MOOM Magazine Vol. 2 No.10

Page 1

นิตยสารธรรมะ : มุม : Vol.2 No.10 : ISSN 1906-2613 เดือนตุลาคม 2554 : Society Issue : วิโรม อินทสโร Vs. พระมหาจรรยา สุทฺธิญาโณ โทษประหารชีวิตยังจำ�เป็น อยู่อีกหรือ : ธนกฤต ชูเชิด เขาเรีย กผมว่าเบลเก็บ ศพ : Made in Chiang Mai : แจกฟรี !!


จัดงานเลี้ยงมโหฬารทานแค่อิ่ม อร่อยลิ้มชิมพอดีมีคุณค่า บริโภคมากพิกัดเกินอัตรา ก็ไร้ค่าอึดอัดขัดสำ�ราญ วิมล เจือสันติกุลชัย


มูลนิธิหยดธรรม เจ้าของ www.facebook.com/mymoommag พระถนอมสิงห์ สุโกสโล ประธานมูลนิธิ พระมหาไกรวรรณ ชินทตฺติโย รองประธานมูลนิธิ ประวิทย์ เยี่ยมแสนสุข ที่ปรึกษามูลนิธิ พระมหาสุวิทย์ ปวิชฺชญฺญู กรรมการ พระมหาประสิทธิ์ ญาณปฺปทีโป กรรมการ คุณวิชัย ชาติแดง กรรมการ คุณอลิชา ตรีโรจนานนท์ กรรมการ คุณศิริพร ดุรงค์พิสิษฐุ์กุล กรรมการ คุณวีรยา ทองน้อย กรรมการ คุณดนิตา ศักดาวิษรักษ์ กรรมการ พระถนอมสิงห์ สุโกสโล บรรณาธิการ อลิชา ตรีโรจนานนท์ บรรณาธิการที่ปรึกษา พระถนอมสิงห์ สุโกสโล บรรณาธิการผูพ ้ ิมพ์โฆษณา วรวรรณ กิติศักดิ์ กองบรรณาธิการ ตู้ป.ณ. 54 ปณ.แม่ริม เชียงใหม่ 50180 ที่อยู่มูลนิธิ โทร : 053-044-220 www.dhammadrops.org Rabbithood Studio บรรณาธิการศิลปะ พัชราภา อินทร์ช่าง ฝ่ายศิลป์ ศิริโชค เลิศยะโส / ภานุวัฒน์ จิตติวุฒิการ ช่างภาพ พรชัย บริบูรณ์ตระกูล / ชยพัทธ แก้วกมล ตะวัน พงศ์แพทย์ / วัชรพงษ์ บุญเรือง พระมหาวิเชียร วชิรเมธี พิสูจน์อักษร บริษัท เคล็ดไทย จำ�กัด 117-119 ร่วมบุญจัดส่ง ถ.เฟื่องนคร แขวงวัดราชบพิธ เขตพนะนคร กรุงเทพฯ 10200 www.kledthaishopping.com บริษัท ดอคคิวเมนนท์ พาเซล เอ็กซ์เพรส จำ�กัด (DPEX) ร่วมบุญจัดส่ง 60 ซอยอารีย์ 5 เหนือ ต่างประเทศ ถ.พหลโยธิน แขวงสามเสนใน เขตพญาไท กรุงเทพฯ 10400 (www.dpex.com) พระพรหมคุณากรณ์ ป.อ.ปยุตโต/ Special thanks พระปิยะลักษณ์ ปญฺญาวโร/ พระมาโนช ธมฺมครุโก/ สุลักษณ์ ศิวรักษ์/ สุรสีห์ โกศลนาวิน/ ถนอมวรรณ โกศลนาวิน/ อุดม แต้พานิช/ ชาลี ประจงกิจกุล รบฮ. ออกแบบปก ห้างหุ้นส่วนจำ�กัด กู๊ด-พริ้นท์ พริ้นติ้ง พิมพ์ที่ 4/6 ซอย 5 ถ. ช้างเผือก ต.ศรีภูมิ อ.เมือง เชียงใหม่ 50200 โทร : 053-412556 แฟกซ์ : 053-217264

Society Issue สมัยที่เป็นเด็กจำ�ได้ว่าเคยได้ดูพวกยอดมนุษย์ต่างๆ แล้วเกิดความประทับใจมาก ตั้งแต่ยอดมนุษย์ไฟฟ้า ไอ้มดแดง มดเอ็กซ์ อุลตร้าแมน ซุปเปอร์แมน ยันดราก้อนบอลไปนู่น ทำ�ให้ มีจินตนาการของพวกซุปเปอร์ฮีโร่อยู่ในระดับหนึ่ง ซึ่งหากจะมอง ในแง่ร้ายแล้วก็อาจคิดได้ว่า ฮีโร่พวกนี้ให้ข้อคิดว่าหากเราต้องการ ความสงบและความถูกต้องแล้ว ความรุนแรงก็เป็นอุปกรณ์หนึ่ง ที่สามารถใช้ได้ เดือนนี้มีโอกาสได้ดูหนังฝรั่งเรื่องหนึ่ง เนื้อหาของหนัง เรื่องนี้มีคนบอกว่าเป็นหนังแข่งรถ แต่พอมาเปิดดูจริงๆ แล้วหนัง ไม่ค่อยมีการแข่งรถเท่าไหร่ เนื้ อ หาหลักอยู่ที่ก ารโจรกรรมเสีย มากกว่า หนังก็ดำ�เนินไปตั้งแต่ก ารรวบรวมสมัค รพรรคพวก วางแผนปล้น ขโมยรถตำ�รวจ ตามระเบียบหนังบู๊ทั่วไป แต่สิ่งที่ คาใจเกี่ยวกับความรู้สึกของตั ว เองในระหว่างดูหนังเรื่องนี้ก็คือ 1. ทำ�ไมเราต้องไปลุ้นโจรขโมยของให้สำ�เร็จด้วย เพราะไม่ว่าเขา จะขโมยด้วยเหตุผลใดก็ตาม จะปล้นของจากคนดีหรือเลว มันก็ เลวอยูด่ ไี ม่ใช่หรือ 2. ทำ�ไมดูแล้วเราถึงยอมรับความเลวทีด่ เู หมือน จะน้อยกว่าได้ ทั้งๆ ที่มันก็เป็นการทำ�ไปเพื่อตัวเองเหมือนกัน หรือต่อให้ทำ�เพื่อคนอื่นด้วยก็ไม่น่ายอมรับได้อยู่ดี 3. ตอนจบ นายทหารชื่อดังคนนั้นอาศัยความชอบธรรมอะไรยิงผู้ร้ายที่ บาดเจ็บไม่มีอาวุธไม่มีทางสู้จนตาย เป็นต้น เมื่อมีเวลาเลยเอาเรื่องนี้ไปคุยกับเพื่อนท่านหนึ่ง ก็ได้ ความว่า “หากจะดูหนังก็อย่าไปคิดมากดูเอาแค่สนุกก็พอ หรือ ไม่อย่างนั้นก็พยายามหาข้อคิดดีๆ จากในหนังให้ได้” เลยทำ�ให้ ต้องกลับมาคิดกันใหม่ว่า ไอ้ที่อยู่ในหนังเรื่องนี้มันมีอะไรที่เป็น ข้อคิดดีๆ มากขนาดนัน้ เลยหรือ ตำ�รวจยิงคนตายไม่ตอ้ งรับผิดชอบ คนปล้นกันยิงกันกลางเมืองถ้ามีเหตุผลทีด่ พี อก็ควรทำ� อย่างนัน้ หรือ ทำ�ให้ย้อนกลับไปถึงครั้งหนึ่งที่เคยเข้าไปอบรมในศูนย์ฝึกและ อบรมเยาวชน ในช่วงนั้นได้มีโอกาสผู้คุยกับเยาวชนอายุ 14-15 คนหนึ่ง ที่ต้องเข้าไปอยู่ในนั้นเพราะขโมยรถตำ�รวจ สิง่ ที่จำ�ได้แม่น ก็คอื ได้ถามเขาว่าทำ�ไมต้องเป็นรถตำ�รวจ เพราะรถตำ�รวจมันน่าจะ หาไม่ยากสะดุดตาคนรอบข้างได้ด้วย เขาตอบกลับมาพร้อมกับ รอยยิ้มว่า “ก็ไม่ได้คดิ อะไรมากครับ เห็นว่าคะแนนมันเยอะดีครับ” แล้วแบบนี้ใครจะรับผิดชอบกันดีล่ะ พระถนอมสิงห์ สุโกสโล บรรณาธิการ


7

4 7 8 8

16

16 22 32 34 36 38 40

Buddhist’s Mystery : ออกพรรษา สำ�คัญอย่างไร คน-ทำ�-มะ-ดา : “ดาบหล้า” ยศศักดิ์ที่ได้ มาจากความดี มุมส่วนตัว : ธนกฤต ชูเชิด เขาเรียกผมว่า เบลเก็บศพ มุมพิเศษ : ความยุตธิ รรมอยูท่ ไ่ี หน VS. : วิโรม อินทสโร Vs. พระมหาจรรยา สุทฺธิญาโณ โทษประหารชีวิตยังจำ�เป็น อยู่อีกหรือ ธรรมไมล์ : ไม่รอ Hidden tips : คนรักจากไป ทำ�อย่างไร จะหายทุกข์ ผ้าเหลืองเปื้อนยิ้ม : สืบจากทางธรรม ทางโลก Time for ทำ� ธรรมะ(อีก)บท : ไร้รูปสิ้นนาม 22

M Mental O Optimum O Orientation M Magazine

สารบัญ


เรื่อง : กองบรรณาธิการ

ศาสนาต่างๆ รวมตัวกันเรียกร้อ งไม่ให้ญี่ปุ่นแก้ไข กฎหมายมาตรา 9 ประเทศญี่ปุ่นจัด การประชุมเรียกร้องสันติภาพให้แก่โลก โดยรณรงค์ให้ศาสนาต่างๆ ออกมาแสดงจุดยืนต่อต้านการ แก้กฎหมายรัฐ ธรรมนูญมาตรา 9 ซึ่งมีแนวโน้มว่ารัฐบาล ชุดใหม่จะทำ� และเรียกร้องให้สหรั ฐ อเมริ ก าถอนทหาร ออกจากญี่ปุ่นด้วย การประชุมครั้งนี้ได้รับความสนใจจาก ผู้ทำ�งานสันติภ าพจากทั่วโลก ในวันสุดท้ายพระทาเคดะ ทาคาโอะ พระภิกษุนิกายนิชิเรน เดินตีกลองนำ�โดยมีผู้ใฝ่ สันติกว่า 10 ประเทศทุกศาสนามาร่วมกันเดินผ่านตัวเมือง โอกินาว่า www.anglicanjournal.com

พระธิเบตรวมตัวกันประท้วง ในเสฉวน พระภิกษุที่จำ�อยู่ที่วัด เคอติ (Kirti) ซึ่งถือเป็นวัดทิเบตที่ใหญ่มากวัดหนึ่ง รวมตัว กัน ออกมาเรียกร้อ งความเป็น ธรรมจากรัฐบาลจีนให้ ปลดปล่อยธิเบต หลังจากข่า วการเผาตัว ตายของแม่ชี สายธิเบตเมื่อวันที่ 17 ตุลาคม ที่ผ่านมา ซึ่งเหตุการณ์ การประท้วงครั้งแรกที่มีผู้หญิงเผาตัวตาย จนถึงบัดนี้มี พระภิกษุและแม่ชีสายธิเบตเสียชีวิตด้วยเผาตัวตายประท้วง รวมแล้ว 9 รูป www.buddhistchannel.tv

มุมใหม่

5

ไทยจัดงานพุทธศิลป์นานาชาติครั้งแรกของโลก มูลนิธิสเฐียรโกเศศ-นาคะประทีป ร่วมกับ รัฐบาลอินเดีย จัดงานพุทธศิลป์นานาชาติขึ้นที่วดั ไทยพุทธคยา ประเทศ อินเดีย โดยมีศิลปินจากหลากหลายประเทศให้ความสนใจ เข้าร่วม ภาพทั้งหมดจะถูกสร้างสรรค์ขึ้นใหม่ในบริเวณ ที่จัด งาน และหลังจากจัดงานแล้ว ผลงานทั้งหมดจะถูก นำ�ไปแสดงต่อที่ Tibet house gallery ใน นิวยอร์ค เพื่อหาทุนส่งเสริมศิลปินสายพุทธศิลป์ต่อไป www.inebnetwork.org

ศิลปินล้านนาสร้างบุษบก ครอบพระแท่นวัชรอาสน์ใหม่ ฉลองพุทธชยันตี พระแท่นวัชรอาสน์ใต้ตน้ ศรีมหาโพธิ์ ประเทศอินเดีย เป็นสถานที่ ที่ชาวพุทธทั่วโลกเชื่อว่าพระพุทธเจ้าได้ประทับระหว่าง ตรัสรู้ธรรม โดยจุดที่พระแท่นวัชรอาสน์ตั้งอยู่นั้น ถือเป็น เขตหวงห้ามแก่ประชาชนทั่วไป แต่เนื่องจากวาระครบรอบ การตรัสรู้ 2600 ปีแห่งการตรัสรู้ ทางการอินเดียได้อนุมัติ ให้วัดเมตตาพุทธาราม ประเทศอินเดีย สร้างบุษบกครอบ ถวายเป็นพุทธบูช า โดยการออกแบบและดำ�เนินสร้าง ทั้งหมดทำ�โดยศิลปินล้านนา นำ�โดย อ.ลิปิกร มาแก้ว


6

Buddhist’s Mystery

เรื่อง : กองบรรณาธิการ I ภาพประกอบ : รบฮ.

ออกพรรษาสำ�คัญอย่างไร

หากถามใครต่อใครว่า วันออกพรรษานึกถึงอะไร หลายคน อาจจะนึกถึง บัง้ ไฟพญานาค พระสะพายย่ามเดินธุดงค์ ทัวร์ทอดกฐิน ตักบาตรเทโว หรืองานบุญบันเทิงต่างๆ ตามตำ�นานพุทธได้กล่าวถึงวันออกพรรษา ว่ามีช่วง เหตุการณ์ในพรรษาที่ 7 พระพุทธเจ้าได้เสด็จไปแสดงอภิธรรม (ธรรมชั้นสูง) แก่พระพุทธมารดาพร้อมทั้งหมู่เทพ ณ สวรรค์ชั้น ดาวดึงส์ เป็นเวลา 3 เดือนจึงกลับลงสู่โลกมนุษย์ ที่ประตูเมือง สังกัสสะ โดยมีเทวดามหาพรหมทั้งหลายแหล่ตามด้วยกลุ่มชน จำ�นวนมากมายได้ไปคอยรับเสด็จอีกด้วย อีกทั้งยังจัดงานบูชา ต้อนรับพระพุทธเจ้าเป็นการเอิกเกริกมโหฬาร จากนั้นพระพุทธเจ้า ก็ได้แสดงธรรม จนมีผู้บรรลุธรรมไปเป็นจำ�นวนมากตามระเบียบ ทำ�ให้เหตุการณ์พิเศษครั้งนี้เป็นเหตุการณ์สำ�คัญที่ควรเอาไว้สำ�หรับ การทำ�ความดี รวมทั้งทำ�บุญตักบาตรครั้งใหญ่เป็นประเพณีนิยม สืบมา หรือในประเทศไทยเรียกกันว่า ตักบาตรเทโวโรหณะ ซึ่งจะ ตรงกับวันออกพรรษาคือ ขึ้น 15 ค่ำ� เดือน 11 ของทุกปี แต่บางวัด จัดงานถัดไปอีกหนึ่งวัน ในวันออกพรรษานี้เองยังมีความสำ�คัญอยู่อีกอย่างหนึ่ง คือ พระสงฆ์จะต้องร่วมพิธีกรรมสำ�คัญด้วยเรียกว่า พิธีปวารณา ทำ�ให้บางทีเราจะได้ ยินชาววัดชาวบ้านเรียกวันนี้กันว่า

“วันมหาปวารณา” ซึ่งพิธีกรรมที่ว่านี้พระไม่ว่าหนุ่มแก่บวชนาน หรือน้อยแค่ไหนก็ต้องมารวมกันในสำ�นักเดียวกัน เพื่อการเปิด โอกาสยอมให้ว่ากล่าวตักเตือน โดยพระที่อยู่ร่วมกันในพรรษา (จริงๆ ก็ทำ�ได้ตลอดเวลานั่นแหละ แต่วันนี้มาทำ�เป็นหมู่คณะ เท่านั้นเอง) เพราะพระที่อยู่ร่วมจำ�พรรษาอาจจะมาจากหลายที่ อยู่ร่วมกันในช่วงเวลา 3 เดือน ก็ย่อมจะมีความรู้สึกด้านบวก ด้านลบต่อกันบ้าง ซึ่งพระผู้จะทำ�การปวารณาจะกล่าวคำ�ที่ นอบน้อมต่อสังฆะเป็นภาษาบาลี มีใจความว่า “ทุกๆ ท่านครับ ผมขอปวารณาต่อสังฆะ หากท่านได้เห็นก็ดี ได้ฟังก็ดี หรือสงสัย ก็ดี ในข้อประพฤติของผม ขอให้ทุกท่านจงอาศัยความกรุณาว่า กล่าวตักเตือนผมด้วย เมื่อผมรู้ตัวแล้ว จะได้แก้ไขปรับปรุงตัวใหม่” สาระสำ�คัญของพิธีปวารณานี้ คือการบอกกล่าวความ รู้สึกกันด้วยความ “กรุณา” รวมทั้งการเปิดใจฟังอย่างลึกซึ้งในคำ� ชี้แนะ เพื่อพร้อมที่จะ “เริ่มต้นใหม่” ด้วยความเข้าใจและรู้จักให้ อภัยกันในหมู่คณะ หากใครเห็นความศักดิ์สิทธิ์ของพิธีกรรมนี้ เมื่อบรรยากาศเหมาะ จะนำ�แนวทางสมานใจนี้ไปใช้ในโอกาสต่างๆ เช่น จับเข่าคุยกันกับครอบครัว เพื่อนที่ทำ�งาน หรือคนรักของตัวเอง บ้างก็ได้ ซึ่งจะทำ�อย่างไรในวันไหนก็ดีทั้งนั้น เพราะพระท่าน ก็ไม่สงวนลิขสิทธิ์เลย


www.WANGDEX.co.th


8

Book Corner

เรื่อง : กองบรรณาธิการ

ปัญญานันทภิกขุ พระธรรมทูตแม่ทัพโลก ฉบับ 100 ปี ชาตกาล 2554 ผู้แต่ง: สัมพันธ์ ก้องสมุทร สำ�นักพิมพ์: ธรรมสถาพร หนังสือเกี่ยวกับอัตชีวประวัติและผลงานเนื่องในโอกาสครบรอบ 100 ปี ชาตกาล พระพรหมมังคลาจารย์ (ปัญญานันทภิกขุ) เจ้าอาวาสวัด ชลประทานรังสฤษฏ์ ซึ่งมรณภาพในปี 2550 ด้วยวัย 96 ปี ได้รับสมัญ ญานามจากท่านพุทธทาสภิกขุว่าเป็น “ภิกขุแม่ทัพโลก” ผู้เผยแผ่ หลักธรรมแห่งพระพุทธศาสนา กล่าวสอนพุทธบริษทั เพือ่ เปลีย่ นแปลงชีวติ ในทางทีด่ มี คี วามสุข เป็นพระภิกษุช าวไทยรูปแรกที่เดิน ทางไปเผยแผ่พระพุทธศาสนาในยุโ รปและอเมริกา เป็นพระภิกษุที่ชาวไทยและต่างประเทศรู้จักกันในฐานะนักปาฐกถาธรรมที่ยึดต้นแบบการ ยืนเทศนาจากสมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า และเผยแผ่ธรรมะโดยไม่ระย่อท้อถอยต่ออุปสรรค เรียบเรียงขึ้นโดย สัมพันธ์ ก้องสมุทร หนึ่งในศิษยานุศิษย์ของท่าน สำ�นักพิมพ์ ธรรมสถาพรจึงได้ร่วมกับวัดปัญญานันทารามจัดพิมพ์หนังสือเล่มนี้ขึ้น The Soul of Leadership: Unlocking Your Potential for Greatness ผู้แต่ง: DEEPAK CHOPRA สำ�นักพิมพ์: RIDER & CO งานเขียนของ ดร.ดีพัค โชปรา ชาวอเมริกันเชื้อสายอินเดีย ผู้เชี่ย วชาญศาสตร์ทางด้าน จิตวิญ ญาณยุคใหม่ หนังสือเล่มนี้จะช่วยปลดพัน ธนาการความเป็นผู้นำ�แบบเดิมๆ ออก ด้วยการมองข้ามผ่านอัตตาของตัว เราเองไปให้ได้ เพราะผู้นำ�ที่แท้จริงนั้นจะต้องเรียนรู้ ที่จะปฏิบตั จิ ริงเสียก่อน จึงจะนำ�ไปสอนคนอื่นๆ ได้ โดยดีพัคได้แยกส่วนให้เรารู้จักข้อมูลเชิงลึก ของคำ�ว่า Leader ได้อย่างชัดเจนมากขึ้น L = Look and Listen (สังเกตและฟัง), E = Emotional Bonding (ความผูกพันทางอารมณ์), A = Awareness (การตระหนักรู้), D = Doing (การลงมือปฏิบัติ), E = Empowerment (การมอบอำ�นาจตัดสินใจ), R = Responsibility (ความรับผิดชอบ) และ S = Synchronicity (ความสัมพันธ์ที่เชื่อมโยงถึงกัน) ทำ�ให้ ผู้อ่า นสามารถนำ�ไปปฏิบัติและก้าวไปสู่จิตวิญญาณแห่งความเป็นผู้นำ�ได้อย่างแท้จริง แดดเช้าร้อนเกินกว่าจะนั่งจิบกาแฟ ผู้แต่ง : จเด็จ กำ�จรเดช สำ�นักพิมพ์: PAJONPHAT PUBLISHING ด้วยการเขียนที่มีชั้นเชิง ซ่อนเงื่อนปม แฝงความยั่วยุ มีสีสันในแง่ของการนำ �เสนอโลกทัศน์ ต่อชีวิต สังคม และโลกที่ลุ่มลึก โดดเด่นด้วยวิธีการเล่าเรื่อ งในแบบเฉพาะตน รวมถึงการ เรียงร้อยถ้อยคำ�อย่างมีศิลปะ ตีแผ่ค วามชำ�รุดของสังคมปัจจุบัน ทั้งเรื่อ งความขัดแย้งทาง การเมือง ปัญหาคนชายขอบในภาคใต้ รวมถึงโลกของเกมส์ออนไลน์ เปรียบเทียบความจริง กับความจริงเสมือน ความรู้ ความเชื่อ ความเป็นเรากับความเป็นเขาผ่าน 12 เรื่องสั้น ทำ�ให้ ผลงานของ จเด็จ กำ�จรเดช ที่มีชื่อว่า “แดดเช้าร้อนเกินกว่าจะนั่งจิบกาแฟ” เล่มนี้ได้รับ รางวัลวรรณกรรมสร้างสรรค์ยอดเยี่ยมแห่งอาเซี่ยน หรือรางวัลซีไรต์ ประจำ�ปี 2554


เรียบเรียง I ภาพ : วรวรรณ กิติศักดิ์

คน-ทำ�-มะ-ดา

9

“ดาบหล้า” ยศศักดิ์ที่ได้มาจากความดี

ขณะมีงานในชุมชนขี้เหล็ก อ.แม่ริม จ.เชียงใหม่ ไม่ว่า จะเป็นงานวัด งานบวช งานกฐิน ผ้าป่า งานแต่งงาน หรือแม้กระทั่ง งานศพ เราจะพบบุรุษในเครื่องแบบ พร้อมหมวก และกระบองไฟ กระพริบ คอยโบกรถอำ�นวยความสะดวกภายในงานอยู่เสมอ “ดาบหล้า” หรือนายประวิทย์ สิงห์เหลือง ชายผู้พิการทางสมอง วัย 50 ปี เรียกตัวเองว่าพี่ดาบและพูดคุยกับเราอย่างมีอรรถรสด้วย ใบหน้าเปื้อนยิ้ม ดาบหล้าพูดด้วยความภูมิใจว่าเพิ่งเลื่อนยศจากจ่า มาเป็นดาบเมื่อไม่นานมานี้ โดยตำ�รวจที่ป้อมเป็นคนเลื่อนยศให้ และเล่าให้ฟังว่าตนเองเรียนจบเพียงชั้น ป.1 เท่านั้น อ่านไม่ออก เขียนไม่ได้ เขียนได้แค่ชื่อนามสกุลของตัวเอง แต่ก็ยังมีคนแต่งตั้ง ให้เป็นนายดาบ ซึ่งเป็นเกียรติแก่วงศ์ตระกูลของเขาอย่างมาก อาชีพปกติของดาบหล้าคือปั่นจักรยานพ่วงส่งน้ำ�ดื่ม ในหมู่บ้าน ได้ค่าตอบแทนลังละ 5 บาท ส่วนการมาโบกรถนั้น ทำ�มาราว 30 ปีแล้วเครื่องแบบที่ใส่อยู่ผู้ใหญ่บ้านก็เป็นคนซื้อให้ และเวลาที่อยู่ในเครื่องแบบเขาจะรู้สึกมีเกียรติ เวลามีงานวัด

เขาเต้นกัน แต่ตนอยู่ในเครื่องแบบ อยากเต้นแต่เต้นไม่ได้เพราะ จะเสื่อมเสีย และเขาหวงชุดเหล่านี้มากถึงกับต้องไปจ้างร้านซักแห้ง ในราคาชุดละ 100 บาท โดยให้เหตุผลว่ากลัวป้ายหลุดหรือชุด เสียหาย เพราะเป็นชุดที่ผู้ใหญ่บ้านอุตส่าห์มอบให้และไว้วางใจ ให้ปฏิบัติหน้าที่อันเสียสละดังกล่าว ในขณะที่ชาวบ้านก็เป็นห่วง กลัวว่าเขาจะโดนรถเฉี่ยวชนเข้าสักวัน แต่เขาก็ไม่ได้เป็นกังวลอะไร เพราะแม้จะรู้ตัวว่าเป็นคนพิการทางสมอง แต่ก็ไม่เคยประมาท ปกติแล้วดาบหล้าจะมาปฏิบัติงานเฉพาะช่วงที่หมู่บ้านมี งานเท่านั้น โดยไม่ได้หวังผลตอบแทนใดๆ จากเจ้าภาพงาน ส่วนรายได้ที่ได้รับจากการส่งน้ำ� หากถามว่าพอกินพอใช้ไหม ดาบหล้าบอกว่า 40 บาท กินได้ 3 มื้อสำ�หรับเขา กินง่ายอยู่ง่าย และอยู่อย่างพอเพียง คำ�ถามสุดท้ายที่เราถามดาบหล้าคือคิดจะ ปลดเกษียณเมื่อไหร่ ดาบหล้าตอบกลับมาพร้อมกับรอยยิ้มว่า วันที่ สังขารเราสู้ไม่ไหว วันนั้นนั่นแหละคือวันปลดเกษียณของตนเอง ซึ่งถ้าเป็นอย่างนั้นก็คงจะเห็นนายดาบคนนี้คอย โบกรถอยู่ในชุมชนขี้เหล็กนี้ไปอีกนาน


10

มุมส่วนตัว

เรียบเรียง : กองบรรณาธิการ I ภาพ : ชยพัทธ แก้วกมล

ธนกฤต ชูเชิด เขาเรียกผมว่าเบลเก็บศพ

สมมติว่าคุณเป็นนักศึกษากำ�ลังจะไปเข้าเรียน เมื่อเดินทางไปถึงคณะแล้วพบว่ามีรถกู้ภัยจอดอยู่หน้าคณะ คุณจะคิดอย่างไร ... จะคิดว่าอะไรเกิดขึ้นกับคณะของคุณ ก. มีอุบัติเหตุ ข. มีคนฆ่าตัวตาย ค. มีการฆาตกรรมเกิดขึ้น ง. มีนักศึกษาที่เป็นอาสากู้ภัยมาลงเรียนคาบนี้


11

มีใครตอบข้อ ง. บ้างไหมครับ เชื่อหรือไม่ว่าเหตุการณ์นี้เคยเกิดขึ้นกับคณะสื่อสารมวลชน มหาวิทยาลัยเชียงใหม่มาแล้ว เนื่องจาก ชายหนุ่มอารมณ์ดี อายุอานาม 20 ปี คนนี้ ธนกฤต ชูเชิด หรือที่เพื่อนๆ เรียกเขาว่า “เบลเก็บศพ” มีดีกรีเป็นถึงประธานสโมสรนักศึกษาของคณะ สื่อสารมวลชน ผู้มีชีวิตในยามค่ำ�คืนต่างจากนักศึกษาคนอื่นๆ คือ ไม่ได้ไปนั่งดริ้งตามผับไหนๆ หากแต่ว่าไปเตรียมช่วยเหลือเพื่อนมนุษย์ ในฐานะอาสาสมัครกู้ภัย เขาคิดอย่างไรลองมาศึกษาเขาดูครับ มุม : อะไรทำ�ให้รู้สึกอยากมาเป็นอาสาสมัครกู้ภัย ตอนสมัยมัธยมศึกษาปีที่ 2 ผมเดินทางไปที่กรุงเทพ ขากลับคุณพ่อผมขับรถมาส่งผมที่จังหวัดสุโขทัย ออกเดินทางจากกรุงเทพประมาณสองทุ่ม พอมาถึงจังหวัดพิจิตรประมาณตีสองครึ่ง ได้เกิดอุบัติเหตุกับรถของคุณพ่อผม แล้วก็ผมด้วย ทำ�ให้รถเสียหลักพลิกคว่ำ�สามตลบ ผมนอนอยู่เบาะ หลังของรถเก๋ง กระจกด้านหลังแตกทำ�ให้ผมตกลงมาข้างทาง คุณพ่อผมก็ติดอยู่ในรถและรถก็หงายท้องอยู่ ตอนแรกผมคิดว่าฝัน ผมตีแขนตัว เองหยิกตัวเอง แต่จริงๆ แล้วไม่ได้ฝันคือเรื่องจริง แล้วผมก็หันไปเห็นรถอยู่ข้างล่างแล้วควันขึ้นเป็นไอ เห็นพ่อผมติดอยู่ในรถเลือดไหลเต็มเลย ผม ก็คว้าโทรศัพท์ในกระเป๋ากางเกงผม โทรหาศูนย์นเรนทร บอกว่า ผมเกิดอุบัติเหตุบริเวณกิโลเมตรที่เท่านี้ๆ ครับ ขอให้ส่งคนมาช่วยด้วย ก่อนหน้า นั้นสิบห้านาที ผมก็ขึ้นไปโบกสิบล้อเอย รถตู้เอย รถเก๋งเอย ไม่มีใครจอดเลยสักคันเลยๆ (ย้ำ�หลายหน) สักพักหนึ่งเจ้าหน้าที่กู้ภัยมาประมาณสี่ถึง ห้าคันมาจอดเรียงกัน มาช่วยคุณพ่อผมขึ้นรถไปส่งโรงพยาบาล ตอนนั้นผมยังรู้สึกตัวดี ผมไม่ขอไปโรงพยาบาลขอเฝ้าของก่อนกลัวของหาย ด้วยความคิดกลัวว่า พวกนี้จะมาขโมยของหรือเปล่า ก็เลยมาอยู่เฝ้ารถยังไม่ไปโรงพยาบาล จากนั้นผมก็รู้สึกปวดหัวมาก ผมขอไปโรงพยาบาล เขาก็ไปส่งผมที่โรงพยาบาล พอผมไปถึงที่โรงพยาบาลเสร็จปุ๊บ คุณพ่อผมไม่อยู่โรงพยาบาลนั้นแล้ว พี่กู้ภัยก็บอกว่าเดี๋ยวพี่ไปส่ง ซึ่งตัว โรงพยาบาลที่ผมอยู่ตอนแรกกับในอำ�เภอเมือง ห่างกันสามสิบกิโล พี่เขาขนของใส่รถกระบะแล้วส่งผมไปหาพ่อ พอถึงโรงพยาบาลเสร็จปุ๊บ พี่เขา บอกว่า พี่เสร็จภารกิจแล้วเดี๋ยวพี่กลับก่อนนะ เวลานั้นก็หกโมงเช้าพอดี เขาก็กลับไป ผมมองว่าถ้าไม่มีบุคคลเหล่านี้ ตีสองกว่าๆ ตีสาม เขายัง ไม่หลับไม่นอน แล้วถ้าเขาไม่ออกมาทำ�งาน ผมคิดว่าคุณพ่อผมคงเสียชีวิต เพราะว่าผมออกไปโบกรถไม่มีใครจอดมาช่วยเลย ทำ�ให้ผมคิดว่า อยากจะเข้ามาทำ�งานด้านนี้เพื่อสังคมบ้าง ผมคิดว่ามันมีคุณค่ามาก ถ้าใครไม่มาประสบพบเจอกับตนเอง คงไม่เห็นคุณค่ามันครับ มุม : ใช้ระยะเวลานานไหมกว่าจะมาเป็นกู้ภัยจากเหตุการณ์นั้น ใช้เวลาประมาณหกเดือน ตอนแรกที่บ้านก็เห็นผมเป็นเด็กยังเรียนอยู่ ผมก็เกลี้ยกล่อมที่บ้านว่าผมอยากทำ� ที่บ้านก็ยังไม่แน่ใจ จนผมเดินเข้าไป สมัครกับตนเองเลยว่าผมอยากทำ� เขาก็บอกว่าเตรียมหลักฐานมา พอเสร็จปุ๊บผมก็ไปบอกที่บ้านว่าไปสมัครแล้วนะ ตอนแรกที่บ้านก็ตกใจ จากนั้นเขาก็ไม่ว่าอะไร เหมือนประมาณลองดูว่าเราจะทำ�ได้ไหม มุม : แล้วคนที่ทำ�งานกู้ภัยเขาไม่ตกใจเหรอที่มีเด็กอายุ 14-15 มาสมัคร ตกใจครับ คือมันยังเด็กอยู่ เจ้าหน้าที่ที่ผมเข้าไปสมัครตอนแรกก็เป็นหัวหน้า เขาบอกว่า เฮ้ย!! ยังเด็กอยู่ แล้วเรียนยังไง พ่อแม่อนุญาตไหม คือ ก่อนที่จะสมัครต้องให้พ่อแม่อนุญาตก่อน ผมอยากเป็นเลยโกหกว่าพ่อแม่อนุญาตแล้วเหมือนมัดมือชกครับ พอได้เป็นปุ๊บก็ไปบอกที่บ้านทีหลัง มุม : มีเด็กอายุรุ่นราวคราวเดียวกับเราบ้างไหม ไม่มีเลยครับ ส่วนใหญ่แก่กว่าหมด แต่หลังๆ ตอนที่ผมเข้ามาทำ�งานได้สองปีผมเริ่มมีผลงาน ผมลงวารสารของโรงเรียน ออกรายการวิทยุ ก็มีคนสนใจตามผมมา ก็ยินดีก็รับมาครับ มุม : ช่วงทำ�งานแรกๆ เป็นยังไง คือธรรมชาติของมนุษย์ เวลาเห็นอุบัติเหตุผมก็จะสั่นไม่ว่าจะเป็นคนประสบเหตุ หรือว่าใจแป้วใจหาย ตอนแรกผมเป็นแบบนี้มาก เขาบอกว่าคน ที่จะมาเป็นกู้ภัย ถ้าจะผ่านหรือไม่ผ่านต้องเก็บศพหนึ่งศพก่อน มีเหตุหนึ่งครับ รถไถคว่ำ�แล้วไปทับศีรษะของเจ้าของรถ เขาบอกว่ามีเหตุนี้ เดี๋ยวให้เด็กใหม่ขึ้นไปเลย ผมก็ไป ตอนแรกตื่นเต้นตกใจ ใจเต้น พอไปถึงที่เกิดเหตุปุ๊บ เขาบอกว่าให้อยู่ห่างๆ ก่อน ยังไม่ต้องเข้าไปนะ จนชินตา ใจแบบปกติแล้ว ก็เลยค่อยๆ เข้าไป ทำ�อย่างนี้ๆ นะ ที่ผมจับศพครั้งแรกก็คือเหตุการณ์นี้ แรกๆ ก็แบบ เฮ้ย! มันก็คือคน แต่ไม่มีวิญญาณ เราไม่ต้องกลัวหรอก คือเหมือนเราหลับไป ไม่ต้องกลัวนะมันก็คือคนนอนหลับ คิดว่าเราก็ทำ�ได้ จากนั้นมาเราก็ทำ�มาตลอดเลย มุม : แล้วจากวันนั้นจนถึงวันนี้ ความรู้สึกเปลี่ยนไปไหม เรียกว่ามีประสบการณ์เพิ่มมากขึ้นก็เลยเหมือนชินๆ ชาๆ ไปแล้ว แต่มันมีเหตุการณ์ที่เรายังไม่เจออีกหลายเหตุการณ์เลย เราก็เจอแบบเบสิก


12

รถชนมา ยังมีเมืองใหญ่ๆ มีเครื่องบิน มีตึกถล่ม มีโดดตึก ซึ่งมันค่อนข้างจะแอดวานซ์กว่าพวกนี้ ทำ�ให้เราแบบยังตื่นเต้นอยู่ในบางเหตุการณ์ คือ อย่างรถชนปกตินไ่ี ม่คอ่ ยตืน่ เต้น แต่เคสซ์ทค่ี นขึน้ ไปเปลีย่ นสายไฟแล้วถูกช็อต ผมตืน่ เต้นมาก แต่เราช่วยเขาไม่ได้ครับ เราขึน้ ไปเราโดนไฟดูดอีก ต้อง ดับไฟก่อน ตัดไฟเสร็จปุบ๊ คนก็ยงั ติดอยู่ แล้วก็เอากูภ้ ยั ขึน้ ไปมัดลงมา เป็นเหตุการณ์ทม่ี นั ค่อนข้างเกิดขึน้ น้อย มันถึงรูส้ กึ ว่าตืน่ เต้น เบสิกของผมคือ อุบตั เิ หตุทางจราจรก็จะเข้าไปช่วยตลอด มันก็เลยไม่คอ่ ยตืน่ เต้น การตายของมนุษย์ผมเจอมาเยอะมาก ไม่วา่ จะอุบตั เิ หตุ ฆาตกรรม หรือว่าโดนยิง สารพัดอย่าง คือมนุษย์เรามันก็มแี ค่นแ้ี หละ ถึงคราวตายก็ตอ้ งตาย เหมือนทำ�ใจจะช่วยเขา แต่ไอ้คนทีย่ งั รอดอยูย่ งั เจ็บอยู่ ทำ�ไงให้เขารอด แม้เขายัง ไม่หายใจ ผมเรียนหลักสูตรกูช้ พี มาเขาบอกว่าภายในสีน่ าที เราต้องทำ�ยังไงให้เขามีลมหายใจ ไม่อย่างนัน้ สมองจะตายครับ ต้องช่วยเขาให้รอด มุม : ศพสภาพแบบไหนที่เรารู้สึกว่ามันแย่ที่สุด ศพเน่าครับ เป็นอะไรที่สุดๆ ครับ เพราะว่าศพเน่าคือศพที่จมน้ำ�แล้วไม่มีคนไปพบไปเห็น ผมเคยเจอศพเก้าวัน ขอโทษนะครับ คือนิ้วไม่มีแล้ว กระดูกเป็นกระดูก ตาโปนลิ้นจุกปากแล้วก็หนอนขึ้นเต็มหมด ไชเต็มตัวหมดเลยทุกส่วนของร่างกาย แล้วกลิ่นเนี่ย ถ้าเราไปใกล้ปุ๊บติดเสื้อเลย กลิ่นนี่มันยิ่งกว่าหมาเน่า ยิ่งกว่าอะไรเลยครับ เป็นศพที่ญาติก็ไม่เอา ให้กู้ภัยดำ�เนินการเองหมดเลย คือน้ำ�เหลือง น้ำ�เลือด น้ำ�อะไรต่างๆ ไหล ออกมา มันจะบวมครับเวลาศพมันอยู่ในน้ำ�มันจะอมน้ำ� มันจะบวมมันจะพอง มันจะเป็นน้ำ�หนอง เหม็นคาวมากเป็นศพที่ผมค่อนข้างสุดๆ แล้ว แค่เข้าไปนี่รู้สึกอยากอาเจียนขึ้นมาตรงคอแล้วครับ ผมใส่ผ้าปิดประมาณห้าชั้น แล้ววิธีของอาสากู้ภัย เขาจะจุดธูปเยอะๆ ใหญ่ๆ เพื่อดับกลิ่น ต้องดูอยู่ห่างๆ แล้วก็ค่อยๆ ไปทีละนิด ถ้าคนไม่เคยเลยแล้วเข้าไป แบบนั้นก็อ้วกอย่างเดียวครับ กลิ่นมันขึ้นตา ขึ้นสมองเลยครับ มุม : พอมาทำ�แบบนี้เพื่อนๆ ไม่คิดอะไรบ้างเหรอ เพื่อนมันมีหลายแบบ บางคนบอกว่ากลัวผีไหมกลัวอะไรไหม บางกลุ่มก็ชื่นชมครับ บางกลุ่มเขาก็มองว่าไอ้นี่มันเล่นของหรือว่าอะไร แบบนี้ เขาคิดอย่างนั้น แต่จริงๆ ไม่ ใจเพียวๆ (ตอบแบบมั่นมาก) ใจมาอันดับหนึ่ง ถ้าใจไปปุ๊บมันก็ทำ�งานสบายครับ ถ้าใจมันไม่ไปบังคับไปมันก็ ไม่อยากไป ผมอยู่บ้านถ้าไปถามคุณยายผม เขาจะหาว่าผมเป็นโรคจิต ถ้าได้ยินอุบัติเหตุหรือว่ามีเหตุอะไร ตีสองตีสามผมก็จะลุกไปให้ได้ ไม่รู้เป็นเพราะอะไร เขาหาว่าผมบ้าโรคจิตไปแล้ว มุม : มีเคสซ์ไหน เหตุการณ์ไหนที่สะเทือนใจที่สุด ขอนึกก่อนนะครับมันเยอะ (คิดนาน) เคสซ์สะเทือนใจที่สุดคือ เคสซ์คุณตาข่มขืนหลานสาวตัวเล็กๆ ข่มขืนแล้วบีบคอ แต่ศพก็ปกติดี แต่มีร่อง รอยข่มขืน รู้สึกว่ามันเป็นคุณตาแท้ๆ ยังทำ�กับหลานได้ เลยสะเทือนใจว่าสังคมไทยมันเป็นแบบนี้เลยเหรอ เฮ้ย...มันเด็กตัวเล็กๆ นะ ทำ�ถึงขนาด นี้เลยเหรอ มุม : แบ่งเวลายังไง สมัยมัธยมผมจะใช้เวลาช่วงเย็นหลังเลิกเรียน แล้วก็เสาร์อาทิตย์ที่จะออกมาทำ�งาน ก็คือในช่วงมัธยมหลังเลิกเรียนก็ประมาณสักหนึ่งทุ่มสองทุ่ม ผมก็มาประจำ�หน่วย คอยเฝ้าเหตุการณ์กับรุ่นพี่เขา ที่เขาสแตนบายพร้อมออก แต่ในช่วงมหาวิทยาลัย ผมจะใช้คืนวันศุกร์กับคืนวันเสาร์ ผมค่อน ข้างจะรับผิดชอบงานหลายด้าน ก็เลยจะใช้เวลาส่วนนี้ทำ�งาน อีกอย่างหนึ่งคืนวันศุกร์กับคืนวันเสาร์เป็นคืนที่ประชาชนชอบออกมากินเลี้ยงกัน สังสรรค์กัน ทำ�ให้เกิดอุบัติเหตุมากกว่าวันปกติทั่วไปครับ มุม : แล้วไปพักผ่อนเวลาไหน ตอนเรียนไม่เบลอหรือ คือสมมุติผมเลิกเวรตีสาม ผมก็หลับช่วงตีสามจนถึงเช้า เพราะว่าวันรุ่งขึ้นผมก็ไม่มีเรียนอยู่แล้ว มุม : ทำ�งานแบบนี้มีแฟนไหม ช่วงก่อนหน้านั้นผมมีแฟนนะฮะ ตอนมัธยมผมมีแฟน ผมเลิกกับแฟนเนื่องจากไม่มีเวลาให้ นี่คือเหตุการณ์จริงที่ผมประสบพบเจอ เพราะว่าเวลา เขาโทรมาหาผม ผมบอกว่าไม่ว่างคุย เพราะว่ากำ�ลังออกเหตุอยู่ ทุกครั้งที่โทรมาหาทำ�ให้เขาไม่เข้าใจ โทรมาบอกไม่ว่างๆ ทำ�งานอยู่ คือเรา จะบ่ายเบี่ยงกับเขา ทำ�ให้เขาไม่เข้าใจก็เลยเลิกกันครับ ทุกวันนี้ก็ไม่มีแฟน เพราะว่าทำ�งานค่อนข้างหนักไม่ค่อยมีเวลาที่จะไปจีบใคร


มุม : เคยชวนใครมาเป็นอาสาสมัครกู้ภัยด้วยไหม ไม่ได้ชวนใคร ผมมองว่า ผมไม่ค่อยอยากชวนคนทั่วไปมาทำ� เพราะอยากให้เขามีใจที่จะเข้ามาทำ�เอง ถ้าเขาอยากทำ�จริงๆ เขาต้องกล้าที่จะมา อย่างผมเดินเข้าไปสมัครด้วยตนเอง อย่างน้องผมวิจิตรศิลป์ พี่ครับผมอยากทำ� วันนี้ก็ไปซ้อมดับเพลิงมาที่คณะเขาก็ไป ตื่นเช้าแปดโมงก็ยังไป เพราะว่าใจรัก มันต้องคนแบบนี้

13

มุม : เคยเจอผีไหม ไม่เคยเจอครับ มุม : คิดอยากจะเจอไหม อยากเจอครับ มุม : เพราะอะไรถึงอยากเจอผี คืออยากรู้ว่าเป็นยังไงครับ ผมว่าถ้าผมเจอ เขาคงมาแบบขอบคุณมากกว่า คงไม่มาร้ายเรา ผมเชื่อมั่นแบบนั้น ศพกับผี ผมแยกแยะออกจากกัน ศพหมายถึงคนทั่วไปที่เดินกัน แต่เขาไม่มวี ญ ิ ญาณ เจอเขาก็เหมือนคนนอนหลับปกติ ไปจับแขนเขา ไปจับคอเขา เขาก็ไม่รเู้ รือ่ งอะไร แต่ผนี ผ่ี มรูส้ กึ ว่ามันเป็นอะไรทีอ่ ธิบายยาก ซึง่ เราไม่รวู้ า่ เขาคือใครมาจากไหน เป็นแบบไหน จับต้องไม่ได้ ผมกลัวผีมากกว่าศพ เพราะอย่างน้อยผมจับต้องศพได้ มุม : ถ้าจะแนะนำ�อุปกรณ์บางอย่างไว้ติดรถ หรือติดตัวทุกครั้งที่ออกจากบ้าน จะเป็นอะไร สิ่งที่อยากจะให้ติดตัวไปนั่นก็คือความไม่ประมาทมากกว่า ความมีสติของตัวเอง การจะขับขี่ทุกเสี้ยวนาทีมีผล ยกตัวอย่างเคสซ์ที่เราขับรถ มาดีๆ ไปจอดติดไฟแดง มอเตอร์ไซค์นะคับ ติดไฟแดงทำ�ถูกต้องตามกฎทุกอย่างเลย ติดไฟแดงอยู่หลังเส้นขาว สักพักหนึ่งมีรถจากไหนไม่รู้ขับ ชนเราตูมกระเด็นตายคาแยกเลย ทั้งที่เราเป็นคนดีนะหยุดตอนติดไฟแดง ไอ้นั่นมันฝ่าไฟแดงมาจากไหนไม่รู้ ชนหลังเราหลังหักไปเลย ผมคิดว่า สิ่งที่ควรติดตัวไปคือสติมากกว่า คนเรามันชอบขาดสติ ทำ�ให้เกิดเหตุการณ์แบบนี้ครับ บางทีแป๊ปเดียวนะ เดี๋ยวก้มไปเก็บของ วืดลงข้างทางไป แล้ว เดี๋ยวคุยโทรศัพท์แป๊ปนึง วืดลงข้างทางไปแล้ว ผมเคยเจอเคสซ์นึงครับ เขาไปงานบวชหรืองานแต่งงานไม่รู้ เป็นรถกระบะไม่มีแครี่บอย นั่งมาข้างหลังห้าคน นั่งข้างในอีกหกคน รวมมาก็เป็นสิบเอ็ดคน จากการสอบสวนเขาบอกว่า โทรศัพท์คนขับตกไปแถวคันเร่ง เขาก้มไปเก็บและ เขามาด้วยความเร็วอยู่แล้ว เขาเหมือนประมาณว่า ไม่ได้จับพวงมาลัยก้มไป รถมันสะบัดชนฟาดกับต้นไม้ เหตุนั้นเสียชีวิตไปสามคน บาดเจ็บ เจ็ดแปดคน นี่เป็นความที่เราประมาทวูบเดียวครับ ฉะนั้นสิ่งที่จะติดตัวไปคือความไม่ประมาท มีสติอยู่ตลอดเวลา มุม : ทุกวันนี้ยังฟังวิทยุตลอดเวลาไหม ครับ ได้ตลอดเวลาครับ จะฟังอยู่เรื่อยทั้งวันครับ อุบัติเหตุเกิดขึ้นทั้งวันยี่สิบสี่ชั่วโมงครับ แต่เราไม่รู้ว่าจะเกิดเวลาไหน มุม : เคยมีไหม วันไหนที่ไม่ได้ยินเสียง ถ้าเชียงใหม่ไม่เคยมี แต่สุโขทัยมีครับ เพราะสุโขทัยเป็นเมืองเล็ก มุม : แล้วในวันอย่างนั้นรู้สึกยังไง รู้สึกว่าไม่ต้องทำ�อะไรวันนี้ไม่มีอุบัติเหตุ รู้สึกดีใจนะว่า เราไม่ต้องออกไปช่วยเหลือแล้ว แต่เราก็ยังนิ่งนอนใจไม่ได้ ก็ต้องเตรียมฟังตลอดเวลา เพราะเราไม่รู้จะเกิดตอนไหน มีเคสซ์หนึ่งผมเจ็บใจมาก คือตอนเที่ยงคืน ผมก็เปิด ว. ฟัง มีอุบัติเหตุรถมอเตอร์ไซค์ แหกโค้งบริเวณหน้าวนัสนันท์ (ร้านขายของในเชียงใหม่) มีผู้เสียชีวิตหนึ่งคน ผมก็ไม่ได้คิดอะไร รุ่งเช้าเพื่อนโทรมาบอกว่าไอ้นนท์ (เพื่อนสนิท) ตายแล้ว จากเหตุเมื่อคืนที่ผมฟัง อยู่ ซึ่งผมรู้สึกเสียใจที่ผมไม่ได้ออกไปช่วย เรียนมาด้วยกันครับ อยู่คณะนิติศาสตร์ปีสาม เรียน รด.มาด้วยกัน เพราะเราไม่รู้ว่าไอ้คนที่ ว.มาเนี่ย (เน้นเสียง) มันจะเป็นญาติเรา เพือ่ นเรา พ่อแม่เราตอนไหน ผมอยากจะบอกว่า งานกูภ้ ยั มันค่อนข้างจะทำ�งานหลายๆ อย่าง จะพูดถึงสากกะเบือ ยันเรือรบก็วา่ ได้ ประชาชนเดือดร้อนทุกๆ อย่างนะฮะ อาทิเช่น งูเหลือมเข้าบ้าน โทรหากูภ้ ยั ละ เฮ้ย!! มาจับงูหน่อย กูภ้ ยั ก็ไป มีอปุ กรณ์นะฮะ มีบว่ ง คล้องคอ บ่วงจับหมา หมาจรจัดเข้าบ้านไปเอากระสอบไปคลุม เอาไปปล่อย งูกเ็ อาไปปล่อยนะครับ ไม่ใช่เอาไปทำ�อะไร ก็ไปปล่อยทีเ่ ขา แมวมัน กระโดดแล้วถูกเหล็กเสียบก็ไปแงะ ไปตัดเหล็ก ไปทำ�แผลให้มนั แล้วก็ไปส่งคลินกิ รถแบตเตอรีห่ มดกูภ้ ยั ก็ไปจัม๊ ป์แบตให้ คืองานอาสาสมัครกูภ้ ยั คนจะมองว่า พวกนีม้ นั ไอ้พวกเก็บศพ แต่จริงๆ แล้วงานหลักของงานกูภ้ ยั คือ ช่วยเหลือและบรรเทาสาธารณะภัยทุกอย่าง งานรองค่อยเป็นเก็บศพ


งานอาสาสมัครกู้ภัย คนจะมองว่าพวกนี้มัน ไอ้พวกเก็บศพ แต่จริงๆ แล้ว งานหลักของงานกู้ภัยคือ ช่วยเหลือและบรรเทา สาธารณะภัยทุกอย่าง งานรองค่อยเป็นเก็บศพ


มุม : ทุกวันนี้ในรถมีอุปกรณ์อะไรบ้าง มีสลิง มีสายชาร์จแบต มีสไปนัลบอร์ด (Spinal Board) เป็นเปลสำ�หรับเคลื่อนย้ายผู้ป่วย สามารถลอยน้ำ�ได้เอกซ์-เรย์ได้ ถังดับเพลิง แล้วก็เวชภัณฑ์พื้นฐาน ค้อนทุบกระจกรถ

15

มุม : แล้วมีถุงกับที่จับหมาด้วยไหม ของผมอยู่หอ ไม่ได้ใส่รถไว้ มุม : แล้วขาดอะไรบ้าง สิ่งที่ผมขาดคือถังออกซิเจนครับ ตอนนี้ไม่มีมันค่อนข้างแพง มุม : อย่างเวลาที่เราไปช่วยใคร เราต้องขับรถด้วยความเร็วสูงใช่ไหม ถูกครับ จะเรียนอย่างนี้ครับ มันจะมีสองกรณีคือ วิ่งด้วยความเร็วสูง หรือวิ่งปกติแต่เปิดไฟพร้อมกัน คือวิ่งด้วยความเร็วสูง เพราะเขาแจ้งมาว่า ผู้ป่วยอาการสาหัสแล้วให้กู้ภัยเร่งรัดเวลาด้วย อาจจะอยู่ในช่วงที่หายใจรวยริน ไม่ค่อยรู้สึกตัวแล้ว อันนี้ต้องไปไว แต่อีกกรณีคือ คนไข้รู้สึกตัวดี ถามตอบรู้เรื่องพูดคุยได้ อันนี้ก็จะไปเรื่อยๆ ครับ มุม : กู้ภัยที่ประสบอุบัติเหตุระหว่างทางที่จะไปช่วยคนมีบ้างไหม อ๋อ มีครับมี ผมมองว่าเป็นความประมาทของกู้ภัยด้วยส่วนหนึ่ง กับประชาชนทั่วไปด้วยที่ไม่ค่อยทราบเกี่ยวกับจุดๆ นี้นะครับ ยกตัวอย่างของ กู้ภัย อบต. สันทราย หรือสันทรายหลวงที่ฝ่าไฟแดงมา แล้วรถมาบวกตูมกลางลำ�เลย ทั้งๆ ที่รถกู้ภัยเปิดไซเรนมีผู้บาดเจ็บอยู่ จากผู้บาดเจ็บ ที่ไม่ตาย ตายไปเลย กู้ภัยบาดเจ็บสาหัส แต่ไม่ตาย มันก็มีกรณีนี้หลายกรณี มุม : เวลาขับรถไประหว่างทาง คนส่วนใหญ่ให้ความร่วมมือในการหลบดีไหม มีหลากหลายครับเชียงใหม่นี่ ค่อนข้างจะหลบกัน สุโขทัยไม่ค่อยหลบ เหมือนเขาไม่ค่อยมีความรู้ เราก็มีโทรโข่งขอความกรุณาเขาว่า เออ...ขอให้ รถฉุกเฉินไปก่อนนะครับ ตอนนี้มีผู้บาดเจ็บอยู่หลังรถนะครับ อะไรอย่างนี้ ก็ขอความกรุณาเขา มุม : แล้วเวลารถติดทำ�ยังไง ผมเล่าเหตุการณ์ผมละกันนะ รถติดสงกรานต์มันจะมีช่องแคบๆ คนทั่วไปไปไม่ได้ ต้องบีบแตรจนไอ้คนนั้นกระเถิบๆ จนไปได้ครับ ไปได้เหมือน กันแต่ช้าหน่อย มุม : กู้ภัยที่เรารู้จักก่อนกับหลังจากที่เราเป็นมันแตกต่างกันยังไง ก่อนที่ผมจะเข้ามาเป็น ผมมองว่าพวกนี้มันเป็นพวกอันธพาล พวกกุ๊ยข้างถนนรวมตัวกันอะไรแบบนี้ ไปช่วยเหลือเขาเพื่อไปหวังผลตอบแทนบ้าง ไปจิ๊กของเขาบ้าง ผมก็มองแบบนี้ แต่ผมก็ไม่ได้คิดอะไร แต่หลังจากเข้ามาเป็นปุ๊บ ผมมองอีกด้านหนึ่งของกู้ภัยว่า ไอ้สิ่งที่ผมมองมันก็มีบ้าง บางส่วน ซึ่งไม่ใช่ส่วนใหญ่ มุม : รู้สึกเหนื่อยบ้างไหม ไม่ค่อยเหนื่อย ถ้ามี จะมีอยู่สองอย่างที่รู้สึก คือเหนื่อยกับท้อ เหนื่อยคือเราถามตัวเองว่า ทำ�ไมเราต้องออกมาทำ�งาน ทำ�ไมเราไม่ไปเที่ยวกับแฟน ไม่ไปเที่ยวกับเพื่อน ไม่ไปดูหนัง เราต้องมาเข้าเวรไม่ได้หลับได้นอน ทั้งๆที่คนอื่นเขาไปเที่ยวไปอะไรกัน รู้สึกว่าทำ�ไมเราต้องมาทำ�อย่างนี้ ท้อคือท้อจากแรงกดดันรอบๆ ข้างที่เขาไม่เห็นด้วย เร็วก็ด่า ไปช้าก็ว่า ไปเร็ว ขับรถเร็ว ก็ไอ้...มึงจะรีบไปตายไหน พอไปถึงช้า ก็...ทำ�ไมกู้ภัย มาช้าวะ คนจะตายแล้วอะไรอย่างนี้ คือแรงกดดันหลายอย่าง ด่าเราบ้าง ว่าเป็นกุ๊ยข้างถนน เป็นพวกเก็บศพ ซึ่งเราก็เหนื่อยนะ บางทีก็คิดว่า เราไม่ต้องทำ�ดีกว่า ไม่ต้องถูกด่า มุม : แล้วอะไรที่ทำ�ให้ทิ้งความท้อ ความน้อยใจออกไปได้ (คิดนาน) ค่อนข้างที่จะหลายด้านช่วยกัน หนึ่งหัวหน้าผมเขามีประสบการณ์หลายปี เพื่อนร่วมงานคนอื่นๆ แล้วก็คนที่เขาเห็นด้วยกับเรา เช่น


16

เฮ้ย! มึงโดนแค่นี้สบายๆ กูโดนมาเยอะ มึงไม่ต้องสนใจ ทำ�งานไปเหอะ เรารู้ตัวว่าเราทำ�อะไร ทำ�ที่ถูกที่ควรเราก็พอใจละ ไม่ต้องสนคนอื่น เพื่อนร่วมงานด้วยกันบอกว่าไม่ต้องแคร์ เราก็ทำ�ไปอย่างนี้แหละ เรามีใจที่จะทำ� ใจเราทำ�ละ ใครจะมองยังไงก็ช่างครับ คนรอบข้าง อย่างเช่น อาจารย์ บุคลากรคนอื่นเขาก็มาให้กำ�ลังใจ ผมรู้สึกมีกำ�ลังใจว่า เออ...ยังมีคนเห็นคุณค่าเรา มีคนเห็นว่าเราทำ�งานครับ ทำ�ให้เราลืมความเหนื่อย หรือความท้อไปได้ค่อนข้างเยอะครับ มุม : พอเรียนจบแล้วคิดว่าจะทำ�ต่อไหม ผมมองว่างานอาสาสมัคร ย่อมาจาก เรามีเวลาว่างที่จะทำ� สมัครใจที่จะทำ� โดยไม่หวังสิ่งตอบแทน ผมมองว่างานอาสานี้ ถึงผมเรียนจบการ ศึกษาแล้ว ผมก็จะทำ�ต่อไป โดยเป็นงานอดิเรก ซึ่งงานหลักผมก็ยังทำ�อยู่ งานอดิเรกหมายถึงว่า ผมเลิกงานประจำ�เสร็จปุ๊บ ผมก็จะมาทำ�งาน อาสาต่อ ผมคิดว่าตลอดชีวิตนี้ผมจะไม่ทิ้ง อย่างน้อยก็คือยังมีส่วนร่วมอยู่ในการที่จะดูแลด้านนี้อยู่ มุม : จบแล้วจะทำ�อาชีพอะไร ผมอยากรับราชการทหาร ความฝันของผมก็คือเรียนโทรทัศน์ไป แล้วก็เรียน รด. ปีห้าไป อยากจะไปสังกัดสถานีวิทยุกองทัพบกช่องห้า บรรจุเป็น ทหารไปด้วย และก็เป็นนายทหารฝ่ายข่าวอะไรของเขา พอออกเวรเสร็จปุ๊บก็มาทำ�กู้ภัยต่อ ความฝันของผมคืออย่างนี้ คือในการเข้ามาเป็นอาสา สมัครกู้ชีพกู้ภัยนะ ใครบอกว่าได้เงินได้อะไร ผมจะเรียนอย่างนี้คือ ไอ้ส่วนที่ได้เงินคือเป็นเงินที่มาจากโรงพยาบาลที่จะมาช่วยเรื่องอุปกรณ์ แล้วก็เรื่องน้ำ�มันรถ แต่เงินส่วนนี้ผมจะเรียนว่า เคสซ์นึงอย่างเช่นเอาผู้บาดเจ็บส่งโรงพยาบาล เขาจะให้สองร้อยห้าสิบต่อครั้ง แต่เขาไม่ได้จ่าย เลยสามเดือนออกทีครับผม ซึ่งใครจะเอาก็ได้ ไม่เอาก็ได้ แต่คนที่จะเอามันต้องมีแบบฟอร์มในการกรอกรายละเอียดว่า คุณไปรับตอนไหนกี่โมง ผู้บาดเจ็บชื่ออะไร อายุเท่าไหร่ บ้านเลขที่เท่าไหร่ อีกส่วนหนึ่ง ส่วนที่ผมทำ�อยู่คือเป็นส่วนที่ส่งเสร็จกลับเลย ไม่มีค่าอะไร ในส่วนนี้ค่าน้ำ�มันรถ ค่าอุปกรณ์ต่างๆ ต้องซัพพอร์ทเองหมดเลยครับผม มุม : ว่าง่ายๆ ก็คือที่ทำ�อยู่ทุกวันนี้ก็จ่ายเองหมด แล้วไม่คิดที่จะเอาคืนด้วย ใช่ครับ คือการเป็นอาสาสมัครอย่างผมนะฮะ ถ้าจะออกมาทำ�งานแล้ว มันต้องเสียสละ ไม่เสียสละเวลา ไม่เสียสละใจอย่างเดียว เสียสละเงินด้วย ที่จะต้องเต็มใจออกค่าน้ำ�มันให้ ซื้อกระทิงแดง ลูกน้องกินกระทิงแดงครับ ลูกน้องเขาก็มาฟรี ไม่มีตังเหมือนกัน เราก็ซื้อเลี้ยงเขา มีความสุข มุม : ทุกวันนี้มีคติประจำ�ใจว่ายังไง คติประจำ�ใจผม ผมก็ไม่ได้แต่งเองนะ ผมก็เอามาจากเขาอีกทีหนึ่งก็คือ “ประโยชน์ส่วนตนเป็นที่สอง ประโยชน์ส่วนรวมเป็นที่หนึ่ง” คติของผม ที่ผมถืออยู่ มุม : ทุกวันนี้ยังได้เจอคนที่ช่วยเราไว้บ้างไหม ไม่เจอเลยครับ มุม : รู้จักชื่อเขาไหม ไม่รู้จักเลยครับ คือถ้าผมมีโอกาสนะ ผมกะจะขอบคุณพี่เขานะ ทุกวันนี้ไม่เจอพี่เขา แต่ผมจำ�หน่วยงานได้ คือ ร่วมกตัญญูจังหวัดพิจิตร แต่จำ� หน้าไม่ได้ ผมอยากจะไปขอบคุณเขา เพราะว่าถ้าไม่มีเขานะ พ่อผมเสียชีวิตไปแล้ว ผมขึ้นไปโบกไม่มีใครจอดเลยนะสี่ห้าคัน โห...(ลากเสียงยาว) แบบแย่มากเลย มุม : ต้องการจะฝากอะไรไปถึงคนอ่านบ้าง ก็อยากจะฝากถึงประชาชนทั่วไปหรือบุคคลทั่วไปที่มีใจที่อยากจะมาเป็นอาสาสมัครกู้ภัย แต่ไม่กล้าที่จะเข้ามาทำ�งานเพราะว่าบางสิ่งบางอย่าง หรือว่ากลัวอะไร ผมจะบอกไว้เลยว่าการเข้ามาทำ�อาสากู้ภัยนั้น มันง่ายนิดเดียว มันอยู่ที่ใจเราที่อยากจะทำ� อยากจะเชิญชวนเขาเข้ามาเก็บเกี่ยว ประสบการณ์ดีๆ มาเก็บบุญกุศล เพราะผมมองว่าการช่วยเหลือมนุษย์ เป็นบุญกุศลที่ยิ่งใหญ่กว่าสิ่งอื่นใดเลย คุณลองคิดดูว่า ถ้าคนๆ นั้นเขา เป็นญาติคุณ หรือเป็นพ่อแม่คุณที่ต้องการขอความช่วยเหลืออยู่แล้ว คุณไม่เข้าไปช่วยเหลือเขา คุณจะเสียใจแค่ไหน ก็อยากเชิญชวนประชาชน ทั่วไปที่มีเวลาว่าง ดีกว่าจะไปทำ�อย่างอื่นเช่น กินเหล้า ไปเที่ยว เสียแต่เงิน เสียเวลา เสียสุขภาพจิต เข้ามาทำ�ความดีกัน อย่างน้อยก็เกิดมาทั้งที ก็ทำ�ความดีเพื่อประเทศไทยแล้วกันครับ



18

มุมพิเศษ

เรื่อง : กองบรรณาธิการ l ภาพ : รบฮ.

ความ

ยุติธรรม


อยู่ ที่ ไหน?


20

“สังคมต้องมีความยุติธรรม” เสียงของเพื่อนคนหนึ่งพูดขึ้นท่ามกลางวงสนทนา เมื่อพูดถึงเรื่องความ เป็นไปในบ้านเมือง เมื่อมีความไม่พอใจเกิดขึ้นในสังคม ผู้คนก็มักจะออกมาเรียกหาความยุติธรรมกันอย่าง หนาแน่น จนหลายครั้งความสัมพันธ์ของคนใกล้ชิดในครอบครัว เช่น พี่น้อง พ่อแม่ลูก มีอันต้องทะเลาะ เบาะแว้งกันเพราะความเห็นอันไม่ตรงกันเกี่ยวกับเรื่องนี้ จึงเป็นที่น่าสงสัยมากว่าอะไรคือความยุติธรรมกัน แน่ เพราะคำ�ๆ นี้เหมือนจะอยู่ในสมองและในใจของทุกคน แต่ก็ดูเหมือนว่าทุกคนจะนิยามความหมายไว้ ไม่เหมือนกัน แต่ละบ้าน แต่ละชุมชน แต่ละศาสนา ก็ไม่น่าจะเหมือนกัน

พระพุทธศาสนามองความยุติธรรมยังไง คำ�ว่า “ยุติธรรม” มาจากคำ�ว่า ยุติ+ธรรม ยุติ แปลว่า หยุดลง, จบลง, ระงับ ธรรม แปลว่า ธรรมชาติ, ความจริง ฉะนั้น คำ�ว่า ยุติธรรม สามารถแปลได้ว่า “ระงับได้ด้วยความจริง” จึงต้องรู้ว่าความจริงในพระพุทธศาสนานั้นคืออะไร

ความจริงตามหลักการทางศาสนาพุทธ หรือที่พระพุทธเจ้าเรียกว่า สัจจะ มีด้วยกันอยู่ 2 ประการ คือ สมมติสัจจะ หรือ ความจริงตามสมมติ หมายความว่า การที่มนุษย์มาอยู่รวมกันเป็นกลุ่ม ย่อมต้องมีวิธีที่จะสื่อสารกัน จึงจำ�เป็นต้อง สมมติสิ่งต่างๆ ให้รับรู้ตรงกัน เช่น นั่นเรียกว่าต้นไม้ นี่เรียกว่าคน ส่วนนี้เรียกว่าแขน ส่วนนั้นเรียกขา รูปร่างอย่างนั้นเรียกหมา แบบนั้น เรียกนก เป็นต้น เมื่อมีหลายชุมชนก็ต้องมีหลายภาษา หรือแม้กระทั่งเสียงร้องต่างๆ ให้สื่อความหมายที่จะเข้าใจตรงกัน เมื่อรู้จักความ จริงตามสมมติแล้ว ก็จะสามารถนำ�สิ่งที่สมมติร่วมกันมาก่อให้เกิดประโยชน์ทางด้านความเข้าใจในเรื่องต่างๆ ทางสังคมได้ เช่น คนใน ชุมชนอยู่ได้โดยไม่เบียดเบียนกันเพราะมีกฎกติกาที่เข้มงวดควบคุมไว้ หรือ รถไม่ชนกันเพราะมีข้อตกลงทางจราจรที่เข้าใจตรงกันแล้ว คนปฏิบัติตาม เป็นต้น ปรมัตถสัจจะ (อ่านว่า ปะ-ระ-มัด-ถะ-สัด-จะ) หรือ ความจริงตามหลักธรรมชาติ เป็นความจริงสูงสุดที่ไม่อิงกับสมมติสัจจะ เช่น ทุกสิ่งที่เกิดขึ้นในโลกนี้จะต้องเสื่อมสลายไปตามกาลเวลาแน่นอน หรือ การเกิด แก่ เจ็บ ตาย ที่เป็นไปตามธรรมดาของธรรมชาติ ที่ไม่ว่าใคร ก็ไม่สามารถเปลี่ยนแปลงความจริงข้อนี้ได้ ไม่อย่างนั้นเราคงจะได้พบกับบรรพบุรุษของเราที่อายุเกิน 200 ปีแล้ว ยังแข็งแรงอยู่ เป็นต้น เรียกง่ายๆ ว่าคำ�ศัพท์ทั้งหมดเป็นสมมติ แล้วสภาวะทั้งหมดเป็นปรมัตถ์ เพราะฉะนั้นตามแนวคิดของพระพุทธศาสนา สังคม ทั้งหมดจึงดำ�เนินไปภายใต้องค์ประกอบของความจริงสองประการนี้ โดยอาจมองได้ว่าไม่ว่าจะรู้ตัวหรือไม่ก็ตาม คนทุกคนต้องการ ก้าวไปให้ถึงความจริงขั้นสูงสุดนี้ เพื่อที่จะเข้าใจและปล่อยวางจากความยึดติดถือมั่นทั้งปวง แล้วก้าวไปสู่สภาวะที่ไม่ทุกข์อีกต่อไป แต่ ก็มีคนส่วนใหญ่ที่ไม่ได้รู้สึกว่าเดือดร้อนอะไรหากจะต้องมีชีวิตที่สุขๆ ทุกข์ๆ ปนกันไปอย่างนี้ จึงไม่ได้ต้องการความพ้นทุกข์ถาวรตาม อุดมคติของพระพุทธศาสนา ดังนั้นพระพุทธศาสนาจึงมีคำ�สอนคำ�แนะนำ�ผู้ที่ต้องการใช้ชีวิตให้สุขตามวิสัยชาวโลกทั่วไปด้วย ความจริงเกี่ยวข้องกับความยุติธรรมอย่างไร เมื่อเรามองหาความยุติธรรมเราจำ�เป็นต้องมองกลับมาหาความจริงก่อน แต่ไม่ใช่ความจริงขั้นสูงสุด เพราะหากคนทุกคนใน โลกหรือในสังคมเข้าใจความจริงขั้นสูงสุดแล้ว คงไม่มีปัญหาอะไรเกิดขึ้นอย่างรุนแรงเป็นแน่แท้ เราจึงต้องพิจารณาจากความจริงที่ เป็นสมมติร่วมกันนั้น และความจริงส่วนนี้เองที่เป็นปัญหา เพราะความจริงของสมมติที่ตกลงร่วมกันนั้น อาจมีส่วนที่เข้าใจไม่เหมือน



22 กัน เมื่อเข้าใจไม่เหมือนกัน ความถูกต้องตามหลักการก็เป็นหลักการคนละชุดกัน เช่น ในเรื่องของความสุขจากการฟังเพลง คนบางคน อาจมีความสุขกับการฟังเพลง ROCK ในขณะที่คนบางคนอาจจะมีความสุขกับการฟังเพลง POP หรือบางคนอาจมีความสุขกับทั้ง สองอย่างก็เป็นได้ มาตรฐานความต้องการของคนจึงเป็นเรื่องรสนิยมเฉพาะตัว ซึ่งรสนิยมที่ว่านี้ไม่จำ�เป็นที่จะต้องไปเหมือนกับคนส่วน ใหญ่ในสังคมที่ตนสังกัดอยู่ด้วย ฉะนั้นการจะบอกว่าสิ่งที่ตนเข้าใจว่าเป็นความจริงที่ถูกต้องแต่เพียงอย่างเดียวคงจะไม่ถูกนัก สังคม จึงต้องสร้างความจริงขั้นพื้นฐานโดยสมมติขึ้นมาแล้วเรียกมันว่า กฎหมาย ข้อบังคับ วินัย ฯลฯ ตามแต่จะเรียกกันไป เพื่อที่จะเป็นหลัก ให้คนที่อยู่ในสังคมนั้นๆ รู้กฎกติกาในการอยู่ร่วมกัน ถ้าไม่สนใจความจริงสูงสุด ความจริงโดยสมมติก็ไม่มีความหมาย ความจริงตามสมมตินี่เองที่เป็นองค์ประกอบที่มีอิทธิพลกับการเป็นอยู่ของคนในสังคม เพราะฉะนั้นผู้ที่รู้ความจริงในระดับนี้ มากกว่าผู้อื่น จึงมีโอกาสจะใช้ความรู้นั้นในทางที่เป็นประโยชน์ต่อตนเอง และก็เป็นโอกาสที่จะใช้ความรู้นั้นเพื่อทำ�ลายผู้อื่น เพราะเมื่อ ความรู้สำ�คัญต่อความมีอันจะกินของคนที่รู้มากกว่าแล้ว คนมีอันจะกินเหล่านั้นจึงหวงแหนในความรู้ ทำ�ให้เกิดการปิดกั้นทางข้อมูล ข่าวสาร และผู้ที่รู้ไม่ทันก็ถูกเอาเปรียบต่อไป ทำ�ให้เกิดการแก้กฎที่ควรจะเป็นธรรมเป็นสิ่งที่เกื้อหนุนคนในสังคม ให้กลายเป็นเครื่องมือ สำ�หรับการแสวงหาเพื่อบริโภคของคนบางกลุ่มอย่างไม่รู้จักอิ่ม ทำ�ให้เกิดโครงสร้างที่ไม่ยุติธรรมขึ้นในสังคม แต่ก็ยังอ้างความยุติธรรม ให้ดูขลัง ดูศักดิ์สิทธิ์ โดยการเขียนมันลงไปในกฎหมาย ฉะนั้นกฎหมายจึงไม่ได้เป็นธรรมสำ�หรับคนส่วนมากอีกต่อไป กฎหมาย กลายเป็นของเล่นสำ�หรับกลุ่มคนที่แสวงหาผลประโยชน์บางกลุ่มเท่านั้น มีการจับตัวคนบริสุทธิ์ไปติดคุก เพราะกระบวนการพิจารณา ไม่ได้หาความจริงให้ตรงกับสิ่งที่เกิดขึ้น เมื่อกฎหมายขาดมาตรฐานก็มีการล่วงละเมิดกฎหมายมากขึ้น ทำ�ให้เกิดข้ออ้างในการทำ� รัฐประหาร เช่นการอ้างว่า เนื่องจากมีการคอรัปชั่นกันมากจนกฎหมายจัดการไม่ได้ ฉะนั้นหากจะมองกลับมาที่สังคมแล้ว ต้องไปที่ โครงสร้างอันปราศจากความยุติธรรมนี้ด้วย หากเอาหลักของการอยู่ร่วมกันในสังคมได้อย่างปกติหรือหลักศีล 5 มาจับ โดยพิจารณาว่า ศีลข้อที่ 1 ว่าด้วยความไม่เบียดเบียนพรากชีวิตและมีการใช้ความรุนแรงต่อกัน เราอาจเห็นได้ว่าปัจจุบันมีปัญหาอะไรเกิด ขึ้นในสังคม มักจะเริ่มต้นที่ความรุนแรงและจบลงที่ความสูญเสีย ความมีเมตตาต่อกันมากับผลประโยชน์มากกว่าจิตใจ จึงไม่สามารถ สร้างความปรองดองได้ง่ายอีกแล้ว ทุกคนมีความรู้เพื่อยืนยันความถูกต้องของตัวเองและทำ�ลายความคิดที่แตกต่างของผู้อื่น ศีลข้อ 2 ว่าด้วยการไม่ถือเอาทรัพย์สินของคนอื่น ปัจจุบันก็มีการลักทรัพย์อย่างแยบยล ผ่านระบบทุนนิยมที่เป็นต้นตอให้ เกิดการประท้วงกันอย่างแพร่หลายในโลกวันนี้ จนเกิดลัทธิบูชาวัตถุบูชาเงินแทนความดี เช่น การยกย่องคนรวย=คนดี คนหล่อคน สวย=คนดี ใครใช้ของใช้ยี่ห้อดีหน่อย มีรถแพงหน่อย มีตำ�แหน่งใหญ่โต กลายเป็นคนดีหมด อย่างนี้เป็นต้น ศีลข้อ 3 ว่าด้วยการไม่ละเมิดประเวณี ก็มีการค้ามนุษย์อย่างเป็นระบบ มีโสเภณีที่ถูกบังคับค้ากามอยู่เป็นอันมากที่ไม่ได้ รับความเห็นใจจากผู้มาใช้บริการ การเอาเปรียบแรงงานผู้หญิงและเด็ก กลับถูกยอมรับอย่าง “รู้กัน” ของคนในสังคมโดยมีเพียงคน จำ�นวนน้อยเท่านั้นที่พยายามจะช่วยเหลือ ศีลข้อ 4 ว่าด้วยการให้ข้อมูลที่เป็นข้อเท็จจริงแก่สังคม ก็ถูกบิดเบือนโดยสื่อมวลชน การโฆษณาชวนเชื่อในรูปแบบต่างๆ ที่มามอมเมาให้คนเชื่ออย่างเป็นระบบ ศีลข้อ 5 ว่าด้วยการสร้างสรรค์สังคมให้มีสติ ก็มีการมอมเมาสังคมด้วยรูปแบบต่างๆ ให้คนเสพติดยึดถือเป็นรูปแบบ นอก เหนือไปจากยาเสพติดชนิดต่างๆ ที่แพร่หลาย อย่างที่ยังปราบปรามไม่หมดไม่สิ้นตราบจนทุกวันนี้ และเมื่ออุดมคติของโลกทุกวันนี้ มีทีท่าว่าจะมุ่งไปทางการแสวงหาความจริงน้อยลง จึงเป็นที่น่าสงสัยมากว่าเราจะแสวงหา ความยุติธรรมมาจากไหน เมื่อในโลกนี้มีแต่โครงสร้างสังคมที่ไม่ยุติธรรม และความยุติธรรมที่เรากำ�ลังแสวงหาอยู่นี้เล่า เป็นความ ยุติธรรมของใครกันแน่...



VS.

พื้นที่แลกเปลี่ยนมุมมองระหว่างพระกับโยมในศตวรรษที่ 21

VS. โทษประหารชีวิต ยังจำ�เป็น อยู่อีกหรือ


.

เรียบเรียง : กองบรรณาธิการ I ภาพ : ชยพัทธ แก้วกมล

พระมหาจรรยา สุทฺธิญาโณ Vs. วิโรม อินทสโร

25


26

การลงโทษประหารชีวิตสำ�หรับผู้ที่มีความผิดร้ายแรงเป็นสิ่งที่ผู้คนในโลกกำ�ลังให้ความสนใจ เป็นอย่างมาก โดยเฉพาะประเทศในโซนยุโรปและหลายประเทศในแอฟริกา แต่สำ�หรับในประเทศไทย ของเรานั้นการลงโทษด้วยการประหารชีวิตยังไม่ได้ถูกยกเลิก บางสำ�นักก็พูดถึงอานิสงส์ของโทษประหาร ไว้ว่ามีประโยชน์เพราะทำ�ให้ผู้ที่จะกระทำ�ผิดนั้นหวาดกลัวไม่กล้าทำ�ผิด (อีก) มุม ฉบับนี้จึงได้เชิญบุคคล สองคนที่เกี่ยวข้องกับแวดวงนักโทษมาแสดงความคิดเห็นในประเด็นเรื่องโทษประหารควรต้องยกเลิก หรือไม่ โดยฝ่ายพระคือ ดร.พระมหาจรรยา สุทฺธิญาโณ พระที่เข้าคุกทั้งในและนอกประเทศมากกว่าอยู่ที่วัด ด้วยการเข้าไปสอนนักโทษให้ปฏิบัติธรรม มาแลกเปลี่ยนกับ อ.วิโรม อินทสโร ผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา ผู้ผ่านการพิจารณาคดียาเสพติดมาอย่างมากมาย จะมีข้อคิดอะไรกันบ้างลองมาพิจารณาตามกันครับ อ.วิโรม : ทำ�ไมต้องมีโทษประหาร หากพูดถึงเรื่องของนโยบายในการดำ�เนินคดีหรือกระบวนยุติธรรมทางอาญา จริงๆ มีทฤษฎี เยอะแยะเลย แต่มันมีความคิดอยู่สองหลักใหญ่ๆ ก็คือ การลงโทษผู้กระทำ�ความผิด หรือการเอาตัวผู้กระทำ�ความผิดมาลงโทษ เน้นเรื่องของการแก้แค้นทดแทนกัน เป็นเรื่องหลักนะครับ หมายความว่า ถ้าคนได้ทำ�ความผิดรุนแรง ก็สมควรมีโทษแบบเดียวกับ ที่เขาทำ� เช่น เขาฆ่าคนอื่นเขาตาย เขาก็ควรจะได้รับโทษเช่นเดียวกัน แนวคิดนี้มันเป็นอดีตแล้ว แต่ในปัจจุบัน เนื่องจากว่าโลกมัน มีความเจริญขึ้น แล้ววิธีคิดของมนุษย์ก็เปลี่ยนแปลงไป ผมเข้าใจว่าการพัฒนาเริ่มตั้งแต่ศตวรรษที่ 19 มนุษย์ก็เริ่มจะศึกษาว่า การที่เราจะลงโทษจำ�เลยเป็นหลัก เราควรจะต้องมองถึงสาเหตุของเขาหรือสิ่งแวดล้อมต่างๆ ที่เขาทำ�อยู่ด้วย ก็เลยมีวิธีคิดที่เราเรียกว่า การลงโทษเพื่อแก้ไขฟื้นฟู หรือแก้ไขให้เขากลับมาสู่สังคม เพราะฉะนั้นแนวคิดปัจจุบันก็สรุปได้ว่ามันมีสองแนวนี้อยู่ ในเรื่องของโทษ ประหารเอง มันก็เป็นความคิดของคนในสังคมโลกที่เกิดขึ้นสองทางเหมือนกัน ซึ่งบางประเทศก็ยังคงเรื่องของโทษประหารชีวิตไว้ บางประเทศก็มีการยกเลิกไปแล้ว ถ้าดูจากสถิติที่มีการเก็บกันมาก็ประมาณครึ่งต่อครึ่งนะครับ แต่แนวโน้มที่จะยกเลิกโทษประหาร นั้นมีมากขึ้น ผมเองมองในแง่ปัจจุบัน คือการกำ�หนดโทษในกฎหมาย มันก็เป็นกฎของสังคมอย่างหนึ่งที่วางไว้ มันก็เป็นเรื่องของการ ป้องกันสังคม แล้วเราก็กำ�หนดมา 5 ประเภทด้วยกัน ที่มีโทษประหารชีวิตเป็นโทษสูงสุด รองลงมาก็จะเป็นโทษจำ�คุก กักขัง มันก็ทำ�ให้ เห็นถึงระดับของโทษที่กำ�หนดไว้ แล้วก็มีความเป็นมาในอดีต โทษประหารชีวิตมันก็คงยังมีอยู่เรื่อยมาจนถึงปัจจุบันนี้ แต่สิ่งหนึ่งที่มัน พบเห็นได้ในสังคมประมาณ 10-20 ปีมานี้ การประหารชีวิตที่เกิดขึ้นจริงมีน้อยมาก ยกเว้นในยุคที่มีการใช้กฎหมายพิเศษ ที่มีการ ยิงเป้าโดยใช้มาตรา 21 ของรัฐ ตรงนี้ก็เป็นเรื่องของการทำ�เพื่อต้องการปราบปราม หรือต้องไม่ให้คนเอาเป็นเยี่ยงอย่าง ก็เป็นมาตรการ พิเศษในยามที่ภาวะของบ้านเมืองไม่ปกติ ทีนี้ภาวะปกติทุกคนก็มีความคิดว่า การกระทำ�ความผิดของคนมันเป็นปัจจัยหลายๆ อย่าง มันไม่ใช่ว่าการที่ไปฆ่าเขาตาย มันจะต้องรับโทษถึงประหารชีวิตอย่างเดียว อย่างปัจจุบันโทษที่มีการกำ�หนดในกฎหมายที่ค่อนข้าง จะเป็นโทษประหาร ที่เป็นเหมือนรัฐนโยบายก็คือเรื่องของยาเสพติด ที่กำ�หนดแล้วก็มีการเพิ่มโทษมากขึ้น อย่างเช่นตอนแรกกำ�หนด ไว้เลยว่า การนำ�เข้าและส่งออกภายในประเทศ มีโทษถึงประหารชีวิตอย่างเดียว ตอนหลังก็รู้สึกมันจะรุนแรงเกินไป ก็มีการแก้ กฎหมายออกมาว่า ให้มีเรื่องโทษจำ�คุกตลอดชีวิตด้วย เพื่อผ่อนคลายดุลพินิจของศาลที่จะไปลงโทษ เพราะฉะนั้นศาลเขาไม่มีทางออก เหมือนกัน บางครั้งเราจะต้องตัดสินไปตามกฎหมาย คือกฎหมายวางกรอบไว้รออยู่แล้ว เราก็ต้องตัดสินไปตามนั้น เพราะฉะนั้นในใจ เราจริงๆ ในบางเรื่อง มันก็ไม่อยากจะลงโทษหนัก ยกเว้นในกรอบของกฎหมายไม่ให้ดุลพินิจเลย อย่างเช่น ถ้ามียาบ้าจำ�นวนมากๆ ศาลก็มักจะใช้ดุลพินิจลงโทษที่รุนแรง อาจจะถึงโทษประหารชีวิต พระมหาจรรยา : พูดถึงโดยหลักท่านผู้พิพากษาก็พูดได้ชัดเจน แต่ทีนี้มองเชิงพุทธมันก็มีหลากหลายวิธี ที่เราเรียกว่าเหตุปัจจัย ธรรม ทั้งหลายเกิดแต่เหตุ แล้วก็ดับไปเพราะเหตุ ทั้งนี้ก็ขึ้นอยู่กับความเชื่อว่า เหตุแห่งทุกข์ของสังคมเกิดขึ้นอย่างไร ก็ดับเหตุแห่งทุกข์ของ สังคม ซึ่งตรงนี้จึงมีทฤษฎีสัญญาประชาคมที่เราใช้กันส่วนใหญ่ มันก็หมายถึงความเป็นข้อคิดร่วม หรือว่าเป็นสัญญาร่วม


ของประชาชน อย่างอัคคัญญสูตรในพระไตรปิฎก การทีจ่ ะเกิดศีลห้าขึน้ ก็มาจากปวงปัญหาคือฆ่ากันเยอะมาก ลัก (ทรัพย์) กันเยอะมาก ใช้เวลานานกว่าจะมาถึงจุดที่มนุษย์เห็นว่าการฆ่ากันไม่ดี สุดท้ายก็ตกลงว่าหยุดเถอะ ถ้าดูทฤษฎีการเมืองเป็นทฤษฎีสัญญาประชาคม ศีลห้า งดเว้นจากการฆ่า การลักทรัพย์ การประพฤติผิดในกาม การพูดเท็จ หรือการดื่มสุราเมรัย ไม่ได้เป็นลักษณะสิ่งศักดิ์สิทธิ์ หรือ เป็นกฎของคนใดคนหนึ่ง แต่เรียกว่าเป็นตัววัฒนธรรมเอเชียซึ่งเกิดมาก่อนพุทธกาล คือเพื่อให้เกิดความสงบนั่นแหละ ก็เลยบอกว่า อย่าฆ่ากันนะ อย่าทำ�ร้ายกันนะ ทีนี้พุทธพจน์ที่มีอยู่ ที่พระพุทธองค์หมั่นสอนก็คือว่า เรารักสุขเกลียดทุกข์ฉันใด สัตว์อื่นก็รักสุขเกลียด ทุกข์ฉันนั้น เมื่อเห็นอย่างนี้ ไม่ฆ่าเอง ไม่ยังบุคคลอื่นให้ฆ่า ตัวบาลีเป็นอย่างนั้น ทีนี้คำ�ว่าฆ่า ลดระดับลงมาเป็นเบียดเบียนอีก เช่น เดียวกัน เรารักสุขเกลียดทุกข์ฉันใด บุคคลอื่นก็รักสุขเกลียดทุกข์ฉันนั้น รู้อย่างนี้ ไม่เบียดเบียนตนเอง ไม่เบียดเบียนสัตว์อื่น ท่านใช้ คำ�ว่าสัตว์คือรวมหมด มนุษย์ด้วย สัตว์ในภาษาบาลีก็คือ ผู้ที่ยังอยู่ในสังโยชน์ยังไม่บรรลุธรรม สิ่งมีชีวิตว่างั้นเถอะ อีกอันหนึ่งที่คุ้นๆ หู บอกว่า สัตว์ทั้งหลายสะดุ้งกลัวต่ออาชญา เมื่อรู้อย่างนี้ไม่ควรลงอาชญา เพราะว่าเขาสะดุ้งกลัว ก็คงจะครอบคลุมทฤษฎีอาชญากรรม ที่ท่านผู้พิพากษาได้กล่าวนั่นก็คืออย่างสมัยตาต่อตา ฟันต่อฟัน เขาก็เน้นการแก้แค้น การสะใจ ฉะนั้นแนวโน้มของโทษประหาร ไม่ว่า ตั้งแต่สมัยมาตรา 21 ยุคนายกธานินทร์ยิงในพรรษาด้วย ทำ�ไมต้องยิงเป้าในพรรษา เขาก็ตอบว่า เอ้า (เน้นเสียง) ทำ�ชั่วเมื่อไหร่ก็ยิง เมื่อนั้นแหละ ตายเยอะมากเลยในพรรษานั้น ถือว่าเฉียบขาดมาก แต่เหมือนกับทำ�เล่น หลายศพทีเดียว อาตมาเองก็เริ่มติดตาม แล้วก็เทียบเคียงในลักษณะแบบนี้ คือว่า ศึกษาพุทธภาษิตอย่างลึกซึ้ง แล้วก็มาเข้าฝังใจว่ามันยังมีทางเลือกอื่นแบบเชิงพุทธของเรา ตัวอย่างที่สวยงามอันหนึ่งเรื่องพระองคุลีมาล พระองคุลีมาลนี่เรียกว่าต้องประหารหลายชั่วโคตรทีเดียวนะ เพราะว่าฆ่าตายเยอะ แล้วพระเจ้าปเสนทิโกศลส่งทหารไปเท่าไหร่ก็ล่าถอยกลับมาหมด เพราะว่าท่านฝีมือสุดยอด บางทีมาบอกว่าไปจับพระองคุลีมาล ทหารก็ป่วยกันแล้ว ทีนี้พระพุทธเจ้าน่ารักมากเลย พระองค์ไปก่อนหน้านั้น เพราะว่าวันนั้นจะไปฆ่าแม่ พระองค์ว่าวันนี้ต้องไปโปรด เมื่อพระองคุลีมาลได้บวชแล้ว ท่านก็ไม่ได้เดินคุ้มกันอะไร ท่านบอกเธอก็ไป ตถาคตก็กลับวัด แล้วจนพระองคุลีมาลโดนเขวี้ยงซะ หน้าตาบูดบึ้ง ท่านก็ไม่ได้ห้ามใครในช่วงนั้น แต่ว่าพอพระองคุลีมาลกลับวัดในสถานะสะบักสะบอม พระเจ้าปเสนทิโกศลก็มา แล้วบอกว่า ตามมหาโจรนี้พระพุทธเจ้าข้า พระพุทธองค์ก็เลยถามว่า ถ้าเกิดเขากลับใจบวชจะทำ�ยังไง พระเจ้าปเสนทิโกศลว่า โยมจะเป็นโยมอุปัฏฐากเลย หลังจากนั้นพระองคุลีมาลออกมาปรากฏตัว แล้วท่านก็ทำ�ตามสัญญาเป็นโยมอุปัฏฐากด้วยปัจจัยสี่ อ.วิโรม : ในมุมของผมนะครับ เรื่องโทษประหารมันก็คงจะตอบยากว่าควรจะมีหรือไม่มี ในเวลานี้ดูจากความคิดของคนอื่นแล้ว ก็มีความเห็นอยู่สองทางด้วยกัน เหตุผลที่เขาว่าควรจะมีอยู่ เขามักจะมองเรื่องของการยับยั้ง การลงโทษที่รุนแรงในบางกรณี ไม่ใช่ว่า ทุกกรณีนะครับ หมายถึงว่าการกระทำ�ความผิดที่รุนแรงฉกาจฉกรรจ์ อย่างกรณีที่การฆ่าแบบใช้วิธีทรมาน หรือการข่มขืนแล้วฆ่า หรืออะไรต่างๆ ที่มันมีข่าวในหน้าหนังสือพิมพ์ หรือกรณีที่มองเห็นว่า การจำ�หน่ายยาเสพติดเป็นเรื่องร้ายแรง ลูกหลานทั้งหลายที่ติด ยาแล้วก็เอามีดไปปาดคอพ่อแม่ ก็มองเป็นเรื่องสังคม พอสังคมมันจู่โจมมากๆ คนคิดการแก้กฎหมายเขาก็บอกว่า ควรจะต้อง ทำ�กฎหมายให้เข้มแข็งรุนแรงมากขึ้น ซึ่งตรงนี้มันไม่ใช่ปัจจัยที่จะมองเรื่องของการลดอาชญากรรม แต่ผมอยากชี้ให้เห็น การที่จะบอก ว่าคนๆ หนึ่งจะทำ�ผิดหรือไม่นั้น หรือวิธีการกระทำ�ความผิดนั้นมันขึ้นอยู่กับหลายเงื่อนไขเหมือนกัน อย่างเช่น ปัจจุบันคนที่ไปค้ายา เสพติดจะใช้คนที่เป็นเอดส์บ้าง ซึ่งเขารู้ตัวว่าเขาจะตายอยู่แล้ว คือถ้าจับได้ก็ไม่เป็นไร ผมก็เลยถามว่า แล้วถ้ามือปืนรับจ้างล่ะ พวกนี้ เขาคิดอะไร เขาฆ่าคนแล้วเขากลัวตาย เขากลัวถูกประหารชีวิตไหม เขาบอกว่า เขาไม่กลัว หรือเราถามคนที่ไปยักยอกทรัพย์สิน จำ�นวนมหาศาล มันก็เป็นวิธีคิดในแนวทางของทฤษฎีว่า เขาดูมูลค่าในทางเศรษฐกิจที่เขาจะได้รับ แล้วผลที่เขาจะได้รับถ้าจับได้ เขายอมไหม พวกนี้เขาอาจจะคิดว่า ยอม ซึ่งถ้าถามว่าในสังคมยุคนี้มีคนกลุ่มนี้เยอะไหม ผมว่ามันก็น้อย มันก็ไม่เยอะหรอก ถ้าถามว่า คนส่วนใหญ่คิดอะไร คนปกติทั่วไปเขามองว่า ทุกคนไม่อยากกระทำ�ความผิด แม้แต่โทษเล็กๆ เขาก็ไม่อยากรับ ถูกไหมครับ เพราะ ฉะนั้นปัจจัยหรือปัญหาที่เรามอง บางครั้งการแก้กฎหมายมันไปกระทบคนส่วนใหญ่หมดเลย เพราะว่ามันมีปัจจัยคนส่วนเล็กที่เป็น ตัวอย่างสังคมมาให้เห็น อย่างกรณีฆ่าข่มขืน ก็ออกกฎหมายเรื่องข่มขืน ต้องโทษหนักประหารชีวิตสถานเดียว ทีนี้มันลำ�บากใครครับ ลำ�บากศาล เพราะศาลเป็นคนพิจารณาคดี มีผู้พิพากษาไปถามท่านพุทธทาสว่า แล้วผู้พิพากษาจะบาปไหมถ้าตัดสินผิด


28 ท่านก็บอกว่า ผู้พิพากษาเป็นคนชี้กรรม ถ้าเราทำ�ด้วยใจบริสุทธิ์ก็ไม่เป็นไร อันนี้เหมือนปลอบใจผู้พิพากษามากกว่าครับ แต่ถามว่า จริงๆ แล้วเวลาตัดสินในอารมณ์อย่างนั้น ถามว่าเรามั่นใจไหมครับ ผมก็ตอบว่าไม่ได้มั่นใจ 100% แต่อาศัยจากวิชาการที่ร่ำ�เรียนมา กับเหตุและปัจจัยต่างๆ รวมความแล้วน่าจะใช่ หรือใช่ ทีนี้มันก็มีเรื่องของกระบวนการยุติธรรม ซึ่งมันจะต้องแก้ไข มันไม่ใช่เรื่องของ โทษ มันจะประหารหรือไม่ประหาร คือฝ่ายที่เห็นด้วยที่บอกว่าให้เลิกเลย เขาก็มองในเรื่องของการคุ้มครองสิทธิมนุษยชน มองในเรื่อง ชีวิตของมนุษย์ใครจะเป็นคนกำ�หนดให้เขาตาย แต่ส่วนใหญ่เขาก็มองว่า ไม่ควรมีโทษประหารชีวิต เพราะเขากลัวการตัดสินผิด คือ เอาคนถูกมาลงโทษประหารชีวิต ซึ่งมันไม่สามารถที่จะฟื้นคืนชีวิตได้ ในอดีตอังกฤษแค่โทษฐานลักทรัพย์ก็ประหารชีวิตแล้ว มีนักคิด ของอังกฤษคนหนึ่งบอกว่า โทษประหารก็ควรจะมีอยู่ เพื่อป้องกันควบคุมสังคม ปัจจุบันเท่าที่ผมทราบในอังกฤษก็ไม่ได้มีโทษประหาร แต่ในอเมริกาเองก็ยังไมได้ยกเลิก มันก็เลยเป็นเรื่องที่ยืนยันไม่ได้ว่าประเทศที่ศิวิไลซ์หรือมีความเจริญแล้ว ควรจะมีหรือไม่มี เพราะ ฉะนั้นในกระบวนการยุติธรรมทางอาญา ปัจจุบันเราก็เริ่มมาหาวิธีคิดในเรื่องการทำ�ยังไงให้กระบวนการในการสอบสวน ตั้งแต่เริ่ม จับกุมจะต้องมีการเข้ามาควบคุมกฎหมาย จะต้องแจ้งสิทธิ์ ต้องมีทนายความ ต้องมีอะไรเข้ามาดูแล เพื่อเป็นต้นทางของกระบวนการ ยุติธรรมให้มันถูกต้อง แล้วก็กฎหมายไทยก็ห้ามฟังคำ�รับสารภาพชั้นจับกุมเลย ทั้งที่บางครั้งไปจับก็เจอของกลางจริง หรือคนที่ทำ�ผิด จริงๆ แล้วก็โดยหลักการรับฟังของศาล พยานที่ให้การในทันทีทันใด มักจะพูดความจริง เมื่อไหร่ที่ปล่อยให้เวลาเนิ่นนานไป พบคนโน้น คนนี้ ความจริงก็ค่อยๆ หดหายไปเรื่อยๆ นี่คือวิธีคิดของมนุษย์ก็เป็นอย่างนี้ เพราะฉะนั้น พอเราตัดตรงนี้ไป มันก็กลายเป็นว่ามันก็ขาด พยานหลักฐานชิ้นดีไป พอชั้นสอบสวนเรารับฟังได้แต่ก็มีการแจ้งสิทธิ์ ในชั้นพิจารณาของศาลมันก็มีระบบการสืบพยานไต่สวนไป แต่สิ่งหนึ่งที่มันเกิดขึ้นก็คือ กระบวนการสอบสวนของเรามันยังทำ�ไม่ได้เต็มที่ เวลามีเหตุการณ์เกิดขึ้นจะมีไทยมุงเยอะมากเลย เห็น เหตุการณ์เยอะแยะ แต่เวลามาเบิกความ ตำ�รวจไม่สามารถหาพยานหลักฐานมาได้ จิตสำ�นึกของคนในสังคมไทย การไปเป็นพยาน เป็นเรื่องที่เป็นภาระ และก็ไม่อยากไป เพราะอาจจะกลัว ฉะนั้นต้องสร้างจิตสำ�นึกใหม่ว่า การไปเป็นพยานศาลก็คือการได้ทำ�บุญ หรือเป็นการทำ�ให้ความจริงมันกระจ่างขึ้น ทำ�ให้ศาลได้ลงโทษคนได้ถูกคน ศาลเองก็ไม่ได้สามารถทำ�นายแล้วจะรู้ได้ว่านายคนนี้ผิด หรือถูก เพราะฉะนั้นยิ่งกรอบที่น่ากลัวที่สุดสำ�หรับศาลก็คือกฎหมายบางตัวแข็งเกินไป ยาบ้าเกินกว่า 20 กรัม ให้ประหารชีวิต มียาบ้า แค่สองพันเม็ดก็ประหารแล้ว ถ้ามีเป็นแสนๆ เม็ดศาลก็มานั่งคิดว่า ถ้าไม่ประหารจะถูกสังคมว่าหรือเปล่า อันนี้ก็เป็นปัญหาอีก เพราะ ว่ากระแสสังคมมองว่ายาเสพติดเป็นเรื่องไม่ดี เดี๋ยวนี้โทษที่การฆ่าคน หรือการทำ�ร้ายร่างกาย ศาลลงโทษไม่เยอะนะครับ ประมาณ 20-30 ปีเอง ในขณะที่คดียาเสพติดห้าพันเม็ด โทษประหารชีวิต อันนี้ก็เป็นมุมมองหนึ่งเหมือนกันว่ามันเกิดอะไรขึ้นในสังคม ไม่ได้มอง เรื่องตาต่อตา ฟันต่อฟัน เพราะฉะนั้นกระบวนการอื่นๆ ที่มันเกิดขึ้นในสังคม เช่น เรื่องของการไกล่เกลี่ยก็ดี เรื่องของการที่ให้ความ สำ�คัญกับเหยื่อ เหยื่อก็คือผู้เสียหาย ควรจะได้รับการชดเชย และจำ�เลยจะต้องรู้สำ�นึกในการกระทำ�ของตัวเองควรพยายามแก้ไข ก็คือ นโยบายการยุติธรรมในปัจจุบันต้องให้มันมีเกิดขึ้นแบบนี้ พระมหาจรรยา : ที่ท่านใช้คำ�ว่าอารมณ์ชั่ววูบ เรื่องศีลนี่ครอบคลุม คลุมกายกับวาจา แต่ในทางปฏิบัติไตรสิกขามันคลุมถึงใจด้วย เพราะศีลแปลว่า ปกติ ที่นี้ก็โยงกับคำ�ที่พระพุทธเจ้าตรัสว่า ธรรมทั้งหลายมีใจเป็นหัวหน้า มีใจเป็นสภาพถึงก่อน สำ�เร็จแล้วได้ด้วยใจ หากใจประทุษร้าย การทำ�การพูดก็ร้ายตาม เหมือนล้อเกวียนหมุนตามเท้าโคไป หากทำ�ดี พูดดี คิดดี ความดีก็ติดตัวเหมือนเงาติดตัว ฉะนั้นมันอยู่ที่ใจ คำ�ว่าศีล ก็คือใจที่มันปกติ ปกติก็คือไม่ถูกโลภ โกรธ หลง เข้ามาชักจูงให้ไปทำ� พอจิตปกติก็ไม่มีปัญหา แต่พอจิต ผิดปกตินิดเดียว ไม่ถึงนาทีก็ทำ�ให้ ฆ่า ลักทรัพย์ ประพฤติผิดในกาม พูดเท็จ หรือดื่มสุราเมรัยได้ หรือการฆ่านี่ไม่ถึงนาที จิตผิดเป็น อย่างนั้น พอดีอาตมาก็อบรมนักโทษในไทยหมดทุกคุกแล้วเหมือนกัน ตอนนี้ข้ามไปอเมริกาแล้ว คือเขาบอกมาเลยนักโทษส่วนใหญ่ มันวูบเดียว อย่างเคยมาที่เชียงใหม่ โยมคนหนึ่ง หน้าตาดี แล้วก็มีศีลธรรม มีอะไร เรียบร้อย เป็นคนถวายไทยธรรมเลยแหละ อาตมา ก็ต้องพูดนิ่มๆ กับเธอ โยมทำ�อะไรมาหรือ ที่ต้องย้ายที่ปฏิบัติธรรมมาอยู่ที่นี่ เขาบอก ไม่ต้องบอกอย่างนั้นก็ได้ท่าน ติดคุกก็ได้ ดิฉัน ไม่ถือหรอก ถามเพราะเหตุใดหรือ ยังจำ�ติดหูเลย มันวูบเดียวจริงๆ ก็บอกว่าแฟนไปมีกิ๊กถึง 5 คนแล้ว แกก็มีร้านอาหาร แต่ไอ้ความฉุน มันเพิ่ม มันเริ่มเข้ามาครอบคลุมจิต ครึ่งโหลแล้วนะ เจตนาแกบอกว่าจะยิงขาให้อัมพาตเท่านั้นเอง แต่คนไม่เคยยิง มันก็สั่นนะสิ


จริงๆ ชอบชังมันก็เหมือน รถวิ่งผ่านบ้านเรา ไม่จำ�เป็นจะต้องกระโดด ไปนั่งตลอดเวลา มันแค่นี้เอง


30 ปรากฏว่าพอแฟนเห็นเข้าก็หลบต่ำ� หลบต่ำ�ก็ตัดขั้วหัวใจ นัดเดียวตึงเลย รู้สึกว่าศาลเขาคงจะตัดสินยี่สิบปี เขาก็บอกกับพระแบบนี้ เพราะฉะนั้นถ้าเกิดเขียนว่า ฆ่าบุคคลอื่นตายแล้วต้องให้ยิงตกตายไปตามกัน ท่านผู้พิพากษาคงเครียดเหมือนกัน แต่นั่นแหละกรรม ของสัตว์ บางคราวก็ค่อนข้างลำ�บากเหมือนกัน กมฺมุนา วตฺตตี โลโก (สัตว์โลกย่อมเป็นไปตามกรรม) เราจะเนรมิตว่าหลักสูตรนี้ดีแน่ มันไม่ดีก็มี เพราะว่าบางทีไอ้เชื้อดีมันยังไม่ออก มันยังเรียกว่ามืดมิด แต่ยังไงก็ตามอาตมายังมีความเชื่อมั่น แล้วก็ยังทำ�งานไปเรื่อยๆ ในฐานะพระสงฆ์องค์หนึ่งกับเด็กไทย หรือมนุษย์ ในการที่จะสอนให้เขาเรียนรู้เรื่องการดูใจ ดูใจที่ปกติ ไม่ปกติ อย่างสอนเด็กๆ ที่ผ่านมา เด็กวัยรุ่นก็มักจะเน้นการเฝ้าดูความรู้สึกชอบชังที่รุนแรงหรือไม่รุนแรง ยกพวกตีกัน ก็เพราะเรื่องชัง คือให้คิดนิดหนึ่งในการ ปลูกฝังสติ เรื่องชอบของเขาก็เหมือนกัน ชอบเสพอะไร เสพเลย เราก็เลยสอนวิปัสสนาไปให้เขาว่า จริงๆ ชอบชังมันก็เหมือนรถวิ่งผ่าน บ้านเรา ไม่จำ�เป็นจะต้องกระโดดไปนั่งตลอดเวลา มันแค่นี้เอง ทีนี้ถ้าเราจะมีหลักสูตรเหล่านี้ หรือมีข่าวคราวแบบนี้ออกมาทุกจุด ไม่ว่าจะเป็นหนัง นวนิยาย เพลง หรือว่าการให้การศึกษาเรียนรู้ต่อสังคม สังคมก็จะดีมากขึ้น อาตมาเคยไปฟังเทศน์ของอาจารย์อ่อน บุญพันธุ์ ท่านพูดเรื่องโลกนี้คือละคร คนที่ติดคุก เขาก็บอกว่า คุณเล่นไม่สมบทบาททำ�ให้โรงนี้เละ ฉะนั้นคุณเข้าไปอยู่หลังโรงก่อน นานเท่าที่จะนานได้ อย่าออกมาเลย ตรงนี้อาตมาก็ฟันธงว่าไม่ควรมีโทษประหาร แต่ก็เห็นด้วยที่จะให้ติดคุกนานๆ แนวคิดนี้ไม่ใช่ เรื่องโหด แต่ในเมื่อออกมาแล้วจะเกะกะคนอื่นเขา ถ้าสมมติว่าหลักฐานอะไรมันจริงนะ ไม่ใช่จับแพะ คือรู้สึกว่ามันโหดแล้วดุ ถ้าออกไปจะต้องเข้ามาครั้งสอง ครั้งสาม ก็ควรจะพักผ่อนอยู่ในนั้น สงบสติอารมณ์อยู่ในนั้น แต่ไม่ถึงต้องฆ่าให้ตาย แล้วจำ�คุกจริง คำ�ว่าจำ�คุกจริง อาตมาเห็นบางคนบอกว่า 50 ปีเหลือ 6 ปีอย่างนี้ คือมันไม่จริงไง แบบว่าอภัยกันดุเดือดเหลือเกิน อาตมาไม่เห็นด้วย กับโทษประหาร แต่ว่าใครโหดๆ นี่ อาตมาว่าตัดสินให้ทำ�วิปัสสนาด้วยซ้ำ�ไป อยู่ในคุกวันละ 10 ชั่วโมง คือเขาอยู่หรือตายในนั้น เขาก็ ได้ไปสวรรค์ หากเขาบรรลุธรรม เขากลายเป็นคนมีประโยชน์อยู่ในนั้น แล้วเรื่องอภัยค่อยว่ากัน เพราะว่ามันเป็นสัตว์ที่เชื่องจริงๆ แล้ว ค่อยปล่อยได้ เราทำ�ด้วยเมตตา กระบวนการคิดมันตั้งอยู่บนฐานเมตตา ความจริงมันก็ต้องเป็นความจริงนั่นแหละว่า ออกมาแล้ว ไปฆ่าคนอื่น เราไม่ยอมตรงนั้น ไม่ยอมให้ไปทำ�ลาย อ.วิโรม : วันที่ผมเองก็เป็นหัวหน้าศาล มีโอกาสได้เข้าไปในคุก ไปดูแลนักโทษ ไปแจกผ้าห่มบ้าง ไปดูซิว่าเขาเป็นอยู่ยังไง เพราะฉะนั้น แนวคิดในปัจจุบันของผู้บริหารในกระบวนการยุติธรรมของกรมราชทัณฑ์เอง ก็มีความคิดในเรื่องที่ว่า พยายามที่จะดูแลเขา คือ ดูแล แก้ไข แต่ถ้าใครไปสัมผัสคุกจริงๆ คุกบางแห่งเหมือนรีสอร์ท ปัจจุบันมันไม่ใช่ภาพคุกที่น่ากลัว เพราะฉะนั้นบางครั้งสังคมมักจะต่อว่า กฎหมายอะไรก็ตามเวลาออกมา มักจะคุ้มครองจำ�เลย จะต้องมีสิทธิจำ�เลย อะไรต่างๆ ดูแลจำ�เลยอย่างดี นั่นคือมุมของการแก้ไข จริงๆ แล้วไม่ได้แก้เพื่อจำ�เลยนะครับ เป็นการแก้เพื่อคนดีที่ถูกเข้าไปในกระบวนการที่บางครั้งไม่สามารถต่อสู้กับอำ�นาจรัฐได้ คนกลุ่มนี้จะต้องได้รับความคุ้มครอง นั่นคืออีกมุมกลับ เพราะฉะนั้นกฎหมายไม่ได้คุ้มครอง แต่ว่าสิ่งหนึ่งก็คือฝ่ายผู้เสียหาย มักจะถูก หลงลืมไป อย่างกรณีที่คนเขาบอกว่า เห็นด้วยที่ควรจะมี เขามองว่าไม่โดนกับตัวเขาเอง ไม่โดนกับครอบครัวเขา หรือบางคนพูดในทาง เหมือนกับประชดประชัน เหมือนกับว่าลองกลับบ้านโดนอย่างนั้นบ้าง จะได้รู้ว่าควรจะต้องมีนะ อะไรอย่างนี้ คือความเห็นของคน กลุ่มนี้คงจะละเลยไมได้ แต่มองในอีกมุมหนึ่งก็คือว่า การที่จะต้องแก้ไขดูแลเขาเพื่อให้กลับไปอยู่ในสังคม เขาบอกว่าคน 100 คน เราแก้ไขได้สัก 10-20 คน นั่นก็คือกุศลที่มันสร้างออกไป และมันเป็นคุณประโยชน์ต่อสังคมมาก ส่วนคนที่ไม่สามารถแก้ไขได้ ก็ควรจะ อยู่ในตรงนั้นระยะยาว ก็ถูกต้องเหมือนกัน แต่ปัญหาก็มีการโต้แย้งกันอีกว่า เอ๊ะ เราต้องเอาเงินมาเลี้ยงนักโทษนะ ไอ้การที่คนทำ�ผิด พอขึ้นศาลปุ๊บ ไปปล้นเขามา หรือไปฆ่าเขามา บางคนอาจจะบอกได้เลยว่า อีกประมาณสัก 4-5 ปี เดี๋ยวก็ออกมา เนื่องจากว่าระบบ บ้านเมืองเรา มันก็มีเรื่องของอภัยโทษ มันก็เป็นการทำ�ให้นักโทษไม่กลัวเหมือนกัน พอเราแก้ไขโดยแบ่งชั้นนักโทษ เป็นนักโทษชั้นดี ชั้นดีเลิศ เข้าไปปุ๊บ ปีแรกลดโทษกึ่งหนึ่ง จากจำ�คุก 10 ปีเหลือ 5 ปี มันยิ้มเลยครับ แล้วทำ�ความดีอีกหน่อยหนึ่ง จาก 5 ปีเหลือ 2 ปีครึ่ง แล้วอีกไม่กี่วันก็ออกมา ตรงนี้บางครั้งเราตอบสังคมยาก เพราะกระบวนการมันเป็นอย่างนี้ แต่ถามว่าผิดไหม มันเป็นนโยบายในเรื่อง ของการที่จะแก้ไขคนดี คนที่หลงผิด หรือคนที่ไม่พร้อมที่จะเข้าไปอยู่ตรงนั้น ให้ออกมา ก็มีคนจำ�นวนไม่เยอะหรอกครับ ที่เรายัง เห็นข่าวว่า ยังไปจับมือถือได้ในเรือนจำ� มีการสั่งยาบ้าจากเรือนจำ�ได้ ณ เวลานี้ปัจจัยในเรื่องของการบังคับใช้กฎหมายบ้านเรา


เวลานี้ปัจจัยในเรื่องของ การบังคับใช้กฎหมายบ้านเรา มีความบกพร่องตรงนี้มาก โทษมันจะมีหรือไม่มี ไม่สำ�คัญหรอกครับ


32

จริงๆ แล้วปัญหายาบ้าอยู่ในฝีมือพวกเรา แค่เปลี่ยนจากเสพยาบ้ามาเสพกล้วยน้ำ�ว้าพร้อมกันหนึ่งล้านคน แค่นี้พวกค้ายาบ้าก็เจ๊ง พระมหาจรรยา มีความบกพร่องตรงนี้มาก โทษมันจะมีหรือไม่มีไม่สำ�คัญหรอกครับ แต่มันสำ�คัญอยู่สองจุดด้วยกัน หนึ่ง คือการบังคับใช้กฎหมาย ให้มนั ดี ให้มนั ตรงไปตรงมา อันทีส่ อง ก็คอื การสร้างจิตสำ�นึกให้กบั ประชาชนหรือคน ต้องเริม่ ก่อในใจด้วยธรรมะ ในการทีม่ จี ติ สาธารณะ บ้านเราขาดมาก เราจะบอกว่า ไม่ใช่เรื่องฉันไม่เกี่ยว นี่คือคนไทยส่วนใหญ่ เราไปดู ใครที่ไปข้ามทางม้าลาย อาจจะต้องเสียชีวิตฟรี นะครับ เพราะว่ารถไม่หยุดในบ้านเรา แต่ถ้าเราไปอยู่ในเมืองนอก แค่เราแตะเข้าไปที่พื้น (เส้นม้าลาย) เขาอยู่ขนาดไหนเขาต้องหยุด แต่ผมอยู่กรุงเทพ สนามหลวงมีทั้งรถเมล์น่ากลัวมากเลยครับ จะเสี่ยงไหมครับ ไม่ไหว นี่คือส่วนสำ�คัญ ก็คือการบังคับใช้กฎหมายที่ ให้มันถูกต้อง ตรงไปตรงมา กับสองก็คือเรื่องของการสร้างจิตสำ�นึก ถ้าตรงนี้พร้อมนะครับ โทษประหารไม่ต้องมีก็ได้ โทษจำ�คุก อาจจะไม่ต้องมีก็ได้ครับ พระมหาจรรยา : ก็คิดตรงกัน ทุกวันนี้อาตมาเอง ก็เรียกว่าเป็นน้ำ�หยดน้อยๆ พยายามเดินสายไปเทศน์ 100 โรงเรียน ในหลวง 80 พรรษา ก็ไปเทศน์ 80 แห่ง ซึ่งจริงๆ แล้วได้ร้อยกว่าแห่ง ส่วนหนึ่งก็พยายามไปคุยกับเด็กๆ ระดับมัธยม เพื่อเพิ่มความหมายจิต สาธารณะในทางปฏิบัติ คือคุยให้เด็กเห็นว่า ปัญหายาบ้าเป็นปัญหาใหญ่ เราคิดแบบพึ่งคนคนเดียว เรารอ ผบ.ตร. ที่เก่ง เรารอนายก ที่เฉียบขาด ตกลงประมาณสามคนเท่านั้นเองที่ดูแลยาบ้ากับนักเรียน ทีนี้อาตมาก็บอกลูกหลานทั้งหลายว่า จริงๆ แล้วปัญหายาบ้า อยู่ในฝีมือพวกเรา แค่เปลี่ยนจากเสพยาบ้ามาเสพกล้วยน้ำ�ว้าพร้อมกันหนึ่งล้านคน แค่นี้พวกค้ายาบ้าก็เจ๊งเลิกกิจการไป เพราะฉะนั้น อยู่ในมือของหนูๆ ทั้งหลายที่จะเปลี่ยนสังคมนี้ ไม่ใช่ท่านนายก ซึ่งเหนื่อยมากแล้ว หรือว่าท่านรัฐมนตรีมหาดไทยที่เฉียบขาด แต่อยู่ที่ พวกเรา มันเป็นเรื่องของเราทุกคนเลย ที่มีความเข้าใจว่าให้ตัดอุปสงค์เลย มาตัดความต้องการเท่านั้นเอง ให้มันหลุดออกไป จนกระทั่ง ยาบ้าถึงกับอยู่ในสภาพขาดทุน ขอให้รัฐบาลแทรกแซงราคาก็ไม่ได้ ขอประกันราคาไม่ได้ จำ�นำ�ไม่ได้ สุดท้ายก็ต้องอำ�ลาโรงไปเอง ขอเสริมจิตสาธารณะแบบนี้ ทุกปัญหาอยู่ที่เราเองทั้งนั้น อยู่ที่จิต อยู่ที่กาย อยู่ที่วาจา ที่ตั้งของตัวเราเอง อ.วิโรม : สิ่งที่พบเห็นก็คือว่า เด็กเริ่มไปมุ่งมั่นในทางเทคโนโลยีมากขึ้น ผมเห็นอาการของคนที่เดินตามถนน บนรถเมล์ แล้วกดอะไร (ทำ�ท่ากดโทรศัพท์) ผมมีความรู้สึกว่า เสียอารมณ์มาก คือหนึ่ง เราขาดอะไรไปในวิธีคิด เช่น ไปเที่ยว แทนที่จะมองว่าโลกภายนอก มันสวยงาม ก็นั่งเล่นอยู่อย่างนี้ นี่คือสิ่งที่มันมาใหม่สำ�หรับคนไทย แล้วมันก็ยิ่งอันตรายมากขึ้น แล้วสื่อพวกนี้มันมีทั้งสื่อดี และสื่อไม่ดี เพราะว่ากฎหมายไม่ใช่เป็นยาวิเศษ กฎหมายมันแค่เป็นการเครื่องมือป้องกันสังคม เพราะฉะนั้นตัวสังคมจะต้องป้องกันตัวมันเอง สังคมที่บอกว่าต้องพึ่งพากฎหมายนั้น เราจะต้องแก้กฎหมายกันไม่มีวันหยุด เหมือนวันนี้เราพูดถึงเรื่องการแก้รัฐธรรมนูญ กฎหมาย รัฐธรรมนูญทุกฉบับดีของมันเองหมดนะครับ แต่ว่าเรื่องของคนใช้หรือคนปฏิบัติ หรือคนที่เข้าไปเป็นเครื่องมือไม่ตรงไปตรงมา ก็เลย เป็นปัญหาทุกอย่าง



34

ธรรมไมล์

เรื่อง I ภาพ : ภาณุวัฒน์ จิตตวุฒิการ


ไม่รอ

น้ำ�ท่วม... บางคนเอาแต่รอความช่วยเหลือ แต่ลองดูพ่อหนูคนนี้สิ... ไม่รอใครแล้ว


36

hidden tips

เรื่อง : คุณวฑฺโฒ I ภาพประกอบ : เพลง

คนรักจากไป ทำ�อย่างไรจะหายทุกข์

เมื่อ การตาย เกิดขึ้นกับบุคคลผู้เป็นที่รัก... ใคร ใคร ก็อาจจะคิด เช่นนี้ว่า...

ก็จะสามารถตั้งจิตอุทิศคุณความดีที่เราได้ทำ�นั้น ให้แก่ผู้ที่จากไป ได้เสมอๆ

ฉันไม่อยากจะเชื่อ ว่าวันนี้ เธอได้จากฉันไปอย่างไม่มีวัน หวนกลับ ฉันอยากตื่นจากฝันร้ายและรับรู้ว่าเธอยังมีชีวิตอยู่ ฉันอยากโอบกอด บอกรัก และพูดคุยหลายเรื่องราวกับเธอ... เธอผู้เป็นที่รักของฉัน ในนาทีอันปวดร้าว และเดียวดาย ในที่ที่เคยมีเธออยู่... ความคิดมากมายเกิดขึน้ ในใจฉัน ฉันไม่ตอ้ งการคำ�ปลอบประโลมใจ ว่าเขาไปดี เขาสบายแล้ว เขามีความสุข... ฉันไม่แน่ใจ ฉันสงสัย ฉันทุกข์ระทม...

ฉันทำ�บุญให้เธอได้ไหม เธอจะได้รับหรือเปล่า? การทำ�บุญของเราอาจจะเป็นปัจจัยให้คนที่เรารักได้บุญ ก็ได้ เช่น ถ้าเราทำ�ดี คนที่รักเราที่ยังมีชีวิตอยู่ได้รู้ก็ย่อมดีใจ สุขใจ แม้คนที่เรารักที่จากเราไปแล้ว ไปอยู่ในภพภูมิที่รับรู้ได้ ว่าเรานึกถึง เขาแล้วทำ�ความดี ทำ�ให้กับเขา เขาก็ย่อมยินดี ปีติสุข การที่เขามี สุข จิตใจดีงามนั้นไม่ใช่ว่าเราเอาบุญไปให้ แต่การทำ�บุญของเรา เป็นเหตุให้เขาได้ปรุงแต่งจิตในทางที่ดี นั่นแปลว่า ถ้าเราอยาก ให้เขาได้บุญ เราก็ต้องทำ�บุญ ทั้งด้วยการให้ทาน รักษาศีล เจริญ ภาวนา ยิ่งทำ�มาก ทำ�บ่อย ก็ยิ่งเป็นการสร้างโอกาสให้เขาได้มีความ สุขมาก ท่านเปรียบเทียบเหมือนเราเป็นเครื่องส่งสัญญาณวิทยุ เขา เป็นเครื่องรับ เขาจะรับได้มากน้อยไม่สำ�คัญ เรามีหน้าที่เป็นเครื่อง ส่ง ก็ส่งให้แรงชัด ดีที่สุดที่เราจะสามารถทำ�ได้ ก็แล้วกัน....

เธอจะรู้ไหม ว่าฉันคิดถึงเธอแค่ไหน? ที่รัก... คนที่เรารัก เมื่อจากไป เขาอาจจะได้เกิดใหม่ในที่ ซึ่งรับรู้ได้ถึงความรู้สึกในใจของเรา แต่อาจไม่สามารถสื่อสารให้เรา รับรู้ได้ สิ่งสำ�คัญคือว่า หากเขารับรู้ได้ เราอยากให้เขารับรู้ว่า เรารู้สึกเช่นไร สิ้นหวังหรือค่อยๆ ลุกขึ้นอย่างเข้มแข็ง... ลองมอง ย้อนกลับกันว่า ถ้าเราเป็นผู้ที่จากไป และสามารถมองเห็นคนที่ เรารักและยังมีชีวิตอยู่ เราอยากเห็นเขาเศร้าโศก สิ้นหวัง หรือว่าเรา อยากเห็นเขามีกำ�ลังใจเข้มแข็ง หยัดยืน เพื่อดำ�เนินชีวิตต่อไปอย่าง มีสุข หากเราคิดเช่นไร คนที่เรารักก็อาจคิดไม่ต่างกัน ... อาจจะดี ถ้าเราสามารถกลับมาตั้งสติ มองดูชีวิตของเรา ในปัจจุบัน และเมื่อใดเราที่นึกถึงผู้ที่จากไป ก็ให้เป็นแรงกำ�ลัง ผลักดันในการทำ�ความดี ปิดกั้นความชั่ว เมื่อทำ�ได้อย่างนี้ ก็เท่ากับว่า เรามีเขาเป็นพลังล้ำ�ค่าอยู่ในใจของเราเสมอ และเรา

ฉันจะอยู่อย่างไร เมื่อขาดเธอ? ที่รัก... มองดูรอบๆ ตัวเธอสิ เธอยังมีฉันเป็นเพื่อน ผ่าน ถ้อยคำ�จากใจของฉันที่มุ่งมอบแด่เธอ มองดูรอบๆ ตัวของเธอสิ เธอ ยังมีเพื่อน และคนที่ห่วงใย และพร้อมจะเป็นกำ�ลังใจให้แก่กันและ กันอีกมากมาย... ที่รัก... ยังมีคนที่เธอรัก ที่อาจจะต้องจากกันในวันหน้า ขอให้เธอได้ใช้เวลาที่มี ทำ�สิ่งที่ดีต่อกันให้สมใจ เพราะเราต่างก็ได้ เรียนรู้ว่า วันหนึ่ง เราจะต้องจากกัน แต่วันนี้ เรายังมีโอกาส... นะ ที่รัก... สิ่งที่ดีที่สุดในเวลานี้ คือการดูแล ‘ตัวเอง’ ให้ดีที่สุด เพราะนั่นก็คือการดูแล ‘คนที่ฉันรัก’ ให้ดีที่สุด..



38

ผ้าเหลืองเปื้อนยิ้ม ภาคพิเศษ ตอนเณรน้อยนักสืบ

เรื่อง : กิตติเมธี I ภาพประกอบ : บุคลิกลุงป้า bookalicloongpa@gmail.com

คดีที่ ๑๗ : “สืบจากทางธรรม ทางโลก”


39

บรรยากาศวันแรกที่เดินเข้าวัดในกรุงเทพด้วยท่าทีแบบเด็กบ้านนอกช่างเป็นบรรยากาศที่แตกต่างกัน ในวันนี้ที่สามเณร น้อยเดินกลับบ้านภายใต้ร่มผ้าเหลืองอร่าม คนต่างมองด้วยท่าทีที่เปลี่ยนไป เช่นเดียวกับสามเณรน้อยก็ต้องว่างท่าทีเปลี่ยนไป จากเด็กที่วิ่งได้ ไปไหนก็ถีบจักรยานไป แต่ตอนนี้ไปไหนต้องเดินไป ตอนเป็นเด็กหิวก็กินได้ทุกเวลา ตอนเป็นสามเณรหิวก็ต้องรอเวลา หรือมีคนประเคน ไม่อย่างนั้นก็อด “ลำ�บากจริงๆ เลยนะครับชีวิตพระเณร” สามเณรน้อยพูดกับพระอาจารย์ “แต่อย่ามองว่าเราลำ�บากคนเดียวนะเณร ยังมีคนลำ�บากกว่าเราตั้งเยอะ อย่างคำ�ที่ว่า มองทางโลกให้มองต่ำ� มองทางธรรม ให้มองสูง คือ มองทางโลกว่าเราแย่ เราจน เราเจ็บ แต่ยังมีคนที่แย่กว่าเรา จนกว่าเรา หรือเจ็บกว่าเรา มองธรรมให้มองสูงก็คือให้เห็น การทำ�ความดีนั้นต้องทำ�ให้มากขึ้น ให้ดีขึ้น ให้สูงขึ้นไปอย่างนี้จึงจะถูก เป็นพระเป็นเณรต้องมองให้สูงเขาไว้ จะได้ทำ�ดีให้มากขึ้น” พระอาจารย์อธิบาย ส่วนสามเณรก็ได้แต่พยายามหาเหตุผลประกอบเพื่อการรับรู้ว่าเป็นพระเณรนะดีที่สุดแล้ว จนวันหนึ่งแม็กเด็กวัดก็มาเล่าให้สามเณรน้อยและปุ้ยฟังถึงความอร่อยของร้านลูกชิ้นที่มาขายในช่วงงานวัด ซึ่งจัดเป็น ประจำ�ทุกๆ ปี โดยแม็กลงทุนซื้อมาฝากสามเณรทั้งสองด้วย “นี่เณรลองดูแล้วจะรู้ว่าอร่อย” ซึ่งก็อร่อยจริง และวันต่อมาแม็กก็มาถาม สามเณรอีกว่า “อยากฉันอีกไหม” ก็มีแต่สามเณรพยักหน้ารับเพราะติดใจแล้วว่าลูกชิ้นอร่อย “แต่วันนี้ผมไม่มีเงินเลยนะวันนี้แย่จัง คงอดแล้วละ แต่เสียดายนะอีกไม่กี่วันงานก็เลิก ถ้าจะกินคงต้องรอปีหน้าแล้วละ...” แม็กพรรณนาเสียยืดยาว สามเณรทั้งสองจึงคล้อยตามและช่วยกันออกเงินเพื่อให้แม็กไปซื้อมากินอีก พอให้ไปก็เห็นรอยยิ้มของแม็กที่แสดงออกมา เหมือนแผนการสำ�เร็จแล้ว “นี่เองแม็กมองอย่างธรรม แล้วทำ�อย่างโลก คือลงทุนต่ำ�แต่หวังผลตอบแทนสูง เอาลูกชิ้นมาล่อก่อนแล้วหลอกให้ผมซื้อเลี้ยง ทุกวัน” สามเณรน้อยพูดกับพระอาจารย์ “แล้วเณรรู้วันไหนละ” พระอาจารย์ถาม “ก็วันสุดท้ายของงานวัดนะซิครับ แม็กเดินยิ้มแล้วพูดเสียดังเลย” สามเณรน้อย พูดอย่างเจ็บใจกับตัวเอง “พูดว่าอะไร” พระอาจารย์ถามขึ้น “ก็พูดว่า...อิ่มจังตังค์อยู่ครบ...นะสิครับ” ผ่านไปอีกหลายวัน โยมทองมัคนายกประจำ�วัดก็มีเรื่องมาเล่าให้พระอาจารย์ฟังว่า...ผมมีร้านอาหารประจำ�ตัวแห่งหนึ่ง วันไหนว่างๆ ก็จะไปหาของกินเพื่อเปลี่ยนบรรยากาศ จนวันหนึ่งผมเดินไปที่ร้านก็ปรากฏมีร้านขายลูกชิ้นมาเข็นขายแถวนั้น เลยเดินซื้อแล้วเดินเข้าไปในร้าน ก่อนจะนั่งลงผมก็สั่งทันที “ขอจานเปล่าหนึ่ง และน้ำ�จิ้มไก่หน่อย” เจ้าของร้านก็งงแต่ก็ถามต่อ “ข้าวไหมครับ หรือรับอะไรเพิ่ม” “ยังไม่เอาตอนนี้ เดี๋ยวค่อยสั่งอีกที” เจ้าของร้านจึงเดินเข้าไปหยิบจานกับน้ำ�จิ้มไก่มาส่งให้ แล้วผม ก็เอาลูกชิ้นใส่จานแล้วจิ้มน้ำ�จิ้มไก่กินอย่างเอร็ดอร่อย ก่อนจะเรียกเจ้าของร้านอีกครั้ง เขารีบมาพร้อมกระดาษในมือเตรียมจดรายการ แต่ผมยื่นถ้วยน้ำ�จิ้มให้แล้วพูดขึ้น “น้ำ�จิ้มหมดแล้วขออีกถ้วยซิ” เขาจึงไปเติมมาให้ใหม่ แล้วผมก็กินต่อไปอย่างเอร็ดอร่อย ก่อนจะลุกขึ้นแล้วพูดประโยคสำ�คัญ “อร่อยมากน้ำ�จิ้มร้านเฮีย” แล้วจากไป ขณะที่เจ้าของร้านได้แต่พูดขึ้น “ไม่เป็นไรครับ คราวหน้าแวะมากินน้ำ�จิ้มฟรีได้อีกนะครับ”... “พระอาจารย์ไม่รู้ว่าเขาประชดผมหรือเปล่านั้นนะ” โยมทองเล่าให้พระอาจารย์ฟัง “ก็โยมอยู่แบบมีธรรมะ (ทำ�) คนละแบบนี่นะ” พระอาจารย์พูดขึ้นแทนคำ�ตอบ “ธรรมะอะไรครับ” “โยมก็อยู่แบบธรรมดาของคนคุ้นเคย คือใครคุ้นเคยก็เหมือนเพื่อน และเพื่อนนะขอกันกินได้ ส่วนเขาอยู่แบบทำ�มาหากิน โยมจึงอย่าเอาประโยชน์ของตัวเราเท่านั้น” “แล้วครั้งหน้าผมต้องทำ�อย่างไรครับ” โยมทองถามต่อ “จะยากอะไรโยมทองก็ชวนเจ้าของร้านมานั่งกินด้วยกันซิ ทีนี้ละจะได้ทั้งเพื่อน และคนช่วยออกเงินซื้อไก่ในครั้งต่อไป ยังไงละ” เสียงสามเณรน้อยดังขึ้นอย่างอัดอั้นมานาน


40

-

Time for ทำ�

เรื่อง : กองบรรณาธิการ

รับ 4 wheels จิตอาสาช่วยน้ำ�ท่วม เครือข่ายจิตอาสา ขอรับลงทะเบีย นอาสาสมัครบุคคลที่มีรถยนต์ขับเคลื่อน 4 ล้อ (4 wheels drive) หรือ รถออฟโรด (off road 4x4) ที่มีสมรรถภาพในการเข้าพื้นที่น้ำ�ท่วมหรือดินถล่ม เพื่อรองรับการเป็นหน่วยสนับสนุนเข้าไปช่วยเหลือประชาชนและชุมชนในพืน้ ทีป่ ระสบภัยต่างๆ พร้อมอาสาสมัครคนขับรถที่มีประสบการณ์ในการใช้รถยนต์อย่างเชี่ยวชาญและมีความพร้อม เดินทางหากเกิดความต้องการในอนาคต สนใจกรอกใบสมัครได้ที่ www.volunteerspirit.org /node/3459

ศูนย์ข้อมูลเพื่อการช่วยเหลือผู้ประสบอุทกภัย กรมประชาสัมพันธ์ ร่วมกับ ศูนย์ข้อมูลเพื่อการช่วยเหลือผู้ประสบอุทกภัย อัพเดทสถานการณ์น้ำ�ท่วม ทุกจังหวัดในประเทศไทย โดยผู้ประสบภัยสามารถเข้าไปขอความช่วยเหลือ หรือผู้มีจิตอาสาต้องการ ให้ความช่วยเหลือ สามารถเข้าไปให้ข้อมูลในเว็บไซต์ www.thaiflood.com ได้ 24 ชม. โดยจะมี เจ้าหน้าที่จากหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเข้าไปอัพเดทข้อมูลอยู่ตลอดเวลา

-

-

โครงการ “มอบไออุ่น จากอุ่นไอรัก สู่พี่น้องบนดอยสูง ปี 54 โครงการกองทุนเสื้อผ้ามือสอง ซึ่งอยู่ภายใต้ มูลนิธิกระจกเงา รับบริจาคผ้าห่ม จำ�นวน 5,000 ผืน และ เสื้อกันหนาวสำ�หรับเด็ก จำ�นวน 3,000 ตัว เพื่อทำ�การแจกจ่ายถึงมือชาวบ้านพี่น้องชาวไทย ภูเขาในพื้นที่จังหวัด เชียงราย เชียงใหม่ น่าน แม่ฮ่องสอน และพื้นที่ใกล้เคียงในพื้นที่ภ าคเหนือ ตอนบน และพื้นที่ค่ายผู้อพยพในจังหวัดตาก โดยเน้นพื้นที่ที่ขาดแคลน ให้ทันก่อนเดือนธันวาคม 2554 ก่อนหน้าหนาวจะมาเยือน คนหลายร้อยคน รวมถึงเด็กๆ อีกหลายหมู่บ้าน ยังเฝ้ารอคอย การหยิบยืน่ ความความอบอุน่ เหล่านัน้ ก่อนทีร่ า่ งกายพวกเขาจะมิอาจต้านทานความเหน็บหนาวได้ สนใจติดต่อสอบถามได้ที่ เจ้าหน้าที่โครงการกองทุนเสื้อผ้ามือสอง มูลนิธิกระจกเงา จ.เชียงราย โทรศัพท์ 053-737-412 ต่อ 11 หรือ 086-1816-195 หลังเวลา 18.00 น.

INEB New York Gala เครือข่ายนานาชาติพุทธศาสนิกสัมพันธ์เพื่อสังคม (International Network of Engaged Buddhists - INEB) ขอเชิญชวนผู้รักงานศิลปะสะท้อนสังคม ร่วมงานเลี้ยงกาล่าการกุศลที่ทิเบตเฮาส์ในนิวยอร์ก ในเย็น วันที่ 19 พฤศจิกายน 2554 โดยภายในการจะมีก ารแสดงดนตรี การแสดงเต้นรำ�วัฒนธรรม การจัด นิทรรศการ และการประมูลงานศิลปะผลงานจากศิลปินชาวพุทธที่ได้รับการนับถือจากทั่วโลก รวมถึง อ.สุลักษณ์ สิวรักษ์ จะไปแจกลายเซ็นพร้อ มผลงานหนังสือเล่มใหม่ล่าสุดอีกด้วย รายได้จ ากการ จำ�หน่ายบัตร มอบในการระดมทุนเพื่อสิทธิม นุ ษ ยชน และเพื่อการสร้างสันติภ าพในเอเชีย สนใจ ติดต่อจองบัตรกันได้ที่ www.inebnycgala.org

-



42

ธรรมะ(อีก)บท

เรื่อง : ธรรมรตา I ภาพประกอบ : Pare ID

ไร้รูปสิ้นนาม

สุณีมองเห็นควันบางลอยขึ้นมาจากสวนหลังบ้าน เมื่อ เดินไปใกล้ๆ ก็เห็นสุชาติลูกชายกำ�ลังเผาอะไรบางอย่าง จึงร้องถาม “เผาอะไรอยู่หรือชาติ?” “เผารูปวาดและก็รูปถ่ายเก่าๆ ครับแม่” สุชาติหันมาตอบ ขณะที่ยังหยิบรูปภาพใส่กองไฟทีละใบ สุณีเดินมาใกล้ขึ้นอีกถึงได้เห็นว่า ลูกชายกำ�ลังเผา ภาพวาดของทวด ปู่ย่า ตายาย และภาพถ่ายของพ่อผู้เสียไปเมื่อ หลายปีก่อน เธอสะกดข่มใจเล็กน้อยก่อนจะพูดอะไรออกไป เพราะยังไม่เข้าใจในเหตุผลของลูกชายผู้ที่เคยบอกว่ารักตายาย และพ่อมากที่สุด แต่ทำ�ไมวันนี้ถึงได้มาเผารูปภาพเหล่านี้ “ทำ�ไมล่ะลูก ไม่เก็บไว้ระลึกถึงท่านหรือ ไหนว่ารักและ เคารพท่าน แล้วทำ�ไม่ถึงทำ�อย่างนี้ล่ะ” “ผมยังรักและเคารพท่านเหล่านั้นเสมอครับแม่ แต่ภาพ พวกนี้ไม่ใช่คุณทวด ตายายและพ่อของเรา เป็นแค่กระดาษเท่านั้น เอง ผมไม่ต้องนึกถึงท่านโดยดูภาพก็ได้ เพราะท่านอยู่ในใจผม อยู่แล้วนึกถึงท่านเมื่อไหร่ก็ถึงเมื่อนั้น กระดาษพวกนี้ทำ�ขึ้นมาแทน ตัวท่านไม่ได้หรอกครับ มันไม่มีค่าอะไรเลย” “ลูกแม่ แล้วหลานๆ ล่ะจะรู้จะเห็นทวดหรือตาของเขายัง ไง ในเมื่อไม่มีภาพให้ดู พูดให้เห็นภาพมันก็อาจจะได้ แต่จะเป็น ภาพเดียวกันกับที่ลูกเห็นหรือ หรือว่าไม่จำ�เป็นที่หลานๆ เหล่านั้น

ต้องรู้ว่าพวกเขาเคยมีปู่ย่าตายาย เคยมียายแก่ๆ อย่างแม่อยู่ แล้วเมื่อโตขึ้นพวกเขาจำ�ยายของเขาไม่ได้แล้ว อยากจะทวน ความจำ� พวกเขาจะทำ�อย่างไรล่ะลูก?” “แม่พูดอย่างนี้แสดงว่ายึดติดกับกระดาษและภาพวาด เข้าไม่ถึงตายายและพ่อหรอก แม่ก็แค่คิดถึงกระดาษรักเคารพ กระดาษที่ไม่มีความหมายอะไร ดูสิแม่ กระดาษพวกนี้ไม่มีอะไรเลย ฉีกก็ขาด เผาก็ไหม้ พ่อของผมไม่ใช่กระดาษ ผมจะเผาทิ้งทั้งหมดนี้ ไม่ต้องอาศัยของพวกนี้ผมก็คิดถึงพ่อผมได้” ผู้เป็นแม่ได้แต่นิ่งงันเมื่ออาการของลูกชายเริ่มกระด้าง ขึ้นเรื่อยๆ ไฟเผาไหม้ทุกสิ่งสิ้นไปกลายเป็นเถ้าถ่านเพียงลมพัดมา วูบเดียวธุลีดินเหล่านี้ก็ปลิวว่อนลอยลับดับหายไปไร้ร่องรอย คงจะ เหมือนเรื่องราวอันยาวไกลของตระกูลเธอกำ�ลังถูกทำ�ลายทิ้งไม่ให้ เหลืออะไรให้สืบต่อได้ว่าคนๆ นี้เคยมีอยู่ เธอนึกถึงพระพุทธรูปที่ อัฟกานิสถานที่ถูกทำ�ลายทิ้งก็คงเพื่อเหตุนี้กระมัง เพื่อไม่ให้เหลือ ร่องรอยอะไรให้สืบต่อได้ว่าบริเวณนั้นเคยมีพระพุทธศาสนาอยู่ เมื่อเวลาผ่านไปยาวไกลก็จะไม่มีใครรับรู้ เสียใจก็แต่คนทำ�ลาย แหล่งสืบรากเหง้าของเธอ คือลูกเธอเอง และแล้วทุกอย่างก็คงจะ ถูกกลืนหายไปกับกาลเวลาเหมือนสุภาษิตที่ว่า กาโล ฆสติ ภูตานิ สพฺพาเนว สหตฺตนา กาลเวลา ย่อมกินสรรพสัตว์พร้อมทั้งตัวมันเอง


มูลนิธิหยดธรรม ดำ�เนินการร่วมกันระหว่างพระและฆราวาสในการสร้างสรรค์ให้สังคมเกิดความดีงามโดยการใช้ธรรมะ ในการกล่อมเกลาจิตผ่านกิจกรรม การสร้างเสริมจิตอาสา สร้างเครือข่ายอาสาสมัครชุมชนให้ตระหนักถึงการอยู่ร่วมกัน อย่างเกื้อกูลเอื้อเฟื้อเผื่อแผ่ มีจิตใจเมตตาต่อเพื่อนมนุษย์ด้วยกัน อีกทั้งการจัดค่ายคุณธรรมตามสถานศึกษาต่างๆ ทัณฑสถาน และชุมชนที่สนใจ เพื่อให้เยาวชนและชุมชนได้ถ่ายทอดต่อไปยังคนรอบข้าง ไม่เพียงเท่านั้น ทางมูลนิธิหยดธรรมยังดำ�เนินงานในเรื่องของการจัดอบรมกรรมฐานและปฏิบัติธรรม สำ�หรับผู้สนใจ เพื่อ สุขภาวะของบุคคลและองค์รวม อีกทั้งการสร้างสรรค์สื่อธรรมะในรูปแบบต่างๆ รวมทั้งนิตยสารที่ท่านถืออยู่นี้ เพื่อที่จะได้ ถ่ายทอดและเผยแผ่ธรรมะออกไปในวงกว้าง ทั้งนี้ ในทุกกิจกรรมที่ทางมูลนิธิได้ดำ�เนินการ รวมทั้งสื่อต่างๆที่ทางมูลนิธิได้จัดทำ�และเผยแพร่เป็นไปเพื่อการสาธารณะกุศล โดยไม่คิดค่าใช้จ่ายใดๆทั้งสิ้นจากผู้เข้าร่วมกิจกรรม ทางมูนิธิดำ�เนินกิจกรรมผ่านน้ำ�ใจของท่านผู้มีจิตศรัทธา ที่หวังจะให้ สังคมของเราเกิดความดีงาม ท่านผู้มีจิตศรัทธาท่านใดต้องการสนับสนุนการทำ�งานของมูลนิธิ และร่วมเครือข่ายหยดธรรม สามารถติดต่อได้ที่ prataa@dhammadrops.org กรณีประสงค์สนับสนุนทุนในการดำ�เนินกิจการของมูลนิธิ สามารถสนับสนุนได้โดยการโอนเงินมาที่ ... มูลนิธิหยดธรรม

ชื่อบัญชี มูลนิธิหยดธรรม ธนาคารไทยพาณิชย์ สาขามหาวิทยาลัยเชียงใหม่ หมายเลขบัญชี 667-2-69064-3 ธนาคารกสิกรไทย สาขาย่อยมหาวิทยาลัยเชียงใหม่ หมายเลขบัญชี 557-2-03369-6

โปรดแจ้งการสนับสนุนโดยการส่งหลักฐานการโอนเงินมาที่โทร 085-995-9951 หรือ prataa@dhammadrops.org เพื่อที่ทางมูลนิธิสามารถออกโมทนาบัตรได้ถูกต้อง



Issuu converts static files into: digital portfolios, online yearbooks, online catalogs, digital photo albums and more. Sign up and create your flipbook.