ จ าน าข้า ว การกระท าของ นายกรัฐมนตรี เป็ นการกระทาการในฐานะเป็ นหนึ่ งในรัฐมนตรี ของ “คณะรัฐมนตรี ” ที่ดาเนิ น โครงการรับจานาข้าวตามที่รัฐบาลได้แถลงไว้กบั รัฐสภาเท่านั้น มิได้เป็ นผูก้ ระทาความผิดใดๆ ทั้งสิ้ นตามที่มีการแจ้งข้อกล่าวหา “หน่ วยงานต่ างๆ ที่เกี่ยวข้ อง” ของราชการมีหน้าที่และความ รับ ผิด ชอบในการด าเนิ นการให้น โยบายของรั ฐบาลบรรลุตามเป้ าประสงค์ที่ ก าหนด การที่ คณะรัฐมนตรี ของข้าพเจ้าดาเนิ นการให้เป็ นไปตามนโยบายที่แถลงไว้ต่อรัฐสภา เมื่อวันที่ ๒๓ สิ งหาคม ๒๕๕๔ ตามโครงการรับจานาข้าว พร้อมกับมีการติดตาม ตรวจสอบ และประเมินผล การดาเนิ นการให้เป็ นไปตามนโยบายดัง กล่าว จึ งถือว่าข้าพเจ้าในฐานะนายกรัฐมนตรี ไม่ไ ด้ กระทาความผิดใด ๆ ดังที่คณะกรรมการ ป.ป.ช.แจ้งข้อกล่าวหาแต่อย่างใดทั้งสิ้ น นอกจากนี้ การที่คณะรัฐมนตรี ที่มีขา้ พเจ้าเป็ นนายกรัฐมนตรี ยงั คงยืนยันดาเนิ นโครงการต่อไปให้เป็ นไป ตามนโยบายที่แถลงไว้ต่อรัฐสภาเมื่อวันที่ ๒๓ สิ งหาคม ๒๕๕๔ ในเรื่ องที่ถูกกล่าวหา ซึ่ งตาม ข้อเท็จจริ ง ที่ ปรากฏกรณี วา่ ยังได้มีก ารติดตาม ตรวจสอบ และประเมินผล การด าเนิ นการให้ เป็ นไปตามนโยบายดังกล่าว โดย การมีมติของคณะรัฐมนตรี ประกาศและคาสั่งใด ๆ ที่ออกมา เพื่อติ ด ตาม ตรวจสอบในเรื่ องดังกล่าว (ซึ่ งจะได้นาเสนอในชั้นนาสื บแก้ข ้อกล่า วหาต่อไป) หรื อ ยังปรากฏมีกรณีที่มีการตั้ง “คณะทางานติดตามตรวจสอบการทุจริ ตโครงการรั บจานาข้ าว ฯ” ที่ มี ร.ต.อ. เฉลิม อยู่บารุ ง รองนายกรัฐมนตรี เป็ นประธานคณะทางานตามค าสั่ง ส านัก นายกรัฐมนตรี ที่ ๑๕๖/๒๕๕๕ ลงวันที่ ๖ กรกฎาคม ๒๕๕๕ นั้น การกระทาของข้าพเจ้าก็ไม่ เป็ นความผิดใด ๆ ตามกฎหมาย ตามที่คณะกรรมการ ป.ป.ช. มีบนั ทึกแจ้งข้อกล่าวหาแต่อย่างใด ทั้งสิ้ น และถือว่าข้าพเจ้าในฐานะนายกรัฐมนตรี มิไ ด้ละเว้นกระทาการโดยไม่ใช้อานาจตาม มาตรา ๑๑ (๑) แห่ งพระราชบัญญัติบริ ห ารราชการแผ่นดิน พ.ศ. ๒๕๓๔ เกี่ ยวกับการดาเนิ น


๕๒

โครงการรับจานาข้าว แต่ในทางตรงกันข้าม เหตุที่มีคาสั่งของข้าพเจ้าดังกล่าวข้างต้นเป็ นไป เพราะข้าพเจ้ามีเจตนาให้โครงการรับจานาข้าวมี บุคคลในคณะรัฐมนตรี ที่มีความรู้ความสามารถ ในการตรวจสอบเข้า ไป ก ากั บ ควบคุ ม ดู แ ล ตรวจสอบ ให้ โ ครงการรั บ จ าน าข้า วตาม ข้อเสนอแนะของคณะกรรมการ ป.ป.ช. เป็ นไปโดยมี ป ระสิ ท ธิ ภาพปราศจากการทุ จริ ตทุ ก ขั้นตอนเพื่อหักล้างข้อกล่าวหาของคณะกรรมการ ป.ป.ช. ในเรื่ องดังกล่าว ดังนั้น ข้ าพเจ้ าขอนาสืบแก้ ข้อกล่ าวหาโดยขอนาพยานบุคคลรายร้ อยตารวจเอก เฉลิม อยู่บารุง รองนายกรัฐมนตรี ประธานคณะทางานตามคาสั่งสานักนายกที่ ๑๕๖/๒๕๕๕ ลง วันที่ ๖ กรกฎาคม ๒๕๕๕ ปัจจุบันรัฐมนตรีว่าการกระทรวงแรงาน เพื่อนาสื บในประเด็น ให้ เห็นถึงผลการดาเนินงานของคณะทางานตามคาสั่ งของข้ าพเจ้ า ในการติดตาม ตรวจสอบการ ทุจริ ตโครงการรั บ จาข้ าวทั่วประเทศเพื่อ ชี้ให้ เห็น ถึงการตั้งบุ ค คลในคณะรั ฐ มนตรี ติด ตาม ตรวจสอบ กากับ ควบคุม ดูแลมิให้ เกิดการทุจริตในขั้นตอนและกระบวนการในการดาเนินการ รับจานา พยานบุคคลในลาดับที่ ๒ ข้ อ ๓.ทาไมรัฐบาลยังคงดาเนินโครงการรับจานาข้ าวทั้งที่สานักงาน ป.ป.ช. ได้ มี หนั งสื อ ด่ ว นมาก ที่ ปช ๐๐๐๓/๐๑๑๘ ลงวัน ที่ ๙ ตุ ล าคม ๒๕๕๔ ยืน ยั นข้ อ เสนอแนะของ คณะกรรมการ ป.ป.ช. ให้ ยกเลิกโครงการรับจานาข้ าวเปลือกและนาระบบประกันความเสี่ยงด้ าน ราคาข้ าวมาดาเนินการ ต่ อ มาสานัก งาน ป.ป.ช. ได้ มีหนังสื อ ที่ ปช ๐๐๐๓/๐๑๙๘ ลงวันที่ ๓๐ เมษายน ๒๕๕๕ ส่ งข้ อเสนอแนะเพื่อป้ องกันการทุจริต การดาเนินการตามนโยบายของรัฐบาล ในการรับจานาข้ าวเปลือก ปัญหาว่ ารัฐบาลไม่ สนใจ ไม่ นาพา ในข้ อเสนอแนะหรือไม่ หากไม่ใช่ แล้ วรัฐบาลได้ ปฏิบัติต่อข้ อเสนอแนะอย่ างไรบ้ าง เพื่อสร้ างมาตรการในการป้ องกันความเสียหาย และป้ องกันการทุจริตอย่ างไร ข้า พเจ้าในฐานะนายกรั ฐ มนตรี หั วหน้า ผูบ้ ริ ห ารราชการแผ่น ดิ น ขอชี้ แจงว่า รัฐบาลมิได้ละเลยไม่สนใจ ไม่นาพาต่อข้อเสนอแนะของคณะกรรมการ ป.ป.ช. ดังกล่าวข้างต้น แต่อย่างใด แต่ดว้ ยเหตุผลที่ นโยบายโครงการรับจานาข้าว คณะรัฐมนตรี ได้จัดทาเป็ นนโยบาย แถลงต่อรัฐสภา ดังนั้น โครงการรับจานาข้ าวจึงมิใช่ นโยบายของนายกรัฐมนตรีหัวหน้ าผู้บริหาร ราชการแผ่ นดิน และในฐานะประธานคณะกรรมการนโยบายข้ าวแห่ งชาติแต่ ประการใด


๕๓

ที่ มาของนโยบายเริ่ มต้นจากเป็ นนโยบายของพรรคการเมื อง ผ่านประชาชน เลือกตั้งและนาสู่ กระบวนการในการจัดทาเป็ นนโยบายรั ฐบาลตามขั้นตอนและกระบวนการ ตามที่รัฐธรรมนูญบัญญัติไว้ และก่อนเป็ นนโยบายรัฐบาลก็ได้ผ่านกระบวนการในการแข่งขัน กัน ทางการเมื อ งในการน าเสนอนโยบายอัน เป็ นสั ญ ญาประชาคมต่ อ ประชาชนโดยผ่า น กระบวนการของการเลือกตั้ง เมื่อพรรคการเมืองหนึ่ งได้นานโยบายไปบอกกล่าวประชาชน และเมื่อประชาชนได้เลือกพรรคการเมืองนั้นให้ชนะการเลือกตั้งได้เสี ยงข้างมากมาจัดตั้งรัฐบาล เป็ นที่เข้าใจกันโดยทัว่ ไปว่าเมื่อไปสัญญาประชาคมผ่านกระบวนการการเลือกตั้งแน่นอนพรรค การเมื อ งที่ ช นะการเลือ กตั้ง ย่อ มไม่อ าจตระบัด สั ตย์ต่ อประชาชนที่ ไ ด้สั ญ ญาไว้จึ ง ต้องน า นโยบายพรรคที่ ผา่ นการเลือกตั้งของประชาชนมาจัด ทาเป็ นนโยบายของรัฐบาล ปรากฏตาม ภาพการปราศรัยในการเสนอโครงการรับจานาข้ าวทีเ่ ป็ นนโยบายใช้ หาเสียงผ่ านการเลือกตั้ง และ ก่ อ นบริ ห ารราชการแผ่ น ดิ น ได้ น าโครงการรั บ จ าน าข้ าวจั ด ท าเป็ น ค าแถลงนโยบายของ คณะรัฐมนตรี ปรากฏตามพยานเอกสารในลาดับที่ ๔ และ ๕ ข้าพเจ้าขอชี้แจงในประการสาคัญ ว่า นโยบายพรรคของแต่ละพรรคนั้นต้องมี การแข่งขันกันในทางการเมืองโดยผ่านกระบวนการการเลือกตั้ง และผูก้ ล่าวหากับพวกในคดีน้ ี เองก็เป็ นบุคคลที่อยูใ่ นพรรคการเมืองที่เป็ นคู่แข่งทางการเมืองเสนอนโยบายในลักษณะเดียวกับ ข้อเสนอแนะของคณะกรรมการ ป.ป.ช. คือ โครงการประกันรายได้ หรื อ ประกันความเสี่ ยงด้าน ราคา ซึ่ งสถาบันวิจัยเพื่อการพัฒ นาประเทศ (TDRI) เป็ นผูจ้ ัด ทารายงานให้กับคณะกรรมการ ป.ป.ช. ซึ่ งรายงานดังกล่าวของ TDRI คณะกรรมการ ป.ป.ช. ได้นามากล่าวอ้างไว้ในบันทึกแจ้ง ข้อกล่าวหาในข้อ ๓ ว่า รัฐบาลนี้ไม่ยอมยกเลิกโครงการรับจานาข้าวเปลือก และมิได้นาระบบ การประกันความเสี่ ยงด้านราคาข้าว ตามข้อเสนอแนะของคณะกรรมการ ป.ป.ช. มาดาเนินการ และในบันทึ กแจ้งข้อกล่าวหาในข้อ ๔ ก็อา้ งอิง อีก ว่า สานัก งาน ป.ป.ช. ได้มีห นังสื อแจ้งให้ ข้าพเจ้าแล้ว แต่ขา้ พเจ้าไม่ระงับยับยั้งการดาเนินโครงการรับจานาข้าว หากจะอธิบายความสภาพ ปัญหาข้างต้นที่คณะกรรมการ ป.ป.ช. มีขอ้ เสนอแนะให้นานโยบายประกันความเสี่ ยงด้านราคา มาแทนนโยบายรับจานาข้าวเปลือกของรัฐบาล การนาผลงานทางวิชาการโดยอ้างอิงข้อมูล การ วิเคราะห์ขอ้ มูล ข้อเสนอแนะ ความเห็นทางวิชาการ ของผูว้ จิ ัย TDRI ซึ่ งการจัดทารายงานการ วิจัย ไม่ ใช่ ข ้อ เท็ จ จริ ง การกระท าความผิ ด มาอ้า งอิ ง เป็ นพยานหลัก ฐานในข้อ เท็ จ จริ ง เพื่ อ สนับสนุนข้อกล่าวหาต่อข้าพเจ้า เห็นว่าวิธีการที่นารายงานการวิจยั ของ TDRI จัดทารายงานโดย


๕๔

มีเนื้อหาที่ไม่เห็นด้วยกับนโยบายรับจานาข้าว และข้อเท็จจริ งที่ปรากฏในรายงานการวิจยั ที่ยงั ไม่ มีขอ้ ยุติและความถูกต้องแท้จริ งมาเป็ นพยานหลักฐานสนับสนุนการกล่าวหาว่าข้าพเจ้าว่ากระทา ความผิดที่ไม่ระงับยับยั้งโครงการรับจานาข้าวและไม่นาระบบประกันความเสี่ ยงด้านราคาข้าว ตามข้อเสนอแนะของคณะกรรมการ ป.ป.ช. ที่นารายงานของ TDRI เรื่ อง นโยบายประกันความ เสี่ ยงด้านราคามาใช้ดาเนินการเป็ นนโยบายของรัฐบาลนั้น ข้าพเจ้าขอให้คณะกรรมการ ป.ป.ช. ทบทวนการดาเนิ นการที่จะนารายงานของ TDRI มาเป็ นข้อ เท็ จ จริ ง เพื่ อ สนับ สนุ น ข้อ กล่า วหา ในลัก ษณะอ้า งเป็ นพยานหลัก ฐานใน คดี อาญาเพื่อพิ สู จ น์ค วามผิด ของข้า พเจ้า นั้น จึ งไม่ส มควรที่ จ ะกระทาและเป็ นการแสวงหา พยานหลัก ฐานที่ มิ ช อบด้วยกฎหมายเพราะ การรวบรวมและแสวงหาพยานหลัก ฐานทาง คดีอาญาจะต้องรวบรวมพยานหลักฐานซึ่ งน่าจะพิสูจน์ได้วา่ ผูถ้ กู กล่าวหามีผิดหรื อบริ สุทธิ์ จึงจะ ให้อา้ งเป็ นพยานหลักฐานได้ แต่การนาความเห็ นทางวิชาการตามรายงานการวิจัยของ TDRI อันปราศจากข้อเท็จจริ งที่เป็ น พยานหลักฐานที่ควรเชื่อได้วา่ มีมูลหรื อไม่เพียงใดมารับฟังตามข้อ กล่าวหาต่อข้าพเจ้า จึงเป็ นการแสวงหาพยานหลักฐานที่ไม่ชอบและไม่เป็ นธรรมต่อข้าพเจ้า แต่ภายหลังการเลือกตั้งพรรคของผูก้ ล่าวหาที่ได้นานโยบายประกันราคา หรื อ นโยบายประกันความเสี่ ยงด้านราคาตามที่คณะกรรมการ ป.ป.ช. มีขอ้ เสนอแนะต่อรัฐบาลของผู้ กล่าวหากับพวก แต่นโยบายดังกล่าวที่พรรคประชาธิ ปัตย์นาเสนอ คือ นโยบายประกันราคา หรื อ นโยบายประกันความเสี่ ยงด้านราคาที่คณะกรรมการ ป.ป.ช. มีขอ้ เสนอแต่นโยบายดังกล่าว มิได้มีการตอบรับจากประชาชนผลการเลือกตั้งทาให้พรรคประชาธิปัตย์แพ้การเลือกตั้งต่อพรรค ของข้าพเจ้า ทาให้เข้าใจว่าแน่นอนนโยบายใด ๆ ที่นาเสนอเมื่อชนะการเลือกตั้งจัดตั้งรัฐบาล เมื่อนานโยบายโครงการรับจานาข้าวนามาเป็ นนโยบายของรัฐบาลแล้วในทางหลักการ ถือเป็ น การกระทาของรัฐบาล (Acts of Government)” การตรวจสอบความรับผิดชอบคงต้องหาความ รับผิดชอบกันในระบบรัฐสภาตามนัยแห่ งรัฐธรรมนูญ มาตรา ๑๗๘ เท่านั้น (กล่าวคือ การถูก อภิปรายไม่ไว้วางใจเป็ นต้น ) ตามที่ได้ช้ ีแจงในประเด็นนี้ มาแล้วในข้อ ๑. และ ข้อ ๒. สาหรับนโยบายโครงการรับจานาข้าว กับนโยบายประกันรายได้ห รื อประกัน ความเสี่ ยงด้านราคา นโยบายใดจะเป็ นประโยชน์กบั ชาวนามากกว่ากันแน่นอนย่อมมีขอ้ ถกเถียง และความเห็ นต่า งกัน ซึ่ งแต่ละโครงการมีข ้อสัง เกตว่า หาข้อยุติในความพึงพอใจไม่ไ ด้อยู่ที่ พรรคการเมืองหรื อรัฐบาลนั้นจะมีหลักคิด ทฤษฎี ในการนานโยบายเรื่ องข้าวที่มีขอ้ ถกเถียงกัน มาช้านานแต่ก็หาข้อยุติได้ไม่วา่ นโยบายใดจะเป็ นที่ พึงพอใจกับการแทรกแซงด้านการตลาด


๕๕

เพื่อช่วยเหลือชาวนาปั ญ หา การก าหนดราคาข้ าวว่ าราคาข้ าวจะก าหนดอย่ างไร ใช้ วิธี การใด ก าหนด ถื อ เป็ นปั ญ หาที่มีข้ อ ถกเถี ย งกั น มาโดยตลอดว่ า “อะไรเป็ นตั ว ก าหนดราคาข้ าว” เช่นเดียวกันปัญหาที่รัฐบาลเห็นควรนาโครงการรับจานาข้าวมาเป็ นนโยบายช่วยเหลือชาวนา แต่ คณะกรรมการ ป.ป.ช. ผูก้ ล่าวหา และผูร้ ้องถอดถอนคือหัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ (นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ) กับพวกเห็นว่าการประกันราคาเป็ นนโยบายที่ดีไม่เห็นด้วยกับนโยบายรับจานา ซึ่ ง หลักคิดของพรรคประชาธิ ปัตย์คล้ายและมีหลักคิดเดียวกันกับคณะกรรมการ ป.ป.ช. ที่เห็นว่า ควรนานโยบายประกันความเสี่ ย งด้านราคามาใช้ การเห็ นต่างกันระหว่า งรัฐบาลก็ดี พรรค ประชาธิ ปัตย์หรื อคณะกรรมการ ป.ป.ช. ก็ดี มิใช่เรื่ องที่จะต้องนาความคิดของตนมากล่าวหา เพื่อให้อีกฝ่ ายหนึ่ งต้องยุติระงับยับยั้งการนานโยบายมาช่วยเหลือชาวนา และเมื่อไม่เห็นด้วยกับ ข้อเสนอกลับถูกดาเนิ นคดีและยังคงนาหลักคิดนโยบายของตนมาสนับสนุนข้อกล่าวหาให้เกิ ด ความรับผิดทางอาญากับผูเ้ ห็นต่างเสี ยอีก จึ งไม่น่าจะเป็ นธรรมต่อตัวข้าพเจ้าและรัฐบาลพรรค เพื่อไทย การนาทฤษฎี มาอธิ บายก็จ ะมี ค วามแตกต่างกัน ซึ่ งถ้าจะว่าไปแล้วผูท้ ี่ ออกมา แสดงความคิดเห็นเกี่ยวกับนโยบายข้าวของรัฐบาลในแต่ละรัฐบาล ต่างก็ใช้ทฤษฎีที่แตกต่างกัน ไปในการสนั บ สนุ น ข้อ เสนอของต้น ปั ญ หาก็ คื อ ว่า ทฤษฎี ใดมี ค วามสมเหตุ ส มผลและ สอดคล้องกับ ความเป็ นจริ งมากที่ สุ ด การขัด แย้ งกันนี้มิใช่ เป็ นแต่ เพี ย งการขัด แย้ งในระดับ ทฤษฎีระหว่างพรรคการเมือง นักวิชาการ ผู้ทเี่ กี่ยวข้ องในการวางนโยบายข้ าว สื่อมวลชน กลุ่ม ผลัก ดันทางการเมือ งต่ าง ๆ ทั้งจากภาคเกษตรกรรม และภาพธุ รกิจ เท่ านั้น แต่ มีผลกระทบ โดยตรงต่ อนโยบายการแทรกแซงของรัฐบาล ข้าพเจ้าขอนาเสนอเพื่อความเข้าใจต่อคณะกรรมการ ป.ป.ช. ที่ร่วมเสนอนโยบาย ในเรื่ องข้า วและกลายมาเป็ นผูก้ ล่า วหาต่อตัวข้า พเจ้า ว่าความเห็ น ต่า งกัน ระหว่า งรั ฐบาลกับ องค์กรตรวจสอบไม่ควรจะกลายเป็ นว่าฝ่ ายที่เห็นต่างกันต้องเกิดความรับผิดในทางอาญาโดยมี ข้อสนับสนุนทางความคิดของข้าพเจ้าโดยสุจริ ตเมื่อได้ตรวจพบ ข้อความจากบทความที่ปรากฏ ในบทน าของหนั ง สื อ “ประมวลความรู้ เ รื่ อ งข้ า ว” ที่ ไ ด้จั ด ท าเมื่ อ ปี พ.ศ. ๒๕๓๓ โดย สถาบันวิจยั เพื่อการพัฒนาประเทศ (TDRI) เช่นกัน ความในบทนาหน้าที่ ๑ ย่อหน้าที่ ๓ ปรากฏ ข้อความว่า “...ภาพในใจของผู้บริหารนโยบายเหล่ านี้ จะถูกผิดอย่ างไรนั้นยากที่จะประเมินได้ แต่ ในช่ วง ๔ ทศวรรษที่ผ่านมา มีงานวิจัยจานวนมากที่ได้ ศึกษาส่ วนต่ างๆ ของระบบการผลิต และค้ าข้ าว และผลงานวิจัยหลาบชิ้นมีข้อสรุ ปที่ขัด กับ ภาพในใจของคนทั่วไปซึ่ งอาจรวมถึง


๕๖

ผู้บริหารนโยบายทั้งหลายด้ วย ผลงานวิจัยเหล่ านี้น่าจะได้ มีการรวบรวมและเผยแพร่ เพื่อ ว่ า การถกเถียงในเรื่องนโยบายข้ าว (ซึ่งคงจะมีอยู่ตราบเท่าทีไ่ ทยยังเป็ นประเทศประชาธิปไตย) จะ เป็ นการถกเถียงที่เริ่มต้ นจากฐานข้ อมูลและความเข้ าใจที่ชัดเจนขึ้น ...” ปรากฏตาม “หนังสื อ ประมวลความรู้เรื่องข้ าว” ในหน้ าที่ ๑ ของบทนา พยานเอกสารในลาดับที่ ๖ จากเนื้ อหาข้อความข้างต้น ข้าพเจ้าจึ งขอให้คณะกรรมการ ป.ป.ช. ทบทวนการ แจ้งข้อหาต่อตัวข้าพเจ้าเสี ยใหม่วา่ การที่พรรคการเมืองของข้าพเจ้าในนามพรรคเพื่อไทย พรรค การเมืองของฝ่ ายที่ก ล่าวหา จนกระทัง่ มาถึงองค์กรของคณะกรรมการ ป.ป.ช. คือ สานักงาน ป.ป.ช. ที่มีความเห็นต่าง และยังมีขอ้ ถกเถียงในเรื่ องนโยบายข้าวกันอยูเ่ ช่นนี้ สมควรหรื อไม่ที่ จะนาหนังสื อของสานักงาน ป.ป.ช. รวม ๒ ครั้ง คือ หนังสื อ ด่วนมาก ที่ ปช. ๐๐๐๓/๐๑๑๘ ลง วันที่ ๗ ตุลาคม ๒๕๕๔ และหนังสื อสานักงาน ป.ป.ช. ที่ ๐๐๐๓/๐๑๙๘ ลงวันที่ ๓๐ เมษายน ๒๕๕๕ มาถื อ เป็ นพยานหลัก ฐานที่ ส าคั ญ ของคณะกรรมการ ป.ป.ช. มากล่ า วหาต่ อ คณะรัฐมนตรี ถึงเหตุที่ไม่ปฏิบตั ิตามนโยบายประกันความเสี่ ยงด้านราคาให้ตวั ข้าพเจ้าต้องเกิ ด ความรั บ ผิ ด ทางอาญา ตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา ๑๕๗ และ พ.ร.บ. ประกอบ รัฐธรรมนูญว่าด้วยการป้ องกันการทุจริ ต พ.ศ. ๒๕๔๒ (แก้ไขเพิม่ เติม พ.ศ. ๒๕๕๐ และฉบับที่ ๒ พ.ศ. ๒๕๕๔) มาตรา ๑๒๓/๑ นอกจากนี้ หากพิจารณาถึง พ.ร.บ.ประกอบรัฐธรรมนูญ ว่าด้วย ด้วยการป้ องกัน การทุจริ ต พ.ศ. ๒๕๔๒ มาตรา ๑๙(๑๑) ที่คณะกรรมการ ป.ป.ช. ใช้อานาจหน้าที่ในการจัดทา ข้อเสนอแนะต่อคณะรัฐมนตรี มิใช่บทบังคับเด็ดขาดดังเช่นมาตรา ๑๐๓/๗ ในเรื่ องการกาหนด ราคากลางและการคานวณราคากลางไว้ในระบบข้อมูลทางอิเล็กทรอนิ กส์ เมื่อไม่ใช่บทบังคับ เด็ดขาดในฐานะที่มีสภาพบังคับตามกฎหมายว่า เมื่อคณะกรรมการ ป.ป.ช. ใช้อานาจหน้าตา มกฎหมายข้างต้นในมาตรา ๑๙ (๑๑)มีขอ้ เสนอแนะต่อคณะรัฐมนตรี แล้ว คณะรัฐมนตรี ตอ้ งถือ ปฏิบตั ิเหมือนสภาพบังคับตามมาตรา ๑๐๓/๗ แล้วจะเป็ นการให้เกิดการตรวจสอบ และไต่สวน ข้อเท็จจริ ง เพื่อกล่าวหาคณะรัฐมนตรี ที่ผา่ นมาเอง คณะกรรมการ ป.ป.ช. ก็ได้เคยมีขอ้ เสนอแนะ ต่อรัฐบาลของนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ ผูก้ ล่าวหาข้าพเจ้าในคดีน้ ี ก็ยอ่ มจะต้องมีความรับผิดตาม กฎหมายในเรื่ องไม่ปฏิ บัติตามข้อเสนอแนะต่อคณะรั ฐมนตรี ข องนายอภิ สิ ทธิ์ ฯ ในเรื่ องการ ดาเนิ นโครงการประกันราคาซึ่ งก็ห าเป็ นเช่นนั้นไม่ คณะกรรมการ ป.ป.ช. หาได้ดาเนิ นการ ดาเนินคดีต่อนายอภิสิทธิ์ฯ ในฐานะนายกรัฐมนตรี เหมือนกับที่ดาเนินคดีต่อข้าพเจ้า และในการ ดาเนิ นคดีกับหยิบยกหนังสื อสานักงาน ป.ป.ช. รวม ๒ ครั้ง ที่มีขอ้ เสนอแนะต่อคณะรัฐมนตรี


๕๗

ดังกล่าวข้างต้นมากล่าวอ้างเป็ นพยานหลักฐานที่สาคัญในบันทึกแจ้งข้อกล่าวหาในข้อที่ ๓ และ ข้อ ที่ ๔ ว่า “สานักงาน ป.ป.ช. ได้มีหนังสื อแจ้งไปยังข้าพเจ้าแล้วว่าการด าเนิ นโครงการรั บ จานาข้าวดังกล่าวจะก่ อให้เกิ ดปั ญ หาและความเสี ย หาย และยังแจ้งด้วยว่าการดาเนิ นการตาม โครงการได้ก่อให้เกิ ดปั ญหาด้านต่าง ๆ อย่างมากมาย โดยเฉพาะอย่างยิ่งปั ญหาการทุจริ ตเชิ ง นโยบาย ในส่ วนของขั้นตอน และกระบวนการในการดาเนิ นโครงการ” จึ ง ถือเป็ นการอ้า ง พยานหลักฐานที่ขดั ต่อบทบัญญัติของกฎหมายข้างต้นในมาตรา ๑๙ (๑๑) เสี ยเองเพราะเมื่อไม่มี สภาพบังคับตามกฎหมายให้ตอ้ งปฏิบตั ิเป็ นเพียงข้อเสนอแนะที่ยงั เป็ นข้อถกเถียงและความเห็น ต่างกันดังที่กล่าวข้างต้นจะถือเอาพยานเอกสารซึ่ งเป็ นหนังสื อของสานักงาน ป.ป.ช. จานวน ๒ ฉบับ มาเป็ นเหตุกล่าวหาต่อตัวข้าพเจ้านั้นถือว่าไม่เป็ นธรรมต่อตัวข้าพเจ้า จึ ง สมควรอย่างยิ่ง ที่ ค ณะกรรมการ ป.ป.ช. จะต้อ งทบทวนการกล่า วหาหรื อ ยกเลิกการกล่าวหาโดยยุติการนาเอกสารดังกล่าวข้างต้นของสานักงาน ป.ป.ช. มาเป็ น มูลเหตุ กล่าวหาเพราะนอกจากถือเป็ นการเลือกปฏิ บตั ิแล้วจะทาให้เข้าใจได้วา่ นาเรื่ องข้อถกเถียงที่ มี หลักคิดและทฤษฎีต่างกันระหว่างรัฐบาลกับคณะกรรมการ ป.ป.ช. เมื่อรัฐบาลไม่ปฏิบตั ิรัฐบาล โดยข้าพเจ้าเพียงลาพังกลับถูกดาเนินคดีอาญา จากบั น ทึ ก การแจ้ ง ข้ อ กล่ า วหาที่ อ ้า งการทุ จ ริ ตในส่ ว นของขั้ นตอนและ กระบวนการในการดาเนิ นโครงการก็ได้หามีการบรรยายข้อเท็จจริ งอันเป็ นพฤติการณ์แห่ งคดี รวมทั้งไม่มีพยานเอกสารเพื่อสนับสนุนข้ออ้างตามบันทึกการแจ้งข้อกล่าวหาว่า ขั้นตอน และ กระบวนการในการดาเนิ นโครงการที่ทุจริ ตนั้น มีการทุจริ ตในขั้นตอน และกระบวนการใด ที่ ตาบล อาเภอ จังหวัด ใด หรื อในหน่ วยงานใด เป็ นข้อกล่าวหาที่ เคลือบคลุมและจิ นตนาการ ความผิดในลักษณะสร้างวาทะกรรมในเรื่ อง “ ทุจริ ตเชิงนโยบาย” มากล่าวหาข้าพเจ้าโดยไม่เป็ น ธรรมทั้ง ๆที่ตามพ.ร.บ. ประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการป้ องกันการทุจริ ต พ.ศ. ๒๕๔๒ มาตรา ๕๐ (๓) บัญ ญัติ ว่า ข้อกล่า วหา ค าแก้ข ้อกล่า วหา ต้องสรุ ปข้อ เท็จ จริ งและพยานหลัก ฐานที่ เกี่ ย วข้อ งซึ่ งได้จ ากการไต่ ส วนข้อ เท็จ จริ ง (๔) เหตุผ ลในการพิจ ารณาวินิ จ ฉั ย ทั้ง ในปั ญ หา ข้อเท็จจริ ง และข้อกฎหมาย เมื่อมาตรวจสอบจากบันทึกการแจ้งข้อกล่าวหาของคณะกรรมการป.ป.ช. หาได้ ปรากฏข้อเท็จจริ งในข้อกล่าวหาในเรื่ องการทุจริ ตเชิงนโยบายที่อา้ งว่ามีการทุจริ ตในส่ วนของ ขั้นตอน และกระบวนการในการดาเนินโครงการนั้นเกิ ดการทุจริ ตในขั้นตอนและกระบวนการ ใด เพื่อสนับสนุนข้อกล่าวหาเรื่ องการทุจริ ตเชิงนโยบาย เมื่อคานึงถึงบทบัญญัติของข้อกฎหมาย


๕๘

แล้ว คณะกรรมการ ป.ป.ช. มีหน้าที่ตอ้ งปฏิบตั ิตามมาตรา ๕๐ (๓) คือต้องสรุ ปข้อเท็จจริ งและ พยานหลักฐานที่เกี่ยวข้อง ซึ่ งได้จากการไต่สวนข้อเท็จจริ งในเรื่ องการทุจริ ตเชิงนโยบาย แต่หา เป็ นเช่นนั้นไม่ คณะกรรมการ ป.ป.ช. คงกล่าวอ้างว่ามีการทุจริ ตเชิงนโยบายขึ้นมาลอยๆ โดยไม่ มีการสรุ ปข้อเท็จจริ งและพยานหลักฐานที่เกี่ ยวข้องซึ่ งได้จากการไต่สวนข้อเท็จจริ งให้เป็ นที่ ประจักษ์ชดั และรับฟั งได้โดยปราศจากข้อสงสัย จากการตรวจพยานหลักฐานก็ไม่ปรากฏพบ พยานหลักฐานที่เกี่ยวข้องกับการทุจริ ตเชิงนโยบาย ข้าพเจ้าขอให้คณะกรรมการ ป.ป.ช. ทบทวนการรั บฟั งพยานหลัก ฐานอันเป็ น พยานบุ ค คลรายนายอภิ สิ ทธิ์ ฯ และนายวรงค์ เดชกิ จ วิ ก รม และนางสาวสุ ภ า ปิ ยะจิ ต ติ คณะอนุกรรมการปิ ดบัญชีฯ ล้วนแต่เป็ นพยานบุคคลที่เป็ นปฏิปักษ์ต่อข้าพเจ้าทั้งสิ้ น ต้องรับฟั ง พยานหลักฐานด้วยความระมัดระวัง เนื่ องจากยังมี ขอ้ ตาหนิ ข้อระแวงสงสัยในตัวพยานว่าข้อ กล่าวอ้างที่นามากล่าวหาข้าพเจ้าในคาอภิปรายในเรื่ องญัตติอภิปรายไม่ไว้วางใจและกระทูถ้ ามมี พยานเอกสารสนับสนุ นข้อกล่าวหาในตัวข้าพเจ้าเรื่ องการเข้าไปเกี่ ยวข้องมี ห รื อไม่ ซึ่ ง จะได้ กล่าวรายละเอียดต่อไปในคาชี้แจงนี้ ในทานองเดียวกันจากบทบัญญัติ พ.ร.บ. ประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการป้ องกัน การทุจริ ต พ.ศ. ๒๕๔๒ มาตรา ๕๐ (๓) ได้บญั ญัติวา่ คาแก้ขอ้ กล่าวหาเองก็ตอ้ งสรุ ปข้อเท็จจริ ง และพยานหลักฐานที่เกี่ยวข้องซึ่ งได้จากการไต่สวนข้อเท็จจริ งมิใช่สรุ ปจากข้อกล่าวหาแต่เพียง ด้านเดียว กฎหมายบัญญัติให้ตอ้ งนาทั้งข้อกล่าวหาและคาแก้ขอ้ กล่าวหามาสรุ ปเป็ นข้อเท็จจริ ง และพยานหลักฐานที่เกี่ยวข้อง ซึ่ งได้จากการไต่สวนข้อเท็จจริ งและระบุเหตุผลในการพิจารณา วินิ จฉั ยทั้งในปั ญ หาข้อเท็จ จริ ง และปั ญ หาข้อกฎหมาย เมื่ อบันทึ ก แจ้ง ข้อกล่าวหายัง เป็ นข้อ กล่า วหาที่ เคลื อบคลุม กล่า วอ้า งการทุ จ ริ ตเชิ ง นโยบายแต่ ค ณะกรรมการ ป.ป.ช. กลับ ไม่ มี พยานหลัก ฐานสนับ สนุ น ข้อกล่า วหาว่า เกิ ด การทุ จ ริ ตในขั้น ตอนและกระบวนการใด ของ โครงการรับจานาข้าวที่ขา้ พเจ้าเป็ นผูก้ าหนดนโยบายและเข้าไปยุง่ เกี่ยวหรื อเกี่ยวข้องในลักษณะ เป็ นผูป้ ฏิบตั ิเสี ยเองซึ่ งหามีไม่ ดังนั้น จึ งไม่เป็ นธรรมอย่างยิง่ ที่จะกล่าวอ้างอย่างเลื่อนลอยเรื่ อง การทุจริ ตเชิงนโยบายต่อตัวข้าพเจ้า ข้า พเจ้า มิ ไ ด้ป ฏิ เสธการตรวจสอบแต่ ก็ ไ ม่ ต้อ งการให้ ก ารตรวจสอบตกเป็ น เครื่ องมือของผูห้ นึ่ งผูใ้ ดหรื อคณะบุคคลใด เพราะเมื่อในเบื้ องต้น นโยบายดังกล่าวได้เกิ ดขึ้ น โดยสุ จริ ต หากเกิ ดปัญหาในชั้นการปฏิบตั ิที่คณะรัฐมนตรี ให้ไป มีตวั แปรในอนาคตหลายตัว แปรที่ไม่อาจควบคุมได้ท้ งั หมดดังเช่นที่คณะกรรมการไต่สวนมีความคิดแสดงออกในบันทึ ก


๕๙

แจ้งข้อกล่าวหา อาทิเช่น ตัวแปรที่เกิ ดจากปั ญหาเศรษฐกิจ สังคม หรื อการชุมนุมทางการเมือง มาขัดขวางการดาเนิ นนโยบายดังกล่าว ก็ไ ม่ส มควรอย่างยิ่ง ที่จะนาความนับผิด ทางอาญามา ให้ แก่ รั ฐบาลผูก้ าหนดนโยบายนี้ ความรั บผิด ทางอาญาต้องเกิ ด ขึ้ น จากการกระท าดัง เช่น ที่ บัญญัติไว้ในประมวลกฎหมายอาญา มาตรา ๒ วรรคแรก “บุคคลจักต้ องรับโทษในทางอาญา ต่ อเมื่อได้ กระทาการอันกฎหมายที่ใช้ ในขณะกระทานั้นบัญญัติเป็ นความผิดและกาหนดโทษไว้ และโทษทีจ่ ะลงแก่ ผู้กระทาความผิดนั้น ต้ องเป็ นโทษทีบ่ ัญญัติไว้ ในกฎหมาย...” มิฉะนั้นจะเป็ น การกล่าวหากันโดยไม่มีขอบเขต และดุลพินิจที่กล่าวหาโดยไม่จากัดตามบันทึกแจ้งข้อกล่าวหา แล้วจะทาให้เกิดความไม่เป็ นธรรมต่อเจ้าหน้าที่รัฐผูถ้ กู กล่าวหาโดยไม่อยูใ่ นหลักนิติธรรม เมื่อจุดกาเนิดของโครงการรับจานาข้าวได้เขียนโดยสุจริ ตจากพรรคการเมืองหนึ่ง ที่นาเสนอประชาชนโดยผ่านกระบวนการการเลือกตั้งและมิใช่นโยบายปกปิ ดเพื่อวางแผนจะทา การทุจริ ตเชิงนโยบายดังที่ถกู กล่าวหา จากคณะกรรมการ ป.ป.ช. คงไม่นานโยบายโครงการรับ จานาข้าวไปใช้หาเสี ยงและผ่านการเลือกตั้ง ข้าพเจ้าขอทาความเข้าใจต่อคณะกรรมการ ป.ป.ช. ว่า แท้จริ งแล้วเจตนาของพรรคการเมืองที่นานโยบายของพรรคผ่านประชาชนเลือกตั้งในส่ วน ของรัฐบาลที่นาโครงการรับจานาข้าวมาเป็ นนโยบายรัฐบาลก็เพราะ “ ตั้งใจทีจ่ ะยกระดับรายได้ ชาวนาให้ ทดั เทียมกับการประกอบอาชีพอย่ างอื่น” มิได้มีเจตนาพิเศษให้มีการทุจริ ตเชิงนโยบาย ในส่วนของขั้นตอน และกระบวนการในการดาเนินโครงการเพื่อให้เกิดประโยชน์แก่บุคคลหนึ่ง บุคคลใดจึ งขอให้ค ณะกรรมการ ป.ป.ช. ให้ค วามเป็ นธรรมและพิจารณาคดีน้ ี โดยเข้าใจอย่าง ถูกต้องและเที่ยงธรรมในเจตนาที่ดีดว้ ย ข้าพเจ้าขอชี้แจงว่าข้อเสนอแนะของสานักงาน ป.ป.ช. ข้างต้นมิใช่วา่ ข้าพเจ้าใน ฐานะนายกรัฐมนตรี หัวหน้าผูบ้ ริ ห ารราชการแผ่นดินจะไม่สนใจ ไม่นาพา ต่อข้อทวงติ งของ สานักงาน ป.ป.ช. ดังกล่าวข้างต้นในฐานะที่เป็ นองค์กรในกระบวนการยุติธรรมทางอาญา และ เป็ นองค์กรตรวจสอบความชอบด้วยกฎหมายองค์กรหนึ่ ง ที่มีความเห็นต่างกันในหลักคิดและ ทฤษฎีการจัดการของพรรคการเมืองและของรัฐบาล แต่เมื่อหลักคิดและทฤษฎีที่พรรคการเมือง คิดนานโยบายโครงการรับจานาข้าวมาใช้หาเสี ยงและชนะการเลือกตั้งคณะกรรมการ ป.ป.ช. ก็ ต้องเข้าใจต่อข้าพเจ้าในฐานะผูไ้ ปให้สัญญากับประชาชนผ่านการหาเสี ยง ข้าพเจ้าจะตระบัด สัตย์กบั ประชาชนได้อย่างไร เมื่อเป็ นนโยบายที่ผ่านการชนะการเลือกตั้งไปจัดทาเป็ นนโยบายของรัฐบาลโดย แถลงต่อสภาตามบทบัญญัติในรัฐธรรมนูญ มาตรา ๑๗๖ แล้ว ก็มีสภาพบังคับตามบทบัญญัติ


๖๐

รัฐธรรมนู ญ มาตรา ๑๗๘ ที่ ต้องปฏิ บัติตามนโยบายที่ แถลงจึ ง มี ส ภาพความจ าเป็ นที่ จ ะต้อง ปฏิบัติตามนโยบาย แต่ข ้อทวงติง ตามข้อเสนอแนะของส านัก งาน ป.ป.ช. ก็อยู่ในหัวใจของ ข้าพเจ้า ในการมุ่งมัน่ ที่จะปฏิบตั ิหน้าที่อย่างชัดแจ้ง กล่าวคือ ในฐานะที่ขา้ พเจ้าเป็ นประธาน คณะกรรมการนโยบายข้า วแห่ ง ชาติ ข้า พเจ้า ได้ทาหน้าที่ ข องประธานในที่ ประชุ ม ในการ ประชุ ม ครั้ งที่ ๑/๒๕๕๔ เมื่ อ วัน ศุ ก ร์ ที่ ๙ กัน ยายน ๒๕๕๔ ปรากฏรายงานการประชุ ม คณะกรรมการนโยบายข้าวแห่งชาติ ข้าพเจ้าขอนาเสนอเป็ นพยานเอกสาร ในลาดับที่ ๗ ข้าพเจ้าในฐานะประธานกล่าวเปิ ดการประชุมได้ให้นโยบายต่อคณะบุคคลที่มา จากหลายฝ่ ายในฐานะผูป้ ฏิบตั ิง าน หากคณะกรรมการ ป.ป.ช. พิจารณาตรวจสอบจากเนื้ อหาที่ ข้าพเจ้าแจ้งในที่ประชุมคณะกรรมการนโยบายข้าวแห่งชาติในลักษณะเป็ นการให้นโยบายแล้ว จะพบเจตนาของข้าพเจ้า ในฐานะนายกรัฐมนตรี หัวหน้าผูบ้ ริ หารราชการเป็ นอย่างดีและถือเป็ น ข้อหัก ล้า งอันเป็ นข้อกล่าวหาของคณะกรรมการ ป.ป.ช. ที่ ก ล่าวหาข้า พเจ้าในเรื่ องว่าจัด ท า นโยบายเพื่อให้เกิ ด “การทุจริ ตเชิงนโยบาย” นั้นน่าจะไม่เป็ นธรรมต่อตัวข้าพเจ้าอย่างแน่นอน โดยปรากฏเนื้อหาตามพยานเอกสาร ในหน้าที่ ๓ และ ที่ ๔ ของพยานเอกสาร ดังนี้ “ประธำนกรรมกำรได้ แ จ้ งว่ า นโยบายข้ าวถือ เป็ นนโยบายที่ส าคัญ ของชาติ เนื่องจากข้ าวเป็ นพื้นฐานของประเทศไทย และเป็ นอาชีพหลักที่พี่น้องเกษตรกรสามารถทีจ่ ะนา ข้ าวมาทาให้ เกิดผลผลิตและเกิดคุ ณค่ าทางด้ านรายได้ ที่กลับ มา ตลอดระยะเวลาข้ าวเป็ นสิ่ งที่ เปรียบเสมือนจิตใจของคนไทยที่มีความผูกพันและเชื่อมั่นว่ าข้ าวของไทยเป็ นข้ าวที่มีคุณภาพ ของข้ าว ดังนั้นรัฐบาลจึงนาเอาระบบการรับจานาข้ าวกลับมาดาเนินการใหม่ เนื่องจาก ตลอดเวลาทีผ่ ่ านมาข้ าวที่มคี วามเป็ นพรีเมีย่ มมีคุณภาพสู งแต่ ราคากลับไม่ได้ สะท้อนกลไกอย่ าง แท้จริง ดังนั้น การนาเอาระบบการรับจานาข้ าวกลับมาเป็ นการทาให้ กลไกต่ างๆ ถูกสะท้อนราคา ทีเ่ ป็ นจริงเพื่อให้ พี่น้องเกษตรกรได้ ราคาที่เป็ นธรรม เพราะจากการทีม่ กี ารใช้ ระบบประกันราคา ข้ าวจะถูกกาหนดโดยราคาต่าสุ ดดังนั้นการดาเนินการจะไม่ ส่งเสริมให้ พี่น้องเกษตรกรผลิตข้ าว ให้ สะท้ อนตามผลผลิตจริง แต่ เป็ นเพียงการผลิตเพื่อการจ่ายเงินชดเชย ราคาข้ าวไม่ได้ สะท้ อน ราคาจริง จึงเป็ นสาเหตุทที่ าให้ รัฐบาลนาระบบการรับจานาข้ าวกลับมา แต่ ก ารทางานในระบบรับ จานาข้ าวนั้นขอฝากทุก ท่ านให้ เคร่ งครัด ในเรื่องของ กระบวนการของข้ าวให้ เ กิด ความสุ จ ริ ต และโปร่ งใสเพราะส่ วนนี้เป็ นกระบวนการที่จ ะให้ ความสาคัญ จึงได้ ม อบหมายให้ รองนายกรั ฐ มนตรี แ ละรั ฐ มนตรี ว่า การกระทรวงพาณิ ช ย์


๖๑

รัฐมนตรีช่วยว่ าการกระทรวงพาณิชย์ (นายภูมิ สาระผล) และกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ เป็ น เจ้าภาพ ในการทางานนีอ้ ยากเห็นการบูรณาการและปรับปรุงระบบกระบวนการรับจานาข้ าวให้ เกิดความสุ จริตและโปร่ งใส นาความชอบธรรมและความชัดเจนให้ กับทางด้ านของหน่ วยงาน ดาเนินการโดยมีการตรวจสอบอย่ างชั ดเจนและที่สาคัญต้ อ งพิจารณาการด าเนินงานในส่ วนที่ ผ่ านมาว่าเป็ นอย่ างไรทีสิ่งใดคงค้างเพื่อทีจ่ ะนามาปรับปรุงและแก้ ไขให้ เสร็จสิ้น ดังนั้นถ้ านาระบบรับจานาข้ าวกลับมาจะคืนความเสมอภาคให้ พี่น้องเกษตรกร ซึ่งถือว่าเป็ นกระดูกสันหลังของประเทศ เพื่อทีจ่ ะได้ ราคาทีม่ ีความเป็ นธรรมมากขึน้ ระบบการ รับจานาข้ าวที่จะดาเนินการ จะส่ งผลให้ ประเทศไทยแข็งแรงขึน้ จึงขอฝากระบบการจานาข้ าวที่ จะนากลับมาพิจารณา ในเรื่องของราคาข้ าวเชื่อว่ ากลไกของข้ าวจะดีขึ้นเป็ นไปตามราคาตลาด แต่ ขณะเดียวกันขอให้ พิจารณาในเรื่องของราคาส่ งออกข้ าวต่ างประเทศด้ วย เพราะข้ าวทีส่ ่ งออก มีราคาลดลง แต่ เนื่องจากคุณภาพข้ าวของไทยดีกว่ าข้ าวของเวียดนาม แต่ ราคากลับต่ากว่ าราคา ข้ าวของเวียดนาม จึงขอให้ ดูแลกลไกของราคาข้ าวให้ สะท้อนอุปสงค์ และอุปทานข้ าวในประเทศ และต่ างประเทศเพื่อรองรับและสะท้อนกลับมา นอกจากนีใ้ นเรื่องของกลไกที่ถูกบิดเบือนมาตลอดในเรื่องของการปรับราคาข้ าว ถ้ านาการรับจานากลับมาจะทาให้ สิ่งต่ าง ๆ เกิดความเป็ นธรรมขึ้น และในส่ วนของนโยบายจะ ดาเนินการอย่ างไรในการให้ ความรู้ ส่งเสริมเกษตรกรเพิ่มคุณ ภาพและเพิ่มผลผลิตโดยทาให้ มี รอบการผลิตเพิ่มขึ้นและเพิ่มเทคโนโลยี ต่างๆ ที่จะทาให้ ผลผลิตต่ อไร่ เพิ่มมากขึ้นจะทาให้ งาน ทุก อย่ างสั มพันธ์ และสอดคล้ อ งกับปริมาณ รวมทั้งระบบน้าก็จะเป็ นสิ่ งสาคัญที่จะต้ อ งนามา วางแผนร่ วมกันในรอบของเพาะปลูกข้ าว อีกประการหนึ่งข้ าวของไทยเป็ นข้ าวคุณภาพเกรดเอ จะทาการประชาสั มพันธ์ อย่ างไรทีจ่ ะให้ ข้าวเป็ นที่รู้จกั และเป็ นทีย่ อมรับของนานาประเทศที่อยู่ ในกลุ่มที่รับรู้แต่ ยังไม่ มกี ารประชาสั มพันธ์ ในเรื่องของคุณภาพข้ าว และข้ อสุ ดท้ ายข้ าวจะทาให้ เศรษฐกิจขอไทยเติบโตขึ้นและเป็ นพื้นฐานสาคัญของส่ วนอื่น ซึ่งจะมีขอบเขตที่มากกว่ าการ พิจารณาเฉพาะเรื่องราคาข้ าวในเรื่องการนาระบบการรับจานาข้ าวกลับมา ซึ่งจะเริ่มดาเนินการ ในวันที่ ๗ ตุลาคม ๒๕๕๔ นี้ ต้ องขอความกรุณาทุกท่ านในการนาระบบการรับจานากลับมาให้ ทาให้ เกิดความ สมบูรณ์ มากขึ้นและปรับปรุงให้ ดีขึ้น รวมทั้งประชาสั มพันธ์ ให้ พี่น้องเกษตรกรทุกคนที่ห่วงใย เรื่องนี้ให้ มีความสบายใจว่าทุกอย่ างนั้นรัฐบาลตั้งใจทาอย่ างดี มีการดูแลในเรื่องการทุจริตไม่ให้


๖๒

เกิดขึ้นกระบวนการทุกอย่ างต้ องโปร่ งใสขอฝากทุกท่ านช่ วยด าเนินการและขอขอบคุณที่ได้ มี โอกาสมาชี้แจงและประชุมในวาระสาคัญเรื่องข้ าวเพื่อคนไทยทั้งประเทศ” ข้าพเจ้าเองดังที่ได้ช้ ีแจงมาข้างต้นว่า ข้าพเจ้าเพียงเป็ นผูก้ ากับโดยทัว่ ไป ในการ ดาเนิ นโครงการรั บจ าน าข้าวในภาพรวมเท่านั้น ส่ วนปั ญ หาที่ อา้ งความเสี ย หายอัน เกิ ด จาก โครงการรับจานาข้าว หรื ออ้างว่ามีการทุจริ ตในรายละเอียดชั้นการปฏิบตั ิในส่วนย่อย ก็ตอ้ งไป ตรวจสอบกับเจ้าหน้าที่ผปู้ ฏิบตั ิ จะเหมารวมเอาผิดทางอาญากับข้าพเจ้าในฐานะนายกรัฐมนตรี แต่เพียงผูเ้ ดียวไม่น่าจะเกิดความเป็ นธรรมต่อตัวข้าพาเจ้าเนื่องจาก “การกากับโดยเฉพาะในส่ วน ของนโยบาย” ดัง นั้น ข้า พเจ้า จึ ง ขอชี้ แจงให้เกิ ด ความเข้า ใจว่า เมื่ อส านัก งาน ป.ป.ช. ได้มี หนัง สื อ ด่ วนมาก ที่ ปช ๐๐๐๓/๐๑๑๘ ลงวันที่ ๙ ตุล าคม ๒๕๕๔ จะเห็ น ได้ว่า ช่วงเวลาที่ คณะกรรมการ ป.ป.ช. มีขอ้ เสนอแนะต่อรัฐบาลนั้นเป็ นเวลาภายหลังจากที่คณะรัฐมนตรี ได้ทา คาแถลงนโยบายโครงการรับจานาข้าวเมื่ออังคารที่ ๒๓ สิ งหาคม ๒๕๕๔ ต่อรัฐสภาและเป็ น เวลาภายหลังจากการที่ขา้ พเจ้าได้ให้นโยบายต่อที่ประชุมคณะกรรมการนโยบายข้าวแห่ งชาติ เมื่อวันศุกร์ที่ ๙ กันยายน ๒๕๕๔ แล้ว เมื่อดูจากกรอบเวลาที่คณะกรรมการ ป.ป.ช. มีขอ้ เสนอแนะต่อรัฐบาลภายหลังที่ คณะรัฐมนตรี แถลงนโยบายต่อรัฐสภาและเป็ นเวลาภายหลังจากการที่คณะกรรมการนโยบาย ข้างแห่ งชาติได้เริ่ มดาเนิ นโครงการรับจาข้าว ซึ่ งจะเริ่ มดาเนิ นโครงการรับจานาข้าวในวันที่ ๗ ตุล าคม ๒๕๕๔ ซึ่ งเป็ นวันเดี ยวกันกับที่ คณะกรรมการ ป.ป.ช. ทาหนัง สื อมี ขอ้ เสนอแนะต่อ รั ฐบาล วัน ที่ ๙ ตุ ล าคม ๒๕๕๔ เป็ นวัน เดี ย วกัน กับ ที่ รั ฐบาลต้อ งเริ่ ม ด าเนิ น โครงการตาม แผนงานการบริ ห ารราชการแผ่นดิ นที่ แถลงต่อรั ฐสภาหนัง สื อ ข้อเสนอแนะของส านัก งาน ป.ป.ช.ดังกล่าว จึงเป็ นไปไม่ได้ในรู ปแบบวิธีการของการปฏิบตั ิของการบริ หารราชการแผ่นดิน ตามที่รัฐธรรมนูญบัญญัติไว้ในอันที่จะยุติโครงการใดๆ ที่คณะรัฐมนตรี แถลงนโยบายต่อรัฐสภา ว่าจะแก้ปัญหาให้กับประชาชนโดยวิธีการอย่างหนึ่ งอย่างใดอย่างชัดแจ้ง แต่เมื่อถึงขั้นตอนการ ปฏิบัติกลับนาวิธีการอื่นที่ มิได้แถลงเป็ นนโยบายต่อรัฐสภามาปฏิ บตั ิ ซึ่ งในเรื่ องนี้ เมื่อรัฐบาล โดยคณะรัฐมนตรี ได้แถลงนโยบายต่อรัฐสภาถึงวิธีการแทรกแซงกลไกการตลาดโดยวิธีการรับ จานาข้าวแต่ภายหลังแถลงนโยบายเพื่อนาไปสู่ ข้ นั ตอนการปฏิบตั ิคณะรัฐมนตรี กลับมีคาสั่งให้ ยกเลิกโครงการรับจานาข้าวเปลือก แล้วนาระบบประกันความเสี่ ยงด้านราคาข้าวมาดาเนิ นการ นอกจากจะถูกประชาชนลงโทษว่าผิดสัญญาประชาคมแล้วก็คงอยูใ่ นประการที่จะต้องถูกผูห้ นึ่ ง


๖๓

ผูใ้ ดหรื อพรรคการเมืองใดกล่าวหาต่อคณะรัฐมนตรี วา่ กระทาผิดต่อบทบัญญัติรัฐธรรมนูญอย่าง แน่นอน นอกจากนี้ จะเห็ นได้ว่าในเวลาที่ส านักงาน ป.ป.ช. ได้มีห นังสื อด่วนมากที่ ปช ๐๐๐๓/๐๑๑๘ ลงวันที่ ๙ ตุลาคม ๒๕๕๔ ยืน ยันข้อเสนอแนะให้ย กเลิก โครงการรั บ จ าน า ข้า วเปลือกทั้ง ๆที่ โ ครงการยัง มิ ได้เริ่ มปฏิ บัติแต่อย่า งใด ตามมติ คณะกรรมการนโยบายข้า ว แห่ ง ชาติ มี ก ารก าหนดวัน เริ่ ม โครงการรั บจ าน าในวัน ที่ ๗ ตุล าคม ๒๕๕๔ ก่ อ นหน้า มี ค า เสนอแนะของคณะกรรมการ ป.ป.ช. เพียง ๒ วันซึ่ งขณะนั้นถือได้วา่ ยังไม่เริ่ มโครงการรับจานา ข้าว คณะกรรมการ ป.ป.ช. ก็ได้ใช้อานาจตามพ.ร.บ. ป.ป.ช. มาตรา ๑๙(๑๑) ให้รัฐบาลยกเลิก โครงการรับจานาข้าวแล้วนาระบบการประกันความเสี่ ยงด้านราคาข้าวมาดาเนิ นการทั้งๆ ที่ ยัง ไม่พบความเสี ยหายของขั้นตอนและกระบวนการในการดาเนินโครงการแต่อย่างใด รัฐบาลก็ถูก คณะกรรมการป.ป.ช. ระงับยับยั้งโครงการรับจานาข้าวเปลือกเสี ยแล้ว จึ งถือได้วา่ โดยหลักคิด และวิธีการนาเสนอระหว่างรัฐบาลกับคณะกรรมการ ป.ป.ช. หรื อพรรคประชาธิ ปัตย์โดยนาย อภิสิทธิ์ ฯ กับพวก ที่เป็ นผูก้ ล่าวหาในคดีน้ ี เป็ นปฏิปักษ์ต่อกันอย่างร้ายแรงและเป็ นกรณี พิเศษ ต่อการแก้ปัญหาความทุกข์ยากของประชาชน กระบวนการดาเนิ นโครงการมี ข้ นั ตอน และกระบวนการทางานมิ ใช่เป็ นการ ปฏิบตั ิหน้าที่ “โดยอาเภอใจ” ของบุคคลใดบุคคลหนึ่ งหรื อเจ้าหน้าที่ ผปู้ ฏิบตั ิรวมทั้งฝ่ ายบริ หาร โครงการแต่ อย่า งใดไม่ ขั้นตอนและกระบวนการจะเริ่ มจากมี ก ารจัด ท าโครงการ และน า โครงการเข้า สู่ ที่ ป ระชุ ม คณะกรรมการนโยบายข้า วแห่ ง ชาติ จากนั้ นน าเข้า สู่ ที่ ป ระชุ ม คณะรัฐมนตรี เพื่อให้มีมติของคณะรัฐมนตรี เพื่ออนุมตั ิโครงการ โดยในโครงการจะมีกาหนด ระยะเวลาในการดาเนิ นโครงการว่าเริ่ มโครงการวันที่เท่าไหร่ และโครงการสิ้ นสุดลงในวันใด ฝ่ ายบริ ห ารโครงการที่ ให้ นโยบายมี ก รอบรั ฐธรรมนู ญ กฎหมาย มติ ค ณะรั ฐมนตรี และมติ คณะกรรมการนโยบายข้าวแห่งชาติ เป็ นสภาพบังคับที่ใช้กากับ ควบคุม ดูแลการปฏิบตั ิการตาม หน้าที่ในระดับนโยบาย ในส่วนของเจ้าหน้าที่หรื อบุคคลตลอดจนหน่วยงานของรัฐที่เกี่ยวข้อง และเป็ นผู้ป ฏิ บัติ ก็ย่อมมี ส ภาพบัง คับ ตามกฎหมายที่ ต้องปฏิ บัติ ต ามมติ ค ณะรั ฐมนตรี มติ คณะกรรมการนโยบายข้า วแห่งชาติ กฎ ระเบียบ และคาสั่งอันเป็ นแบบแผนของการปฏิบตั ิงาน หากพิจ ารณาโดยถูก ต้อง เป็ นธรรมจะพบว่า การทางานในรู ปคณะบุค คลจ าต้องมี แบบแผน ดังกล่าวทั้งสิ้ น ในเรื่ องนี้การดาเนินโครงการนับแต่คณะรัฐมนตรี ได้แถลงนโยบายโครงการรับ


๖๔

จานาข้าว เมื่ อวันที่ ๒๓ สิ งหาคม ๒๕๕๔ จากนั้นคณะรัฐมนตรี ได้มีมติ เมื่อวันที่ ๖ กันยายน ๒๕๕๔ แต่งตั้ง คณะกรรมการนโยบายข้าวแห่ งชาติ โดยมีนายกรัฐมนตรี เป็ นประธานและ รัฐมนตรี วา่ การกระทรวงพาณิ ชย์เป็ นรองประธาน ปลัด กระทรวงพาณิ ชย์เป็ นกรรมการและ เลขานุการ ปรากฏตามมติคณะรัฐมนตรี เมื่อวันที่ ๖ กันยายน ๒๕๕๔ พยานเอกสารในลาดับที่ ๘ จากนั้นเมื่อวันที่ ๙ กันยายน ๒๕๕๔ คณะกรรมการนโยบายข้าวแห่ งชาติ ได้มีมติ อนุ มัติ กรอบ ชนิด ราคา ปริ มาณ ระยะเวลา วิธีการ หลักเกณฑ์ เงื่อนไข และงบประมาณโครงการรับ จานาข้าวเปลือกนาปี ๕๔/๕๕ ปรากฏตามมติค ณะกรรมการนโยบายข้าวแห่ งชาติ ครั้ งที่ ๑/ ๒๕๕๔ พยานเอกสารในลาดับที่ ๙ โดยข้าพเจ้าเป็ นประธาน ในที่ประชุมครั้งแรก และนับจากการประชุมในครั้งนี้ ข้า พเจ้า ได้ม อบหมายให้ น ายกิ ต ติ รั ต น์ ณ ระนอง รองนายกรั ฐมนตรี และรั ฐมนตรี ว่า การ กระทรวงพาณิ ชย์ในขณะนั้นเป็ นประธาน ต่อมามีก ารปรับคณะรัฐมนตรี นายบุญ ทรง เตริ ย า ภิรมย์ เป็ นรัฐมนตรี วา่ การกระทรวงพาณิชย์ ข้าพเจ้าก็ได้มอบหมายให้เป็ นประธานในที่ประชุม คณะกรรมการนโยบายข้าวแห่ งชาติแทนข้าพเจ้าทั้งสิ้ น และเมื่อวันที่ ๑๓ กันยายน ๒๕๕๔ คณะรั ฐมนตรี ได้มีมติ ๑) รับทราบ กรอบ ชนิ ด ราคา ปริ มาณ ระยะเวลา วิธีก าร หลักเกณฑ์ เงื่อนไข และงบประมาณ ๒)อนุมัติในหลัก การเงินจ่ายขาด โดยใช้จ่ายจากงบประมาณปี ๒๕๕๔ ไปพลางก่ อน ๓) มอบ กระทรวงการคลัง ระดมเงินทุนหมุนเวียน ๔) มอบกระทรวง พาณิ ช ย์ประสานและตรวจสอบให้ ก ารด าเนิ น การสอดคล้อ งกับ ข้อตกลง WTO ด้วย และ ประเด็นสาคัญ ๑) ราคารับจานา ๑๕,๐๐๐ – ๒๐,๐๐๐ บาท ระยะเวลาจานา ๗ ตุลาคม ๒๕๕๔– ๓๑ กรกฎาคม ๒๕๕๕ ๒) ค่า ใช้จ่ า ยทั้งสิ้ น ๔๓๕,๕๔๗.๖๔๗ ล้านบาท วงเงิน จ่ ายขาด ๒๕,๕๔๗.๖๔๗ ล้านบาท ๓) ตั้งคณะอนุกรรมการ ๖ คณะ ปรากฏตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อ วันที่ ๑๓ กันยายน ๒๕๕๔ พยานเอกสารในลาดับที่ ๑๐ ต่อมาเมื่อวันที่ ๒๗ กันยายน ๒๕๕๔ คณะรัฐมนตรี ได้มีมติคณะรัฐมนตรี ๑) อนุ มัติให้ย กเว้นการปฏิ บัติตามมติ ครม. (๗ เมษายน ๒๕๕๒ ) เป็ นกรณี พิเศษ โดยให้โ อน เปลี่ยนแปลงงบประมาณค่าใช้จ่ายในการส่งเสริ มการจาหน่ายผลผลิตของจังหวัดชายแดนภาคใต้ ๒๑.๙ ล้านบาท ไปเป็ นค่าใช้จ่ายในการยกระดับราคาข้าวเพื่อสร้างความมัน่ คงให้เกษตรกร ๒) อนุมตั ิในหลักการให้องค์การคลังสิ นค้าประสานธนาคารเพื่อการเกษตรและสหกรณ์การเกษตร เพื่อจ่ายเงินสารองให้องค์การคลังสิ นค้าเป็ นเงินทุนหมุนเวียนในการรับจานาข้าวเปลือกนาปี ๒๕๕๔/๕๕ จานวน ๑๕ ล้านตัน ๔,๑๙๕.๓๑๙ ล้านบาท ปรากฏตามมติคณะรัฐมนตรี เมือ่


๖๕

วันที่ ๒๗ กันยายน ๒๕๕๔ พยานเอกสารในลาดับที่ ๑๑ และต่ อมาก่ อนทีค่ ณะกรรมการ ป.ป.ช. จะได้ มีข้อ เสนอแนะตามหนังสื อ ด่ วนมาก ที่ ปช ๐๐๐๓/๐๑๑๘ ลงวัน ที่ ๙ ตุ ล าคม ๒๕๕๔ คณะรัฐ มนตรี ได้ มีมติค ณะรั ฐมนตรี เมื่อ วันที่ ๔ ตุ ล าคม ๒๕๕๔ ๑) อนุ มัติให้ ธนาคารเพื่ อ การเกษตรและสหกรณ์ ก ารเกษตรจ่ า ยเงิ นส ารองให้ องค์การตลาดเพื่ อเกษตรกรเป็ นเงินทุ น หมุ น เวีย น ๑๐ ล้า นตัน ๓,๘๑๘.๘๑๘ ล้า นบาท ปรากฏตามมติ ค ณะรั ฐมนตรี เมื่ อวัน ที่ ๔ ตุลาคม ๒๕๕๔ พยานเอกสารในลาดับที่ ๑๒ การดาเนินโครงการที่มีข้ นั ตอน กระบวนการทั้งในฝ่ ายผูบ้ ริ หารนโยบาย และใน ฝ่ ายผูป้ ฏิบตั ิตามมติคณะกรรมการนโยบายข้าวแห่ งชาติ และมติคณะรัฐมนตรี ดงั ที่กล่าวมา จึ ง เป็ นเหตุผลที่สมควรที่คณะกรรมการ ป.ป.ช. ต้องให้ความเป็ นธรรมต่อตัวข้าพเจ้าได้เป็ นอย่างดี ว่า การไม่ปฏิบตั ิตามข้อเสนอแนะของคณะกรรมการ ป.ป.ช. ในรู ปแบบและกระบวนการตาม บทบัญญัติรัฐธรรมนูญและหากคานึงถึงที่มาของนโยบายที่ใช้หาเสี ยงผ่านการเลือกตั้งจึงเป็ นไป ไม่ได้โดยความชอบธรรมที่ ค ณะรั ฐมนตรี จ ะยุติโ ครงการรับจานาข้า วตามข้อเสนอแนะของ คณะกรรมการ ป.ป.ช. นอกจากนี้ ข ้าพเจ้าขอยกตัวอย่างเพื่อความเข้าใจต่อคณะกรรมการ ป.ป.ช. ว่า เพราะเหตุใดเมื่ อคณะกรรมการ ป.ป.ช. มี ขอ้ เสนอแนะต่อรัฐบาลให้ยกเลิก โครงการรับจานา ข้าวเปลือกตามบันทึกแจ้งข้อกล่าวหาในข้อ ๓ แต่รัฐบาลจาเป็ นต้องปฏิบตั ิตามสัญญาประชาคม และนโยบายที่แถลงต่อรัฐสภา คือ “ การปรับโครงการรับจานาข้าวเปลือกปี การผลิต ๒๕๕๕/ ๕๖ ตามมติคณะรัฐมนตรี เมื่อวันที่ ๑๙ มิถนุ ายน ๒๕๕๖ ปรากฏตามหนังสื อกระทรวงพาณิชย์ ที่ พณ ๐๔๑๔/๒๑๗๔ ลงวันที่ ๑๘ มิถนุ ายน ๒๕๕๖ เรื่ อง การปรับโครงการรับจานาข้าวเปลือก ปี การผลิต ๒๕๕๕/๕๖ และ หนังสื อสานักเลขาธิ การคณะรัฐมนตรี ด่วนที่สุ ด ที่ นร ๐๕๐๖/ ๑๖๑๓๔ ลงวัน ที่ ๒ ๑ มิ ถุ น ายน ๒ ๕ ๕๖ แจ้ ง มติ ค ณะรั ฐ มนตรี และผลการประชุ ม คณะกรรมการนโยบายข้าวแห่ งชาติ พยานเอกสารในลาดับที่ ๑๓ จากราคาตันละ ๑๕,๐๐๐ บาท เป็ นราคาตันละ ๑๒,๐๐๐ บาท” รัฐบาลก็ถูกชาวนาเรี ยกร้องพร้อมยื่นข้อเสนอทัว่ ประเทศ แล้ว ทั้ง ๆ ที่รัฐบาลเห็นว่าการดาเนินโครงการรับจานาข้าวเปลือกตั้งแต่ปีการผลิต ๒๕๕๔/๕๕ จนถึง ปั จ จุบัน ทาให้เกษตรกรได้รั บประโยชน์จ ากโครงการโดยมี ร ายได้เพิ่มขึ้ นและมี ความ เป็ นอยู่ที่ดีระดับหนึ่ ง จึ งเห็นควรกาหนดราคารับจานาให้สอดคล้องกับต้นทุนการผลิต และมี ความยืดหยุน่ สอดคล้องกับภาวะราคาข้าวในตลาดโลก จึ งควรพิจารณากาหนดราคารับจานา ข้าวเปลือกให้มีความยืดหยุ่นและสอดคล้องกับสถานการณ์ราคาข้าวในตลาดโลก เพื่อให้การ


๖๖

ดาเนิ นการรับจ านาข้าวเปลือก ปี การผลิต ๒๕๕๕/๕๖ สอดคล้องรั บกับมติ ค ณะรัฐมนตรี ที่ กาหนดปริ มาณการรับจานารวมไม่เกิ น ๒๒.๐ ล้านตัน และกรอบวงเงินที่ใช้ในการรับจานาไม่ เกิ น ๓๔๕,๐๐๐ ล้านบาท และกาหนดวงเงินดาเนิ นการสิ้ นสุ ด ณ วันที่ ๓๑ ธันวาคม ๒๕๕๖ ต้องไม่เกิ น ๕๐๐,๐๐๐ ล้า นบาท เป็ นวงเงินกู้จานวน ๔๑๐,๐๐๐ บาท และเงินทุนของ ธ.ก.ส. จานวน ๙๐,๐๐๐ ล้านบาท รวมทั้งรักษาวินยั ทางการคลังตามข้อเสนอของกระทรวงการคลัง และ สถานการณ์ภาวะการค้าข้าวในตลาดโลกที่เปลี่ยนแปลงไป จึ งจาเป็ นต้องปรับลดราคารับจานา วงเงินรับจานาของเกษตรกรแต่ละครัวเรื อน รวมทั้งการกากับดูแลโครงการรับจานาข้าวเปลือกปี การผลิต ๒๕๕๕/๕๖ เห็นชอบให้ปรับราคารับจ านาข้าวเปลือกเจ้า ๑๐๐% โครงการรับจานา ข้าวเปลือกปี การผลิต ๒๕๕๕/๕๖ ครั้งที่ ๑ และครั้งที่ ๒ จากราคาตันละ ๑๕,๐๐๐ บาท เป็ น ราคาตันละ ๑๒,๐๐๐ บาท และข้าวเปลือกชนิ ด อื่นๆ ปรับลด ๒๐% จากราคาที่กาหนดไว้เดิ ม โดยราคาที่ปรับลดลงใกล้เคียงกับราคาต้นทุน แต่ก็ถกู ชาวนาขู่ ประท้วงทัว่ ประเทศ ปรากฏตาม ข่ าวทีน่ ายกสมาคมชาวนาฯ ขู่ ไม่ได้ จานาข้ าง ๑๕,๐๐๐ บาท/ตัน ชาวนาประท้วงทัว่ ประเทศ และ ข่ าวสารสมาคมผู้ ส่งออกข้ าวไทยระบุ ข่ าวว่ า “ชาวนาไม่ พ อใจและไม่ เห็น ด้ วยกับ ราคาจาน า ๑๒,๐๐๐ บาท คุ้ มต้ นทุนการผลิต ชาวนาโวยตายแน่ ลดราคาจานา และผู้ นาฝ่ ายค้ าน “นาย อภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ ผู้นาฝ่ ายค้านซึ่งเป็ นผู้กล่ าวหาและยื่นคาร้ องถอดถอนข้ าพเจ้าในคดีนใี้ นเวลา นั้นให้ สัมภาษณ์ต่อสื่อมวลชนว่าการลดราคาจานาเหลือ ๑๒,๐๐๐ บาท กระทบเกษตรกรเป็ นหลัก และระบุว่าคณะรัฐมนตรีต้องรับผิดชอบเรื่องนีเ้ พราะว่าแถลงนโยบายแล้ วปฏิบัติไม่ได้ ก็ต้องมา อธิบายกับสภา ส่ วนตัวมองเรื่องความรับผิดชอบทางการเมือง นายเจษฏ์ โฑณะวณิ ช คณบดี บัณ ฑิ ตวิท ยาลัย สาขานิ ติศาสตร์ มหาวิทยาลัย สยาม กล่าวถึงการปรับลดราคาจานาข้าว ซึ่ งไม่ตรงกับที่รัฐบาลเคยแถลงนโยบายต่อรัฐสภา ว่า โดยหลักการสามารถปรับเปลี่ยนได้ แต่ตอ้ งชี้แจงกับประชาชนให้เข้าใจ การที่พรรคการเมือง หาเสี ยงไว้ ย่อมถือเป็ นสัญญาประชาคมหากดาเนินการไปแล้วมีความผิดพลาดและไม่สามารถ ทาได้ตามสัญ ญา ในทางการเมื องจ าเป็ นต้องมีผูร้ ั บผิด ชอบ เช่น อาจต้องปรั บรัฐมนตรี หรื อ นายกรัฐมนตรี ตอ้ งแถลงให้ชัดเจน เนื่ องจากการเปลี่ยนสาระสาคัญ ของโครงการน่าจะทาให้ ประชาชนจานวนไม้น้อย ไม่พอใจ (ที่มากรุ งเทพธุรกิ จออนไลน์) จากเรื่ องข้างต้นสามารถตอบ ปัญหาต่อการกระทาของคณะกรรมการ ป.ป.ช. ที่มีขอ้ เสนอแนะให้รัฐบาลยุติโครงการรับจานา ข้าวได้วา่ ๑.ผูน้ าฝ่ ายค้าน(นายอภิสิทธิ์ ฯ ) จี้ให้รับผิดชอบทางการเมืองเพราะแถลงนโยบายแล้ว ปฏิบตั ิไม่ได้จึงมีคาถามกลับต่อคณะกรรมการ ป.ป.ช. ว่า ถ้าข้าพเจ้าไม่ปฏิบตั ินโยบายที่แถลงต่อ


๖๗

รัฐสภาคงเป็ นที่เข้าใจได้วา่ ผูน้ าฝ่ ายค้านคงจะดาเนิ นการอย่างใดอย่างหนึ่ งทั้งทางรัฐธรรมนู ญ และกฎหมายเพื่อตรวจสอบความชอบด้วยกฎหมายในการบริ หารราชการแผ่นดินที่ไม่ปฏิบัติ ตามนโยบายที่ ค ณะรัฐมนตรี แถลงต่ อรั ฐสภาและในทางการเมื องนายเจษฏ์ ฯ นัก วิชาการตั้ง ค าถามต่อรั ฐบาลในเรื่ องความรั บ ผิด ชอบในเรื่ องสัญ ญาประชาคม และเลื อกให้ รั บผิด ชอบ ทางการเมืองจึงมีคาถามในทานองเดียวกันว่าหากยุติการดาเนินโครงการตามข้อเสนอแนะของ คณะกรรมการ ป.ป.ช. รัฐบาลจะรับผิดชอบต่อนโยบายที่ให้สัญญาประชาคมต่อประชาชนใน เวลาหาเสี ยงได้อย่างไร ปรากฏการณ์ที่เกิดขึ้นทั้งต่อชาวนา ผูน้ าฝ่ ายค้าน นักวิชาการ ที่โต้แย้ง การกระทาของรัฐบาลแม้รัฐบาลจะมีเจตนาดี ในการบริ หารโครงการก็ตาม ทาให้เข้าใจได้วา่ เมื่อ มีการเริ่ มจัดตั้งคณะรัฐมนตรี และแถลงนโยบายต่อรัฐสภาแล้วมีการเริ่ มกระบวนการดาเนินการ ตามมติคณะกรรมการนโยบายข้าวแห่งชาติจนกระทัง่ มีมติคณะรัฐมนตรี ออกไปใช้ปฏิบตั ิแล้วจึง ถือว่ากระบวนการตามบทบัญญัติรัฐธรรมนูญมีสภาพบังคับตามกฎหมายแล้ว ดังนั้น ข้ออ้างตามบันทึกแจ้งข้อกล่าวหาตามหนังสื อสานักงาน ป.ป.ช. ด่วนมาก ที่ ปช ๐๐๐๓/๐๑๑๘ ลงวันที่ ๙ ตุลาคม ๒๕๕๔ ซึ่ งมีข ้อเสนอแนะภายหลังเวลาจากที่ไ ด้มีมติ ของคณะกรรมการนโยบายข้าวแห่งชาติ และมติคณะรัฐมนตรี ดงั กล่าวข้างต้นแล้ว จึงไม่ถกู ต้อง ด้วยบทบัญ ญัติ รั ฐธรรมนู ญ มาตรา ๑๗๖ และ มาตรา ๑๗๘ พระราชกฤษฎี ก าว่า ด้ว ยการ หลัก เกณฑ์ แ ละวิธี ก ารบริ ห ารกิ จ การบ้า นเมื อ งที่ ดี พ.ศ. ๒๕๔๖ เพราะการปฏิ บัติ ต าม บทบัญญัติรัฐธรรมนูญ ที่ได้แถลงต่อรัฐสภาและการปฏิบตั ิตามมติคณะรัฐมนตรี ถือเป็ นสภาพ บังคับตามกฎหมายที่สาคัญในอัน ที่ตอ้ งปฏิบตั ิ ข้าพเจ้าจึ งขอให้คณะกรรมการป.ป.ช. ได้โปรด พิจารณาทบทวนเหตุผลในข้อกล่าวอ้างว่ารัฐบาลไม่ปฏิบตั ิตามข้อเสนอแนะจึ งถือเป็ นเหตุผล สาคัญ ที่นามาด าเนิ นคดี ต่อข้าพเจ้าเสี ยใหม่ ด้วยเหตุผลทั้งข้อเท็จจริ ง และข้อกฎหมายดัง ที่ไ ด้ กล่าวมาแล้วข้างต้น ข้ อ ๔. ข้ อกล่ าวหาที่ว่ าโครงการรับจานาข้ าวเป็ นนโยบายของคณะรั ฐ มนตรี ที่ สร้ างขึ้นเพื่อให้ เกิด “การทุจริตเชิงนโยบาย” โดยนาไปสู่ การทุจริต หรือการแสวงหาประโยชน์ ที่ มิควรได้ โดยชอบด้ วยกฎหมายอันจะก่ อให้ เกิดความเสี ยหายต่ อประเทศชาติในทุกขั้นตอน และ กระบวนการในการดาเนินโครงการจนถึงขนาดที่ไม่ สมควรที่จะนาโครงการรับจานาข้ าวมาใช้ เป็ นนโยบายของรัฐบาลหรือไม่ ข้าพเจ้าขอชี้แจงเพื่อหักล้างข้อกล่าวหาในเรื่ องข้างต้น ดังนี้ ๔.๑ การทางานในรูปแบบคณะบุคคล


๖๘

โครงการรั บ จ าน าข้า ว มี ก ระบวนการ ขั้น ตอน และวิธีก ารปฏิ บัติใ น รู ปแบบ “คณะบุ ค คล” ที่ เรี ย กว่า “คณะกรรมการนโยบายข้ าวแห่ งชาติ ” มี ก รรมการ และ ผูท้ รงคุณวุฒิหลากหลาย จากหน่วยงานของรัฐ อาทิเช่น จากกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ได้แก่ ปลัด กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ หรื อผูแ้ ทน ปลัด กระทรวงมหาดไทยหรื อผูแ้ ทน ปลัด กระทรวงการคลังหรื อผูแ้ ทน ปลัดสานักนายกรัฐมนตรี ปลัดกระทรวงพาณิชย์ ปลัดกระทรวง อุตสาหกรรม อธิ บดี ก รมการค้าภายใน อธิ บดี กรมการค้า ต่างประเทศ อธิ บดีก รมการข้า ว เลขาธิการคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ ผูอ้ านวยการสานักงบประมาณ ห รื อผู้ แ ท น ผู้ ท ร งคุ ณ วุ ฒิ จ าก ม ห าวิ ท ย าลั ย ม หิ ด ล ม ห าวิ ท ย าลั ย เก ษ ต ร ศาส ต ร์ มหาวิทยาลัยขอนแก่น องค์การคลังสิ นค้า องค์การตลาดเพื่อเกษตรกร ธนาคารเพื่อการเกษตร และสหกรณ์การเกษตร และกรรมการอื่นอีก รวมแล้วไม่ต่ากว่า ๕๐ คน อีกทั้งยังมีการแต่งตั้ง คณะอนุ ก รรมการแต่ละด้านขึ้ น มาปฏิ บัติห น้า ที่ ไ ม่ ว่าจะเป็ นขั้นตอนการรั บจ าน าข้า ว หรื อ ขั้นตอนการระบายข้าว จากโครงการสร้างที่มีการทางานในรู ปคณะบุคคลมีกระบวนการและขั้นตอน การปฏิบตั ิตามแผนผังข้างต้นจึงเป็ นไปไม่ได้เลยที่คณะรัฐมนตรี จะไปดาเนินการสร้างนโยบาย เพื่อนาไปสู่ การทุจริ ต หรื อแสวงหาประโยชน์ที่มิควรได้โดยชอบด้วยกฎหมายท่ามกลางการ ปฏิ บั ติ ห น้ า ที่ ใ นรู ป ของคณะบุ ค คล อี ก ทั้ งการปฏิ บั ติ ง านเมื่ อ เป็ นรู ป คณะบุ ค คลและมี กระบวนการและขั้นตอนการปฏิบตั ิหน้าที่ลว้ นแต่ใช้การสั่งการในรู ปของมติที่ประชุมไม่วา่ จะ เป็ นมติค ณะรัฐมนตรี มติค ณะกรรมการนโยบายข้าวแห่ งชาติ (กขช.) มติคณะอนุ กรรมการ ระเบียบ และคาสั่งในการปฏิบตั ิงานที่ตอ้ งจัดทาเป็ นเอกสาร ดังนั้นข้อกล่าวหาในเรื่ องการทุจริ ต เชิงนโยบายจึ งเป็ นข้อสมมุติฐาน และการจินตนาการโดยขาดไร้พยานหลักฐานสนับสนุน และ จากบันทึ ก การแจ้ง ข้อกล่าวหา พร้ อมพยานเอกสารเท่ าที่ ค ณะกรรมการ ป.ป.ช. ให้ข ้าพเจ้า ตรวจสอบก็ ไ ม่ มี พ ยานเอกสารใดว่า มี ม ติ ค ณะรั ฐ มนตรี ค ราวใด มติ กขช. ครั้ งใด หรื อ มี พยานหลัก ฐานการทุจ ริ ตในขั้นตอนการปฏิ บัติง านที่ ต าบล อาเภอ และจังหวัด ใด รายงาน คณะอนุกรรมการปิ ดบัญชีที่คณะกรรมการ ป.ป.ช. นามากล่าวอ้างประกอบรายงานสานักงาน ตรวจเงินแผ่นดิน ไม่ได้แสดงหลักฐานการทุจริ ตแต่อย่างใด และถือไม่ได้วา่ เป็ นหลักฐานที่บ่งชี้ ถึงการทุจริ ตแต่จะถือเป็ นหลักฐานที่บ่งบอกถึงความเสี ยหายของโครงการรับจานาข้าวที่ถกู ต้อง แท้จริ งหรื อไม่ ข้าพเจ้าจะได้ช้ ีแจงต่อไป


๖๙

๔.๒ โครงการรั บ จ าน าข้ าวมุ่ ง หมายที่ จ ะยกระดั บ รายได้ ช าวนาให้ ทัด เที ย มกั บ การประกอบอาชี พ อย่ างอื่ น มิ ใ ช่ มุ่ ง หมายกระท าการทุ จ ริ ต หรื อ การแสวงหา ประโยชน์ ทมี่ คิ วรได้ โดยชอบด้ วยกฎหมายอันจะก่ อให้ เกิดความเสียหายแก่ ประเทศชาติ มีการยกประเด็นว่าการประกาศนโยบายที่ให้ผลโดยตรงกับประชาชน เป็ นนโยบายเชิ งการตลาดบ้างนโยบายประชานิ ยมบ้าง แต่พรรคการเมืองที่เข้าสู่ กระบวนการ เลือกตั้งยืนหยัดมีนโยบายที่ทางานให้กับประชาชน หากนโยบายจานาข้าวเป็ นนโยบายประชา นิยม ก็เป็ นนโยบายที่พรรคการเมืองใช้ขณะหาเสี ยงโดยเจตนาต้องการให้ผลประโยชน์ตกอยูก่ ับ ประชาชน เช่นเดียวกับนโยบายหลักประกันสุขภาพถ้วนหน้า หรื อ กองทุนหมู่บา้ น เท่านั้น คณะกรรมการนโยบายข้า วแห่ ง ชาติ (กขช.) ซึ่ งมี อ านาจหน้ าที่ เสนอ กรอบนโยบายและยุทธศาสตร์ ข ้าวต่อคณะรัฐมนตรี ท้ งั ในระยะสั้นและระยะยาวเพื่อให้ก าร จัดการข้าวสอดคล้องกันทั้งระบบและมีการพัฒนาต่อเนื่ อง และอนุมตั ิแผนงาน โครงการและ มาตรการเกี่ยวกับการผลิตและการตลาดข้าว ส่งเสริ มและสนับสนุนการศึกษาวิจยั และพัฒนาเพือ่ เพิ่มคุณภาพ ลดต้นทุน และส่ งเสริ มการผลิตข้าวที่ สอดคล้องกับความต้องการของตลาดโลก โดยผ่านกองทุนวิจัยพัฒนาและส่งเสริ มการผลิตและการตลาด พิจารณาหลักเกณฑ์ และวิธีการ สนับสนุน ช่วยเหลือเกษตรกร สถาบันเกษตรกร ผูป้ ระกอบการโรงสี และผูส้ ่ งออกข้าว เพื่อให้ การบริ ห ารจัดการข้าวทั้งระบบเป็ นไปอย่างมีประสิ ทธิ ภาพ ติดตาม กากับดูแลการปฏิบัติตาม นโยบาย มาตรการ และโครงการที่ อนุมัติ แต่งตั้งคณะอนุ ก รรมการ คณะทางาน และคณะที่ ปรึ ก ษา เพื่อด าเนิ นการด้านการผลิตการตลาด และการแก้ไขปั ญ หาเกี่ ย วกับข้าว เชิญ บุค คลที่ เกี่ยวข้องมาชี้แจงหรื อขอเอกสารหลักฐาน โดยให้ส่วนราชการ รัฐวิสาหกิ จหรื อหน่วยงานของ ทางราชการให้ค วามร่ วมมื อและสนับสนุ นการด าเนิ นการของคณะกรรมการ ดาเนิ นการอื่น ตามที่นายกรัฐมนตรี หรื อคณะรัฐมนตรี มอบหมาย ปรากฏตาม คาสั่งส านักนายกรัฐมนตรี ที่ ๑๕๓/๒๕๕๔ เรื่ อง แต่งตั้งคณะกรรมการนโยบายข้าวแห่ งชาติ เมื่อวันที่ ๘ กันยายน ๒๕๕๔ พยานเอกสารในลาดับที่ ๑๔ หากหลักการทางกฎหมายที่มีเพื่อวินิจฉัยเจตนาของผูห้ นึ่ งผูใ้ ดที่ถูกกล่าวหาให้ รับผิดทางอาญาที่วา่ “กรรมเป็ นเครื่องชี้เจตนา” แล้วจะเห็นได้วา่ ข้าพเจ้าในฐานผูถ้ กู กล่าวหาได้ แสดงออกโดยชัดแจ้งในการให้นโยบายต่อผูป้ ฏิบตั ิงานในที่ประชุมคณะกรรมการนโยบายข้าว แห่ งชาติ เป็ นเวลาต่อมาภายหลังจากการออกคาสั่งดังกล่าวข้างต้น ข้าพเจ้าได้ให้นโยบายต่อที่ ประชุ ม คณะกรรมการนโยบายข้า วแห่ ง ชาติ ในการประชุ ม ครั้ งที่ ๑ /๒๕๕๔ เมื่ อวัน ที่ ๙


๗๐

กันยายน ๒๕๕๔ ดังที่กล่าวมาข้างต้นโดยมีเจตนาให้การดาเนินการเกิดความสุ จริ ตและโปร่ งใส และเคร่ งครัดในเรื่ องของกระบวนการเพื่อสร้างการตรวจสอบหาใช่สร้างนโยบายเพื่อให้เกิดการ ทุจริ ตแต่อย่างใดตามที่คณะกรรมการ ป.ป.ช. กล่าวหาว่าสร้างนโยบายโครงการรับจานาข้าว เพื่อให้มีการทุจริ ตเชิงนโยบายเพื่อนาไปสู่ การทุจริ ตหรื อการแสวงหาประโยชน์ที่มิควรได้โดย ชอบด้ว ยกฎหมายแต่ อ ย่า งใดไม่ และเมื่ อ เป็ นนโยบายเพื่ อ ให้ น าไปสู่ ก ารปฏิ บั ติ ท าให้ คณะกรรมการนโยบายข้าวแห่งชาติได้นานโยบายของข้าพเจ้าไปสู่การปฏิบตั ิโดยแสดงออกต่อ สาธารณะอย่างชัดแจ้งว่า “โครงการรับจานาข้าวมีเจตนาทาให้เกษตรกรมีรายได้เพิ่มขึ้นแน่นอน สร้ างอานาจต่อรองและเพิ่มทางเลือกให้เกษตรกรยกระดับราคาข้าวให้สู งขึ้ นทั้งระบบราคา ส่งออกข้าวไทยปรับตัวสู งขึ้นมีประโยชน์ต่อระบบเศรษฐกิ จโดยรวมเพื่อความกิ นดีอยูด่ ีของพี่ น้องชาวนาไทย” ปรากฏตามเอกสารรู้ลึกรู้จริ งจานาข้าวของคณะกรรมการนโยบายข้าวแห่งชาติ (กขช.) พยานเอกสารในลาดับที่ ๑๕ จากพยานเอกสารได้ร ะบุ ในค านาของเอกสารชัด แจ้ง ว่า “กรมการค้า ภายใน กระทรวงพาณิชย์ ในฐานะเลขานุการคณะกรรมการนโยบายข้าวแห่งชาติ(กขช.)จึงได้จดั เอกสาร ฉบับนี้ ข้ ึนเพื่อให้เห็ นถึงประโยชนที่เกษตรกรจะได้รับจากโครงการรับจานาข้าวและให้ความ กระจ่างเกี่ ยวกับขั้นตอนในโครงการรับจานาข้าวซึ่ งมีการวางระบบและมีการติดตามตรวจสอบ ที่เข้มงวด โดยเฉพาะอย่างยิ่งโครงการรับจานาข้าวเปลือกปี ๒๕๕๕/๕๖ ที่ได้มีการปรับปรุ ง และน ามาตรการต่ า งๆ มาใช้ ใ ห้ รั ด กุ ม ยิ่ ง ขึ้ น นอกจากนี้ ยัง ได้ ส รุ ปผลการศึ ก ษาของ สถาบันการศึกษา ซึ่ งชี้ถึงความพึงพอใจของเกษตรกร หวังว่าเอกสารนี้ จะสามารถสร้างความ เข้า ใจอัน ดี ต่ อ โครงการรั บ จ าน าข้า วมากยิ่ง ขึ้ น ปรากฏตามเอกสารรู้ ลึ ก รู้ จ ริ ง จ าน าข้า ว คณะกรรมการนโยบายข้าวแห่งชาติ(กขช.) พยานเอกสารในลาดับที่ ๑๕ และได้มีการสื่ อสารต่อ สาธารณะและต่อเกษตรกรรวมทั้งเจ้าหน้าที่ รั ฐทุกฝ่ ายที่ เกี่ ย วข้อ งรวมทั้งเอกชนให้ เข้า ใจถึง ขั้นตอนและกระบวนการถึง การดาเนิ นโครงการเริ่ มตั้งแต่ (๑)ทาไมจึ ง ต้องรับจานาข้าว (๒) นโยบายการรับจานามีเจตนาเพื่อยกระดับราคาสิ นค้าเกษตรและเพิ่มรายได้เกษตรกร และการ ดาเนินโครงการเป็ นนโยบายเร่งด่วนของรัฐบาล มีการแจ้งถึงวัตถุประสงค์ของโครงการรับจานา ข้าวเปลือก (๓) ขั้นตอนการรับจานา เริ่ มตั้งแต่ การออกหนังสื อรับรองการเกษตร การจานา ข้า วเปลื อก ณ จุ ด รั บ จ าน า เกษตรกรต้องน าใบประทวนที่ ไ ด้รั บ ไปติ ด ต่ อกับ ธนาคารเพื่ อ การเกษตรและสหกรณ์การเกษตร การแปรสภาพข้าวเก็บโกดังกลาง การรับมอบข้าวและการ เก็บรักษารอการระบายข้าว การกากับดูแล (๔)ราคารับจานาข้าว ข้าวจะได้ราคาสู งได้ราคาดี


๗๑

ต้องเป็ นข้าวที่มีคุณภาพและได้มาตรฐานถึงจะได้ราคาตามที่กาหนดไว้ (๕) ภาพรวมโครงการ รับจานาข้าว จากข้อมูลข่าวสารที่แสดงถึงวัตถุประสงค์ของโครงการรับจานาข้าวเปลือกก็ดี ขั้นตอนและกระบวนการของการดาเนิ นโครงการก็ดีลว้ นแต่เป็ นมาตรการที่ป้องกันการทุจริ ต หรื อการแสวงหาประโยชน์ที่มิควรได้โดยชอบด้วยกฎหมายทั้งสิ้ น หากโครงการรั บ จ าข้ า วรั ฐ บาลมี เจตนาพิ เศษเพื่ อ ทุ จ ริ ตเชิ ง นโยบายดัง ที่ คณะกรรมการป.ป.ช.กล่าวหาเพื่อให้เกิดการทุจริ ตแล้วคณะกรรมการนโยบายข้าวแห่ งชาติจะ สร้างขั้นตอนและกระบวนการในการรับจานาข้าวไปเพื่ออะไรเพราะจะทาให้ทุจริ ตในขั้นตอน การรั บ จ าน าไม่ ไ ด้ ในทางตรงกัน ข้า มจะเห็ น ได้ว่า จากขั้น ตอนการรั บ จ าน าตามเอกสารที่ คณะกรรมการนโยบายข้าวแห่งชาติได้แสดงออกต่อสาธารณะจะพบว่าขั้นตอนการรับจานาและ ราคารับจานาข้าวรวมทั้งภาพรวมโครงการรับจานาข้าวมีการสร้างมาตรการในการกากับการ ปฏิบตั ิหน้าที่ของผูเ้ กี่ยวข้อง อาทิ เช่น การออกหนังสื อรับรองการเกษตรจะมีการทาประชาคมที่ เรี ยกว่า ๕ เสื อ คือ เกษตรกรที่ข้ ึนทะเบียน กานัน/ผูใ้ หญ่บา้ น อบต. ผูแ้ ทน ธ.ก.ส. เกษตรตาบล ปลัด องค์ก รปกครองส่ วนท้องถิ่นและผูแ้ ทนสภาเกษตรกรเป็ นผูต้ รวจสอบการออกหนังสื อ รับรองเกษตรกร และการจานาข้าวเปลือก ณ จุดรับจานา (โรงสี ) จามีเจ้าหน้าที่กากับ ณ จุดรับ จานา โดยลูกจ้าง อคส. หรื อ อตก. ตัวแทนเกษตรกร ๓ คน (เดิม ๒ คน) ตัวแทนภาพราชการ ๑ คน เจ้าหน้าที่ตารวจ ๒ คน (เดิมไม่มี) และจุดรับจานาต้องมาการติดกล้อง CCTV เกษตรกรต้องนาใบประทวนที่ได้รับไปติดต่อกับ ธ.ก.ส. สาขาที่เกษตรกรเป็ น ลูกค้าและทาสัญญากูเ้ งิน โดยจานาใบประทวนเป็ นประกัน และ ธ.ก.ส. ต้องจ่ายเงินให้เกษตรกร ภายใน ๓วันทาการนับแต่วนั ทาสัญญาและชาวนาได้เงินโดยตรงจาก ธ.ก.ส. โดยไม่ผา่ นผูใ้ ด ใน เรื่ องการแปรสภาพข้าวเก็บโกดังกลางโรงสี ตอ้ งแปรสภาพตามคาสั่ง อคส. หรื อ อ.ต.ก. และส่ ง มอบข้าวที่มีคุณภาพได้มาตรฐานกระทรวงพาณิชย์เข้าโกดังกลางตามเวลาที่กาหนด ในเรื่ องการ รับมอบข้าวและการเก็บรัก ษารอการระบายโดยบริ ษทั ตรวจสอบคุณภาพข้าวต้องรับผิด ชอบ คุณ ภาพข้าวให้ได้ม าตรฐานตามที่ ก าหนด และสุ ด ท้ายมีก ารก ากับดูแลติ ด ตามตรวจสอบทั้ง ระบบตลอดโครงการทุกขั้นตอนเพื่อให้เป็ นไปตามหลักเกณฑ์ที่กาหนด ซึ่ งรายละเอียดปรากฏ ตามพยานเอกสารลาดับที่ ๑๕ ตามที่ได้กล่าวมาข้างต้น พฤติการณ์ที่ปรากฏเห็นได้วา่ คณะบุคคลที่ร่วมการงานในคณะกรรมการนโยบาย ข้าวแห่ ง ชาติ (กขช.) ก็ไ ด้ส ร้ างมาตรการและหลัก เกณฑ์ เพื่อ มิ ให้ มีก ารทุจ ริ ตหรื อแสวงหา


๗๒

ประโยชน์ที่มิควรได้โดยชอบด้วยกฎหมาย ดังนั้น ข้อกล่าวหาว่านโยบายโครงการรับจานาข้าว เป็ นปัญหาการทุจริ ตเชิงนโยบายในส่วนของขั้นตอนและกระบวนการในการดาเนินโครงการจึ ง ไม่ถูกต้องเพราะหากมี บุคคลหรื อคณะบุคคลใดมีเจตนาพิเศษในทางอาญาที่จะมี เจตนาทุจริ ต หรื อ การแสวงหาประโยชน์ ที่ มิ ค วรได้โ ดยชอบด้วยกฎหมายแล้ว จะไปสร้ า งขั้น ตอนและ กระบวนการในการปฏิ บตั ิ ห น้า ที่เพื่อมิ ให้เกิ ดการทุจริ ตหรื อประพฤติ ผิด ต่อหน้าที่ในการรั บ จานาหรื อการระบายข้าวแต่ประการใด นอกจากที่ คณะรัฐมนตรี โดยข้าพเจ้าจะได้มีคาสั่งสานักนายกรัฐมนตรี ที่ ๑๕๓/๒๕๕๔ เรื่ อง แต่งตั้งคณะกรรมการนโยบายข้าวแห่ งชาติ ตามพยานเอกสารในลาดับที่ ๑๓ เพื่อดาเนิ น การตามอานาจหน้าที่ ตามที่ ก ล่า วมาข้า งต้น และคณะกรรมการนโยบายข้า ว แห่งชาติได้สร้างขั้นตอนและกระบวนการดังกล่าวมาตามพยานเอกสารเรื่ องรู้ลึก รู้จริ ง จานาข้าว พยานเอกสารในลาดับที่ ๑๔ และเพื่อการก ากับ ควบคุม ดูแลโครงการรับจานาข้าวให้เป็ นไป ด้วยความเรี ยบร้อยและมีประสิ ทธิ ภาพข้าพเจ้าในฐานะนายกรัฐมนตรี มีเจตนาเพื่อป้ องกันความ เสี ยหาย ให้เป็ นไปด้วยความเรี ยบร้อย และเกิ ดประโยชน์สูงสุ ด ในการดาเนิ นการโครงการรับ จานาข้าว ข้ าพเจ้ าในฐานะประธานคณะกรรมการนโยบายข้ าวแห่ งชาติ จึงได้ มี คาสั่งคณะกรรมการนโยบายข้ าวแห่ งชาติแต่ งตั้งคณะอนุกรรมการในด้ านต่ างๆ เพื่อดาเนินงาน ของคณะกรรมการนโยบายข้ าวแห่ งชาติขึน้ หลายคณะเพื่อให้ เกิดการ ตรวจสอบ กากับ ควบคุ ม ดู แ ลงานในโครงก ารรั บ จ าน าข้ าวอย่ างใกล้ ชิ ด ทั้ ง ๆที่ ง านบางด้ านไม่ เคยมี ก ารตั้ ง คณะอนุ กรรมการโดยเฉพาะมาก่ อ น ข้ าพเจ้ าก็ได้ มีการจัด ตั้งคณะอนุก รรมการโดยเฉพาะขึ้น เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพ ดังนี้ ๑.ค าสั่งคณะกรรมการนโยบายข้าวแห่ งชาติที่ ๑/๒๕๕๔ เรื่ อง แต่งตั้ง คณะอนุกรรมการนโยบายข้าวแห่งชาติดา้ นการผลิต เมื่อวันที่ ๑๒ กันยายน ๒๕๕๔ ปรากฏตาม พยานเอกสารในลาดับที่ ๑๖ ๒. คาสั่งคณะกรรมการนโยบายข้าวแห่งชาติที่ ๒/๒๕๕๔ เรื่ อง แต่งตั้ง คณะอนุ กรรมการนโยบายข้าวแห่ งชาติดา้ นการตลาด เมื่อวันที่ ๑๒ กันยายน ๒๕๕๔ ปรากฏ ตามพยานเอกสารในลาดับที่ ๑๗


๗๓

๓.คาสั่งคณะกรรมการนโยบายข้าวแห่ งชาติที่ ๓/๒๕๕๔ เรื่ อง แต่งตั้ง คณะอนุกรรมการติดตามกากับดูแลการรับจานาระดับจังหวัด เมื่อวันที่ ๑๒ กันยายน ๒๕๕๔ ปรากฏตามพยานเอกสารในลาดับที่ ๑๘ ๔.คาสั่งคณะกรรมการนโยบายข้าวแห่ งชาติที่ ๔/๒๕๕๔ เรื่ อง แต่งตั้ง คณะอนุกรรมการกากับดูแลการรับจานาข้าว เมื่อวันที่ ๑๒ กันยายน ๒๕๕๔ ปรากฏตามพยาน เอกสารในลาดับที่ ๑๙ ๕.คาสั่งคณะกรรมการนโยบายข้าวแห่ งชาติที่ ๕/๒๕๕๔ เรื่ อง แต่งตั้ง คณะอนุกรรมการพิจารณาระบายข้าว เมื่อวันที่ ๑๒ กันยายน ๒๕๕๔ ปรากฏตามพยานเอกสาร ในลาดับที่ ๒๐ ๖.คาสั่งคณะกรรมการนโยบายข้าวแห่ งชาติ ที่ ๖/๒๕๕๔ เรื่ อง แต่งตั้ง คณะอนุ ก รรมการตรวจสอบและติ ดตามการรั บ จ าน าข้า ว เมื่ อ วันที่ ๑๒ กัน ยายน ๒๕๕๔ ปรากฏตามพยานเอกสารในลาดับที่ ๒๑ ๗. คาสั่งคณะกรรมการนโยบายข้าวแห่ งชาติที่ ๗/๒๕๕๔ เรื่ อง แต่งตั้ง คณะอนุกรรมการระบายข้าวผ่านตลาดสิ นค้าเกษตรล่วงหน้าแห่งประเทศไทย(AFET) เมื่อวันที่ ๒๒พฤศจิกายน ๒๕๕๔ ปรากฏตามพยานเอกสารในลาดับที่ ๒๒ ต่อมาในปี พ.ศ. ๒๕๕๕ ในการดาเนินการโครงการรับจานาข้าวข้าพเจ้า ได้มีคาสั่งสานักนายกรัฐมนตรี ปรับปรุ งและแต่งตั้งกรรมการในคณะกรรมการนโยบายข้าว แห่ งชาติ เพิ่มเติม และคณะกรรมการนโยบายข้าวแห่ งชาติได้นาเสนอข้าพเจ้าในฐานะประธาน คณะกรรมการนโยบายข้าวแห่ งชาติเพื่อแต่งตั้งคณะอนุ กรรมการขึ้นอีกหลายคณะเพื่อให้เกิ ด ประสิ ทธิภาพและสามารถดาเนินงานโครงการรับจานาข้าวให้เป็ นไปโดยความเรี ยบร้อย ดังนี้ ๑.คาสัง่ สานักนายกรัฐมนตรี ที่ ๔๒/๒๕๕๕ เรื่ อง ปรับปรุ งและแต่งตั้ง กรรมการในคณะกรรมการนโยบายข้าวแห่ งชาติ (เพิ่มเติม) เมื่ อวันที่ ๑๐ กุมภาพันธ์ ๒๕๕๕ ปรากฏตามพยานเอกสารในลาดับที่ ๒๓ ๒.คาสั่งคณะกรรมการนโยบายข้าวแห่งชาติที่ ๑/๒๕๕๕ เรื่ อง ปรับปรุ ง และแต่งตั้งอนุกรรมการในคณะอนุกรรมการนโยบายข้าวแห่ งชาติดา้ นการผลิต (เพิ่มเติม) เมื่อ วันที่ ๒๔กุมภาพันธ์ ๒๕๕๕ ปรากฏตามพยานเอกสารในลาดับที่ ๒๔ ๓.คาสั่งคณะกรรมการนโยบายข้าวแห่งชาติที่ ๒/๒๕๕๕ เรื่ อง ปรับปรุ ง และแต่งตั้งอนุกรรมการในคณะอนุกรรมการนโยบายข้าวแห่งชาติดา้ นการตลาด (เพิ่มเติม) เมื่อ


๗๔

วันที่ ๒๔กุมภาพันธ์ ๒๕๕๕ ปรากฏตามพยานเอกสารในลาดับที่ ๒๕ ๔.คาสั่งคณะกรรมการนโยบายข้าวแห่งชาติที่ ๓/๒๕๕๕ เรื่ อง ปรับปรุ ง และแต่งตั้งอนุกรรมการในคณะอนุกรรมการกากับดูแลการรับจานาข้าว (เพิ่มเติม) เมื่อวันที่ ๒๔ กุมภาพันธ์ ๒๕๕๕ ปรากฏตามพยานเอกสารในลาดับที่ ๒๖ ๕.คาสัง่ คณะกรรมการนโยบายข้าวแห่งชาติที่ ๔/๒๕๕๕ เรื่ อง ปรับปรุ ง และแต่ ง ตั้ง อนุ ก รรมการในคณะอนุ ก รรมการพิจ ารณาระบายข้า ว (เพิ่ ม เติ ม ) เมื่ อ วันที่ ๒๔ กุมภาพันธ์ ๒๕๕๕ ปรากฏตามพยานเอกสารในลาดับที่ ๒๗ ๖.คาสั่งคณะกรรมการนโยบายข้าวแห่งชาติที่ ๕/๒๕๕๕ เรื่ อง ปรับปรุ ง และแต่งตั้งอนุกรรมการในคณะอนุกรรมการตรวจสอบและติดตามการรับจานาข้าว (เพิ่มเติม) เมื่อวันที่ ๒๔กุมภาพันธ์ ๒๕๕๕ ปรากฏตามพยานเอกสารในลาดับที่ ๒๘ ๗. คาสั่งคณะกรรมการนโยบายข้าวแห่งชาติที่ ๖/๒๕๕๕ เรื่ อง ปรับปรุ ง และแต่งตั้งอนุกรรมการในคณะอนุ กรรมการระบายข้าวผ่านตลาดสิ นค้าเกษตรล่วงหน้าแห่ ง ประเทศไทย(AFET) (เพิ่มเติม) เมื่อวันที่ ๒๔กุมภาพันธ์ ๒๕๕๕ ปรากฏตามพยานเอกสารใน ลาดับที่ ๒๙ ๘.คาสั่งคณะกรรมการนโยบายข้าวแห่งชาติที่ ๗/๒๕๕๕ เรื่ อง ปรับปรุ ง และแต่ง ตั้ง อนุ ก รรมการในคณะอนุ ก รรมการติ ด ตามก ากับ ดูแลการรั บ จ าน าระดับจัง หวัด (เพิ่มเติม) เมื่อวันที่ ๒๔กุมภาพันธ์ ๒๕๕๕ ปรากฏตามพยานเอกสารในลาดับที่ ๓๐ ๙.คาสั่งคณะกรรมการนโยบายข้าวแห่ งชาติที่ ๘/๒๕๕๕ เรื่ อง แต่งตั้ง คณะอนุกรรมการติดตามกากับดูแลการรับจานาข้าวกรุ งเทพมหานคร เมื่อวันที่ ๒๔กุมภาพันธ์ ๒๕๕๕ ปรากฏตามพยานเอกสารในลาดับที่ ๓๑ ๑๐.คาสั่งคณะกรรมการนโยบายข้าวแห่งชาติที่ ๙/๒๕๕๕ เรื่ อง แต่งตั้ง คณะอนุ ก รรมการปิ ดบัญ ชี โ ครงการรั บ จ าน าข้า วเปลื อกตามนโยบายรั ฐบาล เมื่ อวัน ที่ ๒๔ กุมภาพันธ์ ๒๕๕๕ ปรากฏตามพยานเอกสารในลาดับที่ ๓๒ ซึ่ งคณะอนุกรรมการคณะนี้ถือเป็ น คณะอนุกรรมการเฉพาะด้านแยกมาจากคณะอนุกรรมการปิ ดบัญชีโครงการรับจานาข้าวเปลือก และพืชผลการเกษตรซึ่ งไม่เคยมีการตั้งคณะอนุกรรมการเฉพาะโครงการปิ ดบัญชีโครงการรับ จานาข้าวเปลือกโดยเฉพาะตามที่กล่าวมา ๑๑.คาสั่งคณะกรรมการนโยบายข้าวแห่งชาติที่ ๑๐/๒๕๕๕ เรื่ อง แต่งตั้ง


๗๕

คณะอนุกรรมการกากับดูแลการรับจานาข้าว เมื่อวันที่ ๑๐ ตุลาคม ๒๕๕๕ ปรากฏตามพยาน เอกสารในลาดับที่ ๓๓ ๑๒.ค าสั่ ง คณะกรรมการนโยบายข้า วแห่ ง ชาติ ที่ ๑๑/๒๕๕๕ เรื่ อ ง แต่งตั้งคณะอนุกรรมการตรวจสอบและติดตามการรับจานาข้าว เมื่อวันที่ ๑๐ ตุลาคม ๒๕๕๕ ปรากฏตามพยานเอกสารในลาดับที่ ๓๔ ๑๓.ค าสั่ ง คณะกรรมการนโยบายข้า วแห่ ง ชาติ ที่ ๑๒/๒๕๕๕ เรื่ อ ง แต่งตั้งคณะอนุกรรมการติดตามก ากับดูแลและให้ความเป็ นธรรมแก่เกษตรกร ณ จุดรับจานา เมื่อวันที่ ๑๐ ตุลาคม ๒๕๕๕ ปรากฏตามพยานเอกสารในลาดับที่ ๓๕ ๑๔.ค าสั่ ง คณะกรรมการนโยบายข้า วแห่ ง ชาติ ที่ ๑๓/๒๕๕๕ เรื่ อ ง แต่งตั้งคณะอนุกรรมการกากับดูแลสั่งสี แปรสภาพและการส่ งมอบข้าวสารเข้าโกดังกลาง เมื่อ วันที่ ๑๐ ตุลาคม ๒๕๕๕ ปรากฏตามพยานเอกสารในลาดับที่ ๓๖ ๑๕.ค าสั่ ง คณะกรรมการนโยบายข้า วแห่ ง ชาติ ที่ ๑๔/๒๕๕๕ เรื่ อ ง แต่งตั้งคณะอนุกรรมการจัดทาบัญ ชีห มุนเวียนและกรอบวงเงินสิ นเชื่อที่เหมาะสมสาหรับการ ดาเนิ นโครงการรั บจานาข้าวเปลือกตามนโยบายรัฐบาล เมื่ อวันที่ ๒๒ พฤศจิ กายน ๒๕๕๕ ปรากฏตามพยานเอกสารในลาดับที่ ๓๗ ๑๖.ค าสั่ ง คณะกรรมการนโยบายข้า วแห่ ง ชาติ ที่ ๑๕/๒๕๕๕ เรื่ อ ง ปรับปรุ งและแต่ง ตั้งอนุ ก รรมการในคณะอนุ ก รรมการติด ตามกากับดูแลการรั บจานาระดับ จังหวัด(เพิ่มเติม) เมื่อวันที่ ๒๒ พฤศจิกายน ๒๕๕๕ ปรากฏตามพยานเอกสารในลาดับที่ ๓๘ จากการแต่ง ตั้ง คณะอนุ ก รรมการเพื่ อ ก ากับ ควบคุม ดูแ ล ตรวจสอบ ดั ง กล่ า วข้ า งต้ น ในปี พ.ศ. ๒ ๕๕ ๔ และปี พ.ศ. ๒ ๕๕ ๕ ต่ อ มาในปี พ.ศ. ๒ ๕ ๕ ๖ คณะกรรมการนโยบายข้าวแห่ งชาติก็ได้เสนอแต่งตั้งคณะทางานในโครงการรับจานาข้าวเพื่อ ปฏิ บัติ ง านเฉพาะด้า นเพื่ อ การตรวจสอบที่ ชัด เจนขึ้ นอี ก ซึ่ งข้า พเจ้า เห็ น ว่า ข้อ เสนอของ กรรมการนโยบายข้า วแห่ งชาติ เป็ นไปเพื่อประโยชน์ข องทางราชการ และเพื่อป้ องกันความ เสี ยหายรวมทั้งตรวจสอบข้อเท็จจริ งของข้อมูลปริ มาณข้าวคงเหลือขององค์การคลังสิ นค้า และ องค์การตลาดเพื่อเกษตรกร ปรากฏตามคาสั่งคณะกรรมการนโยบายข้าวแห่ งชาติ ที่ ๑/๒๕๕๖ เรื่ อง แต่ ง ตั้ง คณะท างานตรวจสอบข้อเท็จ จริ ง และข้อ มูล ปริ ม าณข้าวคงเหลือ ขององค์ก าร คลังสิ นค้าและองค์การตลาดเพื่อเกษตรกร เมื่อวันที่ ๒๑ มิถุนายน ๒๕๕๖ ภายหลังเวลาเพียง เล็กน้อยที่นางสาวสุภา ปิ ยะจิตติ ได้จดั ทารายงานตามหนังสื อกระทรวงการคลัง ลับ ด่วนที่สุดที่


๗๖

กค ๐๒๐๑/๘๐๘๑ ลงวันที่ ๒๓ พฤษภาคม ๒๕๕๖ โดยมีตวั แทนของสานักงานตารวจแห่ งชาติ คือ พลตารวจเอกวรพงษ์ ชิวปรี ชา รองผูบ้ ญ ั ชาการตารวจแห่งชาติและประธานอนุกรรมการปิ ด บัญ ชี โ ครงการรั บ จ าน าข้าเปลือกตามนโยบายรั ฐบาลเป็ นคณะทางาน โดยมี รองเลขาธิ ก าร นายกรัฐมนตรี ฝ่ายการเมือง (พลตารวจตรี ธวัช บุญเฟื่ อง) เป็ นประธานคณะทางาน ปรากฏตาม พยานเอกสารคาสั่งคณะกรรมการนโยบายข้าวแห่งชาติ ที่ ๑/ ๒๕๕๖ พยานเอกสารลาดับที่ ๓๙ ข้ าพเจ้ าขออ้ างพยานบุ คคลราย พลตารวจเอกวรพงษ์ ชิ วปรี ชา รองผู้ บัญชาการต ารวจแห่ งชาติ และพลตารวจตรี ธ วัช บุ ญ เฟื่ อง เพื่อ น าสื บ หัก ล้ างบันทึก แจ้ งข้ อ กล่ าวหาในประเด็ น ความไม่ ถู ก ต้ อ งของรายงานผลการปิ ดบั ญ ชี โครงการรั บ จ าน าผลิ ต ผล การเกษตรรวมถึงการรับจานาข้ าวเปลือกของรัฐบาล และแจ้ งให้ ข้าพเจ้าทราบในฐานะประธาน คณะกรรมการนโยบายข้ าวแห่ งชาติ ตามหนังสื อกระทรวงการคลัง ลับ ด่ วนทีส่ ุ ด ที่ กค ๐๒๐๑/ ๘๐๘๑ ลงวันที่ ๒๓ พฤษภาคม ๒๕๕๖ ตามบันทึกแจ้ งข้ อกล่ าวหาในข้ อ ๓ หน้ าที่ ๕ ในประเด็น ข้ าวมิได้ สูญหายจากโกดัง และการกักเก็บข้ าวไม่เป็ นไปตามรายงานผลการปิ ดบัญชีโครงการรับ จานาของนางสุ ภา ปิ ยะจิตติ และชี้แจงถึงผลการตรวจสอบของคณะทางานต่ อคณะกรรมการ ป.ป.ช. เพื่อให้ รับทราบข้ อมูลทีถ่ ูกต้ อง แท้จริง ไม่เป็ นเท็จ พยานบุคคลในลาดับที่ ๓ และ ๔ พฤติการณ์การแสดงออกของคณะบุคคลได้แก่ คณะกรรมการนโยบาย ข้า วแห่ งชาติ นาเสนอข้าพเจ้าในฐานะประธานคณะกรรมการนโยบายข้า วแห่ งชาติ เพื่อให้ ข้าพเจ้ามี คาสั่งแต่ง ตั้งคณะอนุก รรมการหลายคณะจานวนมากดังกล่าวข้างต้น ทั้งในปี พ.ศ. ๒๕๕๔ และปี พ.ศ.๒๕๕๕ ต่อเนื่ องถึงปี พ.ศ.๒๕๕๖ เพื่อก ากับ ควบคุม ดูแล งานในแต่ละ ด้า นซึ่ งข้า พเจ้า เองในฐานะประธานคณะกรรมการนโยบายข้า วแห่ ง ชาติ ก็ มี เจตนาให้ ก าร ดาเนินการในโครงการรับจานาข้าวเป็ นไปเพื่อชาวนาและประโยชน์ต่อทางราชการเป็ นสาคัญจึง ได้มีคาสั่งแต่งตั้งอนุกรรมการดังกล่าวข้างต้นให้มีการปฏิบตั ิหน้าที่ในโครงการรับจานาข้าวเพื่อ สร้างกระบวนการตรวจสอบติดตามควบคุมกากับดูแลงานในแต่ละด้านมีความชัดเจน ป้ องกัน ความเสี ย หายและเมื่ อ มี ก ารแต่ ง ตั้ง คณะอนุ ก รรมการในแต่ ล ะด้า นตามที่ ไ ด้ก ล่า วข้า งต้น คณะอนุ ก รรมการในแต่ ล ะด้า นก็ ไ ด้ด าเนิ น การในส่ วนที่ เกี่ ย วข้อ งตามอ านาจหน้า ที่ ข อง คณะอนุ ก รรมการแต่ละฝ่ ายเพื่อ ระงับ ยับยั้ง มิ ให้ก ารด าเนิ นโครงการรั บจ านาข้า วเกิ ด ความ เสี ย หาย ซึ่ งเป็ นทางตรงกัน ข้า มกับ สิ่ ง ที่ ค ณะกรรมการ ป.ป.ช. กล่า วหาต่ อ ตัวข้า พเจ้า ว่า มี พฤติการณ์ที่ไม่ระงับยับยั้งการดาเนินโครงการรับจานาข้าวจนเกิดความเสี ยหาย


๗๗

โดยเฉพาะประการที่สาคัญข้าพเจ้าในฐานะผูถ้ กู กล่าวหาจาเป็ นต้องชี้แจง เพื่ อขอความเป็ นธรรมในเรื่ องคณะอนุ ก รรมการปิ ดบัญ ชี โ ครงการรั บจ านาข้า วเปลือกตาม นโยบายของรัฐบาลที่ได้มีการรายงานผลการปิ ดบัญชีโครงการรับจานาผลิตผลการเกษตรรวมถึง การรับจานาข้าวเปลือกของรัฐบาลรวม ๒ ครั้ง คือ ครั้งที่ ๑ ตามหนังสื อกระทรวงการคลัง ลับ ด่วนที่สุด ที่ กค ๐๒๐๑/ ล.๑๕๖๙ ลงวันที่ ๙ ตุลาคม ๒๕๕๕ ว่าโครงการรับจานาข้าวเปลือกนา ปี ปี ๒๕๕๔/๕๕ มีผลขาดทุนสุ ทธิ ๓๒,๓๐๑.๐๐ ล้านบาท รวมข้อสังเกตและข้อเสนอแนะและ ครั้ งที่ ๒ ตามหนัง สื อ กระทรวงการคลัง ลับ ด่ วนที่ สุ ด ที่ กค ๐๒๐๑/ ๘๐๘๑ ลงวัน ที่ ๒๓ พฤษภาคม ๒๕๕๖ ว่า โครงการรับจานาข้าวนาปี ปี ๒๕๕๔/๒๕๕๕ โครงการรับจานาข้าวนา ปรั ง ปี ๒๕๕๕ และโครงการรั บ จ าน าข้า วนาปี ปี ๒๕๕๕/๒๕๕๖ มี ผ ลขาดทุ น รวม ๒๒๐,๙๖๘.๗๘ ล้านบาท ว่าการที่คณะกรรมการ ป.ป.ช. ตามบันทึกแจ้งข้อกล่าวหาในข้อ ๓ และข้อ ๔ โดยกล่าวอ้างถึงรายงานของคณะอนุกรรมการปิ ดบัญชีโครงการรับจานาข้าวเปลือก ตามนโยบายของรัฐบาล เป็ นพยานเอกสารที่ สาคัญเพื่อกล่าวหาต่อตัวข้าพเจ้าในทานองว่าเมื่ อ ข้าพเจ้าได้รับรายงานเรื่ องผลการดาเนิ นโครงการที่ผา่ นมาว่ามีการขาดทุน ถึง ๒ แสนล้านบาท สร้างความเสี ยหายต่อเงินงบประมาณแผ่นดิน มีความเสี่ ยงต่อระบบการคลังของประเทศ แทนที่ ข้า พเจ้า จะระงับ ยับ ยั้ง โครงการรั บ จ าน าข้า ว กลับ ยืน ยัน ที่ จ ะด าเนิ น โครงการต่อ ไปอัน จะ ก่อให้เกิดความเสี ยหายแก่ทางราชการมากขึ้นไปเรื่ อย ๆ พฤติ ก ารณ์ ที่ ค ณะกรรมการ ป.ป.ช. น ารายงานดัง กล่า วข้า งต้น ของ คณะอนุกรรมการปิ ดบัญชีฯ รวม ๒ ครั้ง มาเป็ นพยานสาคัญกล่าวหาข้าพเจ้าดังกล่าวข้างต้นนั้น ยังมีขอ้ ไม่สมบูรณ์ของการรับฟั งพยานเอกสารเพื่อนามากล่าวหาข้าพเจ้าโดยพิจารณาแต่ “ผล ของการจัดทารายงาน” เท่านั้น ซึ่ งจะถูกต้องแท้จริ งหรื อไม่ขา้ พเจ้าจะได้ช้ ีแจงต่อไปว่าผลของ การจัดทารายงานมีขอ้ ไม่สมบูรณ์และไม่ถูกต้องอย่างไรในการจัดทารายงานในแต่ละประเด็น ของรายงานทั้ง ๒ ครั้ง อาทิเช่น เรื่ องการสรุ ปภาระหนี้ สินถูกต้องหรื อไม่เป็ นต้น แต่ก่อนจะถึง เรื่ องดัง กล่า วข้า พเจ้า ขอความเป็ นธรรมและขอท าความเข้าใจต่อคณะกรรมการ ป.ป.ช. ให้ พิจารณาถึงข้อไม่ส มบูรณ์ที่คณะกรรมการ ป.ป.ช. ไม่ได้พิจารณาถึง คือ “เหตุของการจัดให้ มี คณะอนุกรรมการปิ ดบัญชีโครงการรับจานาข้ าวฯ” ว่าเป็ นเจตนาที่ดีของคณะกรรมการนโยบาย ข้าวแห่ งชาติที่ได้เห็นชอบให้แต่ต้ งั คณะอนุกรรมการปิ ดบัญชีโครงการรับจานาข้าวเปลือกตาม นโยบายรัฐบาลตามข้อเสนอของกระทรวงการคลังโดยมีปลัดกระทรวงการคลังเป็ นประธาน อนุกรรมการมิใช่รองปลัดกระทรวงการคลัง(นางสาวสุภา ปิ ยะจิ ตติ) ให้มีหน้าที่พิจารณาบริ หาร


๗๘

จัดการเงินกูจ้ นกว่าจะชาระเสร็ จและสรุ ปภาระหนี้สิน ได้แก่ เงินต้น ดอกเบี้ย และค่าใช้จ่ายต่าง ๆที่เกิ ดขึ้นจากการดาเนิ นโครงการรับจานาข้าวฯ รวมทั้งกาหนดแนวทางจัดหาเงินทุนเพื่อชาระ หนี้คืนให้แก่ ธ.ก.ส. ซึ่ งไม่เคยมีการจัดตั้งคณะอนุกรรมการปิ ดบัญชีโครงการรับจานาข้าวเปลือก มาก่อนหน้านี้ เพราะก่อนหน้าคงมีคณะอนุกรรมการปิ ดบัญชีโครงการรับจานาข้าวโดยรวมถึง ผลิ ต ผลการเกษตรในเรื่ อ งอื่ น ด้วย แต่ ค ณะกรรมการนโยบายข้า วแห่ ง ชาติ เห็ น ชอบตามที่ กระทรวงการคลังเสนอ เพราะเพื่อให้การตรวจสอบมีความชัดเจน หากคณะกรรมการนโยบาย ข้าวแห่งชาติหรื อข้าพเจ้ามีเจตนาทุจริ ตเชิงนโยบายตามที่คณะกรรมการ ป.ป.ช. กล่าวหาจริ งแล้ว คณะกรรมการนโยบายข้าวแห่งชาติหรื อข้าพเจ้าจะแต่งตั้งคณะอนุกรรมการปิ ดบัญชีฯ โครงการ รับจานาข้าวโดยแยกบัญชีการดาเนินการในเรื่ องข้าวออกจากผลิตผลการเกษตรในเรื่ องอื่นทาไม ซึ่ งผิดกับพฤติการณ์ของผูท้ ี่มีเจตนาพิเศษในอันที่จะก่อการทุจริ ตหรื อการแสวงหาประโยชน์ที่มิ ควรได้โดยชอบด้วยกฎหมาย เพราะการแยกบัญ ชีเพื่อให้เกิ ดความชัดเจนและอานาจหน้าที่ ที่ คณะกรรมการนโยบายข้าวแห่ งชาติ และข้าพเจ้ามีคาสั่งตั้งคณะอนุกรรมการปิ ดบัญชีฯ ก็เพราะ ต้องการตรวจสอบให้เกิ ดความชัดเจนถึงภาระหนี้ สินของโครงการอันได้แก่ เงินต้น ดอกเบี้ย และค่าใช้จ่ายต่างๆ ที่เกิ ดขึ้ นจากการด าเนิ นโครงการรับจานาข้าวเปลือกตามนโยบายรัฐบาล รวมทั้ง กาหนดแนวทางการจัดหาเงินทุนเพื่อชาระหนี้คืนให้แก่ ธ.ก.ส. คณะกรรมการ ป.ป.ช. หากพิ จ ารณาถึ ง เหตุ ข องการแต่ง ตั้ง คณะอนุ ก รรมการฯ ดัง กล่า วแล้วจะพบว่า แท้จ ริ ง แล้ว พฤติการณ์ดงั กล่าวข้างต้นของข้าพเจ้าได้แสดงออกชัดแจ้งว่าข้าพเจ้าประสงค์จะระงับยับยั้งการ กระทาใด ๆที่จะทาให้เกิ ดการทุจริ ตและความเสี ยหายในทุกขั้นตอนและทุกกระบวนการในการ ดาเนิ นโครงการรับจานาข้าว เพื่อมิให้นาไปสู่การทุจริ ตหรื อการแสวงหาประโยชน์ที่มิควรได้ โดยชอบด้วยกฎหมาย ข้าพเจ้าขอให้คณะกรรมการ ป.ป.ช. พิจารณาถึงความตั้งใจและเจตนาที่ดี ของข้าพเจ้าเพื่อให้เกิดความเป็ นธรรมด้วย และในเรื่ องนี้ มีขอ้ สังเกตว่าบันทึกแจ้งข้อกล่าวหาใน ข้อ ๓ ที่ มีขอ้ ความว่า “พบว่าการดาเนิ นการตามโครงการได้ก่ อให้เกิ ด ปั ญ หาด้านต่างๆ อย่าง มากมาย โดยเฉพาะอย่างยิ่งปัญหาทุจริ ตเชิงนโยบายและในส่ วนของขั้นตอนและกระบวนการ ในการดาเนินโครงการตามหนังสื อของสานักงาน ป.ป.ช. ที่ ๐๐๐๓/๐๑๙๘ ลงวันที่ ๓๐ เมษายน ๒๕๕๕ นั้น ไม่ ปรากฏว่ารายงานของคณะอนุ ก รรมการปิ ดบัญ ชี ฯ ที่ ร ายงานตามหนัง สื อ กระทรวงการคลัง ลับ ด่วนที่สุด ที่ กค ๐๒๐๑/ล.๑๕๖๙ ลงวันที่ ๙ ตุลาคม ๒๕๕๕ และหนังสื อ กระทรวงการคลัง ลับ ด่วนที่ สุ ด ที่ กค ๐๒๐๑/๘๐๘๑ ลงวันที่ ๒๓ พฤษภาคม ๒๕๕๖ ไม่


๗๙

ปรากฏในรายงานว่ามีการตรวจพบการทุจริ ตในส่ วนของขั้นตอนและกระบวนการใดในการ ดาเนินโครงการ ดังนั้น การรายงานของหนังสื อดังกล่าวข้างต้นทั้ง ๒ ครั้ง จึงมิใช่พยานหลักฐาน ที่คณะกรรมการ ป.ป.ช. อ้างว่าเป็ นปัญหาการทุจริ ตเชิงนโยบายแต่อย่างใด ข้ อ ๕. การดาเนินโครงการรับจานาข้ าวเปลือกมิใช่ เป็ นกรณีที่คณะรัฐมนตรี ชุดนี้ กาหนดนโยบายขึ้นใหม่ แต่ เป็ นการด าเนินโครงการที่มีมานานเพื่อ มีเจตนาพิเศษให้ เกิด การ ทุจริตเชิงนโยบาย ในส่ วนของขั้นตอนและกระบวนการในการดาเนินโครงการแต่ อย่ างใด แต่ การดาเนินโครงการรับจานาข้ าวเปลือกเป็ นโครงการที่เกิดขึน้ มาก่ อนหน้ ารัฐบาลที่ผู้ถูกกล่ าวหา จะเข้ ามาบริหารราชการแผ่ นดิน และรัฐบาลนี้เห็นว่ าเป็ นโครงการที่ดีจึงได้ มีการปรั บเปลี่ย น หลัก เกณฑ์ การด าเนินโครงการรับจานาข้ าวเปลือก ในอันที่จะยกระดับรายได้ แ ละชี วิตความ เป็ นอยู่ที่ดีขนึ้ ของชาวนามาดาเนินการในรัฐบาลนีใ้ หม่ มิใช่ มีเจตนาพิเศษเพื่อให้ เกิดการทุจริต เชิงนโยบาย ดังนี้ ๕.๑ เมื่ อ วัน ที่ ๔ พฤศจิ ก ายน ๒๕๒๙ ได้มี ค ณะกรรมการนโยบาย แทรกแซงข้าวและยกระดับราคาข้าว (กรข.) เป็ นผูก้ าหนดนโยบายช่วยเหลือต่อมาเปลี่ยนชื่อเป็ น คณะกรรมการนโยบายข้า ว (กนข.) มี อ านาจหน้า ที่ เสนอแนวนโยบายและมาตรการข้า ว ตลอดจนควบคุม ประสานงาน และแก้ไขปัญหาการปฏิบตั ิตามนโยบายมาตรการที่กาหนด โดย เริ่ มใช้นโยบายรับจานาข้าวเปลือก วงเงิน ๕,๐๐๐ ล้านบาท และให้สินเชื่ อดอกเบี้ยต่ าแก่ผคู้ ้า ข้าวเปลือก (ธปท.) โครงการของกระทรวงมหาดไทย กองทัพบก กองทัพเรื อ กองทัพอากาศ มี นโยบายเร่ ง รั ด การส่ ง ออก แทรกแซงตลาดข้า วสารของกระทรวงพาณิ ช ย์ ที่ บ างปี มี ก าร แทรกแซงซื้ อเก็บไว้ถึง ๑ ล้านตันและให้ ธ.ก.ส. รับจานาข้าวเปลือก และการดาเนินการดังกล่าว ได้ดาเนิ นการต่อเนื่ องถึงปี การเพาะปลูก ๒๕๓๓/๓๔ นับว่าประสบผลสาเร็จด้วยดี และแก้ไข ปัญหาข้าวที่เป็ นนโยบายของชาติ ๕.๒ การดาเนิ นการรับจานา ได้มีการดาเนินการมาตั้งแต่ปี ๒๕๓๗/๓๘ โดย ธ.ก.ส. เป็ นผู้ด าเนิ น การรั บ จ าน าข้า วเปลื อ กนาปี ซึ่ ง อคส. และ อ.ต.ก. เข้า มาร่ ว ม ดาเนินการด้วย และเริ่ มรับจานาข้าวเปลือกนาปรังมาตั้งแต่ปี ๒๕๔๔ และดาเนินการรับจานาทั้ง ข้าวเปลือกนาปี และนาปรัง มาจนถึง ปี ๒๕๕๑/๕๒ (อ.ต.ก. ไม่ได้รับจานานาปรังปี ๒๕๔๗ – ๒๕๕๐) และดาเนินการต่อเนื่องมาจนถึงปี ๒๕๓๗/๓๘ – ๒๕๔๓/๔๔ ปี ๒๕๕๑/๕๒ – ๒๕๕๒/๕๓ ได้ปรั บเปลี่ยนมาใช้โ ครงการประกัน รายได้เกษตรกรผูป้ ลูกข้าว ปี ๒๕๕๒/๕๓ และปี ๒๕๕๓/๕๔


๘๐

๕.๓ ปี การผลิต ๒๕๕๔/๕๕ รัฐบาลใหม่ดาเนิ นการ โดยนายกรัฐมนตรี (น.ส. ยิ่งลัก ษณ์ ชิ นวัตร) ได้ดาเนิ นโครงการรับจานาข้าวเปลือก ทั้งนาปี และนาปรัง กลับมา ดาเนินการใหม่ โดยมีคาสั่งสานักนายกรัฐมนตรี แต่งตั้งคณะกรรมการนโยบายข้าวแห่งชาติ เมื่อ วัน ที่ ๘ กัน ยายน ๒๕๕๔ โดยมี น ายกรั ฐ มนตรี เป็ นประธานกรรมการ มี รั ฐ มนตรี ว่า การ กระทรวงพาณิ ช ย์ กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ และกระทรวงการคลัง เป็ นรองประธาน กรรมการท าหน้าที่ เสนอกรอบนโยบายและยุท ธศาสตร์ ข ้า ว เสนอแผนงาน โครงการและ มาตรการเกี่ ย วกับการผลิ ตและการตลาดข้าวเปลือก พิ จ ารณาหลัก เกณฑ์ วิธีก ารสนับสนุ น ปริ มาณที่ รั บ จ านา ช่วยเหลือเกษตรกร สถาบัน เกษตรกร ผู้ประกอบการโรงสี ผูค้ ้า และผู้ ส่งออกข้าว เพื่อให้การบริ หารจัดการข้าวทั้งระบบเป็ นไปอย่างมีประสิ ทธิภาพ ๕.๔ หน่วยงานที่ดาเนินการรับจานาโครงการรับจานาประกอบด้วย กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ โดยกรมส่งเสริ มการเกษตร รับขึ้นทะเบียน และการทาประชาคม อคส./อ.ต.ก. ก ากับดูแลการรั บจ านาให้เป็ นไปตามคุณภาพ ชนิ ด และ ปริ มาณข้าวเปลือกจัดเตรี ยมเจ้าหน้าที่ประจาจุดรับจานา กากับดูแลการชัง่ น้ าหนัก วัดความชื้น และสิ่ งเจือปน และออกใบประทวนให้เกษตรกรภายใน ๓ วัน ธ.ก.ส. รับขึ้นทะเบียนเกษตรกรเป็ นลูกค้า ธ.ก.ส. ตรวจสอบการใช้สิทธิ์ เกษตรกรให้เป็ นไปตามหนังสื อรับรองและใบประทวน จัดทาสัญญา และจ่ายเงินให้เกษตรกร ภายใน ๓ วัน กระทรวงมหาดไทย กากับดูแลการทางานของคณะอนุกรรมการติดตาม กากับดูแลการรับจานา คณะอนุ ก รรมการฯ ระดับ จังหวัด ก ากับดู แลการออกหนัง สื อรั บรอง เกษตรกรเพื่อป้ องกันการทุจริ ต รับรองโรงสี /โกดังกลาง จัดเกรดโรงสี /โกดังกลาง ที่จะเข้าร่ วม โครงการ ดูแลและแก้ไขปัญหาการรับจานาในพื้นที่ให้เป็ นไปตามหลักเกณฑ์ เพิ่มความถี่ในการ


๘๑

สุ่ มตรวจสอบเป็ นระยะๆ และประชาสัมพันธ์ให้เกษตรกรทราบเรื่ องการฉ้อโกง และการแอบ อ้างของโรงสี กระทรวงพาณิชย์ กากับดูแล ตรวจสอบ และแก้ไขปัญหา การรับจานาให้ ลุลว่ งไปด้วยดี คณะกรรมการนโยบายข้ าวแห่ งชาติ ได้ มกี ารแต่ งตั้งคณะอนุกรรมการเพิ่มขึน้ เพื่อให้ มกี ารรับจานาทีร่ ัดกุม และมีประสิทธิภาพเพิ่มมากขึน้ โดยมีรายละเอียด ดังนี้ คณะอนุกรรมการชุ ดเดิม - คณะอนุกรรมการนโยบายข้าวแห่งชาติดา้ นการผลิต - คณะอนุกรรมการนโยบายข้าวแห่งชาติดา้ นการตลาด - คณะอนุกรรมการนโยบายข้าวแห่งชาติระดับจังหวัด - คณะอนุกรรมการดาเนินการรับจานาข้าวเปลือก - คณะอนุกรรมการพิจารณาระบายข้าวสาร - คณะอนุกรรมการกาหนดราคาอ้างอิงโครงการประกัน รายได้เกษตรกรผูป้ ลูกข้าว - คณะอนุกรรมการดาเนินการกากับดูแลการแทรกแซง ตลาดรับซื้ อข้าวเปลือกของรัฐบาล

คณะกรรมการชุ ดใหม่ - คณะอนุกรรมการนโยบายข้าวแห่ งชาติดา้ นการผลิต - คณะอนุกรรมการนโยบายข้าวแห่ งชาติดา้ นการตลาด - คณะอนุกรรมการติดตามกากับดูแลการรับจานาระดับ จังหวัด - คณะอนุกรรมการกากับดูแลการรับจานาข้าว - คณะอนุกรรมการพิจารณาระบายข้าว - คณะอนุกรรมการตรวจสอบและติดตามการรับจานา ข้าว - คณะอนุกรรมการระบายข้าวผ่านตลาดสิ นค้าเกษตร ล่วงหน้าแห่ งประเทศไทย - คณะอนุกรรมการติดตามกากับดูแลการรับจานาข้าว กรุ งเทพมหานคร - คณะอนุกรรมการปิ ดบัญชีโครงการรับจานาข้าวเปลือก ตามนโยบายรัฐบาล - คณะอนุกรรมการติดตามกากับ ดูแล และให้ความเป็ น ธรรมแก่เกษตรกร ณ จุดรับจานา - คณะอนุกรรมการกากับดูแลการสัง่ สี แปรสภาพ และ การส่ งมอบข้าวสารเข้าโกดังกลาง - คณะอนุกรรมการจัดทาบัญชีหมุนเวียนและกรอบวงเงิน สิ นเชื่อ ที่เหมาะสม สาหรับการดาเนินโครงการรับจานา ข้าวเปลือกตามนโยบายรัฐบาล - คณะทางานตรวจสอบข้อเท็จจริ งและปริ มาณข้าว


๘๒

คงเหลือของ อคส. และ อ.ต.ก. - คณะอนุกรรมการบริ หารการนาเข้าข้าวภายใต้เขต การค้าเสรี อาเซี ยน

การปรั บเปลี่ยนหลัก เกณฑ์ ก ารดาเนินโครงการรับจานาข้ าวเปลือ กปี ๒๕๕๕/๕๖ กับ ๒๕๕๖-๕๗ หลักเกณฑ์ /เงื่อนไข การขึ้นทะเบียน เกษตรกร - การออกหนังสือรับรอง เกษตรกร

โครงการปี ๕๕/๕๖ - ไม่ได้กาหนดระยะเวลา การใช้หนังสื อรับรอง

โครงการปี ๕๖/๕๗ - กาหนดระยะเวลาการใช้หนังสื อ รับรองเกษตรกรนับจากวันเก็บเกี่ยว ที่ระบุในหนังสื อรับรอง ๑) จ านาใบประทวนก่ อนหรื อหลัง ๓๐ วัน ๒) จ าน ายุง้ ฉางเกษตรกรก่ อนหรื อ หลัง ๖๐ วัน (เพื่อป้ องกัน การขายสิ ทธิ์หนังสื อรับรอง การนา กลับมาใช้หลายครั้ง ป้ องกัน การสวมสิ ทธิ์เกษตรกร) - จะต้องติดตั้งกล้องวงจรปิ ดไว้ใน - เพิ่ ม การติ ด ตั้งกล้องวงจรปิ ดอย่าง หลักเกณฑ์ การรับจานา - การเข้าร่ วมโครงการของโรงสี บริ เวณที่สามารถบันทึกภาพการ น้อย ๓ จุด ได้แก่ การชัง่ น้ าหนัก การ รับจานาข้าวจากเกษตรกรอย่าง วัดความชื้ นและสิ่ งเจื อปน และจุด ที่ น้อย ๒ จุด ได้แก่ การชัง่ น้ าหนัก เจ้ า ห น้ าที่ ป ร ะ จ า จุ ด รั บ จ าน า การวัดความชื้นและสิ่ งเจือปน ปฏิบตั ิ งาน (เพื่ อสามารถติ ดตามการ รวมทั้งจุดอื่นๆที่สามารถ ปฏิ บ ัติ งานของเจ้าหน้ าที่ ป ระจ าจุ ด ดาเนินการได้ รับจานาได้) - ระยะเวลาการเปิ ดจุ ด รั บ จ าน า - ไม่กาหนดระยะเวลาในการเปิ ด - ให้เปิ ดจุ ดรับจานานอกพื้นที่ ได้ไม่ นอกพื้นที่ จุดรับจานานอกพื้นที่ จะอยู่ เกิ น ๓๐ วัน ถ้าจะให้ เปิ ดเกิ นกว่ าที่ ในช่วงผลผลิตออกสู่ ตลาดมาก กาหนดให้ คณะอนุ กรรมการระดับ หรื อในพื้นที่ไม่มีโรงสี หรื อมีนอ้ ย จังหวัด เสนอเหตุ ผ ลความจ าเป็ น แจ้งฝ่ ายเลขานุ การ กขช. เพื่ อเสนอ คณะอนุ กรรมการกากับดู แลการรั บ จ าน าข้ า วพิ จ ารณ าต่ อ ไป (เพื่ อ


๘๓

- ระยะเวลารับจานา

- กาหนด ระยะเวลารับจานาทุก วันเว้นวันอาทิตย์ เวลารับจานา ๐๘.๐๐ – ๑๘.๐๐ น.

- เจ้าหน้าที่ประจาจุด

- ผูช้ ่ วยปฏิ บ ัติ งาน อคส./อ.ต.ก. \ ๒ คน เจ้ า หน้ า ที่ ต ารวจ ๒ คน ข้า ราชการ ๑ คน และตั ว แทน เกษตรกร ๓ คน โดยตั ว แทน เก ษ ต ร ก ร ม อ บ ห ม า ย ใ ห้ คณะอนุ ก รรมการระดับ จังหวัด ธ.ก.ส. และ กสก. ในระดับ พื้ นที่ เป็ นผูค้ ดั เลือก

- การสี แปรสภาพข้าวเปลือก และ - ให้ โร งสี สี แ ป ร ส ภ าพ ข้ า ว การกาหนดอัตราส่งมอบ เปลือกทุ ก ๗ วัน ในอัตราร้อยละ ๑๐๐ ของปริ มาณข้ า วเปลื อ กที่ จานา ณ วันที่ สั่งสี แปรสภาพ โดย ใช้ราคาเฉลี่ยย้อนหลัง ๕ วัน - การส่ งมอบข้าวสาร - กาหนด ให้ส่งมอบข้าวสารที่ ได้ จากการแปรสภาพข้าวเปลือก เป็ น ต้นข้าว ข้าวท่อน และปลาย ข้าว - โกดังกลาง/ไซโล - กาหนดให้เป็ นโกดังกลาง/ไซโล โดยเช่ าจากผู ้ ป ระกอบ การ – ผูป้ ระกอบการได้ค่าฝากเก็บตาม ระยะเวลาที่ฝากเก็บ - ผู้ ป ระก อ บ ก ารไม่ ต้ อ งร่ ว ม

ป้ องกั น การทุ จริ ตการสวมสิ ทธิ์ เกษตรกร และมี ภาระค่าใช้จ่ ายของ จุดรับจานา) - ให้รับจานาทุ กวันไม่ เว้นวันอาทิ ตย์ ตั้งแต่ เวลา ๐๘.๐๐ –๑๘.๐๐ น. เพื่ อ อ านวยความสะดวกและให้ ค วาม เป็ น ธ ร ร ม แ ก่ เก ษ ต ร ก ร ที่ น า ข้าวเปลือกมาจานา - เจ้าหน้าที่ ประจาจุ ดเหมื อนเดิ ม แต่ ตัว แทนเกษตรกร ๓ คน ให้ ผู ้แทน สมาคมชาวนาข้ า วไทย สมาคม ส่ งเสริ มชาวนาไทย สมาคม ชาวนาและเกษตรกรไทย และสภา เกษตรกรแห่ งชาติ เป็ นผูค้ ดั เลือก - เจ้าหน้าที่ประจาจุดทุกคนต้องมี ซึ่ ง รู ปถ่ายและเบอร์โทรศัพท์ปิด ประกาศไว้ที่บริ เวณโรงสี ให้เห็น ชัดเจน - ให้โรงสี สีแปรสภาพข้าวเปลือกทุ ก ๗ วัน ในอัต ราร้ อ ยละ ๑๐๐ ของ ปริ มาณข้าวเปลือกที่ รับจานา โดยใช้ อัตราส่ งมอบในช่ วง ๑๕ วัน - กาหนดให้ ส่งมอบเฉพาะต้ น ข้ าว ตามมาตรฐานของกระทรวงพาณิ ชย์

- กาหนดเป็ นโกดังกลาง/ไซโล จาก เช่าเป็ นฝากเก็บ โดยไม่รับค่าฝากเก็บ ตามกาหนด - ผูป้ ระกอบการที่ เป็ นเจ้าของต้ อ ง ร่ วมรับผิดชอบ


๘๔

- โกดังกลาง (กล้องวงจรปิ ด)

- การระบายข้าวเปลือก/ข้าวสาร

รั บ ผิ ด ชอบกรณี เกิ ด ปั ญหาข้ า ว ไม่ได้คุณภาพ - จะต้ อ งติ ด ตั้ งกล้ อ งวงจรปิ ด บันทึกภาพบริ เวณคลังกลางอย่าง น้ อ ย ๓ จุ ด ได้ แ ก่ จุ ด ที่ ส่ ง มอบ ข้าวสารเข้าโกดังกลาง/ไซโล การ ขนย้า ยข้ า วสารออกจากโกดั ง กลางและจุ ดภายในโกดังกลางทั้ง ด้านหน้าและด้านหลัง - ให้ระบายตามสภาพ

- การรั บ มอบข้าวและการส่ งมอบ ต้องเป็ นไปตามมาตรฐานที่กาหนด - จะต้องติ ดตั้งกล้องวงจรปิ ดให้มาก ขึ้น อย่างน้อย ๓ จุ ด คื อบริ เวณที่ ท า การส่ งมอบ จุดภายในโกดังกลางทั้ง ด้ านหน้ าและด้ านหลัง กรณี โ กดั ง กล างมี ข น าด ให ญ่ ให้ มี การติ ด เพิ่ มเติ ม เพื่อให้สามารถมองเห็ นได้ ชัดเจน - ก าหนดให้ ร ะบายข้ า วสารตาม สภาพ และ/หรื อระบายข้ า วตาม มาตรฐานของกระทรวงพาณิ ชย์

นอกจากนี้ คณะกรรมการนโยบายข้าวแห่ งชาติ ได้มีมติ เมื่อวันที่ ๑๓ กันยายน ๒๕๕๖ เห็นชอบให้ องค์การคลังสิ นค้า และ องค์การตลาดเพื่อเกษตรกรดาเนิ นการจัดทาเพื่อ ประสิ ทธิภาพระบบรับจานาออนไลน์ โดยให้ท้ งั ๒ หน่วยงาน บูรณาการรับจานา ให้เป็ นไปใน ทิศทางและมาตรฐานเดียวกัน โดยของบจุดติดตั้งระบบรับจานาให้ครอบคลุมพื้นที่ทวั่ ประเทศ รวมทั้งจุ ดรับจานาในและนอกพื้นที่ เพื่อให้ระบบสารสนเทศในการรั บจ านามี ประสิ ทธิ ภาพ ครอบคลุมกระบวนการรับจานาทั้งหมด การด าเนินโครงการรับจานาข้ าวเปลือกของรัฐ บาล ไม่ ขัดกับรั ฐธรรมนู ญและ หลักการรับจานา เนื่ องจากกฎหมายรั ฐธรรมนู ญ มาตรา ๘๔ (๓) ก าหนดว่า รั ฐต้องด าเนิ น การ คุม้ ครองและรั ก ษาผลประโยชน์ ข องเกษตรกร ในการผลิตและการตลาด ส่ ง เสริ มให้สิ น ค้า เกษตรได้รั บ ผลตอบแทนสู ง สุ ด ซึ่ งการด าเนิ น การรั บจ าน าของรั ฐบาลมี วตั ถุป ระสงค์ เพื่ อ ยกระดับรายได้และฐานะความเป็ นอยูข่ องเกษตรกรและสร้างความแข็งแกร่ ง ความมีเสถียรภาพ และการเติบโตทางเศรษฐกิจของประเทศ การกาหนดนโยบายของพรรค รัฐบาลได้กาหนดเป็ นนโยบาย ในการหาเสี ยงใน การเลือกตั้ง ไว้ว่าจะนาระบบรับจานาสิ นค้าเกษตร มาใช้ในการสร้ างความมัน่ คงด้า นรายได้ ให้แก่เกษตรกร โดยการรับจานาข้าวเปลือกเจ้าในราคาตันละ ๑๕,๐๐๐ บาท และข้าวเปลือกหอม มะลิ ในราคาตันละ ๒๐,๐๐๐ บาท ซึ่ งพรรคอื่นๆ ก็มีการหาเสี ยงในลักษณะเดียวกัน โดยพรรค


๘๕

ประชาธิปัตย์ มีนโยบาย จะเพิ่มกาไร ๒๕ % ให้เกษตรกรจากโครงการประกันรายได้เกษตรกร พรรคภูมิใจไทย มี นโยบายกองทุนประกัน ราคาสิ นค้าเกษตรข้าวเปลือกตัน ละ ๒ หมื่ นบาท พรรคชาติไทยพัฒ นา นโยบายประกันราคาข้าว ข้าวเปลือกเจ้า ๑๕,๐๐๐ บาท ข้าวเปลือกหอม มะลิ ๒๐,๐๐๐ บาท เป็ นต้น โครงการรับจานาข้ าวเปลือกของรัฐบาล : ทาไมต้ องกาหนดราคารับจานาสู ง ๑. เพื่อยกระดับรายได้ ของชาวนาให้ ใกล้ เคียงกับรายได้ ของเกษตรกรที่ปลูกพืช ชนิดอื่นๆ และค่าแรงขั้นต่าวันละ ๓๐๐ บาท เนื่องจากในช่วงหลายสิ บปี ที่ผา่ นมา รายได้ชาวนา เฉลี่ยต่อวัน ต่ากว่าเกษตรกรที่ปลูกพืชชนิดอื่นๆ ทาให้ชาวนามีคุณภาพชีวติ ในระดับต่า มีปัญหา หนี้ สิน อยู่ในวัฎจักรความยากจนหากกาหนดราคารับจานาข้าวเปลือกเจ้า ไว้ที่ตนั ละ ๑๐,๐๐๐ บาท ชาวนาจะมีรายได้ต่อครัวเรื อนเพิม่ ขึ้นต่อตัน ๙๓๓ บาท หรื อ เพียงคนละ ๘๙๗ บาท/เดือน* และหากรัฐบาลกาหนดราคารับจานาที่ตนั ละ ๑๕,๐๐๐ บาท** ก็จะช่วยให้ชาวนามีรายได้เพิ่มขึ้น ตันละ ๕,๙๓๓ บาทหรื อ คนละ ๕,๗๐๐ บาท/เดื อน ซึ่ งถือว่าเป็ นการช่วยยกระดับรายได้ให้ สูงขึ้น ในระดับที่ใกล้เคียงกับค่าแรงขั้นต่า ๓๐๐ บาท/วัน * ถ้าราคาตันละ ๑๐,๐๐๐ บาท เกษตรกรจะมีรายได้ต่อครัวเรื อนเพิ่มขึ้นต่อตัน ๙๓๓ บาท (๑๐,๐๐๐ บาท – ต้นทุน ๙,๐๖๗ บาท/ตัน) ซึ่ งโดยเฉลี่ยพื้นที่เพาะปลูกของเกษตรกร ต่อครัวเรื อนเฉลี่ย ๒๑ ไร่ /ครัวเรื อน ปลูกข้าวปี ละ ๒ ครั้ง รวมเป็ น ๔๒ ไร่ ผลผลิตเฉลี่ย ๕๔๙ กก/ไร่ ผลผลิตรวมต่อครัวเรื อน ๒๓.๐๕๘ ตัน ดังนั้น เกษตรกรจะมีรายได้ ๒๑,๕๑๓ บาท/ปี หรื อ ๑,๗๙๓ บาท/เดือน ในครัวเรื อนเกษตรกรจะมีประมาณ ๓ – ๔ คน และถือเป็ นวัยทางาน ๒ คน/ครัวเรื อน จะมีรายได้ต่อคน ๘๙๗ บาท/เดือน ซึ่ งต่ากว่าค่าแรงขั้นต่า (๓๐๐ บาท/วัน จะมี รายได้ต่อเดือน ๖,๖๐๐ บาท) ** กรณีกาหนดราคารับจานาที่ตนั ละ ๑๕,๐๐๐ บาท เกษตรกรจะมีรายได้ต่อ ครัวเรื อนเพิ่มขึ้นตันละ ๕,๙๓๓ บาท (๑๕,๐๐๐ บาท – ต้นทุน ๙,๐๖๗ บาท/ตัน) เกษตรกรจะมี รายได้ ๑๓๖,๘๐๓ บาท/ปี (๕,๙๓๓ บาท x ๒๓.๐๕๘ ตัน) หรื อ ๑๑,๔๐๐ บาท/เดือน ใน ครัวเรื อนเกษตรกรจะมีประมาณ ๓ – ๔ คน และถือเป็ นวัยทางาน ๒ คน/ครัวเรื อน จะมีรายได้ ต่อคน ๕,๗๐๐ บาท


๘๖

๒. เพื่อยกระดับราคาข้ าวเปลือกในตลาดให้ สูงขึ้นและมีเสถียรภาพ เนื่ องจาก หลายสิ บปี ที่ผา่ นมา ราคาข้าวเปลือกในตลาดอยู่ในระดับต่ามาก แม้วา่ ที่ผา่ นมาจะมีโครงการรับ จานาและโครงการประกันรายได้มาอย่างต่อเนื่ อง แต่ร าคารับจ านาที่ ต่า กว่าราคาตลาด ก็ไ ม่ สามารถช่วยยกระดับราคาข้าวเปลือกในตลาดให้สูงขึ้นได้ จึ งมีความจาเป็ นต้องกาหนดราคารับ จานาให้สูงกว่าราคาตลาด ในโครงการรับจานาช่วงปี ๒๕๔๗-๒๕๕๐ ได้กาหนดราคารับจานา ข้าวเปลือกเจ้าที่ตันละ ๖,๕๐๐ – ๗,๑๐๐ บาท ซึ่ งส่ ง ผลให้ร าคาตลาดอยู่ที่ราคาตันละ ๖,๒๐๐ – ๖,๗๐๐ แต่เมื่อรัฐบาลชุดนี้ กาหนดราคารับจานาข้าวเปลือกเจ้า ๑๐๐% ที่ราคาตันละ ๑๕,๐๐๐ บาท ก็ ส่ ง ผลให้ร าคาตลาดปรั บตัวสู งขึ้ นถึง ตันละ ๑๐,๔๐๐ บาท ซึ่ งเป็ นการช่วยยกระดับราคาข้า ว ภายในประเทศให้ปรับตัวสูงขึ้น เนื่องจากเกษตรกรและโรงสี มีอานาจต่อรองและมีทางเลือกมาก ขึ้น ส่งผลให้ระดับราคาข้าวเปลือกที่เกษตรกรขายได้ในตลาดมีเสถียรภาพขึ้น ๓. เพื่อยกระดับราคาข้ าวไทยในตลาดโลกให้ สูงขึ้น เนื่องจากหลายสิ บปี ที่ผ่านมา แม้วา่ ไทยจะเป็ นผูส้ ่ งออกข้าวรายใหญ่ของโลก ราคาข้าวไทยในตลาดโลกก็ยงั ไม่สามารถปรับ ราคาสู งขึ้นได้ (โดยราคาเฉลี่ยข้าวไทยอยูท่ ี่ ๔๙๘ เหรี ยญสหรัฐฯ ต่อตัน) แต่เพราะการดาเนิ น โครงการรั บจ านาข้า วในรัฐบาลปั จจุ บัน ไทยสามารถดึ งราคาข้าวในตลาดโลกให้เพิ่มสู งขึ้ น ประมาณร้อยละ ๑๓ เมื่อเทียบกับช่วงก่อนดาเนิ นโครงการฯ(ต.ค.๕๔ – ธ.ค.๕๕ ราคาส่ งออก ข้าวขาว ๕% ของไทยเฉลี่ยอยูท่ ี่ ๕๖๓ เหรี ยญสหรัฐฯ ต่อตัน) ๔. เพื่อทาให้เศรษฐกิ จฐานรากมีความเข้มแข็ง สร้างการขยายตัวของการบริ โภค ภายในประเทศ เนื่ องจากที่ผา่ นมาชาวนามีรายได้ต่า ไม่สามารถช่วยสร้างการขยายตัวหรื อความ เข้มแข็งให้กับเศรษฐกิ จรากฐานของประเทศได้มากนัก จึ ง ต้องช่วยยกระดับรายได้และชี วิต ความเป็ นอยูข่ องชาวนาให้ดีข้ ึน เพราะเมื่อชาวนามีรายได้เพิ่มขึ้น ก็จะช่วยลดภาวะหนี้ สินของ ชาวนา เกิ ดการบริ โภคจับจ่ายใช้สอย มีเงินหมุนเวียนให้กับระบบเศรษฐกิจภายในประเทศ และ ยัง สามารถสร้ างสมดุลระหว่างภาคเศรษฐกิ จ ต่า ง รวมถึง สมดุลระหว่างภาคการบริ โ ภคใน ประเทศและภาคต่างประเทศอีกด้วย การกาหนดราคารับจานาข้าวเปลือกเจ้า ๑๐๐% ที่ราคา ตันละ ๑๕,๐๐๐ บาท เป็ นการชดเชยรายได้ให้แก่เกษตรกรที่ยากจนและเป็ นหนี้ เนื่ องจากรายได้ต่า และต้น ทุน การท านาก็มี แนวโน้ม สู ง ขึ้ น อย่า งต่อเนื่ อง โดยในปี ๒๕๔๗/๔๘ ต้น ทุ นตันละ ๔,๕๖๙ บาท ปรับตัวสู งขึ้นในปี ๒๕๕๓/๕๔ ตันละ ๗,๕๓๔ บาท ในขณะที่ ราคาตลาดในปี


๘๗

๒๕๔๗/๔๘ – ๒๕๕๓/๕๔ มีราคาตันละ ๖,๔๗๕ – ๘,๘๒๙ บาท ส่งผลให้เกษตรกรมีกาไรจาก การขายข้าวเจ้าเพียงตันละ ๑,๕๙๙ บาท ทาให้ชาวนามีภาระหนี้สินล้นพ้นตัว ต้องไปกูย้ ืมหนี้นอก ระบบ ทาให้ชาวนาอยูใ่ นวัฏจักรความยากจน ดังนั้นในปี ๒๕๕๔/๕๕ รัฐบาลจึงกาหนดราคารับ จานาสู ง โดยราคารั บจานาตันละ ๑๕,๐๐๐ บาท ส่ งผลให้ราคาข้าวในตลาดปรั บตัวสู งขึ้ นเป็ น ราคาตันละ ๑๐,๔๓๐ บาท ซึ่ งสู งขึ้นกว่าในปี ที่ ที่ผ่านมาถึงตันละ ๑,๖๐๑ บาท ซึ่ งรัฐบาลก็มี แนวทางที่จะรับจานาในราคานี้ต่อไปอีก ๔ ปี เพื่อยกระดับราคาข้าวในตลาดให้สูงขึ้นใกล้เคียง กับ ราคารั บจานาตัน ละ ๑๕,๐๐๐ บาท ซึ่ งจะทาให้ เกษตรกรทั้งประเทศมี รายได้สู งขึ้ น อย่า ง ต่อเนื่องในระยะยาว หน่วย บาท : ตัน

ต้ นทุนของเกษตรกรทีม่ แี นวโน้ มสู งขึน้ ฤดูการผลิต ข้ าวเปลือกเจ้ า - ต้นทุนต่อตัน

๔๗/๔๘ ๔๘/๔๙ ๔๙/๕๐ ๕๐/๕๑ ๕๑/๕๒ ๕๒/๕๓ ๕๓/๕๔ ๕๔/๕๕

- ราคารับจานา ข้าวเปลือกเจ้า ๕% - กาไรที่เกษตรกร ได้ รับ - เงินชดเชยต่อตัน (ประกันรายได้)

๖,๕๐๐ ๗,๐๐๐ ๖,๔๐๐ ๖,๖๐๐ ๑๑,๘๐๐ ประกัน ประกัน ๑๔,๘๐๐

๔,๕๖๙ ๔,๑๕๒ ๔,๖๓๔ ๔,๙๓๓ ๗,๑๒๑ ๗,๐๓๒ ๗,๕๓๔ ๙,๐๖๗

๑,๙๓๑ ๒,๘๔๘ ๑,๗๖๖ ๑,๖๗๗ -

-

-

-

๔,๖๗๙ -

-

-

๑,๖๔๐ ๑,๘๘๙

๕,๗๓๓ -

หมายเหตุ ปี ๕๑/๕๒ เป็ นปี ที่เกิดวิกฤตอาหารช่วง เม.ย. – ก.ค. ๕๑ ส่ งผลให้ราคาข้าวเปลือกสู ง

ผิดปกติ การนานโยบายของพรรคไปปฏิ บัติ เมื่อพรรคเพื่อไทย ได้รับเลือกตั้ง ก็ได้นา นโยบายที่ ห าเสี ย งไว้ม าก าหนดเป็ นนโยบาย และแถลงนโยบายต่ อ รั ฐ สภา เมื่ อ วัน ที่ ๒๓ สิ งหาคม ๒๕๕๔โดยก าหนดเป็ นนโยบายเร่ ง ด่วนในการยกระดับราคาสิ นค้าเกษตร และให้ เกษตรกรเข้าถึงแหล่งเงินทุน โดยนาระบบรับจานาสิ นค้าเกษตรมาใช้ในการสร้างความมัน่ คง ด้านรายได้ ได้แก่ เกษตรกร โดยการรับจานาข้าวเปลือกเจ้า ข้าวเปลือกหอมมะลิความชื้นไม่เกิ น ๑๕ % ที่ราคาตันละ ๑๕,๐๐๐ บาท และ ๒๐,๐๐๐ บาท ตามลาดับ รวมทั้งเยียวยาความเสี ยหาย


๘๘

ของพืชผลจากภัยธรรมชาติให้แก่เกษตรกร ซึ่ งการนานโยบายดังกล่าวไปปฏิบตั ิเพื่อให้บรรลุ วัตถุประสงค์และเป็ นไปตามนโยบายที่กาหนด ได้ใช้คณะกรรมการนโยบายข้าวแห่ งชาติ เป็ น กลไกในการดาเนินการ และกากับดูแลให้เป็ นไปตามหลักเกณฑ์และนโยบายที่กาหนด หลักเกณฑ์ การรับจานา ตามประมวลกฎหมายแห่ ง พาณิ ชย์ จะต้องมี ก ารส่ งมอบทรัพย์สิ น เพื่อใช้เป็ น หลัก ประกันในการชาระหนี้ ซึ่ งกรณี น้ ี คื อ ข้า วของเกษตรกรรวมทั้งให้ สิ ทธิ ในการไถ่ถอน ทรัพย์สินที่นามาค้าประกัน ภายในกาหนดระยะเวลา กรณี ที่รัฐบาลรับจานาข้าวเปลือกในราคา สู ง เนื่ องจากต้องการยกระดับราคาข้าวและให้ชาวนา ซึ่ งเป็ นคนส่ วนใหญ่ที่มีฐานะยากจน มี รายได้เพิ่มขึ้น ยกระดับฐานะความเป็ นอยู่ของเกษตรกรให้ดี ข้ ึ น เพราะราคาข้า วที่ ซ้ื อขายใน ตลาดมีราคาต่ามาตลอด เนื่องจากเป็ นตลาดแข่งขันไม่สมบูรณ์ตลาดเป็ นของผูซ้ ้ื อ เกษตรกรขาด อานาจต่อรอง โดยเฉพาะข้าวเปลือกเจ้า ประกอบกับไม่มีกฎหมายก าหนดราคาทรัพย์ที่จานา จะต้องรับจานาในราคาต่ากว่าราคาตลาดขึ้นอยู่กบั วัตถุประสงค์และข้อตกลงระหว่างผูร้ ับจานา กับผูซ้ ้ื อรวมทั้งราคาสิ นค้าเกษตรมีความผันผวนขึ้นลง นโยบายรับจานาของรัฐบาลในการกาหนดราคาสู งกว่ าท้ องตลาดและรับซื้อทุก เมล็ด ไม่ ใช่ ก ารรับ จานาแต่ เป็ นการรับ ซื้อ ข้ าวเปลือกจากเกษตรในราคาที่สูงกว่ าท้ องตลาด ไม่ บิดเบือนกลไกตลาด เพราะการดาเนิ นการดังกล่าวมีวตั ถุประสงค์ที่จะยกระดับราคาข้าวให้สูงขึ้น ให้ เกษตรกรจาหน่ายผลผลิตได้ในราคาที่เหมาะสมเป็ นธรรม คุม้ กับต้นทุนการผลิต ใกล้เคียงกับ ค่าจ้างขั้นต่าของผูใ้ ช้แรงงาน มีเงินทุนเพียงพอในการจับจ่ายใช้สอยในชีวิตประจาวันและปลูก พืชในฤดูใหม่ ซึ่ งการที่ชาวนามีเงินก็จะนาไปจับจ่ายใช้สอยก่อให้เกิดการลงทุนในสิ นค้าต่างๆ ตามมาและทาให้เศรษฐกิ จพื้นฐานมี ก ารหมุนเวีย นมั่นคงมากขึ้น ประกอบกับตลาดข้าวเป็ น ตลาดขนาดใหญ่ มี ผู้ซ้ื อผู้ข ายจ านวนมากการขายอยู่ทั่วโลก แต่ เป็ นตลาดที่ ไ ม่มีก ารพัฒ นา กฎเกณฑ์ กติกา ทาให้ชาวนาไทยเสี ยเปรี ยบแม้รัฐบาลไทยจะเข้ามาจานาก็ไม่สามารถบิดเบือน กลไกตลาดได้ การกาหนดนโยบายรับจานา ไม่ขัดกับเรื่องการค้าเสรี เพราะ (๑) รัฐบาลไม่ได้มุ่งเพื่อจะทาการค้าแข่งกับภาคเอกชน (๒) เป็ นการดาเนินการเพื่อพัฒนากลไกตลาด ซึ่ งเป็ นตลาดไม่สมบูรณ์ให้มีความ


๘๙

เข้มแข็งเพื่อให้ผผู้ ลิตขั้นต้น (ชาวนา) มีอานาจต่อรอง เพิ่มช่องทางการจาหน่ายมีรายได้เพิ่มขึ้น ซึ่ งอาจจะกระทบผูส้ ่งออกบางส่วนบ้าง โดยเฉพาะข้าวขาว ๕ % ที่มีปริ มาณมาก คนบริ โภคมาก ผูซ้ ้ื อ ผูข้ ายกระจายอยู่ทวั่ โลก ประกอบกับข้าวเป็ นพืชเศรษฐกิ จ เป็ นสิ นค้าเกษตร ซึ่ งมีความผัน ผวน เนื่ องจากมีปัจจัยต่างๆ เป็ นตัวแปรหลายประการเช่น สภาพดิ น ฟ้ า อากาศ โรคพืชต่างๆ และการพัฒนาตลาดอยูใ่ นระดับต่า (๓) การที่รัฐบาลมีนโยบายการรับจานาข้าวทุกเมล็ด ในปี ๒๕๕๔/๕๕ และปี ๒๕๕๕/๕๖ นั้น ปรากฏว่าข้าวหลายชนิ ดไม่ได้เข้าร่ วมโครงการรับจานาข้าวเปลือกของรัฐบาล ทั้งหมด โดยจะเห็ นได้จ ากในปี ๒๕๕๔/๕๕ หรื อปี ๒๕๕๕/๕๖ข้าวหอมมะลิซ่ ึ งผลผลิตมี ประมาณปี ละประมาณ ๗-๘ ล้านตัน แต่เข้าร่ วมโครงการรับจานาประมาณ ๓.๔ และ ๓.๙ ล้าน ตัน ตามลาดับ และข้า วเปลือ กเหนี ย วนาปี ซึ่ งมี ป ระมาณ ๗-๘ ล้า นตันข้า วเปลือ ก เข้า ร่ ว ม โครงการรับจานาเพียงประมาณ ๐.๔๕ และ ๐.๗๐ แสนตัน เท่านั้น เป็ นต้น การเปรียบเทียบนโยบายประกันรายได้ กับนโยบายการรับจานา การรับจานา ข้ อดี ๑. ช่วยดูดซับปริ มาณผลผลิตส่วนเกินในช่วงต้นฤดู ทาให้ราคาตลาดปรับตัวสู งขึ้น ๒. เพิ่มช่องทางเลือก ในการจาหน่ายให้แก่เกษตรกร ๓. เกษตรกรมีอานาจต่อรอง ไม่ถูกกดราคา ๔. เกษตรกรไม่ถูกเอารัดเอาเปรี ยบในการขาย ผลผลิตเพราะมีเจ้าหน้าที่ ให้ความเป็ นธรรมแก่ เกษตรกร ทั้งในเรื่ องการชัง่ น้ าหนัก การวัดความชื้น และหักสิ่ งเจือปน ๕. เกษตรกรจาหน่ายผลผลิตได้ในราคาที่สูงขึ้น ทา ให้เกษตรกรมีรายได้เพิม่ ขึ้น นาเงินไปจับจ่ายใช้สอย ได้เพิ่มขึ้น เกิดการหมุนเวียนในระบบเศรษฐกิจ ทา ให้เศรษฐกิจมัน่ คง ข้ อเสี ย ๑. มีความเสี่ยงเรื่ องการสวมสิทธิเกษตรกร การเวียนเทียน/เปาเกา

การประกันรายได้ ข้ อดี ๑. เกษตรกรทราบล่วงหน้าก่อนการเพาะปลูกว่าจะ ขายผลผลิตได้ในราคาใด ๒. รัฐบาลไม่ตอ้ งรับภาระในการสต็อกและระบาย ข้าวสาร ๓. เกษตรกรที่ปลูกข้าวเพื่อบริ โภค หากได้รับความ เสี ยหายจากภัยธรรมชาติจะได้รบั เงินชดเชย

ข้ อเสี ย ๑. เกษตรกรถูกเอารัดเอาเปรี ยบในการจาหน่ าย ผลผลิตถูกโกงน้ าหนัก ความชื้น และสิ่ งเจือปน ๒. ไม่มีอานาจต่อรอง จาเป็ นต้องจาหน่ายผลผลิตใน


๙๐

ราคาที่มีผคู ้ า้ รับซื้ อ เพิม่ อานาจให้พ่อค้ารับซื้ อ ๓. กลไกตลาดอ่อนแอ เพราะพ่อค้ารวมหัวกดราคา รับซื้ อ เพราะคิดว่าเกษตรกรได้รบั เงินชดเชยจากรัฐ อยูแ่ ล้ว ทาให้ราคาข้าวตกต่ า ๔. เปิ ดช่องให้มีการทุจริ ต เช่น การขยายครัวเรื อน เพิม่ ขึ้นจากเดิมประมาณ ๓ ล้านครัวเรื อน เป็ น ๔ ล้านครัวเรื อน เป็ นต้น ๕. เจ้าของที่ดินหรื อผูใ้ ห้เช่าได้รับประโยชน์ใน ขณะที่ผเู ้ ช่านาไม่ได้รับความช่วยเหลือ เพราะเป็ น การจ่ายตามหลักฐานที่ข้ นึ ทะเบียน ๖.ไม่สามารถตรวจสอบได้ จึงง่ายต่อการทุจริ ต เพราะไม่มีการส่ งมอบข้าว

การดาเนิ นโครงการแทรกแซงตลาดโดยโครงการรับจานาข้าวมีผลงานเป็ นที่ ประจัก ษ์ คื อ (๑) โครงการรั บ จ าน าข้าวเปลือกปี ผลิต ๒๕๕๕ ตั้ง แต่วนั ที่ ๑ มี นาคม – ๑๕ กันยายน ๒๕๕๕ กรณีภาคใต้ ธ.ก.ส. ได้จ่ายเงินตรงให้เกษตรกรแล้วเป็ นเงิน ๒๑๘,๑๙๖ ล้าน บาท (๒)โครงการรับจานาข้าวเปลือกปี การผลติ ๒๕๕๕/๕๖ รอบที่ ๑ ตั้งแต่วนั ที่ ๑ ตุลาคม ๒๕๕๕ ถึง ๑๕ กันยายน ๒๕๕๖ จ่ายเงินให้เกษตรกรเป็ นเงิน ๒๓๔,๑๘๕ ล้านบาท รอบที่ ๒ ตั้งแต่วนั ที่ ๑๔ มีนาคม – ๑๕กันยายน ๒๕๕๖ ได้จ่ายเงินให้แก่เกษตรกรแล้วเป็ นเงิน ๙๓,๔๘๘ ล้านบาท โดยสรุปประโยชน์ และผลสาเร็จของโครงการรับจานาข้ าวต่ อชาวนาทีร่ ัฐบาลได้ แถลงนโยบายต่ อรัฐสภา ดังนี้ ๑.ชาวนามี รายได้ในปี ที่ ห นึ่ งเป็ นจ านวนเงิ นที่ จ่ ายให้แก่ เกษตรกร รวมทั้งสิ้ น ๑๔๘,๘๗๘ ล้านบาท โครงการรับจ านาข้าวเปลือกนาปรั ง ปี ๒๕๕๕ ดาเนิ นการรับจานาใบ ประทวนโดย อคส. และ อ.ต.ก. ออกใบประทวนและ ธ.ก.ส. รั บจ านาใบประทวนที่ ออกให้ เกษตรกร เป้ าหมายไม่จากัดปริ มาณ โดยใช้หลักเกณฑ์เช่นเดียวกับโครงการรับจานาข้าวเปลือก นาปี ปี การผลิต ๒๕๕๔/๕๕ ระยะเวลารับจานา ตั้งแต่วนั ที่ ๑ มีนาคม – ๑๕ กันยายน ๒๕๕๕ ภาคใต้ต้ งั แต่วนั ที่ ๑กรกฎาคม /๓๑ ตุลาคม ๒๕๕๕ โดยการดาเนิ นงาน ณ วันที่ ๒๒ สิ งหาคม ๒๕๕๕ มีการทาสัญ ญากับ ธ.ก.ส. รวมทัว่ ประเทศ ๐.๙๕ ล้านราย เป็ นข้าวเปลือกที่รับจานา ทั้งหมด ๑๐.๐๓ ล้านตัน ทั้งนี้ เป็ นจานวนเงินที่จ่ายให้แก่เกษตรกร รวมทั้งสิ้ น ๑๔๘,๘๗๘ ล้าน


๙๑

บาท ปรากฏตามรายงานแสดงผลการดาเนิ นการของคณะรัฐมนตรี ตามแนวนโยบายพื้นฐาน แห่ งรัฐ ปี ที่หนึ่ง (วันที่ ๒๓ สิ งหาคม ๒๕๕๔ –วันที่ ๒๓ สิ งหาคม ๒๕๕๕) หน้าที่ ๓๔๖ อ้ าง เป็ นพยานหลักฐานในลาดับที่ ๔๐ ๒. ผลการดาเนินโครงการรับจานาข้ าวเปลือกตั้งแต่ ปีการผลิต ๒๕๕๔/๕๕ ผลการ ดาเนิ นโครงการรับจานาข้ าวเปลือกตั้งแต่ ปีการผลิต ๒๕๕๔/๕๕ ถึงปี การผลิต ๒๕๕๕/๕๖ สามารถยกระดับรายได้ ของเกษตรกรเพิ่มขึ้นจากการจาหน่ ายข้ างเปลือกได้ ในราคาสู งขึน้ เฉลี่ย ๔,๐๐๐ บาทต่ อตัน ขณะทีเ่ กษตรกรทีไ่ ม่ได้ เข้ าร่ วมโครงการได้ รับประโยชน์ จากราคาตลาดทีเ่ พิ่ม สู งขั้นเฉลี่ย ๒,๕๐๐ บาทต่ อตัน คิดเป็ นมูลค่ ารวม ๒๐๔,๐๑๘ ล้ านบาท ทาให้ เกษตรกรมีความ เป็ นอยู่ และคุ ณภาพชีวิตที่ดีขึ้น และมีก ารนาเมล็ด เงินที่ได้ รับมาใช้ ในการเศรษฐกิจ ส่ งผลให้ เศรษฐกิ จ โดนรวมของประเทศมี ก ารขยายตั ว เพิ่ ม ขึ้ น ปรากฏตามรายงานแสดงผลการ ด าเนิ น การของคณะรั ฐมนตรี ตามแนวนโยบายพื้น ฐานแห่ งรั ฐ ปี ที่ ๒ (วัน ที่ ๒๓ สิ งหาคม ๒๕๕๕ –วันที่ ๒๓ สิงหาคม ๒๕๕๖ ) หน้ าที่ ๓๗๔ พยานเอกสารในลาดับที่ ๔๑ ข้ าพเจ้ าขออ้ างนายยรรยง พวงราช อดีตปลัดกระทรวงพาณิชย์ ปั จจุบันเป็ น รัฐมนตรีช่วยกระทรวงพาณิชย์ เป็ นพยานบุคคลเพื่อนาสื บหักล้ างข้ อกล่ าวหาของคณะกรรมการ ป.ป.ช. ในประเด็นเรื่องปัญหาการทุจริตเชิงนโยบายในส่ วนของขั้นตอนและกระบวนการในการ ดาเนินโครงการตามบันทึกแจ้งข้ อกล่ าวหาในข้ อ ๓ และข้ อ ๔ และเพื่อสนับสนุนบันทึกคาชี้แจง ของผู้ถูกกล่ าวหาในฐานะทีเ่ ป็ นผู้เคยปฏิบัติท้งั โครงการรับจานาข้ าว และโครงการประกันรายได้ เมื่ อ ค ร าว ด าร งต าแ ห น่ งเป็ น ป ลั ด ก ร ะ ท ร ว งพ าณิ ช ย์ แ ล ะ เค ย เป็ น ผู้ ป ฏิ บั ติ ใน คณะกรรมการนโยบายข้ าวแห่ งชาติ ว่าข้ อกล่ าวหาของคณะกรรมการ ป.ป.ช. ที่อ้างเรื่องผู้ได้ รับ ประโยชน์ จากนโยบายเป็ นเพียงบุคคลบางกลุ่มไม่ คอบคลุมเกษตรกรอย่ างทั่วถึงรัฐบาลจึงควร ยกเลิ ก โครงการรั บ จ าน าข้ า วเปลื อ กและน าระบบการประกั น ความเสี่ ย งด้ านราคาข้ าวมา ดาเนินการ และข้ ออ้ างทีค่ ณะกรรมการ ป.ป.ช. ได้ ดาเนินการติดตามการดาเนินการตามโครงการ รับจานาข้ าวของรัฐบาลพบว่ าการดาเนินการตามโครงการได้ ก่อให้ เกิด ปัญหาด้ านต่ างๆ อย่ าง มากมายโดยเฉพาะปั ญ หาการทุ จ ริ ต ในทุ ก ขั้ น ตอนของกระบวนการรั บ จ าน าตามหนั งสื อ สานักงาน ป.ป.ช. ได้ มีหนังสื อ ที่ ปช ๐๐๐๓/๐๑๙๘ ลงวันที่ ๓๐ เมษายน ๒๕๕๕ ไม่ เป็ นความ จริงตามที่คณะกรรมการ ป.ป.ช. กล่ าวหา ตามบันทึกแจ้ งข้ อกล่ าวหาในข้ อ ๓ หน้ า ๓ และนาสื บ หักล้ างคาอภิปรายนายอภิสิท ธิ์ เวชชาชีวะ ที่อภิปรายไม่ ไว้ วางใจวันที่ ๒๕-๒๗พฤศจิกายน ๒๕๕๕ ในประเด็นการอภิปราย เรื่อง โครงการรับจานาข้ าวว่ าเป็ นนโยบายที่ผิดพลาดและการ


๙๒

อภิปรายในประเด็นรัฐบาลจะเป็ นผู้ผูกขาดซื้อขายข้ าวทั้งประเทศด้ วยนโยบายซื้อแพงแล้ วตั้ง ขายถู ก การขาดทุ นเกิด ขึ้น แน่ น อน ซื้ อ ในราคาที่สูงกว่ าตลาดหลายสิ บ เปอร์ เซ็ น ต์ โกงทุ ก ขั้นตอน และในประเด็นการอภิปราย เรื่อ ง ประเทศไทยจะสู ญเสี ยตลาดข้ าว อีกทั้งหักล้ างคา อภิปรายของนายอภิสิทธิ์ฯ ในประเด็นเรื่องกลไกการแข่ งขันเสียหาย พยานบุ คคลรายนี้ใ นฐานะอดี ต ปลั ด กระทรวงพาณิ ชย์ จะน าสื บ หั ก ล้ างนาย อภิสิทธิ์ฯ ทีอ่ ภิปรายว่าการรับจานาข้ าวทุกเมล็ดถือว่านโยบายนีเ้ ป็ นนโยบายรับซื้อข้ าวและเป็ น นโยบายที่นาไปสู่ การผูกขาดการค้าข้ าวของรัฐบาลเป็ นโครงการซึ่งทาลายกลไกของการซื้อขาย ตามปกติโดยสิ้นเชิงว่ าไม่เป็ นความจริง และประการที่สาคัญพยานบุคคลรายนี้จะนาสืบหักล้ าง คาอภิปรายของนายอภิสิทธิ์ ฯ ในเรื่องทีน่ ายอภิสิทธิ์ฯ อภิปรายว่าการรับจานาคือ อะไร รับจานา ก็คอื ว่ารับของๆ คนเข้ าไปและให้ เงินต่ากว่าราคาตลาดและผู้ทเี่ อาของมาฝากไว้มาไถ่ คืน การรับ จานาคือการซื้อของมิใช่ เป็ นการจานาจริงในโครงการรับจานาข้ าวเป็ นไปตามที่นายอภิสิทธิ์ ฯ อภิปรายหรือไม่ และโครงการรับจานาข้ าวเป็ นโครงการทีร่ ัฐบาลจัดทาขึน้ โดยมิได้ มหี ลักคิดทาง การค้าเพื่อหวังผลกาไรตามหลักการทางธุ รกิจ แต่ เป็ นการช่ วยเหลือเกษตรกร และนาสื บให้ เห็น ถึงความเดือดร้ อนเสี ยหายนับแต่ วันที่ ๑ มีนาคม ๒๕๕๗ ที่รัฐ บาลปั จจุบันไม่ สามารถดาเนิน แทรกแซงการตลาดโดยมาตรการโครงการรับจานาข้ าวได้ พยานบุคคลในลาดับที่ ๕ ข้ อ ๖. ที่มาของโครงการและมูลเหตุจูงใจของการจัดทาโครงการรับจานาข้ าวมา เป็ นนโยบายของรัฐบาลว่ าแท้ จริงแล้ วการจัดทาโครงการรัฐบาลมีเจตนายึด หลักการยกระดับ รายได้ ชาวนาให้ ทัดเทียมกับการ ประกอบอาชีพ อย่ างอื่นของคนในชาติ โดยมีความเห็นต่ างกับ ระบบการประกันความเสี่ ยงด้ านราคาข้ าวของสถาบันวิจัยเพื่อการพัฒนาประเทศไทย(TDRI) ตามที่คณะกรรมการป.ป.ช. เสนอให้ รัฐบาลยกเลิกโครงการรับจานาข้ าวเปลือกและนาระบบการ ประกันความเสี่ ยงด้ านราคาข้ าวมาดาเนินการว่ าเป็ นการกระทาของรัฐ (Acts of Government) โดยสุ จริตดังนี้ นโยบายของรัฐบาลในข้อ ๑.๒ ความว่า “… ๑.๒ โครงสร้างเศรษฐกิจไทยยังคง พึ่งพาการส่ งออกสิ นค้า...จึ งมีค วามเสี่ ยงสู งจากความไม่แน่ นอนของเศรษฐกิ จโลก...ภาคการ ส่งออกที่ขยายตัวได้สูงถึงร้อยละ ๒๘.๕ ซึ่ งกระจุกตัวอยูใ่ นอุตสาหกรรมขนาดใหญ่ที่เป็ นของ บริ ษทั ต่างชาติที่ไทยเป็ นเพียงแหล่งประกอบส่วนการส่ งออกสิ นค้าเกษตรยังคงเป็ นการส่งออก วัตถุดิบที่ราคาผันผวนขึ้นกับตลาดโลก”


๙๓

นโยบายข้อนี้ แสดงให้ เห็ น ว่า คนไทยที่ ป ระกอบอาชี พ เกษตรกรรม และใช้ แรงงาน เสี ยเปรี ยบภาคอุตสาหกรรมโดยเฉพาะอุตสาหกรรมส่งออกที่ใช้แรงงานมากและส่ วน ใหญ่ลงทุนโดยนัก ลงทุนต่างชาติ ซึ่ งปั จจุ บันต้องนาเข้าแรงงานไร้ฝีมื อจากต่า งประเทศเป็ น จานวนมากจึ งทาให้ประเทศไทยเสี่ ยงไปกับภาวะเศรษฐกิ จโลกถดถอยและปั ญหาทางการเมือง กับประเทศเพื่อนบ้านเสมอมา รัฐบาลเห็นว่าจะปล่อยให้เป็ นอย่างนี้ ต่อไปไม่ได้ จึงจาเป็ นต้องสร้างกาลังซื้ อใน ประเทศ โดยเฉพาะจากเกษตรกรซึ่ งครอบคลุมประชากรจ านวนมากของประเทศเพื่อทาให้ เศรษฐกิจไทยลดความเสี่ ยงจากการพึ่งพาการส่งออกของบริ ษทั ต่างชาติลง นอกจากนโยบายในข้อ ๑.๒ แล้ว ยังปรากฏข้อสนับสนุนของโครงการรับจานา ข้าวที่มุ่งการยกระดับรายได้ชาวนาปรากฏอยูใ่ นนโยบายรัฐบาลข้อ ๑.๔ ความว่า “...๑.๔ ความ เหลื่อมล้าทางเศรษฐกิจที่มีอยูส่ ูงแสดงถึง...ประชาชนระดับฐานรากยังมีรายได้นอ้ ยและขาด โอกาสในการเพิ่มรายได้โดยส่วนใหญ่อยูใ่ นสาขาเกษตร…ไม่มีโอกาสที่จะเติบโตเป็ นชนชั้น กลาง...ในช่วงที่เศรษฐกิจเข้าสู่ช่วงภาวะเงินเฟ้ อก็จะเป็ นกลุม่ คนที่เดือดร้อนจากค่าครองชีพและ ต้นทุนการผลิตมากกว่าคนอื่น” รัฐบาลเห็นว่าเกษตรกรเป็ นฐานรากที่ขาดโอกาสการเพิ่มรายได้ และไม่มีวนั ที่จะ เป็ นชนชั้นกลางได้ หากยังคงใช้นโยบายและมาตรการแบบเดิม ก่อนรัฐบาลจะเข้ามาบริ ห ารราชการ ข้อมูลจากส านักงานเศรษฐกิ จการเกษตร ชี้ให้เห็นว่า มีประชากรที่อยู่ในภาคเกษตรกรทั้งสิ้ นประมาณ ๒๕ ล้านคน (จานวน ๗.๒ ล้าน ครัวเรื อน) คิดเป็ นร้อยละ ๓๗.๓ ของประชากรทั้งหมด แต่มีรายได้ประชาชาติเพียงประมาณ ๑.๑ ล้านล้านบาท หรื อเพียงร้อยละ ๑๐ ของรายได้ประชาชาติท้ งั หมด ข้อเท็จจริ งดังกล่าวยืนยันความจาเป็ นของนโยบายรัฐบาลที่ตอ้ งยกระดับรายได้ ของเกษตรกร เพื่อแก้ปัญ หาความเหลื่อมล้ าทางเศรษฐกิ จให้ตรงจุด และเป็ นข้อสนับสนุนต่อ นโยบายรั ฐ บาลในข้อ ๑.๑๑ เพราะการบู ร ณาการในการน านโยบายไปปฏิ บัติ เพื่ อ ให้ เกิ ด ประสิ ทธิ ภาพในการยกระดับราคาสิ นค้าเกษตรตามนโยบายรัฐบาลในข้อ ๑.๑๑ นั้น นโยบาย รัฐบาลในข้อ ๑.๒ และข้อ ๑.๔ เป็ นเหตุจูงใจที่ต้องจัด ทานโยบายรัฐบาลในข้อ ๑.๑๑ ความว่า “… ๑.๑๑ ยกระดับรำคำสินค้ำเกษตรและให้ เกษตรกรเข้ ำถึงแหล่ งเงินทุนโดย ๑.ดูแลราคาสิ นค้าเกษตรให้มีเสถียรภาพที่เหมาะสมคานึงถึงกลไกราคาตลาดโลก โดยใช้วธิ ีบริ หารจัดการทางการตลาดและกลไกตลาดซื้ อขายล่วงหน้า


๙๔

๒. ผลักดันให้เกษตรกรสามารถขายสิ นค้าเกษตรได้ในราคาสู งเพียงพอเมื่อเทียบ กับต้นทุน ๓.นาระบบรับจานาสิ นค้าเกษตรมาใช้ในการสร้างความมัน่ คงด้านรายได้ให้แก่ เกษตรกรเริ่ มต้นจากการรับจานาข้าวเปลือกเจ้าและข้าวเปลือกหอมมะลิความชื้นไม่เกิ นร้อยละ ๑๕ ที่ราคาเกวียนละ ๑๕,๐๐๐ บาท และ ๒๐,๐๐๐ บาทตามลาดับ ๔. จัดให้มีการเยียวยาความเสี ยหายของพืชผลจากภัยธรรมชาติให้แก่เกษตรกร ๕. การจัดทาระบบทะเบียนครัวเรื อนเกษตรกรให้สมบูรณ์ ๖. การออกบัตรเครดิตสาหรับเกษตรกร ” รัฐบาลระบุวา่ จะดูแลราคาสิ นค้าเกษตรให้มีเสถียรภาพ โดยใช้วธิ ี บริ หารจัดการ ทางการตลาด ด้วยวิธีจานา เพราะทราบดี วา่ “กลไกตลาดสิ นค้ าเกษตรไม่ มีความสมบูรณ์ ” มี วงจรราคาที่ผนั ผวนเพราะระหว่างต้นฤดูเมื่อเก็บเกี่ ยวราคาจะต่า และท้ายฤดูเมื่อไม่มีสินค้าราคา จะสู ง และที่ ส าคัญ คื อมี อานาจผูกขาดของพ่อค้าแฝงอยู่ และพร้ อมจะกดราคาสิ นค้า เกษตร ตลอดเวลา โดยเฉพาะในกรณีของการส่งออกข้าวขาวของไทย ซึ่ งจะได้กล่าวต่อไป ดัง นั้นรัฐบาลที่ ผ่านมาเกื อบทุก รัฐบาลจะด าเนิ นนโยบายยกระดับราคาสิ นค้า เกษตรโดยเข้าไปแทรกแซงกลไกตลาด ให้ทางานได้ดีข้ ึนและกระจายผลประโยชน์ให้กับทุก ฝ่ ายอย่างเที่ ยงธรรม ทั้งนี้ ก ารแทรกแซงตลาดที่ไม่ได้เป็ นตลาดแข่งขันสมบูรณ์ถือเป็ นหน้า ที่ โดยปรกติของรัฐบาลที่จะต้องเข้าไปกากับดูแล ลดการเอาเปรี ยบและสร้างความเป็ นธรรม ซึ่ งจะ ส่งผลดีกบั เศรษฐกิจของประเทศโดยรวมในที่สุด นอกจากนั้น การด าเนิ น การของรั ฐ ได้ท าตามนโยบายที่ ป ระกาศไว้ใ นการ คานึ งถึงราคาในตลาดโลก กลไกการซื้ อขายล่วงหน้า เพื่อผลักดันให้เกษตรกรขายสิ นค้าเกษตร “ในราคาที่สูงเพียงพอเมื่อเทียบกับต้นทุนการผลิต” การที่รัฐบาลกาหนดราคาจานาข้าวไว้ในนโยบายรัฐบาลแต่เพียงสิ นค้าเดียว (คือ ราคาข้าวเปลือกเจ้า และ ข้าวหอมมะลิที่ราคา ๑๕,๐๐๐ และ ๒๐,๐๐๐ บาท/เกวียน) นั้น เพราะ ทราบดีวา่ ชาวนาเป็ นเกษตรกรส่วนใหญ่ของประเทศ คือ มีจานวนประมาณ ๑๒ ล้านคน (๓.๗ ล้านครัวเรื อน) หากไม่สามารถยกระดับรายได้ของชาวนาได้ ก็ไม่สามารถบรรลุเป้ าหมายการลด ความเหลื่อมล้าของรายได้ และ ไม่สามารถสร้างกาลังซื้ อให้กบั เศรษฐกิจในประเทศได้ ซึ่ งจะทา ให้ประเทศไทยต้องพึ่งพาการส่ งออกของอุตสาหกรรมที่ต่างชาติ เป็ นเจ้าของตลอดไปและที่ สาคัญ ตัวเลขราคาจานาปรากฏอยู่ในเอกสารและคากล่าวในการหาเสี ยงของพรรคตลอดมา จึ ง


๙๕

เป็ นพันธะสัญญาและหน้าที่ที่หัวหน้ารัฐบาลที่มาจากการเลือกตั้งจะต้องทาตามที่ได้สัญญาไว้ กับประชาชน ข้ อ ๗. โครงการรับจานาข้ าวเป็ นการแก้ ปัญหากลไกตลาดข้ าวทีส่ มบูรณ์ไม่ เท่ ากันหากประสงค์ จะยกระดับสิ นค้ าเกษตรแล้ วรัฐบาลจึงมีหน้ าที่จัด ทานโยบายเพื่อไปแก้ ไข ปัญหากลไกตลาดข้ าวทีส่ มบูรณ์ไม่เท่ากัน จึงมิใช่กรณีเรื่ องทุจริ ตเชิงนโยบาย การศึกษาในแนว ลึ ก พบว่า ข้า วแต่ ล ะประเภทที่ ผ ลิ ต ในประเทศไทยมี อุป สงค์ อุ ป ทาน และกลไกตลาดไม่ เหมือนกัน ประเทศไทยมีตลาดข้าวทั้งหมด ๔ ตลาดซึ่ งแตกต่างกัน ๑. ตลาดข้า วเหนี ย ว มี ผ ลผลิต ที่ พ อเหมาะพอดี กับ ความต้อ งการในประเทศ รัฐบาลจึงมีบทบาทในการจานาน้อยมาก เพราะกลไกตลาดทางานได้ดีมากอยูแ่ ล้ว ๒. ตลาดข้าวหอมมะลิมีค วามต้องการมากทั้งในประเทศและต่างประเทศ เมื่ อ เทียบกับปริ มาณผลผลิตที่มีจากัด และไม่มีประเทศไหนผลิตแข่งขันได้ รัฐบาลจึ งไม่มีปัญหาใน การซื้ อเพื่อดึงราคาให้อยูใ่ นระดับที่เหมาะสม ๓.ตลาดข้าวขาวนาปี ผลผลิตที่ มีในประเทศใกล้เคี ยงกับความต้องการบริ โภค ภายในประเทศ และมีความต้องการของตลาดส่งออกทุกปี ๔.ตลาดที่มีปัญหาคือตลาดข้าวขาวนาปรังที่เป็ นข้าวคุณภาพไม่สูง ความต้องการ ในประเทศมีน้อยและมีตลาดส่ งออกจากัดเพียงไม่กี่ประเทศและมีการแข่งขันจากต่างประเทศ มาก (อินเดียและเวียดนาม) ทาให้ราคาไม่สูง ในชั้นนี้ จึงสรุ ปได้วา่ การศึกษาใดก็ตาม (สถาบันวิจยั เพื่อการพัฒนาประเทศไทย (TDRI))ที่นาไปสู่ นโยบายข้าวโดยที่ไม่แยกแยะประเภทของข้าว จึ งเป็ นการศึกษาที่ไม่สมบูรณ์ และขาดข้อเท็จจริ งเชิงในมิติที่สาคัญสนับสนุน จึงไม่ควรนาข้อสรุ ปของการศึกษาเหล่านั้นมาใช้ อ้างอิงในการกล่าวหาว่านโยบายจานาข้าวของรัฐบาลเป็ นไปโดยไม่สุจริ ตตามที่ ปปช. กล่าวหา ในประเด็นนีข้ ้ าพเจ้าในฐานะผู้ถูกกล่ าวหาขออ้ างสืบพยานบุคคลราย ดร.โอฬาร ไชยประวัติ เป็ นพยานบุคคลเพื่อสนับสนุนคาชี้แจงของข้ าพเจ้ าในฐานะเป็ นทีป่ รึกษาและจัดทา นโยบายโครงการรับจานาข้ าวให้ แก่ พรรคเพื่อไทยในการหาเสียงเลือกตั้ง เป็ นพยานบุคคลเพื่อ หักล้ างระบบการประกันความเสี่ยงด้ านราคาข้ าวทีค่ ณะกรรมการ ป.ป.ช. เสนอแนะให้ รัฐบาลนา ระบบการประกันความเสี่ยงด้ านราคาข้ าวมาใช้ เป็ นนโยบายของรัฐบาล ไม่ถูกต้ อง และไม่เป็ นไป ตามความประสงค์ ทจี่ ะทาให้ เกษตรกรมีรายได้ เพิ่มขึ้นแน่ นอนสร้ างอานาจการต่ อรองและเพิ่ม ทางเลือกให้ เกษตรกรยกระดับราคาข้ าวให้ สูงขึ้นทั้งระบบราคาส่ งออกข้ างไทยปรับตัวสู งขึน้ มี


๙๖

ประโยชน์ ต่อเศรษฐกิจโดยรวมเพื่อความกินดีอยู่ดีของพี่น้องชาวไทย และหักล้ างรายงานของ สถาบันวิจยั เพื่อการพัฒนาประเทศไทย (TDRI) ตามข้ ออ้ างและข้ อกล่ าวหาของนายนิพนธ์ พัว พงศกร และนายจิตรกร จารุพงษ์ ผู้จดั ทาผลการวิจยั ของสานักงาน ป.ป.ช. เรื่อง โครงการศึกษา มาตรการแทรกแซงตลาดข้ าวเพื่อป้ องกันการทุจริ ต : การแสวงหาค่ าตอบแทนส่ วนเกินและ เศรษฐศาสตร์ การเมืองของโครงการรับจานาข้ าวเปลือก พยานบุคคลในลาดับที่ ๖ ข้ อ ๘. ข้ อกล่ าวหาตามข้ อสั งเกตและข้ อเสนอแนะของหนังสื อกระทรวงการคลัง ลับ ด่ วนที่สุด กค ๐๒๐๑/ล๑๕๖๙ ลงวันที่ ๙ ตุลาคม ๒๕๕๕ โครงการรับจานาข้ าวเปลือกนาปี ๒๕๕๔/๒๕๕๕ ในข้ อที่ ๑ รัฐบาลมิได้ ละเลยและได้ ดาเนินการแล้ วดังนี้ เรื่อง ข้ อสั งเกตและ ข้ อเสนอแนะของหนังสือดังกล่ าวในข้ อที่ ๑ ภาระเชิงสั งคมที่สร้ างแรงกดดันทางการเมือง ทาให้ รัฐบาลอาจมีความจาเป็ นในการกาหนดราคาจานาในโครงการไม่ สอดคล้ องและสู งกว่ าราคาตลาด ซึ่ งมีความเสี่ ยงในการก่ อให้ เกิ ดภาระรายจ่ ายของรั ฐ และภาวะขาดทุน จานวนมากทั้งการ อุดหนุนเกษตรกร และค่าใช้ จ่ายอื่น ๆ เช่ น การสี แปรสภาพ การขนส่ ง กักเก็บ ข้ าวเสื่ อมคุณภาพ ขายข้ าวขาดทุน และข้ าวสู ญหายจากโกดัง เป็ นต้ น ขณะทีห่ ากรัฐบาลแก้ ปัญหาโดยลดราคาจานา ลงมาใกล้ เคียง หรือต่ากว่าราคาตลาด ก็อาจเกิดปัญหาการประท้ วงของเกษตรกร ดังนั้น ปริมาณ การรับจานาจึงเป็ นตัวจัก รสาคัญที่ไม่ ทาให้ ก ลไกของตลาดถูก แทรกแซงมากจนเกินไป โดย การกาหนดราคารับจานาควรให้ อยู่ในระดับทีม่ ีความเหมาะสมสอดคล้ องกับต้ นทุนการผลิตที่ เกษตรกรรับภาระอยู่ อันจะส่ งผลให้ ไม่ เป็ นการบิด เบือ นกลไกตลาดมากจนเกิน ไป และควร มุ่ ง เน้ น ช่ ว ยเหลือ เกษตรกรผู้ ป ลูก ข้ าวอย่ า งยั่งยืน โดยเฉพาะเทคนิค การท าการเกษตรที่มี ประสิทธิภาพ การเพิ่มผลผลิตต่ อไร่ คุณภาพวัตถุดิบ และการลดต้ นทุนการผลิตข้ าว ดัง ได้เรี ย นมาข้า งต้นว่าราคาจ านาข้าวของรั ฐบาลได้มีก ารศึก ษามาก่ อนมี การ เลือกตั้ง จึ งกาหนดเป็ นนโยบายของพรรค และเมื่อผ่านกระบวนยอมรับจากประชาชนโดยการ เลือกตั้ง จึ งได้นามาเป็ นนโยบายรัฐบาล โดย กาหนดในนโยบายให้ราคาข้าวหอมมะลิความชื้น ๑๕% อยู่ที่ ๒๐,๐๐๐ บาท/เกวียน และ ข้าวขาวความชื้น ๑๕% อยูท่ ี่ ๑๕,๐๐๐ บาท/เกวียน ซึ่ งมี ฐานการคานวนมาจากต้นทุนการผลิตของข้าวทั้ง ๒ ชนิดรวมกับค่าเสี ยโอกาสที่จะมาทานาปลูก ข้าวให้เรากิน กับการไปขายแรงงานในเมือง


๙๗

๑.ต้น ทุ น โดยเฉลี่ ย (ไม่ ร วมค่ า แรงตัว เอง) ของข้า วหอมมะลิ อ ยู่ที่ ป ระมาณ ๑๑,๖๒๓ บาท/เกวียน ซึ่ งราคาจานา เมื่อหักความชื้นจริ งอยู่ที่ ๑๙,๖๒๑ บาท/เกวียน ทาให้ได้ กาไรประมาณ ๘,๐๐๐ บาท/เกวียน หากครอบครัวหนึ่ งทานา ๒ คนในพื้นที่ ๑๕ ไร่ ทานาได้ปี ละครั้ง (ใช้เวลาทานา ๕ เดื อน) จะได้ผลผลิ ตประมาณ ๖ เกวีย น คิ ด เป็ นก าไรจากการท านา ๔๗,๙๘๘ บาท/ครอบครั ว/ปี หรื อ ๔,๗๙๙ บาท/คน/เดือน ซึ่ งน้อยกว่าค่าแรงขั้นต่า ๓๐๐ บาท/ วัน ๒.ต้น ทุนโดยเฉลี่ย(ไม่ร วมค่า แรงตัวเอง) ของข้าวขาวอยู่ที่ประมาณ ๘,๔๖๙ บาท/เกวีย น ซึ่ งราคาจ าน า เมื่ อ หั ก ความชื้ น จริ ง อยู่ที่ ๑๔,๖๐๐ บาท/เกวีย น ท าให้ ไ ด้ก าไร ประมาณ ๖,๑๓๑ บาท/เกวียน หากครอบครัวหนึ่ งทานา ๒ คนในพื้นที่ ๑๕ ไร่ ทานาได้ปีละ๒ ครั้ง(ใช้เวลาทานา ๑๒ เดือน) จะได้ผลผลิตประมาณ ๑๐.๕ เกวียน/ครั้ง คิดเป็ นกาไรจากการทา นา ๑๓๗,๑๕๑ บาท/ครอบครัว/ปี หรื อ ๕,๗๑๕ บาท/คน/เดือน ซึ่ งน้อยกว่าค่าแรงขั้นต่า ๓๐๐ บาท/วัน ดังนั้น การก าหนดราคาจานาจึ งได้ค านึ งถึงต้นทุนการผลิตข้าวของชาวนาเป็ น สาคัญ รัฐบาลต้องคานึ งถึงการทาให้ชาวนาได้ผลตอบแทนที่ เหมาะสมเพื่อ- ไม่ต้องทิ้ งนาไป ทางานในเมือง และหากไม่ใช้นโยบายนี้ชาวนาจะได้ผลตอบแทนสุทธิ ต่ากว่าค่าจ้างแรงงานขั้น ต่าในเมื องมาก ดังเช่นที่ได้แสดงตัวเลขไว้ในส่ วนที่ช้ ี แจงว่า “ทาไมต้องกาหนดราคารับจานา สูง” นอกจากนี้ การกระจายรายได้ที่ไม่เป็ นธรรมระหว่างชาวนา โรงสี และพ่อค้า ในช่วงก่อนหน้าที่รัฐบาลจะเข้ามาก็เป็ นอีกเหตุผลหนึ่งที่สนับสนุนให้รัฐบาลมีความมัน่ ใจว่า นโยบายรับจานาข้าวจะเป็ นประโยชน์ต่อชาวนาอย่างแท้จริ ง ดังจะเห็นได้วา่ ในช่วงที่รัฐบาลเข้า รับจานาข้าวฤดูการผลิตข้าวนาปี ๒๕๕๔/๕๕ นั้นราคาข้าวสารในตลาดภายในประเทศก็ไม่ได้ สูงไปกว่าราคาข้าวสารที่ขายในประเทศที่รัฐบาลก่อนหน้าดาเนินนโยบายประกันรายได้แม้วา่ ราคาข้าวเปลือกในช่วงรับจานาจะสูงกว่าราคาข้าวเปลือกในช่วงประกันรายได้ก็ตามซึ่ งแสดงให้ เห็นว่าผูข้ ายปลีกข้าวสารในประเทศนั้นมีกาไรส่วนเกินเป็ นจานวนมากในช่วงประกันรายได้ใน ขณะที่ชาวนามีรายได้นอ้ ย แต่เมื่อเปลี่ยนมาเป็ นนโยบายจานา กาไรส่วนเกินของผูข้ ายปลีก


๙๘

ข้าวสารในประเทศได้ถกู ถ่ายโอนมาให้กบั ชาวนาผ่านการกาหนดราคารับจานาที่สูงขึ้นโดย นโยบายรัฐบาล กล่าวคือ ในปี ๒๕๕๒/๕๓ และ ๒๕๕๓/๕๔ ราคาประกันรายได้ขา้ วเปลือกหอมมะลิ ความชื้น ๑๕% อยู่ที่ ๑๕,๐๐๐ บาท/เกวียน ในขณะที่ ราคาข้าวสารหอมมะลิ ราคาขายปลีก ใน ประเทศ อยู่ที่ ๑๘๐ - ๒๐๐ บาท/ถุง ๕ กก. เมื่อเทียบกับปี ๒๕๕๔/๕๕ และ ๒๕๕๕/๕๖ ราคา รับจานาข้าวเปลือกหอมมะลิความชื้น ๑๕% อยูท่ ี่ ๒๐,๐๐๐/เกวียน ในขณะที่ราคาข้าวสารหอม มะลิ ราคาขายปลีกในประเทศ อยูท่ ี่ ๑๘๐ - ๒๐๐ บาท/ถุง ๕ กก. เช่นเดียวกัน ในปี ๒๕๕๒/๕๓ และ ๒๕๕๓/๕๔ ราคาประกันรายได้ขา้ วเปลือกเจ้าขาว ความชื้น ๑๕% อยูท่ ี่ ๑๐,๐๐๐ - ๑๒,๐๐๐ บาท/เกวียน ในขณะที่ราคาขายปลีกข้าวสารเจ้าขาวใน ประเทศ อยู่ที่ ๑๐๐ - ๑๒๐ บาท/ถุง ๕ กก. เมื่อเทียบกับปี ๒๕๕๔/๕๕ และ ๒๕๕๕/๕๖ ราคา รับจานาข้าวเปลือกเจ้าขาวความชื้น ๑๕% อยูท่ ี่ ๑๕,๐๐๐/เกวียน ในขณะที่ราคาขายปลีกข้าวสาร เจ้าขาวในประเทศ อยูท่ ี่ ๑๐๐ - ๑๒๐ บาท/ถุง ๕ กก. เช่นเดียวกัน ส่วนในเรื่ องการช่วยเหลือเกษตรกรให้ปลูกข้าวอย่างยัง่ ยืน การทาการเกษตรที่มี ประสิ ทธิ ภ าพ การเพิ่มผลผลิตต่อไร่ และคุณภาพวัตถุดิบ และการลดต้นทุนการผลิตข้าว นั้น กระทรวงเกษตรได้ช้ ีแจงมายัง คณะกรรมการ ป.ป.ช. โดยไม่ได้ ละเลยต่ อข้ อเสนอแนะ “... ๑.๑ การเพิ่มประสิ ทธิภาพการผลิตข้าว ๑.ส่งเสริ มการผลิตข้าวให้ได้มาตรฐานตามข้อกาหนดการปฏิบตั ิทางการเกษตรที่ ดีสาหรับข้าว (Good Agricultural Practice for Rice; GAP) เพื่อให้การผลิตมีประสิ ทธิภาพได้ผล ผลิตที่มีคุณภาพได้มาตรฐานสากลปลอดภัย ๒.พัฒนาระบบการผลิตและกระจายเมล็ดพันธ์ดีให้เกษตรกรอย่างทัว่ ถึง โดยการ จัดตั้งศูนย์ขา้ วชุมชนเพื่อให้เป็ นแหล่งผลิตเมล็ดพันธุ์ดีให้กบั ชาวนาในชุมชนอย่างเพียงพอ โดย กรมการข้าวจะเข้าไปให้คาแนะนาและให้การรับรอง (Certified เมล็ดพันธุ์) ๓.การจัดระบบการปลูกข้าวใหม่โดยให้เกษตรกรทานาไม่เกิ นปี ละ ๒ ครั้ง และ ในช่วงระหว่างพักนาจะส่ งเสริ มในมีการปลูกพืชที่ ใช้น้ าน้อยและตลาดต้องการหรื อปลูก พืช บารุ งดินเพื่อตัดวงจรระบาดของโรคแมลงศัตรู พืช ๔.พัฒนาระบบเตือนภัยธรรมชาติและเพิ่มขีดความสามารถในการป้ องกัน กาจัด ความรุ นแรงของการระบาดศัตรู ขา้ ว ลดความเสี่ ยงและความเสี ยหายจากโรคแมลงศัตรู พืชและ ภัยธรรมชาติต่างๆ


๙๙

๕.พัฒนาโครงสร้างพื้นฐาน ขยายพื้นที่และปรับปรุ งระบบชลประทาน บริ ห าร จัดการน้ าอย่างบูรณาการ การจัดรู ปที่ดินและการปรับปรุ งฟื้ นฟูความอุดมสมบูรณ์ของดิน ให้ ครอบคลุมพื้นที่ปลูกข้าวที่สาคัญ การฟื้ นฟูอนุรักษ์ดิน ๖.การวิจัยและพัฒ นา โดยมุ่งเน้นการวิจัยพันธ์ที่ให้ผลผลิตสู ง ต้านทานต่อโรค แมลง วิจัยพัฒนาเทคโนโลยีการผลิตให้เหมาะสมกับสภาพแต่ละท้องถิ่นและสภาวะภูมิอากาศ ของโลกที่เปลี่ยนแปลงไป (Climate change) จะมีการจัดตั้งสถาบันวิจัยข้าวแห่ งชาติ เพื่อให้เป็ น ศูนย์กลางวิจยั และพัฒนาข้าวที่ครบวงจรตั้งแต่การผลิตไปจนถึงการเก็บเกี่ยว หลังการเก็บเกี่ ยว และการแปรรู ปเป็ นผลิตภัณฑ์ รวมทั้งเป็ นศูนย์กลางในการฝึ กอบรมถ่ายทอดความรู้ให้กบั นักวิชาการด้านข้าวและชาวนา” ในส่วนของการลดต้นทุนการผลิตข้าว นั้น กระทรวงเกษตรได้ช้ ีแจงเพิม่ เติม โดย มีสาระสาคัญดังนี้ “... ๑.๒ การลดต้นทุนการผลิต ได้กาหนดไว้ ๒ มาตรการ ได้แก่ ๑.ด้ านปัจจัยการผลิต ได้แก่ ด้านปุ๋ ย เช่นการส่ งเสริ มปุ๋ ยอินทรี ย ์ ปุ๋ ยชีวภาพและปุ๋ ย สด ส่งเสริ มการใช้ปุ๋ยตามค่าการวิเคราะห์ดิน ส่งเสริ มเกษตรผสมปุ๋ ยใช้เอง ด้านเมล็ดพันธุ์ เช่น การผลิตและกระจายพันธุ์ดีให้เพียงพอ คุณภาพของเมล็ดพันธุ์ และด้านเครื่ องจักรกลเกษตร เช่น การส่งเสริ มเทคโนโลยีที่เหมาะสม ๒.ด้ านกระบวนการผลิต ได้แก่ การใช้เทคโนโลยีที่เหมาะสมทุกขั้นตอนของการ ผลิต การจัดเก็บข้อมูลต้นทุนการผลิต การบูรณาการการทางานร่ วมกันทุกหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง” จึงจะเห็ นได้ ว่า รั ฐบาลเข้ าใจและมิได้ ล ะเลยข้ อ คิด เห็น และข้ อ เสนอแนะของ คณะอนุ ก รรมการฯ ที่ คณะกรรมการ ปปช.ได้ อ้ างถึงในบั น ทึก การแจ้ งข้ อ กล่ าวหาในเรื่ อ ง ดังกล่ าวดังจะเห็นได้ จากการที่คณะกรรมการนโยบายข้ าวแห่ งชาติ (กขช.) มีมติเมื่อวันที่ ๑๓ มิถุนายน ๒๕๕๖ ว่ าได้ มกี ารมอบหมายให้ กรรมการในคณะกรรมการนโยบายข้าวแห่งชาติ ทุก ท่านนาผลการดาเนิ นการและข้อเสนอแนะจากคณะอนุกรรมการฯ ปิ ดบัญชีโครงการรับจานา ข้าว และเอกสารที่เลขานุการ กขช. จัดทาเกี่ยวกับผลตอบแทนจากการดาเนินงานโครงการรับจา นาข้าวที่ พิ จ ารณาทั้ง เชิ ง เศรษฐกิ จ และสั ง คมผลประโยชน์ท้ ัง ทางตรงและทางอ้อมกลับไป พิจารณาเพื่อวิเคราะห์และเสนอข้อคิดเห็นว่าในการดาเนิ นการรับจานาข้าวในครั้งต่อไปควรจะ ปรับเปลี่ยนมาตรการอย่างไรเช่นกาหนดปริ มาณราคาและระยะเวลารับจานาให้สอดคล้องกับ ข้อมูลสถานการณ์การผลิตที่มีการเปลี่ยนแปลงและสอดคล้องกับราคาตลาดโลกเพื่อนาเสนอ


๑๐๐

คณะกรรมการนโยบายข้าวแห่ งชาติ (กขช.) พิจารณาในครั้งต่อไปก่อนนาเสนอคณะรัฐมนตรี พิจารณาต่อไป กรมการค้าต่างประเทศศึกษาและวิเคราะห์เพื่อเพิ่มช่องทางวิธีการจาหน่ายข้าวตาม โครงการรั บจ านาโดยขอให้ ก าหนดรายละเอีย ดขั้น ตอนและเงื่อนไขต่า งๆเพิ่มเติ ม จากช่อ ง ทางการจาหน่ายตามยุทธศาสตร์ การระบายข้าวเดิมที่มีอยู่เพื่อให้การระบายข้าวในสต็อกของ รัฐบาลรวดเร็ วขึ้นสามารถเข้าถึงตลาดได้กว้างขวางเพิ่มมากขึ้นเพื่อจะได้นาเงินจากการระบาย ข้าวส่งคืนธนาคารเพื่อการเกษตรและสหกรณ์การเกษตรได้รวดเร็วขึ้น องค์การคลังสิ นค้าและองค์การตลาดเพื่อเกษตรกรตรวจสอบและจัดทาข้อมูล โครงการรับจานาข้าวเปลือกนาปี ปี การผลิต ๒๕๕๔/๕๕ โครงการรับจานาข้าวเปลือกนาปรังปี ๒๕๕๕ และโครงการรับจานาข้า วเปลือกปี การผลิต ๒๕๕๕/๕๖ ครั้ง ที่ ๑ (นาปี ) ตัด ยอด ณ วัน ที่ ๓ ๑ มก ราคม ๒ ๕ ๕ ๖ ให้ ครบถ้ ว นและถู ก ต้ อ งและจั ด ส่ งให้ ฝ่ ายเลขานุ ก าร คณะอนุกรรมการปิ ดบัญชีโครงการรับจานาข้าวเปลือกตามนโยบายรัฐบาลและฝ่ ายเลขานุการ กขช. โดยด่วนเพื่อนาไปพิจารณาปรับข้อมูลการปิ ดบัญชีให้ถกู ต้องตามความเป็ นจริ งต่อไป ข้ อ ๙. ข้ อกล่ าวหาตามข้ อสั งเกตและข้ อเสนอแนะของหนังสื อกระทรวงการคลัง ลับ ด่ วนที่สุด กค ๐๒๐๑/ล๑๕๖๙ ลงวันที่ ๙ ตุลาคม ๒๕๕๕ โครงการรับจานาข้ าวเปลือกนาปี ๒๕๕๔/๒๕๕๕ ในข้ อที่ ๒ เรื่องการรับจานาในราคาสู งและไม่ จากัดปริมาณ เป็ นแรงกระตุ้นให้ เกษตรกรเพิ่มรอบการผลิตมากขึน้ จาก ๕ ครั้งใน ๒ ปี เป็ น ๗ ครั้งใน ๒ ปี ส่ งผลให้ ปริมาณข้ าว ในระบบเพิ่ ม สู ง ขึ้ น ขณะที่ คุ ณ ภาพข้ า วด้ อยลง แต่ สร้ า งภาระรั ฐ บาลในการจัด สรรเงิ น งบประมาณสาหรับโครงการจานาข้ าวในรอบปี ผลิตนั้น ๆ และปี ต่ อ ๆ ไป เพิ่มสู งขึ้นนั้นรัฐบาล ได้ มมี าตรการแก้ ไขดังนี้ ในเรื่ องการเพาะปลูก ข้า วนาปรังหลายครั้ งนั้น กระทรวงเกษตรได้ช้ ีแจงมายัง คณะกรรมการ ป.ป.ช. กล่า วคื อ ในการด าเนิ น การยกระดับ ราคาข้า วนั้น กระทรวงเกษตรมี มาตรการ “...(๓) การจัดระบบข้าวปลูกใหม่ โดยให้เกษตรกรทานาปี ละไม่เกิน ๒ ครั้ง และ ในระหว่างที่พกั นาจะส่งเสริ มให้มีการปลูกพืชที่ใช้น้ าน้อยและตลาดต้องการ หรื อปลูกพืชที่ใช้ น้ าน้อยและตลาดต้องการ หรื อปลูกพืชบารุ งดินเพื่อตัดวงจรระบาดของโรคแมลงศัตรู พืช”


๑๐๑

ในขณะเดียวกันรัฐบาลก็ได้ เร่ งรัดการทาโซนนิ่ง (Zoning) ให้ เป็ นนโยบายหลักใน การแก้ ปั ญ หาเกษตรกรระยะยาว ในระยะเริ่ ม ต้น โดยมอบหมายให้ ก ระทรวงเกษตรฯ ดาเนิ นการที่จะลดการปลูกข้าวนาปรัง และลดการปลูกข้าวในพื้นที่ที่ไม่เหมาะสมในการปลูก ข้า ว โดยเปลี่ ย นไปปลูก พืช อย่า งอื่น เพื่ อยกระดับ รายได้ เช่ น อ้อ ย ดัง จะเห็ น ได้จ ากการที่ คณะกรรมการนโยบายข้า วแห่ ง ชาติ (กขช.) มี ม ติ เมื่ อ วัน ที่ ๑ กรกฎาคม ๒๕๕๖ เห็ น ชอบ แนวทางการเพิ่มประสิ ทธิ ภ าพการเพาะปลูกข้าวเพื่อลดต้นทุนการผลิตข้าวและเพิ่มรายได้ให้ ชาวนา (Zoning) ซึ่ งได้กาหนดเขตความเหมาะสมมากจานวน ๑๗.๓๔๖ ล้านไร่ และเหมาะสม ปานกลางจ าวน ๒๖.๕๗๒ ล้านไร่ ร วมทั้งประเทศ ๔๓.๙๑๘ ล้านไร่ รวมถึง การบู ร ณาการ ร่ ว มกัน ระหว่า งกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ ก ระทรวงอุต สาหกรรมกระทรวงพลัง งาน กระทรวงมหาดไทยและผูป้ ระกอบการเพื่อร่ วมดาเนิ นการขับเคลื่อนในทุกๆด้านผ่านมาตรการ จู งใจเพื่ อให้เกษตรกรได้ใช้พิจ ารณาตัด สิ นใจปรั บเปลี่ย นการเพาะปลูก เพื่ อเพิ่ มรายได้ข อง เกษตรกรตามความต้องการของตนเอง นอกจากนี้ ตามมติ ค ณะรัฐมนตรี เมื่ อวันที่ ๑๙ มิ ถุนายน ๒๕๕๖ ตามที่ สานัก เลขาธิการคณะรัฐมนตรี แจ้งต่อรัฐมนตรี วา่ การกระทรวงพาณิชย์ เมื่อวันที่ ๒๑ มิถนุ ายน ๒๕๕๖ คณะรั ฐมนตรี ได้ป ระชุ มปรึ ก ษา เมื่ อวันที่ ๑๙ มิ ถุน ายน ๒๕๕๖ ลงมติ ว่า “ รับ ทราบตามที่ เลขาธิ การคณะกรรมการกฤษฎีกาชี้แจงว่า ตามนโยบายของรัฐบาลที่ได้แถลงไว้ต่อรัฐสภามีท้ งั นโยบายเร่ งด่ วนที่ จ ะเริ่ ม ด าเนิ นการในปี แรก และนโยบายที่ จ ะด าเนิ น การใน ๔ ปี เพื่ อเพิ่ ม ประสิ ทธิ ภาพการผลิตสร้างความเข้มแข็งให้แก่เกษตรกร ซึ่ งการรับจานาข้าวเปลือกในราคาที่ กาหนดได้ดาเนินการแล้ว ส่ ว นข้อ เสนอของคณะกรรมการนโยบายข้า วแห่ ง ชาติ ที่ มี ก ารดู แ ลรายได้ เกษตรกรให้ยงั คงมีก าไรที่ เหมาะสม โดยสอดคล้องกับวินัยการเงินการคลัง และรัฐบาลได้มี มาตรการอื่นในการยกระดับรายได้และให้เพิ่มคุณภาพชีวิตให้แก่เกษตรกร เช่น การจัด zoning ภาคการเกษตร เพื่อกาหนดพื้นที่ในการผลิตพืชผลทางการเกษตรให้เหมาะสมและส่งเสริ มการ วิจัยพันธุ์ขา้ วเพื่อพัฒนาคุณภาพของข้าว รวมทั้งการวิจัยเพื่อสร้างมูลค่าเพิ่มให้แก่ผลผลิตและ ผลิตภัณฑ์ที่มาจากข้า วให้สู งขึ้ นในระยะยาว จึ งเป็ นการด าเนิ นการตามนโยบายของรั ฐบาล ครบถ้ว นแล้ว ทั้ง นี้ มอบหมายให้ ร องนายกรั ฐ มนตรี (นายกิ ต ติ รั ต น์ ณ ระนอง) ร่ ว มกั บ หน่วยงานที่เกี่ยวข้องรับไปกาหนดมาตรการยกระดับราคาสิ นค้าเกษตรและพืชพลังงาน โดยให้


๑๐๒

คานึงถึงนโยบายเกี่ยวกับการเงินการคลังของประเทศด้วย ซึ่ งปรากฏตามพยานเอกสารในลาดับ ที่ ๔๒ ข้ อ ๑๐.โครงการรับจานาข้ าวมิใช่ โครงการที่บิดเบือ นกลไกการตลาดจนเกินไป ตามข้ อสั งเกตและข้ อ เสนอแนะของหนังสื อกระทรวงการคลัง ลับ ด่ วนที่สุด ที่ กค ๐๒๐๑/ล๑ ๕๖๙ ลงวันที่ ๙ ตุลาคม ๒๕๕๕ ว่าโครงการรับจาข้ าวเปลือกนาปี ๒๕๕๔/๒๕๕๕ มีผลขาดทุน สุ ทธิ ๓๒,๓๐๑.๐๐ ล้ านบาท ในข้ อ ๓ ของข้ อสังเกตและข้ อเสนอแนะว่า “รัฐบาลกลายเป็ นผู้ค้า ข้ าวรายใหญ่ ซึ่ ง ผลกระทบที่ ต ามมา คื อ เกิ ด การบิ ด เบื อ นราคาตลาด ตลาดข้ า วเอกชน โดยเฉพาะตลาดกลางข้ า วเปลือ กถู ก ทาลาย โรงสี แ ละผู้ ส่ ง ออกนอกโครงการไม่ ส ามารถ จัด หาซื้อ ข้ าวได้ เพียงพอ โรงสีในโครงการและผู้ส่งออกที่ชนะการประมูลข้ าว จะมีการค้ าขายที่ มีข้ อ ได้ เปรี ย บโรงสี แ ละผู้ ส่ งออกนอกโครงการ ตลอดจนราคาข้ าวไทยแพงกว่ าคู่ แ ข่ ง ใน ต่ างประเทศ ทาให้ ประเทศไทยสู ญเสียตลาดส่ งออกทีส่ าคัญ” ดังที่ขา้ พเจ้าได้เรี ยนมาตั้งแต่ตน้ ว่า กลไกตลาดสิ นค้าเกษตรโดยเฉพาะตลาดข้าว มีค วามสมบูร ณ์ข องตลาดไม่เท่ากัน กรณี ข ้าวหอมมะลิที่มีผูซ้ ้ื อผูข้ ายจานวนมากและมี ค วาม ต้องการสูง กลไกตลาดทางานได้ดีโดยชาวนาและพ่อค้าเอกชนซื้ อขายกันเองครึ่ งหนึ่ง รัฐบาลรับ จานาเพียงครึ่ งหนึ่งของผลผลิตในแต่ละปี เท่านั้น ดังนั้น บทบาทของรัฐบาลในการรับจานาข้าวจึ งเป็ นการช่วยให้กลไกตลาดต้น ฤดูที่มีผลผลิตมากให้มีราคาที่เหมาะสม และขายออกให้กับเอกชนทุกรายที่มาประมูลข้าวหอม มะลิไม่ เลื อกว่า เอกชนรายนั้น จะอยู่ในโครงการหรื อนอกโครงการ และในจานวนที่ เห็ น ว่า เอกชนและตลาดมีความต้องการ ในทางปฏิบตั ิเมื่อเอกชนต้องการข้าวหอมมะลิเพื่อไปขายใน ประเทศหรื อเพื่อส่ งออก ก็สามารถติดต่อมายังกระทรวงพาณิ ชย์เพื่อขอซื้ อข้าวได้อยูแ่ ล้ว ซึ่ งเป็ น การดาเนินการโดยปรกติของตลาดข้าวหอมมะลิที่มีการแข่งขันอย่างสมบูรณ์ กรณีขา้ วเจ้าขาวนาปรัง รัฐบาลมีส่วนในการซื้ อข้าวขาวนาปรังมาก เพราะต้อง มีการปรับกลไกให้เหมาะสม ไม่มีความต้องการในประเทศ ประเทศไทยต้องส่ งออกเป็ นส่ วน ใหญ่ ห รื อเกื อ บทั้งหมด อีก ทั้ง กลไกตลาดไม่ส มบูร ณ์ เพราะมี ผูส้ ่ งออกรายใหญ่ อ ยู่จ านวน ประมาณไม่เกิ น ๑๐ ราย และมีประเทศผูซ้ ้ื อข้าวเจ้าขาวคุณภาพต่าไม่เกิ น ๑๐ ประเทศซึ่ งส่ วน ใหญ่เป็ นรัฐบาลหรื อรัฐวิสาหกิจเป็ นผูน้ าเข้า ซึ่ งหากรัฐบาลปล่อยให้เป็ นไปตามกลไกตลาดโดย ไม่เข้าไปบริ หารจัดการ ราคาข้าวก็จะถูกกดให้ต่าเพราะมีผซู้ ้ื อจานวนน้อยรายและมีอานาจตลาด เหนือชาวนามาก ซึ่ งมีผลให้ชาวนามีรายได้นอ้ ยลงมากอย่างไม่เป็ นธรรม


๑๐๓

การที่รัฐบาลเข้าไปรับจานาจึงทาเพื่อยกระดับรายได้ของชาวนาเป็ นสาคัญ แต่ก็ ยังเปิ ดโอกาสให้ผสู้ ่ งออกข้าวเจ้าขาวคุณภาพต่ารายใหญ่สามารถเข้ามาประมูลซื้ อข้าวจากสต็อก รัฐบาลได้ตลอดเวลา เมื่อพ่อค้าเอกชนไม่ตอ้ งการแล้วจึ งเก็บข้าวนี้ ไว้ในสต็อกเพื่อเป็ นสต็อก สารองทางยุทธศาสตร์ สาหรับปี ต่อๆไป อีกทั้งรัฐบาลก็มิได้ละเลยที่จะแก้ปัญหาระยะยาว ด้วย การทาโซนนิ่ง การลดพื้นที่เพาะปลูก และการกาหนดคุณภาพ และ ปริ มาณของข้าวขาวนาปรังที่ จะเข้ามาในโครงการ ดังได้ช้ ีแจงว่า ในสมัยที่ รัฐบาลในอดีตมีนโยบายประกันรายได้ ผูป้ ระกอบการ ส่งออกข้าวเจ้าขาวคุณภาพต่ารายใหญ่เหล่านี้ สามารถซื้ อข้าวเปลือกเจ้านาปรังจากชาวนาได้ใน ราคาถูก อีกทั้งสามารถเข้าไปซื้ อข้าวในสต็อกรัฐบาลก่อนได้ในราคาถูกโดยไม่มีการประมูลเป็ น จ านวนประมาณ ๓.๔ ล้า นตัน ข้า วสาร ทาให้ ส ามารถส่ ง ออกข้า วสารเจ้า และข้าวนึ่ ง ไปยัง ประเทศคู่ ค ้า ประจ าได้เป็ นปริ มาณสู ง ถึง ๙.๒ ล้า นตัน ในช่ วงตุ ลาคม ๒๕๕๓ – กัน ยายน ๒๕๕๔ ซึ่ งขายได้ในราคาที่ต่ากว่าปี ก่อนหน้ามาก ในขณะที่ขา้ วสารขายปลีกในประเทศไม่ได้ ต่าลง ราคาข้าวเจ้าขาวคุณภาพต่าส่ งออกของไทยในช่วงนี้ จึงไม่ควรถูกนามาเป็ นมาตรฐานของ ราคาข้าวเจ้าขาวส่ งออกของประเทศไทยสาหรับปี ถัดไป เพราะเป็ นการสนับสนุนผูบ้ ริ โภคใน ต่างประเทศ ด้วยการนาข้าวไทยซึ่ งควรมีราคาดี ไปตัดราคาคู่แข่งที่มีคุณภาพด้อยกว่า เมื่อรัฐบาลข้าพเจ้าเข้ามาบริ หารประเทศ เกิ ดอุทกภัยครั้งใหญ่ในช่วงตุลาคม – พฤศจิ ก ายน ๒๕๕๔ ราคาข้า วขาวคุ ณภาพต่ า ส่ ง ออกของไทยก็เพิ่ มขึ้ น จากประมาณ ๔๘๐ เหรี ยญสหรัฐ/ตันในเดือนพฤษภาคม ๒๕๕๔ เป็ นประมาณ ๕๘๐ เหรี ยญสหรัฐ/ตันในช่วงที่ รัฐบาลยิ่งลักษณ์บริ หารประเทศปี แรก (ตุลาคม ๒๕๕๔ – กันยายน ๒๕๕๕) มีการกล่าวอ้างอยู่เสมอว่า “การจานาข้าวทาให้ราคาข้าวแพงกว่าคู่แข่งในตลาด ต่า งประเทศและทาให้ประเทศไทยสู ญ เสี ย ตลาดส่ งออกส าคัญ ” เรื่ องนี้ เป็ นความเข้า ใจผิด ที่ ก่อให้เกิ ดผลเสี ยกับประเทศเป็ นอย่างมาก ทั้งนี้ เพราะการที่ ประเทศไทยขายข้าวได้ราคาแพง เป็ นสิ่ งที่ดีกบั ประเทศ เพราะข้าวทุกเมล็ดใช้ที่ดินของไทย ใช้น้ าของไทย ใช้ชาวนาไทย เมื่อขาย ได้ราคาประเทศก็ได้ประโยชน์ ไม่สมควรเป็ นอย่างยิ่งที่ประเทศไทยจะขายข้าวของไทยในราคา ถูกและให้การอุดหุนผูน้ าเข้าข้าวของไทย ข้อเท็จจริ งปรากฏว่า ในระหว่างเดือนตุลาคม ๒๕๕๔ – กันยายน ๒๕๕๕ ซึ่ ง เป็ นช่วงของรัฐบาลข้าพเจ้าประเทศไทยส่งออกข้าว ๖.๗ ล้านตัน ได้เป็ นมูลค่า ๑๔๓,๓๑๗ ล้าน บาท ในราคาเฉลี่ย (ข้าวหอมมะลิ ข้าวเหนี ยว ข้าวขาว) ๒๑,๔๐๓ บาท/ตัน หรื อ ๖๘๖ เหรี ยญ


๑๐๔

สหรัฐต่อตัน เที ยบกับราคาเฉลี่ย ๑๗,๕๖๕ บาท/ตัน หรื อ ๕๘๓ เหรี ยญสหรัฐต่อตัน ในช่วง เดือนตุลาคม ๒๕๕๓ – กันยายน ๒๕๕๔ ซึ่ งใช้วิธีประกันรายได้ แสดงให้เห็นว่า การส่ งออก เกื อบ ๗ ล้านตันเป็ นการส่ งออกในปี ปรกติ มิ ได้มีขอ้ สนับสนุนว่าเสี ยตลาดส่ งออกแต่อย่างใด ทั้งๆที่ในช่วงเวลาดังกล่าว มีเหตุการณ์ไม่ได้คาดมาก่อน ๒ เหตุการณ์ คือ เป็ นครั้งแรกในรอบหลายปี ที่รัฐบาลอินเดียอนุญ าตให้มีการส่ งออกข้าวเจ้าขาว คุณภาพต่าเพื่อระบายสต็อกออกถึง ๕ ล้านตัน จึ งทาให้ปริ มาณส่งออกข้าวสารเจ้าขาวของไทย ลดลงเหลือ ๔.๕ ล้านตัน ประเทศผูน้ าเข้าข้าวเจ้าขาวคุณภาพต่าที่สาคัญบางประเทศ เช่น อินโดนี เซี ยและ บังคลาเทศ ก็ลดปริ มาณการนาเข้าข้าวในปี นั้นลงอย่างมาก กล่าวคือ อินโดนี เซี ย ลดลงจาก ๓.๑ ล้านตัน ในปี ๒๕๕๔ เป็ น ๑.๙๖ ล้านตัน ในปี ๒๕๕๕ บังคลาเทศ ลดลงจาก ๑.๔๘ ล้านตันใน ปี ๒๕๕๔ เป็ น ๐.๐๓ ล้านตัน ในปี ๒๕๕๕) ซึ่ ง เหตุก ารณ์ ท้ งั ๒ เป็ นเหตุการณ์ชั่วคราวที่ ทาให้ตลาดส่ ง ออกข้า วของไทยมี ข้อจากัด แต่ประเทศไทยก็ยงั สามารถส่ งออกข้าวได้ ในทั้งสิ้ น เกื อบ ๗ ล้านตัน และได้ร าคา ส่ ง ออกที่ ดี ก ว่า ในช่วงประกัน รายได้ที่ผู้ส่ ง ออกข้า วขาวคุณ ภาพต่ า ของไทยไม่เกิ น ๑๐ ราย สามารถซื้ อข้าวขาวได้ราคาถูกและไปตัดราคาส่งออกในตลาดที่มีกาลังซื้ อน้อย สิ่ งที่ประเทศไทยได้จากนโยบายประกันรายได้ดงั กล่าว คือ ปริ มาณส่ งออกสู ง ราคาส่ งออกถูก ผูบ้ ริ โภคข้าวไทยในต่างประเทศซื้ อข้าวได้ถูก กว่าที่ค วรจะเป็ น เห็ นได้อย่า ง ชัดเจนว่า นโยบายจานาข้าวทาให้ผสู้ ่ งออกต้องทางานหนักมากขึ้ นเพราะต้องมุ่งหาตลาดข้าว คุณภาพ เพื่อให้ขายข้าวไทยได้ในราคาที่สูง ไม่ใช่มุ่งเน้นเฉพาะปริ มาณส่งออก ปริมาณและมูลค่าการส่ งออกข้ าวสารของไทย ๒ ช่ วงเวลา (ต.ค. ๒๕๕๓ – ก.ย. ๒๕๕๔ และ ต.ค. ๒๕๕๔ - ก.ย. ๒๕๕๕) ฤดูการผลิต ต.ค. ๒๕๕๓ - ก.ย. ๒๕๕๔ เป็ นช่วงเวลาประกันรายได้ของรัฐบาลที่แล้ว ปริมาณส่งออก (ตัน) ข ้าวขาว ข ้าวเหนียว ข ้าวหอมมะลิ รวม

มูลค่าส่งออก (บาท)

ราคาเฉลีย ่ บาท/ตัน USD/ตัน

๙,๓๒๖,๙๔๒

๑๔๔,๗๒๑,๖๔๕,๖๒๓ ๑๕,๕๑๗

๕๑๓.๑๗

๒๕๗,๘๓๖

๖,๑๓๘,๔๒๙,๗๒๖ ๒๓,๘๐๗

๗๘๗.๓๗

๒,๕๔๐,๕๔๑

๖๓,๒๓๐,๓๐๔,๓๖๗ ๒๔,๘๘๙

๘๒๓.๑๒

๑๒,๑๒๕,๓๑๙

๒๑๔,๐๙๐,๓๗๙,๗๑๖ ๑๗,๖๕๖

๕๘๓.๙๔


๑๐๕

หมายเหตุ : ณ อัตราแลกเปลี่ยน ๓๐.๒๔ บาทต่อเหรี ยญสหรัฐ ที่มา : สมาคมผูส้ ่งออกข้าวไทย ฤดูการผลิต ต.ค. ๒๕๕๔ - ก.ย. ๒๕๕๕ เป็ นช่วงเวลาจานาของรัฐบาลยิง่ ลักษณ์ ปริมาณส่งออก (ตัน) ข ้าวขาว ข ้าวเหนียว ข ้าวหอมมะลิ รวม

มูลค่าส่งออก (ล ้านบาท)

ราคาเฉลีย ่ บาท/ตัน USD/ตัน

๔,๕๙๑,๕๑๖

๘๑,๒๖๑,๐๐๖,๖๙๑ ๑๗,๖๙๘

๕๖๗.๗๙

๒๑๑,๘๖๘

๕,๔๐๑,๕๓๙,๑๑๔ ๒๕,๔๙๕

๘๑๗.๙๒

๑,๘๙๒,๗๕๘

๕๖,๖๕๔,๔๕๙,๕๐๔ ๒๙,๙๓๒

๙๖๐.๒๘

๖,๖๙๖,๑๔๒

๑๔๓,๓๑๗,๐๐๕,๓๐๙ ๒๑,๔๐๓

๖๘๖.๖๔

หมายเหตุ : ณ อัตราแลกเปลี่ยน ๓๑.๑๗ บาทต่อเหรี ยญสหรัฐ ที่มา : สมาคมผูส้ ่งออกข้าวไทย

โดยสรุ ปปัญหาเรื่องบิดเบือนกลไกตลาดมีประเด็นสาคัญที่ต้องพิจารณาว่ าเป็ นการ บิดเบือนกลไกการตลาดหรือไม่ มีข้อพิจารณา คือ ๑.ปัญหาเรื่ องการกระจายรายได้ และความไม่เท่าเทียมกัน ๒.ประเทศไทยมีปัญหาเรื่ องการกระจายรายได้ และแก้ไม่หาย วิธีการแก้ คือ สร้าง การขยายตัวของเศรษฐกิจในกิจกรรมของผูม้ ีรายได้นอ้ ย –กรณีประเทศไทยคือเกษตรกร ๓.สาเหตุ ที่ มี ปั ญ หาเรื่ อ งความเท่ า เที ย มเพราะกลไกตลาดไม่ ส มบู ร ณ์ เกิ ด ขึ้ น ต่อเนื่ องกันมา เพราะนโยบายการสนับสนุนการส่งออกที่ทาให้ภาคอุตสาหกรรมได้เปรี ยบภาค เกษตรกรรม ๔.ปั ญหาเรื่ องราคาต้นฤดูและปลายฤดู ดังนั้นการแทรกแซงตลาดของรัฐบาลจึ งเป็ น หน้าที่และดาเนิ นมาตลอด ไม่วา่ จะเป็ นการจานา หรื อ ประกันรายได้ การปล่อยให้กลไกตลาด ทางานเพราะกลัวการโกง ผลรายได้ตกอยูก่ บั ประชาชน ๕.นโยบายจานาข้าวมีประโยชน์กบั ชาวนาและการพัฒนาประเทศ จึงไม่ควรยกเลิก เพราะมีการกล่าวหาว่าทุจริ ต เพราะหากมีการกระทาทุจริ ตจริ ง ก็ตอ้ งมีการจับกุมดาเนินคดี ในประเด็ น นี้ ข้ าพ เจ้ า ในฐานะผู้ ถู ก กล่ าวหาขออ้ างสื บ พ ยานบุ ค คลราย นายสั ตวแพทย์ ชัย วัชรงค์ นั กวิชาการอิสระซึ่ งศึ ก ษากลไกการตลาดข้ าว และนาเสนอต่ อ


๑๐๖

สาธารณะจนเป็ นทีป่ ระจักษ์ เพื่อนาสืบหักล้ างข้ อกล่ าวหาของคณะกรรมการ ป.ป.ช. ตามบันทึก แจ้ งข้ อ กล่ าวหาในข้ อ ๓ ในเรื่ อ งข้ อ อ้ างการบิ ด เบื อ นกลไกตลาดและหั ก ล้ างข้ อ สั ง เกตและ ข้ อเสนอแนะที่ปรากฏในข้ อ ๓ ของหนังสือกระทรวงการคลัง ลับ ด่ วนที่สุด กค ๐๒๐๑/ล๑๕๖๙ ลงวันที่ ๙ ตุลาคม ๒๕๕๕ โครงการรับจานาข้ างเปลือกนาปี ๒๕๕๔/๒๕๕๕ ที่มขี ้ อสั งเกตและ ข้ อเสนอแนะว่ า “รัฐบาลกลายเป็ นผู้ค้าข้ าวรายใหญ่ ซึ่งผลกระทบที่ตามมา คือ เกิดการบิดเบือน ราคาตลาด ตลาดข้ า วเอกชนโดยเฉพาะตลาดกลางข้ าวเปลือ กถู ก ทาลาย โรงสี แ ละผู้ ส่งออก นอกโครงการไม่ ส ามารถจัด หาซื ้อ ข้ า วได้ เพียงพอ โรงสี ในโครงการและผู้ส่งออกที่ชนะการ ประมูลข้ าว จะมีการค้ าขายที่มขี ้ อได้ เปรียบโรงสีและผู้ส่งออกนอกโครงการ ตลอดจนราคาข้ าว ไทยแพงกว่ าคู่แข่ งในต่ างประเทศ ทาให้ ประเทศไทยสู ญเสี ยตลาดส่ งออกที่สาคัญ ” ไม่ ถูกต้ อ ง ตามข้ อเท็จจริง พยานบุคคลในลาดับที่ ๗ ข้ อ ๑๑. ข้ อ กล่ าวหาตามข้ อ สั งเก ตแล ะข้ อเสน อ แน ะขอ งห นั งสื อ กระทรวงการคลังลับ ด่ วนทีส่ ุ ด กค ๐๒๐๑/ล๑๕๖๙ ลงวันที่ ๙ ตุลาคม ๒๕๕๕ โครงการรับจานา ข้ าวเปลือกนาปี ๒๕๕๔/๒๕๕๕ ในข้ อที่ ๔ “… รัฐบาลจานาข้ าวเปลือกทุกเมล็ด โดยไม่ จากัด พืน้ ที่ผลิตและวงเงินการรับจานา ส่ งผลต่ อความเสี่ยงในการเกิดความเสียหายต่ อโครงการอย่ าง ยิ่ง จึงควรมีมาตรการวางแผนการรั บจานาที่ดี โดยเฉพาะประเด็นข้ าวสวมสิ ทธิ์จากประเทศ เพื่ อ นบ้ าน ซึ่ งปั ญ หามีแ นวโน้ ม สู งขึ้น หลังจากการเปิ ดเสรี อ าเซี ย นในปี ๒๕๕๘ ตลอดจน ปริ ม าณรั บ จ าน าข้ าวสู งเกิ น กว่ าข้ อ เท็จ จริ ง แต่ คุ ณ ภาพต่ ากว่ าที่รั บ จ าน า ...” นั้น รั ฐ บาลมี มาตรการแก้ไขดังนี้ ในเรื่ องการสวมสิ ทธิ์ จากประเทศเพื่ อนบ้านนั้น กระทรวงเกษตรได้ช้ ีแจงมายัง คณะกรรมการ ป.ป.ช. กล่าวคือในการดาเนินการการขึ้นทะเบียนเกษตรกรนั้นกระทรวงเกษตร มีมาตรการ “...๑) การน าเทคโนโลยีส ารสนเทศ มาใช้ประโยชน์ในการขึ้ น ทะเบี ย นและ รับรองเกษตรกรโดยกรมส่งเสริ มการเกษตรได้ดาเนินการจัดซื้ อเครื่ อง GPS มอบให้สานักงาน เกษตรอาเภอ อาเภอละ ๑ เครื่ อง เพื่อใช้ในการตรวจสอบแปลงเพาะปลูกของเกษตรกรที่ ข้ ึ น ทะเบียนเกษตรกรผูป้ ลูกพืชเศรษฐกิจ โดยเริ่ มดาเนินการในปี เพาะปลูก ๒๕๕๕/๕๖ ๒) การก าหนดให้มีมาตรการลงโทษที่ เหมาะสมและจริ งจังกับเกษตรกรที่ไ ม่ สุจริ ต ได้กาหนดมาตรการลงโทษเกษตรกรณีดงั กล่าวไว้แล้ว เช่น การปรับพื้นที่ให้ตรงกับความ


๑๐๗

เป็ นจริ ง การเพิกถอนสิ ทธิการเข้าร่ วมโครงการ และ/หรื อการดาเนิ นการตามกฎหมาย” ในเรื่ อง การป้ องกัน และแก้ไ ขปั ญ หาทุ จ ริ ต เช่ น การสวมสิ ท ธิ คณะรั ฐ มนตรี ก็ มิ ไ ด้ล ะเลยและได้ มอบหมายให้ รองนายกรั ฐ มนตรี ร้ อ ยต ารวจเอกเฉลิม อยู่บ ารุ ง เป็ นผู้รั บ ผิ ด ชอบ จากการ ด าเนิ น การดัง กล่า ว พบว่า ขณะนี้ มี เกษตรกรที่ ถูก เพิ ก ถอนสิ ท ธิ แ ล้ว รวมถึ ง มี ก ารลงโทษ เกษตรกรที่ไม่สุจริ ต รัฐบาลโดยกระทรวงพาณิ ชย์ไ ด้ดาเนิ นการติ ด ตามตรวจสอบการรั บจ าน าให้ ถูก ต้อง โปร่ งใส และมีประสิ ทธิภ าพ เพื่อป้ องกันการทุจริ ตในการรับจานาโดยสุ่ มตรวจสอบ โรงสี ตลาดกลาง โกดังกลาง และเกษตรกร พบการกระทาความผิดจานวน ๓,๘๗๐ ราย ได้แก่ ๑. การขนย้ายโดยไม่ไ ด้รั บอนุ ญ าต ๒. การสวมสิ ทธิ เกษตรกร ๓. ข้าวขาดบัญ ชี มี การเพิ่ม มาตรการป้ องกัน ตรวจสอบ และลงโทษผูก้ ระทาความผิด โดยเด็ด ขาด ปรากฏตามพยาน เอกสารส่วนราชการสานักรัฐมนตรี ประจาสานักนายกรัฐมนตรี (นายวราเทพ รัตนากร) ที่ สพล. (ลต๒ ) ๑๐๖/๒๕๕๖ ลงวันที่ ๑๘ มิถุนายน ๒๕๕๖ ที่สพล. (ลต๑) ๑๒๐/๒๕๕๖ ลงวันที่ ๑๖ กรกฎาคม ๒๕๕๖ ที่สพล. (ลต๑) ๑๖๐/๒๕๕๖ ลงวันที่ ๑๘ ตุลาคม๒๕๕๖ เรื่ อง การติดตาม งานตามนโยบายเร่ ง ด่ ว นของรั ฐ บาล ด้า นเศรษฐกิ จ ในส่ ว นของรั ฐ มนตรี ป ระจ าส านั ก นายกรัฐมนตรี (นายวราเทพ รัตนากร)ถึงข้าพเจ้า พยานเอกสารในลาดับที่ ๔๓ ข้ าพเจ้าขออ้ างสืบนายวราเทพ รัตนากร รัฐมนตรีประจาสานักนายกรัฐมนตรี ถึง รายงานการติดตามนโยบายเร่ งด่ วนของรัฐบาลด้ านเศรษฐกิจในส่ วนของรัฐมนตรีป ระจาสานัก นายกรั ฐ มนตรี เพื่อ ชี้ให้ คณะกรรมการป.ป.ช. เห็นว่ า รัฐ บาลโดยข้ าพเจ้ าด าเนินการติด ตาม ตรวจสอบ การรับ จานาสิ นค้ าเกษตร ให้ ถู กต้ อง โปร่ งใส และมีประสิ ทธิ ภาพเพื่อป้ องกันการ ทุจริ ตในการรับ จานาโดยเฉพาะการสวมสิ ทธิเกษตรกรตามที่คณะกรรมการ ป.ป.ช. กล่ าวหา เพิ่มมาตรการป้ องกัน ตรวจสอบ และลงโทษผู้ก ระทาความผิด โดยเด็ดขาด พยานบุ คคลใน ลาดับที่ ๘ ข้ อ ๑๒. ข้ อกล่ าวหาตามข้ อสังเกตและข้ อเสนอแนะของหนังสือกระทรวงการคลัง ลับ ด่ วนที่สุด กค ๐๒๐๑/ล๑๕๖๙ ลงวันที่ ๙ ตุลาคม ๒๕๕๕ โครงการรับจานาข้ าวเปลือกนาปี ๒๕๕๔/๒๕๕๕ ในข้ อที่ ๕ “โครงการของประเทศไทยส่ งผลให้ ราคาข้ าวในตลาดโลกสู งขึ้น ทา ให้ ประเทศส่ งออกรายอื่นได้ รับประโยชน์ โดยตรง ในขณะทีป่ ระเทศไทยไม่สามารถจาหน่ ายข้ าว ในโครงการได้ เนื่องจากราคาจานายังสู งกว่ าราคาในตลาดโลก ดังนั้น หน่ วยงานที่เกี่ยวข้ องจึง


๑๐๘

ควรหาแนวทางแก้ ไขปัญหาดังกล่ าวเพื่อรักษาระดับขีดความสามารถในการแข่ งขันกับประเทศผู้ ส่ งออกข้ าวของประเทศไทย และนารายได้ จากการส่ งออกเข้ าสู่ ประเทศ มากขึน้ ” นั้น ยังมีข้อไม่สมบูรณ์ ข้ อสังเกตและไม่ถูกต้ องคลาดเคลื่อนต่ อข้ อเท็จจริงดังนี้ หากเทียบกับปี ๒๕๕๑และ ๒๕๕๒ ราคาข้าวไทยในปี ๒๕๕๔ และ ๒๕๕๕ไม่ได้ สูงขึ้นแต่เพราะราคาข้าวไทยในปี ๒๕๕๓ นั้นตกต่ามากเกินไปจนไปตีตลาดข้าวคุณข้าว คุณภาพต่าจากต่างประเทศ เช่นเวียดนาม โดยมีสาเหตุเนื่องมาจากรัฐบาลก่อนหน้าใช้วธิ ีจ่ายเงิน ชดเชยรายได้ให้กบั ชาวนาในอัตราเฉลี่ย ๑,๖๐๐-๒,๐๐๐ บาท/เกวียนข้าวเปลือกทาให้ผสู้ ่งออก สามารถซื้ อข้าวขาวได้ถกู เฉลี่ยประมาณ ๘,๔๐๐ บาท/เกวียน ซึ่ งเป็ นการกดราคาซื้ อข้าวเปลือก เพื่อทาให้ราคาส่งออกข้าวขาวลดลงเหลือเพียง ๔๙๑ USD/ตันข้าวสาร ทั้งๆที่ก่อนหน้านั้น สามารถขายได้ในราคา ๕๕๔ USD/ตันข้าวสาร ในปี ๒๕๕๒ ตารางราคาข้าวสารหอมมะลิและข้าวสารขาว (๒๕๕๑ – ก.พ. ๒๕๕๗)

ราคาข้ าวสารหอม มะลิ ๑๐๐%ส่ งออก ณ ท่ าเรื อกรุ งเทพ (USD/ตัน) ราคาข้ าวสารขาว ๕%ส่ งออก ณ ท่ าเรื อกรุ งเทพ (USD/ตัน) อัตราแลกเปลีย่ น (บาท/USD) ราคาข้ าวสารหอม มะลิ ๑๐๐%ส่ งออก ณ ท่ าเรื อกรุ งเทพ (บาท/ตัน)

๒๕๕๑

๒๕๕๒

๒๕๕๓

๒๕๕๔

๒๕๕๕

๒๕๕๖

๙๒๐

๙๐๘

๑,๑๐๕

๑,๑๑๔

๑,๐๗๑

๑,๑๕๙

๒๕๕๗ (ม.ค. – ก.พ.) ๑,๑๕๒

๖๘๒

๕๕๔

๔๙๑

๕๔๙

๕๗๓

๕๑๖

๔๕๕

๓๓.๔

๓๔.๓

๓๑.๗

๓๐.๕

๓๑.๐

๓๐.๗

๓๒.๑

๓๐,๗๒๘ ๓๑,๑๔๔ ๓๕,๐๒๙ ๓๓,๙๗๗ ๓๓,๒๐๑ ๓๕,๕๘๑ ๓๖,๙๗๙


๑๐๙

ราคาข้ าวสารขาว ๕%ส่ งออก ณ ท่ าเรื อกรุ งเทพ (บาท/ตัน)

๒๒,๗๗๙ ๑๙,๐๐๒ ๑๕,๕๖๕ ๑๖,๗๔๕ ๑๗,๗๖๓ ๑๕,๘๔๑ ๑๙,๒๖๐

ที่มา: สมาคมผู้ส่งออกข้ าวไทย

การจานาของรัฐบาลจึงเป็ นการดึงราคาข้าวเปลือกส่งออกให้กลับมาอยู่ในระดับ ที่เหมาะสมและสามารถบริ หารจัดการสต็อกข้าวได้ เพราะข้าวไทยเป็ นข้าวที่มีคุณภาพสูง เป็ นที่ ยอมรับในตลาดโลกว่าพร้อมจะจ่ายราคาที่สูงกว่าข้าวของคู่แข่งเช่นเวียดนามตลอดมา อนึ่งการทีร่ ัฐบาลเดิมใช้ นโยบายประกันรายได้ และจ่ายส่ วนต่ างประมาณ ๑,๖๐๐ -๒,๐๐๐ บาท/ตันข้ าวเปลือกนั้น เป็ นการสนับสนุนให้ พ่อค้าส่ งออกของไทยตัดราคาและขายข้ าว ได้ ราคาถูก และเป็ นการใช้ งบประมาณอุดหนุนผู้บริโภคข้ าวไทยในต่ างประเทศให้ ได้ บริโภคข้ าว ไทยคุณภาพต่าในราคาทีถ่ ูกว่ าความเป็ นจริงจึงเป็ นผลเสี ยกับประเทศไทย และงบประมาณของ ไทย ทั้งนี้ เป็ นที่น่าสังเกตว่าแม้พอ่ ค้าจะสามารถซื้ อข้าวเปลือกในราคาถูกและส่งออก ในราคาที่ถกู ลงมาก แต่ราคาข้าวขายปลีกในประเทศมิได้ลดลงในสัดส่วนเดียวกัน กล่าวคือราคา ข้าวสารขาว ๕% ในช่วงประกันรายได้ ปี ๒๕๕๓ ราคาอยูท่ ี่ ๑๑๐ บาท/ถุง ๕ กก.ในขณะที่ ราคา ข้าวสารขาว ๕% ปี ๒๕๕๒ ก็เคยอยูท่ ี่ประมาณ ๑๑๐ บาท/ถุง ๕ กก.เช่นเดียวกัน อย่างไรก็ตามกระทรวงพาณิชย์ ได้ช้ ีแจงเรื่ องการระบายข้าวมายังคณะกรรมการ ป.ป.ช. “...สาหรับวิธีการและปริ มาณข้าวที่จะระบายในแต่ละครั้งจะพิจารณาตามสภาวะ ตลาด โอกาส และจังหวะที่เหมาะสม เพื่อไม่ให้มีผลกระทบต่อเสถียรภาพราคาข้าวในประเทศ และไม่กระทบต่อการดาเนินการทางธุรกิ จของผูป้ ระกอบการภายในประเทศ เช่นในช่วงเวลาที่ ข้า วเปลือกไม่ไ ด้อยู่ในมื อของเกษตรกร ในภาวะตลาดข้าวในประเทศเกิ ด การตึง ตัว อาจจะ ระบายข้า วในปริ มาณมากเพื่ อ เพิ่ ม อุป ทานข้า วในประเทศ รวมทั้ง เพื่ อตอบสนองต่ อความ ต้องการข้าวของตลาดต่างประเทศ เพื่อรัก ษาส่ วนแบ่งข้าวของไทยในตลาดโลก โดยคาถึงถึง สถานะที่ไทยควรจะเป็ น Price Maker ในตลาดโลกและในราคาของคู่แข่ง อาทิเช่น เวียดนาม..”


๑๑๐

ข้ อ ๑๓ . การจัด ท ารายงานของคณะอนุ ก รรมการปิ ดบัญ ชี โครงการรั บ จาน า ข้ าวเปลือกตามนโยบายของรัฐบาล ได้ มีการรายงานผลการปิ ดบัญชี โครงการรับจานาผลิตผล การเกษตรรวมถึงการรับจานาข้ าวเปลือกของรัฐบาลและแจ้ งให้ ข้าพเจ้าทราบในฐานะประธาน คณะกรรมการนโยบายข้ าวแห่ งชาติ ตามหนังสื อกระทรวงการคลัง ลับ ด่ วนที่สุด ที่ กค ๐๒๐๑/ ล.๑๕๖๙ ลงวันที่ ๙ ตุลาคม ๒๕๕๕ ว่ าโครงการรับจานาข้ าวเปลือกนาปี ปี ๒๕๕๔/๒๕๕๕ มี ผลขาดทุนสุ ทธิ ๓๒,๓๐๑.๐๐ ล้ านบาท และตามหนังสื อกระทรวงการคลัง ลับ ด่ วนที่สุด ที่ กค ๐๒๐๑/๘๐๘๑ ลงวัน ที่ ๒๓ พฤษภาคม ๒๕๕๖ ว่ า โครงการรั บ จานาข้ า วเปลือ กนาปี ปี ๒๕๕๔/๒๕๕๕ โครงการรั บ จานาข้ า วเปลือ กนาปรั ง ปี ๒๕๕๕ และโครงการรั บ จานา ข้ า วเปลือ กนาปรั ง ปี ๒๕๕๕/๒๕๕๖ มีผ ลขาดทุนรวม ๒๒๐,๙๖๘.๗๘ ล้ านบาท มีข้อไม่ สมบูรณ์ ไม่ ถูกต้ อง ผิดหลักการและมีข้อสั งเกตและข้ อสงสั ยถึงขนาดทีค่ ณะกรรมการ ป.ป.ช. ไม่ อาจนาไปสรุ ปเป็ นข้ อเท็จจริงที่สาคัญว่ าข้ อกล่ าวหามีมูลโดยความเห็นของรัฐ มนตรีว่าการ กระทรวงการคลัง นักบัญชีอาวุโสและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ ดังนี้ ความเห็นของกระทรวงการคลังทีช่ ี้ข้อไม่สมบูรณ์ของรายงาน ได้ แก่ ๑.การรายงานการปิ ดบัญชีฯ ได้แสดงยอดรวมของ โครงการรับจานาผลิตผลทาง การเกษตรตั้งแต่ปี ๒๕๔๗/๔๘ ซึ่ งรวมผลิตผลการเกษตรชนิดอื่น : มันสาปะหลัง ข้าวโพดเลี้ยง สัตว์ และกุง้ ขาวแวนนาไม ซึ่ งเป็ นโครงการของรัฐบาลอื่นไว้ในการรายงานด้วย จึงทาให้มีความ เสี่ ยงต่อความเข้าใจที่คลาดเคลื่อนว่า ยอดรวมของภาระผลกาไร (ขาดทุน) และ/หรื อ ภาระหนี้ เป็ นผลจากการดาเนินโครงการรับจานาข้าวเปลือกของรัฐบาลปัจจุบนั โดยหากใช้วธิ ีการรายงานผลขาดทุนสุทธิ ตามแนวทางของประธานอนุกรรมการ ผล (ขาดทุน ) ตามโครงการของรัฐบาลปั จจุ บันจะมี ยอด ณ วันที่ ๓๑ พฤษภาคม ๒๕๕๕ ที่ ๓๒,๓๐๑.๐ ล้านบาท ซึ่ งเป็ นเพียงร้อยละ ๑๗.๐ ของยอดรวมโครงการรับจาข้าวเปลือกจานวน ๑๒ โครงการ ตั้งแต่ปี ๔๗/๔๘ หรื อเป็ นเพีย ง ร้อยละ ๑๕.๖ ของยอดรวมโครงการรับจานา ผลผลิตทางการเกษตรทุกโครงการ ในขณะที่ย อด ณ ๓๑ ม.ค. ๒๕๕๖ ที่ ๒๒๐,๙๖๘.๗ ล้าน บาท ก็จ ะเป็ นเพีย งร้ อยละ ๕๘.๔ ของยอดรวม (ขาดทุน) โครงการรั บจ านาข้าวเปลือก ๑๔ โครงการ จานวน ๓๗๘,๐๒๑.๕ ล้านบาท ที่รายงาน เป็ นต้น


๑๑๑

๒.วิธีการรายงานผล (ขาดทุน) และ ข้อเสนอแนะต่อภาระงบประมาณที่ควรได้รับ จัดสรรให้ ในอนาคตใช้ขอ้ สมมติที่มีลกั ษณะเป็ นการคาดการณ์ และไม่สอดคล้องต่อการปฏิบตั ิ จริ ง ดังนี้ ๒.๑ การรายงานผลขาดทุน ใช้วธิ ีสมมติให้มีการขายสิ นค้าคงเหลือในราคาที่อา้ งว่าเป็ นราคาตามนโยบายทาง บัญชีท้ งั หมดในวันที่ใช้ในการปิ ดบัญชี และมีการหักค่าเสื่ อมสภาพเพิ่มโดยอ้างนโยบายทาง บัญชีที่กาหนดขึ้นเอง นอกจากนั้นยังพบว่ามีความไม่แน่ชดั ในปริ มาณสิ นค้าคงเหลือที่ใช้ในการ คานวณสิ นค้าคงเหลือ ณ วันที่ ๓๑ พฤษภาคม ๒๕๕๖ ในจานวนที่สูงถึง ๒.๙๘ ล้านตัน รวมทั้ง มีขอ้ สังเกตที่ไม่เป็ นจริ งที่อา้ งว่า มีสินค้าคงเหลือจานวนหนึ่งที่มีภาระผูกพันที่จาหน่ายให้เอกชน แล้วแต่ยงั ไม่มีการส่งมอบ และหากหักปริ มาณดังกล่าวออกจะมีผลให้มูลค่าสิ นค้าคงเหลือต่าลง ในลักษณะให้เข้าใจว่าจะ (ขาดทุน) เพิม่ ขึ้น ซึ่ งหากมีการส่งมอบ และมูลค่าสิ นค้าคงเหลือต่าลง ย่อมเป็ นการแลกกับรายได้ในการขายสิ นค้าคงเหลือดังกล่าวซึ่ งอาจทาให้มีผล (ขาดทุน) น้อยลง ก็เป็ นได้ ผลของการปิ ดบัญชีที่ไม่ถกู ต้องดังกล่าวได้นาไปสู่ การวิเคราะห์ของสานักงาน ตรวจเงินแผ่นดิน ที่วเิ คราะห์ ผล (ขาดทุน) ณ วันที่ ๓๑ พฤษภาคม ๒๕๕๖ ว่ามีจานวน ๓๓๒,๓๗๒.๓๒ ล้านบาท และเป็ นผลขาดทุนที่มากกว่ายอดการปิ ดบัญชีสิ้นสุดวันที่ ๓๑ มกราคม ๒๕๕๖ จานวน ๒๒๐,๙๖๘.๗๘ ล้านบาท เป็ นจานวน ๑๑๑,๔๐๓.๕๔ ล้านบาท โดย กระทรวงการคลังมีขอ้ สังเกตว่า การ คานวณมูลค่าสิ นค้าคงเหลือ น่าจะมีความคลาดเคลื่อน อย่างมีนยั ยะสาคัญ ซึ่งอาจเป็ นผลมาจากข้อโต้แย้งในเรื่ องสิ นค้าคงคลัง จานวน ๒.๙๘ ล้านตัน ดังกล่าว และ/หรื อ การใช้นโยบายการคานวณราคาสิ นค้าคงเหลือที่ไม่เหมาะสม ๒.๒ ด้านภาระหนี้คงค้าง มีการเสนอให้ต้งั งบประมาณ เพื่อจ่ายคืนภาระหนี้คงค้างทั้งหมด ณ ข้อมูล ตามวันที่ทาการปิ ดบัญชี (ของทุกโครงการตั้งแต่ปี ๔๗/๔๘ รวมกับผลผลิตการเกษตรอื่นของ รัฐบาลก่อนๆ) โดยไม่คานึงถึง การที่จะมีเงินรายได้ในอนาคต จากการระบายสิ นค้าคงเหลือที่มี อยู่


๑๑๒

๒.๓ วิธีการทางบัญชีไม่ถกู ต้อง ตัวอย่า ง เห็ นได้จ ากการรายงาน การปิ ดบัญ ชี ณ วันที่ ๓๑ มกราคม ๒๕๕๖ ที่ มี โครงการรั บจานาข้าวในอดี ต จ านวน ๗ โครงการซึ่ งไม่มีภ าระหนี้ สุ ทธิ ค งเหลือแล้ว ได้แก่ ข้าวเปลือก: (๑) นาปี ๔๗/๔๘ (๒) นาปรั ง ๔๘ (๓) นาปี ๔๘/๔๙ (๔) นาปรั ง ๔๙ (๕) นาปี ๔๙/๕๐ (๖) นาปรัง ๕๐ (๗) นาปี ๕๐/๕๑ (ไม่มีภาระหนี้สุทธิ คงเหลือแล้ว จากการที่ได้รับค่า ขายสิ นค้าคงเหลือ รวมกับงบประมาณที่รัฐบาลจัดสรรชดเชยคืนให้แล้ว) แต่ยงั คงรายงานยอด (ขาดทุน) สุทธิ ณ ๓๑ มกราคม ๒๕๕๖ ในจานวนเงินที่มีนยั ยะสาคัญ ทั้ง ๗ โครงการ รวมเป็ น จ านวนเงิ น ทั้ง สิ้ น (๑๗,๐๑๓.๕+๑,๗๓๘.๒ + ๑๙,๗๗๒.๔ + ๖,๙๙๖.๓ + ๒,๑๓๒.๐ + ๒.๓๘๐.๓ + ๑๒๑.๙) ถึง ๕๐,๑๕๔.๖ ล้านบาท นอกจากนั้นโครงการที่ยงั มีภาระหนี้เหลืออยูบ่ า้ งก็มีการรายงานผล (ขาดทุน)สุทธิไว้ สูงกว่า ภาระหนี้ ที่เหลืออยู่อย่างมาก เช่น โครงการข้าวเปลือกนาปรัง ปี ๕๑ มีภาระหนี้คงเหลือ สุทธิ เพียง ๒,๖๒๕.๙ ล้านบาท แต่มีการแสดงภาระขาดทุนสุทธิ ณ ๓๑ มกราคม ๒๕๕๖ สู งถึง ๓๓,๖๒๒.๙ ล้านบาท ทาให้ยอดรวมของโครงการฯ ก่อนรัฐบาลปั จจุบนั จานวน ๑๑ โครงการ โดยรวมทั้งโครงการที่ไม่มีภาระหนี้ แล้ว กับโครงการที่ยงั มีภาระหนี้ อยู่ อีกจานวน ๔ โครงการ ได้แก่ ข้าวเปลือก : (๑) นาปรัง ๕๑ (๒) นาปี ๕๑/๕๒ (๓) นาปรัง ๕๒ (๔) รับฝากข้าวยุง้ ฉางปี ๕๒/๕๓ ซึ่ งมีภาระหนี้คงเหลือรวมกันทั้งสิ้ นเพียง ๗๐,๒๖๐.๓ ล้านบาท ถูกแสดงภาระขาดทุน สุทธิ ณ ๓๑ มกราคม ๒๕๕๖ สู งถึง ๑๕๗,๐๕๒.๗ ล้านบาท จึ งเป็ นข้อมูลยืนยันว่าวิธีการทาง บัญชีที่ใช้ ไม่ถกู ต้อง เพียงพอที่จะแสดงให้เห็นถึงภาระหนี้ และภาระผลกาไร (ขาดทุน) ณ วันที่ ปิ ดบัญชี ซึ่ งรวมถึงการแสดงข้อมูลสาหรับโครงการรั บจานาข้าวเปลือกของรัฐบาลปัจจุบนั ด้วย ๓.ในประเด็น ภาระทางการคลัง กระทรวงการคลัง ขอยื น ยัน ว่า การด าเนิ น นโยบายตามโครงการรับจานาข้าวเปลือกของรัฐบาลที่ใช้วงเงินในการรับจานาในลักษณะให้ รัฐวิสาหกิจที่เป็ นสถาบันการเงิน คือ ธ.ก.ส. เป็ นผูก้ เู้ งินและกระทรวงการคลังค้ าประกันนั้น ถูก บรรจุอยูใ่ นการบริ หารหนี้สาธารณะของรัฐบาล โดยได้รับการควบคุมให้มีความเข้มงวด ตามมติ ของคณะรัฐมนตรี และด้านวินยั การคลังเป็ นอย่างดี ดังนี้


๑๑๓

๓.๑ ระดับหนี้สาธารณะรวมต่อ GDP ซึ่ งถูกกาหนดให้มีเพดานวินยั การคลังไว้ที่ ร้อยละ ๖๐ นั้น มีสถานะ ณ วันที่ ๓๑ ม.ค. ๒๕๕๖ อยูท่ ี่เพียง ๕.๐๔๓ ล้านล้านบาท เมื่อเทียบ กับ GDP ที่ ๑๑.๔๓๗ ล้านล้านบาท หรื อเท่ากับร้อยละ ๔๔.๐๙ เท่านั้น (สถานะในปี ปัจจุบนั ณ ๓๑ ม.ค. ๒๕๕๗ อยูท่ ี่เพียงร้อยละ ๔๕.๔๗) ๓.๒ ภาระในการชาระดอกเบี้ยแก่ยอดหนี้สาธารณะรวม ก็อยูใ่ นระดับที่มีวนิ ยั การคลังที่ดี และดีข้ ึน จากนโยบายและมาตรการด้านหนี้สาธารณะของรัฐบาลปัจจุบนั ที่สามารถ บริ หารจัดการให้หนี้สาธารณะจานวนกว่า ๑.๑ ล้านล้านบาท ที่เกิดจากภาวะวิกฤตเศรษฐกิจเมื่อ ปี ๒๕๔๐ และเคยเป็ นภาระดอกเบี้ยต่องบประมาณประจาปี ของรัฐบาลก่อนๆ มาอย่างต่อเนื่อง กว่า ๑ ทศวรรษ ได้รับการบริ หารจัดการโดยหน่วยงาน และในรู ปแบบที่เหมาะสม ซึ่ งส่งผลให้ ภาระดอกเบี้ยตามงบประมาณประจาปี ๒๕๕๔ ที่เคยใช้สูงถึง ๑๗๘,๘๖๑.๕ ล้านบาท (ก่อน รัฐบาลปัจจุบนั จะเข้าบริ หาร) ลดลงเหลือเพียง ๑๒๔,๙๓๒.๘ ล้านบาทในปี งบประมาณ ๒๕๕๖ (และ เป็ นเพียง ๑๒๘,๕๗๐.๙ ล้านบาทในปี งบประมาณ ๒๕๕๗) ภาระดอกเบี้ยในงบประมาณ ประจาปี ต่าลงกว่าเดิม เป็ นจานวนเงินถึง ปี งบประมาณละ ๕ หมื่นล้านบาท ๓.๓. หากพิจารณายอดหนี้สาธารณะ เฉพาะส่วนที่เป็ นภาระต่องบประมาณของ รัฐบาล ในด้าน ดอกเบี้ยและ/หรื อ เงินต้น ยอดหนี้ สาธารณะจะต่าลงกว่าที่รายงานไว้ตาม ๓.๑ เป็ นจานวน ๑.๑ ล้านล้านบาท ระดับหนี้ สาธารณะที่เป็ นภาระต่องบประมาณของรั ฐบาล ต่อ GDP ณ ๓๑ ม.ค. ๒๕๕๖ จึ งเท่ากับร้อยละ ๓๔.๒ เท่านั้น (สถานะ ณ ๓๑ ม.ค. ๒๕๕๗ อยู่ที่ เพียงร้อยละ ๓๖.๕) ระดับหนี้สาธารณะโดยรวมที่อยูต่ ่ากว่าเพดานวินยั การคลังเป็ นอย่างมาก และ ภาระดอกเบี้ยที่ต่าลงกว่าเดิมตามข้อ ๓.๒ จึงเป็ นสิ่ งยืนยันความมีวนิ ยั และความเข้มแข็งทางการ คลังที่ดีของรัฐบาลในการดาเนินนโยบายด้านต่างๆ ของรัฐบาล ๔. ในด้านการจัดสรรงบประมาณเพื่อโครงการรับจานาผลิตผลทางการเกษตร ในด้านค่าบริ หารจัดการ ชดเชยภาระหนี้ และภาระ (ขาดทุน) จากการจาหน่ ายสิ นค้า คงเหลือ


๑๑๔

รัฐบาลได้จดั สรรงบประมาณที่เหมาะสมแก่การดูแลโครงการรับจานาผลิตผลทางการเกษตรทุก โครงการ ซึ่ งได้ใ ห้ ค วามส าคัญ แก่ โ ครงการที่ เกิ ด ขึ้ นในรั ฐ บาลก่ อ นๆ เป็ นอย่ า งดี และ งบประมาณรวมที่จดั สรรให้มียอดรวมที่มิได้เกินความเข้มแข็งทางการคลัง หรื อ เป็ นภาระที่เกิ น ความสามารถด้านงบประมาณของประเทศในแต่ละปี ดังนี้ งบประมาณประจาปี งบประมาณรวม

๒๕๕๕ ๔๘,๑๘๐.๐๕๔

๒๕๕๖ ๔๐,๓๐๒.๒๓๒

งบชดเชยต้นทุนเงินรวมทุกโครงการ ๔๓,๑๒๙.๔๖๒ ๓๓,๓๐๙.๕๑๐

๒๕๕๗ ๘๔,๓๑๕.๐๑๙ ๗๓,๔๒๖.๕๔๔

งบชดเชยต้นทุนเงินของโครงการเดิม ก่อนรัฐบาลปัจจุบนั

๓๖,๒๐๔.๔๖๒

๑๙,๕๒๖.๐

๒๐,๙๕๕.๕๖๔

โดยการจัดสรรงบประมาณ จะมีการจัดสรรให้ เพียงพอแก่ การชาระดอกเบี้ย และ ค่ าใช้ จ่ายบริหารโครงการตามภาระจริง และจะจัดสรรให้ ชาระคืนต้ นเงินกู้จานวนที่เหมาะสม ด้ วย ซึ่งประธานอนุกรรมการปิ ดบัญชีมิได้ ใช้ ข้อมูลงบประมาณที่ได้ รับชดเชยไป คานวณลด ภาระ (ขาดทุ น ) คงค้ างของโครงการรั บ จาน าฯ ทั้ง โครงการเดิ ม และโครงการของรั ฐ บาล ปัจจุบัน ทาให้ ภาระ (ขาดทุน) คงค้างของการปิ ดบัญชี ณ วันทีต่ ่ างๆ สู งกว่าความเป็ นจริง กระทรวงการคลัง จึ ง มี ค วามเห็ น ว่า การพิ จ ารณาถึ ง ภาระทางการคลัง ของ โครงการรับจานาข้าวเปลือกโดยใช้ขอ้ มูลของประธานอนุกรรมการปิ ดบัญชีโครงการรับจานา ข้าวเปลือกตามนโยบายรัฐบาล ตามหนังสื อที่อา้ งถึงทั้ง ๓ ฉบับ ยังมีขอ้ ไม่สมบูรณ์ ไม่ถูกต้อง มี ข้อสัง เกต ทาให้ไ ม่ มีความน่ า เชื่ อถือเพีย งพอในเรื่ องภาระ (ขาดทุน) คงค้า งที่ ถูก ต้อง มิ ใช่มี ลักษณะเป็ นการแสดงภาระ (ขาดทุน) ที่เป็ นการสะสม คงค้าง จนนาไปสู่ความเข้าใจว่าเป็ นภาระ (ขาดทุน) ของอนาคต และควรดาเนิ นการพิจารณาปิ ดบัญ ชีเสี ยใหม่ให้ได้รับผลที่ เป็ นปั จจุบัน และมีความถูกต้องครบถ้วนต่อไป ข้ าพเจ้ าขออ้ างสื บพยานบุคคลรายนายกิตติรัตน์ ณ ระนอง รองนายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่ากระทรวงการคลัง ซึ่งเป็ นผู้รู้ ข้อเท็จจริงเกี่ยวกับภาระการคลังเป็ นพยานบุคคล


๑๑๕

เพื่อนาสืบหักล้ างข้ อกล่ าวหาของคณะกรรมการ ป.ป.ช. ในประเด็นเรื่องโครงการรับจานาข้ าวไม่ มีความเสี่ ยงและเป็ นภาระต่ อระบบวินัยการเงินและการคลัง ประกอบกับประเด็นหนี้สาธารณะ ของประเทศในการดาเนินโครงการรับจานาข้ าว และข้ ออ้ างความเสี ยหายในเรื่องผลขาดทุนรวม ๒๒๐,๙๖๘.๗๘ ล้ านบาท ตามรายงานคณะอนุ ก รรมการปิ ดบัญ ชี เมื่อ วันที่ ๒๓ พฤษภาคม ๒๕๕๖ พยานบุคคลในลาดับที่ ๙ นอกจากนี้ ข้ าพเจ้ าขออ้ า งนาสื บ พยานบุ ค คล ราย นายพิ ชั ย ชุ ณ หวชิ ร บัญ ชี บั ณ ฑิ ต (การบั ญ ชี ) มหาวิท ยาลั ย ธรรมศาสตร์ MBA (Business Administration) Indiana University of Pennsylvania ประเทศสหรัฐ อเมริกา ปริญญาดุ ษฎีบัณฑิตกิตติมศักดิ์ทางบัญชี มหาวิทยาลัย ธรรมศาสตร์ ปริ ญญาปรั ชญาดุ ษ ฎีบัณฑิ ตกิตติมศั ก ดิ์ สาขาวิชาบริ หารการเงิน มหาวิทยาลัย มหาสารคามวิทยาลัย ป้ องกันราชอาณาจัก ร หลัก สู ตรการป้ องกันราชอาณาจัก ร ภาครัฐร่ วมเอกชน (วปรอ.) รุ่นที่ ๑๓ผู้สอบบัญชีรับอนุญาต ประกาศนียบัตรหลักสู ตร Director Accreditation Program (DAP ๔๙/๒๕๔๙)ประกาศนียบัตรหลักสู ตร Director Certification Program (DCP ๑๔๓/๒๕๕๔)ประกาศนียบัตรหลัก สู ตรผู้บ ริหารระดับ สู ง สถาบันวิทยาการ ตลาดทุน (หลัก สู ตร วตท.รุ่ นที่ ๕) เพื่อนาสื บ หัก ล้ างรายงานคณะอนุ กรรมการปิ ดบัญชี ฯ ที่ นางสาวสุ ภา ปิ ยะจิตติ สรุ ปผลการปิ ดบัญ ชีแ ละภาระหนี้สิน ได้ แก่ เงินต้ น ดอกเบี้ย และ ค่าใช้ จ่ายต่ าง ๆ ทีเ่ กิดขึ้นจากการดาเนินโครงการรับจานาข้ าวเปลือกตามนโยบายรัฐบาล ยังไม่ มี ความสมบูรณ์ ในหลักการทางบัญชีทถี่ ูกต้ อง และยังมีข้อโต้ แย้ ง ทีม่ าของการคิดสรุปผลการปิ ด บัญชีและภาระหนีส้ ินดังกล่ าวไม่ถูกต้ อง พยานบุคคลในลาดับที่ ๑๐ ซึ่งมีข้อไม่สมบูรณ์ ไม่ถูกต้ อง และไม่ใช่ พยานหลักฐานทีค่ วรเชื่อได้ ว่าโครงการ รับ จานาข้ าวมีความเสี ย หายถึงขนาดที่จะต้ อ งระงับ ยับ ยั้งและยุ ติโครงการเสี ย รวมทั้งกรอบ วงเงินที่ใช้ ในโครงการรับจานาข้ าวว่ ามิได้ มีความเสี ยหาย และความเสี ยหายยังไม่ เป็ นรูปธรรม ชัดเจน เพียงพอ จนถึงขนาดต้ องยุติหรือระงับยับยั้ง โครงการรับจานาข้ าว การชี้ ขอ้ ไม่ส มบูรณ์ข องรายงานคณะอนุ ก รรมการปิ ดบัญ ชี โ ครงการรั บจานา ข้าวเปลือกตามนโยบายของรัฐบาล ตามหนังสื อกระทรวงการคลัง ลับ ด่วนที่สุด ที่ กค ๐๒๐๑/ ล.๑๕๖๙ ลงวันที่ ๙ ตุลาคม ๒๕๕๕ ว่าโครงการรับจานาข้าวเปลือกนาปี ปี ๒๕๕๔/๒๕๕๕


๑๑๖

มีผลขาดทุนสุทธิ ๓๒,๓๐๑.๐๐ ล้านบาท และตามหนังสื อกระทรวงการคลัง ลับ ด่วนที่สุด ที่ กค ๐๒๐๑/๘๐๘๑ ลงวัน ที่ ๒๓ พฤษภาคม ๒๕๕๖ ว่า โครงการรั บ จานาข้า วเปลือ กนาปี ปี ๒๕๕๔/๒๕๕๕ โครงการรั บ จานาข้า วเปลือ กนาปรั ง ปี ๒๕๕๕ และโครงการรั บ จานา ข้า วเปลือ กนาปรั ง ปี ๒๕๕๕/๒๕๕๖ มี ผ ลขาดทุนรวม ๒๒๐,๙๖๘.๗๘ ล้านบาท ถือเป็ น เรื่ องเดี ยวกันกับกรณี ที่ ต่อมากระทรวงการคลังได้นารายงานคณะอนุก รรมการปิ ดบัญ ชีฯ ไป พิจารณาโดยชี้ ให้เห็ น ว่าเมื่ อมี ข ้อเสนอแนะต่อโครงการรับจ าน าข้าว ในเรื่ องที่ จ ะเป็ นภาระ การเงินการคลัง รั ฐบาลโดยกระทรวงการคลังไม่ละเลยที่ จ ะตรวจสอบ พิจารณาประเมินผล กระทบโครงการและแนวทางการบริ ห ารจัด การวงเงินสาหรับการดาเนิ นโครงการอย่างเป็ น รู ปธรรม กระทรวงการคลังจึ งได้มีหนังสื อเมื่อวันที่ ๓ ตุลาคม ๒๕๕๕ เรื่ อง รายงานผลการ ดาเนินการโครงการรับจานาข้าวเปลือกนาปี ปี การผลิต ๒๕๕๔/๕๕ และพิจารณาปริ มาณและ วงเงิ นโครงการรั บจ านาข้า วเปลือก ปี การผลิต ๒๕๕๕/๕๖ ในหน้า ที่ ๒ ข้อที่ ๒ ความเห็ น กระทรวงการคลังได้พิจารณาแล้วเห็นควรเสนอคณะรัฐมนตรี พิจารณา ดังนี้ “คณะอนุกรรมการ ปิ ดบั ญ ชี โ ครงการรั บ จ าน าข้า วเปลื อ กตามนโยบายรั ฐ บาล ที่ น ายกรั ฐ มนตรี ประธาน กรรมการนโยบายข้า วแห่ ง ชาติ ไ ด้แต่ง ตั้ง เมื่ อวันที่ ๒๔ กุม ภาพันธ์ ๓๕๕๕ โดยมี ร องปลัด กระทรวงการคลังเป็ นประธานอนุกรรมการ ได้ดาเนินการรวบรวมข้อมูลปิ ดบัญชีเบื้องต้นพบว่า นับตั้งแต่ปี ๒๕๔๗ มีการดาเนิ นโครงการรับจานาผลิตผลทางการเกษตรและโครงการประกัน รายได้ตามนโยบายรัฐบาล และรัฐต้องรับภาระต้นเงิ นและดอกเบี้ย คิดเป็ นเงินที่ใช้ในโครงการ ทั้งสิ้ น ๗๘๗,๘๒๓.๓๒ ล้านบาท ณ ๓๑ สิ งหาคม ๒๕๕๕ มีผลขาดทุน ๒๐๗,๐๐๖.๔๔ ล้าน บาท และมีห นี้ คงค้างทั้งสิ้ น ๔๕๕,๕๓๘.๘๐ ล้านบาท แต่ยงั ไม่สามารถปิ ดโครงการได้อย่าง สมบูรณ์ เป็ นภาระงบประมาณที่สูงมาก จาเป็ นต้องปรับโครงสร้างหนี้ อย่างต่อเนื่ องเนื่ องจาก การระบายสิ นค้าเกษตรได้ชา้ และไม่มีงบประมาณเพียงพอ ดังนั้น ก่อนการดาเนิ นโครงการรับ จานาผลิตผลทางการเกษตรต่อไป จึ งควรมีก ารประเมินผลกระทบโครงการและแนวทางการ บริ หารจัดการวงเงินสาหรับการดาเนินโครงการอย่างเป็ นรู ปธรรม การมีหนังสื อของกระทรวงการคลัง ดังกล่าวข้างต้นเป็ นไปเพื่อให้มีเจตนาว่าเมื่อ คณะอนุกรรมการปิ ดบัญชีฯมีขอ้ เสนอแนะกระทรวงการคลังก็จัดให้มีการประเมินผลกระทบ โครงการและแนวทางการบริ หารจัดการวงเงินส าหรับการดาเนิ นโครงการอย่างเป็ นรู ปธรรม


๑๑๗

การกระทาเช่นนี้จะถือว่ารัฐบาลละเลยต่อความเสี ยหายที่คณะอนุกรรมการปิ ดบัญชีฯ อ้างว่ามีผล ขาดทุนทั้งๆ ที่ รายงานของคณะอนุกรรมการปิ ดบัญชีฯ มีขอ้ พิรุธ ข้อตาหนิ อันเป็ นข้อระแวง สงสัยที่มีขอ้ สังเกตว่า เพราะเหตุใดนางสาวสุภาฯ ในฐานะรองปลัดกระทรวงการคลังมิใช่บุคคล ในตาแหน่งที่นายกรัฐมนตรี มีคาสัง่ ให้เป็ นประธานคณะอนุกรรมการปิ ดบัญชีโครงการรับจานา ข้าวแต่อย่างใด นางสาวสุภาฯ ในฐานะตาแหน่งรองปลัดกระทรวงทาหน้าที่ในฐานะประธานอนุ กรรการปิ ดบัญชีแทนผูด้ ารงตาแหน่งปลัดกระทรวงเท่านั้น เมื่ อ นางสาวสุ ภ าฯ มาปฏิ บัติ ห น้ า ที่ แ ทนปลัด กระทรวงในหน้ า ที่ ป ระธาน อนุกรรมการปิ ดบัญชี นางสาวสุ ภาฯ ในฐานะประธานอนุกรรมการปิ ดบัญชีรับราชการจนขึ้นสู่ ตาแหน่งรองปลัดกระทรวงการคลังย่อมรู้ข้ นั ตอนการปฏิบตั ิงานและรู้ข้ นั ตอนการบังคับบัญชา เป็ นอย่างดีวา่ เมื่อคณะอนุกรรมการปิ ดบัญชีที่ตนมาทาหน้าที่แทนปลัดประทรวงการคลังจัดทา รายงานหรื อหนังสื อในเรื่ องการปฏิบตั ิตามอานาจหน้าที่แล้วเสร็จต้อ งยื่นรายงานหรื อหนังสื อต่อ ปลัด กระทรวงการคลัง ซึ่ งเป็ นผูบ้ ังคับบัญ ชาของตนและเสนอรายงานและเสนอรายงานต่อ ปลัดกระทรวงพาณิชย์ซ่ ึ งเป็ นเลขานุการของคณะกรรมการนโยบายข้าวแห่งชาติเพื่อให้นาเสนอ ต่อคณะกรรมการนโยบายข้าวแห่ งชาติเพื่อบรรจุเป็ นวาระประชุมเสี ยก่อนเพื่อให้นาเสนอต่อที่ ประชุมคณะกรรมการนโยบายข้าวแห่งชาติให้พิจารณา ในเรื่ องนี้มีขอ้ สังเกตและข้อสงสัยว่า นางสาวสุภาฯกลับได้เสนอเรื่ องโดยตรงต่อ ตั ว ข้ า พเจ้ า และไม่ น่ าเชื่ อ โดยบั ง เอิ ญ ว่ า ก รรมก าร ปปช. บางท่ า นห ยิ บ ยก รายงาน คณะอนุ ก รรมการปิ ดบั ญ ชี น าเสนอต่ อ คณะกรรมการ ปปช.ทั้ งคณะเพื่ อ น ารายงาน คณะอนุกรรมการปิ ดบัญ ชีดงั กล่าวมากล่าวหาปรากฎตามบันทึกแจ้งข้อกล่าวหาต่อตัวข้าพเจ้า โดยขาดการตรวจสอบการสอบปากคานางสาวสุภาฯโดยลาพังเป็ นที่แน่นนอนว่านางสาวสุภาฯ ย่อมสนับ สนุ น รายงานของตนว่า ถูก ต้อ งจากบัน ทึ ก แจ้ง ข้อกล่า วหาไม่ พ บข้อเท็จ จริ ง ใดว่า คณะกรรมการ ปปช.ได้ไต่สวนพยานคนกลางที่เป็ นผูม้ ีความรู้ทางบัญชี สนับสนุนการกระทา ของนางสาวสุ ภ าฯให้ไ ด้ค วามสมบูร ณ์ เสี ย ก่ อนนารายงานดังกล่า วมาเปิ ดเผยและนามาเป็ น พยานหลักฐานกล่าวหาข้าพเจ้าและเป็ นที่น่าสงสัยในเวลาอันรวดเร็ วสานักงานการตรวจเงิ น แผ่นดินได้รีบเร่ งมีหนังสื อ ด่วนที่สุด ที่ ตผ ๐๐๑๒/๐๒๘๐ ลงวันที่ ๓๐ มกราคม ๒๕๕๗ หยิบ ฉวยรายงานของนางสาวสุ ภาฯ มาเป็ นข้อเท็จจริ งปรากฎในหนังสื อของสานักงานตรวจเงิ น


๑๑๘

แผ่นดินโดยอ้างอิงข้อมูลของนางสาวสุภาฯประธานคณะอนุกรรมการปิ ดบัญชีโดยที่สานักงาน การตรวจเงินแผ่นดินหาได้ตรวจสอบข้อเท็จจริ งในเรื่ องดังกล่าวด้วยองค์กรของตนและในทันใด มีขอ้ สังเกตและข้อพิรุธอันน่าระแวงสงสัยโดยสุจริ ตอย่างยิง่ ว่าในทันใดที่สานักงานการตรวจเงิน แผ่นดิน ที่ ตผ.๐๐๑๒/๐๒๘๐ ลงวันที่ ๓๐ มกราคม ๒๕๕๗ ก่อนหน้าเพียงวันเดียว คือในวันที่ ๓๑ มกราคม ๒๕๕๗ คณะกรรมการ ปปช. ได้รีบเร่ งมีมติให้คณะกรรมการ ปปช.ทั้งคณะเป็ น กรรมการไต่ส วนข้า พเจ้า และในเวลาต่อมาภายหลังที่ คณะกรรมการ ปปช.มีมติ ในวันที่ ๓๑ มกราคม ๒๕๕๗ เพียงเวลา ๒๑ วัน ข้าพเจ้าก็ถกู แจ้งข้อกล่าวหาโดยคณะกรรมการ ปปช.แจ้งให้ ข้าพเจ้ามารับทราบข้อกล่าวหาในวันที่ ๒๗ กุมภาพันธ์ ๒๕๕๗ และปรากฏว่าในบันทึกการแจ้ง ข้อ หาที่ มี ต่ อ ข้า พเจ้า ในข้อ ที่ ๓ หน้า ที่ ๕ คณะกรรมการ ปปช.ก็ ไ ด้อ ้า งอิ ง ถึ ง หนัง สื อ ของ สานัก งานการตรวจเงินแผ่นดิ นฉบับลงวันที่ ๓๐ มกราคม ๒๕๕๗ ค าถามที่ต้องการถามหา ความยุติธรรมต่อตัวข้า พเจ้าหากเรี ยงวันเวลาที่ ค ณะกรรมการ ปปช.ปฏิ บตั ิ ต่อตัวข้าพเจ้า โดย มอบหมายให้ ศาสตราจารย์พิเศษ วิชา มหาคุณ ซึ่ งเป็ นผูร้ ับผิดชอบสานวนในคดีน้ ี ซ่ ึ งข้าพเจ้าตั้ง ข้อรังเกียจเรี ยกร้องคัดค้านให้ถอนตัวถึง ๒ ครั้ง ๒ คราว ก็หาถอนตัวไม่จึงตั้งข้อสังเกตให้เป็ น ประเด็นสาคัญที่กรรมการ ปปช.รายอื่นที่มิใช่ศาสตราจารย์พิเศษ วิชา มหาคุณได้โปรดทบทวน ว่าเพียงสานักงานการตรวจเงินแผ่นดินได้มีหนังสื อด่วนลงวันที่ ๓๐ มกราคม ๒๕๕๗ ดังกล่า ข้างต้นนาเสนอจุดอ่อนหรื อความเสี่ ยงซึ่ งมิใช่ขอ้ มูลของสานัก งานตนทั้งหมดแต่ผรู้ ับผิดชอบ สานวนหยิบฉวยนามาใช้เป็ นเหตุกล่าวหาอย่างรวดเร็ว หากใครถูกปฏิบตั ิเช่นข้าพเจ้าจะทนความรู้สึกอันขมขื่นต่อกระบวนการไต่สวน คดีเช่นที่ข ้าพเจ้าถูกกระทาได้ห รื อไม่เพราะเป็ นไปไม่ได้เลยตามเหตุและผลในบันทึ กแจ้งข้อ กล่าวหาในข้อ ๔ หน้าที่ ๖ ที่กล่าวหาต่อข้าพเจ้าว่าข้าพเจ้าได้รับรู้หนังสื อสานักงานการตรวจเงิน แผ่นดิ นฉบับลงวันที่ ๓๐ มกราคม ๒๕๕๗ ว่าการดาเนิ นโครงการรับจานาข้าวเปลือกได้เกิ ด ผลกระทบสร้างความเสี ยหายแล้วข้าพเจ้าละเลยไม่สั่งระงับยับยั้งการดาเนินโครงการรับจานา ข้าวเสี ยในทางกลับกันขอให้คณะกรรมการ ปปช.รายอื่นซึ่ งมิใช่รายศาสตรจารย์พิเศษ วิชา ฯ ได้ โปรดทบทวนตรวจสอบเรี ยงวันเวลาแล้วจัดพบว่าการรี บเร่ งดาเนิ นการโดยสานักงานการตรวจ เงินแผ่นดินได้มีหนังสื อดังกล่าวลงวันที่ ๓๐ มกราคม ๒๕๕๗ และในวันรุ่ งขึ้นจะโดยบังเอิญ หรื อไม่แต่ข อตั้งข้อสัง เกตว่าคณะกรรมการ ปปช.มี ห นังสื อถึง ข้าพเจ้า ลงวันที่ ๓๑ มกราคม


๑๑๙

๒๕๕๗ ตามหนังสื อที่ ปช ๐๐๑๒/๐๐๙๘ แจ้งการกาหนดให้คณะกรรมการ ปปช.ทั้งคณะเป็ น องค์คณะในการไต่สวนภายหลังที่สานักงานการตรวจเงินแผ่นดินมีหนังสือในวันที่ ๓๐ มกราคม ๒๕๕๗ เพียงวันเดียวและในที่สุดคณะกรรมการ ปปช.ก็ได้นาหนังสื อของสานักงานการตรวจ เงินแผ่นดินดังกล่าวข้างต้นมากล่าวอ้างเป็ นพยานหลักฐานในการแจ้งข้อกล่าวหาเอากับข้าพเจ้า ในประเด็นที่นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ อภิ ปรายไม่ไว้วางใจต่อตัวข้าพเจ้าเมื่อวันที่ ๒๕-๒๗ พฤศจิ ก ายน ๒๕๕๕ ในค าอภิ ป รายหน้า ที่ ๓๓๕ “ ผมก็ถือ เอาตามหนัง สื อ ของ กระทรวงการคลัง ถึ ง ครม. เช่ น เดี ย วกัน ลงวัน ที่ ๓ ตุ ล าคม ๒๕๕๕ เขี ย นไว้ชัด ครั บ ตาม สมมุติฐานของท่า นเลยนะครับ เขีย นว่า หากกรณี ระบายผลลิตผลที่ รับจานาได้ใน ๓ ปี จะมี ภาระการบริ ห ารการปรับโครวกสร้างหนี้ เฉลี่ย ปี ๒๒๔,๕๕๓ ล้านบาท ปี ละ ๒๒๔,๕๕๓ ล้านบาท” ก็เป็ นเรื่ องเดียวกันกับที่ ขา้ พเจ้าได้กล่าวข้างต้นเพราะหนังสื อกระทรวงการคลังลง วันที่ ๓ ตุลาคม ๒๕๕๕ เป็ นการอ้างอิงเรื่ องรายงานคณะอนุกรรมการปิ ดบัญชีโครงการรับจานา ข้าวเปลือกในข้อ ๒.๑ ของหนังสื อกระทรวงการคลังโดยมีจุดประสงค์เพื่อให้มีการประเมินผล กระทบโครงการและแนวทางการบริ ห ารจัด การวงเงินสาหรับการดาเนิ นโครงการอย่างเป็ น รู ปธรรมและคาอภิปรายของนายอภิสิ ทธิ์ ในประเด็นนี้ ย งั ไม่อาจรับฟั งเป็ นพยานหลัก ฐานได้ เพราะในประเด็น เรื่ องผลขาดทุ น ที่ น ายอภิ สิ ท ธิ์ อภิ ป รายถึง กระทรวงการคลัง ก็ ไ ด้ช้ ี ข ้อไม่ สมบูรณ์ดงั ที่กล่าวมา ความเห็นของกระทรวงพาณิชย์ ทชี่ ี้ข้อไม่สมบูรณ์ของรายงาน ได้ แก่ ๑.การแต่ ง ตั้ งคณะอนุ ก รรมการปิ ดบั ญ ชี โ ครงการรั บ จ าน าข้ า วเปลื อ กมี สาระสาคัญของการแต่งตั้งและการดาเนินงานดังนี้ ๑.๑ข้าพเจ้าในฐานะประธานคณะกรรมการนโยบายข้าวแห่งชาติ ได้ให้ความสาคัญ มี ความบริ สุ ทธิ์ ใจ และมี ความตั้งใจที่ จะดูแลตรวจสอบ การด าเนิ นการรั บจ าน าข้าว และการปิ ดบัญชี โครงการรับจานาข้าวเป็ นการเฉพาะจึงมีคาสั่งให้แต่งตั้งคณะอนุกรรมการ ปิ ดบัญชีโครงการรับจานา ข้าวเปลือกตามนโยบายของรัฐบาล เมื่อวันที่ ๒๔ กุมภาพันธ์ ๒๕๕๕ โดยที่คณะอนุกรรมการมี หน้าที่ พิจารณาบริ หารจัดการเงินกู้จนกว่าจะชาระแล้วเสร็ จ สรุ ปภาระหนี้ สิ น และก าหนดแนว ทางการจัดหาเงินทุนเพื่อชาระหนี้ คืนให้แก่ ธ.ก.ส. และรายงานการดาเนิ นงานต่อ กขช. ต่อไป


๑๒๐

ซึ่ งรัฐบาลชุดที่ผา่ นมาแต่งตั้งคณะกรรมการปิ ดบัญชีโครงการรับจานาผลิตผลทางการเกษตรตาม นโยบายรัฐบาล ให้ดูแลการปิ ดบัญชีสินค้าเกษตรทั้งหมดรวมกัน ๑.๒ จากภารกิจตามข้อ ๑.๑ คณะอนุกรรมการฯจึ งต้องจัดทาบัญชีเพื่อการชาระ หนี้ ดัง นั้ นประมาณการต่ า ง ๆ จะให้ มู ล ค่ า ที่ มี ร าคาต่ า ที่ สุ ด ซึ่ งอาจไม่ ต รงกับ ข้อ เท็ จ จริ ง โดยเฉพาะอย่างยิ่งกับสิ่ ง ที่ ยงั ไม่เกิ ดขึ้ น เช่นมูลค่าของสิ นค้าคงเหลือ (สิ นค้าที่ จะต้องขายใน อนาคต) จะใช้ในการประเมินราคาต่าที่ สุด ซึ่ งจะทาให้มูลค่าการขาดทุนสู ง เพื่อให้รั ฐเตรี ย ม งบประมาณจานวนมากที่สุดเพื่อการชาระหนี้ ๒.จากที่ คณะอนุ กรรมการปิ ดบัญชีโครงการรับจ านาข้าวเปลือกตามนโยบายของ รัฐบาล ได้นารายงานผลการดาเนินงานและข้อเสนอแนะจากการปิ ดบัญชีโครงการรับจานาผลิตผล การเกษตร ณ วันที่ ๓๑ มกราคม ๒๕๕๖ โดยโครงการรับ จานาข้าวเปลือกนาปี ปี การผลิต ๒๕๕๔/๕๕ โครงการรับจานาข้าวเปลือกนาปรัง ปี ๒๕๕๕ และโครงการรับจานาข้าวเปลือก นาปี ปี การผลิต ๒๕๕๕/๕๖ มีผลขาดทุนเพิ่มเติม จานวน ๒๒๐,๙๖๘.๗๘๐ ล้านบาท เสนอต่อ คณะกรรมการนโยบายข้าวแห่ งชาติ (กขช.) ที่มีการประชุมเมื่อวันที่ ๑๓ มิถนุ ายน ๒๕๕๖ ได้มี ข้อโต้แย้ง ดังนี้ ๒.๑ การคานวณสต็อกข้ าวคงเหลือ ตามมาตรฐานการบัญชี สามารถ คานวณโดยใช้ราคาต้นทุนหรื อราคาตลาด หรื อราคาจาหน่าย ซึ่ งคณะอนุกรรมการปิ ดบัญชีได้ อ้างอิงราคาตลาดมาใช้ในการคานวณสิ นค้าคงเหลือ เนื่องจากเป็ นราคาที่ต่าที่สุด ทาให้มีผลการ ขาดทุนดังที่กล่าวมาข้างต้น แต่หากใช้วธิ ีราคาต้นทุนมูลค่าสต็อกคงเหลือจะเพิ่มขึ้น ทาให้การ ขาดทุนลดลงถึง ๑๑๓,๐๐๐ ล้านบาท จะเห็นได้วา่ การประมาณการมูลค่าสต็อกคงเหลือด้วยวิธี ต่าง ๆ จะมีผลกาไร/ขาดทุนแตกต่างกันมาก และเป็ นเรื่ องอนาคตที่ไม่มีผใู้ ดจะตัดสิ นได้วา่ วิธีการใดถูกต้องจนกว่าจะได้มีการขายสต็อกคงเหลือนั้นแล้ว ดังนั้น ที่ประชุม กขช. จึงยังไม่มี ข้อยุติในเรื่ องนี้ ๒.๒ การคานวณมูลค่ าข้ าวคงเหลือของปี ๒๕๕๕/๕๖ ไม่ ได้ นาข้ าวที่อยู่ ระหว่ างการสี แปรสภาพและอยู่ระหว่ างการส่ งมอบ จานวน ๒.๕๙๓ ล้ านตันข้ าวสาร มาคานวณ ด้ วย เนื่องจากในแบบฟอร์มที่ฝ่ายเลขานุการคณะอนุกรรมการปิ ดบัญชีฯ (ธ.ก.ส.) ได้จดั ทา ไม่ได้ กาหนดให้กรอกข้อมูลข้าวที่อยูร่ ะหว่างการสี แปรสภาพและอยูร่ ะหว่างการส่งมอบ เพียงแต่ระบุ ให้ก รอกข้อมูลข้าวคงเหลือในสต็อก ทาง อคส./อ.ต.ก. จึ งไม่ได้ก รอกข้อมูลในส่ วนนี้ ให้ฝ่าย เลขานุการฯ หากใช้วธิ ี คานวณจากต้นทุนจะมีมูลค่า ๖๔,๔๘๕ ล้านบาท และหากใช้วิธีคานวณ


๑๒๑

ตามวิธีของคณะอนุกรรมการปิ ดบัญชีฯ จะมีมูลค่า ๔๒,๖๕๕ ล้านบาท ทาให้การขาดทุนลดลง อย่างน้อย ๔๒.๖๕๕ ล้านบาท ๒.๓ คณะอนุกรรมการปิ ดบัญชีไม่ได้บนั ทึกบัญชี ปริมาณข้ าวในโครงการ รั บจาน าที่ได้ น า ไปบริ จ าคขายข้ าวราคาถู ก ให้ ป ระชาชน (ธงฟ้ า) และขายให้ อ งค์ ก รของรั ฐ จานวน ๗๑๑,๗๑๒ ตัน เป็ นการช่วยเหลือประชาชนและหน่ วยงานของรัฐ จึงไม่ควรเป็ นภาระ ขาดทุนของโครงการฯ มีมูลค่าตามที่คณะรัฐมนตรี มีมติเมื่ อวันที่ ๒๒ ตุลาคม ๒๕๕๖ อนุมัติ งบประมาณเพื่อชดเชยส่ วนต่างของราคาที่จาหน่ายกับราคาตลาดในวงเงิน ๗,๐๔๘.๑๔๗ ล้าน บาท ๓. จากการประชุมคณะกรรมการนโยบายข้ าวแห่ งชาติ (กขช.) ครั้งนั้น (๑๓ มิถุนายน ๒๕๕๖) คณะกรรมการฯ ยังได้ปรึกษาหารือกันถึงผลประโยชน์ เพิ่มเติมของ โครงการฯ สรุปได้ ดังนี้ ชาวนาที่เข้าร่ วมโครงการจานาข้าว (มีขา้ วเปลือกรวม ๓๑ ล้านตัน ใน ๓ ฤดูกาล) จะขายข้าว ได้ราคาสู งขึ้นประมาณตันละ ๖,๐๐๐ บาท รวมเป็ นเงินประมาณ ๑๙๐,๐๐๐ ล้าน บาท ส่วนชาวนาที่ไม่ได้เข้าร่ วมโครงการฯ (มีขา้ วเปลือกรวม ๓๖ ล้านตัน ใน ๓ ฤดูกาล) จะขาย ข้า วได้ร าคาสู ง ขึ้ น ประมาณตัน ละ ๒,๕๐๐ บาท เป็ นเงิ น ประมาณ ๙๐,๐๐๐ ล้า นบาท รวม ผลประโยชน์ที่ชาวนาได้รับเพิ่มขึ้น ๒๘๐,๐๐๐ ล้านบาท ซึ่ งส่ วนใหญ่ชาวนาก็จะนาเงินไปใช้ จ่าย ตามหลักเศรษฐศาสตร์ เงินดังกล่าวจะหมุนเวีย นในระบบเศรษฐกิ จ อีก ประมาณ ๓ รอบ ส่งผลให้ได้ภาษีที่เพิ่มขึ้น เช่น VAT เพิ่มขึ้นประมาณ ๕๘,๐๐๐ ล้านบาท ภาษีรายได้จากบริ ษทั ห้างร้านที่ขายสิ นค้า ๓๘,๐๐๐ ล้านบาท รายได้จากการจ้างงานเพิ่มขึ้น ๑๖,๘๐๐ ล้านบาท รวม ผลประโยชน์ที่ชาวนาและระบบเศรษฐกิจของประเทศได้รับ ๓๙๔,๐๐๐ ล้านบาท อีกทั้ง ปรากฏข้อเท็จจริ งว่าจากการดาเนินโครงการรับจานาข้าวเปลือกที่ผา่ นมารัฐบาล สามารถทาให้เกษตรกรได้รับผลประโยชน์เพิ่มขึ้นคิดเป็ นมูลค่า ๓๓๘,๕๖๒ ล้านบาท ปรากฏ ตามหนังสื อกระทรวงพาณิ ชย์ ด่วนที่สุด ที่ พณ ๐๔๑๔/๒๑๕๘ ลงวันที่ ๑๘ มิถุนายน ๒๕๕๖ เรื่ อง รายงานผลการประชุมคณะกรรมการนโยบายข้าวแห่ งชาติ ครั้งที่ ๔/๒๕๕๖ พยานเอกสาร ในลาดับที่ ๔๔ ข้ า พเจ้ า ขออ้ างสื บ พยานบุ ค คลรายนายนิ วั ฒ น์ ธ ารง บุ ญ ทรงไพศาล รอง นายกรัฐ มนตรี และรัฐ มนตรีว่ากระทรวงพาณิชย์ ซึ่ งเป็ นผู้ รู้ ข้อ เท็จจริ งเกี่ย วกับ โครงการรั บ


๑๒๒

จานาข้ าวทั้งในส่ วนกระบวนการรับจานา และกระบวนการระบายข้ าวเป็ นพยานบุคคลเพื่อนา สืบหักล้ างข้ อกล่ าวหาของคณะกรรมการ ป.ป.ช. ในประเด็นเรื่องโครงการรับจานาข้ าวเสี ยหาย ถึงขนาดต้ องยุติโครงการและข้ ออ้ างความเสี ยหายในเรื่องผลขาดทุนรวม ๒๒๐,๙๖๘.๗๘ ล้ าน บาท ตามรายงานคณะอนุกรรมการปิ ดบัญชี เมื่อวันที่ ๒๓ พฤษภาคม ๒๕๕๖ มีข้อไม่ สมบูรณ์ ไม่ ถู ก ต้ อง และไม่ ใช่ พ ยานหลักฐานที่ควรเชื่ อได้ ว่าโครงการรับจานาข้ าวมีความเสี ยหายถึง ขนาดที่จะต้ องระงับยับ ยั้งและยุติโครงการเสี ย และนาสื บถึงการดาเนินการตามขั้นตอนและ กระบวนการในโครงการรับจานาข้ าวในส่ วนของการรับจานาและการระบายข้ าว ณ ปัจจุบัน ไม่ เกิดความเสี ยหายจนถึงขนาดที่จะต้ องระงับยับยั้งและยุติโครงการเสี ย และความเสี ยหายยังไม่ เป็ นรู ปธรรม ชั ด เจน เพี ย งพอ จนถึงขนาดต้ อ งยุ ติห รื อ ระงับ ยั บ ยั้ง โครงการรั บ จาน าข้ าว รวมทั้งปัจจุบันไม่ มีมาตรการแทรกแซงกลไกราคาตลาดและสภาวะการซื้อขายและส่ งออกข้ าว ในปัจจุบัน พยานบุคคลในลาดับที่ ๑๑ อย่างไรก็ดีคณะกรรมการนโยบายข้าวแห่งชาติหาได้มีเจตนาพิเศษที่จะละเลย ไม่ สนใจ ไม่นาพาในการรักษาไว้ซ่ ึ งประโยชน์สูงสุ ดของทางราชการที่สมควรจะได้รับการป้ องกัน ความเสี ยหายแก่ประเทศชาติ หรื อความเสี ยหายอันจะเป็ นภาระต่อระบบการคลังของประเทศและ เงินงบประมาณของแผ่นดิน โดยคณะกรรมการนโยบายข้าวแห่งชาติได้มีการประชุมครั้งที่ ๓/ ๒๕๕๖ เมื่อวันที่ ๑๓ มิถุนายน ๒๕๕๖ และมีการวิเคราะห์ ผลการปิ ดบัญชีโครงการรับจานา ผลิตผลการเกษตรของคณะอนุกรรมารปิ ดบัญชีตามหนังสื อกระทรวงการคลัง ลับ ด่วนที่สุด ที่ กค ๐๒๐๑/๘๐๘๑ ลงวันที่ ๒๓ พฤษภาคม ๒๕๕๖ ดังนี้ “ ๒.๑การคานวณมูลค่าข้าวคงเหลือ ของปี ๒๕๕๕/๕๖ ยังไม่ได้นาข้าวที่อยู่ระหว่างการสี แปรสภาพและอยู่ระหว่างการส่ งมอบมา คานวณปิ ดบัญชี เนื่องจากมีการรัยจานาข้าวเปลือก ณ วันที่ ๓๑ มกราคม ๒๕๕๖ จานวน ๙.๙๓๓ ล้านตัน มีขา้ วคงเหลือเป็ นข้าวเปลือก ๒.๙๖๒ ล้านตัน คงเหลือข้าวเปลือกที่นามาสี แปรสภาพ เป็ นข้าวสาร ๖.๙๘๐ ล้านตัน ซึ่ งคิดเป็ นข้าวสารประมาณ ๔.๓๓๐ ล้านบาท แต่ตามที่ปิดบัญชีมี สต็อกข้าวสาร ๑.๖๔๔ ล้านตัน และจาหน่ายไปแล้วจานวน ๙๒,๖๑๘ ตัน รวมเป็ น ๑.๗๓๗ ล้าน บาท ดังนั้นจึ งมี ขา้ วสารที่ยงั ไม่ได้รับมอบอีก จานวน ๒.๕๙๓ ล้านตัน คานวณเป็ นต้นทุนได้ ประมาณ ๖๔.๔๘๖ ล้า นบาท ซึ่ งยัง ไม่ไ ด้น ามาคิ ด เป็ นข้า วคงเหลือเพื่อ ปิ ดบัญ ชี (ประธาน คณะอนุกรรมการปิ ดบัญชีโครงการรับจานาข้าวเปลือกตามนโยบายรัฐบาลชี้แจงว่า ได้ทาบัญชี โดยลงบันทึกมูลค่าสิ นค้าคงเหลือของโครงการรัยจานาข้าวเปลือกตามนโยบายรัฐบาลชี้แจงว่า


๑๒๓

ได้ทาบัญชีโดยลงบัญชีมูลค่าสิ นค้าคงเหลือของโครงการรับจานาข้าวเปลือก ปี ๒๕๕๕/๕๖ ไว้ ครบถ้วนตามที่ได้รับแจ้งจากองค์การคลังสินค้า (อคส.) และองค์การตลาดเพื่อเกษตรกร (อ.ต.ก.) ทั้งหมดแล้ว โดยไม่ปรากฏรายการข้าวสารที่ยงั ไม่ได้รับมอบ ) ปรากฏตามสรุ ปผลการประชุม คณะกรรมการนโยบายข้าวแห่ งชาติ ครั้งที่ ๓/๒๕๕๖ วันพฤหัส บดี ที่ ๑๓ มิถุนายน ๒๕๕๖ พยานเอกสารในลาดับที่ ๔๕ ถือเป็ นพยานหลักฐานที่สาคัญที่หักล้างข้อไม่สมบูรณ์จากรายงาน ของคณะอนุกรรมการปิ ดบัญชีฯและเมื่อวันที่ ๑๗ มิถนุ ายน ๒๕๕๖ คณะกรรมการนโยบายข้าว แห่งขาติได้มีการประชุมครั้งที่ ๔/๒๕๕๖ เพื่อให้เป็ นไปต่อประโยชน์สูงสุดของทางราชการใน การตรวจสอบ กากับ ควบคุม ดูแล ในการตรวจสอบข้อเท็จจริ งและข้อมูลปริ มาณข้าวคงเหลือ ของโรงสี และโกดังกลางที่เข้าร่ วมโครงการรับจานาข้าวเปลือก ตามรายละเอียดในข้อ ๑.๒ ของ สรุ ปผลการประชุมคณะกรรมการนโยบายข้าวแห่งชาติครั้งที่ ๔/๒๕๕๖ ขอถือเป็ นพยานเอกสาร ในลาดับที่ ๔๖ ดังนี้ “๑.๒ เห็ น ชอบให้ แ ต่ง ตั้ง คณะทางานตรวจสอบข้อเท็จ จริ ง และปริ ม าณข้า ว คงเหลื อ ของ อคส. และ อ.ต.ก. ณ วัน ที่ ๓๑ พฤษภาคม ๒๕๕๖ โดยมี ร องเลขาธิ ก าร นายกรัฐมนตรี ฝ่ายการเมื อง (พล.ต.ต ธวัช บุญ เฟื่ อง)เป็ นประธาน หน่ วยงานที่เกี่ ยวข้อง และ ประธานคณะอนุ กรรมการปิ ดบัญ ชีฯ หรื อผูแ้ ทน ร่ วมเป็ นคณะทางาน และผูแ้ ทนกรมการค้า ภายใน เป็ นคณะทางานและเลขานุก าร ทาหน้าที่ ตรวจสอบข้อเท็จ จริ งและข้อมูลปริ มาณข้า ว คงเหลือของโรงสี และโกดังกลางที่เข้าร่ วมโครงการรับจานาข้าวเปลือกนาปี ปี การผลิต ๒๕๕๔/ ๕๕ โครงการรับจานาข้าวเปลือกนาปรัง ปี ๒๕๕๕ และโครงการรับจานาข้าวเปลือกปี การผลิต ๒๕๕๕/๕๖ ครั้งที่ ๑ ขององค์การคลังสิ นค้า และองค์การตลาดเพื่อเกษตรกร และให้นาเสนอผล การตรวจสอบต่อคณะอนุกรรมการปิ ดบัญ ชีโครงการรับจานาข้าวเปลือกตามนโยบายรัฐบาล ดาเนินการในสาวนที่เกี่ยวข้องต่อไป” เป็ นพฤติการณ์ในการแสดงออกของคณะกรรมการนโยบายข้าวแห่งชาติในการสร้าง ความโปร่ งใสของโครงการหาได้มีเจตนาพิเศษเพื่อให้เกิดการทุจริ ตเชิงนโยบายแต่อย่างใด ข้ าพเจ้ าขออ้ างสื บพยานบุคคลราย พล.ต.ต ธวัช บุญเฟื่ อง และ พล.ต.อ. วรพงษ์ ชิวปรีชา รองผู้บัญชาการตารวจแห่ งชาติ เพื่อนาสืบหักล้ างข้ อมูลปริมาณข้ าวคงเหลือของโรงสี และโกดั งกลางที่เ ข้ าร่ ว มโครงการรั บ จ าน าข้ าวเปลื อ กดั งกล่ าวข้ างต้ น เพื่ อ หั ก ล้ างรายงาน คณะอนุกรรมการปิ ดบัญชีฯ นางสาวสุ ภาฯเพื่อให้ คณะกรรมการ ป.ป.ช. ไม่ อาจเชื่อถือรายงาน


๑๒๔

คณะอนุ กรรมการปิ ดบัญชี เป็ นพยานหลักฐานชี้มูล ความผิด ต่ อตัวข้ าพเจ้ าได้ พยานบุ คคลใน ลาดับที่ ๓และ ๔ ต่อมาเมื่อวันที่ ๑๘ มิถุนายน ๒๕๕๖ นายวราเทพ รัตนากร รัฐมนตรี ประจาสานัก นายกรัฐมนตรี ได้ทาหนัง สื อ เรื่ อง การรวบรวมข้อมูล ข้ อเสนอแนะของส่ วนราชการ และ หน่วยงานต่างๆ ที่เกี่ ยวข้องในการดาเนิ นโครงการรับจานาข้าวเปลือกตามนโยบายของรัฐบาล และข้อเสนอแนะต่อข้าพเจ้า และข้าพเจ้าเห็นว่าเป็ นไปเพื่อประโยชน์ของทางราชการเป็ นสาคัญ โดยให้มีการนาเรื่ องที่ เสนอดังกล่าวข้าวสู่ ที่ประชุมของคณะกรรมการนโยบายข้า วแห่ ง ชาติ ปรากฏตามหนังสื อกระทรวงพาณิ ชย์ ฉบับลงวันที่ ๑๘ มิถุนายน ๒๕๕๖ เรื่ อง รายงานผลการ ประชุ ม คณะกรรมการนโยบายข้า วแห่ ง ชาติ ครั้ งที่ ๔/๒๕๕๖ โดยข้า พเจ้า มอบหมายให้ รัฐมนตรี วา่ การเกษตรพาณิชย์รองประธาน กขช. เป็ นประธานแทน สาระสาคัญของการประชุมมี ดังนี้ (๑) การบัญชีโครงการรับจานามีขอ้ สังเกตเรื่ องการคานวณสต็อกคงเหลือ (๒) การปิ ดบัญชีโครงการรับจานาข้าวเปลือกปี ๒๕๕๕/๕๖ ที่ประชุมเห็นว่าข้อมูลยัง มีความคลาดเคลื่อนในที่สุดที่ประชุมเห็นว่ามีแนวทางการปรับปรุ งโครงการรับจานาข้าวเปลือก ในปี ๒๕๕๖/๕๗ ใน ๔ ด้าน เพื่อป้ องกันความเสี่ ยหายต่อโครงการรับจานาข้าว และแก้ขอ้ จากัด วงเงินเพื่อให้ส อดคล้องกับแนวทางการจัดทางบประมาสมดุลของประเทศตามข้อเสนอของ กระทรวงการคลัง ดังนี้ “ด้านราคารับจานาซึ่ งมีแนวทางการปรับลดราคารับจานา คือ ๑.ใช้ราคาต้นทุน การผลิต +กาไรที่เกษตรกรควรจะได้รับ ประมาณร้อยละ ๒๕ เช่นเดียวกับสิ นค้าเกษตรอื่นๆ ที่ รัฐบาลจะดาเนิ นการแทรกแซงตลาด ๒. ใช้ราคารับจานาเดิมปรับลดลงร้อยละ ๑๕-๒๐ ๓.ใช้ ราคานาตลาดร้อยละ ๑๐ ซึ่ งจะทาให้ราคารับจานาข้าวเปลือกเจ้านาปี ๕ % มีราคาประมาณตันละ ๑๒,๐๐๐ – ๑๓,๐๐๐ บาท ด้านปริ มาณรับจานา การก าหนดปริ มาณรับจานาทั้งโครงการไว้ เช่นเดียวกับโครงการรับจานามันสาปะหลัง เช่น กาหนดปริ มาณรับจานาทั้งโครงการ ปี ๒๕๕๖/ ๕๗ (ทั้งนาปี + นาปรัง) ไม่เกิ น๑๗ ล้านตันข้าวเปลือก จากัดปริ มาณรับจานาของเกษตรกรไม่ เกินครัวเรื อนละ ๒๕ ตัน เป็ นต้น ด้านวงเงินที่รับจานาของเกษตรกรแต่ละราย โดยจากัดวงเงิน รับจานาข้าวเปลือกของเกษตรกรไม่เกิน ๓๐๐,๐๐๐ – ๕๐๐,๐๐๐ บาท/ครัวเรื อน ด้านระยะเวลารับ จานา โดยก าหนดระยะเวลาการรั บจานาข้าวเปลือกนาปี ระหว่างเดื อนพฤศจิ ก ายน ๒๕๕๖-


๑๒๕

กุมภาพันธ์ ๒๕๕๗ และข้าวเปลือกนาปรัง ระหว่างเดื อนมี น าคม –กรกฎาคม ๒๕๕๗ ทัง นี้ มอบหมายฝ่ ายเลขานุการฯ รวบรวมข้อมูลและศึกษาทางเลือกข้างต้นพร้อมทั้งการกาหนดเงื่อนไข ประกอบ เพื่อจากัดวงเงิน ภาระค่าใช้จ่าย และผลขาดทุนที่เกิดขึ้นไม่ให้เกินวงเงินปี ละ ประมาณ ๗๐,๐๐๐ ล้านบาท เพื่อให้สอดคล้องกับแนวทางการจัดทางบประมาณสมดุลของประเทศตาม ข้อเสนอของกระทรวงการคลัง” ข้ าพเจ้าขออ้ างสื บพยานบุคคลรายนายวราเทพ รัตนากร รัฐมนตรีประจาสานัก นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ เพื่อนาสืบแก้ ข้อกล่ าวหาใน ประเด็นรายงานคณะอนุกรรมการปิ ดบัญชีรายนางสาวสุ ภาฯ ยังมีข้อไม่สมบูรณ์ มีข้อสังเกตใน การจัดทารายงานโดยพยานบุ คคลดังกล่ าวเป็ นผู้เข้ าไปรวบรวมข้ อมูล ข้ อเสนอแนะของส่ วน ราชการ และหน่ วยงานต่ างๆ ที่เกี่ยวข้ องในการดาเนินโครงการรับจานาข้ าวเปลือกตามนโยบาย ของรัฐบาล และข้ อเสนอแนะต่ อข้ าพเจ้า ภายหลังทีน่ างสาวสุ ภาฯ ประธานคณะอนุกรรมการปิ ด บัญ ชีฯ จัด ทารายงานทาให้ เกิดข้ อ มูล ต่ อสาธารณะที่ไม่ ถูก ต้ องจึงเป็ นผู้ เข้ าไปตรวจสอบและ รวบรวมข้ อ มูล ข้ อ เสนอแนะของส่ วนราชการดังกล่ าวข้ างต้ น และนาเสนอต่ อ ข้ าพเจ้ า และ ข้ าพเจ้ าเห็ นว่ าเป็ นไปเพื่อ ประโยชน์ ของทางราชการเป็ นสาคัญ โดยให้ มีก ารนาเรื่ อ งที่เสนอ ดังกล่ าวข้ าวสู่ ที่ประชุ มของคณะกรรมการนโยบายข้ าวแห่ งชาติปรากฏตามหนังสื อกระทรวง พาณิชย์ ฉบับลงวันที่ ๑๘ มิถุนายน ๒๕๕๖ เรื่อง รายงานผลการประชุมคณะกรรมการนโยบาย ข้ าวแห่ งชาติ ครั้งที่ ๔/๒๕๕๖ นอกจากนี้ ข้าพเจ้ามีพยานหลักฐานที่จะสนับสนุนให้คณะกรรมการ ป.ป.ช. เห็น ว่า เมื่ อรัฐบาลได้รับหนัง สื อสานัก งาน ป.ป.ช. ตามหนัง สื อที่ ปช. ๐๐๐๓/๐๑๙๘ ลงวันที่ ๓๐ เมษายน ๒๕๕๕ ส่ งข้อเสนอแนะเพื่อป้ องกันการทุจริ ตกรกรณีการดาเนินการตามนโยบายของ รัฐบาลในการรับจานาข้าวเปลือก รัฐบาล ได้ให้ความสนใจรวมทั้งหน่วยงานของรัฐที่เกี่ยวข้องใน การบริ หารราชการแผ่นดินรวมทั้งหน่วยงานของรัฐที่เป็ นผูป้ ฏิบตั ิในโครงการรับจานาข้าวทุก หน่ วยล้วนแต่ไ ด้รั บข้อเสนอแนะเพื่อป้ องกันการทุจ ริ ตกรณี การดาเนิ นการตามนโยบายของ รัฐบาลไปพิจารณาดาเนิ นการทั้งสิ้ น อาทิ เช่น สานักงบประมาณ กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ กระทรวงพาณิ ชย์ ส านัก งานคณะกรรมการกฤษฎี ก า ส านัก งานคณะกรรมการพัฒ นาการ เศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ กระทรวงการคลัง เป็ นต้น โดยสานักงานเลขาธิการนกยกรัฐมนตรี เป็ นผูด้ าเนินการเพื่อให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องรับข้อเสนอแนะไปพิจารณา โดยเฉพาะกระทรวง


๑๒๖

พาณิชย์ แม้จะเห็นต่างกลับทางคณะกรรมการ ป.ป.ช.ในบางเรื่ อง อาทิ เช่น เรื่ องการระบายข้าวแต่ กระทรวงพาณิ ชย์ได้มีก ารติดตามและประเมิ นผลโครงการรั บจานาข้าวด้วย ปรากฏตาม ๑.) หนังสื อสานักงบประมาณ ด่วนที่สุด ที่ นร ๐๗๐๕/๔๙๖ ลงวันที่ ๓๐ พฤษภาคม ๒๕๕๕ เรื่ อง ข้อเสนอแนะเพื่ อป้ องกัน การทุจ ริ ตกรณี ก ารด าเนิ นตามนโยบายของรั ฐบาลในการรั บจ าน า ข้าวเปลือก พยานเอกสารในลาดับที่ ๔๗ ๒.)หนังสื อกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ ด่วนที่สุด ที่ กษ ๑๐๐๔/๑๔๘๑ ลงวันที่ ๒๕ พฤษภาคม ๒๕๕๕ เรื่ อง ข้อเสนอแนะเพื่อป้ องกันการทุจริ ต กรณี การดาเนิ นตามนโยบายของรัฐบาลในการรับจานาข้าวเปลือกพยานเอกสารในลาดับที่ ๔๘ ๓.)หนังสื อสานักงานคณะกรรมการพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ ด่วนที่สุด ที่ นร ๑๑๑๔/ ๒๙๘๙ ลงวันที่ ๒๘ พฤษภาคม ๒๕๕๕ เรื่ อง ข้อเสนอแนะเพื่อป้ องกันการทุจริ ตกรณี การ ดาเนิ นตามนโยบายของรัฐบาลในการรับจานาข้าวเปลือก พยานเอกสารในล าดับที่ ๔๙ ๔.) หนังสื อสานักงานคณะกรรมการกฤษฎีกา ด่วนที่สุด ที่ นร ๐๙๐๑/๐๖๕๑ ลงวันที่ ๑๕ มิถนุ ายน ๒๕๕๕ เรื่ อง ข้อเสนอแนะเพื่อป้ องกันการทุจริ ตกรณีการดาเนินตามนโยบายของรัฐบาลในการ จานาข้าวเปลือก พยานเอกสารในลาดับที่ ๕๐ ๕.) หนังสื อกระทรวงพาณิ ชย์ ด่วนที่สุด ที่ พณ ๐๔๑๔/๑๙๖๗ ลงวันที่ ๑๘ มิถนุ ายน ๒๕๕๕ เรื่ อง ข้อเสนอแนะเพื่อป้ องกันการทุจริ ตกรณีการ ดาเนิ นตามนโยบายของรัฐบาลในการรับจานาข้าวเปลือก พยานเอกสารในลาดับที่ ๕๑ ๖.) หนัง สื อ กระทรวงการคลัง ที่ กค ๑๐๐๖/๑๐๘๒๒ ลงวัน ที่ ๒๒ มิ ถุน ายน ๒๕๕๕ เรื่ อ ง ข้อเสนอแนะเพื่ อป้ องกัน การทุจ ริ ตกรณี ก ารด าเนิ นตามนโยบายของรั ฐบาลในการรั บจ าน า ข้าวเปลือก สาหรับกรณีที่สานักเลขาธิ การคณะรัฐมนตรี มีหนังสื อ ด่วนที่สุด ที่ นร ๐๕๐๖/ ๐๖๓๓๔ ลงวันที่ ๒๒ มิถุนายน ๒๕๕๕ แจ้งให้ทราบว่าคณะรัฐมนตรี ในคราวประชุมเมื่อวันที่ ๑๙ มิ ถุน ายน ๒๕๕๕ ได้พิ จ ารณาและยื น ยัน ว่า การด าเนิ น โครงการรั บ จ าน าข้า วเปลื อ กมี วัตถุประสงค์ที่เป็ นประโยชน์ต่อเกษตรกรในการยกระดับราคาพืชผลทางการเกษตร รวมทั้งเป็ น การยกระดับรายได้และคุณภาพชีวติ ให้แก่เกษตรกรในชนบทตามแนวนโยบายที่รัฐบาลได้แถลง ไว้ต่อรัฐสภาทุกประการ ซึ่ งหน่ วยงานที่ เกี่ ย วข้องได้ยืนยันว่าการด าเนิ นโครงการดังกล่าวมี มาตรการและกลไกในการควบคุม กากับ ดูแลให้เป็ นไปตามวัตถุประสงค์ข องโครงการทุก ประการ โดยเฉพาะอย่างยิ่งมีระบบการตรวจสอบให้การดาเนินการเป็ นไปด้วยความโปร่ งใสและ ตรวจสอบได้ แต่ อย่า งไรก็ต ามเพื่ อ ให้ ก ารด าเนิ น โครงการทั้ง ในระดับ พื้ น ที่ แ ละในระดับ ปฏิ บั ติ ก ารมี ป ระสิ ทธิ ภ าพและป้ องกั น การทุ จ ริ ต คณะรั ฐ มนตรี จึ ง มอบหมายให้ ร อง


๑๒๗

นายกรั ฐมนตรี (ร้ อ ยต ารวจเอกเฉลิ ม อยู่บ ารุ ง ) สั่ ง การให้ ห น่ ว ยงานในก ากับ ด าเนิ น การ ตรวจสอบเพื่ อ ป้ องกั น การทุ จ ริ ตในระดั บ ปฏิ บั ติ โดยให้ ห น่ ว ยงานที่ เกี่ ยวข้ อ ง เช่ น กระทรวงการคลัง กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ และกระทรวงพาณิชย์ ให้ความร่ วมมือหากตรวจ พบกรณีการทุจริ ตให้ดาเนินการตามกฎหมายอย่างเคร่ งครัดต่อไป นั้น ตามบันทึกแจ้งข้อกล่าวหา ของคณะกรรมการ ป.ป.ช. ในข้อ ๓ วรรคสอง นั้น รัฐบาลได้ดาเนินการ ป้ องกันและปราบปราม การทุจริ ตในโครงการรับจานาข้าว ตามข้อเสนอแนะของคณะกรรมการ ป.ป.ช. เพื่อป้ องกันการ ทุจริ ตหรื อแสวงหาประโยชน์ที่มิควรได้โดยชอบด้วยกฎหมาย อันจะก่อให้เกิดความเสี ยหายแก่ ประเทศชาติ โดยมี ค าสั่ งส านัก นายกรั ฐมนตรี ที่ ๑๕๖/๒๕๕๕ เรื่ อง แต่งตั้ง คณะกรรมการ อานวยการตรวจสอบเพื่อป้ องกันการทุจริ ตในการรับจานาข้าว การเยียวยา ฟื้ นฟู และป้ องกันสา ธารณภั ย และการใช้ จ่ า ยเงิ น งบประมาณขององค์ ก รปกครองส่ ว นท้ อ งถิ่ น โดยมี ร อง นายกรั ฐมนตรี ร้ อยตารวจเอกเฉลิม อยู่บารุ ง และคณะกรรมการดังกล่าวได้ ดาเนิ นการวาง มาตรการ ในการตรวจสอบ ป้ องกัน และปราบปราม การทุจริ ตจากการดาเนินตามนโยบายของ รัฐบาลในการรับจานาข้าว และได้มีการดาเนิ นการพร้อมทั้งรายงานผลการดาเนินการ ปรากฏ ตามสารบัญ ๑.) สรุ ปผลการดาเนินการตรวจสอบเพื่อป้ องกันการทุจริ ตในการรับจานาข้าว ของ ศูนย์ปฏิบตั ิการอานวยการตรวจสอบเพื่อป้ องกันการทุจริ ตในการรับจานาข้าว การเยียวยา ฟื้ นฟู และป้ องกันสาธารณภัย และการใช้จ่ายเงินงบประมาณขององค์กรปกครองส่ วนท้องถิ่น ๒.) เอกสารเสนอคณะรัฐมนตรี เรื่ อง ข้อเสนอเพื่อป้ องกันการทุจริ ตกรณีการดาเนินการตามนโยบาย ของรัฐบาลในการรับจานาข้าวเปลือก ๓. ) หนังสื อสานักเลขาธิการคณะรัฐมนตรี ด่วนที่สุด ที่ นร ๐๕๐๖/๑๖๓๓๕ ลงวันที่ ๒๒ มิถุนายน ๒๕๕๕ เรื่ อง ข้อเสนอแนะเพื่อป้ องกันการทุจริ ตกรณี การดาเนินตามนโยบายของรัฐบาลในการรับจานาข้าวเปลือก ๔.) คาสั่งสานักนายกรัฐมนตรี ที่ ๑๕๖/๒๕๕๕ เรื่ อง แต่งตั้งคณะกรรมการอานวยการตรวจสอบเพื่อป้ องกันการทุจริ ตการรับ จานาข้าว การเยียวยา ฟื้ นฟู และป้ องกันสาธารณภัย และการใช้จ่ายเงินงบประมาณขององค์กร ปกครองส่ วนท้องถิน่ ๕.) สรุ ปการดาเนิ นการประชุม คณะกรรมการอานวยการตรวจสอบเพื่อ ป้ องกัน ในการรั บ จ าน าข้า ว การเยีย วยา ฟื้ นฟู และป้ องกัน สาธารณภัย และการใช้จ่ า ยเงิ น งบประมาณขององค์ก รปกครองส่ วนท้อ งถิ่น ครั้ งที่ ๑ /๒๕๕๕ ๖.)ค าสั่ ง คณะกรรมการ อานวยการตรวจสอบเพื่อป้ องกันในการรับจานาข้าว การเยียวยา ฟื้ นฟู และป้ องกันสาธารณภัย และการใช้จ่ า ยเงิน งบประมาณขององค์ก รปกครองส่ วนท้องถิ่น ที่ ๑/๒๕๕๕ ลงวันที่ ๒๗ กรกฎาคม ๒๕๕๕ เรื่ อง แต่งตั้งคณะอนุกรรมการตรวจสอบเพื่อป้ องกันการทุจริ ตในการรับจานา


๑๒๘

ข้าว การเยียวยา ฟื้ นฟู และป้ องกันสาธารณภัย และการใช้จ่ายเงินงบประมาณขององค์กรปกครอง ส่วนท้องถิ่น ๗.) คาสั่งอานวยการตรวจสอบเพื่อป้ องกันในการรับจานาข้าว การเยียวยา ฟื้ นฟู และป้ องกันสาธารณภัย และการใช้จ่ายเงินงบประมาณขององค์กรปกครองส่ วนท้องถิ่น ที่ ๒/ ๒๕๕๕ ลงวันที่ ๒๗ กรกฎาคม ๒๕๕๕ เรื่ อง จัดตั้งศูนย์ปฏิบตั ิการอานวยการตรวจสอบเพื่อ ป้ องกันการทุจ ริ ตในการรับจ านาข้า ว การเยียวยา ฟื้ นฟู และป้ องกันสาธารณภัย และการใช้ จ่ายเงินงบประมาณขององค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น ๘.) รายชื่อคณะพนักงานสื บสวนสอบสวน ของ บช.น.,บช.ภ ๑-๙ และ ศชต. กรณี ก ารทุจ ริ ตโครงการรับ จานาข้าวเปลือกนาปี ปี ผลผลิต ๒๕๕๔/๕๕ และการทุจริ ตการเยียวยาผูป้ ระสบภัย ๙.) แผนผัง แนวทางการดาเนินการตรวจสอบ เพื่อป้ องกันการทุจริ ตในการรับจานาข้าว ๑๐.)หนังสือสานักงานที่ปรึ กษา (สบ๑๐) (ด้านสื บสวน) ด่วนที่สุด ที่ ๐๐๐๑(มค๑)/๔๖๒ ลงวันที่ ๑๐ สิ งหาคม ๒๕๕๕ เรี ยน รองนายกรัฐมนตรี (ร้อย ตารวจเอกเฉลิม อยูบ่ ารุ ง) เรื่ อง รายงานผลการปฏิบตั ิของคณะฯ ๑๑.) หนังสื อ ภ.จว.สกลนคร ที่ ๐๐๑๙.(๑๒)/๓๓๘๙ ลงวันที่ ๙ สิ งหาคม ๒๕๕๕ เรี ยน ศปก.ตร.(พล.ต.อ. วรพงษ์ ชิวปรี ชา ที่ ปรึ กษา(สบ๑๐) เรื่ อง รายงานการทุจริ ตโครงการรับจานา ๑๒.)หนังสื อ ศูนย์ปฏิบตั ิการอานวยการ ตรวจสอบเพื่อป้ องกันการทุจริ ตฯ ด่วนที่สุด ที่ ๐๐๕๖/๔๖ ลงวันที่ ๔ กันยายน ๒๕๕๕ เรี ยน รองนายกรั ฐ มนตรี (ร้ อ ยต ารวจเอกเฉลิ ม อยู่บ ารุ ง ) เรื่ อ ง รายงานผลการปฏิ บัติ ข องค าสั่ ง คณะกรรมการอานวยการตรวจสอบเพื่อป้ องกันการทุจริ ตในการรับจานาข้าว ฯ ๑๓.) หนังสื อ สานักเลขาธิ การนายกรัฐมนตรี ที่ นร ๐๔๐๕(ลร๒)/๓๐/๒๕๕๕ ลงวันที่ ๖ กันยายน ๒๕๕๕ เรื่ อง รายงานผลการปฏิบตั ิของคณะกรรมการอานวยการตรวจสอบเพื่อป้ องกันการทุจริ ตในการ รับจานาข้าว การเยียวยา ฟื้ นฟู และป้ องกันสาธารณภัย และการใช้จ่ายเงินงบประมาณขององค์กร ปกครองส่วนท้องถิน่ ครั้งที่ ๑/๒๕๕๕ ปรากฏตามพยานเอกสารในลาดับที่ ๕๒ ข้อ ๑๔ . รายงานผลการด าเนิ นโครงการรับ จานาข้ าวของ สานัก งานตรวจเงิน แผ่ น ดิ น ลงวัน ที่ ๓๐ มกราคม ๒๕๕๗ ที่ร ายงานตรงต่ อ นายกรั ฐ มนตรี ใ นฐานะประธาน คณะกรรมการ กขช. นั้ น ไม่ ส มบู ร ณ์ ไม่ ถู ก ต้ อง ขาดความน่ าเชื่ อ ถื อ ไม่ อาจใช้ เป็ น พยานหลักฐาน ว่า “โครงการรับจานาข้ าวมีจดุ อ่ อนและความเสี่ยงในทุกขั้นตอน และสร้ างความ เสียหายต่ องบประมาณแผ่ นดินและเกษตรกร มีความเสี่ยงต่ อระบบการคลังของประเทศ ไม่เกิด


๑๒๙

การพัฒนาการผลิตข้ าวอย่ างยั่งยืน, ควรทบทวนและยุติการดาเนินโครงการรับจานาข้ าวเปลือก ในฤดูกาลต่ อไป” ดังที่ สานักงานตรวจเงินแผ่ นดินรายงาน เนื่องจาก ตามที่ ส านักงานตรวจเงิ นแผ่นดิ นได้เสนอรายงานการตรวจสอบการด าเนิ นงาน โครงการรับจานาข้าวเปลือกของรัฐบาล โดยอ้างอิงจากรายงานของคณะอนุกรรมการปิ ดบัญชีฯ ต่อรัฐมนตรี วา่ การกระทรวงพาณิ ชย์ และฝ่ ายเลขานุการ กขช. และฝ่ ายเลขานุการฯ ได้นาเสนอ ข้อเสนอแนะของสานักงานตรวจเงินแผ่นดิน เสนอต่อคณะกรรมการนโยบายข้าวแห่งชาติ ที่มี การประชุมเมื่อวันที่ ๒๔ กุมภาพันธ์ ๒๕๕๗ โดย กขช. ได้มีมติให้แต่งตั้งคณะทางานขึ้น คณะ หนึ่ งประกอบด้วยหน่วยงานที่เกี่ ยวข้อง เพื่อตรวจสอบข้อเท็จจริ ง และปรับปรุ งแก้ไขปั ญหา และ นาเสนอต่อ กขช. ต่อไป ซึ่ งคณะทางานชุดดังกล่าวได้มีการศึกษา วิเคราะห์ขอ้ สังเกต ความเห็น ข้ อ เส น อแน ะข อ ง ส านั ก งาน ต ร วจ เงิ น แผ่ น ดิ น ป ร าก ฏ ต าม ส รุ ป ผลก าร ป ร ะชุ ม คณะกรรมการนโยบายข้าวแห่ งชาติ ค รั้ งที่ ๒/๒๕๕๗ วันจันทร์ ที่ ๒๔ กุมภาพันธ์ ๒๕๕๗ พยานเอกสารในลาดับที่ ๕๖ และคาสั่งกระทรวงพาณิชย์ที่ ๙๑/๒๕๕๗ เรื่ อง แต่งตั้งคณะทางาน ตรวจสอบข้อเท็จจริ งโครงการรับจานาข้างเปลือกของรัฐบาลตามความเห็นและข้อเสนอแนะ ของสานักการตรวจเงินแผ่นดิน พยานเอกสารในลาดับที่ ๕๓ ซึ่ งพฤติการณ์ที่แสดงออกทาให้ เห็นได้วา่ คณะบุคคลและเจ้าหน้าที่ผปู้ ฏิบตั ิไม่เคยละเลย หรื อมิได้ไม่สนใจ ไม่นาพา ต่อหนังสื อ ของสานักงานการตรวจเงินแผ่นดิน ลงวันที่ ๓๐ มกราคา ๒๕๕๗ เพื่อทาการศึกษา วิเคราะห์ ข้อสังเกตความเห็ นและข้อเสนอแนะของสานักงานการตรวจเงิ นแผ่นดิ นที่ ได้ตรวจสอบการ ดาเนิ นโครงการรั บจานาของรั ฐบาลที่ นามากราบเรี ยนนายกรั ฐมนตรี เมื่ อวันที่ ๓๐ มกราคม ๒๕๕๗ ว่ามี ข ้อเท็จจริ งอย่า งไร และแต่ละหน่ วยงานได้มีก ารปรั บปรุ งและดาเนิ นการแก้ไ ข ปั ญ หาอย่างไร โดยมี ข ้อสัง เกตต่อความเห็ นและข้อเสนอแนะของส านัก งานการตรวจเงิ น แผ่นดินตามหนังสื อดังกล่าวข้างต้น ดังนี้ ๑. ความคิดเห็นและข้ อเสนอแนะของสานักงานตรวจเงินแผ่ นดิน สะท้อนให้ เห็นถึง ความไม่ เข้ าใจในนโยบายโครงการรับจานาข้ าวเปลือกของรัฐบาล รวมถึงขั้นตอนการดาเนินงาน กฎเกณฑ์ มาตรการของโครงการรับจานาอย่ าง ถ่ องแท้ ได้ แก่


๑๓๐

- การอ้างอิงว่าการระบายข้าวที่ลา่ ช้า อาจจะต้องกูเ้ งินเพิ่มมากขึ้น ส่งผลให้หนี้สาธารณะ ของประเทศสู งขึ้ น ซึ่ ง ในความเป็ นจริ ง กรอบวงเงิ นในการดาเนิ นโครงการรั บจานาได้มีการ อนุมตั ิไว้อย่างชัดเจน - การกล่าวถึงข้อสังเกตของอนุก รรมการปิ ดบัญชี ฯ ที่ระบุวา่ อคส.และ อ.ต.ก. มีการ รายงานข้อมูล ปริ มาณข้าวสารคงเหลือในคลังสิ นค้ากลางไม่ถูกต้องครบถ้วน โดยไม่ได้มีการ ตรวจสอบข้อเท็จจริ งถึงความเป็ นมาในการรายงานข้อมูลที่ กล่าวหาว่าไม่ครบถ้วนนั้น ว่าส่ วน หนึ่ งเป็ นผลมาจากแบบฟอร์ มที่ ทางคณะอนุ ปิดบัญ ชี ฯ จัด ส่ งให้ ห น่ วยงานกรอกข้อมูล ก็ไ ม่ ครบถ้วนชัดเจน แสดงให้เห็ นว่าคณะอนุ กรรมการปิ ดบัญ ชีฯ ยังไม่มีความเข้าใจโครงการรั บ จานาข้าวเปลือกอย่างถ่องแท้ เช่นกัน จึ งกล่าวได้วา่ สตง. ยังขาดความเข้าใจและยังตรวจสอบ ประเด็นต่างๆ ไม่ครบถ้วน ๒.การอ้ างอิงข้ อมูลทีไ่ ม่เป็ นปัจจุบัน จากแหล่ งข้ อมูลที่ยังไม่มคี วามชัดเจน และขาดการ ตรวจสอบข้ อมูล ทาให้ รายงานขาดความน่ าเชื่อถือ ได้ แก่ - ข้อ เสนอแนะที่ ก ล่า วว่า โครงการมี จุ ด อ่อ นและความเสี่ ย งตั้ง แต่ ก ารขึ้ นทะเบี ย น เกษตรกร โดยการอ้า งอิงผลการตรวจสอบในอดี ต เช่น ปี ๒๕๔๘- ๒๕๕๓ ที่ ก ล่า วว่ากรม ส่ งเสริ มการเกษตรไม่มีความพร้อมทางด้านเทคโนโลยีการจัดเก็บและบันทึกข้อมูล ไม่สามารถ นามาเป็ นหลักฐานยืนยันจุดอ่อนด้อยของโครงการรับจานาข้าวในปั จจุบนั ได้ เนื่ องจากปั จจุบัน กรมส่งเสริ มการเกษตรได้มีระบบฐานข้อมูลกลางที่รองรับการทาประชาคม ได้ท้ งั ประเทศ - การกล่าวว่าโครงการมีผลขาดทุนจานวนสู งมาก โดยอ้างอิงตัวเลขจากรายงานผลการ ปิ ดบัญชี ณ ๓๑ ม.ค. ๕๖ และ ๓๑ พ.ค. ๕๖ ซึ่ งยังไม่มีความชัดเจนในมูลค่าสิ นค้าคงเหลือ (ฝ่ าย เลขานุการ กขช.ได้โต้แย้งว่าสต็อกโครงการ ปี ๕๕/๕๖ ขาดหายไป ๒.๕๙๓ ล้านตันข้าวสาร ซึ่ งเป็ นสต็อกที่อยูร่ ะหว่างการส่ งมอบ) ไม่อาจนามากล่าวได้วา่ โครงการมีผลขาดทุนสู งและมี แนวโน้มการขาดทุนที่สูงขึ้น - การอ้างอิงข้อมูลจากสถาบันวิจัยเพื่อการพัฒนาประเทศไทย ที่ระบุวา่ เกษตรกรผูป้ ลูก ข้าวที่มีฐานะร่ ารวยได้รับประโยชน์มากกว่า เกษตรกรที่มีฐานะยากจนนั้น ซึ่ งหากสานัก งาน ตรวจเงินแผ่นดินได้มีการตรวจสอบข้อมูลดังกล่าว ให้ชดั เจนจากหน่วยงานปฏิบตั ิในโครงการ


๑๓๑

รับจานา จะพบว่าสัดส่วนของเกษตรกรที่เข้าร่ วมโครงการรับจานา กว่าร้อยละ ๕๐ เป็ นเกษตรกร ที่มีฐานะยากจนถึงปานกลาง เนื่องจากมีมูลค่าการรับจานาไม่เกิน ๒๐๐,๐๐๐ บาท ต่อมาเมื่ อคณะทางานตรวจสอบข้อเท็จ จริ ง โครงการรั บจ านาข้า วเปลือกของ รัฐบาลตามความเห็ นและข้อเสนอแนะของส านัก การตรวจเงิน แผ่น ดิ น ตามค าสั่งกระทรวง พาณิ ชย์ที่ ๙๑/๒๕๕๗ ได้ทาการตรวจสอบศึกษา วิเคราะห์ขอ้ สังเกตความเห็นและข้อเสนอแนะ ของสานักงานการตรวจเงินแผ่นดิน เมื่อวันที่ ๓๐ มกราคม ๒๕๕๗ แล้วได้สรุ ปประเด็นปั ญหา ความเสี่ ย งผลกระทบที่ เกิ ด ขึ้ นจากการด าเนิ น โครงการรั บ จ าน าข้าวเปลื อกของรั ฐบาลของ สานักงานการตรวจเงินแผ่นดินและหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง (ธ.ก.ส, ปปช.,TDRI) ปรากฏตามพยาน เอกสารในล าดั บที่ ๕๖ จึ งเป็ นที่ มาของข้อมู ลที่ ทาให้ เห็ นว่าข้อสังเกตและข้อเสนอแนะที่ เป็ น จุดอ่อนและจุดเสี่ ยงที่คณะอนุกรรมการปิ ดบัญชี ฯ มีขอ้ สังเกตและข้อเสนอแนะนั้นอยู่ในวิสัยที่ สร้างมาตรการป้ องกันได้(ข้อมูลจากฝ่ ายเลขนุการ กขช. กรมการค้าภายใน มีนาคม ๒๕๕๗) สรุปข้ อมูลกรมการค้ าภายในประเด็นปัญหาความเสี่ยง ผลกระทบที่เกิดขึน้ จากการดาเนิน โครงการรับจานาข้ าวเปลือกของรัฐบาลของสานักงานตรวจเงินแผ่ นดินและหน่ วยงานทีเ่ กี่ยวข้ อง (ธ.ก.ส., ป.ป.ช. , TDRI) ประเด็ น ผลกระทบจากการด าเนิ น โครงการ โดยพิ จารณาผลการ ดาเนินงาน จาก (๑) โครงการรับจานาข้ าวเปลือก ปี ๕๔/๕๕ (๒) โครงการรับจานานาปรัง ปี ๕๕ และ(๓) โครงการรับจานาข้ าวเปลือก ปี ๕๕/๕๖ (ครั้งที่ ๑) ๑.ประเด็น การขึ้นทะเบียนเกษตรกร มีปัญหา ความเสี่ ยง ผลกระทบตามที่มีการบันทึกใน การแจ้งข้อกล่าวหาเช่น การสวมสิ ทธิและทุจริ ตขึ้นทะเบียนซ้ าซ้อนในพื้นที่แปลงเดียวกันหรื อมา การนาข้าวจากต่างประเทศเพื่อนบ้านมาสวมสิ ทธิจานา ข้ อเสนอแนะ ให้จัดทาฐานข้อมูลให้มีความถูกต้อง ครบถ้วน ตรงกับข้อเท็จจริ ง คอบคลุม ทุกกิ จกรรม และเป็ นฐานข้อมูลให้เป็ นปั จจุบนั และต่อเนื่ องมีการวางระบบและสอบทานข้อมูลที่ ถูกต้องทั้งก่อนและหลัง ให้กาหนดหลักเกณฑ์เกี่ ยวกับการออกใบรับรองการเกษตรกรให้แล้ว เสร็ จก่อนเปิ ดรั บจ านา และต้องมีการประชาคมสัมพันธ์ทาความเข้าใจกับเกษตรกรในการออก ใบรับรองเกษตรกร


๑๓๒

การปรับปรุงขั้นตอนการขึน้ ทะเบียนเกษตรกร โครงการรับจานาข้ าว - กรมส่งเสริ มการเกษตรมีการวางแผนการขึ้นทะเบียนเกษตรกรทั้งในส่วนกลางและใน ระดับจังหวัด - มีการอบรมเจ้าหน้าที่ท้ งั ในส่วนกลางและในระดับจังหวัดก่อนเริ่ มดาเนินการ - มีการเพิ่มอุปกรณ์และจัดทาฐานข้อมูลรองรับเพิ่มขึ้น และมีการประมวลผลทุกวัน - การรับขึ้นทะเบียนโดยเกษตรกรและผูร้ ับรองข้อมูลเกษตรกรแปลงข้างเคียงและผูน้ า ชุมชนต้องรับผิดชอบข้อมูลการขึ้นทะเบียน - การประชาคม เพิ่มประชาคมกลุม่ ย่อย โดยจัดทาประชาคมกลุ่ม ๆละ ๕-๑๐ คน และลง ลายมือชื่อรับรองข้อมูลก่อนการประชาคมในเวทีประชาคม เกษตรกรชี้ที่ต้ งั แปลงบน ภาพถ่ายดาวเทียมในเวทีประชาคม - การออกใบรั บรอง โดยระบุเลขที่ เอกสารสิ ทธิ ในการขึ้นทะเบี ยน กาหนดระยะเวลา การใช้หนังสื อรั บรองเกษตรกร ในกรณี จานาใบประทวนก่ อนหรื อหลัง ๓๐ วัน นับ จากวันเก็บเกี่ยวที่ระบุในหนังสื อรับรอง กรณีจานายุง้ ฉางเกษตรกรก่อนหรื อหลัง ๖๐ วัน นับจากวันเก็บเกี่ ยวที่ ระบุ ในหนังสื อรับรอง ให้ มีการระบุ ข ้อความในหนังสื อ รับรองเกษตรกร เพื่อแก้ไขปั ญหาการสวมสิ ทธิ เกษตรกรโดยระบุวา่ กรณี ทุจริ ตหรื อ สวมสิ ทธิ เกษตรกรมีความผิดฐานฉ้อโกง มี โทษจ าคุกไม่เกิ น ๓ ปี หรื อปรั บไม่เกิ น ๖,๐๐๐ บาท หรื อทั้งจาทั้งปรับ - การสอบทานพื้ นที่ จัดให้ มี การใช้ภ าพถ่ายดาวเที ยม GPS เพื่อการตรวจสอบพื้ นที่ เพาะปลูกของเกษตรกร จากร้ อยละ ๑๐ เป็ นร้อยละ ๒๐ มี การตรวจสอบข้อมูลของ เกษตรกรจากระบบโปรแกรมอีกทางหนึ่ งด้วย ในกรณี พ้ื นที่ มีเอกสารสิ ทธิ์ ระบบ โปรแกรมจะตรวจสอบจากเลขที่เอกสารสิ ทธิ์ กรณี ที่เลขที่เอกสารสิ ทธิ์ ซ้ าซ้อนระบบ โปรดแกรมจะขึ้ นเตื อนเพื่ อให้ กลับไปตรวจสอบข้อมู ล ในกรณี เกษตรกรที่ มีก าร เพาะปลูกในพื้นที่นอกเหนือจากเอกสารสิ ทธิ์ ระบบโปรดแกรมจะออกรหัสแปลงตาม


๑๓๓

ที่ ต้ ังแปลง โดยระบุ ชนิ ด พื ช จังหวัด อ าเภอ ต าบล หมู่ และรหั ส แปลงภายในหมู่ เดียวกัน เพื่อใช้ในการตรวจสอบข้อมูลเพื่อไม่ให้เกิดเกิดความซ้ าซ้อน - การตรวจสอบกรณี มีผลผลิตเกิ น คณะอนุกรรมการระดับจังหวัดแต่งตั้งคณะทางาน ตรวจสอสบการจ านาข้าวเปลือกของเกษตรกร กรณี มีผลผลิ ตเกิ นร้ อยละ ๒๐ ของ ปริ ม าณที่ ร ะบุ ในหนั ง สื อ รั บ รองและเกิ น วงเงิ น ๕๐๐,๐๐๐ บาทว่า เป็ นข้าวของ เกษตรกรจริ ง ๒. ขั้นตอนการรับจานา มีปัญหา ความเสี่ ยง ผลกระทบ เจ้าหน้าที่ องค์การคลังสิ นค้า หรื อ องค์การตลาดเพื่อเกษตรกร ประจาหน่วยรับผิดชอบดูแลโรงสี หลายแห่ง ไม่สมารถตรวจสอบ ได้ ทาให้เกิดปัญหาการออกใบประทวนล่าช้า ผูแ้ ทนเกษตรกรและตัวแทนข้าราชการที่แต่งตั้ง ส่ า วนใหญ่ไม่มีความรู้ หรื อประสบการณ์ ในเรื่ องกคุณภาพข้าว ไม่สามารถให้ความเป็ นธรรมแก่ เกษตรกรทั้งในเรื่ องการวัดกรัมข้าว ชนิ ด น้ าหนัก ความชื้ น และการหักสิ่ งเจื อปน เกิ ดการสวม สิ ทธิ การทุจริ ตโดยโรงสี นาข้าวของตนเองมาเข้าร่ วมโครงการ โรงสี นาข้างเปลือกที่ รับฝากมา เวียนออกจาหน่าย มีการนาข้าวจากประเทศเพื่อบ้านเข้ามา สวมสิ ทธิ โดยใช้ชื่อเกษตรกรบางราย ข้ อเสนอแนะ กรมการค้าภายในควรมีกระบวนการติดตามประเมินผลการปฏิบตั ิงาน โครงการอย่างต่ อเนื่ อง สม่ าเสมอ ทั้งในระดับจังหวัดและภาพรวม นาเสนอปั ญ หา อุปสรรค รวบรวมและรายงานต่ อคณะกรรมการนโยบายข้าวแห่ ง ชาติ เพื่ อพิ จารณาแก้ไขปั ญ หาอย่าง ทันท่วงที ควรกาหนดนโยบายล่วงหน้าไม่นอ้ ยกว่า ๒ เดือน เพื่อให้สามารถดาเนินการได้ทนั ก่อน การเปิ ดรับจานา ควรมีการวางรับเชื่อมโยงข้อมูลเกี่ ยวกับการขึ้นทะเบียนการรับจานาการออกใบ ประทวน การจ่ายเงิน เพื่อสามารถสอบทานข้อมูล การปรับปรุงขั้นตอนการรับจานา โครงการรับจานาข้ าว มีการกาชับหน่วยงานที่เกี่ ยวข้องทั้งจังหวัดและส่ วนกลาง ตลอดจนคณะอนุกรรมการ ระดับจังหวัดต่างๆ เพื่อเข้มงวดกวดขันในการกากับดูแลในแต่ละขั้นตอน โดย


๑๓๔

ระดับ จัง หวัด มอบหมายให้ ค ณะอนุ ก รรมการระดับ จั ง หวัด เพิ่ ม ความถี่ ในการ ตรวจสอบทั้งในเรื่ อง เครื่ องชั่ง เครื่ องวัดความชื้ น และประชาสัมพันธ์ให้เกษตรกรทราบเป็ น ระยะ ๆ ส่วนกลาง มอบหมายให้คณะอนุกรรมการต่างๆ เช่น คณะอนุกรรมการตรวจสอบและ ติดตามการรับจานาข้าว แต่งตั้งสายตรวจเฉพาะกิจเพิ่มความถี่ในการตรวจสอบโรงสี ปริ มาณ และ คุ ณ ภาพข้า วที่ เก็ บไว้ในโกดัง กลาง คณะอนุ ก รรมการก ากับ ดู แลการรั บ จ าน าข้าว ก าหนด หลัก เกณฑ์และแนวทางปฏิ บัติ เพื่ อป้ องกันการทุ จรติ และเข้มงวดกวดขัน ในการติ ดตามการ ปฏิบัติงานของเจ้าหน้าที่และแก้ไขปั ญหาที่ เกิ ดขึ้นเป็ นระยะๆในทางปฏิบัติ ปรั บปรุ งเจ้าหน้าที่ ประจาหน่วยรับจานา โดยองค์การคลังสิ นค้าเพิ่มเจ้าหน้าที่ที่มีอานาจเซ็นต์ในใบประทวนสิ นค้า โดยบรรจุพนักงานเพิ่ม กรณี ไม่เพียงพอให้จัดจ้างเป็ นลูกจ้างและมี การก ากับจากผูท้ ี่รับผิดชอบ ชัดเจน โดย ๑ คน ต่อ ๑ แห่ ง ให้องค์การตลาดเพื่อเกษตรกรบริ หารจัดการให้เจ้าหน้าที่รับผิดชอบ ให้สามารถออกใบประทวนไม่เกิดที่กาหนดไว้ องค์การคลังสิ นค้ามีการพัฒนาระบบการรับจานา โดยใช้ระบบออนไลน์ให้สามารถออกใบประทวนจากส่วนกลางทาให้สามารถควบคุมปริ มาณการ รับจานาได้ดี ข้ ึน มีการวางระบบการเชื่ อมโยงข้อมูลการรั บจ านาทุกหน่ วยงาน ส่ วนกลางมี การ จัด ทาการเชื่ อมโยงข้อมูลการรั บจ าน าตั้งแต่ข ้อมู ลการขึ้ นทะเบี ยนเกษตรกร การรั บจ าน าของ องค์การคลังสิ นค้า หรื อองค์การตลาดเพื่อเกษตรกรและการทาสัญญาและจ่ายเงิน ธ.ก.ส. เพื่อสอบ ทานการรับจานา ๓. การเก็บรักษาข้ าวสารในคลังกลาง มีปัญหา ความเสี่ ยง ผลกระทบ มีการจัดเก็บและ ดูแลข้าวในคลังกลางไม่เหมาะสม เช่น ข้าวสารรั่วออกจากกระสอบ ได้รับความเสี ยหายจากภัย ธรรมชาติ เช่น น้ าท่วม ข้าวขาดหายขากบัญชี บริ ษ ัทตรวจสอบคุณภาพข้าวร่ วมมื อกับเจ้าหน้าที่ และโรงสี ในการจัดส่งข้าวคุณภาพต่าเข้าโกดังกลาง ทาให้ขา้ วไม่ได้มาตรฐานและเสื่ อมคุณภาพเร็ ว มีการนาข้าวสารนาคลังกลางไปหมุนเวียนออกจาหน่ าย ระบบการควบคุมคลังกลางการติดตั้ง กล้องวงจรปิ ดไม่เหมาะสม ไม่สามารถใช้งานได้ การเปิ ด ปิ ด คลังสิ นค้ากลสง โดยเจ้าหน้าที่ ผูร้ ับผิดชอบไม่รัดกุม ระบบการติดตามตรวจสอบของเจ้าหน้าที่ไม่สามารถดาเนิ นการได้ทวั่ ถึง ตรวจสอบได้เพียงบางส่ วน การรายงานข้อมูลข้าวสาร ปริ มาณข้าวสารคงเหลือในคลังกลางไม่ ถูกต้อง ล่าช้า ไม่เป็ นไปตามที่กาหนด มีการแก้ไขข้อมูลบ่อยครั้ง


๑๓๕

การปรับปรุงขั้นตอนการเก็บรักษาข้ าวสารในคลังกลาง โครงการรับจานาข้ าว การรับมอบและการรมยา มีการกาหนดบริ ษทั ตรวจสอบคุณภาพข้าวและการรมยา แยกออกจากกันอย่างชัดเจนโดยไม่ไห้เป็ นบริ ษทั เดียวกัน ทาให้สามารถกาหนดความรับผิดชอบ ได้ชดั เจน อคส. /อ.ต.ก. กาหนดระยะเวลาการรมยาชัดเจนและจังหวัดกากับดูแลอีกทางหนึ่งด้วย การรายงานปริ มาณข้าวสารในคลัง อคส./อตก. ก าหนดให้ หั วหน้าคลังฯรายงาน ปริ มาณข้าวสารในคลังให้ ส่ วนกลางเป็ นประจาทุกวัน อคส./อตก. ส่ าวนกลางรายงานปริ มาณ ข้าวสารในคลังฯ เป็ นประจาทุกสัปดาห์ ให้กรมการค้าต่างประเทศในฐานะเลขานุการอนุ กรรมการ พิจารณาระบายข้าว การตรวจสอบสต็อกข้าวสารในคลังกลาง ส่ วนกลางสายตรวจเฉพาะกิ จตรวจสิ บเป็ น ระยะ และตรวจสอบตามคาร้องเรี ยน อคส.ตรวจสอบสิ นค้าคงเหลือทุก ๖ เดือน อ.ต.ก. ตรวจสอบ เป็ นระยะ จังหวัดสุ่มตรวจสอบเป็ นประจาทุกเดือน ๔ . การระบายข้ าว ปัญหา ความเสี่ยง ผลกระทบ มีการระบายข้าวเปลือกอออกจานวน น้อยและล่าช้ามาก ส่ งผลให้ข ้าวสารคุณภาพเสื่ อม ราคาจ าหน่ ายข้าวมี แนวโน้มต่ าลง รั ฐบาล รับภาระขาดทุนรวมทั้งต้นเงินและดอกเบี้ ย ธ.ก.ส. ได้รับชาระคื นเงินล่าช้า ส่ งผลให้จ่ ายเงิ นให้ เกษตรกรล่าช้า รัฐบาลไม่ยอมเปิ ดเผยข้อมูลการระบายข้าวแบบ G TO G ข้ อเสนอแนะ กาหนดกรอบระยะเวลาในการระบายข้าวให้สัมพันธ์กบั คลังกลางที่ตอ้ ง ใช้ในการเก็บรักษาข้าว การปรับปรุงขั้นตอนการระบายข้ าว โครงการรับจานาข้ าว มีแผนการระบายข้าวในสต็อกของรัฐบาล ดังนี้ เจรจาขายแบบ G to G กับประเทศ เป้ าหมายได้แก่ จี น อินโดนี เซี ย ฟิ ลิปปิ นส์ มาเลเซี ย อิรัก บังคลาเทศ ไนจี เรี ย และ กานา การที่ ไทยขายข้าวให้ COFCO (รัฐวิสาหกิจจีน) ในปริ มาณมากเป็ นการตอกย้ าในคุณภาพและมาตรฐาน ข้าวไทย และสร้างความเชื่อมัน่ ให้กับผูซ้ ้ื อข้าวจากไทยเพิ่มขั้น ขายข้าวทัว่ ไปให้กบั ผูป้ ระกอบการ ในประเทศเพื่อส่งออกต่างประเทศ และ /หรื อ จาหน่ายในประเทศ มี ๒ แนวทาง คือ ขายเป็ นการ ทัว่ ไปเดือนละ ๕๐๐,๐๐๐ – ๑,๐๐๐,๐๐๐ ตัน โดยระบายอย่างน้อยเดือนละ ๒ ครั้ง ขายเป็ นการทัง่


๑๓๖

ไปให้ผสู้ ่ งออกที่ มีคาสั่งซื้ อจากต่างประเทศเสนอซื้ อข้าวในสต็อกเพื่อส่ งมอบตามเวลาที่กาหนด ขายในตลาด AFET ประมาณ ๕๐๐,๐๐๐ – ๑,๐๐๐,๐๐๐ ตัน ภายใน ๖ เดือน (ม.ค. – มิ.ย. ๕๗) ๕.การปิ ดบัญชี ปั ญหา ความเสี่ ยง ผลกระทบ มีการรายงานข้อมุลที่ใช้ในการจัดทา บัญชี จาก อคส./อ.ต.ก. ล่าช้า ไม่ถูกต้องครบถ้วน มี การแก้ไขข้อมูลไม่เป็ นไปตามระยะเวลาที่ คณะอนุ กรรมการก าหนด มีภาระหนี้ คงเหลือตามโครงการรับจานาก่ อนปี ๕๔/๕๕ สะสมค้าง ชาระ ธ.ก.ส. จานวนมาก ข้ อเสนอแนะ เร่ งรั ด ให้ ห น่ วยงานที่ เกี่ ยวข้ อ งรายงานผลการด าเนิ นงานให้ คณะอนุ ก รรมการปิ ดบัญ ชี ฯ โดยเร็ วเพื่ อปิ ดบัญ ชี และรายงานผลการด าเนิ นงานเผยแพร่ ต่ อ สาธารณชน การปรับปรุงการปิ ดบัญชี โครงการรับจานาข้ าว มีการเข้มงวดกวดขันในการกากับดูแลและมีหนังสื อเร่ งรัดให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องแจ้ง ข้อมูลการดาเนิ นงานที่ เกิ ดขึ้นจริ งให้คณะอนุกรรมการทราบภายในระยะเวลา เพื่อใช้เป็ นข้อมูล ประกอบการปิ ดบัญชีได้ตามระยะเวลา ที่กาหนด อคส. /อ.ต.ก. มีการรายงานปริ มาณข้าวสารและ ผลิตภัณฑ์ข ้าวโครงการฯนาปี ๕๔/๕๕ นาปรั ง ปี ๕๕ และปี ๕๕/๕๖ ณ วันที่ ๓๑ มกราคม ๒๕๕๖ ตามแบบฟอร์ มที่ คณะอนุ กรรมการปิ ดบัญชี กาหนด เมื่ อคณะอนุ กรรมการปิ ดบัญชี ได้ สรุ ปผลการปิ ดบัญชีแล้ว จึงตรวจพบว่ามีปริ มาณข้าวสารและผลิตภัณฑ์คลาดเคลื่อนจากความจริ ง เนื่องจากยังมีขา้ วสารค้างส่งมอบที่โรงสี ท้ งั ๓ โครงการ ซึ่ งยังไม่ได้นามารวมเป็ นข้าวสารคงเหลือ เนื่ องจากในแบบฟอร์ มไม่ได้ระบุไว้ อคส. /อ.ต.ก. จึ งขอปรับเพิ่มยอดสิ นค้าคงเหลือเพิ่มเติ มอีก ๒.๘๙ ล้านต้น อคส. / อ.ต.ก. มีการรายงานข้อมูลสิ นค้าคงเหลือเป็ นรายโรงสี รายโกดังโครงการฯ ปี ๕๔/๕๕ นาปรัง ปี ๕๕ และปี ๕๕/๕๖ ณ วันที่ ๓๑ มกราคม ๒๕๕๖ แจ้งคณะอนุกรรมการปิ ด บัญชีแล้ว จากข้อสรุ ปประเด็นปั ญหาความเสี่ ยง ผลกระทบที่เกิ ดขึ้นจากการดาเนิ นโครงการรับ จานาข้าวเปลือกของรั ฐบาลของส านักงานตรวจเงิ นแผ่นดิ นและหน่ วยงานที่ เกี่ ยวข้อง (ธ.ก.ส. ,ปปช.,TDRI) ประเด็นผลกระทบจากการดาเนินโครงการ โดยพิจารณาผลการดาเนิ นงาน จาก (๑) โครงการรับจานาข้าวเปลือก ปี ๕๔/๕๕ (๒) โครงการรับจานานาปรัง ปี ๕๕ และ(๓) โครงการ


๑๓๗

รับจานาข้าวเปลือก ปี ๕๕/๕๖ (ครั้งที่ ๑) ตามความเห็นของสานักงานตรวจเงินแผ่นดินดังกล่าว ข้างต้นทุกสภาพปั ญหามี ข ้อเสนอแนะและแนวทางการปรังปรุ งการปฏิ บัติงานของผูป้ ฏิ บัติใน โครงการรับจานาข้าวโดยสามารถสร้างมาตรการเพื่อป้ องกันความเสี ยหายหรื อเป็ นการป้ องกัน เรื่ องที่ จะนาไปสู่ การทุจริ ตหรื อการแสวงหาประโยชน์ ที่มิควรได้โดยชอบด้วยกฎหมายในทุ ก ขั้นตอนและกระบวนการในการดาเนิ นโครงการอันจะก่อให้เกิ ดความเสี ยหายแก่ประเทศชาติได้ มิใช่ปัญหาจากกรณี ที่คณะอนุ กรรมการปิ ดบัญชี โครงการรับจานาข้าวเปลือกตามนโยบายของ รัฐบาล ตามหนังสื อกระทรวงการคลัง ลับ ด่วนที่ สุ ด ที่ กค ๐๒๐๑/ล.๑๕๖๙ ลงวันที่ ๘ ตุลาคม ๒๕๕๕ และหนังสื อกระทรวงการคลัง ลับด่วนที่สุ ด ที่ ๐๒๐๑/๘๐๘๑ ลงวันที่ ๒๓ พฤษภาคม ๒๕๕๖ ที่มีขอ้ สังเกตและข้อเสนอแนะมิใช่ปัญหาที่สามารถแก้ไขไม่ได้แต่จากข้อสรุ ปประเด็น ปั ญหาความเสี่ ยงและผลกระทบที่ เกิ ดขึ้นตามที่กล่าวมาข้างต้นทุกสภาพปั ญหามีทางออกในการ แก้ไขปัญหาทั้งสิ้ น และจากข้อสรุ ปดังกล่าวที่ทาขึ้นภายหลังที่มีรายงานคณะอนุกรรมการปิ ดบัญชี ทั้ง ๒ ครั้ง และเป็ นเวลาภายหลังจากการที่สานักงานตรวจเงินแผ่นดินได้มีหนังสื อ ด่วนที่สุด ที่ ตผ ๐๐๑๒/๐๒๘๐ ลงวันที่ ๓๐ มกราคม ๒๕๕๗ ล้วนแต่เป็ นปั ญหาที่สามารถสร้างมาตรการแก้ไข ปั ญหาได้ท้ งั สิ้ นและข้อสรุ ปดังกล่าวหาได้มีขอ้ สรุ ปว่าการดาเนิ นโครงการที่มีจุดอ่อนหรื อความ เสี่ ยงดังกล่าวข้างต้นไม่สามารถที่จะมีแนวทางแก้ไขปัญหาได้เลย ดังนั้น การที่ ส านัก งานการตรวจเงิ นแผ่นดิ นได้มี หนังสื อ ด่วนที่ สุ ด ที่ ตผ ๐๐๑๒/ ๐๒๘๐ ลงวันที่ ๓๐ มกราคม ๒๕๕๗ แจ้งผลการตรวจสอบโครงการรั บจ านาข้าวเปลือกของ รัฐบาลแล้ว กระทรวงพาณิ ชย์มิได้เพิกเฉย หรื อไม่สนใจและไม่นาพา ต่อข้อท้วงติงแต่ประการใด ในทางตรงข้ามกระทรวงพาณิ ชย์ได้มีคาสั่งกระทรวงพาณิ ชย์ที่ ๙๑/๒๕๕๗ ได้ทาการตรวจสอบ ศึกษา วิเคราะห์ขอ้ สังเกตความเห็นและข้อเสนอแนะของสานักงานการตรวจเงินแผ่นดิน เมื่อวันที่ ๓๐ มกราคม ๒๕๕๗ จึ งได้มีขอ้ เสนอแนะและแนวทางการปรับปุรงโครงการดังนั้นปั ญหาของ โครงการรับจานาข้าวที่เกิ ดขึ้นในขั้นตอนปฏิบตั ิอยูใ่ นวิสัยที่จะสร้างมาตรการแก้ไขปั ญหาเพื่อมิ ให้เกิ ดปั ญหาตามที่คณะกรรมการ ป.ป.ช. มีขอ้ เสนอและข้อห่ วงใยในขั้นตอนและกระบวนการใน การด าเนิ นโครงการที่ จะนาไปสู่ การทุจริ ตหรื อการแสวงหาประโยชน์ที่มิควรได้โดยชอบด้วย กฎหมายอันจะก่อให้เกิ ดความเสี ยหายแก่ประเทศชาติ อีกทั้ง ข้ าพเจ้ามีข้อสั งเกตที่ขอนาเสนอต่ อ คณะกรรมการ ป.ป.ช. เกี่ยวกับหนังสื อของสานักงานตรวจเงินแผ่ นดิน หนังสื อ ด่ วนที่สุด ที่ ตผ


๑๓๘

๐๐๑๒/๐๒๘๐ ลงวันที่ ๓๐ มกราคม ๒๕๕๗ ดั งชี้ข้ อไม่ สมบู รณ์ ของโครงการประกั นรายได้ เกษตรกรของปี การผลิต ๒๕๕๒/๕๓ และ ๒๕๕๓/๕๔ ซึ่งเป็ นนโยบายของพรรคการเมืองที่เป็ นผู้ กล่ าวหาในคดีนี้ด้วย ดังนั้น ข้ อไม่ สมบูรณ์ ที่เกิดขั้นจากรายงานสานักงานการตรวจเงินแผ่ นดิน ดังกล่ าวข้ างต้ น จึงมิใช่ ข้อสมบู รณ์ ของโครงการรั บจานาข้ าวเสี ยทั้งหมดแต่ ประการใด คงมี ขั้นตอนการาปฏิบัติบางขั้นตอนที่ตรงกันเท่ านั้น และมีข้อสั งเกตว่ าข้ อไม่ สมบูรณ์ ของโครงการ ประกันรายได้ เกษตรกรของปี การผลิต ๒๕๕๒/๕๓ และ ๒๕๕๓/๕๔ ซึ่ งใช้ เงินงบประมาณ แผ่ นดินไปทั้งสิ้ น ประมาณ ๑๓๐,๐๐๐ ล้ านบาทเศษ เป็ นภาระให้ กับรั ฐบาลของข้ าพเจ้ าต้ องจัด งบประมาณประจาปี ถึง ๒ ปี เพื่อชาระหนี้ในโครงการประกันราคาของรัฐบาลผู้กล่ าวหาในคดีนี้ และปัจจุบันนี้ผลจากการดาเนินโครงการประกันราคาของผู้กล่ าวหาข้ าพเจ้ ายังเป็ นเหตุให้ ปัจจุบัน นี้ยังมีหนี้สินที่เกิดจากโครงการประกันราคาที่ต้องจัดหางบประมาณมาชาระหนี้ อยู่อีกประมาณ ๔๐,๐๐๐ ล้ านบาทเศษ ที่ผู้กล่ าวหาในคดีนี้ในฐานะหัวหน้ ารัฐบาลได้ สร้ างภาระงบประมาณให้ ไว้ กับประเทศไทย และคณะกรรมการ ป.ป.ช. ก็เคยตั้งข้ อสังเกตและข้ อเสนอแนะต่ อรัฐบาลผู้กล่ าวหา กับพวกในคดีนี้ แต่ ก็หามีข้อสงสัยที่จะดาเนินการกล่ าวหาเอากับผู้กล่ าวหากับพวกที่เป็ นผู้บริหาร โครงการประกันราคาเช่ นเดียวกับการดาเนินคดีเอากับข้ าพเจ้ าในคดีนี้ ข้ าพเจ้ าข้ อ อ้ างสื บ พยานบุ คคลรายนายยรรยง พวงราช เป็ นพยานเพื่ อ น าสื บ ใน ประเด็นเรื่องมาตรการและข้ อเสนอแนะของกรมการค้ าภายในดังกล่ าวข้ างต้ นในฐานะทีเ่ ป็ นอดีต ปลัดกระทรวงพาณิชย์ เคยปฏิบัติในขั้นตอนต่ าง ๆ ที่มีสภาพปัญหาเพื่อชี้ให้ เห็นว่ าหากได้ ปฏิบัติ ตามมาตรการแก้ ไขปั ญหาดังกล่ าวข้ างต้ นแล้ วโครงการรับจานาข้ าวไม่ ต้องระงับยับยั้งโครงการ ดังทีค่ ณะกรรมกร ป.ป.ช. กล่ าวอ้ าง เพื่อนาสืบสนับสนุนข้ อชี้แจงของข้ าพเจ้ าในเรื่องการไม่ ระงับ ยับยั้งให้ มกี ารยุติโครงการรับจานาข้ าว พยานบุคคลในลาดับที่ ๕ ข้ อ ๑๕. นายกรั ฐมนตรี ได้จัดให้ มีการปรับปรุงการดาเนินการในทุกขั้นตอน และกระบวนการ ของการดาเนินโครงการโดยตลอด จนไม่ มีความเสี ยหายที่เป็ นรู ปธรรมถึงขนาดที่ จะระงับยับยั้งการดาเนิน โครงการรั บจานาข้ าวนับแต่ ระยะเวลาที่คณะอนุการปิ ดบัญชี โครงการรั บจานาข้ าวเปลือก(นางสาวสุ ภา ปิ ยะ จิตติ) มีหนังสื อลงวันที่ ๒๓ พฤษภาคม ๒๕๕๖ มีผลขาดทุน ๒๒๐,๙๖๘.๗๘ ล้ านบาท จนถึงวันที่สานักงาน การตรวจเงินแผ่ นดินมีหนังสื อลงวันที่ ๓๐ มกราคม ๒๕๕๗


๑๓๙

ข้ าพเจ้ าผู้ ถูกกล่ าวหา ได้ จัดให้ มีการปรับปรุ งการด าเนินโครงการในทุกขั้นตอนและ กระบวนการของการดาเนินโครงการโดยตลอดจนไม่ มีความเสี ยหายที่เป็ นรู ปธรรมถึงขนาดที่จะ สั่งระงับยับยั้งการดาเนินโครงการรับจานาข้ าวดังกล่ าวได้ อีกทั้ง ในทางตรงกันข้ ามการดารงอยู่ ของโครงการรับจานาข้ าวเป็ นประโยชน์ ต่อชาวนา ดังทีจ่ ะกล่ าวต่ อไปนี้ ๑๕.๑ เมื่อวันที่ ๑๘ มิถุ นายน ๒๕๕๖ นายวราเทพ รัตนากร รั ฐมนตรี ประจ า สานักนายกรัฐมนตรี ได้ มีหนังสื อ สานักงานรัฐมนตรีประจาสานักนายกรัฐมนตรี (นายวราเทพ รัตนากร) ที่ สพล (ลต.๒) ๑๐๕/๒๕๕๖ เรื่อง การรวบรวมข้ อมูล ข้ อเสนอแนะของส่ วนราชการและ หน่ วยงานต่ างๆ ที่เกี่ยวข้ องในการดาเนินโครงการรับจานาข้ าวเปลือกตามนโยบายของรัฐบาล ซึ่ง คณะรัฐมนตรีได้ มมี ติเมื่อวันที่ ๑๘ มิถุนายน ๒๕๕๖ รับทราบผลการดาเนินงาน ปรากฏตามพยาน เอกสาร หนั ง สื อ บั น ทึ ก ข้ อความที่ สพล (ลต.๒) ๑๐๕/๒๕๕๖ เรื่ อ ง การรวบรวมข้ อมู ล ข้ อเสนอแนะของส่ วนราชการและหน่ วยงานต่ างๆที่ เกี่ยวข้ องในการด าเนินโครงการรั บจาน า ข้ าวเปลือกตามนโยบายของรัฐบาล ฉบับลงวันที่ ๑๘ มิถุนายน ๒๕๕๖ ในพยานเอกสารในลาดับที่ ๕๒ ๑๕.๒ เมื่อวันที่ ๑๘ มิถุนายน ๒๕๕๖ คณะรัฐมนตรีได้ ประชุ มปรึกษา และมีมติ รั บ ทราบรายงานผลการประชุ มคณะกรรมการนโยบายข้ าวแห่ งชาติ ครั้ งที่ ๔ /๒๕๕๖ ตามที่ กระทรวงพาณิชย์ เสนอ โดยให้ กระทรวงพาณิชย์ รั บ ไปตรวจสอบข้ อมู ลปริ มาณ (stock) ข้ าว คงเหลือของโครงการรับจานาข้ าวเปลือกให้ ตรงกับข้ อเท็จจริง โดยให้ สานักงานตารวจแห่ งชาติเข้ า ร่ วมในการตรวจสอบด้ วย และให้ กระทรวงพาณิชย์ รายงานผลการตรวจสอบต่ อคณะรัฐมนตรี ภายใน ๓๐ วัน ปรากฏตามพยานหลักฐานหนังสื อสานักเลขาธิการคณะรัฐมนตรี ด่ วนทีส่ ุ ด ที่ นร ๐๕๐๖/๑๕๙๗๙ เรื่องรายงานผลการประชุ มคณะกรรมการนโยบายข้ าวแห่ งชาติ ครั้งที่ ๔/๒๕๕๖ ลงวันที่ ๒๐ มิถุนายน ๒๕๕๖ ในพยานเอกสารในลาดับที่ ๕๓ ๑๕.๓ เมื่อ วันที่ ๑๘ มิถุ นายน ๒๕๕๖ คณะรั ฐ มนตรี ได้ มีมติ รับ ทราบข้ อมู ล ที่ แตกต่ างกั น จึงมอบหมายให้ รั ฐ มนตรี ป ระจ าส านั ก นายกรั ฐ มนตรี รวบรวมข้ อ มู ล ไปเสนอ คณะกรรมการนโยบายข้ าวแห่ งชาติเพื่ อประกอบการพิ จารณาการก าหนดแนวทางการด าเนิ น โครงการรับจานาข้ าวเปลือกในระยะต่ อไป ทั้งนีใ้ ห้ คานึงถึง


๑๔๐

๑.ผลประโยชน์ ของเกษตรกร โดยให้ ยึดแนวทางตามนโยบายของรัฐบาลในการ ยกระดับรายได้ และคุณภาพชีวติ ของเกษตรกรเป็ นสาคัญ ๒.นโยบายและวินัยด้ านการเงินการคลังที่คานึงถึง การบริหารจัดการหนีส้ าธารณะ ของประเทศ ทั้งนี้ คณะกรรมการนโยบายข้ าวแห้ งชาติจะต้ องพิจารณากาหนดแนวทาง วิธีการ รวมทั้งกฎเกณฑ์ ในการดาเนินโครงการรับจานาข้ าวเปลือกที่เหมาะสมชั ดเจน แล้ วให้ นาผลการ พิจารณาเสนอรัฐมนตรีโดยเร็วต่ อไป ปรากฏตามพยานหลักฐานหนังสื อกระทรวงพาณิชย์ ด่ วน ทีส่ ุ ด ที่ พณ๐๔๑๔/๒๑๕๘ เรื่องรายงานผลการประชุ มคณะกรรมการนโยบายข้ าวแห่ งชาติ ครั้งที่ ๔/๒๕๕๖ ลงวันที่ ๑๘ มิถุนายน ๒๕๕๖ ในพยานเอกสารในลาดับที่ ๕๔ ๑๕.๔ เมื่อวันที่ ๔ กรกฎาคม ๒๕๕๖ สานักเลขาธิการคณะรัฐมนตรีได้ มีหนังสื อ ด่ วนที่สุด ที่ นร ๐๕๐๖/๑๗๗๐๐ เรื่อง โครงการรับจานาข้ าวเปลือก ปี การผลิต ๒๕๕๕/๕๖ ถึงรอง นายกรัฐมนตรี (นายกิติรัตน์ ณ ระนอง) และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง ทาหน้ าที่ประธาน คณะกรรมการนโยบายข้ าวแห่ งชาติ ว่ าคณะรั ฐ มนตรี ได้ มีมติ เมื่อ วันที่ ๒ กรกฎาคม ๒๕๕๖ รับทราบและเห็นชอบตามที่นายกิติรัตน์ ณ ระนอง ทาหน้ าที่ประธานคณะกรรมการนโยบายข้ าว แห่ งชาติ เสนอทั้ง ๓ ข้ อ ดังนี้ ๑. รั บ ทราบราคา ปริ ม าณ วงเงิน การรั บ จ าน าข้ าวเปลื อ กของเกษตรกร และ ระยะเวลาการรับจานาโครงกาสรรับจานาข้ าวเปลือก ปี การผลิต ๒๕๕๕/๕๖ ทั้งนี้ โดยยังคงอยู่ใน กรอบรวมของปริ ม าณการรั บจ าน าข้ าวเปลื อ ก และกรอบวงเงิน ในการด าเนิ น การตามมติ คณะรั ฐ มนตรี เมื่อ วันที่ ๑๐ มิถุ นายน ๒๕๕๖ (เรื่ อ งโครงการรั บจ าน าข้ าวเปลื อก ปี การผลิ ต ๒๕๕๕/๕๖ ครั้งที่ ๒) โดย ณ วันที่ ๓๑ ธั นวาคม ๒๕๕๖ โครงการรั บจานาข้ าวเปลือกต้ องอยู่ใน กรอบวงเงิน ๕๐๐,๐๐๐ ล้ านบาท ๒. เห็ นชอบมาตรการป้ องกั น การทุ จริ ตโครงการรั บ จาน าข้ าว ที่เกี่ ยวข้ อ งกั บ หน่ วยงานต่ างๆ และมอบหมายหน่ วยงานทีเ่ กี่ยวข้ องให้ ความร่ วมมือปฏิบัติงานอย่ างเคร่ งครัดตาม


๑๔๑

มติคณะกรรมการนโยบายข้ าวแห่ งชาติ ครั้ งที่ ๖/๒๕๕๖ เมื่อวันที่ ๑ กรกฎาคม ๒๕๕๖ และให้ รายงานผลการดาเนินการ ต่ อคณะรัฐมนสตรี ภายในระยะเวลาทีก่ าหนดไว้ด้วย ๓. เห็นชอบแนวทางการเพิ่มประสิ ทธิ ภาพการเพาะปลูกข้ าว เพื่อลดต้ นทุนการ ผลิตข้ าว และเพิ่มรายได้ ให้ แก่ ชาวนา(zoning)ตามมติคณะกรรมการนโยบายข้ าวแห่ งชาติ ครั้งที่ ๖/ ๒๕๕๖ เมื่อวันที่ ๑ กรกฎาคม ๒๕๕๖ ทั้งนี้ให้ กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ รับไปประสานงานกับ กระทรวงอุตสาหกรรม และหน่ วยงานที่เกี่ยวข้ องเพื่อดาเนินการจัดหาพื้นที่เพาะปลูกพืชพลังงาน ทดแทน เช่ น อ้ อย ปาล์ มน้ามัน และหญ้ าเนเปี ย (napier) เป็ นต้ น ให้ แก่ เกษตรกรที่จะปรับเปลี่ยน การเพาะปลู ก เพื่อเพิ่มรายได้ ของตนเอง และให้ กระทรวงพลังงานเร่ งรัดการดาเนินการเพื่อให้ มี การจัดตั้งสถานประกอบการ เพื่อรองรับผลิตผลจากพืชพลังงานทดแทนดังกล่ าวโดยเร็ วต่ อไป ปรากฏตามพยานหลักฐานหนังสื อสานักเลขาธิการคณะรัฐมนตรี ด่ วนที่สุด ที่ นร๐๕๐๖/๑๗๗๐๐ เรื่ องโครงการรั บจานาข้ าวเปลือก ปี การผลิต ๒๕๕๕/๕๖ ลงวันที่ ๔ กรกฎาคม ๒๕๕๖ พยาน เอกสารในลาดับที่ ๕๕ ๑๕.๕ เมือ่ วันที่ ๕ กันยายน ๒๕๕๖ สานักเลขาธิการคณะรัฐมนตรี ได้ มหี นังสื อ ด่ วนที่สุด ที่ นร ๐๕๐๖/๒๓๘๕๘ เรื่อง โครงการรั บจานาข้ าวเปลือก ปี การผลิต ๒๕๕๖/๕๗ ถึง รั ฐ มนตรี ว่ าการกระทรวงพาณิ ช ย์ ตามที่ ก ระทรวงการคลั ง ส านั ก งบประมาณ ส านั ก งาน คณะกรรมการพั ฒนาการเศรษฐกิ จและสั งคมแห่ งชาติ ได้ เสนอความเห็นไปเพื่ อประกอบการ พิจารณาของคณะรัฐมนตรีด้วย คณะรัฐมนตรีได้ ประชุ มปรึกษา เมื่อวันที่ ๓ กันยายน ๒๕๕๖ ลงมติว่า ๑.รั บทราบกรอบชนิด ราคา ปริมาณ ระยะเวลา หลักเกณฑ์ วิธี การ และเงื่อนไข โครงการรับจานาข้ าวเปลือก ปี การผลิต ๒๕๕๖/๕๗ ตามทีก่ ระทรวงพาณิชย์ เสนอ ๒.อนุ มัติให้ กระทรวงพาณิ ชย์ เร่ งรั ดด าเนิ นโครงการรั บ จาน าข้ าเปลือก (นาปี ) ภายใต้ กรอบวงเงินของโครงการรับจานาข้ าวเปลือก ปี การผลิต ๒๕๕๖/๕๗ จานวน ๒๗๐,๐๐๐ ล้ านบาท ให้ มีความโปร่ งใส ตรวจสอบได้ และเป็ นไปตามหลั ก เกณฑ์ วิธี ก าร และเงื่อ นไขที่ คณะกรรมการนโยบายข้ าวแห่ งชาติได้ ให้ ความเห็นชอบไว้ เพื่อให้ ข้าวเปลือกที่เข้ าร่ วมโครงการ


๑๔๒

เป็ นไปตามคุ ณ ภาพมาตรฐานที่ ก าหนด และหน่ วยงานที่ เกี่ ย วข้ องรั บ ความเห็ น ของ กระทรวงการคลัง สานักงบประมาณ และสานักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสั งคม แห่ งชาติไปพิจารณาดาเนินการในส่ วนทีเ่ กี่ยวข้ องต่ อไป ๓.ในกระทรวงพาณิชย์ และหน่ วยงานที่เกี่ยวข้ อง กากับติดตาม ตรวจสอบ และ รายงานผลการดาเนินโครงการรับจานาข้ าวเปลือก (นาปี ) ต่ อคณะกรรมการนโยบายข้ าวแห่ งชาติ เพื่อพิจารณาผลการดาเนินการดังกล่ าว และให้ เสนอคณะรัฐมนตรีดาเนินการต่ อไป ปรากฏตาม พยานหลัก ฐานหนั งสื อส านั กเลขาธิ ก ารคณะรั ฐ มนตรี ด่ วนที่สุ ด ที่ นร๐๕๐๖/๒๓๘๕๘ เรื่ อ ง โครงการรับจานาข้ าวเปลือก ปี การผลิต ๒๕๕๖/๕๗ ลงวันที่ ๔ กันยายน ๒๕๕๖ พยานเอกสารใน ลาดับที่ ๕๖ ๑๕.๖ เมื่อวันที่ ๑๖ ตุลาคม ๒๕๕๖ สานักเลขาธิการคณะรัฐมนตรีได้ มหี นังสือด่ วน ทีส่ ุ ด ที่ นร ๐๕๐๖/๒๘๓๖๗ เรื่อง โครงการรับจานาข้ าวเปลือก ปี การผลิต ๒๕๕๕/๕๖ ถึงรัฐมนตรี กระทรวงพาณิชย์ ตามสานัก งบประมาณ และสานักคณะกรรมการพั ฒนาเศรษฐกิจและสั งคม แห่ งชาติ ได้ เสนอความเห็ นเพื่อประกอบการพิ จารณาของคณะรั ฐมนตรี ซึ่ งคณะรัฐมนตรี ได้ ประชุ มปรึกษาเมื่อวันที่ ๑๕ ตุลาคม ๒๕๕๖ ลงมติอนุ มัติตามที่กระทรวงพาณิชย์ เสนอ เรื่องการ ช่ วยเหลือเกษตรกรเข้ าร่ วมโครงการรับจานาข้ าวเปลือก ปี การผลิต ๒๕๕๕/๕๖ ทั้งนี้ ให้ กระทรวง เกษตรและสหกรณ์ กระทรวงพาณิชย์ และกระทรวงอุตสาหกรรม รับความเห็นของสานักงาน คณะกรรมการพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมแห่ งชาติ ไปพิจารณา ดาเนินการในส่ วนทีเ่ กี่ยวข้ องต่ อไป ปรากฏตามพยานหลักฐานหนังสื อสานักเลขาธิการคณะรัฐมนตรี ด่ วนทีส่ ุ ด ที่ นร๐๕๐๖/๒๘๓๖๗ เรื่อง การช่ วยเหลือเกษตรกรเข้ าร่ วมโครงการรับจานาข้ าวเปลือก ปี การผลิต ๒๕๕๕/๕๖ ลงวันที่ ๑๖ ตุลาคม ๒๕๕๖ พยานเอกสาร ในลาดับที่ ๕๗ ๑๕.๗ เมื่อวันที่ ๙ ธั นวาคม ๒๕๕๖ มีพ ระราชกฤษฎีก ายุ บ สภาผู้ แ ทนราษฎร พ.ศ.๒๕๕๖ แต่ คณะรัฐมนตรีทพี่ ้ นจากตาแหน่ งต้ องอยู่ในตาแหน่ งเพื่อปฏิบัติหน้ าทีต่ ่ อไปจนกว่ า คณะรั ฐมนตรีที่ต้ังขึ้นใหม่ จะเข้ ารับหน้ าที่ โดยคณะรั ฐมนตรี และรัฐมนตรี จะปฏิบัติหน้ าที่ได้ เท่าทีจ่ าเป็ นภายใต้ เงือ่ นไขทีก่ าหนดไว้ในรัฐธรรมนูญ มาตรา ๑๘๑ (๑) - (๒) - (๓)


๑๔๓

ด้ วยเหตุ ดังกล่ าวข้ างต้ นข้ ออ้ างตามบันทึกแจ้ งข้ อกล่ าวหาที่อ้างว่ าข้ าพเจ้ าได้ รับ หนังสื อจากสานักงานการตรวจเงินแผ่ นดิน ตามหนังสื อด่ วนที่สุด ที่ ตผ ๐๐๑๒/๐๒๘๐ ลงวันที่ ๓๐ มกราคม ๒๕๕๗ แจ้ งผลการตรวจสอบโครงการรั บจานาข้ าวเปลือกของรัฐบาล แทนที่จะ ระงับยับยั้งโครงการรั บจาน าข้ าว กลับยืนยันที่จะด าเนิ นโครงการต่ อไป อันจะก่ อให้ เกิดความ เสี ยหายแก่ ทางราชการมากขึ้นไปเรื่อยๆ ทั้งที่มอี านาจตาม พ.ร.บ. ระเบียบบริหารราชการแผ่ นดิน พ.ศ.๒๕๓๔ มาตรา ๑๑ (๑) และในฐานะประธานคณะกรรมการนโยบายข้ าวแห่ งชาติ ที่จะสั่ งระงับ ยับยั้งการดาเนินโครงการรับจานาข้ าวดังกล่ าวได้ ข้ อกล่ าวหานี้ เป็ นข้ อกล่ าวหาที่ขัดต่ อบทบัญญัติรัฐธรรมนูญ เพราะโดยบทบัญญัติ รัฐธรรมนูญ คณะรัฐมนตรีมีข้อจากัดตามบทบัญญัติรัฐธรรมนู ญ ในการดาเนินการโครงการรับ จานาข้ าวอีกต่ อไป คงปฏิบัติหน้ าที่ได้ เฉพาะมติคณะรัฐมนตรีก่อนการยุบสภาที่ได้ อนุมัติกรอบ การด าเนิ นงานในโครงการรั บจานาข้ าว ที่ก าหนดระยะเวลาในเรื่ องวันสิ้ นสุ ด โครงการเท่ านั้ น ( ปรากฏตามหนั งสื อกระทรวงพาณิ ชย์ ด่ วนที่สุด พณ ๐๔๑๔/๓๐๖๗ เรื่ อ งโครงการรั บจ าน า ข้ าวเปลือก ปี การผลิต ๒๕๕๖/๕๗ ฉบับลงวันที่ ๒๖ สิ งหาคม ๒๕๕๖ หน้ าที่ ๒ ข้ อที่ ๔.๑ กรอบ วงเงินในการดาเนินการ ราคา ปริมาณ และระยะเวลากาหนดไว้ ในข้ อ ๔.๑ (๒) ว่ า การรั บจานา ข้ าวเปลือ กในช่ วงนาปี (๑) มีระยะเวลารั บจ าน า ๑ ตุ ล าคม ๒๕๕๖ – ๒๘ กุมภาพั นธ์ ๒๕๕๗ (ภาคใต้ ๑ ตุ ลาคม ๒๕๕๖ – ๓๑ กรกฎาคม ๒๕๕๗) เท่ านั้น ที่เกษตรกรทุกรายสามารถเข้ าร่ วม โครงการในวงเงินการรับจานาข้ าวเปลือก ไม่เกินรายละ ๓๕๐,๐๐๐ บาท ) ปรากฏตามพยานเอกสาร หนังสื อกระทรวงพาณิชย์ ด่ วนที่สุด พณ ๐๔๑๔/๓๐๖๗ ในลาดับที่ ๖๕ ปั จจุบันนี้เกษตรกร ไม่ มี มาตรการใดๆ ในเรื่ องการแทรกแซรงการตลาดเพื่อช่ วยเหลืออีกต่ อไป ข้ อกล่ าวหาว่ า ข้ าพเจ้ าไม่ ระงับยับยั้งการดาเนินโครงการรับจานาข้ าว จึงเป็ นเรื่องขัดต่ อข้ อเท็จจริง และขัดต่ อรัฐธรรมนูญ ในการที่จะอ้ างหนังสือสานักการตรวจเงินแผ่ นดิน ตามหนังสื อด่ วนที่สุด ที่ ตผ ๐๐๑๒/๐๒๘๐ ลง วันที่ ๓๐ มกราคม ๒๕๕๗ ซึ่งเป็ นเวลาภายหลังทีม่ ีการยุบสภาแล้ ว โครงการรับจานาข้ าวใดๆ ทีจ่ ะ ช่ วยเหลือเกษตรกร ก็ยุติลง ข้ อ ๑๖. โครงการรับจานาข้ าว เป็ นที่ประจักษ์ ว่า มิได้ ผิดวินัยการเงินการคลัง หรือ พ.ร.บ.หนีส้ าธารณะ หรือมติคณะรัฐมนตรี เกี่ยวกับกรอบวงเงิน ทีใ่ ช้ ในการดาเนินโครงการอันทา


๑๔๔

ให้ เห็นว่า โดยภาระการเงินและการคลัง ตามข้ ออ้ างของคณะกรรมการ ป.ป.ช. ที่อ้างว่ามีความเสี่ยง ต่ อระบบการคลังของประเทศ จึงไม่เป็ นความจริง กล่ าวคือ เมื่ อ วั น ที่ ๗ มกราคม ๒ ๕ ๕ ๗ คณ ะรั ฐมน ตรี ลงมติ รั บท ราบ ตาม ที่ กระทรวงการคลังเสนอรายงานการบริหารจัดการในกรอบวงเงินหมุนเวียนของโครงการรับจานา ข้ าวเปลือก ณ วันที่ ๓๑ ธันวาคม ๒๕๕๖ เป็ นจานวนรวม ๔๖๓,๘๐๕ ล้ านบาท ซึ่งเป็ นวงเงินที่ต่า กว่ ากรอบวงเงินหมุ นเวียนของโครงการที่คณะรั ฐมนตรี ได้ อ นุ มัติ ไว้ เมื่อวันที่ ๑๐ มิถุ นายน ๒๕๕๖ จานวน ๕๐๐,๐๐๐ ล้ านบาท ซึ่ งเงินกู้ที่กระทรวงการคลังได้ จัดหาเพื่อเป็ นทุนหมุนเวียน ภายใต้ กรอบวงเงินกู้ ไม่ เกิน ๔๑๐,๐๐๐ ล้ านบาท โดยมีหนี้คงค้ างสาหรับโครงการดังกล่ าว ณ วันที่ ๓๑ ธั นวาคม ๒๕๕๖ เป็ นจานวนรวม ๓๙๖,๗๕๖ ล้ านบาท ยั งคงเหลือ กรอบวงเงินกู้ จานวน ๑๓,๒๔๔ ล้ านบาท (๔๑๐,๐๐๐ – ๓๙๖,๗๕๖ ล้ านบาท) ส่ วน ธ.ก.ส. ได้ ใช้ จ่ายเงินหมุนเวียนของ ธ. ก.ส. ภายใต้ กรอบวงเงิน ๙๐,๐๐๐ ล้ านบาท โดย ณ วันที่ ๓๑ ธันวาคม ๒๕๕๖ ธ.ก.ส. ได้ ใช้ เงินทุน ไปแล้ วสาหรับปี การผลิต ๒๕๕๔/๕๕ และ ๒๕๕๕/๕๖ จานวน ๓๗,๙๙๔ ล้ านบาท และปี การผลิต ๒๕๕๖/๕๗ จ านวน ๒๒,๐๕๕ ล้ านบาท คงเหลื อ วงเงิน อี ก ๒๒,๙๕๑ ล้ านบาท (๙๐,๐๐๐ – ๓๗,๙๙๔ – ๒๙,๐๕๕ ล้ านบาท) ปรากฏตามหนังสือสานักเลขาธิการคณะรัฐมนตรี ด่วนทีส่ ุ ด ที่ นร ๐๕๐๖/๖๔๖ เรื่ องรายงานผลการจัดหาเงินกู้ โครงการรั บจาน าข้ าวเปลือก ลงวันที่ ๘ มกราคม ๒๕๕๗ และหนังสื อกระทรวงการคลัง ด่ วนที่สุด ที่ กค ๐๙๐๔/๑๙๒ เรื่อง รายงานผลการจัดการ จัดหาเงินกู้โครงการรับจานาข้ าวเปลือกฯ ฉบับลงวันที่ ๖ มกราคม ๒๕๕๗ พยานเอกสารในลาดับ ที่ ๕๘ ข้ อ ๑๗. กรณีที่ชาวนาเข้ าร่ วมโครงการรับจานาข้ าวเปลือก ปี การผลิต ๒๕๕๖/๕๗ ที่ยังไม่ ได้ รับเงินค่ าจานาข้ าวนั้น ไม่ ได้ เป็ นผลโดยตรงมาจากด าเนินโครงการรับจานาข้ าวของ รัฐบาล การที่ชาวนา กรณีที่ชาวนาเข้าร่ วมโครงการรับจานาข้าวเปลือก ปี การผลิต ๒๕๕๖/ ๕๗ที่ยงั ไม่ได้รับเงินค่าจานาข้าวนั้น ไม่ได้เป็ นผลโดยตรงมาจากดาเนินโครงการรับจานาข้าวของ รัฐบาล แต่เป็ นเพราะมีเหตุปัจจัยมาจากภายนอกที่อยูน่ อกเหนื อการควบคุมของรัฐบาล เป็ นผลทา ให้การดาเนินธุรกรรมเพื่อให้ได้มาซึ่ งเงินสาหรับชาระหนี้ ตามโครงการรับจานาข้าวไม่สามารถทา


๑๔๕

ได้ตามกาหนด เช่น เมื่อวันที่ ๒๐ มกราคม ๒๕๕๗ ธนาคารเพื่อการเกษตรและสหกรณ์การเกษตร (ธ.ก.ส.) ซึ่ งเป็ นสถาบันการเงิน สาหรับการชาระเงินให้กบั ชาวนานั้นถูกกลุม่ ผูช้ ุมนุม กปปส. ข่มขู่ กดดันคณะกรรมการและผูบ้ ริ หารระดับสู ง (บอร์ ด) ของธนาคารเพื่ อการเกษตรและสหกรณ์ การเกษตร (ธ.ก.ส.) ไม่ให้ประชุมพิจารณานาเงิน ๕.๕ หมื่นล้านบาท เพื่อจ่ายเงินให้กบั ชาวนาตาม โครงการรั บ จ าน าข้า ว, ต่ อ มาเมื่ อวัน ที่ ๑๒ มี น าคม ๒๕๕๗ ผู้ชุ มนุ ม กปปส. และชาวนาที่ สนับสนุ น ได้นามวลชนชุมนุ มปิ ดล้อมกระทรวงพาณิ ชย์ กดดันข้าราชการและเจ้าหน้าที่ ไม่ให้ ดาเนิ นงาน ส่ งผลให้การยื่นซองประมูลซื้ อขายสิ นค้าเกษตรล่วงหน้า ( ข้าวในโครงการรับจานา ข้าว) ไม่สามารถทาการประมูลซื้ อขายข้าวได้สาเร็จ เพื่อเป็ นการระบายข้าว และนาเงินมาจ่ายให้แก่ ชาวนา ข้ อ ๑๘. เรื่องกล่ าวหาข้ าพเจ้าได้ รับทราบเรื่องการทุจริตในการดาเนินโครงการรับ จาน าข้ าว และการระบายข้ าวจากการอภิ ปรายไม่ ไว้ วางใจของฝ่ ายค้ านในสภาผู้ แทนราษฎร ระหว่ างวันที่ ๒๕-๒๗ พฤศจิกายน ๒๕๕๕ ทีอ่ ภิปรายไม่ ไว้ วางใจข้ าพเจ้ าในฐานะนายกรัฐมนตรี และการตั้ งกระทู้ ถามข้ าพเจ้ าเรื่ องผลการตรวจสอบการระบายข้ าวแบบรั ฐต่ อ รั ฐและปั ญ หา โครงการรับจานาข้ าวของนายวรงค์ เดชกิจวิกรม สมาชิ กสภาผู้ แทนราษฎรจังหวัดพิ ษณุโลก เมือ่ วันที่ ๑๘ เมษายน ๒๕๕๖ ในเรื่องนี้ภายหลังจากการอภิปรายไม่ ไว้ วางใจของฝ่ ายค้ านและการตั้ งกระทู้ถาม ข้ าพเจ้ าเรื่องการาตรวจสอบการระบายข้ าวแบบรัฐต่ อรัฐ และปัญหาโครงการรับจานาข้ าวของนาย วรงค์ฯ ข้ าพเจ้าขอชี้แจงว่า ก่ อนหน้ าการอภิปรายไม่ ไว้ วางใจของฝ่ ายค้ าน ข้ าพเจ้ าดังที่ได้ กล่ าวมาข้ างต้ น ทั้ง การรับจานาข้ าว และการระบายข้ าว เพื่อให้ บังเกิดประสิ ทธิผลเป็ นผลดีต่อเกษตรกรผู้ผลิต และ ระบบการผลิต และการตลาดข้ าวโดยส่ วนรวม ข้ าพเจ้ าเห็นว่า การดาเนินการในโครงกาสรรับจานา ข้ าว หากเป็ นรู ปคณะบุคคลที่ประกอบด้ วยผู้ มีความรู้ ความสามารถ มาทาหน้ าที่ จะเกิดผลดีต่อ โครงการ ข้ าพ เจ้ า จึ ง มี ค าสั่ งส านั กน ายก รั ฐม นตรี ที่ ๑๕ ๓ /๒ ๕ ๕ ๕ เรื่ อ งแต่ งตั้ ง คณะกรรมการนโยบายข้ าวแห่ งชาติ (กขช.) โดยให้ คณะกรรมการนโยบายข้ าวแห่ งชาติ (กขช.) เป็ น ผู้เสนอกรอบนโยบาย และยุทธศาสตร์ ข้าวต่ อคณะรัฐมนตรีท้งั ในระยะสั้นและระยะยาว เพื่อให้ การ


๑๔๖

จัดการข้ าวสอดคล้ องกันทั้งระบบ และมีการพัฒนาต่ อเนื่อง รวมทั้งอนุมัติแผนงาน โครงการ และ มาตรการเกี่ยวกับการผลิตและการตลาดข้ าว พิจารณาหลักเกณฑ์ และวิธีการสนับสนุน ช่ วยเหลือ เกษตรกร สถาบันเกษตรกร ผู้ประกอบการโรงสี ผู้ค้า และผู้ส่งออกข้ าว เพื่อให้ การบริหารจัดการ ข้ าวทั้งระบบเป็ นไปอย่ างมีประสิ ทธิภาพ ติดตาม กากับดูแลการปฏิบัติตามนโยบาย มาตรการ และ โครงการทีอ่ นุมตั ิ แต่ งตั้งคณะอนุกรรมการในแต่ ละด้ านเพื่อดาเนินการด้ านการผลิต การตลาด และ การแก้ ไขปัญหาเกี่ยวกับข้ าว ซึ่ งข้ าพเจ้ าก็ได้ ต้ังคณะอนุ กรรมการนโยบายข้ าวแห่ งชาติ ด้ านการ ผลิ ต และในด้ านอื่ น ๆ เพื่ อ ให้ ส ามารถปฏิ บั ติ ห น้ าที่ ได้ โดยรวดเร็ ว และเป็ นการเฉพาะด้ าน โดยเฉพาะการแต่ งตั้งคณะอนุ กรรมการปิ ดบัญชี โครงการรั บจานาข้ าวเปลือกตามนโยบายของ รัฐบาลก็เป็ นอนุ กรรมการเฉพาะด้ านซึ่งแต่ เดิมเป็ นการรวมพืชพลเกษตรกรอื่นๆ นอกเหนือจาก ข้ าวไว้ด้วย ดังนั้นการข้ าพเจ้าเห็นว่าคณะกรรมการนโยบาลข้ าวแห่ งชาติ (กขช.) จะเป็ นผู้ให้ ความ เห็ น ชอบ กรอบการระบายข้ าวในสต๊ อกของรั ฐ บาล ส่ วนวิ ธี ก ารระบายข้ าว ก็ ไ ด้ น ามติ คณะรั ฐ มนตรี เดิ ม ก่ อ นข้ าพเจ้ าเป็ นรั ฐ บาลมาเป็ นกรอบการปฏิ บั ติ ห น้ าที่ มิ ได้ คิด ระเบี ย บ หลักเกณฑ์ ใดๆขึ้นมาใหม่ ในลักษณะที่จะเป็ นประโยชน์ ต่ อตน หรือ บุ คคลที่สาม โดยตาแหน่ ง ประธานคณะกรรมการนโยบายข้ าวแห่ งชาติ (กขช.) ข้ าพเจ้ าเข้ าไปสั งเกตการณ์ การประชุ มเพียง ครั้ งเดี ย ว และได้ มอบหมายนายกิ ตติ รัตน์ ณ ระนอง รั ฐ มนตรี ว่ าการกระทรวงการคลั ง และ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ เป็ นประธานแทนข้ าพเจ้ า และภายหลังมีมติ กขช. ข้ าพเจ้ าจะ ทราบในทีป่ ระชุมของคณะรัฐมนตรีเท่ านั้น ในบันทึกแจ้งข้ อกล่ าวหาในเรื่องนีม้ ีข้อเคลือบคลุมสงสัยว่า จากการอภิปรายของฝ่ าย ค้ าน และการตั้งกระทู้ถามนั้น ไม่ ปรากฏว่ า ข้ าพเจ้ าเข้ าไปเกี่ยวข้ องใดๆ ในเรื่ องการทุจริ ต หามี พยานหลักฐานแต่ อย่ างใดไม่ เป็ นการกล่ าวหาที่ไม่ มีพยานที่น่าเชื่อถือมาเบิกความเป็ นพยานต่ อ ศาล ว่ า ข้ าพเจ้ าเข้ าไปยิ่งเกี่ยวด้ วย ในฐานะประธาน กขช. เมื่อใด และเรื่ องใดในบั นทึกแจ้ งข้ อ กล่ าวหาไม่ มีปรากฏ แต่ นายวิชา มหาคุ ณ ได้ อ้ างว่ าข้ าพเจ้ ารั บ รู้ ท้ังหมดว่ าจะท าอย่ างไร โดย สัมภาษณ์ ในหนังสื อพิมพ์ ฐานเศรษฐกิจ ฉบับที่ ๒๙๒๙ ลงวันที่ ๙ – ๑๒ มีนาคม ๒๕๕๗ โดยอคติ ต่ อตัวข้ าพเจ้ า ซึ่ งข้ าพเจ้ าไม่ อาจเข้ าใจได้ ดีว่ามีพ ยานหลักฐานใดที่นายวิชาฯ อ้ างว่ าข้ าเจ้ ารับ รู้ ทั้งหมดว่ าจะทาอย่ างไร ซึ่งโดยถูกต้ องเป็ นธรรม ไม่ ควรนาพยานหลักฐานไปพูดนอกสานวนคดี


๑๔๗

ความ และเมื่อข้ าพเจ้ าขอตรวจสอบก็ไม่ อนุ ญาตให้ ตรวจสอบแต่ ประการใด จนกระทั้งปั จจุบัน ข้ าพเจ้าก็ไม่อาจรู้ ได้ ว่าข้ อกล่ าวหาทีม่ ตี ่ อตัวข้ าพเจ้านั้น คือพยานหลักฐานใด เพราะพยานหลักฐาน จากการอภิ ปรายของนายอภิ สิทธิ์ และนายวรงค์ เมื่อมีก ารตรวจสอบจากรั ฐ มนตรี ผู้ มีหน้ าที่ เกี่ยวข้ องก็ได้ ทราบว่ าเรื่องที่อภิปรายรัฐมนตรี ว่าการกระทรวงพาณิชย์ ได้ มีต้ั งคณะกรรมการ ตรวจสอบข้ อเท็จจริง ได้ แก่ คาสั่ งกระทรวงพาณิชย์ ที่ ๖๘๘/๒๕๕๕ เรื่อง แต่ งตั้งคณะกรรมการ ตรวจสอบข้ อเท็จจริงการจาหน่ ายข้ าวสารในสต๊ อกของรัฐบาล ส่ วนการรับรู้ นอกเหนือจากการอภิปรายในฐานะที่เป็ นนายกรัฐมนตรี และประธาน คณะกรรมการนโยขายข้ าวแห่ งชาติ หากเรื่องใดอยู่ ในขั้นตอนการปฏิบัติ มิใช่ เรื่องนโยบายแล้ ว ข้ าพเจ้ า มิได้ รับรู้ท้งั หมด จะรับรู้ จากรายงานของผู้รับผิดชอบเท่ านั้น อาทิเช่ น เมื่อวันที่ ๙ ตุลาคม ๒๕๕๕ ภายหลังการประชุมคณะรัฐมนตรี ข้ าพเจ้าตอบข้ อซักถามของผู้สื่อข่ าวในเรื่องการระบาย ข้ าวแบบ จี ทู จี ซึ่ งมีการขายหรือการส่ งออกในหลายประเทศ ข้ าพเจ้ าได้ ตอบคาถามผู้ สื่อข่ าวใน เรื่องการระบายข้ าวโดยการส่ งออกนั้น เป็ นการตอบคาถามถึงการส่ งออกโดยภาพรวม เพราะทราบ ว่ า ได้ มีการเซ็ นสั ญญาขายข้ าวให้ กับประเทศคู่ ค้าหลายประเทศ มิได้ เจาะจงถึงการส่ งออกไปยัง ประเทศหนึ่งประเทศใดแต่ เพียงผู้ เดียว ในบางครั้ งจะเห็นได้ ว่า ข้ าพเจ้ า ตอบผู้ สื่อข่ าว เกี่ยวกับ รู ปแบบของสั ญญาโดยภาพรวมว่ าเป็ นลักษณะ MOU แต่ รัฐมนตรี ผู้ รับผิดชอบ ก็ทักท้ วง และ อธิบายผู้สื่อข่ าวในทันใดว่า ไม่ ใช่ MOU แต่ เป็ น SALES CONTRACT ซึ่งหากได้ ตรวจสอบภาพ ข่ าวที่รู้ กันอยู่ทั่วไป โดยสังเกต ก็จะเห็นได้ ว่ายังมีความเข้ าใจ และความรับรู้ ที่ยังไม่ ตรงกัน เพราะ โดยความเข้ าใจของข้ าพเจ้านั้น ข้ าพเจ้าเข้ าใจถึงการส่ งออกโดยภาพรวม จึงตอบคาถามผู้สื่อข่ าวไม่ ตรงกันกับทีร่ ัฐมนตรีตอบผู้สื่อข่ าว แต่ จากกรณีดังกล่ าว หากพิจารณาแล้ ว ก็จะเป็ นคาตอบได้ เป็ น อย่ างดีว่า หากข้ าพเจ้ารับรู้ ท้งั หมด เรื่องการระบายข้ าว ตามทีน่ ายวิชาฯ ไปให้ สัมภาษณ์สื่อมวลชน แล้ วจะทาให้ เห็นได้ ว่า สิ่งทีน่ ายวิชาฯ ให้ สัมภาษณ์ ไม่เป็ นความจริง เป็ นไปโดยอคติต่อตัวข้ าพเจ้า ข้ าพเจ้ า ขอชี้แจงว่ าให้ พิ จารณาถึงการกระท าของผู้ เกี่ ยวข้ องโดยแบ่ งแยกว่ าใครมี อานาจหน้ าที่ในเรื่องใด สาหรับตัวข้ าพเจ้ าในฐานะผู้บริหารสู งสุ ดข้ าพเจ้ าได้ ปรับเปลี่ยนและมี การเปลี่ยนแปลงตัวผู้ปฏิบัติหน้ าที่อยู่ตลอดเวลารวมทั้งหามาตรการใดๆ มาแก้ ไขปรับปรุงอย่ างไม่ ละเลยอยู่ตลอดเวลาดังข้ อเท็จจริงที่ได้ เรียบเรียงมาข้ างต้ นโดยเฉพาะงานในกระทรวงพาณิชย์ เอง


๑๔๘

ได้ มีก ารเปลี่ ยนแปลงรั ฐมนตรี ว่ าการกระทรวงพาณิ ชย์ เพื่ อ ให้ เกิ ด ประสิ ทธิ ภาพในงานของ โครงการต่ างๆ ในกระทรวงพาณิชย์ รวมทั้งโครงการรับจานาข้ าวซึ่ งเป็ นนโยบายของรัฐบาลจึง ยืนยันได้ ว่าเมือ่ ได้ รับทราบเรื่องใดทีจ่ ะเป็ นปัญหา หรืออุปสรรคต่ อการบริหาราชการแผ่ นดินก็ไม่ ละเลยทีจ่ ะละเว้นไม่แก้ ไข หรือระงับยับยั้งตามทีก่ ล่ าวหาข้ าพเจ้าแต่ ประการใด ด้วยเหตุผลข้อเท็จจริ ง และข้อกฎหมายที่ได้กล่าวมาในคาชี้แจงของข้าพเจ้าหากคานึ งถึงการใช้ อานาจขององค์กรในกระบวนการยุติธรรมทางอาญา ภายใต้การยึด หลักสิ ทธิ ในกระบวนการ ยุติธรรมอย่างไม่เลือกปฏิบตั ิ เสมอภาค โอกาสในการต่อสู้คดีอย่างเพียงพอ การตรวจสอบหรื อ รับทราบพยานหลักฐานตามสมควร ล้วนแต่เป็ นการปฏิบัติที่เหมาะสมในการดาเนิ นการตาม กระบวนการยุติธรรม เพื่อให้บุคคลมีสิทธิ เข้าถึงกระบวนการยุติธรรมได้โดยง่าย สะดวก และ ทัว่ ถึงสิ ทธิ ข้ นั พื้นฐานในกระบวนพิจารณา ซึ่ งอย่างน้อยต้องมีหลักประกันขั้นพื้นฐาน เรื่ องการ ได้รับการพิจารณาโดยเปิ ดเผย การได้รับทราบข้อเท็จจริ งและตรวจเอกสารอย่างเพียงพอ การ เสนอข้อเท็จจริ ง ข้อโต้แย้ง และพยานหลักฐานของตนนั้น เมื่อคานึ งถึงคดีอาญาที่ตอ้ งการให้มี การพิจารณาคดีที่ถูกต้อง และเป็ นธรรม โอกาสในการต่อสู้คดีอย่างเพียงพอ การตรวจสอบหรื อ ได้รับทราบพยานหลักฐานตามสมควร คดีน้ ี โดยสรุ ป เมื่อมาตรวจสอบการอานวยความยุติธรรมให้แก่ผถู้ กู กล่าวหา ซึ่ ง เป็ นบุคคลระดับนายกรัฐมนตรี ย่อมมีสิทธิ ได้รับความคุม้ ครองในการดาเนิ นกระบวนพิจารณา อย่างเหมาะสม ปั ญ หาข้อโต้แย้ง ที่ ผู้ถูก กล่า วหาไม่ว่า จะเป็ นเรื่ องที่ ผูถ้ ูก กล่า วหาร้ องขอขยาย ระยะเวลาชี้ แจงแก้ข ้อกล่าวหาโดยอ้างเหตุผล และความจ าเป็ นเพื่อประโยชน์แห่ งความเป็ น ธรรมที่ตอ้ งรวบรวมพยานหลักฐานในส่วนที่เป็ นคุณของผูถ้ ูกกล่าวหา เพื่อประโยชน์แห่ งความ เป็ นธรรม และโดยแท้จริ งแล้วหากได้มีโอกาสตรวจสอบพยานหลักฐานอย่างเพียงพอการชี้แจง แก้ขอ้ กล่าวหาจะเป็ นไปโดยไม่หลงประเด็น และหลงข้อต่อสู้ ในฝ่ ายคณะกรรมการ ป.ป.ช. เอง ก็ไม่ตอ้ งวิตกกังวล และจะทาให้การไต่สวน และการพิจารณาคดีน้ ี เป็ นไปโดยถูกต้องและเที่ยง ธรรม


๑๔๙

ความหวาดระแวงต่อการด าเนิ นการในโครงการรับจานาข้าว ไม่น่าจะมีต่อไป เมื่อรัฐบาลโดยผูถ้ ูกกล่าวหาได้ช้ ีแจงทั้งข้อเท็จจริ ง และข้อกฎหมายแล้วว่าขณะนี้อยูใ่ นระหว่าง ยุบสภา ข้อจากัดตามบทบัญญัติรัฐธรรมนูญเป็ นคาตอบได้เป็ นอย่างดีถึงการที่โครงการรับจานา ข้าวต้องยุติสิ้นสุ ดลง ดังนั้นข้อกล่าวหาว่า ข้าพเจ้าละเลยเพิกเฉยที่จะไม่ระงับยับยั้งโครงการจึ ง เป็ นเรื่ องที่ไม่ถกู ต้อง ส าหรั บ บัน ทึ ก แจ้ง ข้อ กล่า วหาในลัก ษณะเหมาจ่ า ยแจ้ง ข้อ กล่า วหาอย่า งไร ขอบเขตต่อกระบวนการในส่ วนของขั้นตอน และกระบวนการในการดาเนิ นโครงการว่าเป็ น ปั ญ หาการทุจ ริ ตเชิง นโยบาย แต่ก็ไม่ปรากฏข้อเท็จ จริ งเช่นนั้น ในชั้นปฏิ บัติการว่า เกิ ด ขึ้ นที่ หน่ ว ยงานใด ความเสี ยหายเป็ นอย่า งไร เท่ า ใด และในต าบล อ าเภอ และจั ง หวัด ใด ใน ราชอาณาจักร ดัง นั้น หากมาดู ข ้ออ้างในหลายๆ เรื่ อ ง อาทิ เช่น เรื่ องของการบิ ด เบื อนกลไก การตลาด การที่ รัฐต้องมีขา้ วจากการรับจ านาในโกดัง และเสี ยค่าใช้จ่ายในการเก็บรักษาเป็ น จานวนมาก รวมทั้งคุณภาพของข้าวที่เก็บแล้วระบายออกไม่ทนั จนเป็ นเหตุให้ขา้ วเสื่ อมคุณภาพ ลงท าให้ ร าคาข้ า วตกต่ า และประการส าคัญ มี ปั ญ หาของการทุ จ ริ ต ในทุ ก ขั้น ตอนของ กระบวนการรั บจานา ผูไ้ ด้รั บประโยชน์จ ากนโยบายเป็ นเพียงบุค คลบางกลุ่ม ไม่ค รอบคลุม เกษตรกรอย่างทัว่ ถึง รัฐบาลจึงควรยกเลิกโครงการรับจานาข้าวเปลือก และนาระบบการประกัน ความเสี่ ยงด้านราคาข้าวมาดาเนินการ ข้ออ้างทั้งหมดดังกล่าวข้างต้นที่เกิ ด ปรากฏขึ้ นในรายงานของคณะอนุ การปิ ด บัญชี ล้วนแต่เป็ นสาเหตุอนั เกิดจากการมีวาระซ้อนเร้นของผูป้ ฏิบตั ิที่ดาเนินการวิเคราะห์ขอ้ มูล ทั้งข้อกฎหมายและข้อเท็จจริ ง ไม่มีความรอบครอบ ขาดความรัดกุม เลือกใช้ขอ้ มูลบางส่วนที่ไม่ ตรงกับข้อเท็จจริ งและหลักวิชาการมาปฏิบตั ิหน้าที่ในการไต่สวนข้อเท็จจริ ง เพื่อเชื่อมโยงข้อมูล ที่ จ ะน ามาเป็ นพยานหลั ก ฐานในการต่ อ สู้ ค ดี ท าให้ ข ้ อ มู ล ที่ ป รากฏในรายงานของ คณะอนุกรรมการปิ ดบัญชีไม่อาจชี้มูลความผิดได้ สาหรับโครงการรับจานาข้าวมีหลักคิดที่หลายๆ รัฐบาลมิได้ม่งุ หมายเพื่อหวังผล กาไรต่อการดาเนิ นโครงการแต่อย่างใด จึ งไม่ตอ้ งการให้นาตัวเลขภายหลังสิ้ นสุดโครงการมา


๑๕๐

ถกเถีย งซึ่ งกันและกัน ว่า นโยบายของรั ฐบาลใดตอบสนองความต้องการของประชาชนได้ มากกว่ากัน สาหรับเงินรายได้ของโครงการรับจานาข้าวถือเป็ นความต้องการของประชาชนไป แล้ว โดยที่มาของโครงการเริ่ มจาก พรรคเป็ นผูน้ าเสนอนโยบายในลักษณะสัญ ญาประชาคม โดยผ่านการเลือกตั้ง และนาไปสู่การปฏิบตั ิเมื่อมีการแถลงนโยบายต่อรัฐสภา รัฐจึงไม่เสี ยหาย โครงการรับจานาข้าวมิใช่โครงการที่ประสงค์จะก่อให้เกิดการทุจริ ตเชิงนโยบาย แต่มีวตั ถุประสงค์ที่จะสร้างความเป็ นธรรมและยกระดับรายได้ให้กับเกษตรกร เพื่อลดความ เหลื่อมล้ าของคนส่ วนใหญ่ของประเทศ มิได้ประสงค์ให้เกิ ดการบิดเบือนกลไกตลาด หากแต่ เป็ นการแก้ปัญหาการกดราคาและการเอารัดเอาเปรี ยบของพ่อค้าคนกลาง เพื่อให้รายได้ตกถึงมือ เกษตรกรอย่างแท้จริ ง นายกรัฐมนตรี และคณะรัฐมนตรี มิได้ละเลยข้อเสนอแนะจากฝ่ ายต่างๆ โดยมี การปรั บ ปรุ ง หลัก เกณฑ์ ก ารด าเนิ น โครงการให้ มี ป ระสิ ทธิ ภ าพมากขึ้ น อย่า งต่ อ เนื่ อ ง นอกเหนื อจากข้อกล่าวหาทั้งหลายของ ป.ป.ช. จะไม่สอดคล้องกับข้อกฎหมายและข้อเท็จจริ ง ประเด็นสาคัญ คือ ความเสี ยหายของโครงการยังไม่เกิดขึ้นจริ ง จึงไม่สามารถกล่าวหาได้วา่ จงใจ ละเว้นการปฏิบตั ิหน้าที่ หรื อละเลยเพื่อให้เกิดความเสี ยหายต่อภาระการเงินการคลังของประเทศ จนถึงขนาดที่ขา้ พเจ้าต้องเข้าไปดาเนินการเพื่อให้คณะกรรมการนโยบายข้าวแห่ งชาตินาเสนอ ต่อคณะรัฐมนตรี ต่อไป แต่ขอ้ เท็จจริ งเช่นนั้นก็หามีไม่วา่ ความเสี ยหายที่อา้ ง ภาระการเงินและ การคลัง ดัง กล่าวข้างต้นต้องเป็ นความเสี ย หายที่ เป็ นรู ปธรรมที่ ถึงขนาดโดยมี ข้ นั ตอน และ กระบวนการในการตัดสิ นใจของผูบ้ ริ หารโครงการและต่อตัวผูป้ ฏิบตั ิ เมื่อความเสี ยหายยังไม่ เป็ นรู ปธรรมที่ถึงขนาดแล้วหากตัดสิ นใจระงับยับยั้งต่างหากที่จะถือว่าเป็ นการใช้อานาจตาม อาเภอใจ จึ งถือเป็ นความเห็ นต่างกันในหลักคิ ด และทฤษฎีทางการบริ หารที่ ตอ้ งตัดสิ นใจต่อ นโยบายใดนโยบายหนึ่ งที่ จ ะน ามาใช้เป็ นนโยบายสาธารณะ สร้ า งความพึ ง พอใจให้ กั บ ประชาชน ดังนั้นข้าพเจ้าจึ งขอให้ค ณะกรรมการ ป.ป.ช. ได้อานวยความยุติธรรม โดยรับฟั ง พยานหลักฐานในคดีน้ ี ทั้งที่ เป็ นคุณและเป็ นโทษ อันเป็ นเหตุให้มีก ารกล่าวหาต่อตัวข้าพเจ้า โดยให้ มี ก ารรั บ ฟั ง พยานหลัก ฐานให้ ส้ิ นกระแสความเสี ยก่ อ น ก่ อ นที่ จ ะชั่ ง น้ าหนั ก พยานหลัก ฐานที่ ค วรเชื่ อหรื อ ไม่ค วรเชื่ อได้อย่างไรเสี ยก่ อน และหากไต่ส วนพิจ ารณาอย่า ง


๑๕๑

ถูก ต้อง และเป็ นธรรมแล้วหากเห็ นว่าไม่มีพยานหลัก ฐานที่ ควรเชื่ อถือได้ข อคณะกรรมการ ป.ป.ช. ได้ยตุ ิเรื่ องที่ไต่สวนเสี ยจาเป็ นประโยชน์ในการอานวยความยุติธรรมต่อไป

ลงชื่อ

ผูถ้ กู กล่าวหา (นางสาวยิ่งลักษณ์ ชินวัตร)


๑๕๒


Issuu converts static files into: digital portfolios, online yearbooks, online catalogs, digital photo albums and more. Sign up and create your flipbook.