DemoCrazy • Volume 25

Page 1


ธนาคารกรุงเทพ สาขาถนนวิภาวดีรังสิต บัญชีสะสมทรัพย์ เลขที่บญ ั ชี 196-0-71142-0 ชื่อบัญชี สํานักพิมพ์เพื่อนชีวิต

DemoCrazy สถาปนา เมษายน พ.ศ.2551 บรรณาธิการ • แสงธรรม ชุนชฎาธาร ผู้ช่วยบรรณาธิการ • กิตตินันท์ นาคทอง กองบรรณาธิการ • กฤช วีรกุล • ภรณ์ศมน จรีเวรุไวโรจน์ • ยุรชัฎ ชาติสุทธิชยั • ชเนษฎ์ ศรีสุโข • วรภัทร วีรพัฒนคุปต์ • กฤติน ดิ่งแก้ว ศิลปกรรม • กิตตินันท์ นาคทอง Webmaster • กิตตินันท์ นาคทอง Facebook Administrator • วรภัทร วีรพัฒนคุปต์ โครงการนิตยสาร DemoCrazy สํานักงานเลขที่ 90/43 หมู่บ้านอยู่เจริญ ซอยทรงสะอาด ถนนวิภาวดีรังสิต แขวงจอมพล เขตจตุจักร กรุงเทพฯ 10900 กองบรรณาธิการ DemoCrazy • โทรศัพท์ 02-277-6413 • โทรสาร 02-691-4609 • สนับสนุนวารสาร โทร. 081-813-7877 อีเมล democrazy@live.com facebook.com/democrazymagazine

ON THE WEB: www.demo-crazy.com

EDITORIAL .

ฉบับนี้ขอต้อนรับปีใหม่ ตรุษจีน และวาเลนไทน์ไปเลยทีเดียว ขอให้ผู้อ่าน DemoCrazy และครอบครัว ทุกท่าน จง ประสพแต่สิ่งดีๆ อย่าเจ็บ อย่าจน อย่าเจ๊ง อย่าจ๋อย อย่าจุก สิ่งเลวร้ายให้มหาอุทกภัยมันพัด ผ่านไป ส่วนใครที่ลุ้นและอินกับสถานการณ์ บ้านเมือง ก็ขอให้ปล่อยวาง แต่ไม่วางเฉย อะไรจะเกิด มันก็ต้องเกิด เราแค่รวมพลัง ของเรา ทําให้ดีที่สุด อย่ า เก็ บ มาทุ ก ข์ จ นเสี ย สุ ข ภาพ กาย-ใจ ขอแค่ เพี ยงเรามุ่ง มั่น ทําสิ่ งที่ ดีต่ อ บ้านเมือง ยามใดที่ดินกลบหน้า เราก็ไม่เสียใจที่ได้ถือกําเนิดมาบนผืนแผ่นดินนี้แล้ว ตอนนี้เรื่องที่ รุก รุม เร้า บ้านเมืองมีอยู่หลายอย่างด้วยกัน คนที่บอกว่าจะแก้ไข ไม่แก้แค้น ก็ดูเหมือนว่าพฤติกรรมจะตรงกันข้าม และยังคงมี กิจกรรมที่ทําร้ายบ้านเมืองและระบบกฎหมายอย่างต่อเนื่อง ปีนี้สิ่งที่น่าจับตามองคือ แดงล้มแดง ดูเหมือนว่าแกนนําที่บอกว่าตัวเองเป็นไพร่ กับ มวลชน จะไปคนละทิศ คนละทางกระจัด กระจาย และมีจุดยืนที่แตกต่างจากที่เคยพูดไว้ ให้ คนมาตายแทนอย่างสิ้นเชิง บางคนเมื่อได้สถาปนาตัวเองเป็นอํามาตย์ ก็ดูเหมือนจะลืมเลือดไพร่ที่เจาะเอาไปเท ตามสถานที่ต่างๆเสียแล้ว ชั่วโมงนี้เป็นชั่วโมงของการกอบโกย ใครแสวงหาผลประโยชน์ ได้มากเท่าไหร่ ก็ดูเหมือนว่าจะคุ้มค่าที่ต้องเสี่ยงคุกเสี่ยงตะรางเพื่อคนบางคน เรียกได้ว่างานนี้ต้องเอาให้สบายไปถึง"ชั่ว"ลูก"ชั่ว"หลาน จึงต้องคอยดูว่าจะเกิ ด เหตุการณ์แดงอุดมการณ์ กับแดงอุดมกู ปะทะกันเมื่อไร อีกหนึ่งเรื่องที่มาจริงมาแน่ คือการช่วยนายใหญ่ให้พ้นผิด ทั้งแก้รัฐธรรมนูญ แก้ กฎหมายล้างมลทิน กฎหมายปรองดอง สารพัด เรือ่ งราวเหล่านี้เชื่อว่าคนที่ติดตามสถานการณ์ ไม่ปล่อยให้ฉลุยแบบม้วนเดียวจบเป็นแน่ เรื่องที่รุมรัฐบาลอย่างชัดเจนในปีนี้คงเป็นเรื่องปากท้องชาวบ้าน ที่มันไม่ยักกะดี อย่ า งคํ า โฆษณาเมื่ อ ตอนหาเสี ย ง ค่ า ครองชี พ ก็ สู ง เงิ น ในกระเป๋ า ก็ น้ อ ย แล้ว ยั ง จะไปแก้ กฎหมายเพื่อสร้างหนีเ้ พิ่ม บวกกับความไม่พอใจในการแก้ปัญหาน้ําท่วม และการทุจริตคอรัปชั่น ภาวะผู้นํา ของนายกฯ ถ้าเทียบรัฐบาลคือรัฐนาวา เรือลํานี้คงโคลงเคลงส่ายไปส่ายมา ไม่รู้จะล่มวันนี้วัน พรุ่ง เปิดฉากมาด้วยคําอวยพร แต่เขียนไป เขียนไปดูเหมือนจะมีแต่เรื่องหนักๆให้ฝ่า ให้ฟันกันในปีนี้ แต่บททดสอบของชีวิต มันก็ทําให้ชีวิตของเราได้ใช้อย่างคุ้มค่าและมีสีสัน มิใช่หรือ?

แสงธรรม ชุนชฎาธาร บรรณาธิการชีวิตท้าทาย

• วารสารเดโมเครซี่ (DemoCrazy) โดย โครงการนิตยสารเดโมเครซี่ อนุญาตให้ใช้ได้ตามสัญญาอนุญาตของ ครีเอทีฟคอมมอนส์แบบ แสดงที่มา-ไม่ใช้เพื่อการค้า-อนุญาตแบบเดียวกัน 3.0 ต้นฉบับ. • เพื่อสนับสนุนนโยบายฟอนท์แห่งชาติของภาครัฐ เนื้อหาในส่วนของข้อความจะใช้แบบอักษร TH Sarabun PSK ของสํานักงานส่งเสริมอุตสาหกรรมซอฟต์แวร์แห่งชาติ (สอซช.) หรือ SIPA

DemoCrazy .2.


.

- การจัดงาน “รักเมืองไทย เดินหน้าประเทศไทย” ที่รัฐบาล นางสาวยิ่งลักษณ์ ชินวัตร จัดขึ้นที่ทําเนียบรัฐบาล ไฮไลท์สําคัญอยู่ที่ ประธานองคมนตรี แ ละรั ฐ บุ รุ ษ อย่ า ง “พลเอกเปรม ติ ณ สู ล านนท์ ” ตัดสินใจตอบรับเข้าร่วมงานตามคําเชิญของนายกฯ ยิ่งลักษณ์ สร้างความงุนงงต่อบรรดาลูกศิษย์ป๋า ซึ่งส่วนใหญ่ล้วนแล้วแต่ไม่ เอาอดี ต นายกรั ฐ มนตรี “ทั ก ษิ ณ ชิ น วั ต ร” พี่ ช ายนายกฯ ยิ่ ง ลั ก ษณ์ ผู้ต้องหาหนีคดีอาญาแผ่นดิน รวมทั้งบรรดากลุ่มผู้สนับสนุนกลุ่มคนเสื้อ แดง “แนวร่วมประชาธิปไตยต่อต้านเผด็จการแห่งชาติ” หรือ นปช. ซึ่ง ที่ผ่านมามอง “ป๋าเปรม” เป็นศัตรูมาโดยตลอด และแกนนําสู้แล้วรวยเคย ปลุกระดมถึงขนาดก่อม็อบป่วนกันถึงหน้าบ้านพักสี่เสาเทเวศร์มาแล้ว สัญญาณที่ออกมาภายหลังจากงานเลี้ยงของรัฐบาลที่มีป๋าเปรม ไปร่วมงานก็คือ ท่าทีของอดีตนายกฯ ทักษิณ ที่ส่งผ่านทนายความส่วนตัว “นพดล ปัทมะ” เปิดเผยว่า ดีใจที่ได้เห็นภาพพลเอกเปรมและนายกฯ ยิ่ง ลักษณ์ พูดคุยกันอย่างชื่นมื่นในการจัดงานดังกล่าวถือเป็นจุดเริ่มต้นที่ดีที่ ทุกฝ่ายจะร่วมมือกันให้บ้านเมืองเดินหน้าไปสู่ความปรองดอง สมานฉันท์ ขณะที่ก่อนหน้านี้ อดีตนายกฯ ทักษิณ ได้กล่าวผ่าน นายทอม เพลท ผู้เขียนหนังสือ “คอนเวอร์เซชั่น วิธ ทักษิณ” โดยได้เปิดเผยผ่าน คอลัมน์ของตนเองในหนังสือพิมพ์โคเรีย ไทมส์ เมื่อวันที่ 8 กุมภาพันธ์ 2555 ก่อนหน้างานเลี้ยงของรัฐบาล 2 วัน อดี ต นายกฯ ทั ก ษิ ณ กล่ า วกั บ นายทอม ซึ่ ง นํ า มาเขี ย นเป็ น คอลัมน์ว่า “ทางออกทางเดียวเท่าที่มีอยู่ในเวลานี้ก็คือ การปรองดอง ให้อภัยซึ่งกันและกันทั้งหมด ไม่มีการไล่ล่าล้างแค้น แก้เผ็ดใดๆ กันอีก” นอกจากนี้ รัฐบาลยิ่งลักษณ์และพรรคเพื่อไทย ยังแสดงจุดยืนที่ จะไม่แก้ไขประมวลกฎหมายอาญามาตรา 112 ตามที่กลุ่มนิติราษฎร์และ

เครือข่ายกลุ่มคนเสื้อแดงเรียกร้องมาโดยตลอด เท่ากับเป็นการปลดชนวน ความขั ด แย้ ง ที่ ฝ่ า ยตรงข้ า มรั ฐ บาลออกมาโจมตี โดยปล่ อ ยให้ ก ลุ่ ม เคลื่อนไหวมาตรา 112 เป็นไปอย่างโดดเดี่ยว และทําเอามวลชนเสื้อแดง ส่วนหนึ่งที่ให้การสนับสนุนลังเลว่าจะเคลื่อนไหวอย่างไร นอกจากนี้ แกนนํา นปช.คนสําคัญที่กลุ่มคนเสื้อแดงให้ความ ศรัทธาอย่าง “จตุพร พรหมพันธุ์” ส.ส.บัญชีรายชื่อ พรรคเพื่อไทย ก็ กล่าวว่า เป็นจุดเริ่มต้นกระบวนการปรองดองอย่างชัดเจน ส่วนที่มีหลาย ฝ่ายออกมาระบุว่า กรณีดังกล่าวอาจสร้างความไม่พอใจในกลุ่มมวลชน นปช. จะอธิบายให้มวลชนฟังได้อย่างไรนั้น จตุพรอ้างว่า ที่ผ่านมาถือเป็น การทําหน้าที่ ไม่มีเรื่องขัดแย้งส่วนตัว ผู้ใหญ่ก็ควรทําตัวเป็นผู้ใหญ่ อะไรก็ ตามที่เป็นจุดเริ่มต้นของประเทศ กลุ่ม นปช.จะไม่ขัดขวาง ขณะทีแ่ กนนําอีกคนอย่าง “ณัฐวุฒิ ใสยเกื้อ” รมช.เกษตรและ สหกรณ์ ก็กล่าวในทํานองเดียวกันว่า เรื่องนี้คงไม่มีอะไรแอบแฝง หรือเหตุ อะไรเป็ น พิเ ศษทั้ งสิ้ น แต่ค งเป็ นเรื่อ งสัญ ญาณที่ดี ของความปรองดอง สมัครสมานสามัคคี ทั้งนี้ โดยส่วนตัวแล้วไม่เคยมีความขัดแย้งเป็นการ ส่วนตัวกับใคร ไม่ว่านักการเมือง หรือคนกลุ่มอื่น จะมีก็เพียงแต่ความ แตกต่าง ซึ่งเป็นความเห็นตามระบอบประชาธิปไตย เรื่องนี้ไม่จําเป็นต้อง ไปเกลี ย ดกั น หรื อ ฆ่ า กั น และก็ ไ ม่ ใ ช่ เ รื่ อ งส่ ว นตั ว หากเป็ น ความคิ ด ที่ แตกต่าง เราก็คงต้องถกเถียงหรือต่อสู้กันในทางความคิดต่อไป “ขอย้ําว่าไม่มีวาระอะไรเป็นพิเศษ เมื่อรัฐบาลไปเชิญพลเอก เปรม ท่านก็มา ซึ่งที่ผ่านมาก็ไม่ได้ขัดแย้งกับพลเอกเปรม ก็คงไม่ต้องขอ โทษอะไร” ณัฐวุฒิยังกล่าวแบบเสียงแข็ง ต่างจากคําตอบที่ดูเหมือนว่าไม่ มีอะไรเกิดขึ้น และไม่รู้ว่าจะอธิบายเรื่องนี้แก่มวลชนคนเสื้อแดงอย่างไร ในเมื่อความเชื่อของคนกลุ่มนี้ย่อมจงเกลียดจงชังป๋าเปรมชนิดเข้าเส้น

DemoCrazy .3.


.

เพราะอย่าลืมว่าในช่วงความขัดแย้งทางการเมืองที่ผ่านมา “ป๋า เปรม” ถูกลากเข้ามาสู่ความขัดแย้งทางการเมือง นับตั้งแต่การจัดรายการ “สมัคร-ดุสิต คิดตามวัน” ที่กล่าวโจมตีพลเอกเปรม เพียงเพราะยกพระ ราชดํารัส 14 ข้อมาปาฐกถาพิเศษในหัวข้อ “แนวทางพระราชดําริสู่การ บริหารจัดการภาครัฐ" แก่นักศึกษาปริญญาเอก มหาวิทยาลัยราชภัฎสวน ดุสิตและถูกตีเป็นข่าวจนโด่งดังในช่วงกระแส “ขับไล่ทักษิณ” กําลังมาแรง อดีตนายกฯ ทักษิ ณพยายามกล่าวโจมตี “ป๋าเปรม” มาโดย ตลอด และบางครั้งก็ถูกผู้ฟังตีความไปถึงเบื้องสูง โดยเฉพาะวาทกรรม “ผู้ มีบารมีนอกรัฐธรรมนูญ” ที่จุดชนวนให้กลุ่มคนรักทักษิณในขณะนั้นจง เกลี ย ดจงชั ง และแกนนํ า พยายามโจมตี พ ลเอกเปรมมาโดยตลอด นอกจากนี้ อดีตนายกฯ ทักษิณยังกล่าวหาอีกว่า พลเอกเปรมอยู่เบื้องหลัง การรั ฐ ประหาร 19 กั น ยายน 2549 และเป็ น คนนํ า ผบ.เหล่ า ทั พ ไป เฝ้าทูลละอองธุลีพระบาท พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวในคืนวันนั้น หลักฐานสําคัญที่ทักษิณพยายามกล่าวหาป๋าเปรม คือวีดีโอคลิป ในยู ท วิ บ์ (http://www.youtube.com/watch?v=rjnaLYfDOTY) ต่ อ หน้าผู้สนับสนุนในสนามบินซิดนีย์ ออสเตรเลีย เมื่อปี 2550 ซึ่งทักษิณ กล่าวหาป๋าเปรมว่าพยายามดึงไม่ให้มีการเลือกตั้ง อ้างว่าหากเลือกตั้งก็แพ้ ตน ก็เลยไม่ต้องการให้เลือกตั้ง และเป็นคนขัดขวางไม่ให้ตนดําเนินคดีกับ นายสนธิ ลิ้มทองกุล แกนนําพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย “คนเขาก็คิดว่า...คือวันนั้น สร้าง...โกหกขึ้นมา แล้วตอนนั้นผม จะจับสนธิ (นายสนธิ ลิ้มทองกุล) จะฟ้องสนธิ คุณเปรมก็ไปเที่ยวสั่งศาล ไม่ให้ดําเนินคดี สั่งอยการไม่ให้ฟ้อง สั่งตํารวจไม่ให้ฟ้อง ผมเป็นนายก ผม ยั ง ไม่ มี อํ า นาจเลย เพราะคุ ณ เปรมแอบสั่ ง หรื อ แอบพู ด แล้ ว ก็ ไ ปสั่ ง หนังสือพิมพ์ให้ตีผมทุกฉบับ โดยผูกผมให้เป็นประเด็น คนก็เลยกลายเป็น ว่าโกหกทั้งหมด” ทักษิณกล่าวท่ามกลางผู้สนับสนุน อย่างไรก็ตาม แม้พลเอกเปรมจะมีท่าทีวางเฉยต่อเรื่องราวที่ เกิดขึ้น แต่เมื่อฝ่ายอดีตนายกฯ ทักษิณพยายามสร้างความปั่นป่วนและ โจมตีมาโดยตลอด ครัง้ หนึ่งป๋าเปรมก็เปิดใจแก่เหล่านักเรียนเก่าและศิษย์ เก่ามหาวชิราวุธ จ.สงขลา ที่เดินทางมาเยี่ยมและให้กําลังใจ โดยกล่าวถึง ประเด็นผู้มีบารมีนอกรัฐธรรมนูญว่า ตนเคยถามอดีตนายกฯ ทักษิณ และ คุณหญิงพจมาน ชินวัตร (ดามาพงศ์) แต่ทั้งคู่ไม่ตอบว่าเป็นใคร ส่วนประเด็นที่ว่าอยู่เบื้องหลังการรัฐประหารของพลเอกสนธิ บุ ณ ยรั ต กลิ น ผบ.ทบ.เวลานั้ น ไม่ รู้ จ ะชี้ แ จงอย่ า งไรเพราะไม่ ไ ด้ อ ยู่ เบื้องหลัง ตนจะอยู่เบื้องหลังการปฏิวัติไม่ได้ เพราะไม่มีหน้าที่ และไม่มี อิทธิพลพอ ส่วนกรณีที่ตนคนนํา ผบ.เหล่าทัพเฝ้าทูลละอองธุลีพระบาท พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวก็ไม่เป็นความจริงอีกเช่นกัน ในช่วงที่มีการ รัฐประหาร ตนเข้าไปในพระราชวังสวนจิตรลดา เพราะต้องทําตามหน้าที่ องคมนตรี เผื่อว่าท่านจะทรงมีพระราชกระแสรับสั่งอย่างไรบ้าง จะได้รับ ใส่เกล้าใส่กระหม่อมมาปฏิบัติเพราะมันเหตุการณ์ฉุกเฉิน พลเอกเปรมกล่าวยืนยันว่า ตนไม่มีศัตรู ไม่มีฝ่ายตรงข้าม เพราะ ถือว่า เราจะทําหน้าที่ของเราเพื่อคนไทยทุกคน แต่บางส่วนเห็นว่าเราเป็น ฝ่ายตรงข้ามกับเขาก็ไม่ว่าอะไร เขาอยากเป็นฝ่ายตรงข้ามก็เป็น เราก็ไม่ได้ เป็ น ฝ่ า ยตรงข้ า มกั บ อดี ต นายกฯ ทั ก ษิ ณ ที่ ป ฏิ วั ติ รู้ สึ ก ว่ า จะมี เ หตุ ผ ล พอสมควร ที่ผ่านมาตนผ่านมามากกว่านี้ แม้พลเอกเปรมจะกล่าวเปิดใจต่อกระแสโจมตีดั งกล่า ว ซึ่ง ดู เหมือนจะเคลียร์ข้อข้องใจแล้ว แต่อดีตนายกฯ ทักษิณก็ยังคงเคลื่อนไหว โจมตีพลเอกเปรมไม่หยุด โดยเฉพาะการชุมนุมเมษาเลือด ปี 2552 และ 2553 ซึ่งอดีตนายกฯ ทักษิณได้โฟนอินเข้ามาที่เวทีเกือบทุกคืนเพื่อปลุก ระดมผู้ชุมนุม นํามาสู่เหตุการณ์จลาจลถึงสองครั้งใหญ่ๆ นํามาซึ่งความ สูญเสียแก่คนไทยทุกหย่อมหญ้า มาวันนี้ ทักษิณกลับเป็นฝ่ายที่เดินเกมส์ปรองดองกับพลเอก เปรม ชนิด ที่ว่า เหมื อนไม่เ คยมี เรื่ องโกธรเคื องมาก่อ น หลายฝ่า ยจึ ง

สงสัยว่า ตกลงทักษิณเอายังไงกันแน่? ที่ผ่านมานับตั้งแต่ที่พรรคเพื่อไทยชนะการเลือกตั้ง และได้จัดตั้ง รัฐบาล มีความพยายามในการเดินเกมแก้ไขรัฐธรรมนูญ และการนิรโทษ กรรมอดีตนายกฯ ทักษิณมาโดยตลอด เพื่อปูทางไปสู่การกลับประเทศ ไทยโดยไร้มลทิน คดีทุจริตคอรัปชั่นในช่วงรัฐบาลทักษิณถูกยกเลิกทั้งหมด ไม่มีโทษจําคุก 2 ปี รออยู่ตรงหน้า ได้ทรัพย์สิน 4.6 หมื่นล้านบาทที่ถูกยึด ทรัพย์จากคดีร่ํารวยผิดปกติคืนมา และการกลับเข้าสู่อํานาจทางการเมือง อีกครั้ง แต่ปรากฏว่าอุปสรรคที่สําคัญคือมวลชนที่ต่อต้านอดีตนายกฯ ทักษิณ ซึ่งไม่ต้องการแก้ไขรัฐธรรมนูญเพื่อฟอกความผิดให้ตัวเอง นอกจากนี้ ปัจจัยที่ส่งผลกระทบต่อเสถียรภาพของรัฐบาลยิ่ง ลั ก ษณ์ เ ป็ น อย่ า งยิ่ ง ก็ คื อ กระแสปฏิ วั ติ รั ฐ ประหาร ซึ่ ง ไม่ ว่ า จะเป็ น ฝ่ายรัฐบาล พรรคเพื่อไทย หรือกลุ่ม นปช.มักจะอ้างว่ามีกระแสข่าวปฏิวัติ รัฐ ประหารมาโดยตลอด ที่ สํา คั ญก็ คือ การกลั บประเทศไทยของอดี ต นายกฯ ทักษิณหลังหลบหนีคดีอาญาอยู่ในต่างประเทศ ใช่ว่าอยู่ประเทศ ไทยแล้วจะราบรื่น เพราะยังมีคนที่ “จองกฐิน” ตัวอดีตนายกฯ ทักษิณ อยู่มากซึ่งไม่เปิดเผยตัวว่าเป็นใคร แม้จะมีกลุ่มคนเสื้อแดงซึ่งเป็นพนัง ทองแดงกํ า แพงเหล็ ก ให้ กั บ ทั ก ษิ ณ ก็ ต าม ก่ อ นหน้ า นี้ “กาหลิ บ ” นามปากกาซึ่งเชื่อว่าเป็นนายจักรภพ เพ็ญแข แกนนํา นปช.ขณะนั้นก็ ออกมาเตือนว่า อาจมีการลอบสังหารอดีตนายกฯ ทักษิณมาครั้งหนึ่งแล้ว การที่อดีตนายกฯ ทักษิณตัดสินใจเดินเกมส์ด้วยการดึง “ป๋า เปรม” เข้ามาเป็นพวก โดยอาศัยการจัดงานเลี้ยงของรัฐบาล และมี กิตติ รัตน์ ณ ระนอง รองนายกรัฐมนตรีและ รมว.คลังเป็นคีย์แมนสําคัญโดยใช้ การแสดงดนตรี บั ง หน้ า ก็ เ พื่ อ ที่ จ ะสยบแรงต่ อ ต้ า นของฝ่ า ยต่ า งๆ โดยเฉพาะฝ่ายที่ไม่พอใจอดีตนายกฯ ทักษิณ ซึ่งที่ผ่านมาคะแนนนิยมใน รัฐบาลยิ่งลักษณ์ตกต่ําลงอย่างต่อเนื่อง ก็ได้อาศัยป๋าเปรม ซึ่งจัดว่าเป็นผู้มี บารมีชนิดที่เรียกได้ว่าไหว้ได้อย่างสนิทใจ มาเป็นตัวกู้วิกฤตศรัทธา และ เดินหน้าแผนปรองดองตามที่ตั้งใจไว้ อย่ างไรก็ ต าม แรงเสี ยดทานที่อ าจเกิ ดขึ้ น ต่อ ตัว อดีต นายกฯ ทักษิณ คือกลุ่มคนเสื้อแดงที่จัดได้ว่าเป็น “แดงอุดมการณ์” เพราะการที่ นายกฯ ยิ่งลักษณ์เข้าหาป๋าเปรม โดยมีอดีตนายกฯ ทักษิณเห็นดีเห็นงาม ด้วย ก็นับได้ว่าเป็นการตบหน้าแดงอุดมการณ์ที่ต้องการโค่นล้มอํามาตย์ และสถาปนาประชาธิปไตยสมบูรณ์ กลายเป็นว่าต้องถูกโดดเดี่ยวเพราะ ผู้ ส นั บ สนุ น อดี ต นายกฯ ทั ก ษิ ณ ต่ า งเชื่ อ ฟั ง และสนั บ สนุ น ให้ เ กิ ด การ ปรองดอง ด้วยความหวังที่ว่าอดีตนายกฯ ทักษิณน่าจะได้กลับประเทศ ไทยตามที่ตั้งใจไว้ โดยยอมแลกกับศักดิ์ศรีที่เคยเป็นศัตรูกับป๋าเปรมเอาไว้ และที่ผ่านมา คนที่ประกาศตัวว่าต่อต้านอดีตนายกฯ ทักษิณใน แวดวงคนเสื้ อ แดงก็ คื อ รศ.ใจ ใจลส์ อึ๊ ง ภากรณ์ อดี ต อาจารย์ ค ณะ รัฐศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ผู้ต้องหาคดีหมิ่นพระบรมเดชานุภาพ ซึ่งเคยวิพากษ์วิจารณ์นโยบายจากอดีตนายกฯ ทักษิณของพรรคเพื่อไทย ในการเลือกตั้งครั้งนี้ว่า ไปไม่ถึงสําหรับอนาคต โดยเฉพาะสิ่งที่เรียกร้องมา โดยตลอดคือการฃยกเลิกกฎหมายหมิ่นพระบรมเดชานุภาพก็ตาม แม้จะ ยังไม่เป็นที่แน่ชัดว่าอดีตนายกฯ ทักษิณจะเดินเกมส์เรื่องนี้อย่างไรก็ตาม เพราะแม้ฝ่ายพรรคเพื่อไทยยืนยันจะไม่แก้ไข แต่แดงอุดมการณ์ที่ทํางาน รับใช้อดีตนายกฯ ทักษิณอย่าง ชูวัส ฤกษ์ศิริสุข, พิชญ์ พงษ์สวัสดิ์ ฯลฯ ก็ยังคงใช้สื่อที่ทายาทอดีตนายกฯ ทักษิณเป็นเจ้าของอย่างสถานีโทรทัศน์ ดาวเทียม “วอยซ์ทีว”ี เคลื่อนไหวรณรงค์แก้ไขมาตรา 112 อย่างต่อเนื่อง ซึง่ จนกว่าจะถูกเบรกอย่างใดอย่างหนึ่ง สิ่ ง ที่ ต้ อ งจั บ ตามองนั บ จากนี้ ก็ คื อ การเดิ น เกมเพื่ อ ให้ อ ดี ต นายกฯ ทักษิณพาตัวเองกลับบ้านนั้น จะขัดแย้งกันในเชิงอุดมการณ์ ของกลุ่มคนเสื้อแดงมากน้อยขนาดไหน ในเมื่อวันนี้ทักษิณเลือกที่จะจับ มือกับอํามาตย์ ซึ่งเป็น สิ่งที่กลุ่มคนเสื้อแดงโจมตีและต่อต้านมาโดย ตลอด ถึงขั้นจุดไฟเผาเมืองก็เคยทํามาแล้ว

DemoCrazy .4.


วรภัทร วีรพัฒนคุปต์ • http://www.facebook.com/vorapatv

“ ” ??? ถ้าใครเห็นชื่อบทความที่ผมเขียน แล้วกําลังรู้สึกว่า ผมใช้คํา ไม่ถูกหลักไวยากรณ์ภาษาไทย หรือกําลังใช้ภาษาวิบัติ (ในความหมาย ที่ผู้ใหญ่ชอบว่าเด็กยุคใหม่) ต้องขอบอกก่อนเลยว่า นี่คือความตั้งใจ ของผม เพราะผมรู้สึกว่า สิ่งที่ผู้ใหญ่บ้านเมืองเรากําลังทํากันอยู่ในเวลา นี้ ผมมองเห็นหนทางว่ามันจะนําไปสู่การ “ปองดอง” มากกว่า คือผมยัง มองไม่เห็นหนทางที่คนไทยเราจะ “ปรองดอง” กันได้ตรงไหนเลย (“ปอง” แปลว่า ความต้องการ ความมุ่งหวัง “ดอง” คือวิธีการ ถนอมอาหารให้เก็บได้นานขึ้น โดยหมักวัตถุดิบทิ้งไว้ในเกลือ น้ําตาล ข้าม วันข้ามคืน เปรียบเทียบเหมือนการทิ้งปัญหาของบ้านเมืองไว้โดยไม่ได้ แก้ไขอะไรให้ดีขึ้น แค่ซื้อเวลา หรือหวังจะให้คนไทยลืมมันไปเอง) คําว่า “ปรองดอง” เป็นคําที่ถูกใช้พร่ําเพรื่อในช่วง 4-5 ปีให้ หลังมานี้ ถูกนํามาใช้เพื่อหาทางลงของขั้วขัดแย้งทางการเมืองของใครก็ ตามแต่ ที่ ม าอยู่ ใ นอํ า นาจ ช่ ว งยุ ค รั ฐ บาลทั ก ษิ ณ ขณะกํ า ลั ง ถู ก ภาค ประชาชนปรองดองกันขับไล่ในความผิดฐานอภิมหาคอรัปชั่นและเผด็จ การรัฐสภา มาจนถึงยุครัฐบาลขิงแก่ ก็ใช้คําที่ใกล้เคียงกันเพื่อเป็นเกราะ ป้ อ งกั น ตั ว จากการถู ก เปิ ด โปง โจมตี ขั บ ไล่ (ช่ ว งนั้ น จะใช้ คํ า ว่ า “สมานฉันท์”) พอเข้ามาสู่ยุครัฐบาลอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ ถึงได้เริ่มใช้คําว่า “ปรองดอง” (ส่วนหนึ่งมาจากข้อเรียกร้องของภาคประชาชนที่ผมได้มี ส่วนร่วมในการรวบรวมรายชื่อเสนอให้มีการตั้งคณะกรรมการเพื่อสื บ ค้นหาข้อเท็จจริงเหตุการณ์ความรุนแรงในปี 2553 โดยให้เหตุผลว่าการที่ สังคมไทยจะปรองดองได้ ต้องทําให้ความจริงปรากฏขึ้น) มาจนถึ ง วั น นี้ จาก 2549 ถึ ง 2555 วาทกรรมเรื่ อ งความ ปรองดองก็ยังคงถูกใช้อย่างต่อเนื่อง ไม่ว่าเปลี่ยนกี่ขั้ว กี่รัฐบาล ใครเข้า มาเป็ น รั ฐ บาลก็ พ ยายามชู ค วามปรองดองเป็ น เกราะป้ อ งกั น ตนเอง ในขณะที่ก็ยังคงตอบโต้ โจมตี ดิสเครดิตฝ่ายตรงข้ามอยู่ตลอดเช่นกัน และสิ่ ง ที่ เ หมื อ นๆ กั น คื อ ขณะที่ ต นเองพยายามขายการ ปรองดองพร้อมกับการเอาดีใส่ตัวเอาชั่วใส่คนอื่น แต่ก็ไม่ได้มีใครคิด แก้ปัญหาความขัดแย้งในบ้านเมืองที่หยั่งรากลึกอย่างจริงจังเลย มาวันนี้ขณะที่ผมกําลังเขียนบทความนี้อยู่ ประเทศไทยก็อยู่ใน บรรยากาศของการปลุกกระแสความปรองดองด้วยโมเดลต่างๆ ทั้งการแก้ รัฐธรรมนูญปี 2550 (ความจริงคือไอ้ที่ขัดแย้งกันก็เพราะไอ้ความพยายาม แก้รัฐธรรมนูญของนักการเมืองนี่แหละ) ทั้งการตั้งคณะกรรมการอิสระ เพื่อเสริมสร้างนิติธรรม หรือ คอ.นธ. ที่มี ศ.อุกฤษณ์ มงคลนาวิน เป็น ประธาน (บุคคลผู้นี้เคยทําหน้าที่ประธานรัฐสภาอย่างขัดหลักนิติธรรมจน เป็นชนวนให้เกิดเหตุนองเลือดพฤษภา 2535) ทั้งการประกาศจ่ายเงิน เยียวยาผู้เสียชีวิตในเหตุชุมนุมทางการเมืองเป็นเงินร่วม 7 ล้านบาทต่อ

“นอกจากความขัดแย้งในเรือ่ ง ขั้วการเมืองระดับชาติแล้ว ความ ขัดแย้งในระดับฐานรากสังคมไทย เคยคิดจะไปถามคนเหล่านี้ไหม เขาจะปรองดองกันได้อย่างไร?” ราย (โดยที่ก็ยังไม่ได้พิสูจน์ความจริงให้กระจ่างไม่ได้เลยว่า เหตุการณ์ เมษา – พฤษภา 2553 เป็นการชุมนุมทางการเมืองหรือการก่อการร้าย) รวมทั้ ง ยั ง มี การตั้ ง คณะกรรมาธิ ก ารศึ ก ษาแนวทางเสริ ม สร้ า งการ ปรองดองแห่งชาติ สภาผู้แทนราษฎร โดยมีพลเอกสนธิ บุญยรัตกลิน อดีต ผู้นําการรัฐประหารปี 2549 ที่วันนี้เป็น ส.ส.พรรคมาตุภูมิ เป็นประธาน และที่น่าจะเรียกได้ว่าสุดพิสดารบันลือโลก คือ การที่ ร.ต.อ. เฉลิม อยู่บํารุง รองนายกรัฐมนตรี ได้เสนอร่าง พ.ร.บ.ปรองดองแห่งชาติ โดยให้สัมภาษณ์หลักการเท่าที่จับใจความได้ คือการที่จะทําให้ประเทศ ไทยกลับไปสู่สภาวะเสมือนวันที่ 18 กันยายน 2549 (พูดง่ายๆ ก็คือ ให้ เหมือนก่อนการรัฐประหาร 19 กันยายน 2549) คือมันน่าตลกตรงที่ว่า ตกลงไอ้เรื่องการปรองดองกันเนี่ย มัน เป็น เรื่อ งที่ต้ องเขียนกันเป็นกฎหมายบังคั บใช้ เพื่อ ให้ป ระชาชนต้อ ง ปรองดองกันหรือ ??? และแค่บอกว่าให้เหมือน 18 กันยายน 2549 นี่ก็ฟังโคตรตลก เข้าไปอีก คือไม่รู้ว่าทั่นรองนายกฯ ลืมไปแล้วหรืออย่างไรว่าความขัดแย้ง ในสังคมไทยมีฝังรากในสังคมมานานแล้วในระดับรากหญ้า ทั้งเรื่องของ สิทธิชุ มชน ทรั พยากรธรรมชาติ ความเป็น ธรรมทางเศรษฐกิ จ รายได้ กระบวนการยุติธรรม ฯลฯ และถ้าเชื่อมมาถึงความขัดแย้งทางการเมืองระดับชาติอันมาสู่ การที่ต้องคุยเรื่องการปรองดองในวันนี้ หากใช้สมองให้มากๆหน่อย จะ พบว่าที่จริงความขัดแย้งมันเริ่มตั้งแต่วันแรกที่ นายทักษิณ ชินวัตร (รู้ว่า เป็ น อดี ต ตํ า รวจ แต่ ผ มอยากเรี ย กอย่ า งนี้ ม ากกว่ า ) ได้ ดํ า รงตํ า แหน่ ง นายกรัฐมนตรีแล้ว กรณีการซุกหุ้นชินคอร์ปก็เริ่มทําให้สังคมไทยเกิด ความขัดแย้งในการตีความเรื่องจริยธรรมแล้ว ระหว่างฝ่ายที่เห็นว่าเมื่อไม่ ชอบด้วยหลักนิติรัฐ แม้ศาลว่าไม่ผิดก็ควรแสดงสปิริตเอง กับฝ่ายที่เห็นว่า ควรลองให้โอกาสคนมีความสามารถที่น่าจะเป็นความหวังของประเทศที่ เพิ่งผ่านความตกต่ําจากวิกฤตปี 2540 (ในฝ่ายหลังนี้ มีผู้ใหญ่ที่พวกเรา เคารพหลายท่านหลวมตัวเข้ามาเสียผู้เสียคนกัน)

DemoCrazy .5.


และความขั ด แย้ ง ก็ ค่ อ ยๆ ปะทุ จ ากการที่ น ายทั ก ษิ ณ ผู้ ซึ่ ง ใช้ คนทํางานเอ็นจีโอ ขบวนการภาคประชาชนเป็นฐาน เริ่มดําเนินนโยบายที่ นอกจากนําไปสู่การคอรัปชั่นเชิงนโยบายและเผด็จการรัฐสภาแล้ว หาก มองลงไปสู่ระดับรากหญ้า ในยุคของนายทักษิณก็ได้สร้างความเหลื่อมล้ํา ไม่เป็นธรรมหลายกรณี ทั้งการเอื้อประโยชน์ต่อกลุ่มทุนในการคุกคามสิทธิ ชุมชนเกษตรกรรม การคุกคามสิทธิในทรัพยากรธรรมชาติสาธารณะของ ประเทศ (ด้วยการเดินหน้านโยบายเขตพื้นที่เศรษฐกิจพิเศษสนองนโยบาย เขตการค้า เสรี และการทํ าแผนผั งประเทศไทย พ.ศ.2600) นโยบาย สงครามยาเสพติ ด ที่ ทํ า ให้ เ กิ ด การฆ่ า ตั ด ตอน เกิ ด การตายนอก กระบวนการยุติธรรม 2,000 กว่าศพที่สืบหาข้อเท็จจริงไม่ได้ การใช้ความ รุนแรงกับชาวบ้านสมัชชาคนจนที่ประท้วงอย่างอหิงสาด้วยการตั้งหมู่บ้าน แม่มูนมั่นยืน การใช้ความรุนแรงต่อผู้คัดค้านท่อก๊าซไทย – มาเลย์ รวมถึง ความรุนแรงใน๓จังหวัดภาคใต้ ที่เกิดการปฏิบัติอย่างไร้มนุษยธรรมจน เกิดการเสียชีวิตของผู้ถูกจับกุมในกรณีตากใบ การที่เจ้าหน้าที่รัฐในพื้นที่ลุ แก่อํานาจ อุ้มประชาชน ซ้อมทรมานผู้ต้องหา เป็นต้น สรุปแล้ว ผมรู้สึกข้องใจกับเรื่อง พ.ร.บ.ปรองดองของทั่นเฉลิม ว่าคือจะให้ใครปรองดองกัน??? มันน่างงว่าถ้าให้ประเทศไทยกลับไป เหมือนก่อนการรัฐประหาร 2549 ซึ่งก็ตั้งข้อสังเกตได้ว่าน่าจะเป็นคล้ายๆ อย่ างที่ นัก วิช าการคณะนิ ติ ราษฎร์ เสนอให้ ล บผลพวงการรั ฐประหาร 2549 ทั้งหมด ก็เท่ากับว่าความผิ ดของนายทักษิณที่ได้มีการพิพากษา หลังจากวันที่ 19 กันยายน 2549 เป็นต้นมาจะเป็นโมฆะทั้งหมด (จึงเป็น ที่มาของการวิพากษ์ว่านี่คือการเดินหน้าแนวคิดนิรโทษกรรม แต่แปลงรูป มาใช้คําว่าปรองดองบังหน้า) ซึ่งถ้าจริงอย่างที่ตั้งข้อสังเกตกันไว้ ก็ต้องเกิดคําถามต่อว่า แล้วที่ ประชาชนขัดแย้ง แตกแยกทะเลาะกัน มีการตายเกิดขึ้นไม่รู้กี่ศพ มีคน เจ็บ คนพิการ สูญเสียต้นทุนชีวิตจํานวนมาก มันจะจบลงได้ด้วยการลบ ล้างความผิดของทักษิณและผู้มีอํานาจในขั้วขัดแย้งทางการเมืองระดับชาติ งั้นหรือ??? ... ใช้สมองน้อยเกินไปไหม และถ้ าอย่ างนั้น มั นก็ เท่ า กับ ว่า ที่ ผ่ านมา ประชาชนถูก ผู้ มี อํานาจหลอกพาไปตายจริงๆใช่ไหม!!! แล้วกับประชาชนล่ะ ทั้งลุงคนขับแท็กซี่ที่เป็นเสื้อแดง อาซ้อที่ เป็นพันธมิตรฯ (พันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย) คุณน้าที่เป็นสลิ่ม (คําที่เสื้อแดงใช้เรียกขบวนการเสื้อหลากสี) น้องๆ ที่ไม่ได้สนใจการเมือง เลย ฯลฯ เคยคิดจะไปถามคนเหล่านี้ไหม ว่าเขาอยากจะปรองดองกันไหม ??? แล้วจะปรองดองอย่างไร ??? และนอกจากความขัดแย้งในเรื่องขั้วการเมืองระดับชาติแล้ว ความขัดแย้งในระดับฐานรากสังคมไทย อย่างชาวบ้านชุมชนการเกษตร กับนายทุนนิคมอุตสาหกรรม นายจ้างกับพี่น้องสหภาพแรงงาน ตํารวจกับ แพะ คนไทยกับคนต่างด้าว ผู้ป่วยกับหมอที่รักษาผิดพลาด ฯลฯ ผมอยาก รู้ ว่ า บรรดาท่ า นๆ ทั้ ง หลายทั้ ง ที่ อ ยู่ ใ นทํ า เนี ย บ ในสภา หรื อ ท่ า น ผู้ทรงคุณวุฒิในคณะกรรมการนู่นนี่นั่นที่ว่าจะมุ่งไปสู่ความปรองดอง เคย คิดจะไปถามคนเหล่านี้ไหม เขาจะปรองดองกันได้อย่างไร??? ว่าแล้วก็อยากจะหยิบยกมุขเก่าของเสื้อหลากสีมาเล่นใหม่สัก หน่อย .... “บอกจะให้ปรองดอง ถามกูหรือยัง???” ป.ล.ก่ อ นเขี ย นบทความนี้ วั น นึ ง รั ฐ บาลไทยได้ นํ า เงิ น ภาษี ที่ ประชาชนไทยทั้งประเทศช่วยกันจ่ายจํานวนร่วมสิบล้านบาท มาจัดงาน เลี้ยงที่ทําเนียบรัฐบาล โดยบอกว่าเพื่อเป็นการขอบคุณผู้บริหารหน่วยงาน ต่า งๆที่ ร่ว มในภารกิ จศู น ย์ป ฏิ บัติ ก ารช่ว ยเหลื อผู้ ป ระสบอุ ท กภั ย หรื อ ศปภ. (โดยที่เงินชดเชยเยียวยาผู้ประสบภัยก็ยังจ่ายได้ไม่ครบทุกราย แถม ยังต้องทําแผนเตรียมกู้เงินเป็นงบจัดการภัยพิบัติสร้างหนี้สาธารณะให้ ประชาชนเพิ่มอีก) และอ้างว่าเพื่อการเดินหน้าประเทศไทย สร้างความ “ปรองดอง” ...อีกแล้วครับพี่น้อง !!??

กฤติน ดิ่งแก้ว • Twitter @gryffindreamt

ผมจะเจอคําถามสองเรื่อง ที่เพื่อนหรือผู้ใหญ่ถามมาเสมอ เมื่อรู้ว่าผมเรียนคณะนิติศาสตร์ จนถึงตอนนี้เรียนในระดับที่สูงขึ้น ก็ ยังเจอคําถามแบบนี้อยู่ และพออาจารย์หลายท่านในคณะปรากฏตัว ตามสื่อ คําถามเหล่านี้ก็มีตามมาอย่างหนักจนเหนื่อยที่จะตอบ ใน ฉบับนี้นอกจากจะเอามาตอบในนี้แล้ว ยังจะชวนคุณคิดในเรื่องบาง เรื่องที่สังคมไทยกําลังขาดอยู่ด้วยครับ ทําไมกฎหมายแต่ละประเทศถึงไม่เหมือนกัน ? เพราะกฎหมายเป็นเรื่องของ “เหตุผล” ครับ ซึ่งไม่จําเป็นว่า เหตุผลนี้จะเป็นเหตุผลของใครแต่เพียงฝ่ายเดียว อาจจะเป็นเหตุผลของ ธรรมชาติ เหตุ ผลของพระเจ้า เหตุ ผลของนัก กฎหมาย เหตุ ผลของ ชาวบ้าน หรือเหตุผลของผู้ปกครอง แค่นี้กฎหมายที่มีมาตลอดหลายพัน ปี มันก็แตกต่างกันแล้วครับ เรื่องหนึ่งเรื่อง ถ้าเราไปอ่านกฎหมายของแต่ละประเทศที่พูด ถึงเรื่อง ๆ นั้น เราก็อาจจะเห็นได้ชัดเจนว่ามันต่างกันมาก ต่างกันนิด หน่ อ ย หรื อ มั น เหมื อ นกั น มาก ก็ เ ป็ น ได้ ทั้ ง นั้ น ที่ ม าของกฎหมายที่ แตกต่างกัน ก็อาจจะมาจากความคิดของแต่ละชนชาติที่มองถึงเรื่องนั้น ซึ่งมองกันคนละมุม (เช่น การจัดตั้งพรรคการเมือง บางประเทศบอกว่า ต้องจดทะเบียนกั บรัฐ บางประเทศบอกว่ าไม่ต้องมาจดทะเบียนก็ มี สถานะเป็นพรรคการเมืองตามกฎหมายแล้ว หรือบางประเทศอาจบอก ว่าห้ามตั้งพรรคการเมืองเลยด้วยซ้ํา) หรือที่กฎหมายบางประเทศเหมือนกัน อาจจะมาจากการที่ ชาติหนึ่งรับเอากฎหมายของอีกชาติมาใช้ โดยปรับเปลี่ยนเล็กน้อยให้ เข้ากับชาติของตน (เช่น ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ของไทย รับมาจากต่างชาติถึงสองทอด และมาปรับปรุงให้เหมาะสมกับสภาพ ของไทย เช่นใส่เรื่องคดีอุทลุมที่ห้ามฟ้องบุพการีโดยตรง หรือการใส่ เรือ่ งมรดกของพระภิกษุสงฆ์ เป็นต้น) เช่นนี้แล้วที่มักพูดกันว่าเพราะต่างประเทศมีอย่างนี้ เราจึง ต้องมีอย่างนี้ หรือเพราะชาติเราไม่เหมือนชาติอื่น เราจึงไม่จําเป็นต้องมี สิ่งที่ชาติอื่นมีก็ได้ คํากล่าวเหล่านี้อาจไม่ถูกต้องเสมอไป เพราะยังมี ปัจจัยอื่นที่ต้องพิจารณาอีกมาก ทํ า ไมอาจารย์ ส อนกฎหมายแต่ ล ะคนถึ ง มี ค วามเห็ น ไม่ ตรงกัน แล้วจะเรียนกันรู้เรื่องหรือเปล่า ? เรียนรู้เรื่องแน่นอนและสนุกมากด้วยครับ (เฉพาะตอนเรียน นะครั บ ตอนสอบผมไม่ ข อนั บ ) อย่ า งที่ บ อกครั บ ว่ า “กฎหมายคื อ เหตุผล” อาจารย์หรือนักวิชาการแต่ละท่านก็มีเหตุผลของท่านในการ วินิจฉัยเรื่องนั้ น ๆ (อย่าว่ าแต่นักวิชาการเลยครับ ผู้ พิพากษาคดีที่ มี ประเด็นเดียวกัน ยังอาจตัดสินไปคนละทางเลยก็เป็นได้ เพราะตีความ ในมุมที่ต่างกัน)

DemoCrazy .6.


บางเรื่องมันมองได้มากกว่าหนึ่งอย่าง ในคณะนิติศาสตร์ที่มี แต่ละวิชาอาจแบ่งออกเป็นสองกลุ่มขึ้นไป นักศึกษาก็ต้องเลือกว่าจะ ลงทะเบี ย นเรีย นในกลุ่ มไหน ซึ่ง อาจารย์ แต่ ละคนก็ อาจมี ค วามเห็ น แตกต่างกันได้ อาจารย์บางท่านบอกเลยว่าในเรื่องนี้มีความเห็นกี่อย่าง และอาจารย์เห็นด้วยกับความเห็นใด เพราะอะไร ส่วนนักศึกษาจะเลือก เห็นด้วยกับความเห็นใด (หรือไม่เห็นด้วยเลยสักทางแล้วพยายามสร้าง แนวคิดใหม่ขึ้นมา) ก็เป็นเรื่องที่นักศึกษาต้องใช้สติปัญญาไตร่ตรองดู ทัง้ นี้ภายใต้กรอบแห่งความยุติธรรม สิ่งที่คู่กรณีสมควรจะได้รับ (ถ้าเป็น ในแดนกฎหมายเอกชน) ประโยชน์สาธารณะ การชั่งน้ําหนักระหว่าง ประโยชน์ ส่ ว นตั ว กั บ ประโยชน์ ส่ ว นรวม (ถ้ า เป็ น ในแดนกฎหมาย มหาชน) ไม่ว่าจะเห็นไปในทางใด ก็จะต้องมี “เหตุผล” ประกอบเสมอ วิธีการศึกษากฎหมายแบบนี้นี่เองที่หล่อหลอมให้นักศึกษา กฎหมายมองว่า การใช้เ หตุผ ลแลกเปลี่ย นกัน นั้น ถือเป็นเรื่องปกติ ธรรมดา และไม่จําเป็นต้องมีความเห็นตรงกันก็ได้ ในทางวิชาการ นิติศาสตร์นั้นปกติจะไม่ตัดสินว่าความเห็นใดถูกหรือผิด แต่มักจะ บอกว่าในกรณีหนึ่งกรณีใด วิธีการใดหรือเหตุผลใดที่เหมาะสมกับ กรณีนั้นๆ มากกว่ากัน อาจจะมีคนสงสัยต่อว่าแล้วอะไรทําให้อาจารย์แต่ละท่านเห็น ไม่ตรงกัน คําตอบอาจเกิดจากหลายอย่างครับ เหมือนกับการจะตัดสิน ว่าทําไมคนหนึ่งคนถึงคิดหรือพูดอย่างนั้น ก็อาจจะมาจากประสบการณ์ การเลี้ ย งดู สภาพแวดล้ อ ม ฯลฯ อาจารย์ แ ต่ ล ะท่ า นก็ มี แ นวคิ ด ที่ แตกต่างกัน เรียนมาจากประเทศที่แตกต่างกันทั้งในแง่ระบบกฎหมาย นิ ติ วิ ธี ความคิ ด ความเชื่ อ บางท่ า นที่ ห ลายคนมองว่ า ขั ด แย้ ง ทาง ความคิด ก็จบจากมหาวิทยาลัยแห่งเดียวกัน ในประเทศเดียวกันก็มี ครับ พอจบการศึกษามาแล้วกลับมาสอนที่ประเทศไทย ก็เป็นธรรมดา มากๆ ที่ท่านจะนําแนวคิดของแต่ละประเทศกลับมาสอนพวกเรา อาจารย์หลายท่านขยันกว่าที่เราคิดครับ ท่านศึกษากฎหมาย เปรียบเทียบเพื่อหาคําตอบว่าระบบกฎหมายของแต่ละแบบ มองเรื่องๆ เดียวกันว่าอย่างไรบ้างแล้วเอามาให้นักศึกษาเลือกที่จะเชื่อหรือคิดสิ่ง ใหม่ ๆ ต่อไปได้เลย ผมพยายามสื่อว่า การศึกษาวิชากฎหมายที่วาง ภาพของความหลากหลายให้ผู้ เรี ยนได้เ ห็น ก็ ทํา ให้ แต่ ละคนมองไม่ เหมือนกัน แต่จะสนใจฟังว่าคนอื่นพูดอะไร แล้วเอามาคิดต่อยอดไป เรื่อยๆ โดยไม่มองว่าสิ่งที่ได้ยินนั้นผิดหรือถูกในทันที เช่นบางท่านบอก ว่ารัฐประหารนั้นไม่ว่าจะทําอย่างไร ทําโดยใคร มันก็ผิดในสายตาของ กฎหมาย แต่บางท่านก็บอกว่ารัฐประหารนั้นไม่ได้ผิดในตัวมันเอง ก็สุด แท้แต่เราจะเลือกเชื่อ แต่เราต้องคิดก่อนเท่านั้นเองครับ สังคมได้อะไรจากการเถียงกันของอาจารย์กฎหมาย ? ผมว่าได้เยอะนะครับ แต่นอกจากในแง่ของเนื้อหาที่ได้พูดไป

แล้วว่าแล้วแต่เราจะเลือกเชื่อ เราน่าจะสนใจสิ่งที่เกิดขึ้นจริง ๆ นั่นคือ การถกเถียงกันทางวิชาการนั้นไม่ใช่การถกเถียงด้วยอารมณ์ แต่เป็นการ ใช้เสรีภาพในการแสดงความคิดเห็นด้วยเหตุผลเป็นสําคัญ คนหนึ่งเอาเหตุผลของตัวมาวางบนโต๊ะ และรอดูเหตุผลที่อีก คนเอามาวางบนโต๊ะ แล้วต่างวิพากษ์วิจารณ์เหตุผลของอีกฝั่งว่ามีข้อดี และผิดพลาดอย่างไรในสายตาของตน ไม่มีการด่าทอ ไม่มีการประชด ประชันเหน็บแนมเสียดสี (ผมกําลังพูดถึงนักวิชาการนะครับ ส่วนกอง เชียร์ไม่ขอนับ) พอถกกันเสร็จก็จบ ต่างคนต่างเอาไปคิดต่อ หรือพัฒนา ความเห็นใหม่ๆ ออกมาแลกเปลีย่ นกันต่อไป เช่นอาจารย์ฝ่ายเสรีนิยมก็ พัฒนาแนวคิดของตนขึ้นมา อาจารย์ฝ่ายอนุรักษ์นิยมก็พัฒนาแนวคิด ของตนขึ้นมาเช่นกัน การต่อสู้กันด้วยชุดแนวคิดและเหตุผลนั้นจึงเป็นเรื่องที่สนุก กว่าการถูกชี้หน้าแล้วถามว่า “เป็นคนไทยหรือเปล่า” หรือ “พวกนี้ ถูกล้างสมอง” อย่างแน่นอน วิ ธี ก ารถกเถี ย งกั น อย่ า งสร้ า งสรรค์ จึ ง เป็ น สิ่ ง ที่ ผ มคิ ด ว่ า สั ง คมไทยควรเรี ย นรู้ แ ล้ ว ปรั บ ใช้ ร่ ว มกั น นะครั บ ว่ า กั น ว่ า คนไทยมี ลักษณะที่น่าชื่นชมคือการ “เอาใจเขามาใส่ใจเรา” นี่คือสิ่งที่ระบบ กฎหมายก็ให้ความสําคัญนะครับ ลองคิดดูว่าถ้าเราถูกกระทํา ถูกด่า ถูก ทําร้ายอย่างเขาบ้าง เราจะรู้สึกอย่างไร คําถามนี้แหละ เป็นวิธีทดสอบ อย่างดีเลยว่า เรากําลังใช้เสรีภาพเกินขอบเขตหรือเปล่า ? เราอาจต้องปรับวิธีการมองตัวหนังสือ เราอาจต้องปรับวิธีการ ฟังเสียงคนอื่น เราอาจต้องปรับวิธีการใช้สื่อสังคมออนไลน์ เพื่อที่จะรับ ฟังความคิดของคนอื่นในแง่มุมที่ว่า “เขาพูดให้เราฟัง เขาไม่ได้พูดให้เรา เชื่อ และเขาไม่ได้บังคับให้เราเชื่อ” หากเราไม่เห็นด้วยกับความคิดของเขา เราอาจแลกเปลี่ยนกับ เขาอย่างเป็นมิตร บอกเขาว่าเรามองในมุมนี้ แต่ไม่ได้หมายความว่า ความคิดเขาผิด แต่เมื่อเขาได้ฟังความคิดของเราแล้ว เขาอาจเอาไปคิด ต่อแล้วเปลี่ยนใจก็เป็นได้ (ซึ่งก็ไม่ควรหวังให้เขาเปลี่ยนใจอีกนั่นแหละ ครับ) ถ้าที่สุดแล้ว เขามองว่าความคิดเขาก็ไม่ได้เสียหาย ถ้าเขาเลือกที่ จะเชื่ออย่างนั้นต่อไป แม้เราจะไม่เห็นด้วยก็ตาม ก็ต้องถือว่าเขากําลังใช้เสรีภาพใน การแสดงออกของเขาอยู่ เราก็มองเขาในสิ่งที่เขาเป็น เหมือนกับที่เรา มองโลกนี้อ ย่างที่โ ลกมั นเป็น ไม่ได้ มองโลกอย่างที่เ ราอยากให้ เป็ น เพราะหากมองอย่างนั้นเราจะทุกข์ทันที และนี่แหละคือสิ่งที่เกิดขึ้นกับ หลายคนเวลาอ่านคอมเมนท์การเมืองในเฟซบุ้คหรือทวิตเตอร์แล้วเกิด อาการปวดหัวว่าทําไมมีคนที่คิดคนละฝัง่ กับเราเยอะจัง เพราะเราทุกข์กับความคิดของคนอื่นมากเกินไป ปล. แน่นอนครับ คุณก็ไม่ต้องเชื่อผมทั้งหมดหรอก :)

DemoCrazy .7.


...

.5 ! - !7#$ %&% !

เป็นที่ฮือฮากันในสังคมออนไลน์ สําหรับแอพพลิเคชั่นที่ชื่อ ว่า “ซิมซิมิ” หรือซิมซิมอิ (simsimi) ในโทรศัพท์สมาร์ทโฟน และแท็บเล็ตพีซีในระบบปฏิบัติการไอโอเอส (ไอโฟน-ไอแพด) และ แอนดรอยด์ รวมทั้งผ่านหน้าเว็บไซต์ แอพพลิ เ คชั่ น ตั ว การ์ ตู น สี เ หลื อ งคล้ า ยลู ก เจี๊ ย บอั น นี้ การ ทํางานเป็นไปในลักษณะพิมพ์โต้ตอบระหว่างผู้ใช้กับโรบอต (Chatting Robot) เลียนแบบโปรแกรม Siri ใน iPhone 4S และสามารถโต้ตอบ การสนทนาของผู้ใช้ได้ทั้งภาษาไทย ภาษาอังกฤษ ที่ผ่านมามีวัย รุ่นใช้ โปรแกรมนี้ใ นลักษณะพูด คุยกับ โรบอต จํานวนมาก และด้วยความที่ผู้ใช้สามารถสร้างประโยคคําพูดเพื่อโต้ตอบ ประโยคคําถามจากผู้ใช้อื่นๆ ปรากฏว่ามีบางคําถามที่ได้คําตอบออกมา เป็นคําด่าชื่อบุคคลนั้นๆ โดยเฉพาะเวลาพิมพ์ชื่อ ปู ยิ่งลักษณ์ ทักษิณ แม้ว จตุพร ณัฐวุฒิ ซึ่งหลายคนจับภาพหน้าจอลงในเฟซบุ้คอย่างเฮฮา ร้อนถึงลิ่วล้อรัฐบาลที่รับไม่ได้ ไปแจ้งรัฐมนตรีวัฒนธรรม สุกุ มล คุณปลื้ม ถึงขั้นสั่งการให้สํานักเฝ้าระวังทางวัฒนธรรมตรวจสอบ ก่อนที่รัฐมนตรีไอซีที น.อ.อนุดิษฐ์ นาครทรรพ จะออกมารับลูกเตือน ว่า อาจมีความผิดทางอาญา หากมีการโพสต์ชื่อบุคคลที่มีข้อความไม่ เหมาะสมลงบนสังคมออนไลน์ พร้อมสั่งเฝ้าระวังอย่างเต็มที่ ยังไม่ทันที่ไอซีทีจะพูดจบ ปรากฏว่าวันนั้นถูกเปลี่ยนไปเป็น การตอบเป็นภาษาอังกฤษแทน และบางคําที่คีย์ข้อมูลเข้าไป ก็ตอบว่า “I have no response.” ทําเอาผู้ใช้แอพพลิเคชั่นพากันด่ารัฐบาล อย่ า งหนาหู ว่ า ปิ ด กั้ น สิ ท ธิ เ สรี ภ าพผู้ ใ ช้ อิ น เตอร์ เ น็ ต อี ก ทั้ ง ยั ง โจมตี กระทรวงไอซีทีว่าแบนโปรแกรมซิมซิมิเพราะโปรแกรมด่านายกฯ และ ทักษิณ แต่ไม่มีปัญญาจัดการเว็บไซต์หมิ่นพระบรมเดชานุภาพ อีกด้านหนึ่ง บางคนอีเมลไปสอบถามผู้พัฒนาแอพพลิเคชั่น ก็ตอบกลับมาว่าเป็นการปรับปรุงเรื่องภาษา ซึ่งใช้เวลาประมาณ 1 สัปดาห์ ภายหลังซิมซิมิกลับมาใช้ได้ตามปกติ ส่วนรัฐบาลโดนด่าฟรี ทั้งขึ้นทั้งล่อง ชนิดที่ว่าเวรกรรมติดจรวดจริงๆ...

แม้โรงแรมโฟร์ซีซั่นส์ กรุงเทพฯ บนถนนราชดําริ จะคนละ เจ้ากับ “เป็ดย่างโฟร์ซีซั่นส์” ในภัตตาคารที่สยามพารากอนราคาตัว ละพันกว่าบาท แต่สําหรับเมนู “ปูอัด” กับ “เอกยุทธ์ อัญชันบุตร” เจ้าของเว็บไซต์ไทยอินไซเดอร์ ก็คงรู้ว่ารสชาติเจ็บแสบขนาดไหน แม้เอกยุทธ์จะได้รับบาดแผลบนใบหน้าอันเกิดจากบุคคลนิร นามรุ ม สกรั ม ในร้ า นกาแฟภายในโรงแรมดั ง กล่ า ว แต่ ก็ ทํ า ให้ เ กิ ด ประเด็นที่ว่า ก่อนเกิดเหตุเห็น “ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร” นายกรัฐมนตรีไป ที่โรงแรมดังกล่าวโดยไม่มี รปภ.ติดตาม แต่ภายหลังได้สัมภาษณ์ไทยรัฐ ออนไลน์ว่า “เห็นหนุ่มหล่อที่ทําธุรกิจด้านอสังหาริมทรัพย์ใหญ่ เดิน ออกมาหลังนายกรัฐมนตรีด้วย ก็ไม่ทราบว่าที่เข้าพบนายกฯ เป็นเพราะ มีการนัดทานข้าว หรือพูดคุยกันทางธุรกิจ” ซึ่ง ต่อ มาเอกยุท ธ์ก็ เ ปิด เผยชื่อ ว่า เป็ น “เศรษฐา ทวีสิ น ” กรรมการผู้จัดการใหญ่ บมจ.แสนสิริ นักธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ชื่อดัง ร.ต.อ.เฉลิม อยู่บํารุง รองนายกรัฐมนตรี เปิดเผยว่า นายกฯ ยิ่งลักษณ์ไปที่โรงแรมเวลา 14.00 น. ซึ่งได้ขึ้นไปชั้น 7 ของโรงแรม ซึ่ง เป็นห้องประชุมขนาดเล็ก และออกจากโรงแรมเวลาประมาณ 15.30 น. อ้างว่าในห้องประชุมอยู่ 7-9 คน แต่นายกฯ ยิ่งลักษณ์กลับพูดว่า “ไม่ได้ประชุมหรอก ในฐานะนายกฯ สามารถเจอกับใครก็ได้ และที่ สําคัญไปสถานทีเปิดเผย ไม่ได้เสียหายอะไร” จากการตรวจสอบภารกิจ ปรากฏว่าหลังประชุมที่ทําเนียบฯ นายกฯ ยิ่งลักษณ์ก็ออกเดินทางเป็นการส่วนตัวโดยไม่ให้มีการแจ้งว่าไป ที่ไหน เป็นที่รู้กันของนักข่าวประจําทําเนียบที่ติดตามนายกรัฐมนตรีว่า ภารกิจ ว.5 คือ “ภารกิจลับ” เมื่อขัดแย้งในตัวเอง สังคมก็มองแล้วว่า “นายกฯ ไปทําอะไร ที่โฟร์ซีซั่นส์?” กลายเป็นข่าวลือต่างๆ นานายิ่งกว่าไฟลามทุ่ง สื่อมวลชนอาวุโสอย่าง ดร.สมเกียรติ อ่อนวิมล กล่าวว่า เรื่องนี้จะเป็นกรณีศึกษาพิสูจน์ความเป็นบุคคลสาธารณะของ "ยิ่ง ลักษณ์" และอารมณ์ของ "ทักษิณ" ไปในตัว...

DemoCrazy .8.


อดีต กษิต ภิรมย์ รมว.ต่างประเทศ

ปัจจุบนั ณัฐวุฒิ ใสยเกื้อ รมช.เกษตร

- . ! "

จากเวที นปช.ที่เคยปวารณาตนว่าเป็น “สุภาพบุรุษไพร่” มาวันนี้ “ณัฐวุฒิ ใสยเกื้อ” แกนนําเสื้อแดง นปช. หลังได้เอกสิทธิ์ ส.ส.คุ้มกะลาหัวแล้ว ยังถูกจับใส่ตะกร้าล้างน้ําเป็น “อํามาตย์ไพร่” ในตําแหน่งรัฐมนตรีช่วยเกษตรและสุกร เอ๊ย! สหกรณ์ แม้ว่าตัวณัฐวุฒิเองจะออกมาอ้างว่าตนเองจะเป็นประชาชน เต็มขั้น จุดยืนเรื่องประชาธิปไตยยังคงเดิม ม่ได้มีอะไรเปลี่ยนแปลง แต่ สังคมภายนอกที่ไม่ใช่แม่ยกณัฐวุฒิก็มองว่า ในเมื่อได้ตําแหน่งเสนาบดี ขนาดนี้ก็ถูกตั้งคําถามว่า เป็นแกนนําม็อบปลุกระดมเผาบ้านเผาเมือง ชนิดที่ว่า “ผมรับผิดชอบเอง” แล้วเหยียบศพเพื่อเป็นรัฐมนตรีหรือไม่? ขณะเดียวกัน ณัฐวุฒิถูกขุดปูมหลังว่าเคยถือหุ้น บริษัท ไทย คอนซัลแตนท์ แอนด์ พับบลิค รีเลชั่น จํากัด ซึ่งทําหน้าที่เป็นปรึกษา มวลชนสัมพันธ์โครงการท่อส่งก๊าซของบริษัท ปตท จํากัด (มหาชน) รวม 10 โครงการ มูลค่าหลายสิบล้านบาท แม้ณัฐวุฒิจะโอนหุ้นให้ นายเจตนันท์ ใสยเกื้อ ซึ่งเป็นพี่ชาย 2 หมื่นหุ้น มูลค่ารวม 2 ล้านบาท ปรากฏว่าเจ้าตัวยอมรับว่าเป็นผู้ก่อตั้งบริษัท ทําหน้าที่รับงาน มวลชน แต่เมื่อเดือนกุมภาพันธ์ 2551 ก็โอนหุ้นโดยอ้างว่าก็ไม่ได้ทํา แล้ว ก่ อนที่จ ะไม่ตอบคํ าถาม ทั้ งเรื่ องที่พี่ ชายเป็นนอมิ นี และการที่ บริษัทได้รับงานของ ปตท.เพราะอะไร ได้แต่บอกว่า “ตลก” และตอบ ด้วยอารมณ์ฉุนเฉียวว่า “ก็ไปตรวจสอบเอาเองซิ” มัลลิกา บุญมีตระกูล รองโฆษกพรรคประชาธิปัตย์ พร้อม ด้วย แทนคุณ จิตอิสระ โฆษกผู้นําฝ่ายค้านในสภาผู้แทนฯ ยื่นเรื่องต่อ กรรมาธิการพลังงาน สภาผู้แทนราษฎรให้สอบสวนเรื่องนี้ โดยแทนคุณ กล่าวว่า แม้การยื่นบัญชีทรัพย์สินของณัฐวุฒิ ไม่มีชื่อเป็นผู้ถือหุ้น แต่ รายงานข่าวแจ้งว่าณัฐวุฒิยังคงเข้าออกที่สํานักงานบริษัทและมีรูปแสดง ความเป็นผู้มีส่วนเกี่ยวข้อง ส่อให้เห็นถึงการกระทําความผิดกฎหมาย งานนี้แม้เจ้าตัวจะเงียบเพราะหากกระโตกกระตากอาจมีผล ต่อเก้าอี้รัฐมนตรี แต่คดีที่ส่อเค้าว่าจะซุกหุ้นตามนายใหญ่แบบนี้ เป็น เรื่องของการทําธุรกิจมวลชนของตัวณัฐวุฒิเอง อํามาตย์ไม่เกี่ยว...

กระแสแก้ไขกฎหมายอาญา มาตรา 112 คดีหมิ่นพระบรม เดชานุ ภ าพ ของนั ก วิ ช าการ “กลุ่ ม นิ ติ ร าษฎร์ ” ก่ อ ให้ เ กิ ด ความ ขั ด แย้ ง ในรั้ ว มหาวิ ท ยาลั ย ธรรมศาสตร์ ที่ “สมคิ ด เลิ ศ ไพทู ร ย์ ” อธิการบดีสั่งห้ามเคลื่อนไหวเพื่อความปลอดภัย หากไม่นับรวม “กลุ่มวารสารฯ ต้านนิติราษฎร์” ที่เรียกร้อง อธิการบดีห้ามกลุ่มนิติราษฎร์เคลื่อนไหวย่ํายีหัวใจคนไทยแล้ว ชาวไทย ผู้จงรักภักดียังทนไม่ได้ ถึงขนาดเผาหุ่น “วรเจตน์ ภาคีรัตน์” แกนนํา กลุ่มไปทั่วประเทศ ซึ่งอย่างน้อยมันก็ยังดีกว่าเผาคนเป็นละวะ หนึ่งในแกนนํากลุ่มนิติราษฎร์อย่าง “ปิยะบุตร แสงกนกกุล” อาจารย์ประจําคณะนิติศาสตร์ ธรรมศาสตร์ ออกมาเปิดประเด็นเรื่อง “ห้ามพระมหากษัตริย์มีพระราชดํารัสสด” กลายเป็นพาดหัวข่าวไป ทั่ว แม้กระแสสังคมไม่พอใจ แต่เขาพยายามสนับสนุนความคิดเห็นของ ตัว เอง ด้ วยการหยิ บบางช่ วงบางตอนของพระบรมราโชวาท ในพิ ธี พระราชทานปริญญาตรีแก่นิสิตจุฬาฯ ปีการศึกษา 2502 ความว่า “... ขอยกตัวอย่างประเพณีที่ดีและไม่ดี ตามประเพณีการ ปกครองประเทศ โอวาทของพระมหากษัตริย์หรือพระราชดํารัสต้อง เขียนเพื่อให้รัฐมนตรีรับสนอง แต่เดี๋ยวนี้ก็กําลังพูดไม่ใช่อ่าน เพราะว่า ได้ทําตามประเพณีอันหนึ่งของคนไทยไม่สู้ดี คือ ทําเกินประเพณีฝรั่ง โอวาทนี้เพิ่งเตรียมเมื่อบ่าย 2 โมงนี้เท่านั้นเอง ควรจะเตรียมมานาน แล้ว แต่เห็นว่าไม่จําเป็น อาจจะไม่รู้เรื่องเท่าไรนัก นี่ตัวอย่างประเพณีที่ ไม่ดีที่เราไม่ควรจะทําตาม ...” แม้พระบรมราโชวาทที่ กล่าวข้างต้ น พระองค์ ทรงกล่าวถึ ง ประเพณีการปกครองประเทศก็จริง แต่ตราบใดที่กฎหมายไม่ได้บัญญัติ ไว้ว่าให้กระทํา การที่พระองค์จะสามารถทําอะไรเองได้ หรือแสดงพระ ราชดํารัสสดต่อสาธารณะได้ ก็เป็นพระราชวินิจฉัยของพระองค์ท่าน ถ้าอ่านพระราชดํารัสไม่แตกฉาน ความพยายามตัดท่อน ตอนความ ตั ด แปะเฉพาะส่ ว นที่ ตั ว เองต้ อ งการมาเผยแพร่ เ พื่ อ ประโยชน์ตัวเองนั้น คนมีสามัญสํานึกเค้าคงไม่ทําแบบนีห้ รอกนะ ...

DemoCrazy .9.


“การแสดงความรักแบบหนุ่ม สาวเป็นรูปธรรมเห็นได้ง่าย ชัดเจน ส่วนการแสดงความรัก ชาติไม่ค่อยเห็นเป็นรูปธรรมมาก นัก ถ้าถามว่าทุกคนรักชาติของ เราไหมทุกคนก็ต้องบอกว่ารักกัน ทั้งนั้น โดยนิสัยคนไทยจะรักและ สามัคคีกันก็ต่อเมื่อมีเหตุใดเหตุ หนึ่งเกิดขึ้นจึงจะแสดงออกอย่าง ชัดเจน ในฐานะของประชาชน คนหนึ่งที่จะแสดงออกได้คือการ ต่อต้านการคอรัปชั่นทุกรูปแบบ และสั่งสอนลูกหลานให้เป็นคนดี ไม่เห็นแก่อามิสสินจ้างจาก นักการเมืองทุกรูปแบบ”

Jutapon รักในหลวง

“กอดธงชาติ! อิอิ หนูว่านะ ก็คือ การทําตัวเป็นพลเมืองที่ดี ปฏิบัติตามกฎหมายและกฎแห่ง ศีลธรรมจริยธรรม และจารีต ประเพณีด้วย อันไหนเป็นสิ่งที่ จะบ่อนทําลายชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์ซึ่งเป็นหัวใจ สําคัญ ก็คงต้องร่วมมือกันแก้ไข และปกป้อง และช่วยกันพัฒนา และสร้างสรรค์สังคมให้เจริญ ทางจิตใจมากกว่าวัตถุกระแส และปลูกฝังคนในสังคมให้คิดดี ทําดีอ่ะค่ะ”

" ... !" # $ % & ?" “ไม่ก่อปัญหาร่วมกันแก้ปัญหา ให้ผ่านไปได้ด้วยดี คิดถึง ส่วนรวม ไม่คิดถึงประโยชน์ ส่วนตนคะ”

“อยู่ด้วยกัน อย่างมีความสุข” Ppn Palm

Ppn Palm

“ก็คงจะเหมือนกับตอนที่ประเทศประสบ อุทกภัยอ่ะค่ะ ช่วยเหลือกันและกัน ก้าว ผ่านพ้นอุปสรรคไปด้วยกัน คนไทยรักกัน”

Bee Weeranuch

“อย่าให้คนไม่ดีมีอํานาจ มันหายนะจริงๆW

Krajib Runchida เอียดทองใส

“เริ่มที่ตัวเอง ครอบครัว แล้วขยายวงกว้างไปเรื่อยๆ โดยการทําความดีแล้วส่งต่อไป”

“ช่วยเหลือคนในชาติ ไม่เป็นตัว ถ่วงในสังคม และปรงกับคนขาย ชาติ (จนกว่าจะเอามันติดคุก)”

Yoth Tunsakul

“ไม่กระทําการใดๆ อันเป็นการสร้างความ เสื่อมเสียให้กับประเทศชาติ..”

Kulchaya Temchavala

ถึกควายทุย ลุยไร่นา

“สนับสนุนคนดีมาปกครอง บ้านเมือง (ยังไม่เห็นมี)... ขัดขวางคนชั่วไม่ให้มีอํานาจใน บ้านเมืองนี้ (ทําอยู)่

Eruna Susu

Neppy Nep

“เอาแบบง่ายๆ ที่เราทําได้เลยก็ คือ อยู่อย่างสงบ มีสติในการ ดําเนินชีวิต และอีกสิ่งหนึ่งที่เรา เคยเจอจากประสบการณ์ของ ตัวเองก็คือ มี "รอยยิ้ม" ให้แก่ กัน เพราะมันต่างทําให้ทุกฝ่ายมี ความสุข แม้ไม่รู้จักกันก็ตาม”

“ปกป้องด้วยชีวิต” Antonia Mackenzie

สูเรียม ศรีเวิ้ง

DemoCrazy .10.


DemoCrazy

>> THE PEOPLE

TREND TRACE

! " # หลังภาพยนตร์เรื่อง “พุ่มพวง” ฉายไป เมื่อปีที่แล้ว ชื่อของ เปา-เปาวลี พรพิมล นักแสดงนําหญิงชาวสุพรรณบุรีวัย 20 ปี ถูกเอ่ยถึงอย่างมากในฐานะเงาเสียงของ ราชิ นี ลู ก ทุ่ ง “พุ่ ม พวง ดวงจั น ทร์ ” กระทั่ ง ค่ า ยแกรมมี่ โกลด์ นํ า เธอเข้ า สู่ วงการเพลงลูกทุ่งอย่างเต็มตัว กับผลงาน ชุ ด ที่ 1 “กรุ ณ าอยู่ ในระยะของความ คิดถึง” ซึ่งเป็นที่ติดหูกันมากในขณะนี้

2555

/ - ! ในช่วงเทศกาลวาเลนไทน์ เทศกาลความรักของชาวคริสต์ หรือประเพณีขอขมาพระแม่คงคา เฉกเช่นวันลอยกระทงทุกปี เรื่องที่ถูกนํามาฉายซ้ําคงหนีไม่พ้นประเด็นค่านิยมทางเพศของวัยรุ่นไทย ซึ่งถือว่าเป็นเรื่องที่นํามาขยายความได้ไม่รู้จบ ด้วยความที่โลกในปัจจุบันถูกเปิดเสรีไปด้วยเทคโนโลยี ซึ่งส่งผลต่อการรับรู้ทางเพศที่ไวมากขึ้น รวมทั้งความวิตกกังวลต่อผู้ใหญ่ในบ้านเมือง ไม่ว่าจะเป็นด้าน สาธารณสุข สังคมสงเคราะห์ หรือแม้กระทั่งในด้านวัฒนธรรม เดโมเครซี่ฉบับนี้จึงรวบรวมสถิติและ ค่านิยมทางเพศของวัยรุ่นที่น่าสนใจในช่วงที่ผ่านมา

วัยรุ่นไทย 1 ใน 3 สวิงกิ้ง-ไม่นิยมใช้ถุงยางอนามัย

สํานักงานกองทุนสนับสนุนการสร้างเสริมสุขภาพ (สสส.) แถลงผลการสํารวจความคิดเห็น และมุมมองของวัยรุ่นไทยต่อการมีเพศสัมพันธ์ในหัวข้อ “จริงหรือไม่ รักเรื่องเล็ก เซ็กซ์เรื่องใหญ่” สํารวจระหว่างวันที่ 12-14 ม.ค. 2555 จากกลุ่มตัวอย่างเด็กวัยรุ่นทั้งในกรุงเทพฯ และต่างจังหวัด อายุระหว่าง 11-19 ปี จํานวน 2,428 คน แบ่งเป็นหญิง 1,382 คน ชาย 941 คน ส่วนที่เหลือเป็นเพศ ที่สาม พบว่า 4 ใน 5 ของวัยรุ่นไทยเห็นว่าเรื่องความรักเป็นเรื่องใหญ่ ถ้ารักจริงต้องรอได้ อ่านต่อหน้า 12

DemoCrazy .11.

อี ก ด้ า นหนึ่ ง ด้ ว ยความที่ ชี วิ ต เธอต้ อ ง ทํ า งานทุ ก วั น ไม่ ค่ อ ยมี เ วลาเข้ า มานั่ ง เรียนในห้องเรียนเหมือนเพื่อนคนอื่น เธอ จึ ง เลื อ กเรี ย นที่ ร ามคํ า แหง ซึ่ ง เป็ น มหาวิทยาลัยที่เห็นว่าเหมาะสมมากที่สุด โดยเลือกเรียนคณะเทคโนโลยีการสื่อสาร มวลชน เมื่อปี 2553 ที่ผ่านมา เปากล่าวว่าชอบเรียนด้านสื่อสารมวลชน เพราะมีการทํางานเบื้องหลังที่น่าสนใจ และน่าสนุก พอทํางานแล้วได้เห็นจุดนี้ก็ อยากเข้ามาศึกษาด้วยตัวเอง แม้เปาจะ ไม่ค่อยเข้าเรียนแต่ทุกครั้งที่มีเวลาว่างจะ หาข้อมูลและอ่านตําราจากอินเทอร์เน็ต โดยมีเพื่อนในกลุ่มแนะนําการลงทะเบียน เรียน และนําหนังสือและโน้ตย่อให้อ่าน เปากล่าวถึงข้อคิดการเรียนว่า การแบ่ง เวลาเป็นสิ่งที่เราต้องทําให้ได้ จะไม่ทิ้ง เรื่องการเรียน และจะตั้งใจเรียนอย่าง ต่อเนื่องให้จบจากรามคําแหงให้ได้


67

ล้านบาท

เป็นตัวเลขที่กระทรวงสาธารณสุขได้จัดสรรงบประมาณ เพื่อ ซื้ อ ถุ ง ยางอนามั ย และเจลหล่ อ ลื่ น เพื่ อ แจกจ่ า ยให้ กั บ ประชาชนในช่ว งเทศกาลวาเลนไทน์ พ ร้ อ มกั น ทั่ ว ประเทศ ภายใต้แนวคิด “รักปลอดภัย ถุงยางอนามัยเอาอยู”่ ต่อแสนประชากร ซึ่งเป็นข้อบ่งถึงการมีเพศสัมพันธ์โดยไม่ใช้ถุงยางอนามัย หากไม่เร่งป้องกัน จะทําให้ประเทศไทยเผชิญกับการระบาดของเอดส์ ระลอกใหม่ จากที่ขณะนี้มีผู้ติดเชื้อเอชไอวีสะสมรวมประมาณ 1.1 ล้าน คน ในจํานวนนี้มีประมาณ 6 แสนคน ที่ยังมีชีวิตอยู่

“ท้องก่อนวัย” สูงกว่าอนามัยโลกกําหนด

ค่านิยมทางเพศวัยรุ่นไทย 2555 | ต่อจากหน้า 11 ทั้งนี้ การมีเพศสัมพันธ์ไม่ใช่เรื่องสําคัญ แสดงให้เห็นว่าวัยรุ่น เข้าใจและแยกแยะเรื่องความรักและเพศสัมพันธ์ออกจากกันได้ โดยใน กลุ่มวัยรุ่นหญิงมีสัดส่วนสูงถึงร้อยละ 86.04 วัยรุ่นชาย 69.75 ส่วนเพศที่ สาม 79.76 สวนกระแสสั ง คมที่ ม องว่ า วั ย รุ่ น เตรี ย มพร้ อ มที่ จ ะมี เพศสัมพันธ์กับคนที่รักในวันวาเลนไทน์ พร้อมทั้งเรียกร้องให้สังคมสื่อถึง ความรักในแง่บวก เพราะวัยรุ่นส่วนใหญ่ยังมีทัศนคติและพฤติกรรมเรื่อง ความรักในทางที่เหมาะสม มีความคิดเชิงบวกในการดําเนินชีวิต ในขณะที่ การนําเสนอเรื่องราวเกี่ยวกับวัยรุ่นและเพศสัมพันธ์มักออกมาทางลบเพียง ด้านเดียว และการนําเสนอมักขาดการรับฟังเสียงของวัยรุ่นอย่างแท้จริง อย่ า งไรก็ต าม กระทรวงสาธารณสุ ข ร่ว มกั บ สวนดุ สิ ต โพลล์ มหาวิ ทยาลัยราชภั ฏสวนดุสิต สํา รวจพฤติ กรรมการใช้แ ละการเข้าถึ ง ถุง ยางอนามั ย ของเยาวชน อายุ 12-24 ปี ในเขตกรุ ง เทพฯ จากกลุ่ ม ตัวอย่าง 1,014 คน พบว่าร้อยละ 69 ยังไม่เคยมีเพศสัมพันธ์ ส่วนในกลุ่ม ที่เคยมีเพศสัมพันธ์แล้ว ระบุว่าเริ่มมีเพศสัมพันธ์ครั้งแรกเมื่ออายุประมาณ 14-15 ปี ในจํานวนนี้ใช้ถุงยางอนามัยเพียงร้อยละ 52 ข้อมูลที่สําคัญพบว่า มีเยาวชนประมาณ 1 ใน 3 ยอมรับว่า เคย “สวิงกิ้ง” หรื อเปลี่ ยนคู่นอน ขณะที่ในเรื่องของทัศนคติของ เยาวชนที่มีต่อถุงยางอนามัย พบเพียงร้อยละ 43 เห็นว่าถุงยางอนามัย ป้องกันโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์และโรคเอดส์ได้ โดยเยาวชนร้อยละ 89 ไม่พกถุงยางอนามัย

เอดส์หน้าใหม่เพิ่มขึ้น

ส่วน นพ.ไพจิตร์ วราชิต ปลัดกระทรวงสาธารณสุข กล่าวถึง สถานการณ์โรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์ในปัจจุบันว่า อัตราการติดเชื้อมี แนวโน้มเพิ่มสูงขึ้น โดยเฉพาะในกลุ่มเยาวชน อายุ 15-19 ปี เพิ่มจากร้อย ละ 17.33 ในปี 2548 เป็นร้อยละ 19.31 ในปี 2553 และมีการใช้ถุงยาง อนามัยเพียงร้อยละ 53.2 นอกจากนี้ ยังพบข้อมูลที่น่าสนใจคือผู้ป่วยหนองในมีจํานวน เพิ่ ม ขึ้ น โดยเมื่ อ ปี 2543 มี อั ต ราผู้ ป่ ว ยโรคนี้ จ าก 22.3 รายต่ อ แสน ประชากร แต่เมื่อปี 2553 พบว่ามีอัตราผู้ป่วยหนองในเพิ่มเป็น 42.2 ราย

นางจรรยาวัฒน์ ทับจันทร์ ประธานชมรมพยาบาลชุมชนแห่ง ประเทศไทย กล่าวในงานประชุมสัมมนาทางวิชาการ เรื่อง “การสร้าง เสริมสุขภาพในกลุ่มเยาวชน: การป้องกันและแก้ไขปัญหาการตั้งครรภ์ไม่ พร้อม” ซึ่งจัดขึ้นภายใต้มหกรรมสุขภาพชุมชน ครั้งที่ 2 ว่า จากข้อมูล ของกระทรวงสาธารณสุขเมื่อปี 2553 พบสถิติแม่วัยรุ่นคลอดลูก สูงสุดถึง 336 คนต่อวัน หรือคิดเป็นร้อยละ 16 ของการคลอดลูกของหญิงไทยทั้ง ประเทศ ซึ่ งสถิ ตินี้ ถื อว่ าสู ง กว่ า ที่ท างองค์ก ารอนามั ยโลกกํ า หนดไว้ ที่ จะต้องมีไม่เกินร้อยละ 10 ของการตั้งครรภ์ของหญิงทั่วประเทศเท่านั้น ทั้ ง นี้ ปั ญ หาการท้ อ งของวั ย รุ่ น มาจากความไม่ รู้ เช่ น เมื่ อ สอบถามเด็กหญิงวัยรุ่นรายหนึ่ง ที่มาฝากท้องที่โรงพยาบาลสูงเนิน ถึง เหตุผลในการตั้งท้องก่อนวัย ก็ได้คําตอบกลับมาว่า “แค่จิ้มๆ ไม่คิดว่าจะ ท้อง” นั่นแสดงให้เห็นถึงความไม่เข้าใจในเรื่องเพศศึกษาของเด็ก เหตุนี้จึง ต้องมีการตั้งคลินิกเพื่อนใจวัยรุ่นในร้านเสริมสวย 2 แห่ง ในพื้นที่เพื่อเน้น การให้คําปรึกษาเรื่องเพศ การแจกถุงยางอนามัย และเพื่อให้วัยรุ่นมีความ เข้าใจเรื่องเพศที่ถูกต้องมากขึ้น นางจินตนา แสงจันทร์ พยาบาลกลุ่มงานเวชปฏิบัติครอบครัว และชุมชน โรงพยาบาลเชียงกลาง จ.น่าน กล่าวว่า จากการลงพื้นที่ให้ ความรู้ เ รื่ อ งเพศศึ ก ษาตามโรงเรี ย นต่ า งๆใน จ.น่ า น เพื่ อ ปรั บ เปลี่ ย น ทัศนคติของครูในการสอนเรื่องเพศศึกษาให้กับเด็ก พบข้อมูลที่น่าสนใจ ระหว่างการลงพื้นที่ในโรงเรียนมัธยมแห่งหนึ่ง ที่มีการให้เด็กตอบคําถาม ถึงความทุกข์ใจของเด็ก ผลปรากฏว่าคําตอบที่ได้รับส่วนใหญ่คือ พ่อแม่ไม่เข้าใจ พ่อแม่ ไม่ให้ใช้โทรศัพท์มือถือ ที่น่าสนใจคือมีเด็กผู้หญิงคนหนึ่งตอบขึ้นมาว่า มี ความทุกข์เพราะ “ผัวไปมีกิ๊ก” ซึ่งตนแปลกใจมาก เนื่องจากเป็นการพูดที่ ออกมาจากปากของเด็กที่อยู่แค่ ม.2 อีกทั้งเมื่อเด็กคนนี้พูดออกมา ก็มี เพื่อนในห้องส่งเสียงแซวกันเหมือนเป็นเรื่องปกติ แต่ภายหลังเมื่อสอบถาม ครูที่สอนก็ได้ข้อมูลว่าเด็กคนดังกล่าวอยู่ในกลุ่มเสี่ยงที่ทางโรงเรียนเฝ้า ระวัง ซึ่งทางโรงเรียนก็ทราบว่าเด็กหญิงรายนี้ เคยผ่านการมีเพศสัมพันธ์ มาแล้ว ซึ่งจากข้อมูลที่ได้ จึงต้องเป็นหน้าที่ของโรงเรียนในการเฝ้าระวัง เด็กนักเรียนกลุ่มดังกล่าวต่อไป น.ส.ผาสุ ข แก้ ว เจริ ญ ตา พยาบาลวิ ช าชี พ ชํ า นาญการ โรงพยาบาลลับแล จ.อุตรดิตถ์ ในฐานะหัวหน้าโครงการพัฒนาศักยภาพ พ่อแม่และวัยรุ่นในการแก้ไขปัญหาตั้งครรภ์ในวัยรุ่นมัธยมศึกษาตอนต้น จ.อุตรดิตถ์ กล่าวว่า การแก้ไขปัญหาการมีเพศสัมพันธ์ก่อนวัยอันควร และการตั้งครรภ์ของวัยรุ่น จะต้องเริ่มจากครอบครัว พ่อแม่ ผู้ปกครอง ควรใช้สูตรยาสามัญประจําใจ 4 ข้อ คือ 1.ฟังมากกว่าพูด 2.จับถูก คือหา ข้อดีของลูก ไม่ใช่จ้องแต่จะจับผิด 3.กอดเพื่อสร้างสัมพันธ์ และ 4.การ เจรจาอย่างสันติ ที่สําคัญชุมชนก็ต้องสร้างเครือข่ายในการเฝ้าระวังและ ขับเคลื่อนเรื่องนี้อย่างจริงจังด้วย

DemoCrazy .12.


DemoCrazy

TREND TRACE EXCITE

?

ศูนย์พยากรณ์เศรษฐกิจและธุรกิจ มหาวิ ทยาลัยหอการค้ า ไทย เปิดเผยถึงผลสํารวจทัศนคติ เกี่ยวกับประเด็นต่างๆ ในวันวาเลน ไทน์ที่น่าสนใจว่า เมื่อถามมีคนรู้จักที่มีไม่ใช่สามีภรรยากัน การวางแผน จะมีเพศสัมพันธ์ครั้งแรกในวันวาเลนไทน์ พบว่ากลุ่มตัวอย่าง 64.2% ระบุว่าไม่มี ส่วน 15.2% ระบุว่ามี และอีก 20.6% ระบุว่าไม่แน่ใจ ขณะที่เมื่อถามถึงในทัศนะต่อคู่รักกลุ่มใดที่จะมีการฉลองวันวา เลนไทน์โ ดยการ มี เพศสั มพัน ธ์ พบว่า กลุ่มตั วอย่ าง 54.9% เป็ นกลุ่ ม นักศึกษา ส่วนอีก 27.8% เป็นกลุ่มนักเรียน และ 17.3% วัยทํางาน โดย สถานที่ ที่วัยรุ่ นอาจมีการฉลองวั นวาเลนไทน์โดยการมีเ พศสัม พันธ์นั้ น กลุ่มตัวอย่าง 32.7% ระบุว่าเป็นห้องพักรายวัน ส่วนอีก 27.5% อพาร์ ทเมนต์ 23.4% ระบุบ้านที่ไม่มีใครอยู่ ขณะที่ 13.8% ระบุโรงแรมม่านรูด และ 2.3% สวนสาธารณะ แม้สถิติที่ออกมาอาจดูเหมือนว่าค้านสายตาไปบ้าง เนื่องจาก ความเชื่อที่ว่าเวลาจะมีอะไรกัน มักจะลงเอยกันที่โรงแรมม่านรูด แต่ใน ความเป็นจริงแม้โดยวัตถุประสงค์จะเป็นที่พักชั่วคราวราคาถูก เป็นที่พัก ของคนที่ขับรถทางไกล หรือหาที่พักไม่ได้ก็เข้ามาพักผ่อน ซึ่งปลอดภัยกว่า จอดข้างถนนก็ตาม แต่สังคมต่างมองภาพโรงแรมม่านรูดไปในทางลบอยู่ บ่อยครั้ง ในข่าวอาชญากรรมมีทั้งเรื่องมั่วสุมทางเพศที่ไม่เหมาะสม อุ้มไป รูดทรัพย์ หลอกลวงมาข่มขืน แม้กระทั่งฆ่ากันในม่านรูดก็มี นอกจากนี้ หากมองกั น ถึ ง ทั ศ นคติ ข องผู้ ห ญิ ง ที่ มี ต่ อ ม่ า นรู ด พบว่าส่วนใหญ่จะรู้สึกไม่ค่อยดี เนื่องจากมองว่าเป็นสถานที่อโคจร หาก ถูกจับตามองจะเป็นที่อับอาย อีกทั้งห้องพักในโรงแรมม่านรูดจะทึบ ไม่มี หน้าต่าง ไฟส่องสว่างสลัว เวลาจะสั่งอาหารหรือเครื่องดื่มเวลาจ่ายเงิน จะต้องเปิดประตูและพบกับพนักงานโรงแรม ซึ่งอาจจะมองเห็นคนที่อยู่ใน ห้องพักได้ แตกต่างจากห้องพักรายวันที่ให้ความรู้สึกเหมือนอยู่ในหอพัก ประจํ า ซึ่ ง รู ป แบบการใช้ ชี วิ ต ของคนกรุ ง เทพฯ ส่ ว นหนึ่ ง ย้ า ยมาจาก ต่างจังหวัดเพื่อมาเรียนหนังสือหรือทํางาน ซึ่งเวลาเข้าออกหอพักหรือ อพาร์ทเมนต์ บุคคลภายนอกจะมองเป็นเรื่องปกติธรรมดามากกว่า

ในกรุงเทพมหานคร มีห้องพักรายวันในรูปแบบอพาร์ทเมนต์ หอพัก หรือแมนชั่น กระจุกตัวอยู่ในย่านรามคําแหง ลาดพร้าว บางกะปิ รั ช ดาภิ เ ษก สุ ท ธิ ส าร ห้ ว ยขวาง งามวงศ์ ว าน บางซื่ อ อนุ ส าวรี ย์ ชั ย สุขุมวิท บางนา สนามบินสุวรรณภูมิ และลาดกระบัง ส่วนในต่างจังหวัด จะพบในเมืองใหญ่ๆ อาทิ นครปฐม ชลบุรี เชียงใหม่ พิษณุโลก ขอนแก่น นครราชสีมา มหาสารคาม อุบลราชธานี ภูเก็ต หาดใหญ่ ฯลฯ เมื่อสํารวจราคาที่พักในย่านลาดพร้าวถึงบางกะปิซึ่งมีอพาร์ทเมนต์กระจายตัวมากกว่า 200 แห่ง พบว่าส่วนใหญ่ราคาเริ่มต้นที่ 600 ถึง 1,500 บาทต่อคืน ราคาถูกที่สุดอยู่ที่ 400 บาท ขึ้นอยู่กับทําเล กลุ่มลูกค้า และสิ่งอํานวยความสะดวก ตัวอย่างเช่น เซอร์วิสอพาร์ทเมนต์แห่งหนึ่งใน ซอยลาดพร้าว 18 ซึ่งอยู่ใกล้สถานีรถไฟฟ้าใต้ดินลาดพร้าว พบว่าก่อน หน้านี้ได้ตั้งราคา 1,200 ต่อคืน แต่ได้ลดราคาเหลือ 700 บาทต่อคืน ซึ่ง ในช่วงเทศกาลวาเลนไทน์ปี 2555 กลับลดเหลือ 600 บาทต่อคืนเท่านั้น สําหรับ รูป แบบการเข้ าพั กไม่ต่ างไปจากโรงแรมทั่ว ไป โดยมี กําหนดเช็คอินตั้งแต่เวลา 14.00 น. ถึง 22.30 น. ขึ้นอยู่กับสถานที่ ส่วน เวลาเช็คเอาท์ก่อนเวลา 12.00 น. นอกจากนี้จํากัดผู้เข้าพัก 2 คนต่อห้อง เหมือนโรงแรมทุกประการ และยังจํากัดอายุ 18 ปีบริบูรณ์ขึ้นไป รวมทั้ง ห้ามสวมเครื่องแบบนักศึกษาเข้าไป ซึ่งเป็นไปตาม พ.ร.บ.โรงแรม ปี 2547 ที่กําหนดข้อยกเว้นเฉพาะที่พักชั่วคราวโดยส่วนราชการ รัฐวิสาหกิจ ฯลฯ มิใช่แสวงหาผลกําไร และคิดค่าบริการรายเดือนขึ้นไป ซึ่งเท่ากับว่า ไม่ว่า จะเป็นหอพัก คอนโดมิเนียม อพาร์ทเมนต์ เกสต์เฮ้าส์ รีสอร์ท ฯลฯ ที่ให้ พักเป็นรายวันถือว่าเป็นโรงแรมทั้งหมด อย่างไรก็ตาม ไม่ว่าจะเป็นโรงแรมม่านรูดหรือห้องพักรายวัน ผู้ที่ดูแลโดยเฉพาะผู้จัดการโดยตําแหน่งมีสิทธิ์ที่จะเรียกตํารวจเข้ามา ตรวจห้องพักได้ตลอดเวลา ในกรณีที่เชื่อว่าผู้เข้าพักอาจมีการหลบซ่อน หรื อ มั่ ว สุ ม หรื อ กระทํ า การอั น เป็ น ความผิ ด อาญาขึ้ น ในห้ อ งพั ก เพราะฉะนั้นหากหนุ่มสาวที่คิดว่าห้องพักรายวันจะเป็นสวรรค์ชั้นเจ็ด อาจจะต้องเจ็บปวดน้ําตาเล็ด หากเกิดเรื่องถึงขั้นต้องขึ้นโรงพัก

DemoCrazy .13.


DemoCrazy

TREND TRACE SMART LIFE

ME by TMB

- เรื่อง : กิตตินันท์ นาคทอง หากพูดถึงการธนาคาร หลายคนอาจมองว่าเป็นเรื่องยุ่งยาก และถ้ากล่าวถึงการออมเงินก็แทบจะไม่มีใครนึกถึง เพราะการฝากเงิน ในธนาคารถูกมองว่าได้ผลตอบแทนต่ํา เทียบกับการนําเงินไปลงทุนใน รูปแบบอื่นที่ได้ผลตอบแทนที่ดีกว่า แต่ก็เต็มไปด้วยความเสี่ยงเช่นกัน ปั จ จุ บั น ธนาคารพาณิ ช ย์ ต่ า งๆ มั ก จะออกโปรโมชั่ น เงิ น ฝาก ดอกเบี้ยสูง แต่มักจะกําหนดเงินฝากขั้นต่ําไว้สูงเป็นหลักแสนบาท และมี กําหนดห้ามถอนเอาไว้ ซึ่งใครที่ถนัดออมเงินแบบเก็บเล็กผสมน้อย ไม่ใช่ นักลงทุนเก็งกําไรก็คงจะหมดสิทธิ์ แต่สําหรับธนาคารทหารไทย จํากัด (มหาชน) หรือ ทีเอ็มบี ได้คิดค้นธนาคารรูปแบบใหม่ ซึ่งเป็นการต่อยอด มาจากเงิน ฝากไม่ ประจํ าดอกเบี้ ย สูง ประกอบกั บแนวคิ ดที่ ว่า การทํ า ธุรกรรมทางอินเตอร์เน็ต หรือฝากเงินผ่านเครื่องรับฝากเงินสด น่าจะได้ ดอกเบี้ยมากกว่าที่ไปให้พนักงานที่สาขาทําให้ จึงกลายเป็นผลิตภัณฑ์การ ธนาคารรูปแบบใหม่ภายใต้ชื่อ ME by TMB ME by TMB เป็นการธนาคารรูปแบบใหม่ ที่ให้คุณสามารถ ฝากเงินผ่านช่องทางอิเล็กทรอนิกส์ คือเครื่องรับฝากเงินสดหรือโอนเงิน ผ่านเครื่องเอทีเอ็มเข้าบัญชี ME เพื่อรับผลตอบแทนที่ดีกว่า ด้วยดอกเบี้ย สูงถึง 3.5% และยังสามารถฝากและถอนเมื่อไหร่ก็ได้ กี่ครั้งก็ได้โดยไม่มี ค่าปรับ ไม่มีค่าธรรมเนียมรักษาบัญชี และไม่มียอดเงินฝากขั้นต่ํา แต่จะไม่ มี ส มุ ด คู่ ฝ ากและบั ต ร ATM อี ก ทั้ ง ไม่ ส ามารถฝากเงิ น ผ่ า นเคาน์ เ ตอร์ เพราะต้องการให้ลูกค้าออมเงินผ่านช่องทางอิเล็กทรอนิกส์ด้วยตัวเอง วิธีก ารเปิดบั ญชีส ามารถทํ าได้ โดยง่าย เพี ยงลงทะเบีย นผ่า น เว็บไซต์ www.mebytmb.com ได้ตลอด 24 ชั่วโมง โดยใช้บัญชีธนาคาร ใดก็ได้ผูกเข้ากับบัญชี ME เพื่อใช้ถอนเงินเข้าบัญชี โดยผูกบัญชีได้สูงสุด 3 บัญชี จากนั้นให้ไปยืนยันตัวตนภายใน 60 วันที่ ME Place 3 สาขา คือ เซ็นทรัลเวิล์ดชั้น 3 โซนบีทูเอส, เอสพละนาดรัชดาภิเษก ชั้น 2 และ อาคารอาคเนย์สีลม โดยนําบัตรประชาชนและสมุดบัญชีที่ได้ขอผูกบัญชีไว้ ในวันนั้นได้ไปยืนยันตัวตนโดยใช้บริการที่สาขาอาคารอาคเนย์สี ลม เราได้ พ บกั บ คุ ณ นิ รุ ต ประทุ ม วงค์ เจ้ า หน้ า ที่ ป ระจํ า สาขาคอย

ช่ ว ยเหลื อ ในขั้ น ตอนต่ า งๆ เริ่ ม จากการนํ า หลั ก ฐานทั้ ง บั ต รประจํ า ตั ว ประชาชนและสมุดบัญชีธนาคารที่เราเตรียมมาถ่ายเอกสาร เซ็นชื่อใน เอกสาร ไม่นานนักจะได้บัตรพลาสติกที่ระบุชื่อและเลขที่บัญชี 10 หลัก บัตรใบนี้ไม่ใช่บัตรเบิกถอนเงินสด แต่เป็นบัตรเพื่อยืนยันตัวตนพกติดตัวไว้ โดยจะมาในชุด Welcome Pack มีคู่มือการฝากและถอนเงินผ่านวิธีต่างๆ หลังจากได้ยืนยันตัวตนและรับบัตรเรียบร้อยแล้ว มาถึงการฝาก เงิน สามารถทําได้ผ่านเครื่องรับฝากเงินสดของธนาคารทหารไทย ที่ติดตั้ง อยู่หน้าสาขา โดยใช้เลขที่บัญชีที่หน้าบัตร อีกวิธีหนึ่งคือการโอนเงินผ่าน เครื่องเอทีเอ็ม ระบุเป็นธนาคารทหารไทย และใช้เลขที่บัญชีหน้าบัตรเป็น บัญชีปลายทาง ถ้าเป็นบัญชีธนาคารทหารไทย สามารถโอนเข้าบัญชีอื่น ของธนาคารทหารไทย ใส่หมายเลขบัญชี ME โดยไม่เสียค่าธรรมเนียม แต่ จะไม่สามารถฝากเงินผ่านเคาน์เตอร์สาขาธนาคารทหารไทยตามปกติได้ ส่วนการถอนเงินสามารถทําได้ผ่านเว็บไซต์หรือ ME Call Center โทร. 0-2502-0000 ตลอด 24 ชั่วโมง โดยเลือกบัญชีปลายทางที่ ได้ผูกเอาไว้ มีให้เลือกได้แก่การโอนทันที เสียค่าธรรมเนียมเหมือนการโอน เงินผ่านเครื่องเอทีเอ็ม คือ 25 และ 35 บาท กับการโอนวันถัดไป สําหรับ ต่างธนาคารฟรีค่าธรรมเนียม 2 ครั้งต่อเดือน ครั้งต่อไปคิด 20 บาท และ 75 บาทสําหรับเกิน 1 แสนบาท ซึ่งคุณนิรุตกล่าวว่าวิธีนี้หากสั่งถอนเงิน ภายในเวลา 09.30 น. จะได้รับเงินภายใน 18.00 น. ของวันเดียวกัน แต่ ถ้าหลัง 09.30 น.ไปแล้ว เงินจะเข้าบัญชีวันถัดไปภายใน 18.00 น. สําหรับ ME by TMB เป็นการแยกบริหารจัดการกับธนาคาร ทหารไทยต่างหาก ระยะแรกมัก มีปัญ หาในการสื่อ สารกั นเอง รวมทั้ ง ระเบียบต่างๆ อาจมีข้อสะดุดในช่วงแรกเพราะเป็นนวัตกรรมใหม่ แต่ พยายามลดต้นทุนการเปิดสาขาด้วยการเน้นทําธุรกรรมผ่านอินเตอร์เน็ต เครื่องรับฝากเงินสด ซึ่งสังเกตได้จากในสาขา ME by TMB ไม่มีพนักงาน คนไหนได้จับเงินของลูกค้าเลยเพราะไม่มีเคาน์เตอร์รับฝาก-ถอน รวมทั้ง การรักษาความปลอดภัยที่มีเฉพาะกล้องวงจรปิดเท่านั้น หากลูกค้าใช้เป็นนิสัยก็จะส่งผลดีต่อต้นทุนการดําเนินงาน สิ่ง ที่ได้รั บกลับ คืนมาคือดอกเบี้ย 3.5% ที่ สูงกว่าเงิ นฝากออมทรัพ ย์ ธรรมดาทั่วไป ซึ่งปัจจุบันเหลือเพียงแค่ 0.375% เท่านั้น

DemoCrazy .14.


กิตตินันท์ นาคทอง • http://www.facebook.com/kittinun.nakthong

‘ ’

ในวงการสื่อสารมวลชนและแวดวงการเมือง กําลังจับตามอง สถานีโทรทัศน์ ผ่านดาวเทียมน้องใหม่ที่ชื่อว่ า “บลูส กายแชนแนล” (Blue Sky Channel) ซึ่งทดลองออกอากาศไปเมื่อ 2 พฤศจิกายน 2554 ที่ผ่ า นมา ก่ อ นจะออกอากาศเต็ ม รูป แบบในเดื อ นกุม ภาพั น ธ์ 2555 โดยถูกตั้งข้อสังเกตว่าเป็นกระบอกเสียงของพรรคประชาธิปัตย์ หรื อ ไม่ หลั ง จากนายอภิ สิ ท ธิ์ เวชชาชี ว ะ อดี ต นายกรั ฐ มนตรี และ หัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ ตัดสินใจใช้โทรทัศน์ช่องนี้จัดรายการ “ฟ้า วันใหม่กับอภิสิทธิ”์ ทุกเช้าหลังเคารพธงชาติวันละครึ่งชั่วโมง การเกิดขึ้นของบลูสกายแชนแนล เกิดเสียงวิพากษ์วิจารณ์ถึง การที่ พ รรคประชาธิ ปั ต ย์ จ ะใช้ โ ทรทั ศ น์ ผ่ า นดาวเที ย มช่ อ งนี้ เ ป็ น กระบอกเสียงของพรรคในสงครามการเมือง โดยเฉพาะเมื่อพรรคเพื่อไทย มีส ถานี โ ทรทั ศ น์ ผ่ า นดาวเที ย มเอเชี ย อั พ เดท และสถานี โทรทั ศ น์ ผ่ า น ดาวเทียมวอยซ๊ทีวีเป็นแนวร่วมที่ทําหน้าที่กระบอกเสียงให้กับพรรค และ รัฐบาลนางสาวยิ่งลักษณ์ ชินวัตร รวมทั้งเครือข่ายแนวร่วมประชาธิปไตย ต่อต้านเผด็จการแห่งชาติ หรือ นปช. ถือเป็นปัจจัยหนึ่งที่ทําให้พรรคเพื่อ ไทยชนะการเลือกตั้งอย่างถล่มทลาย ขณะที่กลุ่มพันธมิตรประชาชนเพื่อ ประชาธิป ไตยก็มี สถานี โทรทัศ น์ผ่ านดาวเที ยมเอเอสทีวี เป็น เครื่อ งมื อ เผยแพร่แนวคิดอีกทางหนึ่ง ผู้ที่อ ยู่เ บื้อ งหลัง สถานี โทรทั ศน์ช่ องนี้คื อนายเถกิง สมทรัพ ย์ ผู้อํานวยการสถานี ซึ่งเป็นอดีตนายกฯ สมาคมนักข่าววิทยุและโทรทัศน์ ไทย อดี ต ผู้ บ ริ ห ารสถานี วิ ท ยุ ก รมประชาสั ม พั น ธ์ เอฟเอ็ ม 105 เมกะเฮิรตซ์ อดีตรองผู้อํานวยการไทยพีบีเอส และอดีตผู้บริหารบริษัท ว็อชด็อก จํากัด ของนายเจิมศักดิ์ ปิ่นทอง อดีตสมาชิกวุฒิสภา ร่วมกับ

รศ.ดร.วรรณธรรม กาญจนสุวรรณ อดีตรองเลขาธิการนายกรัฐมนตรี ฝ่ายการเมือง (รองนายกรัฐมนตรี สุเทพ เทือกสุบรรณ) มีสํานักงานและ ห้องส่งอยู่ที่อาคารบางกอกทาวเวอร์ ถนนเพชรบุรีตัดใหม่ กรุงเทพฯ ปัจจุบัน บลูสกายแชนแนลออกอากาศบนดาวเทียม NSS6 ของ ประเทศเนเธอร์แลนด์ ระบบ KU Band ความถี่ 11635 เมกะเฮิร์ตซ์ (Symbol Rate 27500, Polarisation Horizontal) ซึ่งคนที่ติดจาน ดาวเที ย มไอพี เ อ็ ม จะอยู่ ใ นช่ อ งรายการที่ 42 ในภายหลั ง ได้ เ ช่ า ช่องสัญญาณบนดาวเทียมไทยคม 5 ระบบ C Band ความถี่ Local 5150 MHZ, ความถี่ขาลง 3960 MHZ, Symbol Rate 30000 KsPs ซึ่งอาจจะ เรียกได้ว่า จานทุกชนิดในไทยเว้นจานทรูสามารถดูบลูสกายได้แล้ว จากการที่ได้รับชมบลูสกายแชนแนล เป็นที่น่าสังเกตว่าผู้ดําเนิน รายการหลายคนเป็ น คณะทํ า งานและอดี ต ผู้ ส มั ค ร ส.ส.กทม.พรรค ประชาธิปัตย์ อาทิ นายถนอม อ่อนเกตุพล อดีตที่ปรึกษาของผู้ว่าราชการ กรุงเทพมหานคร และโฆษกกรุงเทพมหานคร, นายอิสรา สุนทรวัฒน์ อดีต ผู้สมัคร ส.ส.บัญชีรายชื่อ พรรคประชาธิปัตย์ บุตรชายนายแสงชัย สุนทร วัฒน์ อย่างไรก็ตามยังมีคนที่เคยทํางานกับบริษัทว๊อชด็อกมาจัดรายการ ที่นี่อยู่บ้าง อาทิ นายประพจน์ ภู่ทองคํา อดีตพิธีกรรายการเวทีชาวบ้าน ทางช่อง 11 วันนี้เขาเป็นผู้ดําเนินรายการฟ้าวันใหม่กับอภิสิทธิ์ เป็นต้น ในภายหลัง บลูสกายแชนแนลเริ่มดึงตัวพิธีกรที่มีเรตติ้งในการ วิพากษ์วิจารณ์รัฐบาลยิ่งลักษณ์มากเป็นพิเศษ ไม่ว่าจะเป็น นายเจิมศักดิ์ ปิ่นทอง อดีตสมาชิกวุฒิสภา ที่ก่อนหน้านี้รายการคลายปม และลงเอย อย่างไร ของบริษัท ว๊อซด็อก ไม่ได้รับการต่อสัญญากับสถานีวิทยุโทรทัศน์ แห่งประเทศไทย (เอ็นบีที) ก่อนหน้านี้ก็ผลิตรายการผ่านสถานีโทรทัศน์

DemoCrazy .15.


ผ่านดาวเทียม ที-นิวส์ ของนายสนธิญาณ ชื่นฤทัยในธรรม มาระยะหนึ่ง ภายหลังก็ได้เวลาในช่วงเช้าจัดรายการที่ชื่อ “เวลาฟ้าใส” หรือจะเป็น “จั๊ด-ธีมะ กาญจนไพริน” อดีตนักจัดรายการวิทยุ หลั ง ผลิ ต รายการแบบวี ดี โ อคลิ ป ในชื่ อ “จั๊ ด จั ด ” ผ่ า นเว็ บ ไซต์ ยู ทิ ว บ์ วิพากษ์วิจารณ์การทํางานของรัฐบาลในการแก้ไขปัญหาวิกฤตอุทกภัย อย่างเผ็ดร้อน กระทั่งคลื่นวิทยุที่จัดอยู่ประจําปลดเขาออกจากรายการ ก็ ถูกดึงมาเป็นพิธีกรในช่วงบ่ายกับรายการ “ฟ้าทะลายโจร” รวมทั้ง “จ่า พงษ์ สารคาม” นักจัดรายการวิทยุฝ่ายสนับสนุนนายเนวิน ชิดชอบ ที่เคย โชว์ผลงานตอบโต้กลุ่ม นปช.ผ่านช่องเอ็นบีที ในช่วงเหตุการณ์เผาบ้านเผา เมืองปี 2553 ก็ถูกดึงมาจัดรายการที่ชื่อ “เสียงชนบทไทย” อีกด้วย ที่ฮือฮามากที่สุดก็คงจะเป็นรายการในช่วงไพร์มไทม์ตอนหัวค่ํา อย่าง “สายล่อฟ้า” ซึ่งได้โฆษกพรรคประชาธิปัตย์ฝีปากกล้าอย่าง นาย ชวนนท์ อินทรโกมาลย์สุต, นายเทพไท เสนพงศ์ และนายศิริโชค โสภา ซึ่ ง อาจจะเรี ย กได้ ว่ า เป็ น การประกบกั บ ที วี เ สื้ อ แดงเอเชี ย อั พ เดท ที่ มี รายการ “ชูธ ง” โดยพิธีก รดาวเด่ นของกลุ่มเสื้อแดงอย่า ง นายจตุพ ร พรหมพันธุ์ และ นายณัฐวุฒิ ใสยเกื้อ (ภายหลังเหลือเพียงนายจตุพรนั่ง เหงาอยู่ เพราะนายณัฐวุฒิไปดํารงตําแหน่งรัฐมนตรีกระทรวงเกษตรฯ) การเกิดขึ้นของทีวีดาวเทียมสีฟ้า ถูกตั้งคําถามว่าเป็นการกระทํา ที่ขัดต่อรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พ.ศ. 2550 มาตรา 48 หรือไม่ ซึ่งมาตรานี้ระบุชัดเจนว่า “ผู้ดํารงตําแหน่งทางการเมืองจะเป็นเจ้าของ กิจการหรือถือหุ้นในกิจการหนังสือพิมพ์ วิทยุกระจายเสียง วิทยุโทรทัศน์ หรือโทรคมนาคมมิได้ ไม่ว่าในนามตนเองหรือให้ผู้อื่นเป็นเจ้าของกิจการ หรือถือหุ้นแทนหรือจะดําเนินการโดยวิธีการอื่นไม่ว่าโดยทางตรงหรื อ ทางอ้อมที่สามารถบริหารกิจการดังกล่าวได้ในทํานองเดียวกับการเป็น เจ้าของกิจการหรือถือหุ้นในกิจการดังกล่าว” เมื่อระบุข้อห้ามชัดเจนว่า ไม่ว่าจะทําในนามตนเอง หรือให้ ผู้อื่นเป็นเจ้าของกิจการ หรือถือหุ้นแทนก็ตาม หากศาลรัฐธรรมนูญ วินิจฉัยว่าผิดจริง โทษอาจถึงขั้นยุบพรรค อย่างไรก็ตาม ต่อเสียงวิพ ากษ์วิ จารณ์กั บสถานีโทรทั ศน์ผ่า น ดาวเทียมน้องใหม่ดังกล่าว ปฏิกิริยาที่เกิดขึ้นดูเหมือนว่าแต่ละฝ่ายต่างก็ ออกมาปฏิเสธ ไม่ว่าจะเป็นนายเถกิง ในฐานะผู้อํานวยการสถานี ก็ปฏิเสธ อย่างแข็งขันว่าบลูสกายแชนแนล ไม่มีส่วนเกี่ยวข้องกับพรรคประชาธิปตั ย์ รวมทั้งฝั่งพรรคประชาธิปัตย์ยังอ้างว่าการที่มีบุคคลในพรรคประชาธิปัตย์ ไปออกรายการก็เป็นเรื่องธรรมดาของนักการเมืองที่สามารถออกสื่อแขนง ต่างๆ ได้ตามคําเชิญของสื่อเหล่านั้น และสมาชิกพรรคประชาธิปัตย์ทุกคน ก็พร้อมที่จะออกสื่อในสถานีโทรทัศน์ช่องต่างๆ โดยไม่เคยเลือกปฏิบัติ “หากจะเอาประเด็นการที่สมาชิกพรรคไปออกรายการทีวีแล้ว คิ ด ว่ า เป็ น เรื่ อ งผิ ด กฎหมาย ก็ ต้ อ งกลั บ ไปดู ค นในพรรคเพื่ อ ไทยที่ ไ ป ประกาศตัวในสถานีโทรทัศน์ผ่านดาวเทียมเอเชียอัพเดท (Asia Update) ซึ่งเป็นทีวีของคนเสื้อแดงและเป็นคนกลุ่มเดียวกับพรรคเพื่อไทย รวมไปถึง ในการรณรงค์หาเสียงของพรรคเพื่อไทย ก็ยังใช้ช่องเอเชียอัพเดทเป็น กระบอกเสียง ซึ่งเข้าข่ายการกระทําผิดบทบัญญัติรัฐธรรมนูญมากกว่าเสีย อีก” นายเทพไทกล่าวตอบโต้พรรคเพื่อไทยถึงกรณีดังกล่าวก่อนหน้านี้ ย้อนกลับไปเมื่อวันที่ 5 กรกฎาคม 2553 นายจิรายุ ห่วงทรัพย์ สมัยที่ยังเป็นรองโฆษกพรรคเพื่อไทย ได้แถลงข่าวความคืบหน้าการเปิด สถานีโทรทัศน์ผ่านดาวเทียมเอเชียอัพเดท หลังจากสถานีพีเพิลแชนเนล ถูกรัฐบาลอภิสิทธิ์สั่งปิดไปในช่วงเหตุการณ์ พ.ค. 2553 ซึ่งเอเชียอัพเดท ได้ตั้ง นายอดิศร เพียงเกษ อดีตกรรมการบริหารพรรคไทยรักไทย เป็น ประธานสถานีโทรทัศน์ช่องดังกล่าว ซึ่งก็ไม่ต่างไปจากบลูสกาย แชนแนล ทีผ่ ู้ก่อตั้งสถานีไม่ใช่นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ หรือนายสุเทพ เทือกสุบรรณ นอกจากนี้ การจัดรายการของนายจตุพร พรหมพันธุ์ และนาย ณัฐวุฒิ ใสยเกื้อ ส.ส.บัญชีรายชื่อพรรคเพื่อไทย ที่ดูเหมือนว่าสวมหมวก

.

เป็ น ที่ น่ า สั ง เกตว่ า สถานี โ ทรทั ศ น์ ผ่ า นดาวเที ย มใน เครือข่ายพรรคประชาธิปัตย์ ไม่ว่าจะเป็นช่องบลูสกายแชนแนล หรือช่องไทยทีวีดี มักจะใช้ระบบการแพร่ภาพผ่านอินเตอร์เน็ ต ด้ ว ยระบบไลฟ์ ส ตรี ม (Livestream) ซึ่ ง เคยนํ า มาใช้ ในการ ถ่ า ยทอดสดการปราศรั ย ของพรรคประชาธิ ปั ต ย์ และการจั ด รายการหาเสี ย งผ่ า นอิ น เตอร์ เ น็ ต ของนายอภิ สิ ท ธิ์ เวชชาชี ว ะ หัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ ในการเลือกตั้งเมื่อปี 2554 ที่ผ่านมา ไลฟ์สตรีมเป็นระบบการถ่ายทอดสดผ่านระบบอินเตอร์เน็ต ที่รับชมได้ผ่านทางหน้าจอคอมพิวเตอร์ โทรศัพท์มือถือ และแท็บเล็ต พีซี สามารถนํามาประยุกต์ใช้ทั้งงานอีเวนต์ต่างๆ เรื่อยไปกระทั่งการ ออกอากาศสัญญาณภาพของสถานีโทรทัศน์ ปัจจุบันสามารถนํามา ผนวกกับหน้าแฟนเพจบนเว็บไซต์เฟซบุ้คเพื่อใช้ในการทําการตลาด หรือสื่อสารกับกลุ่มเป้าหมายแบบอินเตอร์แอคทีฟ หรือการสื่อสาร กั น สองทาง โดยผู้ ช มสามารถเข้ า มาชมการถ่ า ยทอดสดผ่ า น อินเตอร์เน็ตได้พร้อมกันและแลกเปลี่ยนความคิดเห็นระหว่างกันได้ แบบสดๆ ในขณะที่ยูทวิ บ์นั้นสามารถเปิดวีดีโอดูได้อย่างเดียว ส่วนส ไกป์เป็นการใช้สําหรับพูดคุยแบบวีดีโอคอลล์หรือประชุมผ่านวีดีโอ คอนเฟอ-เรนซ์พร้อมกันเท่านั้น ไม่ใช่การถ่ายทอดสัญญาณภาพ ไลฟ์ สตรี มมี สํ านั ก งานใหญ่ อยู่ ที่ นิว ยอร์ ค สหรัฐ อเมริ ก า ได้ รั บ ความไว้ ว างใจจากลู ก ค้ า แบรนด์ ชั้ น นํ า อาทิ ไอบี เ อ็ ม ไนกี้ ฟอร์ด อีเอสพีเอ็น สํานักข่าวเอพี ทเวนตี้เซนจูรี่ฟอกซ์ ฯลฯ มีทั้ ง ให้บริการฟรีโดยพ่วงโฆษณา และแบบธุรกิจที่มีค่าใช้จ่ายโดยไม่มี โฆษณาด้ว ยสัญ ญาณคุ ณภาพ HD โดยแพคเกจ 1 ช่อ งค่า บริก าร เริ่มต้นที่ 269-350 เหรียญสหรัฐต่อเดือน หรือประมาณ 8 พันถึง 1.1 หมื่นบาทเศษ สามารถรองรับผู้ชมได้สูงสุด 3,000 คนโดยไม่มี โฆษณา และแพคเกจ 10 ช่องค่าบริการเริ่มต้นที่ 962-1,250 เหรียญ สหรัฐต่อเดือ น หรือประมาณ 3-4 หมื่น บาท รองรับ ผู้ชมได้สูงสุ ด 15,000 คนโดยไม่มีโฆษณา นอกจากนี้ยังมีแพคเกจสําหรับการจัดอี เวนท์ขนาดใหญ่ รองรับผู้ชมจํานวนมากอีกด้วย อย่างไรก็ตาม หากสังเกตจํานวนผู้ชมทีวีดาวเทียมของ เครือข่ายพรรคประชาธิปัตย์ ตั้งแต่หลักร้อยถึงหลักพันคนตามแต่ ช่วงเวลา ไลฟ์สตรีมจึงทําได้เพียงแค่หน้าร้านเพื่อให้เป็นที่รู้จัก ซึ่ง เป้าหมายที่แท้จริงคือช่องโทรทัศน์ดาวเทียมเท่านั้น

DemoCrazy .16.


หลายใบ เป็นทั้ง ส.ส.บัญชีรายชื่อ ซึ่งมีอํานาจในทางนิติบัญญัติ เป็นทั้ง แกนนําผู้ชุมนุมกลุ่ม นปช. และยังเป็นทั้งผู้ดําเนินรายการโทรทัศน์ รวมทั้ง เป็นผู้ร่วมก่อตั้งสถานีมาตั้งแต่ต้น ที่แม้จะอ้างว่าขายหุ้นไปหมดแล้วแต่ก็ ยังขว้างงูไม่พ้นคอ นี่ก็สุ่มเสี่ยงว่าจะขัดรัฐธรรมนูญมาตรา 48 เช่นเดียวกัน ยิ่งไปกว่านั้นกับ สถานีโทรทัศน์ผ่านดาวเทียมวอยซ์ทีวี ก็เป็น ของ นายพานทองแท้ ชินวัตร บุตรชาย พ.ต.ท.ทักษิณ ซึ่งเป็นหลานของ น.ส.ยิ่งลักษณ์ ที่ผ่านมาก่อนจะมาเป็นนายกรัฐมนตรี น.ส.ยิ่งลักษณ์เป็น กรรมการและเลขานุการมูลนิธิไทยคม ซึ่งในช่วงที่มูลนิธิทํากิจกรรมมักจะ มีวอยซ์ทีวีเข้ามาเป็นกระบอกเสียงอยู่เสมอ และที่ผ่านมาการนําเสนอข่าว ของวอยซ์ ที วี ซึ่ ง มี นางสาวตวงพร อั ศ ววิ ไ ล อดี ต บรรณาธิ ก ารข่ า ว การเมืองอยู่เบื้องหลัง มักจะไปในแนวทางสนับสนุน น.ส.ยิ่งลักษณ์ และ โจมตีพรรคประชาธิปัตย์รวมทั้งฝ่ายตรงข้าม พ.ต.ท.ทักษิณอย่างต่อเนื่อง ในเมื่อกรรมเป็นเครื่องชี้เจตนา และเมื่อเจตนาในการก่อตั้ง สถานีเป็นเรื่องที่อยู่ในใจของผู้ก่อตั้งซึ่งไม่มีใครหยั่งรู้ได้ หากการกระทํา ของบลูสกายแชนแนลขัดกับรัฐธรรมนูญมาตรา 48 มันก็ผิดมาตั้งแต่ เอเชี ย อั พ เดทและวอยซ์ ที วี อ ยู่ แ ล้ ว ขึ้ น อยู่ กั บ ว่ า ใครจะกล้ า เอาผิ ด เพราะโดยสันดานของนักการเมืองย่อมไม่เกรงกลัวต่อกฎหมาย อะไรที่ กฎหมายห้ามเอาไว้ก็หาวิธีซิกแซ็กเพื่อความอยู่รอดอยู่แล้ว ย้อนกลับมาที่กลยุทธ์ทีวีดาวเทียมของทางฝั่งพรรคประชาธิปัตย์ แหล่งข่าวในวงการโทรทัศน์ดาวเทียมเปิดเผยว่าแกนนําพรรคประชาธิปตั ย์ คนสําคัญมองว่าบลูสกายแชนแนลมีภาพความเป็นประชาธิปัตย์ชัดเจน เกินไป ต้องมีโทรทัศน์ช่องใหม่ที่มีเนื้อหาออกแนวกลางๆ เพื่อเจาะกลุ่ม ผู้บริโภคที่ต้องการเสพข่าวสารมากกว่าการตอบโต้ทางการเมือง โดยที่ แกนนําพรรคประชาธิปัตย์จะให้การสนับสนุนอยู่ข้างหลัง หวยจึ ง มาออกที่ นายสนธิ ญ าณ ชื่ น ฤทั ย ในธรรม เจ้ า ของ สถานี โ ทรทั ศ น์ ผ่ า นดาวเที ย ม ที -นิ ว ส์ ออกโรงปั้ น สถานี โ ทรทั ศ น์ ผ่ า น ดาวเทียมช่องใหม่ภายใต้ชื่อ ไทยทีวีดี ออกอากาศผ่านจานดาวเทียมไอ พีเอ็มช่อง 30 โดยได้ดึง นายสําราญ รอดเพชร อดีตบรรณาธิการอาวุโส และคอลัมนิสต์หนังสือพิมพ์ ASTV ผู้จัดการรายวัน อดีตพิธีกรรายการ สภาท่าพระอาทิตย์ทางสถานีโทรทัศน์ผ่านดาวเทียม ASTV เป็นที่ปรึกษา สถานี หลังก่อนหน้านี้ไปประจําการเป็นพิธีกรที่ช่องที-นิวส์ ร่วมกับ นาย สุริยะใส กตะศิลา และนายพิเชษฐ์ พัฒนโชติ ในรายการตั้งโจทย์ใหม่

เป็นที่น่าสังเกตว่า การแตกไลน์ช่องโทรทัศน์ดาวเทียมของทาง ผู้สนับสนุนฝั่งพรรคประชาธิปัตย์นั้น ก็เพื่อช่วงชิงเรตติ้งของสถานีโทรทัศน์ ผ่ า นดาวเที ย มเอเอสที วี ซึ่ ง ทํ า หน้ า ที่ สื่ อ สารมวลชนในการตรวจสอบ อํานาจรัฐโดยไม่เข้าข้างฝ่ายใด และพรรคการเมืองไม่ว่าพรรคใดแม้แต่ พรรคประชาธิ ปั ต ย์ ก็ ค รอบงํ า ไม่ ไ ด้ ซึ่ ง จะเห็ น ได้ ว่ า มี ทั้ ง ช่ อ งที่ ใ ช้ เ ป็ น กระบอกเสียงโดยตรง ได้แก่ บลูสกายแชนแนล ช่องที่ผู้สนับสนุนฝั่งพรรค ประชาธิปัตย์สนับสนุนโดยอ้อม ได้แก่ ไทยทีวีดี ซึ่งจะเน้นไปที่ข่าวเจาะ และการตรวจสอบอํ า นาจรั ฐ และช่ อ งที่ น ายทุ น ผู้ ส นั บ สนุ น ฝั่ ง พรรค ประชาธิปัตย์เป็นสปอนเซอร์ ได้แก่ ที-นิวส์ ซึ่งเน้นภาพของการปกป้อง สถาบัน และสถานีสุวรรณภูมิ ของนายประชัย เลี่ยวไพรัตน์ เจ้าของโรง ปูนทีพีไอ ซึ่งมีการลิ้งค์สัญญาณไปยังวิทยุ เอฟ.เอ็ม. 92.25 เมกะเฮิร์ตซ์ สังเกตได้จากผู้ดําเนินรายการมักจะวนเวียนอยู่กับช่องโทรทัศน์ เหล่านี้ ไม่ว่าจะเป็น นายเจิมศักดิ์ที่ผลิตรายการทั้งเพื่อบ้านเพื่อเมืองที่ช่อง ที-นิวส์ตอนค่ํา กับรายการเวลาฟ้าใสของบลูสกายแชนแนลตอนเช้า หรือ จะเป็ น นายจิ ต กร บุ ษ บา ซึ่ ง เคยเป็ น คู่ หู น ายเจิ ม ศั ก ดิ์ ก็ จั ด รายการ โทรทัศน์คุยกับจิตกรทางสถานีสุวรรณภูมิตอนเช้า (เดิมคือรายการมุมมอง ของเจิมศักดิ)์ และรายการเสียงฝ่ายค้านที่ช่องไทยทีวีดีตอนเย็น อย่างไรก็ตามคงหลีกเลี่ยงไม่ได้ที่จะต้องเอ่ยถึงสถานีโทรทัศน์ ผ่านดาวเทียมเอเอสทีวี ที่มีจุดยืนชัดเจนในการไม่เลือกขั้วทางการเมืองฝั่ง ไหน และต้องการปฏิรูปทางการเมืองรอบใหม่อย่างจริงจัง นับตั้งแต่การ เรียกร้องให้รัฐบาลอภิสิทธิ์ปกป้องอธิปไตย กรณีชายแดนไทย-กัมพูชา ทํา ให้พิธีกรเอเอสทีวีที่มีจุดยืนสนับสนุนพรรคประชาธิปัตย์บางคนลาออกไป ซึ่งก็ถือเป็นสิทธิของแต่ละคนที่จะออกไปแสวงหาความมั่นคงให้ชีวิต และ เมื่อฝั่งพรรคประชาธิปัตย์หันมามุ่งเน้นในเรื่องของสื่อใหม่ ที่สุดแล้วเราจะ ได้ เ ห็ น คนที่ เ คยอยู่ เ อเอสที วี ไ ปจั ด รายการให้ กั บ โทรทั ศ น์ ใ นเครื อ ข่ า ย ผู้สนับสนุนพรรคประชาธิปัตย์เหล่านี้ ที วี ใ นเครื อ ข่ า ยผู้ ส นั บ สนุ น พรรคประชาธิ ปั ต ย์ จ ะดํ า เนิ น วิถีทางไปในทางใด นอกจากจะเห็นนักจัดรายการที่มีแนวคิดสนับสนุน พรรคประชาธิปัตย์วนเวียนอยู่กับโทรทัศน์ผ่านดาวเทียมไม่กี่ช่อง ใน เมื่อไม่สามารถก้าวข้ามความเป็นสื่อการเมือง ท้ายที่สุดผู้ชมทางบ้านที่ มี ใจเป็ น ธรรมจะเป็ น คนตั ด สิ น ได้ เ องว่ า ที วี ด าวเที ย มช่ อ งไหนเป็ น สื่อสารมวลชนตัวจริง หรือเป็นแค่กระบอกเสียงพรรคการเมือง

ASTV ! ในช่วงที่ผ่านมาจะเห็นอดีตพิธีกรข่าวของเอเอสทีวีย้ายไปอยู่ช่องอื่น สร้าง ความงุนงงสงสัยต่อผู้ชมทางบ้านว่าเกิดอะไรขึ้น แต่ถึงกระนั้นก็ไม่ได้ส่งผลกระทบต่อ รายการปกติของทางสถานี ซึ่งได้มีการปรับผังรายการไปล่าสุดเมื่อช่วงหลังเลือกตั้ง นายสุรวิชช์ วีรวรรณ บรรณาธิการบริหาร สถานีโทรทัศน์ผ่านดาวเทียมเอเอส ทีวี กล่าวในเฟซบุ้คว่า "ว่ากันว่าทีวีช่องใหม่ที่กําลังจะเกิดจะดีหรือดีไม่รู้ แต่มีข่าวว่านายหัว สุราษฎร์เห็นแล้วว่า ช่องสีฟ้านั้นมันแจ่มแจ้งเกินไป ต้องปั้นช่องใหม่ที่อําพรางได้มากกว่า แอบส่งกําลังหนุนอยู่ข้างหลัง ก็ต้องดูกันต่อไปว่าจริงเท็จแค่ไหน แต่อย่างน้อยก็ดีใจที่น้องๆ ที่ออกไปจากเอเอสทีวีจะได้มีความมั่นคงเพราะเขามีเงินถุงเงินถัง ส่วนเอเอสทีวีสําหรับซือ แป๋ก็ประกาศแจ่มชัดไปแล้วต่อพนักงานแล้วว่า ถ้าใครคิดว่าที่นี่ไม่มั่นคงก็ยินดีให้จากไปไม่ ขัดข้อง แถมบอกว่าจะได้ถือโอกาสร่อนตระแกรงครั้งสุดท้ายพนักงานเอเอสทีวีเหมือนที่ พันธมิตรฯ เคยร่อนตระแกรงมาครั้งหนึ่ง และไม่ต้องห่วงไม่ว่าจะเหลือกี่คน ซือแป๋บอกว่าเอ เอสทีวีก็จะเดินหน้าต่อไป และที่นี่ถึงเงินเดือนจะออกช้าแต่ก็มีที่มาที่ไปชัดเจน" ขณะที่ นายปานเทพ พัวพงษ์พันธ์ โฆษกพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย กล่าวในเฟซบุ้คเช่นกัน ว่า “เดี๋ยวนี้มีคนถามผมว่าจะรู้ได้อย่างไรว่าทีวีดาวเทียมช่องไหนรับ ใช้ทุนของนักการเมืองค่ายไหน คําตอบที่ให้ดูง่ายๆ คือ ถ้าทีวีช่องไหนไม่วิพากษ์วิจารณ์ ข้อบกพร่องและความล้มเหลวของพรรคเพื่อไทยและคนเสื้อแดงและเลือกโจมตีเฉพาะ

DemoCrazy .17.

ประชาธิปัตย์อย่างเดียวก็ให้สันนิษฐานได้ว่าได้รับ เงินสนับสนุนจากกลุ่มทุนสีแดงเพื่อรับใช้พรรคเพื่อ ไทย และถ้ า ที วี ช่ อ งไหนไม่ วิ พ ากษ์ วิ จ าร ณ์ ข้ อ บ ก พ ร่ อ งแ ล ะ ค ว า ม ล้ ม เ ห ล ว ข อ งพ ร ร ค ประชาธิปัตย์เลือกโจมตีเฉพาะพรรคเพื่อไทยและ เสื้อ แดงอย่ างเดียวก็ใ ห้สัน นิษ ฐานได้ว่ าได้รับ เงิ น สนับสนุนจากกลุ่มทุนสีฟ้าแห่งสุราษฎร์ธานีเพื่อรับ ใช้ประชาธิปัตย์ สังเกตได้ไม่ยากครับ”


ชเนษฎ์ ศรีสโุ ข • http://www.bloggla.com

... (1) ประเทศไทย แทบจะเป็นประเทศเดียวในโลก ที่หมอเรียนจบ ใหม่ ต้องใช้ทุน ภายใต้แนวคิดว่าเป็นพระคุณอันยิ่งใหญ่ของระบบการเรียนการ สอนแพทย์ในประเทศไทย ที่อยากให้คนเรียนจบแพทย์ทุกคนตอบแทน ด้วยการเอาพลังชีวิตไปใช้ในต่างจังหวัดอย่างเต็มที่หลังเรียนจบ เป็นการ ทดแทนคุณแผ่นดิน ประมาณ 1-3 ปี ถือว่าได้ประสบการณ์ชีวิตที่ดี ได้ ฝึกหัดการตัดสินใจในการรักษา เพื่อเป็นแพทย์ที่เก่ง ดี มีทักษะการสื่อสาร กับผู้ป่วยที่ดีมากขึ้นในอนาคต และอาชีพหมอ เป็นหนึ่งในไม่กี่อาชีพในประเทศไทย ที่เรียนจบ มา ต้อง (ถูกบังคับให้) ใช้ทุน แม้กระทั่งโรงเรียนแพทย์เอกชนที่โฆษณาว่าเรียนจบไม่ต้องใช้ ทุนใคร เอาเข้าจริง ก็เป็นการหลอกลวง เพราะ คนเรียนจบแพทย์เอกชนก็ ต้องบากบั่นขอความเมตตาระบบรัฐ เพื่อเข้ามาใช้ทุน และด้วยความ มุ่งหวังจริงๆไม่ต่างกับคนเรียนแพทย์รัฐบาล ...คือ ตั้งใจไปใช้ทุน เพื่อใบเพิ่มพูนประสบการณ์ ใบเพิ่มพูนประสบการณ์ (หรือชื่อเรียกอื่นๆ ต่างๆ กัน) เป็นยอด ใบศักดิ์สิทธิ์สําหรับแพทย์จบใหม่ทุกคน ที่ต่างมุ่งหวังใช้ทุนให้ได้ครบ 1 ปี เมื่อครบ 1 ปี ได้ใบมหัศจรรย์นี้แล้ว จะลาออก ชดใช้เงิน หรือหนีไปอยู่ เอกชน ย่อมทําได้ สบาย สบาย ใบศักดิ์สิทธิ์ นี้มีประโยชน์ตรงที่ว่า ไว้ใช้สมัครเรียนต่อแพทย์ เฉพาะทางในสาขาส่วนใหญ่ ถ้าไม่ม.ี .. หมดสิทธิ์ เพราะฉะนั้น ขอเสนอหนทางง่ายๆ เชิงกฎระเบียบ ที่ไม่อยาก ให้แพทย์ลาออกก่อนกําหนด คือ ควรปรับให้ใบเพิ่มพูนประสบการณ์ เมื่อทํางานครบ 2 ปี หรือ 3 ปี ขึ้นไป...

(2)

ข่าวที่ดังช่วง ตุลาคม 2554 นี้ เกี่ยวกับ การปรับขยายเวลาใช้ ทุนผลิตแพทย์เพื่อชนบท คือ จาก 3 ปี ให้เป็น 6 ปี และถ้าลาออกก่อน ต้องใช้เงินรัฐบาลจํานวน 1 ล้านบาท เป็ น การแก้ ปั ญ หาที่ ผิ ด ทาง เพราะจะทํ า ให้ ค นส่ ว นใหญ่ ที่ ต้องการลาออกก่อนกําหนด รีบไปหาเงินในระบบโรงพยาบาลเอกชน เพื่อ

มาใช้หนี้ และ ยอมเสียเงินลาออกไปในที่สุด จะไม่มีใครยอมใช้ทุนถึง 6 ปี ก่อนไปเรียนต่อเฉพาะทาง เพราะปกติ 6 ปี นั่นหมายถึงเวลาทั้งหมดใน การใช้ทุน บวกกับการเรียนต่อเฉพาะทางจนจบ ไม่มีใครอยากเรียนหมอ ให้นานกว่าเดิม เพื่อจบเฉพาะทางมา ตอนอายุ 40 ปี และมีเวลาทํางาน จริงอีก 20 ปี เท่านั้น และจริงๆ การบังคับใช้ที่ออกมานี้ เป็นการบังคับใช้เฉพาะกับ แพทย์ที่เรียนในโครงการผลิตแพทย์เพิ่มเพื่อชาวชนบท ซึ่งเป็นกลุ่มเด็กดี กลุ่มเด็กชนบทไม่มีเ ส้นสายใคร และเป็นกลุ่มที่ล าออกกันน้ อยอยู่แล้ ว ไม่ ไ ด้ บั ง คั บ ใช้ กั บ คนเรี ย นจบแพทย์ ส่ ว นใหญ่ สั ง กั ด สํ า นั ก งาน ปลัดกระทรวงสาธารณสุข ซึ่งมีอัตราลาออกมากกว่า 2 เท่าตัว แต่เผอิญ เป็นเด็กลูกหม้อสถาบันเก่าแก่หลายสถาบันที่กระทรวงเองก็ไม่กล้าไปทํา อะไร ทางออกที่เป็นข่าวมานี้ เลยเป็นการแก้ปัญหาปลายเหตุ และยัง ไม่กล้าจะแก้ให้เท่าเทียมกันทุกสถาบันอีกด้วย เป็นการเลือกปฏิบัติกับ กลุ่มลูกภรรยาน้อย เลยอยากเสนอหนทางแก้ปัญหาปลายเหตุ ให้เสมอภาคทุก กรณี ขึ้นมาหน่อย คือ ไปเพิ่มระยะเวลาการทํางาน เพื่อได้ใบเพิ่มพูน ประสบการณ์สิ ทีนี้ไม่มีใครลาออกก่อนแน่ๆ เพราะจะเรียนต่อเฉพาะทางไม่ได้ เลยในชีวิตนี้

(3)

เคยพูดหลายครั้งว่า วงการแพทย์ไทยชอบลอกเลียนตามก้นฝรั่ง เรือ่ งนี้ก็เช่นกัน ถ้าพูดถึงระบบของต่างประเทศ แพทย์เรียนจบ ต้องมีช่วงเวลาเป็นแพทย์ปฏิบัติการและมีชื่อเรียกแตกต่างกันในแต่ละ เครือ เป็นช่วงได้ฝึกหัด และเพิ่มพูนประสบการณ์ ของไทยก็อยากให้เพิ่มพูนประสบการณ์ แต่มีข้อแม้คือต้องส่งไป ต่างจังหวัดเท่านั้น เป็นเรื่องที่มาจากปัญหาหลายอย่างในสภาพสังคมเรา ปัญหาการกระจุกอํานาจและความเจริญในกรุงเทพเพียงที่เดียว ความไม่ เท่าเทียมทางชนชั้นและการรับการรักษา จึงมีมากขึ้น แม้หมอต่างจังหวัด ไม่ได้โง่กว่าหมอกรุงเทพ แต่ คนจบหมอนิยมเข้ากรุงเทพเพื่ออํานาจเชิง ระบบ (เช่ น คนที่ ทํ า งานกระทรวง) เพื่ อ อํ านาจทุ น (เช่ น โรงพยาบาล เอกชนจํานวนมาก) เพื่ออํานาจทางวิชาการ (เชื่อว่าอยู่กรุงเทพ ตามก้น ฝรั่งทางวิชาการได้ง่ายกว่า) เพื่ออํานาจเชิงคุณค่าของตนเอง ที่คิดว่ามีห้าง ใหญ่ๆให้เที่ยว มีเงินให้ซื้อของใช้ที่ต้องการได้ คิดว่าไฮโซและไฮเทคกว่าอยู่ ต่างจังหวัด(แต่จริงๆไม่ต่างกัน) มีสภาพความเป็นอยู่แบบชาวเมือง ...เป็น ระบอบวัตถุนิย มที่ประชาชนทั่วไปของเราก็ชื่นชอบ ทํา ไมหมอจะเป็ น อย่างนั้นบ้างไม่ได้?

DemoCrazy .18.


ก็เลยเป็นธรรมดาในประเทศที่มีความเลื่อมล้ําทางชนชั้น และ ความคิดเชิงวัตถุนิยมอย่างสูง จะมีระบบการเรียนการสอนแพทย์ที่บิด เบีย้ วไปเช่นนี.้ .. ในกระแสทุนนิยมปัจจุบัน หมอที่ลาออกก่อนใช้ทุนครบ เพื่อ ไปอยู่คลินิกผิวหนังรายได้ดี งานไม่เหนื่อย ไม่ต้องอยู่เวรอยู่กรรมใน โรงพยาบาลรัฐดึกดื่น ตื่นหกโมงเช้า เลิกงานหกโมงเย็น เป็นประจํา นั้น จะถูกประณามว่าไม่มีจิตสํานึกในการทํางานเพื่อชาวชนบท แต่เขาอ้าง ว่า ในบริบทของเขา คือ เขาต้องการความสบายกาย, สบายใจ, รายได้ ตอบแทนสมเหตุสมผลไม่น้อยเหมือนในระบบรัฐบาล, ไม่ต้องมาคอยรับ ใช้งานที่แพทย์อาวุโสบางท่านชอบโยนให้ทําเป็นกรรมกรอยู่โดยโต้เถียง ขัดแย้งไม่ได้, รู้สึกมีคุณค่ามากขึ้นในแง่ของระบบชนชั้นทางการแพทย์ ฯลฯ เรื่องประเด็นทางเศรษฐกิจนั้น จะยกตัวอย่างบางประการให้ ฟัง แพทย์ผ่าตัดที่อยู่ระบบรัฐ ผ่าตัดไส้ติ่ง ช่วยคนไข้รอดชีวิต เพื่อได้ค่า หัตถการ เพียง 600 บาท ชีวิตคนที่เป็นโรคไส้ติ่งอักเสบยังมีมูลค่าน้อย กว่าการไปรักษาสิวคลินิกผิวหนัง เพียง 1 ครั้ง คือ ความอเนจอนาถ ของระบบสาธารณสุข ขอโทษครับ ตั้งแต่สมัย 30 บาทอภิมหาโครงการประชานิยม ของทักษิณ ที่ทําให้คุณภาพการรักษาตกต่ําลง คนไข้มาโรงพยาบาล เยอะขึ้น ความต้องการสูงขึ้น ความรู้ความเข้าใจทางการแพทย์น้อยแต่ ความต้องการมาก จํานวนหมอประสบการณ์มากในระบบรัฐจึงลดลง เพราะลาออกหมด เหลือแต่หมอมือใหม่ ทรัพยากรต่างๆก็ขาดแคลน เพราะรั ฐ บาลให้ ทุน สนั บสนุ น น้ อ ย ค่ า ชี วิต ประชากรรายหัว ต่ อ ปี ที่ รัฐบาลจ่าย ต่ํากว่าเงินที่ต้องจ่ายให้บริษัทมือถือของทักษิณในอดีต มาสมัยประชาธิปัตย์ ก็ได้ซ้ําเติมให้แย่ลง โดยการให้การรักษา ฟรีทั้งประเทศ คนไข้มาถล่มทลาย ของฟรีใครๆก็ชอบ ไม่ได้ใส่ใจว่าหมอ พยาบาลทํางานหนักจนไม่ไหวก็ลาออกไปอยู่โรงพยาบาลเอกชนที่ผู้ถือ หุ้นใหญ่คือเครือทักษิณ และนักการเมือง ทั้งสิ้น ทุนใหญ่ๆ จึงดึงหมอไปอยู่เอกชนกันหมดเป็นธรรมดา เพราะ สบายกาย สบายใจ ทํ า งานมี ร ะบบที่ ดี ขึ้ น รายได้ ต อบแทนมากขึ้ น คนไข้มีการศึกษาพูดคุยเข้าใจง่ายขึ้น ความเสี่ยงฟ้องร้องต่ําลง เรื่องนี้ไม่ จํากัดเฉพาะคนที่ลาออกในต่างจังหวัดเท่านั้น หากพิจารณาอาจารย์ แพทย์ในโรงพยาบาลรัฐใหญ่ๆ กรุงเทพ หลายที่ ก็จะเห็นทั้งตัวอย่างที่ดี และตัวอย่า งที่ไ ม่ดี ที่บ างประเภท ไปทํา งานโรงพยาบาลเอกชนอยู่ เนืองๆ แม้จะเป็นเวลาราชการก็ตามที ส่วนงานประจําโยนให้แพทย์ ประจําบ้าน(แพทย์ที่กําลังเรียนต่อเฉพาะทาง) ทําทั้งหมด ในเมื่ อ สั ง คมกํ า ลั ง จะล่ ม สลาย ความเสื่ อ มทางศี ล ธรรม สูง สุ ด ในยุ คนี้ โจรและผู้ ก่ อ การร้า ยครองประเทศ อย่า แปลกใจที่ วงการสาธารณสุขไทยก็กําลังจะล่มจมไปพร้อมๆ กัน เราอยู่ในวัฏจักรแห่งความเสื่อมสุดแล้ว เร่งผลิตแพทย์เพิ่ม เพราะคิดว่าขาดแคลนในชนบท แต่จบมาก็อยู่กระจุกกรุงเทพแบบเดิม, คนเรียนแพทย์เพราะคิดอยากเปลี่ยนชนชั้น และรายได้ที่มั่นคง, การ ผลิตแพทย์ที่ควบคุมคุณภาพได้ลําบาก เพราะมีมากสถาบันเกินไป และ ยังเหยียดสถาบันกันเองอีก, ระบบการเรียนต่อเฉพาะทางที่ใช้เส้นสาย ศั ก ดิ น าอุ ป ถั ม ภ์ เ ท่ า นั้ น , แพทยสภาที่ เ ต็ ม ด้ ว ยอาจารย์ แ พทย์ ผู้ มี อุดมการณ์และความหวังดี แต่ไม่มีอํานาจเชิงระบบจะทําอะไรได้มาก ฯลฯ ทางแก้ปัญหาแพทย์ขาดแคลนในชนบท? ไม่ง่ายครับ... ใน บริบทสังคมไทยเช่นนี้ ผมคิดว่าต้องมี “องค์กร” ที่สามารถกระชับ อํานาจในวงการแพทย์ได้อ ย่างเบ็ด เสร็ จ เด็ด ขาด และให้มีค วาม เสมอภาคในการบังคับใช้กฎระเบียบกับแพทย์ทุกที่ได้เหมือนกัน โดย ไม่เลือกสถาบัน ไม่เลือกเส้นสาย ไม่เลือกปฏิบัติครับ

...

! " # $ ## % & ' ( & " " $ & ) * ) #$ " & + ' ', +# ' ', ! $ #-

*-" # ) - ! )

.- * '*, 1"- ' 2 *- 3 3 $ 45 &* " % 1 " - % 67,1

+ & 8 *% ' 9 ' ) #) 1-6' 1 11.00-12.00 . ASTV - *- & &$ !*) $ http://www.manager.co.th/vdo % ! + & % 1 N $ " $ & $ 4850770 ( ) *- 6 ) *-"% " $ Y5 ' $ facebook.com/news1online ! Y5 ' $ 4 1 Y*1 8 *% ' *% ' 9 %" " 1 @news1online *- news1online@gmail.com

DemoCrazy .19.


Backoffice กิตตินันท์ นาคทอง • http://www.facebook.com/kittinun.nakthong

ภาพประกอบจากธนาคารธนชาต

ช่วงนี้มีธนาคารแห่งหนึ่งออกแคมเปญช่วยเหลือผู้ประสบภัย น้ําท่วม ทั้งสินเชื่อบ้าน สินเชื่อรถแลกเงิน และบัตรสินเชื่อบุคคลโดยใช้ คําว่า “ตั้งหลัก” ผมเห็นแล้วก็รู้สึกดีกับคําๆ นี้ ที่ว่ารู้สึกดีก็เพราะความหมายของคําๆ นี้ ถ้าจะให้อธิบายก็คือ การที่เราเลือกที่จะยอมถอยตัวเองออกมา เพื่อเตรียมความพร้อมทั้งกาย และใจ ก่อนทีจ่ ะออกไปรับมือกับสิ่งต่างๆ ทีอ่ าจจะเกิดขึ้นอยู่ข้างหน้า ในช่วงวิกฤตน้ําท่วมที่ผ่านมา มีพี่น้องและคนรู้จักต่างกลายเป็น ผู้ประสบภัยกันถ้วนหน้า หลายคนต้องทนใช้ชีวิตอยู่กับน้ําท่วมหลายเดือน ไม่สามารถออกไปยังโลกภายนอกได้ บางคนน้ําท่วมเข้าไปในบ้าน ต้อง อาศัยบ้านญาติ กลับมาอีกทีทรัพย์สินเครื่องใช้ไฟฟ้าชั้นล่างเสียหายหมด กองบรรณาธิการเดโมเครซี่ ซึ่งอาศัยบ้านพักย่านวิภาวดีรังสิต เป็นสํานักงานก็พลอยได้รับผลกระทบไปด้วย เพราะมวลน้ําบุกไปถึงห้า แยกลาดพร้าว ทําเอางานที่วางแผนกันเอาไว้ต้องชะงักลง สําหรับฉบับนี้ อาจเรียกได้ว่าเป็นการกลับมา “ตั้งหลัก” อีกครั้งหนึง่ ของพวกเราก็ว่าได้ ตัวผมเองแม้บ้านที่สมุทรสาครจะไม่ได้รับผลกระทบจากน้ําท่วม เพราะมวลน้ํากลับเปลี่ยนทิศทาง ซึ่งก่อนหน้านี้ก็เฝ้าระวังอย่างระแวงอยู่ หลายวัน แต่ก็ ได้รั บผลกระทบจากการไปทํา งานไม่ไ ด้ เพราะเส้ นทาง คมนาคมถูกตัดขาด และหาซื้อของกินของใช้ในชีวิตประจําวันได้ยากมาก หลังน้ําลดจนกลับมาเดินได้ตามปกติ นอกจากภาพของกองขยะ ขนาดมหึมา ซากต้นไม้ตาย และซากปรักหักพังอันเนื่องมาจากน้ําท่วมจะ ทําให้ผมรู้สึกสลดหดหู่แล้ว อีกด้านหนึ่งเรากลับเห็นภาพของการปรับตัว ของคนในสังคม ที่อาจเรียกได้ว่าเป็นการกลับมา “ตั้งหลัก” ในชีวิตอีกครั้ง ... ภาพของชาวบ้า นต่ างเอาสิ่ง ของและขยะที่ ถูก น้ํา ท่ว มพั ง เสียหาย ใช้การไม่ได้มากองไว้ เพื่อรอให้รถขยะของกรุงเทพมหานคร หรือ องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นมาเก็บเพื่อไปกําจัดตามวิธี ... ภาพของชาวบ้านต่างทําความสะอาด ขัดถูพื้นและผนังที่ถูก น้ําท่วม ซึ่งเต็มไปด้วยเชื้อราและมีคราบน้ําเกาะอยู่จํานวนมาก รวมทั้ง ทาสีใหม่เพื่อให้อยู่ในสภาพที่พร้อมจะกลับมาอยู่อาศัยอีกครั้ง ... ภาพของหนุ่ม สาวออฟฟิศ กลั บมาทํ างานตามปกติ อีก ครั้ ง หลายคนต้องปรับตัวให้เข้ากับชีวิตประจําวันตามปกติ การติดต่อสื่อสาร หรือการทํางานที่เว้นวรรคก็กลับมารื้อฟื้นกันใหม่ ... ภาพของการขอรับความช่วยเหลือจากสถาบันการเงิน ทั้งการ กู้เงินเพื่อนําไปซ่อมแซมบ้าน หรือภาพของประชาชนอีกกลุ่มรอรับความ ช่วยเหลือจากภาครัฐ โดยเฉพาะเงินช่วยเหลือครัวเรือนละ 5 พันบาท ... ฯลฯ

ผมกลับมาที่กองบรรณาธิการเดโมเครซี่อีกครั้งหลังน้ําลดผ่านไป 2-3 เดือน ภาพที่ผมเห็นนอกจากย่านลาดพร้าวรถยังติดเหมือนเดิม คน ที่นยี่ ังใช้ชีวิตตามประสาคนเมืองเหมือนเดิมแล้ว รั้วบ้านตามรายทางทาสี ใหม่ บ้านถูกตกแต่งใหม่ ถนนหนทางที่ดูเรียบร้อย สะท้อนให้เห็นว่าหลาย คนเลือกที่จะตั้งหลักกับบ้านของตัวเองเสียใหม่ระหว่างกลับมามีชีวิตปกติ หากพูดถึงความรู้สึกลึกๆ ก็คงยากที่จะอธิบาย อันเนื่องมาจาก แต่ละคนย่อมมีความสูญเสียที่ไม่เหมือนกัน และต่างเลือกที่จะแก้ปัญหา ชีวิตหลังน้ําลดแตกต่างกันไป เพื่อให้กลับมามีชีวิตที่ปกติ แม้รอยยิ้มและ ความสุขจะต้องรอเวลาให้ความสูญเสียจางหายไปก็ตาม ถ้าถามว่า ในชีวิตนีม้ ีใครเคยที่จะยอมถอยเพื่อมาตั้งหลักบ้าง ผม ลองถามตัวเองแล้ว หลายกรณีก็มีเรื่องที่พลาดผิดอยู่บ่อยครั้ง หลายครั้ง ผมเลือกที่จะ “ถอยมาตั้งหลัก” เพื่อปลีกตัวออกจากปัญหา ก่อนที่ผมจะ ย้อนกลับมาเผชิญกับปัญหาอีกครั้งเมื่อมีความรู้สึกว่า “พร้อมแล้ว” จริงๆ ไม่ใช่เพียงมนุษย์ธรรมดาแค่นั้น ในหลักคําสอนของศาสนาคริสต์ พระเยซูเองก็ทรงถอยมาตั้งหลักเพื่อก้าวไปข้างหน้า หลังจากทรงกระทํา ภารกิจมากมายในแต่ละวัน พระองค์หยุดพักเพื่อใช้เวลากับพระเจ้า ในพระคั ม ภี ร์ มั ท ธิ ว บทที่ 14:23 บอกว่ า “และเมื่ อ ให้ ประชาชนเหล่านั้นไปหมดแล้ว พระองค์เสด็จขึ้นไปบนภูเขาโดยลําพัง เพื่ออธิษฐาน เวลาก็ดึกลงพระองค์ยังทรงอยู่ที่นั่นแต่ผู้เดียว” การถอยมาตั้งหลักไม่ใช่การยอมจํานนหรือยอมแพ้ แต่เป็นการ หยุดพักจากปัญหาไว้ชั่วครู่ชั่วยาม ซึ่งไม่มีสูตรสําเร็จตายตัว ขึ้นอยู่กับว่า แต่ละคนจะมีวิธีแก้ปัญหาอย่างไร ไม่ว่าจะเป็นเรื่องหน้าที่การงาน เรื่อง ครอบครัว เรื่องความรัก และในทุกๆ เรื่องที่ไม่สามารถเดินหน้าต่อไปได้ เมื่อให้เวลากับตัวเองด้วยความสงบแล้ว ก็จะเห็นภาพกว้างของ ปัญหา กระทั่งเมื่อเราเห็นข้อบกพร่องแล้วเราก็ย้อนกลับมาเดินหน้าเพื่อ แก้ไขให้ได้ตามหนทางที่เราต้องการ หรือหากไม่เป็นเช่นนั้นเราก็เลือกที่จะ ออกไปให้ไกลจากปัญหาเหล่านั้นได้ วันหนึ่ง ผู้ใหญ่ที่ผมรู้จักแชร์เพลงเก่าอยู่เพลงหนึ่งในเฟซบุ้ค เป็น เพลงของวงทีโบนที่ชื่อว่า “ทะเลและเวลา” เมื่อผมได้ลองฟังและอ่านเนื้อ ร้องแล้ว นอกจากเป็นเพลงที่เหมาะกับการปลอบใจตัวเองแล้ว ยังเข้ากับ อารมณ์ของการถอยมาตั้งหลักเพื่อค้นหาคําตอบให้กับชีวิตอย่างยิ่ง สําหรับคนที่ถอยมาตั้งหลัก ผมขอมอบท่อนนี้ไว้เพื่อปลอบใจว่า “... ไม่มีใครรู้เรื่องราวของวันต่อๆไป ให้เผื่อใจเอาไว้ เมื่อวันผันเปลี่ยน ทุกเรื่องราวอย่าหวั่นไหว แก้ไขด้วยตัวเอง ...”

DemoCrazy .20.


.

.112 ... ? การแก้ไขประมวลกฎหมายอาญามาตรา 112 หรือกฎหมาย หมิ่นพระบรมเดชานุภาพ ถูกนําไปขยายผลจากข้อเสนอของ “กลุ่มนิติ ราษฎร์” ซึง่ เป็นกลุ่มอาจารย์คณะนิติศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ที่ มี น ายวรเจตน์ ภาคี รั ต น์ หั ว หน้ า ภาควิ ช ากฎหมายมหาชน คณะ นิติศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ได้เผยแพร่ “ข้อเสนอเพื่อการ รณรงค์แก้ไขเพิ่มเติมมาตรา 112 ตามประมวลกฎหมายอาญา” ทําให้ มีการวิพากษ์วิจารณ์อย่างกว้างขวาง ต่อเจตนาในการออกข้อเสนอ ดังกล่าว โดยมีสาระสําคัญโดยสรุป คือ 1. ให้ ย กเลิ ก มาตรา 112 ออกจากลั ก ษณะว่ า ด้ ว ยความผิ ด เกี่ยวกับความมั่นคงของราชอาณาจักร 2. เพิ่ ม หมวดลั ก ษณะความผิ ด เกี่ ย วกั บ พระเกี ย รติ ข อง พระมหากษัตริย์ พระราชินี รัชทายาท และเกียรติยศผู้สําเร็จราชการแทน พระองค์ 3. แบ่งแยกการคุ้มครองสําหรับตําแหน่งพระมหากษัตริย์ออก จากการคุ้ ม ครองสํ า หรั บ ตํ า แหน่ ง พระราชิ นี รั ช ทายาท หรื อ ผู้ สํ า เร็ จ ราชการแทนพระองค์ 4. เปลี่ยนบทกําหนดโทษ โดยไม่มีอัตราโทษขั้นต่ํา แต่กําหนด เพดานโทษสูงสุดจําคุกไม่เกินสามปีสําหรับการหมิ่นประมาท ดูหมิ่น หรือ แสดงความอาฆาตมาดร้ายพระมหากษัตริย์ และไม่เกินสองปีสําหรับ พระ ราชินี รัชทายาท หรือผู้สําเร็จราชการแทนพระองค์ 5. เพิ่มเหตุยกเว้นความผิด กรณีแสดงความคิดเห็นโดยสุจริต 6. เพิ่มเหตุ ยกเว้นโทษ กรณีข้อความที่กล่าวหานั้นได้รับการ พิสูจน์ว่าเป็นความจริง และการพิสูจน์นนั้ เป็นประโยชน์ต่อสาธารณะ และ 7. ห้ า มบุ ค คลทั่ ว ไปกล่ า วโทษผู้ ที่ ทํ า ความผิ ด ให้ สํ า นั ก ราช เลขาธิการมีอํานาจเป็นผู้กล่าวโทษเท่านั้น แทนพระองค์

หลังจากกลุ่มนิติราษฎร์ประกาศข้อเสนอแล้ว นักวิชาการอาวุโส นําโดย นายชาญวิทย์ เกษตรศิริ อดีตอธิการบดีมหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ก็นําเครือข่ายนักวิชาการ และกลุ่มกิจกรรมที่เคยสนับสนุนการชุมนุมของ กลุ่มคนเสื้อแดง แนวร่วมของ นปช. ร่วมกับกลุ่มนิติราษฎร์ในนาม “คณะ รณรงค์แก้ไขมาตรา 112” หรือที่ย่อว่า “ครก.112” ที่ผ่านมาได้จัด กิจกรรมเปิดโต๊ะลงชื่อประชาชนทีเ่ ห็นด้วยกับการแก้ไขประมวลกฎหมาย อาญา มาตรา 112 ให้ครบ 10,000 รายชื่อ เพื่อเสนอรัฐสภาพิจารณา ที่ สําคัญยังมีการนําเสนอร่างพระราชบัญญัติแก้ไขเพิ่มเติมประมวลกฎหมาย อาญา (ฉบับที…่ ) ซึ่งระบุยกเลิกมาตรา 112 โดยมีบัญญัติโทษเกี่ยวกับการ ดูหมิ่นพระมหากษัตริย์ ตลอดจนองค์รัชทายาทขึ้นมาใหม่อีกด้วย หากได้ พิจ ารณาข้ อ เสนอเพื่ อการรณรงค์แ ก้ ไขมาตรา 112ฯ ตามที่กลุ่มนิติราษฎร์เสนอแล้ว จะพบว่ามีประเด็นไม่ชอบมาพากลหลาย ประการ ไม่ ว่าจะเป็นการยกเลิกมาตรา 112 ออกจากลั กษณะว่าด้ว ย ความผิดเกี่ยวกับความมั่นคงของราชอาณาจักรนั้น พล.ต.อ.วสิษฐ เดช กุญชร อดีตหัวหน้านายตํารวจราชสํานักประจํา และ อดีตรองอธิบดีกรม ตํารวจ กล่าวถึงข้อเสนอจุดนี้ว่า ความในมาตรา 112 และในประมวล กฎหมายอาญาภาคและลักษณะนั้นเกี่ยวกับความมั่นคงของชาติหรือของ ประเทศ และสะท้ อ นเจตนารมณ์ ข องกฎหมายที่ ย อมรั บ ว่ า สถาบั น พระมหากษัตริย์กับความมั่นคงของชาตินั้น แยกกันไม่ได้ ทั้ ง นี้ การแยกส่ ว นใหม่ ที่ ว่ า ด้ ว ยเกี ย รติ ย ศและชื่ อ เสี ย งของ พระมหากษัตริย์ พระราชินี รัชทายาท และผู้สําเร็จราชการแทนพระองค์ โดยให้เหตุผลว่าไม่มีสภาพร้ายแรงถึงขนาดกระทบกระเทือนต่อการดํารง อยู่ของบูรณภาพและความมั่นคงแห่งราชอาณาจักร ก็ตีความเป็นอย่างอื่น ไม่ได้ นอกจากกลุ่มนิติราษฎร์เห็นว่า “ราชอาณาจักรไทย หรือประเทศ ไทยไม่จําเป็นต้องอาศัยพระมหากษัตริย์เป็นประกันความมั่นคงต่อไป อีกแล้ว” ตนจึงไม่เห็นด้วย และขอคัดค้านกลุ่มนิติราษฎร์

DemoCrazy .21.


.

“การให้สํานักราชเลขาธิการเป็นผู้ฟ้อง ก็เป็นการลดพระเกียรติ คิดง่ายๆ เวลาเด็กไปทะเลาะกับผู้ใหญ่ ใครเสีย ผู้ใหญ่เสียทั้งนัน้ ” นายศาสตรา โตอ่อน อาจารย์ประจําคณะนิติศาสตร์ มหาวิทยาลัยรังสิต กล่าวถึงข้อเสนอของกลุ่มนิตริ าษฎร์ ที่ให้แก้ไขประมวลกฎหมาย อาญา มาตรา 112 โยห้ามบุคคลทั่วไปกล่าวโทษผู้ที่ทําความผิด ให้ สํานักราชเลขาธิการมีอํานาจเป็นผู้กล่าวโทษเท่านั้น แทนพระองค์ ส่วนประเด็นการเปลี่ยนบทกําหนดโทษ โดยไม่มีอัตราโทษขั้นต่าํ แต่กําหนดเพดานโทษสูงสุดจําคุกไม่เกินสามปีสําหรับการหมิ่นประมาท ดู หมิ่น หรือแสดงความอาฆาตมาดร้ายพระมหากษัตริย์ และไม่เกินสองปี สําหรับ พระราชินี รัชทายาท หรือผู้สําเร็จราชการแทนพระองค์นั้น นัก กฎหมายอย่าง นายมีชัย ฤชุพันธุ์ อดีตประธานวุฒิสภา และประธาน รัฐสภา ก็กล่าวว่า ตามกฎหมายอาญาของไทยนั้น ไม่ได้ปกป้องคุ้มครอง เป็ น พิ เ ศษเฉพาะพระมหากษั ต ริ ย์ ดั ง ที่ ร ะบุ ไ ว้ ใ นมาตรา 112 เท่ า นั้ น หากแต่ได้ปกป้องคุ้มครองบุคคลอื่นๆ ไว้ในมาตราอื่นๆ มาตรา 133 ผู้ใดหมิ่นประมาท ดูหมิ่นหรือแสดงความอาฆาต มาดร้ า ยราชาธิ บ ดี ราชิ นี ราชสามี รั ช ทายาท หรื อ ประมุ ข แห่ ง รั ฐ ต่างประเทศ ต้องระวางโทษจําคุกตั้งแต่หนึ่งปีถึงเจ็ดปี หรือปรับตั้งแต่สอง พันบาทถึงหนึ่งหมื่นสี่พันบาท หรือทั้งจําทัง้ ปรับ มาตรา 134 ผู้ใดหมิ่นประมาท ดูหมิ่น หรือแสดงความอาฆาต มาดร้ายผู้แทนรัฐต่างประเทศซึ่งได้รับแต่งตั้งให้มาสู่พระราชสํานัก ต้อง ระวางโทษจําคุกตั้งแต่หกเดือนถึงห้าปี หรือปรับตั้งแต่หนึ่งพันบาทถึงหนึ่ง หมื่นบาท หรือทั้งจําทั้งปรับ มาตรา 136 ผู้ใดดูหมิ่นเจ้าพนักงานซึ่งกระทําการตามหน้าที่ หรือเพราะได้กระทําการตามหน้าที่ ต้องระวางโทษจําคุกไม่เกินหนึ่งปี หรือปรับไม่เกินสองพันบาท หรือทั้งจําทั้งปรับ มาตรานี่คุ้มครองตั้งแต่ กํานัน ผู้ใหญ่บ้าน พลตํารวจ ไปจนถึงนายกรัฐมนตรี ส.ส. ส.ว. มาตรา 198 ผู้ใดหมิ่นศาลหรือผู้พิพากษาในการพิจารณาหรือ พิพากษาคดี หรือกระทําการขัดขวางการพิจารณาหรือพิพากษาของศาล ต้องระวางโทษจําคุกตั้ง แต่หนึ่งปีถึงเจ็ดปี หรือปรับตั้งแต่สองพันบาทถึง หนึ่งหมื่นสี่พันบาท หรือทั้งจําทั้งปรับ สําหรับพระมหากษัตริย์ของไทย ที่มีบทบัญญัติคุ้มครองเป็น พิเศษ ก็เพราะพระมหากษัตริย์เป็นสถาบันหนึ่งในรัฐธรรมนูญ และเป็น ส่วนหนึ่งของการปกครองในระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ ทรงเป็นประมุข รัฐธรรมนูญบัญญัติไว้ในมาตรา 8 ว่า “องค์พระมหากษัต ริย์ ทรงดํา รงอยู่ในฐานะอันเป็น ที่เคารพสัก การะ ผู้ใดจะละเมิ ด มิได้” ซึ่งมาตรานี้มีขึ้นตั้งแต่ในยุคเปลี่ยนแปลงการปกครองปี 2475 บทบัญญัติในเรื่องนี้มีถ้อยคําที่แตกต่างกันเพียงคําเดียวเท่านั้น เมื่อกล่าวถึงการบังคับใช้กฎหมาย นักวิชาการมักจะชอบกล่าว ตรงกันว่า กฎหมายนี้ถูกใช้เป็นเครื่องมือทางการเมือง โดยอ้างว่าหลัง เหตุการณ์รัฐประหารเป็นต้นมา สถิติผู้ถูกจับกุมและต้องโทษด้วยมาตรา 112 แห่งประมวลกฎหมายอาญา หรือ กฎหมายหมิ่นพระบรมเดชานุภาพ เพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็ว เฉพาะปี 2553 มีคดีเข้าสู่ชั้นศาลมากถึง 478 คดี ทั้ ง นี้ มาตราดั ง กล่ า วเปิ ด ช่ อ งให้ บุ ค คลนํ า ไปใช้ โ ดยไม่ สุ จ ริ ต และไม่ สอดคล้องกับเจตนารมณ์ของกฎหมาย อีกทั้งโครงสร้างของบทบัญญัติ อัตราโทษ และการบังคับใช้มีความไม่เหมาะสมกับหลักประชาธิปไตย

นายสมคิด เลิศไพทูรย์ อธิการบดีมหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ เห็นว่ามาตรา 112 ปัญหาไม่ได้อยู่ที่ตัวบทกฎหมาย แต่อยู่ที่การใช้ การ ตีความ ของกระบวนการในกระบวนการยุติธรรม ตั้งแต่ ตํารวจ อัยการ จนถึง ศาล ที่ ผ่า นมาพบว่า ใครร้ องมาเรื่อ งสถาบั นต้ องถือ ว่ าผิ ดไว้ก่ อ น เพราะคิดว่าถ้าไม่รับเรื่องจะมีความผิดข้อหาละเว้นการปฏิบัติหน้าที่ มัน จึงเกิดกรณีที่มีการกลั่นแกล้งกันขึ้น โดยใช้มาตรา 112 นายกิ ต ติ ศั ก ดิ์ ปรกติ อาจารย์ป ระจํ า คณะนิ ติ ศ าสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ กล่าวว่า ประเด็นไม่ได้อยู่ที่กฎหมาย แต่อยู่ที่ผู้ใช้ มากกว่า คือต้องมีผู้ใช้กฎหมายที่กล้าใช้กฎหมายอย่างตรงไปตรงมา แต่ ปัญหาคือแม้จะถูกแก้แล้วก็ตาม แต่ถ้าคนใช้ปฏิบัติไปเล่นงานทางการ เมืองเหมือนเดิม ก็ไม่สามารถยุติการใส่ร้ายทางการเมืองได้ด้วยกฎหมาย นายบรรเจิ ด สิ ง คเนติ คณบดี ค ณะนิ ติ ศ าสตร์ สถาบั น บัณฑิตพัฒนบริหารศาสตร์ (นิด้า) กล่าวว่า มาตรา 112 ไม่ใช่ตัวปัญหา เพราะตัวบทกฎหมายที่ระบุในมาตรานี้นั้นถือว่าสอดคล้องกับข้อเท็จจริง เนื่องจากสถาบันกษัตริย์นั้นมีสถานะเป็นสถาบันหลักของรัฐ จึงควรได้รับ การปกป้องดูแลโดยรัฐ ซึ่งโดยหลักการถูกต้องแล้ว แต่อาจมีปัญหาในทาง ปฏิบัติที่เกี่ยวโยงกับกระบวนการยุติธรรม ส่วนจะแก้ไขอย่างไร ก็เป็น ปัญหาของกระบวนการยุติธรรมที่ต้องไปดําเนินการ อย่างไรก็ ตาม ความน่าเป็นห่ วงประการหนึ่งเกี่ย วกับกระแส รณรงค์แก้ไขมาตรา 112 ก็คือ ความพยายามในการชี้ให้เห็นว่าคดีหมิ่น พระบรมเดชานุ ภ าพเป็ น เรื่ อ งร้ า ยแรง และคุ ก คามสิ ท ธิ เ สรี ภ าพของ สังคมไทย โดยเฉพาะคดีอากง กลายเป็นประเด็นเคลือ่ นไหว สําหรับฝ่ายที่ ต้องการให้ยกเลิกกฎหมายหมิ่นพระบรมเดชานุภาพ โดยอ้างว่าเป็นการ ลิดรอนสิทธิเสรีภาพในการแสดงความคิดเห็น ทําให้ผู้บริสุทธิ์ถูกลงโทษ อย่างรุนแรง แล้วลากโยงมายังนักเคลื่อนไหวทางการเมืองบางคนที่ถูก จําคุก และหลบหนีคดี เฉกเช่น นางดารนี ชาญเชิงศิลปะกุล หรือดา ตอปิโด แกนนํากลุ่มสภาสนามหลวง, นายสุรชัย แซ่ด่าน แกนนํากลุ่มแดง สยาม รวมทั้ ง นายสมยศ พฤกษาเกษมสุ ข แกนนํ า กลุ่ ม 24 มิ ถุ น า ประชาธิปไตย และ นางสาวก้านธูป (นามสมมติ) ทั้งๆ ที่ผู้ต้องหาบางคน เมื่อได้มีโอกาสฟังหลักฐานจากคลิป เสี ย งหรื อ ลายลั ก ษณ์ อั ก ษรที่ ถู ก เผยแพร่ เ วลานั้ น แล้ ว ต้ อ งยอมรั บ ว่ า มี เนื้อหาก้าวร้าว กลายเป็นการแสดงความกระด้างกระเดื่องต่อเบื้องพระ ยุคลบาท กลายเป็นว่าเสรีภาพในการแสดงความคิดเห็นถูกบิดเบือน และ กล่าวหาเบื้องสูงด้วยความคึกคะนอง ซึ่งเลยเถิดที่จะเรียกได้ว่าเป็นเจตนา ในการแสดงความคิดเห็นตามหลักวิชาการโดยสุจริตและบริสุทธิ์ใจ ประเด็นการเคลื่อนไหวรณรงค์เพื่อแก้ไขมาตรา 112 ยังคง เป็นไปอย่างต่อเนื่อง คุณผู้อ่านจึงควรฟังเสียงสะท้อนให้รอบด้าน ส่วน เจตนาที่แท้จริงของแต่ละฝ่ายว่า การยกเลิกหรือแก้ไขเป็นไปเพื่อรักษา สถาบันกษัตริย์ไว้จริงหรือไม่ กาลเวลาจะเป็นเครื่องพิสูจน์

DemoCrazy .22.




Turn static files into dynamic content formats.

Create a flipbook
Issuu converts static files into: digital portfolios, online yearbooks, online catalogs, digital photo albums and more. Sign up and create your flipbook.