กาพย์เห่เรือ

Page 1

กาพย์เห่เรือ

เจ้าฟ้าธรรมาธิเบศร (เจ้าฟ้ากุ้ง) จัดทาโดย ครูวิภาพร พาชื่นใจ กลุ่มสาระการเรียนรู้ภาษาไทย


พระนิพนธ์ เจ้าฟ้าธรรมธิเบศร์ ลักษณะคาประพันธ์ ๑. ร้อยกรอง ประเภทกาพย์เห่เรือ จบด้วย กาพย์ห่อโคลง ( บางตาราใช้กาพย์ห่อโคลงเห่เรือ ) ๒. กาพย์เห่เรือ ๑ บท ประกอบด้วย โคลงสี่สุภาพนา ๑ บท แล้วกาพย์ยานี ๑๑ ไม่จากัด จานวนบท โดยให้กาพย์ยานี ๑๑ บทแรก มีเนื้อความเดียวกันกับโคลงสี่สุภาพที่นากาพย์ ความรู้เพิ่มเติม ๑. ตานานการเห่เรือ สมเด็จพระเจ้าบรมวงศ์เธอกรมพระยาดารงราชานุภาพทรงสันนิษฐานว่า การเห่เรือของไทยน่าจะได้แบบอย่างมาจากประเทศอินเดีย แต่ประเทศอินเดียใช้เป็นมนต์ในตาราไสย ศาสตร์บูชาพระราม ส่วนของประเทศไทยใช้เห่บอกจังหวะฝีพายพร้อมกัน เพือ่ เป็นการผ่อนแรงในการ พายและทาให้รู้สึกเพลิดเพลิน ๒. ประเภทของการเห่เรือ แบ่งได้เป็น ๒ ประเภท คือ ๑) เห่เรือหลวง เป็นการเห่เนือ่ งในงานพระราชพิธีในการเสด็จพระราชดาเนินโดยขบวน พยุหยาตราทางชลมารค เช่น ขบวนพยุหยาตราทางชลมารคในคราวสมโภชน์กรุงรัตนโกสินทร์ครบ ๒๐๐ ปี ๒) เห่เรือเล่น เป็นการเห่เวลาเล่นเรือเทีย่ วเตร่เพือ่ ความสนุกสนารื่นเริง และให้จังหวะฝีพาย พายพร้อมกัน การเห่เรือในปัจจุบันนาเอาบทเห่เรือเล่นที่เจ้าฟ้าธรรมธิเบศรทรงพระนิพนธ์ไว้ ซึ่งใช้เห่เรือ มาตั้งแต่รัชสมัยพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว


๓. การเห่เรือ การเห่โคลงนากาพย์เรียกว่า "เกริ่นโคลง" ส่วนการเห่เรือ มี ๓ อย่าง คือ ๑) ช้าสวะเห่ เป็นเห่ช้า ใช้พลพายในท่านกบิน ใช้เห่เมือ่ เรือเริม่ ออกจากท่า และเมื่อพาย เรือตามกระแสน้า ๒) มูลเห่ เป็นเห่เร็ว ใช้เห่ต่อจากช้าสวะเห่ ใช้เห่เมื่อเรือทวนกระแสน้า ๓) สวะเห่ ใช้เห่เมื่อเรือเข้าเทียบท่าเมือ่ ถึงจุดหมายปลายทาง กาพย์เห่เรือ ตอน เห่ชมเรือ เกริ่นโคลง ปางเสด็จประเวศด้าว

ชลาลัย

ทรงรัตนพิมานชัย

กิ่งแก้ว

พรั่งพร้อมพวกพลไกร

แหนแห่

เรือกระบวนต้นแพร้ว

เพริศพริ้งพรายทอง

กาพย์ ช้าละวะเห่ พระเสด็จโดยแดนชล กิ่งเเก้วแพร้วพรรณราย

ทรงเรือต้นงามเฉิดฉาย พายอ่อนหยับจับงามงอน


แน่นเป็นขนัด

ล้วนรูปสัตว์แสนยากร

เรือริ้วทิวธงสลอน เรือครุฑยุดนาคหิว้ พลพายกรายพายทอง สรมุขมุขสี่ด้าน ม่านกรองทองรจนา สมรรถชัยไกรกาบแก้ว เรียบเรียงเคียงคู่จร สุวรรณหงส์ทรงพู่ห้อย เพียงหงส์ทรงพรมมินทร์ เรือชัยไวว่องวิ่ง เสียงเส้าเร้าระดม

สาครลั่นครั่นครื้นฟอง ลิ่วลอยมาพาผันผยอง ร้องโห่เห่โอ้เห่มา เพียงพิมานผ่านเมฆา หลังคาแดงแย่งมังกร แสงแวววับจับสาคร ดั่งร่อนฟ้ามาแดนดิน งามชดช้อยลอยหลังสินธุ์ ลินลาศเลื่อนเตือนตาชม รวดเร็วจริงยิง่ อย่างลม ห่มท้ายเยิ่นเดินคู่กัน

มูลเห่ คชสีห์ทีผาดเผ่น ราชสีห์ที่ยืนยัน

ดูดังเป็นเห็นขบขัน คั่นสองคู่ดูยิ่งยง


เรือม้าหน้ามุง่ น้า เพียงม้าอาชาทรง เรือสิงห์วงิ่ เผ่นโผน ดูยิ่งสิงห์ลาพอง นาคาหน้าดังเป็น มังกรถอนพายพัน เลียงผาง่าเท้าโผน นาวาหน้าอินทรี ดนตรีมี่องึ อล โห่ฮึกครึกครื้นโครม กรีธาหมู่นาเวศ เหิมหืน่ ชื่นกระมล

แล่นเฉื่อยฉ่าลาระหง องค์พระพายผายผันผยอง โจนตามคลื่นฝืนฝ่าฟอง เป็นแถวท่องล่องตามกัน ดูเขม้นเห็นขบขัน ทันแข่งหน้าวาสุกรี เพียงโจนไปในวารี มีปีกเหมือนเลื่อนลอยโพยม ก้องกาหลพลแห่โหม โสมนัสชื่นรืน่ เริงพล จากนคเรศโดยสาชล ยลมัจฉาสารพันมี


ถอดคาประพันธ์ โคลง ........เมื่อพระเจ้าอยู่หวั บรมโกศเสด็จทางชลมารค ทรงประทับเรือกิ่งซึ่งพรั่งพร้อมด้วยกาลังพล ทหารห้อมล้อม เป็นขบวน ภาพของเรือต้นงดงามแวววาวระยิบระยับจากแสงสะท้อนทีม่ าจากพายสีทอง ถอดคาประพันธ์ ส่วนที่เป็นกาพย์ยานี ๑๑ ..........พระเจ้าอยู่หวั บรมโกศเสด็จพระราชดาเนินโดยทางชลมารคได้ประทับบนเรือต้นในการ เดินทาง ภาพของเรือกิง่ นั้นดูแพรวพราวภาพการพายเรือนั้นก็ดูอ่อนไหว.......งดงามอย่างพร้อมเพรียงกัน .........ขบวนเรือแน่นเป็นแถวเป็นแนว ประกอบด้วยเรือที่หัวเรือเป็นรูปสัตว์หลาย ๆ ชนิด มองเห็น ธงเด่นสะพรั่งมาแต่ไกล การเดินทางด้วยขบวนเรือทาให้เกิดเป็นคลื่นน้าระลอก เรือครุฑ ซึ่งบนเรือนั้นมีพลทหารกาลังพายเรืออย่างเป็นจังหวะพร้อมกับเปล่งเสียงโห่ร้อง เรือสรมุข ลอยมาเปรียบความสวยงามดั่งพิมานบนสวรรค์ที่กาลังเคลื่อนที่ผ่านหมู่เมฆ เรือสรมุขตกแต่งไปด้วยม่านสีทอง หลังคาสีแดงมีลวดลายมังกรประดับอยู่ เรือสมรรถชัย กาลังแล่นมาเทียบเคียงกับเรือสรมุข ประกอบไปด้วยกาบแก้วขนาดใหญ่ เกิดแสง แวววับสะท้อนกับแม่น้ามีความงดงามมากเหมือนดั่งว่ากาลังร่อนลงจากสวรรค์ฟากฟ้าลงสู่พื้นดิน เรือสุวรรรณหงส์ มีพู่ห้อยอย่างสวยงามล่องลอยอยู่บนสายน้าเปรียบดั่งหงส์ที่เป็นพาหนะของ พระพรหมเตือนตาให้ชม


เรือชัย แล่นด้วยความรวดเร็วเหมือนดั่งลม มีเสียงเส้าที่คอยให้จังหวะท้ายเรือให้แล่นไปเคียงคู่ กันไปกับเรือพระที่นั่งลาอื่นๆ เรือคชสีห์ ที่กาลังแล่นไปนั้น ดูแล้วชวนขบขัน เรือราชสีห์ ที่แล่นมาเคียงกันนั้นดูมนั่ คงแข็งแรง เรือม้า กาลังมุ่งหน้าไปข้างหน้าซึ่งเรือม้าทีลักษณะทีส่ ูงโปร่งเหมือนกับม้าทรงอันเป็นพาหนะของ พระพาย เรือสิงห์ ดูเหมือนกับว่ากาลังจะกระโจนลงสู่แม่น้าและมีความลาพองใจนั้นก็แล่นป็นแถวตามๆกันมา เรือนาค นั้นมองดูเหมือนกับมีชีวิตแล้วชวนขบขันกาลังจะถูกเรือมังกรแล่นตามมาทัน เรือเลียงผา นั้นทาท่าเหมือนกับกาลังจะกระโจนลงแม่น้า ส่วน เรืออินทรี ก็มีปีกทีเ่ หมือนกับกาลังจะลอยไปในอากาศ เสียงดนตรีนั้นดังลั่นมีเสียงก้องมาจากแตรงอน เสียงพลทหารโห่รอ้ งอย่างครึกครื้นทาให้เกิด ความความรื่นเริงในหมู่พลทหาร

การเคลือ่ นขบวนออกจากนั้นดูเข้มแข็งเป็นภาพทีท่ าให้ชื่นอกชื่นใจ

มองดูเหมือนฝูงปลาที่มีมากมายในสายน้า


ลักษณะพิเศษของกาพย์เห่เรือ ๑. ลักษณะของสานวนและความหมาย ใช้สานวนกะทัดรัด มีความหมายเด่นชัดเข้าใจง่ายและมีน้าหนัก อย่างเหมาะสม เช่น พระเสด็จโดยแดนชล กิ่งแก้วแพรวพรรณราย

ทรงเรือต้นงามเฉิดฉาย พายอ่อนหยับวับงามงอน

๒. ลักษณะถ้อยคา ใช้ถ้อยคาเกลี้ยงเกลาสละสลวย ไพเราะด้วยการสัมผัสและทาให้เกิดภาพพจน์ เช่น เนื้ออ่อนอ่อนแต่ชื่อ ใครต้องข้องจิตชาย

เนื้อน้องหรืออ่อนทั้งกาย ไม่วายนึกตรึกตรึงทรวง

๓. ลักษณะการพรรณนา การพรรณนาความรู้สึกลึกซึ้งและแยบคายมาก เช่น แก้มช้าช้าใครต้อง ปลาทุกทุกข์อกตรม

อันแก้มน้องช้าเพราะชม เหมือนทุกข์ที่พี่จากนาง

๔. ลักษณะอารมณ์ เกิดอารมณ์สะเทือนใจ เช่น เพรางายวายเสพรส อิ่มทุกข์อมิ่ ชลนา

แสนกาสรดอดโอชา อิ่มโศกาหน้านองชล


๕. ลักษณะการแต่ง แต่งถูกต้อง มีการเล่นอักษร มีสานวนอุปมาอุปไมย เช่น รอนรอนสุริยโอ้

อัสดง

เรื่อยเรือ่ ยลับเมรุลง

ค่าแล้ว

รอนรอนจิตจานง

นุชพี่ เพียงแม่

เรื่อยเรือ่ ยเรียมคอบแก้ว

คลับคล้ายเรียมเหลียว

ความคิดสร้างสรรค์แบ่งปันหลังเรียน ๑. ให้นักเรียนแบ่งกลุ่ม กลุ่มละ ๓ -๕ คน แต่ละกลุ่ม ช่วยกันพิจารณาคุณค่าด้านสังคม ของกาพย์เห่เรือ ๒. “กาพย์เห่เรือ ถือเป็นมรดกอันล้าค่าทางวัฒนธรรม ทั้งด้านวรรณคดี และประเพณี” ปัจจุบันเราอนุรักษ์การเห่เรือด้วยวิธีใด นักเรียนคิดว่าเหมาะสมหรือไม่ และให้ฐานะที่นกั เรียนเป็นเยาวชน ในยุคดิจิทอล นักเรียนมีวิธีการอนุรักษ์วัฒนธรรมนี้อย่างไร จงเขียนบรรยาย